#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
https://www.naewna.com/likesara/692782
ร่างกายของเรา มันไม่ใช่ตัวเรา ‘ไม่ต้องไปกลัวความตายของร่างกาย’
วันพฤหัสบดี ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565, 19.38 น.
ร่างกายของเรา มันไม่ใช่ตัวเรา เราไปหลงคิดว่าเราเป็นร่างกาย ความจริงมันก็เป็นตุ๊กตาตัวหนึ่งที่เรามาเกาะมัน มาเล่นกับมัน มาใช้มัน ให้มันพาเราไปเที่ยวไปหาความสุขต่างๆ เราเป็นดวงวิญญาณไม่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนร่างกาย แต่มีความรู้สึกนึกคิด ผู้ที่มีความรู้สึกนึกคิดคือเรา คือดวงวิญญาณ จิตใจ ร่างกายไม่มีความรู้สึกนึกคิด ร่างกายเหมือนตุ๊กตาเหมือนต้นไม้ ต้นไม้มันไม่มีความรู้สึกนึกคิด เอามีดไปฟันต้นไม้ๆ มันไม่ร้องหรอก แต่ถ้าเอามีดมาฟันคนนี่คนร้อง แต่คนไม่ใช่ร่างกายที่ร้อง จิตใจนี่แหละผู้ที่มารับรู้ความรู้สึกของทางร่างกายเป็นผู้ร้องเอง แต่ร่างกายเขาไม่มีความรับรู้อะไร
ดังนั้น เราต้องมาสอนใจให้รู้ว่าเราไม่ได้เป็นร่างกาย เราไม่ได้แก่ไม่ได้เจ็บไม่ได้ตายไปกับร่างกาย ร่างกายเป็นเหมือนตุ๊กตาดีๆ นี่เอง ทำมาจากดิน น้ำ ลม ไฟ อาหารที่เรากินเข้าไปก็มีทั้งดินทั้งน้ำ มีลมก็ลมหายใจที่เราหายใจเข้าออก น้ำที่เราดื่มกันอยู่เป็นประจำ นี่แหละเป็นส่วนผสมของร่างกาย ไฟก็คือความร้อนที่เรารับจากแสงแดดแสงอาทิตย์นี่ แล้วก็ไฟที่เกิดจากการรับประทานอาหาร เวลาได้อาหารเข้าไปในร่างกายมันก็จะทำให้ร่างกายร้อนขึ้นมา แล้วมันก็เป็นตัวที่รักษาอุณหภูมิของร่างกายไม่ให้เย็น
สังเกตดูถ้าเคยไปแตะร่างคนตายนี้จะรู้ว่าร่างกายคนตายนี้เย็นกว่าร่างกายของคนเป็น คนเป็นไปแตะร่างกายคนตายจะรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมร่างกายเขาเย็น เวลาไปแตะร่างกายคนที่ไม่ตายมันเหมือนไม่เย็น ก็เพราะว่าช่วงนั้นธาตุไฟมันเริ่มออกจากร่างกายไปแล้ว เหลือ ๓ ธาตุ ถ้าตายใหม่ๆ นี้ไปก่อน ๒ ธาตุ ธาตุแรกไปก็คือธาตุลม ลมหายใจ หยุดหายใจ ไม่มีลมเข้า ลมก็จะมีออกมาทางส่วนต่างๆ ของร่างกายที่ส่งเป็นกลิ่นออกมานี่ก็ธาตุลม แล้วธาตุไฟก็เย็นหายไปร่างกายก็เย็น ถ้าปล่อยทิ้งไว้ต่อไปธาตุน้ำมันก็จะไหลออกมา
คนตายนี่เขามักจะเอาสำลีไปอุดจมูกเพราะมันจะมีน้ำไหลออกมา น้ำมันก็จะแยกออกมา ลมไปก่อนแล้วตามด้วยไฟ ตามด้วยน้ำ เดี๋ยวก็เหลือแต่ส่วนที่เป็นดิน
ส่วนที่จะแห้งกรอบ ทิ้งไว้มันก็จะผุพังกลายเป็นดินต่อไป ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ตัวใคร จิตผู้มาเกาะติดก็แยกไปตั้งแต่หมดลมหายใจ พอหยุดหายใจปั๊บ จิตตวิญญาณที่มาเกาะร่างกายก็แยกไปก่อน ไม่รับรู้เรื่องของร่างกายแล้วตอนนั้น ตอนนั้นร่างกายใครจะไปทำอะไรมันไม่ร้องใช่ไม๊ ร่างกายของคนตายนี่ไม่ร้อง ลองเอาเข็มไปทิ่มมันดูสิ แต่ถ้ายังไม่ตายลองเอาเข็มไปทิ่มดูสิ จะสะดุ้งขึ้นมา
ตัวที่สะดุ้งไม่ใช่ร่างกายหรอก ก็คือตัวจิตตวิญญาณตัวที่รับรู้ความเจ็บของร่างกายนี้เป็นผู้สะดุ้ง แต่พอร่างกายหมดลมหายใจจิตตวิญญาณก็แยกออกจากร่างกายไป พอไม่มีร่างกายแล้วจิตตวิญญาณก็ต้องอาศัยบุญหรือบาปที่ทำไว้นี้มาเป็นผู้ให้มีอะไรให้ได้เสพได้สัมผัส เพราะจิตตวิญญาณของพวกเรานี้ติดรูปเสียงกลิ่นรสกัน ที่เรามามีร่างกายก็เพราะเราติดรูปเสียงกลิ่นรส ต้องมีตาหูจมูกลิ้นกาย พอเรามีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรงเราก็ใช้ร่างกายพาเราไปดูไปฟังไปกินไปดื่มไปทำอะไรต่างๆ
แล้วการกระทำนี้ก็อาจจะทำใน ๒ รูปแบบ ทำโดยวิธีไปสร้างความเสียหายเดือดร้อนให้กับผู้อื่น ทำด้วยการทำบาป ก่อนที่จะมีเงินทองได้ก็ต้องไปหาเงินทอง ถ้าไม่รู้จักวิธีหาเงินทองแบบไม่ทำบาปก็จะไปใช้วิธีทำบาปเป็นการหาเงินทองกัน ก็จะทำให้มีบาปสะสมอยู่ในใจ บาปนี้เป็นความร้อนเป็นความทุกข์มีแต่เรื่องราวไม่ดี เพราะเวลาเราไปทำบาปเราจะทำแต่เรื่องไม่ดี ไปรังแกคนอื่นไปเบียดเบียนคนอื่น ไปสร้างความทุกข์สร้างความเสียหายเดือดร้อนให้กับคนอื่น
การกระทำที่เราทำนี้มันจะถูกบันทึกไว้ในใจเหมือนกล้องที่เราถ่ายวิดีโอเก็บไว้ เวลาเราไปเที่ยวที่ไหนเราก็ถ่ายภาพกันบันทึกกัน เพราะเวลาเรากลับบ้านเรายังอยากไปเที่ยวอยู่ เราก็อาศัยภาพที่เราไปเที่ยวมาดูแทน แก้เหงาไปพลางๆ ช่วงที่ไม่มีเงินไปเที่ยวดูภาพเก่าไปก่อน อันนี้ก็เหมือนกันเวลาตายไปไม่มีร่างกายไปหาภาพหารูปเสียงกลิ่นรสมาให้ดู เราก็จะอาศัยภาพที่เราได้บันทึกไว้ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่มาดูกันแทน ถ้าเป็นภาพดีถ้าเราไปทำเรื่องที่ดี เช่น ไปทำบุญทำประโยชน์ ไปช่วยเหลือผู้อื่นทำให้ผู้อื่นมีความสุข เราก็บันทึกภาพดีๆไว้ เช่น ไปร่วมงานวันเกิดร่วมงานบวชร่วมงานอะไรต่างๆ ไปแล้วก็ทำให้คนอื่นเขามีความสุข พอเวลาเราไม่มีร่างกายเราก็จะอาศัยภาพเหตุการณ์ต่างๆ ที่เราทำไว้ในขณะที่เรามีร่างกายนี้มาให้ความบันเทิงกับเรา เพราะจิตของเรานี้มันหิวกับรูปเสียงกลิ่นรสหิวกับเหตุการณ์ต่างๆ ให้มันอยู่เฉยๆ นิ่งๆ มันจะรู้สึกหงุดหงิด
ดังนั้น เวลาที่ร่างกายตายไปนี่จิตก็จะได้อาศัยภาพที่ได้บันทึกเอาไว้ ขึ้นอยู่กับว่าไปบันทึกภาพชนิดไหน ถ้าไปทำบุญก็บันทึกภาพเหตุการณ์ที่มีความสุข ถ้าไปทำบาปก็บันทึกภาพเหตุการณ์ที่มีความทุกข์มาให้รับรู้มาให้ชมกัน นี่ช่วงที่ไม่มีร่างกาย จิตตวิญญาณก็จะอาศัยบุญบาปที่ได้ทำไว้เป็นตัวที่จะมาสร้างภาพสร้างเหตุการณ์ต่างๆ ให้ดูกัน ถ้าบุญมีกำลังมากกว่าบาป มีมากกว่าบาปบุญก็จะเป็นผู้ฉายภาพให้ดูก่อน แต่ถ้าบาปมากกว่าบุญ บาปก็จะเป็นผู้ฉายภาพของบาปให้ดู ถ้าเป็นภาพของบุญก็จะเป็นเรื่องของความสุข เราก็จะเรียกช่วงนั้นอยู่บนสวรรค์กัน มีแต่ภาพเหตุการณ์ที่ดีๆ มีความสุขช่วยคนนั้นช่วยคนนี้
ถ้าเกิดบาปมีกำลังมากกว่าบุญมันก็จะมีแต่ภาพที่ทุกข์ยากลำบากมาให้ดู มีเรื่องเบียดเบียนกันฆ่าฟันกันแก่งแย่งกันชิงดีกันอะไรต่างๆ ช่วงนั้นเราก็เรียกว่าเป็นจิตที่อยู่ในอบาย เป็นจิตประเภทเปรตบ้าง ถ้าทำบาปด้วยความโลภก็จะบันทึกภาพที่สร้างความหิวโหยตลอดเวลา ถ้าทำบาปด้วยความกลัวก็จะบันทึกภาพที่น่ากลัวให้ดูให้เห็น ถ้าทำบาปด้วยความอาฆาตพยาบาทก็จะมีภาพที่มีแต่การจองเวรจองกรรมกันฆ่าฟันกันแก่งแย่งชิงดีกันให้ได้ดูได้ชม นี่คือช่วงที่จิตวิญญาณไม่มีร่างกาย ช่วงที่พวกเราไม่มีร่างกาย พวกเราจะเป็นอย่างนี้ เหมือนกับช่วงที่พวกเรานอนหลับ
ตอนที่เรานอนหลับเราก็ไม่ได้ใช้ร่างกาย ร่างกายตอนนั้นก็เหมือนคนตาย ตอนที่เรานอนหลับเราก็ได้อาศัยภาพจากบุญและบาปนี่ให้เราได้เสพได้สัมผัส เราเรียกภพเหล่านี้ว่าความฝัน บางทีเราก็ฝันดีบางทีเราก็ฝันร้าย เพราะว่าช่วงที่เรามีชีวิตอยู่นี้บุญกับบาปมันยังไม่ได้มาแย่งกัน มันแล้วแต่ว่าตัวไหนมีกำลังมากกว่ามันก็แสดงออกมา ถ้าเราฝันร้ายนี่มันเป็นเหมือนกับสัญญาณบ่งบอกว่าเรากำลังทำบาปมากกว่าทำบุญนะ ถ้าเรามีแต่ฝันร้ายอยู่เรื่อยๆ นี่แสดงว่าเราทำบาปมากกว่าทำบุญ ถ้าเราฝันดีนี่แสดงว่าเราทำบุญมากกว่าทำบาป
การฝันนี่เป็นเหมือนการดูหนังตัวอย่าง เพราะเรายังไม่ได้ตายจริง เราตายชั่วคราว ตายเพียงไม่กี่ชั่วโมง ๗, ๘ ชั่วโมงเราก็ตื่นขึ้นมา แต่เวลาตายจริงนี่มันจะยาว มันจะดูหนังยาวเลย ดูภาพยนตร์ยาว ถ้าเป็นบาปก็ดูแต่เรื่องทุกข์ เรื่องน่าหวาดเสียวหวาดกลัว ถ้าเป็นบุญก็มีแต่เรื่องสนุกสนานมีแต่เรื่องความสุขสำราญต่างๆ นี่มันก็จะฉายภาพจนกว่าภาพของบุญหรือบาปหมดกำลังลง เราก็จะไปได้ร่างกายอันใหม่ได้ตุ๊กตาตัวใหม่ พอพ่อแม่ไปสร้างตุ๊กตาตัวใหม่ในท้องแม่ จิตตวิญญาณก็มาเกาะเลย มาเกาะที่ตาหูจมูกลิ้นกาย แล้วพอคลอดออกมาก็เริ่มสั่งการให้ร่างกายหารูปเสียงกลิ่นรสอะไรต่างๆ มาให้เสพทันที
นี่คือเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเรากับร่างกาย ความจริงที่เราควรจะรู้ก็คือเราไม่ได้เป็นร่างกาย งั้นเราไม่ต้องไปเดือดร้อนไม่ต้องไปหวาดเสียวหวาดกลัวกับความเป็นความตายของร่างกาย แล้วเราก็ห้ามมันไม่ได้ด้วย ห้ามไม่ให้มันตายไม่ได้ ห้ามไม่ให้มันเจ็บไข้ได้ป่วยไม่ได้ ห้ามไม่ให้มันแก่ไม่ได้ แต่เราห้ามใจเราไม่ให้ไปทุกข์กับมันได้ ถ้าเรารู้ว่ามันไม่เป็นเราเท่านั้นเราก็สบายใจ
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี วันที่ ๑๘ พ.ศ. มีนาคม ๒๕๖๓ (เพจ พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต) – 003