เปลี่ยนจุดเจ็บเป็นจุดเจ๋งสไตล์รุ่นใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/332203

เปลี่ยนจุดเจ็บเป็นจุดเจ๋งสไตล์รุ่นใหม่

วันที่ 27 มิถุนายน 2561 – 14:12 น.
เปลี่ยนจุดเจ็บเป็นจุดเจ๋งสไตล์รุ่นใหม่,อุตสาหกรรมไมซ์,สมาร์ทไมซ์ อินโนเวชั่น อวอร์ด 2018,ทีเส็บ,อีเวนเจอร์,แพลนโก,อี-ริสแบนด์,อุตสาหกรรมไมซ์ คมชัดลึก
เปิดอ่าน 5,807 ครั้ง

ผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมในอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศผ่านมุมมองรุ่นใหม่

พลังความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่เป็นสิ่งที่ทุกธุรกิจทุกอุตสาหกรรมต้องการ เพราะทำให้เกิดมุมมองและแนวทางการแก้ปัญหาที่แตกต่างออกไป ดังเช่นคำกล่าวที่ว่าพลังเล็กก็สามารถเปลี่ยนโลกได้…อุตสาหกรรมไมซ์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการจัดประชุมองค์กรท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล ประชุมนานาชาติ และงานแสดงสินค้านานาชาติก็เช่นเดียวกัน ที่ต้องพึ่งพาไอเดียคนรุ่นใหม่ จารุวรรณ สุวรรณศาสน์ ผู้อำนวยการฝ่ายไมซ์ อินเทลลิเจนซ์ แอนด์ อินโนเวชั่น ทีเส็บ ร่วมกับศูนย์ Hatch มหาวิทยาลัยพระจอมเกล้าธนบุรี จัดกิจกรรม “สมาร์ทไมซ์ อินโนเวชั่น อวอร์ด 2018” เพื่อสร้างการเรียนรู้และผลักดันให้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมในอุตสาหกรรมไมซ์ของประเทศผ่านมุมมองของคนรุ่นใหม่ โดยมีนักศึกษาทั้งหมด 18 ทีมจำนวน 65 คนจาก 10 มหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศไทยเข้าร่วม เมื่อเร็วๆ นี้

จารุวรรณ สุวรรณศาสน์

จารุวรรณ สุวรรณศาสน์ เผยถึงหัวข้อที่ให้เลือกนั้น อาทิ เกมะ อีเว้นท์ หรือเมเจอร์ อีเว้นท์ ที่มีการใช้พื้นที่ของเมือง พื้นที่สาธารณะ หรือพื้นที่ในศูนย์การค้าเป็นพื้นที่จัดงาน ซึ่งปัญหาของงานประเภทนี้คือมีทางเข้า-ออกงานหลายทาง ทำให้ยากต่อการจัดเก็บข้อมูลผู้ร่วมงาน ทั้งในข้อมูลด้านความต้องการ ความเห็นต่อกิจกรรมที่จัด เพื่อนำไปพัฒนาการจัดงานครั้งต่อไป และคำนวณตัวเลขของผลกระทบทางเศรษฐกิจ ตลอดจนการจัดกิจกรรมไมซ์ภายในประเทศ ที่เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ และเมืองที่มีศักยภาพรองรับการจัดงาน ซึ่งยังขาดการส่งเสริมด้านการตลาด โปรโมชั่นที่สร้างแรงจูงใจ ความยุ่งยากในการจัดการเดินทางและที่พักอย่างเหมาะสม ตลอดจนขาดข้อมูลสถานที่จัดกิจกรรมใหม่ๆ นอกเหนือจากเมืองที่ได้รับความนิยมอยู่แล้ว นอกจากนี้ การพัฒนาเชิงพื้นที่ที่ต้องอาศัยบริษัทผู้จัดงานที่มีความชำนาญ แต่ยังขาดแคลนอยู่มาก และ การพัฒนาศักยภาพด้านไมซ์ ไม่ว่าจะเป็นบุคลากร สถานที่จัดงาน และสิ่งแวดล้อมต่างๆ ซึ่งขาดบุคลากรที่มีความชำนาญในบางด้าน เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ เป็นต้น

ผู้เข้าร่วมกิจกรรมทั้งหมดได้ร่วมเวิร์กช็อปเป็นเวลา 3 วัน โดยมีคณาจารย์และผู้ทรงคุณวุฒิที่จะมาให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจไมซ์ กระบวนการทำความเข้าใจปัญหาอย่างลึกซึ้ง และกระบวนการทดสอบตลาดและสร้างชิ้นงานต้นแบบ หลังจากนั้นเป็นการจัดแข่งขันการนำเสนอผลงานเพื่อค้นหานวัตกรรมที่มีความโดดเด่นมากที่สุดทั้งในแง่ของความคิดสร้างสรรค์ การตอบโจทย์ปัญหา หรือรูปแบบธุรกิจ ฯลฯ เป็นต้น โดยทีมที่ได้รับรางวัลชนะเลิศได้แก่ทีม มอยส์เซอร์ (Mäuse) เลือกแก้ปัญหา “เมกะอีเวนท์” ด้วยแพลตฟอร์ม “อีเวนเจอร์” ส่วนทีมที่ได้รับรางวัลชมเชย 2 ทีมได้แก่ ทีม พีพีพี (PPP) มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี เลือกแก้ปัญหา “โดเมสติก ไมซ์” ด้วยแอพพลิเคชั่น “แพลนโก” และ ทีม บียู ทู เดอะ ฟิวเจอร์ (BU to the Future) มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เลือกแก้ปัญหา “เมกะอีเวนท์” ด้วย “อี-ริสแบนด์”

ทีมมอยส์เซอร์ ระหว่างการเข้าร่วมกิจกรรม

 คริษฐ์ มัชปาน ตัวแทนจากทีมมอยส์เซอร์ เล่าว่า ปัจจุบันนี้คนเจนใหม่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีความโซเชียล ต้องการแสดงออกทางสังคม และต้องการค้นหาประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ตัวเอง จึงเป็นที่มาของ “อีเวนเจอร์” แพลตฟอร์มที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้แก่ผู้เข้าร่วมงานเมกะอีเวนท์ในยุคต่อๆ ไป โดยพัฒนาขึ้นมาเพื่อช่วยบริษัทผู้จัดงานเก็บข้อมูลของผู้เข้าร่วมงาน สร้างแรงจูงใจเพื่อทำให้กลุ่มเป้าหมายอยากให้ข้อมูลแก่ผู้จัดงาน รวมทั้งผู้เข้าร่วมงานก็จะได้รับประสบการณ์ใหม่ๆ ในการเข้าร่วมงาน ผ่านการเล่นเกม ตอบแบบสอบถาม และแลกของที่ระลึกของงาน ซึ่งจะมีฟีเจอร์ต่างๆ อาทิ คิวอาร์โค้ด เว็บแอพพลิเคชั่น เทคโนโลยีเออาร์ ช่วยเพิ่มประสบการณ์ในการเข้าร่วมกิจกรรม และมูด แทรคกิ้ง เพื่อทราบความรู้สึกของผู้ร่วมงาน เป็นต้น

ทีมทริปเปิ้ลพี ขณะร่วมกิจกรรม

ด้าน พฤกษ์  ภคเมธาวี  ตัวแทนจากทีมทริปเปิ้ลพี ( PPP) เล่าถึง แอปพลิเคชัน แพลนโก ที่สร้างสรรค์แนวคิดขึ้นมาเพื่อตอบโจทย์ กลุ่มไมซ์ในประเทศ ว่า “คอนเซ็ปต์ของ แพลนโก คือ วางแผนการประชุมง่ายๆ กระจายรายได้สู่ชุมชน สำหรับการวางแผนการจัดประชุมและการท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล สำหรับองค์กรที่มีจำนวนผู้เข้าร่วม 50-100 คนครบวงจร และสร้างอีโคซิสเท็ม ขึ้นภายในประเทศไทย โดยแต่ละฝ่ายจะได้ประโยชน์ คือ ส่วนผู้ใช้งาน สามารถวางแผนจบได้ภายใน 1 วัน ส่วนของทีเส็บที่สามารถทราบกลุ่มเป้าหมายได้ คือ สามารถโปรโมทแคมเปญเพื่อให้ผู้ใช้งานมาใช้ ทำให้เห็นการเคลื่อนไหวของข้อมูล และได้รู้ว่าควรจะสร้างอะไรตอบโจทย์ความต้องการเหล่านั้น ในส่วนของบริษัทผู้จัดงานก็จะได้ช่องทางในการเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น

“แพลนโก จะมีส่วนต่างๆ ที่ให้ผู้ใช้บริการกรอกข้อมูลที่ต้องการ ตั้งแต่จุดหมายปลายทาง จำนวนผู้เดินทาง ต้องการร่วมกิจกรรมแบบใด เน้นสถานที่แบบใดเป็นพิเศษ สามารถตรวจสอบสิทธิพิเศษที่จะได้รับสำหรับการเดินทางครั้งนี้ วิเคราะห์และนำเสนอแพลนและราคาที่เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการ พร้อมเปรียบเทียบในรูปแบบอื่นๆ ให้ทราบด้วย ที่สำคัญคือมีฟีเจอร์ที่จะแนะนำรูปแบบกิจกรรมที่จะกระจายรายได้สู่ท้องถิ่นในงบประมาณที่ใกล้เคียงกัน เพื่อเป็นทางเลือกขององค์กรด้วย และสำหรับผู้ที่ลงทะเบียนกับแอปพลิเคชั่นจะได้เอกสารสำเร็จ เพื่อนำเสนอต่อองค์กรได้เลย”

ทีม บียู ทู ฟิวเจอร์ เสนอไอเดีย อี-ริสแบนด์

ส่วน ประวรรธน์  เลิศอริยบวรสุข ตัวแทนจากทีม บียู ทู ฟิวเจอร์ ผู้นำเสนอไอเดีย “อี-ริสแบนด์” เล่าว่า อุปกรณ์ชิ้นนี้จะเน้นการนับจำนวนผู้เข้าร่วมงาน โดยฟังก์ชั่นการใช้งาน คือ หลังจากผู้เข้าร่วมงาน เมกะ อีเว้นท์  ใดๆ ก็ตามลงทะเบียนก่อนเข้างานแล้วจะได้รับ อี-ริสแบนด์ ที่จะมีลักษณะที่แบ่งตามแนวคิดของแต่ละงาน สามารถสแกน คิวอาร์ โค้ด ผ่านสมาร์ทโฟนเพื่อให้ได้รับรายละเอียดกำหนดการ แผนที่ในงาน ส่วนลดของบูทต่างๆ ภายในงาน โดยเทคโนโลยีหลักที่ใช้คือ RFID (Radio Frequency Identification) ในแต่ละบูทจะมีตัวรับสัญญาณสแกน อี-ริสแบรนด์ เพื่อนับจำนวนคนที่เข้าไปชม หลังจากได้ข้อมูลทั้งหมดแล้วก็จะนำมาวิเคราะห์และส่งต่อให้กับบริษัทผู้จัดงานเพื่อนำไปพัฒนาการจัดงานในครั้งต่อๆ ไปได้

ทั้งนี้ จารุวรรณ กล่าวสรุปภาพรวมผลงานวัตกรรมจากความคิดของน้องๆ ว่าแนวคิดของคนรุ่นใหม่หลายทีม โดยเฉพาะทีมผู้ชนะนั้น ตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจไมซ์ในกลุ่มที่เลือกได้ดี สามารถนำมาปรับใช้ในอุตสาหกรรมได้จริง ซึ่งทีเส็บมีแผนในการสนับสนุนเพื่อให้ทีมพัฒนาต่อจนเกิดเป็นแพลตฟอร์มสำเร็จ ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ประกอบการและธุรกิจไมซ์ของประเทศไทยต่อไป

‘แจ็ก หม่า’ อย่ามาเมืองไทย?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/322784

‘แจ็ก หม่า’ อย่ามาเมืองไทย?

วันที่ 24 เมษายน 2561 – 09:08 น.
คมคิดเทคโน,แจ็ก หม่า,พลอประยุทธ์,เศรษฐกิจ,ดิจิทัล ฮับ,อาลีบาบา,สมคิด จาตุศรีพิทักษ์
เปิดอ่าน 39,874 ครั้ง

‘แจ็ก หม่า’ อย่ามาเมืองไทย? : คอลัมน์ คมคิดเทคโน โดย… อนุสรณ์ ฉิมบ้านไร่

วินาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าข่าวจระเข้แห่งแม่น้ำแยงซี อย่าง แจ็ก หม่า ประธานกรรมการบริหารกลุ่มอาลีบาบา เข้าพบบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีของไทย เป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่เกิดขึ้นในประเทศไทยจนทำให้สื่อทั่วโลกจับจ้องประเทศไทยตาเป็นมัน เพราะหลายคนมองว่าการที่เจ้าพ่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซเบอร์ 1 ของโลกเลือกประเทศไทยถือเป็นโอกาสขับเคลื่อนเศษฐกิจที่แท้จริง

เป็นเรื่องที่ดีที่รัฐบาลชุดนี้กุนซือใหญ่ด้านเศรษฐกิจอย่าง ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ภายใต้การนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ ที่สามารถดึงมหาหาอำนาจอีคอมเมิร์ซมาร่วมลงทุนในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (อีอีซี) เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลของไทยภายใต้ยุทธศาสตร์ประเทศไทย 4.0 โดยมีความร่วมมือในหลากหลายมิติ อาทิ การส่งเสริมเอสเอ็มอี ทุกระดับเข้าสู่อีคอมเมิร์ซ การพัฒนาของดาวเด่นหรือทาเลนท์ ของไทยในด้านดิจิทัล การยกระดับระบบโลจิสติกส์โดยอาศัยเทคโนโลยีชั้นนำของอาลีบาบา และการส่งเสริมการท่องเที่ยวผ่านระบบดิจิทัล

 

 

เชื่อหรือไม่ว่าการที่แจ็ก หม่า หอบเงินกว่า 11,000 ล้านบาทมาลงทุนกับรัฐบาลไทยยุคบิ๊กตู่ ไอ้พวกเห็นต่างก็พยายามที่จะออกมาบิดเบือนสร้างกระแสว่า พล.อ.ประยุทธ์ ดึงแจ็ก หม่า เข้ามาลงทุนในประเทศเป็นการชักศึกเข้าบ้าน เปิดทางให้จีนผูกขาดทางการค้าเหมือนยกทั้งประเทศให้แจ็ก หม่า แล้วปล่อยให้ประชาชนตาดำๆ ยากจนอยู่เหมือนเดิม การที่คนพวกนี้คิดแบบอคตินี้ถือว่าเป็นกลุ่มคนที่ถ่วงความเจริญของชาติ ได้แต่ตำหนิติเตียนแต่พวกตัวไม่เคยคิดที่จะทำประโยชน์ให้ประเทศ ต้องขอบอกว่าเรื่องนี้ที่รัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ กำลังเดินหน้าอยู่นั้นเป็นประโยชน์ต่อประชาชนคนไทยอย่างแท้จริง เพราะการที่อาลีบาบาเลือกลงทุนในไทยครั้งนี้เกษตรกรไทยรวมถึงผู้ลิตสินค้ารายย่อยได้ประโยชน์เต็มๆ มีโอกาสทางการค้ามากขึ้น เพราะสามารถนำผลิตของตัวไปขายบนตลาดออนไลน์ได้ดัวตัวเองโดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพ่อค้าคนกลางหรือพวกห้างร้านหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต่างๆ ที่ขูดรีดค่าแรกเข้าหลายล้านทำให้เกษตรกรไทยสูญเสียโอกาสทางการค้าทันที เพราะไม่แปลกที่คนเหล่านี้จะต่อต้านการเข้ามาลงทุนของกลุ่มอาลีบาบาเพราะพวกนั้นมีความเห็นแก่ได้เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เรียกได้ว่ามีพฤติกรรมชอบทำนาบนหลังคน

‘คมคิดเทคโน’ ขออาสาเป็นน้ำยาล้างตาให้พวกถ่วงความเจริญของชาติให้ตาสว่างเห็นประโยชน์ที่รับการที่รัฐบาลไทยลงนามเอ็มโอยู มหาอำนาจอีคอมเมิร์ซ ‘แจ็ก หม่า’ กลุ่มอาลีบาบาในครั้งนี้ ประโยชน์ข้อแรก โครงการลงทุนจัดตั้งศูนย์สมาร์ท ดิจิทัล ฮับ ในพื้นที่อีอีซี นี้จะอาศัยเทคโนโลยีระดับโลกของอาลีบาบาในด้านการประมวลข้อมูลโลจิสติกส์ ผ่าน ไช่เหนี่ยว (Cainiao Network) ซึ่งเป็นธุรกิจด้านโลจิสติกส์ของอาลีบาบา เพื่อทำให้การขนส่งสินค้าระหว่างไทยกับจีน การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนสู่ประเทศเพื่อนบ้าน (CLMV) และไปยังที่อื่นทั่วโลก มีความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพสูงสุด นอกจากนี้ยังมีการประสานกับกรมศุลกากรในการยกระดับพิธีการทางศุลกากรให้เป็นระบบดิจิทัลด้วย ซึ่งการตั้งศูนย์สมาร์ท ดิจิทัล ฮับ นี้ จะเป็นศูนย์กลางในการดำเนินกิจกรรมวิจัยพัฒนาดิจิทัล ซึ่งสำนักงานอีอีซี จะเชื่อมประสานสมาร์ท ดิจิทัล ฮับกับเขตนวัตกรรมดิจิทัล หรือดิจิทัลพาร์ค (EECd) และเขตนวัตกรรมระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EECi) ด้วย คาดว่าจะสามารถทำพิธีวางศิลาฤกษ์ในการก่อสร้างสมาร์ท ดิจิทัลฮับ ได้ภายในปี 2561 และคาดว่าจะเริ่มเปิดดำเนินการในปี 2562 ต่อไป

 

 

ประโยชน์ข้อที่ 2 อาลีบาบาได้เสนอให้วิทยาลัยธุรกิจอาลีบาบา หรือ Alibaba Business School (ABS) ซึ่งเป็นสถาบันพัฒนาบุคลากรของอาลีบาบาที่ตั้งอยู่ที่เมืองหางโจว ร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ ในการพัฒนาขีดความสามารถด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซของเอสเอ็มอีไทยทุกกลุ่มทั่วประเทศ รวมถึงเอสเอ็มอีในชุมชนท้องถิ่น และผู้ประกอบการรายย่อย โดยเน้นให้ผู้ประกอบการมีความเข้าใจ ได้เรียนรู้และเสริมทักษะการใช้เทคโนโลยีไทยให้สามารถเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ และเข้าถึงตลาดจีนที่มีผู้บริโภคอยู่ไม่น้อยกว่า 500 ล้านคน รวมถึงตลาดในภูมิภาคและตลาดสากลได้ตามลำดับ (Regional and Global Value Chain) โดยอาลีบาบาจะจัดทีมงานร่วมลงพื้นที่กับทีมงานของกระทรวงอุตสาหกรรม โดยอาศัยเครือข่าย ศูนย์ปฏิรูปอุตสาหกรรม 4.0 (ITC) ในระดับภาคและจังหวัดของกระทรวงอุตสาหกรรม รวมถึงหน่วยงานภูมิภาคของกระทรวงพาณิชย์ทั่วประเทศ

 

 

 นอกจากการส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอีผ่านอีคอมเมิร์ซแล้ว Alibaba Business School จะร่วมมือกับกรมส่งเสริมอุตสาหกรรมและกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ ในการพัฒนากลุ่มคนเก่งหรือดาวเด่นด้านดิจิทัล (Digital Talent) ในประเทศไทย ซึ่งครอบคลุมเนื้อหาหลายหลักสูตร โดยเปิดโอกาสให้นักศึกษา นักวิจัย อาจารย์ รวมถึงเจ้าหน้าที่ภาครัฐไปร่วมเข้าโครงการฝึกอบรมพัฒนาในด้านดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซให้มีความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งสร้างเครือข่าย (Networking) กับดาวเด่นหรือทาเลนท์ ทั่วโลกที่ประเทศจีน

มากไปกว่านั้นกระทรวงพาณิชย์และอาลีบาบายังได้เปิดตัว Thai Rice Flagship Store บนเว็บไซต์ Tmall.com ซึ่งเป็นเว็บซื้อขายออนไลน์ระดับโลกที่เน้นร้านค้าแบรนด์ชั้นนำหรือร้านค้าตัวแทนที่มีความน่าเชื่อถือ ซึ่งจะช่วยผลักดันยอดขายผลิตผลทางการเกษตรเริ่มต้นจากข้าว และขยายผลไปถึงผลไม้ต่างๆ ของไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งทุเรียน ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่ชาวจีนเป็นอย่างยิ่ง กระทรวงพาณิชย์และอาลีบาบาจะร่วมกันผลักดันการส่งออกข้าวไทยและผลิตผลทางการเกษตรของไทย โดยอาศัยข้อมูลเชิงลึกหรือ Insight ในเรื่องตลาดผู้บริโภคที่อาลีบาบามีความเชี่ยวชาญ ซึ่งเชื่อหรือไม่ว่าหลังจากแจ็ก หม่า ลงนามเอ็มโอยูกับไทยเพียงวันเดียว วันต่อมาทำให้ไทยขายทุเรียนในอาลับาบาได้ถึง 80,000 ลูกใน 1 นาทีเท่านั้น ถือได้ว่างานนี้เกษตรไทยมีโอกาสรวย!

ประโยชน์ด้านการท่องเที่ยวตามมาติดๆ นับจากนี้ไปการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) ร่วมมือกับอาลีบาบาและฟลิกกี้ (Fliggy) บริษัทด้านการท่องเที่ยวออนไลน์ชั้นนำของจีนในการส่งเสริมการท่องเที่ยวดิจิทัลและผู้ประกอบการการท่องเที่ยวรายย่อยในไทย โดย Fliggy คู่ร่วมลงนามกับททท. จะใช้ประสบการณ์และเทคโนโลยีที่ชาญฉลาดจัดทำ Thailand Tourism Platform ให้แก่สถานที่ท่องเที่ยวทั่วประเทศไทย ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์และอำนวยความสะดวกในด้านการท่องเที่ยวต่างๆ เช่น คู่มือไกด์ออนไลน์ ระบบจำหน่ายตั๋วอิเล็กทรอนิกส์ ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันในการเจียระไนแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจซึ่งเปรียบเสมือนอัญมณีที่ถูกซ่อนเร้นให้ส่องประกายเตะตานักท่องเที่ยวชาวจีนโดย Fliggy และ Ant Financial ซึ่งเป็นบริษัทที่ดำเนินการระบบชำระเงิน Alipay ในเครือของอาลีบาบาอยู่ในระหว่างการเจรจากับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องของรัฐบาลเพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลแบบครบวงจรต่อการท่องเที่ยวของประเทศไทย เริ่มตั้งแต่กระบวนการทางวีซ่า บริการหลังเดินทางแบบดิจิทัล ด้วยการคืนเงินภาษีนักท่องเที่ยวผ่านระบบ Alipay ซึ่งความร่วมมือกันในด้านการท่องเที่ยวนี้ คาดว่าจะช่วยดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวจีนและยังช่วยเพิ่มรายได้จากการท่องเที่ยวของไทยได้มากยิ่งขึ้น

 

 

     งานนี้คงต้องตะโกนดังๆ ว่า “แจ็ก หม่า มาไทยช้ากว่านี้ไม่ได้แล้ว”

นับเป็นช่วงเวลาที่ทางการไทยรอคอยมานานกับการมาเยือนของแจ็ก หม่า ซึ่งมาพร้อมกับความหวังในการเชื่อมโยงระหว่างตลาดประเทศไทยและจีนผ่านเทคโนโลยีที่อาลีบาบามี ซึ่งเม็ดเงินกว่าหมื่นล้าน นอกเหนือจากเม็ดเงินการลงทุนแล้ว ประโยชน์ที่ได้มากและทรงคุณค่าที่สุดคือการลงทุนของอาลีบาบาในครั้งนี้ทำให้การจ้างงาน คนไทยมีงานทำ เกษตรกรไทย ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถลืมตาอ้าปากได้จนอาจนำไปสู่การปลดปล่อยประเทศให้หลุดจากบ่วงความตกต่ำทางเศรษฐกิจทันที

 ร่ายประโยชน์ในการลงทุนของกลุ่มอาลีบาบายาวขนาดนี้คิดว่าก็คงทำให้พวกถ่วงความเจริญ พวกวิตกและดัดจริตทำตัวเหมือนคนดีกระโดดปกป้องประเทศไม่ให้ถูกจีนฮุบประเทศแต่ตัวเองไม่เคยแม้แต่จะคิดทำประโยชน์อะไรให้ชาติบ้านเมืองตาสว่างขึ้นบ้างและควรหันมาช่วยสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ให้สามารถเดินหน้าเรื่องนี้อย่างเต็มที่เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ

 

บทเรียนของสตาร์ทอัพเมื่ออูเบอร์หลีกทางแกร็บ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/318650

บทเรียนของสตาร์ทอัพเมื่ออูเบอร์หลีกทางแกร็บ

วันที่ 31 มีนาคม 2561 – 08:58 น.
เปิดอ่าน 6,024 ครั้ง

บทเรียนของสตาร์ทอัพ เมื่ออูเบอร์หลีกทางแกร็บ ในตลาดเอเชีย ถิ่นใครถิ่นมัน

ต่อไปนี้นับตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม ที่ผ่านมา ผู้ใช้บริการ และคนในโลกโซเชียลคงไม่ต้องตั้งคำถาม ตั้งกระทู้เปรียบเทียบการให้บริการ และราคาค่าโดยสารของอูเบอร์ และแกร็บ อีกต่อไป เพราะการแข่งขันของธุรกิจสตาร์ทอัพยักษ์ใหญ่จากสองซีกโลกได้จบลงแล้ว ด้วยชัยชนะของอูเบอร์

การยกธงขาวของอูเบอร์ ในตลาดบริการเรียกรถโดยสารผ่านแอพพลิเคชั่น (ride-hailing application) ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการขายกิจการให้กับคู่แข่งคือ แกร็บ สิงคโปร์ แม้จะไม่เป็นที่สงสัยของนักสังเกตการณ์ที่เห็นสัญญาณการถอยทัพของอูเบอร์ในหลายภูมิภาคของโลกก่อนหน้านี้ แต่ก็มีบทเรียนที่น่าสนใจหลายอย่างสำหรับธุรกิจสตาร์อัพ ที่กำลังเบ่งบานในขณะนี้

สัญญาณของความพ่ายแพ้ในครั้งนี้ เริ่มปรากฏชัดตั้งแต่เดือนตุลาคม 2560 เมื่อแกร็บประกาศว่า ยอดจำนวนผู้ใช้บริการใน 7 ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พุ่งทะลุ 1000 ล้านเที่ยว ใน 142 เมือง ทั่วสิงคโปร์ มาเลเซีย อินโดนเซีย ไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และเมียนมาร์

หากดูสถิติล่าสุดก็จะเห็นชัดว่า แกร็บ เหนือกว่า อูเบอร์ ทุกด้านในเอเชีย แกร็บให้บริการ 191 เมืองในเอเชีย ในขณะที่อูเบอร์ให้บริการเพียงแค่ 51 เมืองเท่านั้น ในขณะที่ในภูมิภาคนี้มีคนขับแกร็บประเภทต่างๆ อยู่ถึง 2.6 ล้านคน ส่วนอูเบอร์มีเพียง 690,000 คน

ในด้านของความหลากหลายของบริการ แกร็บก็มีมากกว่าอูเบอร์ มาก โดยแกร็บมีทั้ง GrabCar GrabTaxi GrabCycle GrabBike GrabShare GrabHitch GrabShuttle GrabCoach และ GrabFood GrabExpress GrabRewards GrabFinancial และ GrabPay ส่วนอูเบอร์ มีบิรการ UberX UberBalck UberMoto UberPool UberEat UberDeliver

TechinAsia เปิดเผย ผลการสำรวจความนิยมของผู้ใช้บริการอูเบอร์ และแกร็บในเอเชียก็พบว่า แกร็บครองใจผู้ใช้บริการในเกือบทุกประเทศ ยกเว้นเพียงสิงคโปร์ประเทศเดียวที่อูเบอร์ได้รับความนิยมมากกว่า

ชัยชนะของแกร็บ นอกจากกจะเป็นเพราะทุนหนุนหลังที่แข็งแกร่ง จากซอฟท์แบงก์ และดีดี้ ของจีน ที่ลงทุนในแกร็บกว่า 2 พันล้านดอลล์ (กว่า 7 หมื่นล้านบาทแล้ว) คงปฏิเสธไมได้ว่ามาจากแนวคิดในการทำธุรกิจที่คำนึงถึงสภาวการณ์ที่แท้จริงของผู้บริโภค และเงื่อนไขทางกฎหมายของประเทศต่างๆ

แกร็บไปได้ใช้ความเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพที่ประสบความสำเร็จ ดึงดัน หรือแข็งกร้าวในการทำธุรกิจ เหมือนอูเบอร์ที่เชื่อมั่นในพลังของผู้บริโภค โดยไม่ได้คำนึงถึงสภาวะ อำนาจในสังคมเอเชีย ที่มีปัจจัยซับซ้อนกว่าสังคมตะวันตกที่อูเบอร์คุ้นชิน และสร้างเงื่อนไขให้เป็นผู้กำชัยชนะทางธุรกิจได้

แต่ประเด็นที่น่าติดตามต่อไปไม่ใช่เรื่องของการแข่งขัน ความสำเร็จ หรือความล้มเหลวทางธุรกิจของอูเบอร์ แต่เป็นทิศทางของแกร็บ จากนี้ไป ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้อยู่ที่การให้บริการ ผู้โดยสารถประเภทต่างๆเท่านั้น แต่เป็นการก้าวเข้าสู่ธุรกิจ การเงิน และธุรกิจบริการ

เมื่อต้นเดือนพฤจิกายนที่ผ่านมา แกร็บได้เปิดบริการระบบเพย์เมนท์ GrabPay ที่ไมได้ใช้สำหรับการจ่ายเงิน ค่าบริการรถโดยสารเท่านั้น แต่สามารถใช้แอพพลิเคชั่นนี้ซื้ออาหารในสิงคโปร์โดยไม่ต้องใช้เงินสดได้ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า แกร็บกำลังขายบริการทางการเงิน GrabPay มายังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคด้วย

ขณะเดียวกับการซื้อกิจการอูเบอร์ของแกร็บในครั้งนี้ แกร็บก็คาดหวังสูงว่า ฐานผู้ใช้บริการรับส่งอาหารของอูเบอร์ UberEat จะต่อยอดบริการรับส่งอาหารของแกร็บ คือ Grabfood ให้เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดด้วย

บทสรุปที่เกิดขึ้นถือเป็นบทเรียนที่สำคัญของสตาร์ทอัพ เล็กใหญ่ ไม่สำคัญเท่ากับถิ่นของใคร อย่าลืมปัจจัยนี้

ชี้สัญญาณบวกไทยตื่นตัวลงทุนความปลอดภัยไซเบอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/302900

ชี้สัญญาณบวกไทยตื่นตัวลงทุนความปลอดภัยไซเบอร์

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 – 08:17 น.
เปิดอ่าน 6,264 ครั้ง

ฟอร์ติเน็ต ชี้ไทยขยับสู่สังคมดิจิทัล สร้างความตื่นตัวภาครัฐ-ธุรกิจ เห็นความสำคัญลงทุนระบบรักษาความปลอดภัยเครือข่าย รับมือภัยไซเบอร์ยุคใหม่ที่วิวัฒนาการฉลาดขึ้น

นายอัลวิน ร้อดดิเก้ หัวหน้าฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ด้านความปลอดภัย ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัท ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า แนวโน้มการปฏิรูปองค์กรเพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันโดยอาศัยเทคโนโลยีดิจิทัล (ดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชั่น) ในประเทศไทยเห็นได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นไปในทิศทางเดียวกับทั่วโลก โดยหนึ่งในปัจจัยสำคัญมาจากการที่สภาพสังคมเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคของ Web First และ Mobile First คอมพิวเตอร์และจอโทรศัพท์มือถือคือคำตอบสำหรับทุกสิ่ง

“ทุกวันนี้มีคำถามอะไร คนก็จะเข้าไปค้นหาผ่านกูเกิล หรือวิกิพีเดีย ถ้าอยากช้อปปิ้ง เข้าไปซื้อผ่านมือถือ ช่องทางเหล่านี้อำนวยความสะดวกสบายให้อย่างยิ่งตลอด 24 ชั่วโมง”

แนวโน้มข้างต้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงวิธีที่องค์กรดำเนินธุรกิจ และวิธีการปฏิบัติงาน โดยมีเป้าหมายว่าจะตอบสนองสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้อย่างไร และจะให้มากกว่าสิ่งที่ลูกค้าคาดหวังได้อย่างไร ขณะเดียวกัน ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับจากลูกค้าผ่านการเข้ามาสื่อสารหรือทำธุรกรรมผ่านเว็บ/ผ่านมือถือ ทำให้ได้เรียนรู้พฤติกรรมและความต้องการของลูกค้าแต่ละคน สามารถต่อยอดสู่การนำเสนอโปรโมชั่นใหม่ๆ เพิ่มโอกาสการขายและผูกใจลูกค้าไว้ได้ระยะยาว

                    อย่างไรก็ตาม เมื่อการรวบรวมข้อมูลในยุคดิจิทัล ทรานสฟอร์เมชั่นขยายวงกว้างขึ้น ความเสี่ยงต่อภัยคุกคามก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยผลสำรวจระดับโลกของฟอร์ติเน็ต “2017 Global Enterprise Security Survey” ระบุว่า องค์กรส่วนใหญ่ประสบภัยคุกคามทางไซเบอร์ใหม่ๆ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่มุ่งไปที่ข้อมูล และพบการเกิดโจรกรรมข้อมูลเพื่อเรียกค่าไถ่ (แรมซัมแวร์) สูงมากติดอันดับ 2 และภัยคุกคามดิจิทัลติดอันดับ 5 สะท้อนถึงปัญหาการมี “ช่องโหว่” ในห่วงโซ่การทำธุรกิจของยุคดิจิทัล

ด้านนายชาญวิทย์ อิทธิวัฒนะ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ฟอร์ติเน็ต กล่าวว่า สำหรับประเทศไทย กลุ่มที่มีความพร้อมในเรื่องการลงทุนด้านระบบความปลอดภัยไซเบอร์ ในยุคที่รูปแบบและกระบวนการทำงานกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่ดิจิทัล 3 อันดับแรก ได้แก่ 1.ภาคการเงินการธนาคาร เนื่องจากมีความพร้อมทั้งด้านความรู้และบุคลากร 2. ภาครัฐบาล ซึ่งมีนโยบายผลักดันเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลเป็นดิจิทัลมากขึ้น และ 3.รัฐวิสาหกิจ ได้แก่ การบินไทย, เครือซิเมนต์ไทย และ ปตท.

โดยในภาพรวมปี 2560 มีตัวเลขประมาณการณ์ใช้จ่ายด้านระบบความปลอดภัย จากบริษัทวิจัยการตลาดไอทีระดับโลกว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง สอดคล้องกับผลการดำเนินงานของฟอร์ติเน็ตในประเทศไทย ซึ่งมีอัตราเติบโตของรายได้สูงกว่าตลาด โดยอยู่ที่มากกว่า 20% ทั้งยังโตในระดับเลข 2 หลักตลอดช่วง 3 ปีที่ผ่านมา

สจล. จัดงาน “วิศวะ ’60” ชูแนวคิดสมาร์ทโซไซตี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/302897

สจล. จัดงาน “วิศวะ ’60” ชูแนวคิดสมาร์ทโซไซตี้

screenshot-www.komchadluek.net-2020.08.14-16_02_57

วันที่ 21 พฤศจิกายน 2560 – 07:53 น.
เปิดอ่าน 6,441 ครั้ง

“วิศวะ ’60 – Engineering Expo 2017″ ตอบโจทย์นโยบาย Thailand 4.0 ชูไฮไลท์เปิดเวทีการแข่งขันบังคับโดรนในสนามจริง หนุนคนมีไอเดีย “โดรน” ต่อยอดสร้างสรรค์ผลงานจริงใ

สจล. ขนทัพนวัตกรรมทางเทคโนโลยีจากคณะวิศวะฯ 16 สถาบัน และองค์กรพันธมิตร ประชันกันในงาน “วิศวะ ’60 – Engineering Expo 2017” วันที่ 16-18 พ.ย. นี้ ที่ไบเทค บางนา ภายใต้ธีม “วิศวะนำชีวิตสู่สังคมแบบสมาร์ท – Smart Society” ตอบโจทย์นโยบาย Thailand 4.0 ชูไฮไลท์เปิดเวทีการแข่งขันบังคับโดรนในสนามจริง หนุนคนมีไอเดีย “โดรน” ต่อยอดสร้างสรรค์ผลงานจริงในอนาคต

นางอรรชกา สีบุญเรือง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี  กล่าวว่า งาน “วิศวะ’60 หรือ Engineering Expo 2017”  เป็นงานที่ตอบโจทย์ตามนโยบาย Thailand 4.0 ที่ต้องการปรับเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ ไปสู่ “Value–Based Economy” หรือ “เศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม” โดยการเติมเต็มด้วยวิทยาการ ความคิดสร้างสรรค์ นวัตกรรม วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการวิจัยและพัฒนา ปีนี้จัดงานภายใต้ธีม  “Smart Society”

ภายในงานมีความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ทั้งภาคการศึกษา ในโซน “Engineering Innovation Showcase” จัดแสดงผลงานนวัตกรรม เทคโนโลยีของคณะวิศวกรรมศาสตร์ จาก 16 สถาบัน และภาคอุตสาหกรรมในการนำผลิตภัณฑ์และบริการที่โดดเด่นด้านวิศวกรรมเข้ามาจัดแสดง สอดคล้องกับการที่ประเทศไทยได้เร่งปรับตัวเองให้ทันกระแสโลก เพื่อก้าวสู่ยุค Thailand 4.0 ผู้เข้าชมงานจะได้รับประโยชน์นำไปต่อยอดทางธุรกิจได้

รมว. กระทรวงวิทย์ฯ กล่าวเสริมว่า ที่ผ่านมา กระทรวงฯ ได้สนับสนุนงบประมาณ จัดตั้งความร่วมมือกับมหาวิทยาลัย 30 แห่งทั่วประเทศ ในการเปิดหลักสูตรและศูนย์บ่มเพาะเตรียมความพร้อมนักศึกษาสู่ผู้ประกอบการในอนาคต โดยมุ่งเน้นสร้างความรู้และมุมมองเชิงธุรกิจให้กับนักศึกษาสาขาที่เกี่ยวข้องกับวิศวกรรมและเทคโนโลยี

อีกทั้ง อยู่ระหว่างรอกระบวนการโอนงบประมาณ 2,000 ล้านบาท จากกองทุนตั้งตัวได้ของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งรัฐบาลอนุมัติให้โอนให้กระทรวงวิทย์ฯ เข้าไปดูแลส่งเสริมผู้ประกอบการที่เป็นนักศึกษาจบใหม่ในโครงการสตาร์ทอัพ คาดว่าจะให้วงเงินกู้ 8 แสน – 1.5 ล้านบาทต่อราย และบางส่วนอาจเป็นรูปแบบการให้เงินอุดหนุน

รศ.ดร. คมสัน มาลีสี  คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (สจล.) กล่าวว่า  นอกเหนือจากเปิดเวทีแข่งขันพัฒนานวัตกรรมของนักศึกษาแล้ว ปีนี้ยังมีกิจกรรมไฮไลท์ ได้แก่ การแข่งขันบังคับโดรนในสนามแข่งจริง “Bangkok Drone Racing Competition 2017”  และการแข่งขัน Hackathon UAV “Eye in the Sky” ภายใต้คอนเซ็ปเกี่ยวกับโดรน เพื่อเสริมสร้างกระบวนการให้เกิดแนวคิด สร้างไอเดียใหม่ๆ ต่อยอดเป็นผลงานจริงต่อไป โดยมี Mentor ขั้นเทพจากหลากหลายองค์กร

สำหรับงาน Engineering Expo จัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 แล้ว ถือเป็นการจัดแสดงผลงานทางเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางด้านวิศวกรรมที่น่าสนใจและนำสมัยที่สุดของประเทศไทย  เป็นเวทีเปิดกว้างสำหรับผู้เข้าชมงานได้ความรู้ และแลกเปลี่ยนแนวคิดใหม่ๆ  นอกจากไทยแล้ว ปีนี้ยังมีผู้ประกอบการจากประเทศจีน ญี่ปุ่น และฮอล์แลนด์ เข้าร่วมงานด้วย เพื่อแสดงนวัตกรรมและเทคโนโลยีแห่งโลกอนาคตที่น่าสนใจ

ยูเบา เปิดตัวพาวเวอร์แบงก์ขั้นเทพเอาใจชาวโซเชียล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/297850

ยูเบา เปิดตัวพาวเวอร์แบงก์ขั้นเทพเอาใจชาวโซเชียล

วันที่ 4 ตุลาคม 2560 – 12:28 น.
เปิดอ่าน 5,567 ครั้ง

Yoobao ส่งพาวเวอร์แบงก์สุดล้ำ  6 รุ่นใหม่ รองรับการใช้สาย Type C ในการซาร์จไฟเข้าเป็นครั้งแรกของโลก เพิ่มสปีดชาร์จแบตได้เร็วขึ้น 4 เท่า

นายกิตติวุฒิ ศฤงคารบริบูรณ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ทริปเปิล เอสเค จำกัด (เฟรชแก็ตเจ็ต)  ตัวแทนจำหน่ายแบตเตอรี่สำรองคุณภาพสูง ยูเบา (Yoobao) รายเดียวในประเทศไทย กล่าวว่า ยูเบาเปิดตัวพาวเวอร์แบงก์รุ่นใหม่รวม  6 รุ่น  ความจุตั้งแต่ขนาด 7000 – 30,000 mAh  เพื่อเอาใจคนยุคใหม่ ที่มีไลฟ์สไตล์แบบโมบิลิตี้ และชาวโซเชียล อีกทั้งรองรับเทรนด์สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ๆ ที่จอใหญ่ขึ้น ซีพียูแรงขึ้น ทำให้แบตเตอรี่หมดเร็ว

พาวเวอร์แบงก์ยูเบา 6 รุ่นล่าสุด ได้แก่ คือ รุ่น  Q20C ,  Q30 ,  P30L ,  A20  , C13  และ C7 ระดับราคา 490-1,690 บาท โดดเด่นด้วยรูปลักษณ์กะทัดรัด พกพาสะดวก  น้ำหนักเบา 135-300 กรัม และนับเป็นครั้งแรกของโลกที่พาวเวอร์แบงก์มีระบบ Quick Charge 3.0 ที่ใช้สายชาร์จหัว Type C ซึ่งเป็นมาตรฐานสำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ร่วมกับระบบชาร์จเร็ว ช่วยให้แบตเต็มเร็วขึ้นถึง 4 เท่า

ปัจจุบัน ยูเบา มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ใน 3 อันดับแรก ด้วยจุดเด่นของพาวเวอร์แบงก์คุณภาพสูง ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัย มีระบบตัดไฟเมื่อชาร์จไฟเต็มแล้ว ผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นได้รับการทดสอบนานกว่า 18 ชั่วโมง ในห้องทดลองที่ได้รับมาตรฐาน และมี 9 ระบบพิเศษ เอกสิทธิ์เฉพาะยูเบา ที่คิดค้นขึ้นมาเพื่อปกป้องจากการเกิดแรงดันไฟฟ้าหรือการจ่ายกระแสไฟที่ผิดปกติ  รับประกันว่า “ของแท้ แบตไม่ระเบิด” โดยบริษัทยังมอบความคุ้มครองให้กับผู้บริโภค ในกรณีแบตเตอรี่แท้ระเบิด ในวงเงินสูงถึง 200,000 บาท

                    มร.รอย ชูวส์  ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เซิ่นเจิ้น ยูเบา เทคโนโลยี จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดในประเทศไทยมีโอกาสเติบโตอีกมาก เพราะคนไทยเป็นกลุ่มผู้ใช้มือถือที่นิยมเทคโนโลยีใหม่ ชื่นชอบเทคโนโลยียีล้ำๆ สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาผลิตภัณฑ์ของยูเบา ที่มีเป้าหมายสร้างสรรค์เทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องเพื่อรักษาความเป็นผู้นำตลาดในภูมิภาคนี้

ปัจจุบัน ไทยเป็นตลาดอันดับ 1 ของยูเบาในภูมิภาคอาเซียน โดยตลอดช่วง 5-6 ปีที่เฟรชแก็ตเจ็ต เป็นตัวแทนจำหน่ายสามารถสร้างยอดขายต่อปีในไทย เพิ่มเป็น 30 ล้านหยวน (ประมาณ 150 ล้านบาท) ล่าสุด ยูเบา มองถึงโอกาสการเติบโตของยอดขายออนไลน์ด้วย โดยเริ่มแล้วผ่านช่องทางการขายของลาซาด้า ซึ่งอาลีบาบา ยักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซของประเทศจีน เข้ามาซื้อกิจการไปก่อนหน้านี้

เอ็ตด้า ดัน “ครีเอทีฟคอมมอนส์” ตอบโจทย์ยุคแชร์ข้อมูล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/news/lifestyle/295762

เอ็ตด้า ดัน “ครีเอทีฟคอมมอนส์” ตอบโจทย์ยุคแชร์ข้อมูล

วันที่ 15 กันยายน 2560 – 16:30 น.
screenshot-www.komchadluek.net-2020.08.14-16_07_57
เปิดอ่าน 3,227 ครั้ง

เอ็ตด้า ดัน “ครีเอทีฟคอมมอนส์” ตัวช่วยแชร์รูปภาพ-ข้อมูลผ่านโลกออนไลน์ ชี้เป็นทางเลือกใหม่ในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญชี้ CC ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคโซ

สุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวในงานสัมมนา Digital Law and Digital Content for Thailand 4.0 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า เมื่อพูดถึงพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์หรืออีคอมเมิร์ซ คนมักนึกถึงสินค้าที่จับต้องได้ แต่จริง ๆ แล้วอีคอมเมิร์ซยังรวมถึงบริการและครอบคลุมไปถึงดิจิทัลคอนเทนต์ด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพลง ภาพยนตร์ หรือเกมบนโลกออนไลน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้กำลังได้รับความนิยม
คนทั่วไปมักคิดว่าสิ่งที่โพสต์หรืออัพโหลดไว้บนอินเทอร์เน็ต เป็นของฟรี จะดาวโหลดหรือแชร์กันโดยอาจไม่เข้าใจถึงบทบาทความเป็นเจ้าของของผู้สร้างสรรค์งาน จนทำให้กลายเป็นผู้ละเมิดลิขสิทธิ์ไปอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่ปัจจุบันมีเครื่องมือที่เข้ามาเป็นตัวช่วยสำหรับการแชร์สิ่งต่าง ๆ ทางโลกออนไลน์ได้ ในรูปแบบของ Creative Commons (CC) ซึ่งถือเป็นกติกาสำคัญในโลกยุค 4.0 โดยเฉพาะในโลกปัจจุบันที่คนไทยสร้างสรรค์คอนเทนต์ได้เอง
จากการสำรวจ คาดว่าปีนี้อีคอมเมิร์ซในไทยจะมีมูลค่าถึง 2.5 ล้านล้านบาท ส่วนตลาดดิจิทัลคอนเทนต์ของไทยก็เติบโตขึ้นมากเช่นกัน ดังนั้นการดูแลทรัพย์สินทางปัญญาเชิงรุกจึงเป็นประเด็นที่น่าสนใจ โดยเฉพาะในยุคที่โลกกำลังเข้าสู่ยุค Disruptive Technology ซึ่งเทคโนโลยีนำความเปลี่ยนแปลงมาสู่ชีวิตมากมาย
จุมพล ภิญโญสินวัฒน์ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีชำนัญพิเศษ (แผนกคดีทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ) กล่าวว่ากฎหมายลิขสิทธิ์ของไทยได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมจนครอบคลุมทุกอย่าง หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า All Right Reserved คือ สิทธิ์ทั้งหมดถูกสงวนไว้ การกระทำหลายอย่างก็อาจเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ เว้นแต่ได้รับอนุญาตก่อน ขณะที่พฤติกรรมในสังคมยุคอินเทอร์เน็ตซึ่งพบเห็นได้ทั่วไป คือ การก็อปปี้ข้อความ รูปภาพ หรือคลิป อยู่ในข่ายของการละเมิดลิขสิทธิ์ ดังนั้น การใช้สัญญาอนุญาตครีเอทีฟคอมมอนส์จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่น่าจะสอดรับกับไลฟ์สไตล์การส่งต่อหรือแชร์ข้อมูลในสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว รวมถึงเหมาะกับในยุคที่เจ้าของงานลิขสิทธิ์มีความต้องการแชร์ผลงานในระดับที่ไม่เท่ากัน อันนำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า Some Rights Reserved หรือสงวนสิทธิ์บางประการ

เจน พาร์ค ผู้อำนวยการฝ่าย Platform and Partnership แห่งองค์กรครีเอทีฟคอมมอนส์ (Jane Park, Director of Platforms and Partnership, Creative Commons.org) อธิบายว่า ครีเอทีฟคอมมอนส์ เป็นทางเลือกหรือกรอบใหม่ในการคุ้มครองลิขสิทธิ์ ซึ่งช่วยให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถให้สิทธิ์บางส่วนหรือสิทธิ์ทั้งหมดแก่สาธารณะ อันเปิดโอกาสให้มีการแบ่งปันข้อมูลกันได้สะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังเปิดช่องให้คนทั่วไปเข้ามาต่อยอดผลงานของ ผู้สร้างสรรค์ได้

สัญญาอนุญาตให้ใช้สิทธิของครีเอทีฟคอมมอนส์ (Creative Commons Licenses) มี 6 แบบ

                    CC – BY ยอมให้แจกจ่าย ดัดแปลง หรือใช้งานต้นฉบับอย่างใดก็ได้ รวมไปถึงการทำเพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า แต่ผู้รับอนุญาตต้องรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานที่นำไปใช้เสมอ (เช่น อ้างอิง) สัญญาอนุญาตฯ นี้เป็นแบบที่เปิดการแบ่งปันมากที่สุดเหมาะกับงานต้นฉบับของหน่วยงานราชการงานวิจัยที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ฯลฯ

 CC – BY – SA ยอมให้เปลี่ยนแปลง ดัดแปลง ใช้งานต้นฉบับอย่างใดก็ได้ รวมไปถึงการทำเพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้าด้วย แต่ผู้รับอนุญาตต้องรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานที่นำไปใช้เสมอ (เช่น อ้างอิง) รวมทั้งเผยแพร่งานสร้างสรรค์ใหม่บนสัญญาอนุญาตฯ แบบเดียวกัน สัญญาอนุญาตฯ นี้เป็นแบบที่เปิดการแบ่งปันมากเพียงมีเงื่อนไขต่องานที่ดัดแปลง ให้เหมาะกับงานที่ต้องการเผยแพร่ เพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวม เช่น Wikipedia

 CC – BY – ND ยอมให้ใช้และแจกจ่ายงานต่อ ไม่ว่าเป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้าหรือไม่ แต่ผู้รับอนุญาตต้องรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานที่นำไปใช้เสมอ (เช่น อ้างอิง) รวมทั้ง ต้องแสดงงานตามต้นฉบับเดิม โดยห้ามดัดแปลง

CC – BY – NC ยอมให้เปลี่ยนแปลง ดัดแปลง หรือใช้งานต้นฉบับที่ไม่ได้เป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ ในทางการค้า แต่ผู้รับอนุญาตต้องรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานที่นำไปใช้เสมอ (เช่น อ้างอิง) สัญญาอนุญาตฯ นี้เป็นแบบที่เปิดการแบ่งปันไม่มากเจ้าของลิขสิทธิ์สงวนสิทธิการใช้งานเพื่อวัตถุประสงค์ในทางการค้า

  CC – BY – NC – SA ยอมให้เปลี่ยนแปลง ดัดแปลง หรือใช้งานต้นฉบับที่ไม่ได้เป็นการทำเพื่อวัตถุประสงค์ ในทางการค้า แต่ผู้รับอนุญาตต้องรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานที่นำไปใช้เสมอ (เช่น อ้างอิง) รวมทั้งเผยแพร่งานสร้างสรรค์ใหม่บนสัญญาอนุญาตฯ แบบเดียวกันเลย

 CC – BY – NC – ND สัญญาอนุญาตฯ นี้เป็นแบบที่เปิดการแบ่งปันน้อยที่สุดใน 6 แบบ โดยอนุญาตให้ใช้งานต้นฉบับที่ไม่ได้ทำเพื่อวัตถุประสงค์ในการทางค้า แต่ผู้รับอนุญาตต้องรับรู้ความเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์งานที่นำไปใช้เสมอ (เช่น อ้างอิง) รวมทั้งสัญญาอนุญาตฯ นี้ต้องแสดงงานตามต้นฉบับเดิมโดยห้ามดัดแปลงงาน

ทั้งนี้ องค์กรครีเอทีฟคอมมอนส์ เป็นองค์กรไม่หวังผลกำไรในสหรัฐฯ ที่หารือกับผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย 85 ประเทศ รวมถึงไทย เพื่อกำหนดแนวคิดเกี่ยวกับลิขสิทธิ์ ปัจจุบันมีงานกว่า 1,200 ล้านชิ้นทั่วโลกที่คนทั่วไปสามารถเข้าไปใช้งานได้ภายใต้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์ เว็บไซต์รูปภาพชื่อดังของโลกอย่าง Flickr ก็ระบุว่าผู้ใช้จำนวนมากของ Flickr เลือกนำเสนองานภายใต้สัญญาอนุญาตของครีเอทีฟคอมมอนส์ รวมถึงเว็บอย่าง Wikimedia ที่มีไฟล์สื่อทั้งแบบรูปภาพ วิดีโอ และเสียง จำนวนกว่า 41 ล้านไฟล์ นอกจากนั้น ครีเอทีฟคอมมอนส์ยังขึ้นไปอยู่บน SoundCloud อีกด้วย

ภาคส่วนต่าง ๆ ของไทยที่อาจเข้าร่วมในสัญญาอนุญาต CC มีอาทิ ภาคส่วนที่ดูแลด้านมรดกทางวัฒนธรรม ภาคศิลปวัฒนธรรม ภาคการศึกษา-วิจัย ภาครัฐ-นโยบาย ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมการพิมพ์สามมิติ โดยในตะวันตกนั้นมีผู้สร้างสรรค์งานพิมพ์ 3 มิติเผยแพร่ผลงานของตนเองผ่านครีเอทีฟคอมมอนส์และมีผู้อื่นนำไปต่อยอดจนได้ผลงานแปลกใหม่สะดุดตามาแล้ว