สัญญาณแดงก่อการร้ายคืนชีพ พร้อมป่วนเมืองรอบใหม่?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/261192

วันจันทร์ ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

นับเป็นการกวาดล้างบุกจับคลังแสงของขบวนการแดงก่อการร้ายระบอบแม้วครั้งใหญ่อีกครั้งหนึ่งนับตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยครั้งนี้บุกคุมตัวสมุนของนายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แดงฮาร์ดคอร์ ผู้ต้องหาหนีหมายจับคดีความมั่นคงรวมทั้งคดีหมิ่นเบื้องสูงโดยขณะนี้กบดานอยู่ในลาว

นอกจากปฏิบัติการบุกตรวจค้นที่ จ.ปทุมธานีแล้ว กำลังทหารและตำรวจยังบุกตรวจค้นอีก 8 จุดในหลายจังหวัดภาคกลางและภาคอีสานโดยพบอาวุธสงครามและสิ่งผิด กฎหมายพร้อมควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยไว้ได้จำนวนหนึ่ง

หากยังจำกันได้เมื่อคสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศใหม่ๆ มีการกวาดล้างกองกำลังแดงก่อการร้ายใต้ดินทั่วประเทศซึ่งครั้งนั้นกำลังทหารบุกเข้าจับกุมกลุ่มแดงฮาร์ดคอร์ได้กว่า 20 คน พร้อมคลังแสงอาวุธสงครามร้ายแรงจำนวนมากในอพาร์ตเมนท์แห่งหนึ่งของ จ.ขอนแก่น ซึ่งผู้ต้องหาที่ถูกจับรับสารภาพว่าได้รับท่อน้ำเลี้ยงหลายล้านบาทจากนายใหญ่ในต่างแดนตามแผนปฏิบัติการ “ขอนแก่นโมเดล”ด้วยการลอบก่อการร้ายรูปแบบต่างๆ โดยเริ่มจาก จ.ขอนแก่น เป็นจุดแรกจากนั้นจะลุกลามไปยังจังหวัดอื่นๆ ทั่วประเทศเพื่อล้มคสช.

ต่อมามีการลอบวางระเบิดเกิดขึ้นหลายครั้งในช่วงเกือบ 3 ปีที่คสช.ควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ซึ่งที่สำคัญและคาดว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการแดงก่อการร้ายที่มุ่งล้มคสช.ก็คือเหตุการณ์ลอบวางระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม แยกราชประสงค์ ระเบิดห้างสมุยเฟสติวัลที่ จ.สุราษฎร์ธานี รวมทั้งการลอบวางระเบิดและเผากว่า 10 จุดทั่วใน 7 จังหวัดภาคใต้ก่อนหน้านี้

การปฏิบัติการสกัดแผนร้ายครั้งล่าสุดนี้ มีการสนธิกำลังทหาร ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านของนายธีรชัย อุตรวิเชียร ซึ่งเป็นหนึ่งในลูกน้องของ “โกตี๋” ที่บ้านเลขที่ 1-1 หมู่ 6 ต.คูคต อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี พบทั้งยาบ้า วิทยุสื่อสาร 8 เครื่อง ระเบิดขว้างชนิดต่างๆ 11 ลูก ชนวนประกอบระเบิด 6 อัน เครื่องยิงลูกระเบิดและปืนสงครามกว่า 10 กระบอก รวมทั้งกระสุนชนิดต่างๆ รวมหลายพันนัด

นายธีรชัย สารภาพว่าบ้านพักหลังนี้เคยเป็นสถานีวิทยุคนเสื้อแดง ส่วนอาวุธที่เจ้าหน้าที่ตรวจพบเป็นของ นายโกตี๋ ที่นำมาฝากไว้ตั้งแต่หลังเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

ขณะที่ พล.ท.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ แม่ทัพภาคที่ 1 กล่าวว่า จากการตรวจค้นพบเอกสารที่เชื่อมโยงกับกลุ่มการเมือง ส่วนอาวุธจำนวนมากที่ยึดได้อาจเป็นกลุ่มเดียวกับที่ไปป่วนการทำงานของเจ้าหน้าที่ระหว่างการตรวจค้นวัดพระธรรมกาย รวมทั้งอาจเชื่อมโยงกับขบวนการที่เคยขู่ปองร้าย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง

ทุกครั้งที่มีการตรวจค้นพบคลังแสงของขบวนการเสื้อแดงหรือผู้ต้องหาแดงก่อการร้ายหรือแดงหมิ่นเจ้า บรรดาแกนนำกลุ่มเสื้อแดงมักจะรีบออกมาปฏิเสธทันควันว่า เป็นแดงเทียม ทั้งๆ ที่มีหลักฐานชัดเจนว่าผู้ต้องหาเหล่านี้ล้วนมีปูมหลังเกี่ยวข้องกับขบวนการเสื้อแดงและระบอบแม้วมาตลอด การตรวจพบคลังแสงของสมุน “โกตี๋”ที่ จ.ปทุมธานี ครั้งนี้ก็เช่นกัน นพ.เหวง โตจิราการ หนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดง และ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว รีบออกมาดักคอฝ่ายเจ้าหน้าที่ทันทีว่าอย่าสร้างเรื่องยัดเยียดความผิดให้กับกลุ่มเสื้อแดง และน่าสงสัยว่าทำไมรัฐบาลมาค้นเอาตอนนี้ ทั้งๆที่ผ่านมาแล้ว 3 ปีหลังการยึดอำนาจของคสช. พร้อมทั้งอ้างว่ากลุ่มเสื้อแดงนั้นไม่สนับสนุนความรุนแรง นาย “โกตี๋” ไม่ใช่กลุ่มเสื้อแดงเพราะเคลื่อนไหวในแนวทางที่รุนแรง เขาอาจแค่ใส่เสื้อแดง ดังนั้นอย่ามาเหมารวมว่าเขาเป็นคนเสื้อแดง

ขณะที่แกนนำเสื้อแดงอย่าง นายอารี ไกรนรา หัวหน้าการ์ดเสื้อแดง กล่าวว่าไม่เคยติดต่อนายโกตี๋ นานแล้วและไม่สนิท เพราะไม่ใช่แกนนำกลุ่มเสื้อแดงส่วนกลาง โดยต่างคนต่างเคลื่อนไหว

การที่ นพ.เหวง อ้างว่าแนวทางของกลุ่มเสื้อแดงไม่ใช้ความรุนแรงดูเหมือนจะตรงกันข้ามกับพฤติการณ์ของกลุ่มเสื้อแดงในช่วงที่ผ่านมาอย่างสิ้นเชิง อาทิ การก่อจลาจลทั่ว กทม. และบุกกระทรวงมหาดไทยหมายสังหาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในขณะนั้นรวมทั้งการยกพวกบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี 2552 ตามด้วยการสร้างสถานการณ์จนนำไปสู่การก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือในปี 2553

นอกจากนี้ แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงบางคนยังเคยปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงในอดีตด้วยการระบุถึงแก้ว 3 ประการ อันประกอบด้วย พรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศเป็นรัฐไทยใหม่ และบางคนเคยปลุกระดมให้คนเสื้อแดงจากต่างจังหวัดลุกฮือนำน้ำมันมาคนละขวดเข้ากรุงเทพฯในช่วงเหตุการณ์ตึงเครียดทางการเมือง พร้อมกับมีการยุ “เผามันเลยพี่น้อง ผมรับผิดชอบเอง”

แม้ว่าเหล่าแกนนำกลุ่มเสื้อแดงจะออกมาปัดพัลวันว่าไม่เกี่ยวข้องกับ “โกตี๋” แต่อาวุธสงครามจำนวนมากที่ยึดได้รวมทั้งคำรับสารภาพของ นายธีรชัย ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “โกตี๋”เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการระบอบแม้วที่ร่วมในเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองตั้งแต่ปี 2553 รวมถึงเหตุการณ์ลอบสังหารมวลมหาประชาชนกลุ่ม กปปส.ที่บริเวณสี่แยกหลักสี่ช่วงยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์

แม้ว่าที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จะกวาดล้างจับกุมอาวุธสงครามของขบวนการก่อการร้ายใต้ดินได้จำนวนมาก แต่ก็ยังมีอาวุธอีกจำนวนไม่น้อยที่กลุ่มเสื้อแดงยึดไปจากฝ่ายทหารช่วงเหตุการณ์เมื่อปี 2553 ซึ่งจนบัดนี้ยังติดตามคืนไม่ได้ ยังไม่พูดถึงอาวุธสงครามร้ายแรงที่สามารถจัดหาเพิ่มเติมได้ไม่ยากตามแนวชายแดน

ข้อน่าสังเกตก็คือการตรวจค้นพบคลังแสงที่บ้านสมุนโกตี๋ครั้งล่าสุดอาจเป็นสัญญาณการคืนชีพของขบวนการแดงก่อการร้ายใต้ดินที่รอโอกาสปฏิบัติการตามใบสั่ง ในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองนับวันจักแหลมคมเข้มข้นขึ้นทุกขณะภายใต้สภาวการณ์ที่ตระกูลชิน กำลังอยู่ในสภาพหลังพิงฝาพร้อมที่จะดับเครื่องชน

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อไทยส่งซิกดันนิรโทษสุดซอย ปัญหาท้าทายปรองดอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/261048

วันอาทิตย์ ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

6 ขุนพลตัวแทนพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมเวทีแสดงความเห็นเพื่อสร้างความปรองดองที่กระทรวงกลาโหม เมื่อสัปดาห์ที่แล้วโดยมีการส่งสัญญาณเป็นนัยภายใต้คำว่าต้องให้อภัยหากจะสร้างความปรองดอง

6 ขุนพลตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่ร่วมเวทีแสดงความเห็นเพื่อความปรองดองประกอบด้วย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค, คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์, นายโภคิน พลกุล, นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการเลขาธิการพรรค, นายชัยเกษม นิติสิริ และ นายชูศักดิ์ ศิรินิล ตัวแทนพรรคเพื่อไทย

การร่วมเวทีครั้งนี้พรรคเพื่อไทยได้ยื่นข้อเสนอ 6 ข้อเพื่อการปรองดองประกอบด้วย 1.รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องจริงใจ มีความเข้าใจและมีองค์ความรู้ที่ถูกต้องในกระบวนการปรองดองและปราศจากอคติ 2.การปรองดองและการอยู่ร่วมกันอย่างสันตินั้น องค์กรของรัฐทุกองค์กรต้องยึดหลัก “นิติธรรม” ในการปฏิบัติหน้าที่และสิ่งที่ละเลยไม่ได้คือ “การให้อภัย” ซึ่งต้องเป็นไปในสองแนวทางคือ 1.ผู้ที่ได้ประโยชน์จากความขัดแย้งต้องเลิกคิดหาประโยชน์จากความขัดแย้ง ต้องไม่ย่ำยีผู้ที่เป็นเหยื่อของความขัดแย้งอีกต่อไป ส่วนผู้ที่ได้รับผลกระทบหรือเหยื่อของความขัดแย้งต้องปรับจิตใจตนเอง โดยยอมรับการให้อภัยต่อผู้ที่กระทำต่อตน 2.ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายต้องยอมรับในกระบวนการยุติธรรมที่จะนำไปสู่ความสมานฉันท์ นั่นคือการนำการให้อภัยไปสู่การปฏิบัติต่อไป 3.ต้องมีการค้นหาสาเหตุของความขัดแย้งเพื่อการยอมรับและนำไปสู่การแก้ปัญหา

4.การกำหนดคู่ขัดแย้งต้องไม่พิจารณาแบบอัตวิสัยเพื่อโทษบางคนบางกลุ่ม หรือมุ่งไปที่สองพรรคการเมืองใหญ่และกลุ่มอิทธิพลใหญ่คือ กลุ่มเสื้อเหลือง กลุ่มกปปส.หรือกลุ่มเสื้อแดง 5.กระบวนการในการสร้างความปรองดองต้องพิจารณาและยอมรับในสาเหตุร่วมกัน การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้เป็นไปตามหลักนิติธรรมและการหามาตรการเสริม “หลักนิติธรรม” เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคต 6.ควรจัดตั้ง “คณะกรรมการอิสระ” ที่มาจากทุกภาคส่วนมาเป็นผู้ดำเนินการในกระบวนการปรองดอง ต้องเปิดโอกาสให้นักวิชาการ สื่อมวลชน องค์กรภาคประชาชน และผู้ได้รับผลกระทบจากความขัดแย้งร่วมเสนอความคิดเห็นในเรื่องนี้ได้อย่างเสรี และผลสรุปของแนวทางการสร้างความปรองดองต้องเป็นข้อตกลงร่วมกันบนพื้นฐานของการคำนึงถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของมนุษย์อย่างเท่าเทียม ผูกพันกับหลักประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมที่เป็นสากล ไม่ใช่เกิดจากการบังคับด้วยอำนาจ

จากข้อเสนอ 6 ข้อของพรรคเพื่อไทยส่อเจตนาซ่อนเงื่อนไขต่อรองการสร้างความปรองดองภายใต้คำว่า “ให้อภัย” โดยมีเป้าหมายสำคัญที่แท้จริงคือต้องการให้มีการนิรโทษกรรมลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต และอาจจะรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นน้องสาวของนายทักษิณ และพวกที่ตกเป็นจำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นมูลค่าหลายแสนล้านบาท รวมทั้งเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

แต่ดูเหมือนว่าการส่งสัญญาณต่อรองเพื่อแลกกับการปรองดองของพรรคเพื่อไทยจะสวนทางกับคสช. ซึ่งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. แสดงจุดยืนชัดเจนมาหลายครั้งแล้วว่า การปรองดองจะไม่มีการพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรม และต้องยึดหลักกฎหมายเป็นที่ตั้ง ส่วนหากผู้กระทำผิดยอมรับโทษความผิดตามกฎหมายแล้วจะมีการผ่อนผันโทษหรือไม่อย่างไรค่อยมาพิจารณากัน

ขณะที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการการเมืองของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานได้เสนอร่าง พ.ร.บ.อำนวยการความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางสร้างความปรองดองในลักษณะถอยคนละก้าวเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อออกเป็นกฎหมายบังคับใช้ต่อไป โดยสาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้ตั้งคณะกรรมการ 11 คน ที่มีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษหรือให้ประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีในชั้นศาลและอัยการได้ อย่างไรก็ตาม จะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของกฎหมายอาญา หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง

เพราะฉะนั้นภายใต้สัญญาณปรองดองด้วยเงื่อนไขการให้อภัยของพรรคเพื่อไทยจึงเป็นปัญหาท้าทายทั้งต่อคสช. รวมทั้งมวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่ครั้งหนึ่งเคยออกมาชุมนุมแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เพื่อต่อต้านการหักดิบผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งนิรโทษกรรมโทษความผิดให้กับนายทักษิณเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้าจนนำไปสู่วิกฤตการณ์ทางการเมืองและจบลงด้วยการยึดอำนาจของคสช.มาแล้ว

 

โอ๊คยิ่งตอบโต้ยิ่งเข้าเนื้อ เก็บภาษีตระกูลชินส่อบานปลาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/260913

วันเสาร์ ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

หนุ่มโอ๊ค-พานทองแท้ ชินวัตร ไม่น่าจะออกอาการเหมือนสติแตกด้วยการตอบโต้กรณีที่รัฐบาลยุคปฏิรูปปราบโกงรู้ทันแก้เกมไม่ให้เสียค่าโง่การเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นจากตระกูลชินมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ก่อนที่คดีจะหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้ เพราะยิ่งตอบโต้ก็ยิ่งเข้าเนื้อ

นายพานทองแท้ โพสต์ในเฟซบุ๊คส่วนตัวมีใจความว่า การพิจารณาดำเนินการเอาผิดสามารถกระทำได้ 2 กรณีคือ กรณีที่ 1 ถ้าการที่คุณพ่อ (นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก)ขายหุ้นให้เมื่อ 8 ปีที่แล้ว ศาลพิจารณาว่าเป็นเรื่องการซื้อ-ขายจริงเท่ากับว่าหุ้นนั้นตกเป็นของตนเองแล้ว เมื่อซื้อมาที่ราคาต่ำขายไปราคาสูงกว่า เมื่อมีกำไรจากการขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯหากจะฟ้องร้องเรียกเก็บภาษีจากการขายหุ้นครั้งนั้นก็พอจะรับฟังได้ เพราะศาลได้ชี้ว่ามีการซื้อ-ขายกันจริง แต่หากพิจารณาออกมาในทางนี้ก็ถือว่าหุ้นดังกล่าวเป็นของตนเอง ไม่ใช่ของพ่อกรณีดังกล่าวก็จะยึดทรัพย์คุณพ่อ 46,000 ล้านบาท ไม่ได้นั่นคือกรณีที่ 1 ซึ่งมันไม่ได้เกิดขึ้นจริงเพราะศาลได้ตัดสินยึดทรัพย์คุณพ่อไปเรียบร้อยแล้ว

กรณีที่ 2 เรื่องที่เกิดขึ้นจริงเมื่อ 8 ปีที่แล้วที่ศาลพิจารณาว่าคุณพ่อไม่ได้ขายหุ้นนั้นให้กับตนเอง และตีความว่าหุ้นดังกล่าวนั้นยังคงเป็นของคุณพ่อผมอยู่ ศาลจึงได้ตัดสินให้ยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ไปตรงนี้แสดงว่า ในแนวทางการวินิจฉัยนั้นสรุปว่ามิได้มีการซื้อขายที่เป็นมูลเหตุให้ต้องเสียภาษีเลย ทรัพย์สินก็ถูกยึดไปตามจำนวนที่ศาลได้พิจารณาว่าเหมาะสมในการเอาผิดแล้ว เรื่องนี้มันจบไปเมื่อ 8 ปีที่แล้วได้มีคำตัดสินไปในแนวทางที่ไม่มีการซื้อ-ขาย ไม่มีการเรียกภาษีกันแล้ว และมีการเอาผิดไปเรียบร้อยแล้ว ด้วยการยึดทรัพย์ไปเป็นจำนวนมหาศาลถึง 46,000 ล้านบาท

อยู่ๆ มาวันนี้รัฐบาลยังต้องการเอาอะไรจากครอบครัวผมอีก ตกลงความหมายของคำว่าปรองดองในมุมมองของรัฐบาลนี้คือการทำลายล้างฝ่ายที่ถูกตัวเองยึดอำนาจมาให้สิ้นซาก กระทืบกันให้จมดินเพื่อจะได้เหลือแต่พวกเดียวกันจะได้ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น หรือการปรองดองหมายถึงการให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่ายเพื่อให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างสงบสุขกันแน่ครับ”

จากคำชี้แจงของ นายพานทองแท้ อาจสร้างความสับสนเข้าใจผิดซึ่งสังคมต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เพื่อไม่ให้ความจริงถูกบิดเบือนโดยในประเด็นแรก นายพานทองแท้ พยายามจะทำให้สังคมเชื่อว่าการซื้อ-ขายหุ้นที่ส่อไปในทางเป็นนิติกรรมอำพรางระหว่าง นายทักษิณ ให้กับตัวเองเป็นการซื้อ-ขายในตลาดหลักทรัพย์ฯซึ่งไม่ต้องเสียภาษี แต่ในความเป็นจริงก็คือรัฐบาลไม่ได้เรียกเก็บภาษีหุ้นที่ขายให้บริษัทเทมาเส็กในตลาดหลักทรัพย์ฯ แต่เป็นการเรียก เก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นที่มีการซ่อนกลเล่นแร่แปรธาตุระหว่างพ่อลูกตระกูลชินนอกตลาดหลักทรัพย์ฯก่อนที่จะขายให้เทมาเส็ก

โดย นายทักษิณ ได้เล่นแร่แปรธาตุขายหุ้นของตัวเองในคราบของบริษัทแอมเพิลริชซึ่งไปจดทะเบียนจัดตั้งอยู่ที่เกาะฟอกเงินบริติชเวอร์จิ้นให้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา คนละ 164.6 ล้านหุ้น หุ้นละแค่ 1 บาท ขณะที่ราคาหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯขณะนั้นสูงถึงหุ้นละ 49.25 บาท จึงเกิดส่วนต่างกำไรถึงหุ้นละ 48.25 บาท ซึ่งส่วนต่างกำไรจากการซื้อ-ขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯนี่ต่างหากที่ทางการเรียกเก็บภาษีเพราะถือเป็นรายได้พึงประเมิน ซึ่งคนไทยทั้งประเทศที่มีเงินได้พึงประเมินก็ต้องเสียภาษีเช่นเดียวกัน

ส่วนประเด็นเก่าซ้ำซากที่อ้างว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินยึดทรัพย์ 46,000 ล้านบาท ของ นายทักษิณ ไปแล้วยังจะมาเก็บภาษีอะไรกันอีก ซึ่งความจริงเป็นคนละเรื่องกันอย่างสิ้นเชิง เพราะที่ศาลฎีกาตัดสินยึดทรัพย์นั้นเป็นเรื่องที่ นายทักษิณ ถูกฟ้องร้องว่าร่ำรวยผิดปกติและยึดทรัพย์ นายทักษิณแค่ 46,000 ล้าน โดยไม่ได้แตะต้องทรัพย์สินที่เหลือของนายทักษิณ ที่คาดว่าจะมีหลายแสนล้านบาท อีกทั้งการยึดทรัพย์ นายทักษิณ ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องการเก็บภาษีจากการซื้อ-ขายหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯที่เกิดผลกำไรอันเป็นเงินได้พึงประเมิน

การที่ นายพานทองแท้ พยายามชักแม่น้ำทั้งห้าอ้างว่าการซื้อ-ขายหุ้นชินคอร์ปทำอย่างถูกต้องตามกฎหมายขอให้กลับไปดูคำตัดสินของศาลอาญาเมื่อวันที่ 28 ก.ค.2559 ในคดีดำ อท.43/2558 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรองอธิบดีกรมสรรพากร และอดีตรมช.คลัง ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ และข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรรวมทั้งบุคคลภายนอกอีก 4 คน ประกอบด้วย น.ส.จำรัส แหยมสร้อยทอง อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย น.ส.โมรีรัตน์ บุญญาศิริ อดีตผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย นายกริช วิปุลานุสาสน์ ผู้อำนวยการสำนักกฎหมาย น.ส.ปราณี เวชพฤกษ์พิทักษ์ คนใกล้ชิดและเลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร อดีตภรรยานายทักษิณ โดยศาลอาญาตัดสินให้ลงโทษจำเลยที่ 1-4 ฐานร่วมกันเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ราชการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ให้จำคุกคนละ 3 ปีส่วนจำเลยที่ 5 ให้จำคุก 2 ปี ฐานให้การสนับสนุน

สำหรับ นางเบญจา ในเวลาต่อมาได้รับการแต่งตั้งเป็นรมช.คลังยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์

ทั้งนี้คำพิพากษาศาลอาญาชี้ว่าจำเลยที่ 1-4 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานกรมสรรพากรปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อไม่ให้ นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทา ต้องเสียภาษีอากรหรือเสียภาษีน้อยกว่าที่จะต้องเสียและได้รับประโยชน์ที่มิควรโดยชอบด้วยกฎหมายจากการที่ นายพานทองแท้ และน.ส.พินทองทาซื้อหุ้นชินคอร์ปเมื่อปี 2549 คนละ 164.6 ล้านหุ้นราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดหุ้นละ 49.25 บาทถือได้ว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาเป็นผู้ได้รับเงินพึงประเมินตามประมวลรัษฎากรมาตรา 39 มีหน้าที่ต้องเสียภาษีส่วนต่างราคาหุ้นคนละ 7,941,950,000 บาท ซึ่งการกระทำนั้นทำให้กรมสรรพากร กระทรวงการคลังและราชการเสียหาย

จากคำพิพากษาของศาลอาญาที่ลงโทษขบวนการเอื้อประโยชน์ในการเรียกเก็บภาษีจากตระกูลชินดังกล่าวจึงน่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจน ส่วนข้อข้องใจของนายพานทองแท้ที่ว่ายังต้องการอะไรจากตระกูลชินอีกและสวนทางกับนโยบายปรองดองนั้น คำตอบก็คือรัฐไม่ได้ต้องการอะไรนอกจากเงินรายได้ของแผ่นดินกว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่ส่อถูกเบียดบังด้วยวิธีการเล่นแร่แปรธาตุทั้งๆที่ความจริงสมควรตกเป็นของแผ่นดินมานานแล้วและการเรียกเก็บภาษีอันชอบธรรมที่รัฐพึงได้ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องการสร้างความปรองดอง

ดังนั้นยิ่งนายพานทองแท้ยิ่งออกมาตอบโต้ก็ยิ่งเข้าเนื้อบานปลายเพราะล่าสุดนายแก้วสรร อติโพธิ อดีตกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ(คตส.) ออกมาจี้ให้รัฐบาลเรียกเก็บภาษีนายพานทองแท้และน.ส.พินทองทาอีก 2.2 หมื่นล้านบาท ในฐานะที่เป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริชเพราะมีรายได้ทั้งจากการซื้อ-ขายหุ้นรวมทั้งเงินปันผล

ทีมข่าวการเมือง

 

เสื้อแดงส่อบิดเบือนตีรวน ตั้งแง่ป่วนอุปสรรคปรองดอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/260724

วันศุกร์ ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

บรรดาแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงที่ไปร่วมเวทีเสนอความเห็นเพื่อสร้างความปรองดองที่กระทรวงกลาโหมเมื่อวันที่ 15 มี.ค.ที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงนั้นคือส่อเจตนาเล่นลิ้นตะแบงบิดเบือนและไม่จริงใจที่จะสร้างความปรองดองด้วยการเสนอข้อเรียกร้องที่เป็นไปไม่ได้

10 แกนนำเสื้อแดงที่ร่วมเวทีเสนอแนวทางสร้างความปรองดองนำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการกลุ่มเสื้อแดง นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานกลุ่มเสื้อแดง นพ.เหวง โตจิราการ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานกลุ่มเสื้อแดง นายนิสิต สินธุไพร นายธนาวุฒิ วิชัยดิษฐ นายศักดิ์ระพี พรหมชาติ นายอารี ไกรนรา นายก่อแก้ว พิกุลทอง และ นายเกริกมนตรี รุจโสตถิพัฒน์

แกนนำกลุ่มเสื้อแดงใช้สารพัดวาทกรรมสำนวนโวหารแบบฝ่ายซ้ายในอดีตอ้างข้อเสนอเกือบ 20 หน้า อาทิ การปรองดองจะเกิดได้ด้วยการสร้างประชาธิปไตยซึ่งสาเหตุของความขัดแย้งที่ดำรงอยู่ในสังคมอันยาวนานนั้นเกิดจากความขัดแย้งหลักระหว่างผู้ปกครองในคณะรัฐประหารกับผู้ถูกปกครองที่ต้องการระบอบประชาธิปไตย ส่วนความขัดแย้งรองเกิดจากการแย่งชิงผลประโยชน์และอำนาจของชนชั้นนำในฝ่ายอนุรักษ์นิยมและทั้งฝ่ายนักการเมืองจากการเลือกตั้งกับพรรคอนุรักษ์นิยมด้วยกันเอง สิ่งสำคัญคือเมื่อชนชั้นนำและพรรคการเมืองอนุรักษ์นิยมยังปรับตัวไม่ทันกับระบอบเสรีประชาธิปไตยและยังไม่ได้ชัยชนะในกติกาประชาธิปไตยจึงร่วมมือกับฝ่ายอนุรักษ์นิยมอื่นๆ รวมทั้งกองทัพทำรัฐประหารยึดอำนาจเสมอมา

สารพัดข้ออ้างแบบตีขลุมของกลุ่มเสื้อแดงเจตนาที่จะบอกว่า ตัวเองซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบแม้วคือฝ่ายประชาธิปไตย แต่ประชาธิปไตยถูกปล้นโดยฝ่ายที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยถือเป็นการส่อเจตนาบิดเบือนปกปิดอำพรางตัวตนที่แท้จริงของระบอบแม้ว ซึ่งเป็นต้นตอหลักของความแตกแยกในชาติตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมานั้น จากการที่ระบอบแม้วซึ่งเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมซึ่งเมื่อเป็นรัฐบาลใช้อำนาจทำสิ่งชั่วร้ายตามใจชอบอย่างย่ามใจ ทั้งโกงชาติปล้นแผ่นดินทุจริตคอร์รัปชั่นมโหฬาร และพยายามผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในระยะยาวถึงขั้นคิดเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศเป็น “รัฐไทยใหม่”ระบอบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอาศัยอำนาจรัฐและผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ ซื้อพรรคการเมือง ซื้อสส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศ ขณะเดียวกันพยายามแทรกแซงผลักดันคนของตัวเองเข้าไปยึดครององค์กรอิสระเพื่อรักษาผลประโยชน์ปกปิดความชั่วร้ายของตัวเอง ขณะเดียวกันมีความพยายามบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงจนทำให้มวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมขับไล่กลายเป็นวิกฤตการณ์จนเป็นชนวนให้กองทัพต้องยึดอำนาจในที่สุด

สำหรับพรรคเพื่อแม้วนั้นก็เป็นแค่พรรคตระกูลชินซึ่งเหล่าสส.เป็นแค่พนักงานบริษัทหาใช่ตัวแทนปวงชนอย่างแท้จริง โดยการตัดสินใจทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าของบริษัทเพียงคนเดียว

นอกจากนี้ในยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาศัยพวกมากหักดิบลักหลับผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่มีเป้าหมายแอบแฝงลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต เพื่อให้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาศาลอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิงจนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนออกมาชุมนุมแสดงพลังต่อต้านและขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบแม้วครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ถึงเกือบ 10 ล้านคน และนำไปสู่การรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในที่สุด

จากพฤติการณ์ของระบอบแม้วทั้งหมดที่กล่าวมาตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง แม้แต่กลุ่มเสื้อแดงซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของระบอบแม้วที่ผ่านมาเคยใช้ความรุนแรงสร้างสถานการณ์ก่อจลาจลทั่วกทม. บุกกระทรวงมหาดไทยหมายสังหารผู้นำประเทศที่มาจากการเลือกตั้งและบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี 2552 รวมทั้งร่วมก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองในปี 2553 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก อีกทั้งแกนนำกลุ่มเสื้อแดงเคยประกาศจุดยืนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศเป็นรัฐไทยใหม่ด้วยแก้ว 3 ประการคือพรรคการเมืองอันได้แก่ พรรคเพื่อแม้ว มวลชนคือกลุ่มเสื้อแดง และกองกำลังติดอาวุธใต้ดิน ซึ่งพฤติการณ์ทั้งหมดตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่กลุ่มเสื้อแดงพยายามอ้างอย่างสิ้นเชิง

กลุ่มเสื้อแดงนอกจากส่อเจตนาบิดเบือนอ้างตัวเป็นฝ่ายประชาธิปไตยแล้วยังยื่นเงื่อนไขในลักษณะหาเรื่องตีรวนด้วยการเรียกร้องให้คสช.เลิกมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว รวมทั้งยกเลิกคำสั่งและประกาศของคสช.ทั้งหมด จน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ออกมาสวนกลับว่าเป็นไปไม่ได้

ทั้งนี้นับตั้งแต่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศมาตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ได้ออกคำสั่ง ประกาศ และใช้มาตรา 44 ในการแก้ไขปัญหาของประเทศมาแล้วมากมาย จนบ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อย และหลายเรื่องเป็นประโยชน์ต่อเกษตรกรและคนยากจน อาทิ คำสั่งให้จ่ายเงินค่าจำนำข้าวมูลค่ามหาศาลซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์ค้างจ่ายชาวนาทั่วประเทศ หรือการทำให้คดีทุจริตสำคัญเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

ดังนั้นการที่กลุ่มเสื้อแดงเสนอแนวคิดที่ส่อเจตนาบิดเบือนและเป็นไปไม่ได้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนเป็นการกดดันตีรวนมากกว่าความจริงใจที่จะปรองดองในภาวะที่คนของตระกูลชินอยู่ในสถานหลังพิงฝาจากคดีทุจริตต่างๆ ที่กำลังทยอยนับถอยหลังสู่การชี้ชะตาโดยเฉพาะคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ซึ่งมี น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกเป็นจำเลยคนสำคัญ รวมทั้งสดๆ ร้อนๆ ก็คือคดีเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นที่อ้อยกำลังจะเข้าปากช้างเมื่อคดีจะหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้ แต่ถูกรัฐบาลชุดนี้รื้อฟื้นเพื่อเก็บภาษีกว่า 1 หมื่นล้านบาทจากคนตระกูลชินอันเป็นการรักษาผลประโยชน์ของแผ่นดิน

ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กก.คลังใครต้องรับผิดชอบ ส่อเกียร์ว่างป้องตระกูลชิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/260559

วันพฤหัสบดี ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นับเป็นอภินิหารที่มาช้าดีกว่าไม่มาทำให้รัฐรอดเสียค่าโง่วืดภาษีหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นมูลค่า 1.2 หมื่นล้าน ที่ต้องเก็บจากตระกูลชินไปอย่างหวุดหวิดก่อนที่คดีจะหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้ เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)มอบหมายให้ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯมือกฎหมายของรัฐบาลประชุมผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับปัญหาภาษีหุ้นชินคอร์ปจนในที่สุดก็พบช่องแก้ปัญหาคดีหมดอายุความพร้อมกับมีลุ้นได้ภาษี 1.2 หมื่นล้าน ซึ่งควรจะเป็นของแผ่นดินจากตระกูลชิน

พล.อ.ประยุทธ์ ยืนยันว่าไม่ใช่เรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมืองต่อคนตระกูลชินซึ่งก็เป็นเช่นนั้นเพราะปัญหาภาษีหุ้นชินคอร์ปยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2549 และถ้าจะว่าไปแล้ว หากเรื่องนี้นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีตสส. พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ออกมาเปิดประเด็นต่อสื่อ และ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่ออกมาดับเครื่องชนปกป้องผลประโยชน์ของรัฐด้วยการบี้กรมสรรพากรให้เลิกส่อพฤติการณ์เกียร์ว่าง ป่านนี้ดีไหมดีกว่าจะรู้ตัวคดีเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปอาจหมดอายุความไปแล้ว

ถ้าจะว่าไปแล้วรัฐบาลใจกว้างด้วยซ้ำที่ไม่ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว โดยปล่อยให้คดีเป็นไปตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมตามปกติทุกประการ

ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล แถลงละเอียดยิบว่าที่ประชุมครม.รับทราบแนวทางเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจาก นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก โดย ดร.วิษณุ รายงานว่า จากการประชุมหารือกับผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายเห็นพ้องให้ยึดตามคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางเมื่อปี 2555 ที่ตีความว่าการขายหุ้นชินคอร์ปของ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของ นายทักษิณ เป็นเพียงนอมินีของ นายทักษิณ จึงสั่งการให้กรมสรรพากรเรียกเก็บภาษีหุ้นจาก นายทักษิณ โดยหากมีการประเมินภาษีแล้ว นายทักษิณ ยังไม่ยอมจ่ายก็จะส่งเรื่องฟ้องต่อศาลตามกระบวนการปกติโดยจะไม่ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวแต่อย่างใด

พล.ท.สรรเสริญ ชี้แจงความเป็นมาของภาษีหุ้นชินคอร์ป 1.2 หมื่นล้าน สุดอื้อฉาวจนทำให้เห็นภาพการส่อเจตนาโกงภาษีของตระกูลชินชัดเจนมากขึ้นว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้ว นายทักษิณ ขายหุ้นชินคอร์ปให้กับบริษัทแอมเพิลริชซึ่งนายทักษิณ ไปจดทะเบียนไว้ที่หมู่เกาะฟอกเงินบริติชเวอร์จิ้น จากนั้นบริษัทแอมเพิลริชทำทีขายหุ้นชินคอร์ปให้ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ในราคาหุ้นละแค่ 1 บาท จำนวนคนละ 164.6 ล้านหุ้น จากนั้นไม่กี่นาทีต่อมา นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ได้ขายหุ้นที่ซื้อจากบริษัทแอมเพิลริชให้กับบริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้งส์ในราคาหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งต้องเสียภาษี แต่ทั้งสองไม่ยอมเสียภาษีทำให้กรมสรรพากรขณะนั้นต้องออกหมายเรียกซึ่งทั้งสองก็ไม่ยอมมาตามหมายเรียกจนมีการฟ้องต่อศาลภาษีอากรกลาง ซึ่งศาลมีคำพิพากษายกฟ้องการเรียกเก็บภาษีจาก นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทาเนื่องจากเห็นว่าทั้งสองเป็นเพียงนอมินีของ นายทักษิณ

เมื่อศาลระบุชัดว่าหุ้นชินคอร์ปเป็นของ นายทักษิณ จึงเปิดช่องทางให้ไปเรียกเก็บภาษีที่ นายทักษิณ โดยขั้นตอนจากนี้กรมสรรพากรต้องประเมินภาษีก่อนคดีหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งเมื่อประเมินภาษีแล้วถือว่าปัญหาอายุความ 10 ปีหมดไป จากนั้นกรมสรรพากรจะฟ้องร้องเพื่อเก็บภาษีจาก นายทักษิณ ต่อศาล ส่วนต่อไปจะเก็บภาษีได้หรือไม่ทุกอย่างอยู่ที่ดุลยพินิจของศาล

ส่วนอีกประเด็นหนึ่งที่สังคมให้ความสนใจและตั้งข้อสงสัยก็คือข้าราชการคนไหนบ้างที่จะต้องมีส่วนรับผิดชอบในการละเว้นปฏิบัติหน้าที่ปล่อยให้คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปเดินมาถึงจุดใกล้หมดอายุความจนรัฐเกือบต้องเสียค่าโง่ ประเด็นนี้คงต้องแยกเป็น 2 ช่วงคือ เหตุการณ์ในอดีตกับปัจจุบัน โดยเหตุการณ์ในอดีตข้าราชการคนไหนทำตัวดุจทาสรับใช้ตระกูลชินกำลังถูกกรรมตามเช็คบิลอยู่แล้ว โดยเมื่อวันที่ 28 ก.ค. 2559 ศาลได้อ่านคำพิพากษาให้ลงโทษจำคุกอดีตข้าราชการระดับสูงของกรมสรรพากรรวม 5 คนนำโดย นางเบญจา หลุยเจริญ อดีตรมช.คลังยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์คนละ 3 ปีฐานร่วมกันละเว้นการปฏิบัติหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อตระกูลชินให้ไม่ต้องเสียภาษีหุ้นชินคอร์ปทำให้รัฐสูญเสียผลประโยชน์มหาศาล

นั่นเป็นเรื่องของกรรมในอดีต แต่กรรมในปัจจุบันคนของกระทรวงการคลังต้องรับผิดชอบหรือไม่โดยเฉพาะ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากรและคณะกรรมการของกระทรวงการคลังที่ประชุมกันก่อนหน้านี้แล้วมีความเห็นยืนกรานกระต่ายขาเดียวว่า การเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากคนตระกูลชินจบแล้วเพราะไม่ได้มีการออกหมายเรียกภายใน 5 ปีซึ่งครบกำหนดไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2555 และไม่สามารถขยายเวลาออกหมายเรียกได้อีก ทั้งๆ ที่ สตง.ยืนยันว่าการเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปอย่าอ้างเรื่องหมายเรียกหมดอายุความไปแล้ว เพราะกรมสรรพากรสามารถใช้มาตรา 61 ของประมวลรัษฎากรเรียกเก็บภาษีได้ทันทีอยู่แล้ว

ที่สำคัญหากปัญหาเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปแก้ปัญหาอะไรไม่ได้แล้วอย่างที่กรมสรรพากรและข้าราชการกระทรวงการคลังกลุ่มหนึ่งอ้าง แล้วทำไมการหารือของตัวแทนจากหลายหน่วยงานครั้งล่าสุดที่ ดร.วิษณุ เป็นประธานถึงสามารถหาทางออกซึ่งไม่มีอะไรซับซ้อนนั่นคือ บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ ที่ถือหุ้นชินคอร์ป แท้ที่จริงแล้วคือนอมินีส่อเจตนาโกงภาษีรัฐ 1.2 หมื่นล้านบาท เพราะฉะนั้นสามารถประเมินภาษีและฟ้องร้องต่อศาลเพื่อเก็บภาษีจาก นายทักษิณได้

เพราะฉะนั้นข้าราชการกระทรวงการคลังหากเกียร์ว่างหรือส่อเจตนาปกป้องผลประโยชน์ตระกูลชินต้องรับผิดชอบ อย่างน้อยก็ไม่ควรอยู่ในอำนาจและมีโอกาสอยู่ในตำแหน่งสำคัญเพราะจะเป็นอันตรายต่อผลประโยชน์ของรัฐในอนาคต

ทีมข่าวการเมือง

คลังเฉื่อยทำรัฐคสช.เสียคน หวิดวืดเก็บภาษีหุ้นชิน1.2หมื่นล.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/260368

วันพุธ ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นี่ถ้าไม่ใช่เพราะมีกระแสกดดันไล่บี้โดยเฉพาะการออกมาดับเครื่องชนของนายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ไม่แน่กรณีการเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปอเรชั่นมูลค่า 12,000 ล้าน จากคนตระกูลชินซึ่งสมควรเป็นของแผ่นดินอาจวืดจากการที่คดีหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้

มหากาพย์คดีซุกส่อเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ปมูลค่า 12,000 ล้านบาท ยืดเยื้อมาตั้งแต่ปี 2549 ซึ่งสรุปความเป็นมาพอสังเขปได้ว่า นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เมื่อครั้งเรืองอำนาจส่อเจตนาวางแผนเล่นแร่แปรธาตุด้วยการไปจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแอมเพิลริชที่เกาะฟอกเงินบริติชเวอร์จิ้น แล้วโอนหุ้นชินคอร์ปมูลค่ามหาศาลไปเป็นของบริษัทแอมเพิลริช จากนั้นจัดฉากทำทีขายหุ้นชินคอร์ปจากบริษัทแอมเพิลริชให้กับ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาวของนายทักษิณ จำนวน 329 ล้านหุ้น ในราคาหุ้นละ 1 บาท ขณะที่ราคาในตลาดหุ้นละ 49.25 บาท จากนั้นบุตรชายและบุตรสาวทั้งสองที่เป็นนอมินีก็เทขายหุ้นชินคอร์ปลอตประวัติศาสตร์มูลค่า 73,000 ล้านบาท ให้บริษัทเทมาเส็กโฮลดิ้งส์ จำกัด

การเป็นนอมินีขายหุ้นชินคอร์ปของคนตระกูลชินเคยมีคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองให้ยึดทรัพย์สิน 46,000 ล้านบาทของ นายทักษิณ ฐานร่ำรวยผิดปกติโดยระบุชัดเจนตอนหนึ่งว่า หุ้นชินคอร์ปที่ นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ครอบครองอยู่นั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นของ นายทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร (ชินวัตร) ซึ่งต่อมา นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ได้ร้องเรียนขอให้ถอนการอายัดหุ้นชินคอร์ป แต่เนื่องจากเกิดปัญหาข้อกฎหมายว่า หุ้นชินคอร์ปที่บริษัทแอมเพิลริชของ นายทักษิณ ที่ทำทีเป็นขายให้บุตรทั้งสองในราคาแค่หุ้นละ 1 บาทนั้นถูก สตง.ในอดีตทักท้วงว่า จะต้องถูกเก็บภาษีส่วนต่างราคาซื้อขายหุ้นละ 1 บาทกับราคาในตลาดคือหุ้นละ 49.25 บาท ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ต้องเสียภาษีคิดเป็นมูลค่าราว 12,000 ล้านบาท แต่สามพ่อลูกตระกูลชินปฏิเสธที่จะจ่ายภาษี ขณะที่กรมสรรพากรภายใต้ยุคระบอบแม้วครองเมืองช่วยเหลือตระกูลชินสุดตัวไม่ให้ต้องเสียภาษีหุ้นชินคอร์ป จนมีการฟ้องร้องและในที่สุดศาลพิพากษาจำคุกอดีตผู้บริหารระดับสูงของกรมสรรพากรคนละ 3 ปีฐานเอื้อประโยชน์ต่อตระกูลชิน และคดีภาษีหุ้นชินคอร์ปยังคาราคาซังมาจนทุกวันนี้อย่างไม่น่าเชื่อ

แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าปัญหาภาษีหุ้นชินคอร์ป 12,000 ล้านบาท ที่ยืดเยื้อมานานจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.นี้อยู่แล้ว แต่กระทรวงการคลังโดยกรมสรรพากรยุคคสช.มัวไปทำอะไรอยู่ซ้ำการประชุมผู้บริหารกระทรวงการคลังโดยเฉพาะ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร ออกมายืนยันแบบกระต่ายขาเดียวส่อเจตนาจบเกมปิดทางเก็บภาษีตระกูลชิน โดยอ้างว่า กรมสรรพากรต้องแจ้งเตือนการเก็บภาษีต่อผู้ถือครองหุ้นภายใน 5 ปี ซึ่งครบกำหนดไปแล้วตั้งแต่วันที่ 31 มี.ค.2555 ดังนั้นจึงไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้

ทั้งที่ผู้ว่าฯสตง.เคยทักท้วงมาตลอดโดยยืนยันว่า กรมสรรพากรสามารถใช้อำนาจตามมาตรา 61 ของประมวลรัษฎากรเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจาก นายทักษิณ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้เลยทันทีโดยไม่ต้องออกหมายเรียกอย่างที่อ้างใดๆ ทั้งสิ้น แต่กรมสรรพากรกลับไปพูดเรื่องการออกหมายเรียกภายใน 5 ปีที่หมดอายุไปแล้วและอ้างว่าไม่สามารถขยายเวลาการออกหมายเรียกได้อีก

จากปัญหาที่ส่อเกียร์ว่างปิดทางเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลชิน นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง ส่อชิ่งเอาตัวรอดโดยอ้างว่า ที่ผ่านมาไม่เคยได้รับรายงานปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรมสรรพากร ทั้งๆ ที่การเก็บภาษีชินคอร์ปมูลค่าถึง 12,000 ล้านบาทเป็นเรื่องใหญ่ระดับนโยบาย แต่รัฐมนตรีกลับอ้างว่าไม่รู้เรื่องจนคดีใกล้จะหมดอายุความ

จากปัญหาเผือกร้อนหุ้นชินคอร์ปดีที่ล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ไหวตัวจึงเรียกประชุมผู้บริหารหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาทางออกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ป 12,000 ล้านบาท โดยล่าสุดมีรายงานข่าวว่าจากผลการประชุมหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องพบช่องทางเก็บภาษีตระกูลชินแล้วโดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 820 และ 821 รวมทั้งคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางในอดีต

สำหรับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 820 และ 821 มีเนื้อหาโดยสรุประบุถึงผลผูกพันทางกฎหมายและความรับผิดชอบในกรณีที่มีการถือครองกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินในลักษณะของตัวแทนหรือนอมินี

ส่วนคำพิพากษาของศาลภาษีอากรกลางในอดีตที่เคยระบุว่า นายพานทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไม่ใช่เป็นเจ้าของหุ้นตัวจริง แต่เป็นนอมินีของ นายทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนี้ก็สามารถเรียกเก็บภาษีโดยตรงกับ นายทักษิณ และคุณหญิงพจมาน ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 820 และ 821 โดยไม่ต้องไปห่วงเรื่องคดีหมดอายุความหรือเรื่องการออกหมายเรียกอีก เพราะที่ผ่านมากรมสรรพากรเคยออกหมายเรียก นายพายทองแท้ และ น.ส.พินทองทา ไปตรวจสอบแล้ว นั่นเท่ากับว่าทั้งสองซึ่งเป็นนอมินีของ นายทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน รับทราบและเข้าสู่กระบวนการเสียภาษีตามขั้นตอนของกฎหมายแล้ว

จากปัญหาเก็บภาษีหุ้นตระกูลชินที่หวิดจะวืดเพราะคดีหมดอายุความถือเป็นบทเรียนที่สะท้อนว่า ผู้นำรัฐบาลอย่าไว้ใจข้าราชการเป็นอันขาดเพราะหลายรัฐบาลเสียผู้เสียคนมานักต่อนักแล้วเพราะถูกข้าราชการเกียร์ว่างหรือวางยา

ทีมข่าวการเมือง

งานที่สำคัญกว่าตามจับธัมมชโย ต้องสังคายนาสำนักจานบิน-วงการสงฆ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/260213

วันอังคาร ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2560, 06.00 น.

แม้ว่าด้านหนึ่งฝ่ายรัฐจะล้มเหลวในการล่าตัวธัมมชโย อดีตเจ้าลัทธิธุรกิจขายบุญ แต่อย่างน้อยปฏิบัติการล้างอาณาจักรรัฐอิสระจานบินตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ปีที่แล้ว จากการออกหมายจับธัมมชโยในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรฐานพัวพันคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น แต่อีกด้านหนึ่งก็ถือว่าคุ้มค่าเพราะการดื้อดึงของธัมมชโยทำให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายมาจนปัจจุบันจนธัมมชโยต้องมีคดีเป็นชนักปักหลังนับร้อยคดีและเผยโฉมหน้าธาตุแท้ที่เห็นแก่ตัวของธัมมชโยที่ทำทุกอย่างล้วนเพื่อตัวเอง รวมทั้งเป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับที่ต้องหลบหนีหัวซุกหัวซุนไม่กล้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรม

ปฏิบัติการ 23 วัน ในการเข้าตรวจค้นสำนักจานบินทำให้เห็นตัวตนของอาณาจักรที่มีพฤติการณ์เป็นรัฐอิสระทำตัวเหิมเกริมอยู่เหนือกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม ไม่ยอมรับแม้แต่หมายจับที่ออกโดยศาลและไม่แยแสแม้แต่องค์กรปกครองสงฆ์อย่างชัดเจน โดยเหล่าพระและสาวกลัทธิตลอดจนกองกำลังใต้ดินพยายามขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งปฏิบัติตามหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อปกป้องธัมมชโยซึ่งเป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับตามคำสั่งของศาล

สำหรับอนาคตของ ธัมมชโย ณ วันนี้ถือว่ามืดสนิทโดยทางโลกถูกออกหมายจับและมีคดีเป็นชนักปักหลังนับไม่ถ้วนจนต้องหนีหัวซุกหัวซุนซึ่งหากถูกจับตัวได้เมื่อไหร่ก็ถูกจับเข้าคุกเมื่อนั้นซึ่งหมายถึงถูกจับสึกโดยปริยาย ส่วนทางสงฆ์นั้นก่อนหน้านี้ถูกถอดสมณศักดิ์กลายเป็นพระธรรมดา ขณะที่มหาเถรสมาคมมีมติรับเรื่องการสึก ธัมมชโย ไว้พิจารณาและดำเนินการตามขั้นตอนเรียบร้อยแล้ว

ขณะที่บรรดาแกนนำพระลัทธิต่างถูกดำเนินคดีกันถ้วนหน้าเช่นกันโดยเฉพาะ ทัตตชีโว ซึ่งเป็นผู้ทรงอิทธิพลในสำนักจานบินเทียบเท่า ธัมมชโย ทั้งถูกถอดถอนสมณศักดิ์และหนีหมายจับ ทำให้ขณะนี้ภายในสำนักจานบินบรรดาพระลัทธิต่างอยู่ในภาวะระส่ำระสายเหมือนงูไร้หัว และเริ่มมีความแตกแยกทางความคิดในภาวะวิกฤติศรัทธาใกล้ล่มสลาย

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) มองว่า การที่แกนนำพระสำนักจานบินยอมฝ่ายเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นภายในวัดแต่โดยดีนับเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้ต่ออำนาจรัฐอย่างสิ้นเชิงหลังทำตัวเป็นรัฐอิสระมานาน ซึ่งแม้ผลการตรวจค้นจะไม่พบตัว ธัมมชโยก็ตาม แต่สำนักจานบินก็สิ้นสภาพการเป็นรัฐอิสระที่ก่อนหน้านี้คิดต่อสู้ด้วยการวางแผนยั่วยุให้รัฐติดกับดักเกิดการปะทะจนมีผู้บาดเจ็บล้มตายหวังใช้เป็นข้ออ้างเครื่องมือทำลายความชอบธรรมของอำนาจรัฐเพื่อต่อรองให้ยุติการดำเนินคดีต่างๆ กับธัมมชโย และสำนักจานบิน

แต่หลังจากที่รัฐเอาจริงจนมีการถอดถอนสมณศักดิ์ของ ธัมมชโย และทัตตชีโว รวมทั้งเสนอเรื่องเข้าสู่การประชุมของมหาเถรสมาคม(มส.)จนมีมติรับพิจารณาเพื่อศึก ธัมมชโย และ ทัตตชีโว ได้สร้างความระส่ำระสายหวาดหวั่นและแตกแยกในหมู่แกนนำ
พระในสำนักจานบินเพราะกลัวการถูกลงโทษจะลามมาถึงตัว ทำให้บรรดาแกนนำพระในสำนักจานบินส่วนใหญ่ยอม
ยกธงขาวให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นแต่โดยดี

“บทสุดท้ายที่เป็นบทอวสานจบสิ้นทุกอย่างของธัมมชโยมาถึงและจบลงแล้ว ไม่มีโอกาสที่จะกลับมามีอำนาจเหนือวัดพระธรรมกายอีกต่อไป ซึ่งที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะการตัดสินใจที่ผิดพลาดอย่างมหันต์ของธัมมชโยเอง ซึ่งหากก่อนหน้านี้ยอมมอบตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแต่แรกอาจจะไม่เห็นบทอวสานของตัวเองเช่นวันนี้”

อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มของสองผู้ทรงอิทธิพลในสำนักจานบิน คือ ธัมมชโยและทัตตชีโว คงจะถึงบทอวสานต้องหนีคดีไปชั่วชีวิตอันชรา แต่ปัญหาสำคัญยิ่งกว่าก็คือการขุดรากถอนโคนอาณาจักรรัฐอิสระลัทธิธุรกิจขายบุญที่ผิดเพี้ยนจากแนวทางพุทธศาสนาไม่ให้ฟื้นคืนชีพกลับมาอีก โดยเริ่มจากผู้ที่จะมาเป็นเจ้าอาวาสสำนักจานบินคนใหม่จะต้องเป็นสงฆ์แท้ ซึ่งได้รับการคัดกรองแล้วว่า เคร่งครัดในพระธรรมวินัยและมีประวัติที่ใสสะอาดปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบตามแนวพุทธศาสนา ขณะเดียวกันสถานะของสำนักจานบินต้องทำวัดให้เป็นวัดไม่ใช่อาณาจักรรัฐอิสระที่อยู่เหนือกฎหมายและซ่อนสิ่งเลวร้ายโดยเฉพาะถูกสงสัยว่า เป็นแหล่งฟอกเงินใหญ่ที่สุดของประเทศและซ่อนขุมทรัพย์จำนวนมหาศาลที่ส่อไปในทางไม่ชอบมาพากลอีกต่อไป

นอกจากนี้จะต้องมีการสะสางพื้นที่ของสำนักจานบินกว่า 2,000 ไร่ ให้ชัดเจนว่าส่วนใดเป็นที่ธรณีสงฆ์ ส่วนใดเป็นของมูลนิธิและส่วนใดเป็นพื้นที่ซึ่งมีที่มาที่ไปส่อไปในทางฟอกเงินเล่นแร่แปรธาตุโดยเป็นกรรมสิทธิ์ของคนบางกลุ่มซึ่งสมควรมีการตรวจสอบเพื่อยึดเป็นของแผ่นดิน

ขณะเดียวกันต้องมีการสังคายนาวงการสงฆ์ทั้งระบบครั้งใหญ่ เพื่อให้ใสสะอาดไม่เป็นพุทธพาณิชย์รวมทั้งการปฏิรูปองค์กรสงฆ์ที่คอยกำกับดูแลพระนอกรีตให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

ทั้งนี้การสังคายนาสำนักจานบินและการปฏิรูปวงการสงฆ์ครั้งใหญ่ทั้งระบบหากจำเป็นต้องใช้ มาตรา 44 ก็ควรจะทำเพราะเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติและเป็นการแก้ปัญหาพุทธศาสนาที่เน่าเฟะเรื้อรังมานานอย่างยั่งยืนในระยะยาว

ทีมข่าวการเมือง

ปาหี่ธัมมชโยลอยนวล? ก่อวิกฤติศรัทธาดีเอสไอ-รัฐคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/260048

วันจันทร์ ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ช่วงนี้มีการแชร์ข้อความทางโซเชียลมีเดียวิพากษ์วิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐโดยเฉพาะกรมสอบสวนคดี(ดีเอสไอ)ว่อนไปหมดในปฏิบัติการ 23 วันที่ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอ ตำรวจและทหารหลายพันนาย ใช้งบประมาณไปจำนวนมาก และถึงกับใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวประกาศพื้นที่รอบสำนักจานบินเป็นเขตควบคุมพิเศษเพื่อตรวจค้นจับกุมตัวธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบินและพวก แต่ในที่สุดก็คว้าน้ำเหลวในการเข้าตรวจค้นครั้งสุดท้ายเพราะไม่พบร่องรอยธัมมชโยแม้แต่เงา

เสียงวิพากษ์วิจารณ์บางกระแสถึงกับตั้งข้อสังเกตว่า ปฏิบัติการเสียของในการจับ ธัมมชโย ครั้งนี้เป็นปาหี่มวยล้มต้มคนดูและอาจซ่อนไว้ด้วยเบื้องหลังแอบแฝง ซึ่งจะโทษเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนก็ไม่ได้ เพราะพฤติการณ์ของดีเอสไอและหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีหลายประเด็นที่ถูกตั้งข้อสงสัย

เพราะ ดีเอสไอนั้นพยายามเข้าตรวจค้นสำนักจานบินเพื่อจับ ธัมมชโย มาแล้ว 3 ครั้งตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย.ปีที่แล้ว
แต่ก็ล้มเหลวปล่อยให้สถานการณ์ยืดเยื้อบานปลายมาจนทุกวันนี้ โดยครั้งล่าสุดดีเอสไอรวมทั้งหน่วยงานของรัฐทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)และกองทัพต่างก็มั่นใจในการข่าวว่า ธัมมชโย ยังหลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักจานบินซึ่งแม้แต่ผู้นำอำนาจรัฐในทุกระดับต่างก็ออกมาให้สัมภาณ์อย่างมั่นใจว่า ธัมมชโย ยังอยู่ในสำนักจานบิน มิฉะนั้นเหล่าพระและสาวกคงไม่ออกมาขัดขวางการเข้าตรวจค้นของฝ่ายเจ้าหน้าที่อย่างเอาเป็นเอาตาย แต่แล้วผลการตรวจค้นกลับไม่พบ ธัมมชโย แม้แต่เงานั่นมองได้สองด้านนั่นคือ การข่าวของดีเอสไอและหน่วยงานของรัฐล้มเหลวไร้ประสิทธิภาพสิ้นเชิง หรืออีกด้านหนึ่งดีเอสไอหรือหน่วยงานของรัฐโชว์ปาหี่หาทางลงซื้อเวลาในการตามจับตัว ธัมมชโย ซึ่งหนีไปตั้งแต่แรกแล้ว

พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตรองผู้อำนวยการศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ถึงกับให้ความเห็นผ่านเฟซบุ๊คทำนองหมดศรัทธาในอำนาจรัฐโดยเฉพาะดีเอสไอที่ปล่อยให้ ธัมมชโย ลอยนวล ซึ่งจากนี้คงเลิกหวังที่จะเห็นรัฐจัดการ ธัมมชโย กับสำนักจานบินและส่วนตัวเชื่อแล้วว่าธัมมชโย มีอิทธิพลเหนือธรรมดาจริง

แม้แต่ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวถึงเสียงวิพากษ์วิจารณ์กรณีการตรวจค้นแล้วไม่พบตัว ธัมมชโยเป็นมวยล้มต้มคนดูว่า “เรื่องนี้ต้องให้ดีเอสไอเป็นผู้ตอบ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติและบูรณาการกำลังตามคำสั่ง รวมถึงวางแผนในการตรวจค้นติดตามจับกุม โดยพื้นที่ภายในวัดอยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่วนทหารอยู่ในพื้นที่รอบนอก ทหารไม่เห็นอะไร ส่วนถ้าถามว่าการตรวจค้นครบทุกพื้นที่ มีความละเอียดรอบคอบสมบูรณ์ตามที่วางแผนหรือไม่ ดีเอสไอต้องเป็นผู้ตอบ”

ขณะที่อีกด้านหนึ่งก็มีผู้ให้ความเห็นว่าปฏิบัติการค้นเพื่อจับ ธัมมชโย ครั้งนี้ถือว่าคุ้มเพราะสามารถเปิดโปงทำให้สังคมหูตาสว่างที่ได้เห็นธาตุแท้อันเลวร้ายของสำนักจานบินขึ้นอีกมากโข และแม้จะยังไม่สามารถจับตัว ธัมมชโย ได้ในขณะนี้ แต่ในทางโลก ธัมมชโย ก็ต้องหนีหลบซ่อนตัวไปตลอดชีวิตโดยมีหมายจับและคดีเป็นชนักปักหลังจำนวนมาก ส่วนในทางสงฆ์นั้นข้อเรียกร้องให้จับสึก ธัมมชโย ได้เข้าสู่กระบวนการของมหาเถรสมาคม(มส.)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

นอกจากนี้ยังมีการถอดถอนสมณศักดิ์ของ ธัมมชโย และ ทัตตชีโว ซึ่งถือเป็นตัวการสำคัญที่คุมอำนาจสำนักจานบิน

เช่นเดียวกับ นพ.มโน เลาหวณิช อดีตสาวกจานบินและเคยเป็นผู้ใกล้ชิด ธัมมชโย ให้ความเห็นเชิงปกป้องดีเอสไอว่า ทำดีที่สุดแล้วไม่ได้ล้มเหลว เพราะแม้จะไม่ได้ตัว ธัมมชโย แต่ขณะนี้ถือว่า ธัมมชโย หมดอนาคตแล้วอย่างสิ้นเชิงจากการถูกถอดสมณศักดิ์ เหลือเพียงรอถูกจับสึกส่วนสำนักจานบินก็รอวันล่มสลายโดยเชื่อว่าพระระดับแกนนำในสำนักจานบินไม่ได้ศรัทธาใน ธัมมชโย ทุกคน

อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าตราบใดที่ ธัมมชโย ยังลอยนวลและไม่ถูกจับสึกโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ฟื้นสำนักจานบินกลับมามีอิทธิพลอีกครั้งก็ยังมีอยู่ ซึ่งมีบทเรียนให้เห็นมาแล้วในอดีต เพราะการที่ ธัมมชโย และสำนักจานบินดำรงอยู่มานานถึง 47 ปี ถือว่าไม่ธรรมดา และไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอิทธพลของ ธัมมชโย และเครือข่ายและอิทธิพลของสำนักจานบินฝังรากลึกแทบจะทุกองคาพยพของประเทศทั้งในหมู่พรรคการเมือง หน่วยราชการ หรือแม้แต่ในวงการสงฆ์โดยเฉพาะมหาเถรสมาคมและพระชั้นผู้ใหญ่ทั่วประเทศ

นี่ล่าสุด พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ออกมาประกาศขึงขังที่จะตามจับตัว ธัมมชโย รอบใหม่โดยอ้างเบาะแสว่า ยังอยู่ภายในประเทศโดยหลบซ่อนตัวอยู่ในสถานที่บางแห่ง พร้อมอ้างว่าสาเหตุที่ไม่สามารถจับตัว ธัมมชโย ได้เพราะมีการทุบกำแพงสำนักจานบินหลบหนีไปช่วงวันที่ 16-18 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งการอ้างเช่นนี้หากเป็นจริงยิ่งเป็นการประจานความล้มเหลวของดีเอสไอ

ขณะที่ พล.ต.ท.ชาญเทพ เสสะเวช ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 อ้างการข่าวเช่นกันว่าขณะนี้ ธัมมชโย ยังหลบซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่ตำรวจภูธรภาค 1 โดยมีผู้มีอิทธิพลให้ที่พักพิง

การออกมาอ้างการข่าวแหล่งซ่อนตัวของ ธัมมชโย ทั้งของดีเอสไอและฝ่ายตำรวจถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการโชว์ดราม่าขายนิยายเรื่องใหม่หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้วในนิยายเรื่องแรก

จากความล้มเหลวในปฏิบัติการตรวจค้นและตามจับกุมธัมมชโยมาแล้วถึง 3 ครั้งจนยืดเยื้อข้ามปีคงไม่อาจปฏิเสธได้ว่าได้ทำลายความศรัทธาเชื่อถือก่อวิกฤติศรัทธาที่สาธารณชนจำนวนมากมีต่อหน่วยงานรัฐโดยเฉพาะดีเอสไอและอาจส่งผลต่อความศรัทธาต่อรัฐบาลรวมทั้งคสช.ในเรื่องอื่นๆ ด้วย จากการถูกมองว่าไร้ประสิทธิภาพหรือเป็นแค่การโชว์ปาหี่มวยล้มต้มคนดูทำให้คนผิดกลายเป็นคนถูก อีกทั้งทำให้รัฐหมดความชอบธรรมที่จะเข้าตรวจค้นสำนักจานบินอีกในครั้งต่อๆไป

ทีมข่าวการเมือง

วิกฤติศรัทธาปัญหาท้าทายคสช. ต้องเร่งโชว์ผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/259961

วันอาทิตย์ ที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

อีกแค่ 2 เดือนเศษก็จะครบรอบ 3 ปี ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ ซึ่งบทเรียในอดีตชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารประเทศไม่ว่าจะมาจากวิถีทางในหรือนอกระบอบประชาธิปไตยยิ่งอยู่นานก็ยิ่งเสื่อมและเกิดปัญหาวิกฤติศรัทธา ซึ่งกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้อำนาจพิเศษของคสช.จากที่เคยได้รับช่อดอกไม้เสียงสนับสนุนจากคนทั้งประเทศอย่างท่วมท้น แต่ปัจจุบันเริ่มเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อำนาจรัฐดังมากขึ้นเรื่อยๆ

อย่างไรก็ตาม เสียงวิพากษ์วิจารณ์มีทั้งการติเพื่อก่อเชิงสร้างสรรค์อย่างตรงไปตรงมาไม่มีเบื้องหลังเบื้องหลัง กับการออกมาเคลื่อนไหวโจมตีมุ่งบ่อนทำลายอำนาจรัฐของขบวนการที่มีเป้าหมายแอบแฝงทางการเมือง

การออกมาวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลโดยนักวิชาการขาประจำของ นายธีรยุทธ บุญมี อาจารย์จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และ นพ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส ถือเป็นเรื่องปกติเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งต่างจากการเคลื่อนไหวของพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณทั้งหลายที่มุ่งบ่อนทำลายรัฐด้วยการใช้สารพัดวิชามาร

คำวิพากษ์วิจารณ์ของสองนักคิดอาวุโสอาจมีทั้งส่วนที่ชัดเจนและเลื่อนลอยเป็นเรื่องธรรมดา แต่บางประเด็นก็ตรงกับความคิดของผู้คนจำนวนไม่น้อยโดยเฉพาะคำวิพากษ์วิจารณ์ของ นายธีรยุทธที่มองว่าเกือบ 3 ปี หลังการยึดอำนาจของคสช.ยังไม่สามารถสร้างผลงานการปฏิรูปประเทศให้เห็นเป็นรูปธรรมเป็นชิ้นเป็นอันทั้งๆ ที่มีอำนาจพิเศษอยู่ในมือ โดยเฉพาะการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นรัฐนาวาภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. เหมือนพายเรือในอ่าง ซึ่งหากยังเป็นเช่นนี้ต่อไปในที่สุดก็อาจเกยตื้นได้เมื่อเกิดวิกฤติศรัทธาในหมู่มหาชน

อย่างไรก็ตาม คำวิพากษ์วิจารณ์ของ นายธีรยุทธ บางประเด็นเกินเลยความจริง เพราะที่ผ่านมาอำนาจรัฐคสช.พยายามผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงรวมทั้งกฎหมายที่เกี่ยวข้องจนกระทั่งกำลังจะมีผลบังคับใช้ในเร็วๆ นี้ ซึ่งเป็นการวางกติกาพื้นฐานในการปฏิรูปประเทศป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่นในอนาคต ขณะเดียวกันที่ผ่านมามีการใช้มาตรา 44 ลงโทษข้าราชการระดับสูงและผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่ส่อทุจริตไปแล้วหลายราย รวมทั้งผลักดันคดีทุจริตสำคัญต่างๆ เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อาทิ โครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลชุดที่แล้วจนมีความคืบหน้าตามลำดับในการดำเนินคดีอาญาและฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดิน ตลอดจนมีการตั้งบุคคลผู้มีความน่าเชื่อถือเป็นที่ยอมรับมาเป็นคณะกรรมการควบคุมการจัดซื้อจัดจ้างโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐ อีกทั้งจากผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่า ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นแม้จะยังคงมีอยู่ แต่ก็ลดลงตามลำดับ

ขณะเดียวกันไม่อาจปฏิเสธได้เช่นกันเกี่ยวกับข่าวอื้อฉาวการทุจริตไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมของบุคคลที่เกี่ยวพันกับคสช. รัฐบาล หรือคนในแม่น้ำ 5 สาย หรือแม้แต่คนใกล้ชิดของผู้นำอำนาจรัฐเอง ซึ่งถือเป็นจุดอ่อนที่รัฐบาลจะต้องแก้ไขไม่ให้เกิดขึ้นซ้ำซาก

ขณะที่ นพ.ประเวศ มองว่าการสร้างความปรองดองในชาติที่ดำเนินการโดยอำนาจรัฐขณะนี้คงจะล้มเหลวเพราะขาดการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอย่างแท้จริง

นอกจากปัญหาการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นที่ยังไม่เห็นผลงานที่ชัดเจน การปฏิรูปประเทศที่ควรเห็นผลงานเป็นรูปธรรมก่อนการเลือกตั้งก็ยังคาราคาซัง อาทิ การปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา ขณะที่การปฏิรูปเพื่อลดความเหลื่อมล้ำในสังคมและการแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับฐานรากยังเป็นโจทย์ท้าทายสำหรับอำนาจรัฐคสช.

ผลงานเดียวที่เห็นชัดเป็นรูปธรรมสำหรับคสช.มากที่สุดก็คือการยุติสงครามกลางเมืองนองเลือดและทำให้ประเทศพ้นจากภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง รวมทั้งทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยตลอดช่วงเกือบ 3 ปีที่ผ่านมา

จากเสียงวิพากษ์วิจารณ์ของสองนักคิดอาวุโสอย่างน้อยก็เป็นเครื่องเตือนสติเชิงสร้างสรรค์จากกัลยาณมิตร ซึ่งอำนาจรัฐคสช.ควรเปิดใจกว้างหันกลับมาทบทวนแก้ไขจุดอ่อนปรับปรุงตัวเองและมุ่งหน้าสร้างผลงานการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ให้เห็นผลเป็นรูปธรรมเพื่อคืนความสุขให้ประชาชนอย่างที่ประกาศไว้ ซึ่งจุดอ่อนประการหนึ่งของอำนาจรัฐที่ผ่านมาคือขาดการประชาสัมพันธ์ผลงานที่ชัดเจนให้ประชาชนรับรู้เข้าใจอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง ซึ่งหากอำนาจรัฐยังทำงานแบบเดิมๆ จนถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าพายเรือในอ่างอาจนำไปสู่วิกฤติศรัทธาของมหาชนซึ่งเท่ากับการยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เสียของสูญเปล่า และที่อันตรายก็คือประชาชนจะหันกลับไปพึ่งพาระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันจะเป็นการนำพาประเทศกลับไปสู่วังวนแห่งวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายอีกครั้ง

ทีมข่าวการเมือง

จับตาสาง2คดีฉาวต้องดูตอนจบ พิสูจน์เอาจริงปราบโกงหรือแค่ปาหี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/259836

วันเสาร์ ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

นี่ถ้าไม่ใช่เพราะกระแสสังคมและสื่อคอยตีแผ่กดดัน 2 คดีสุดอื้อฉาวสินบนโรลส์-รอยซ์และอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์เปอเรชั่นมูลค่า 16,000 ล้านบาทอาจกลายเป็นคดีรัฐเสียค่าโง่หรือกลายเป็นไฟไหม้ฟางที่ทำให้รัฐสูญเงินแผ่นดินมหาศาล ขณะที่คนโกงชาติปล้นแผ่นดินลอยนวล

ทั้ง 2 คดีฉาวล้วนเกี่ยวพันกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก โดยคดีไม่จ่ายภาษีหุ้นชินคอร์ปที่ขายให้บริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2549 แต่เป็นความอัปยศเมื่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันกลับส่อพฤติการณ์ปล่อยปละละเลยไม่เรียกเก็บภาษีมูลค่า 16,000 ล้านบาท ซึ่งสมควรเป็นของแผ่นดินจนคดีกำลังจะหมดอายุความในวันที่ 31 มี.ค.นี้

นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รมว.คลัง เพิ่งจะตื่นมาออกโรงขึงขังสั่งให้ นายประสงค์ พูนธเนศ อธิบดีกรมสรรพากร หาช่องทางทุกวิถีทางเพื่อเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลชินให้ได้ แต่ก็แบะท่าหาทางลงโดยกล่าวว่า หากเก็บภาษีไม่ได้จริงๆ เพราะติดข้อกฎหมายก็ต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจได้อย่างชัดเจน โดยที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการวินิจฉัยภาษีอากรของกระทรวงการคลังเพิ่งจะประชุมหารือและได้ข้อสรุปทะแม่งๆ ที่เป็นสัญญาณชี้ว่า รัฐส่อวืดเสียค่าโง่ไม่สามารถเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจากตระกูลชิน ได้เพราะไม่ได้ออกหมายเรียกภายใน 5 ปี และขณะนี้การจะขยายเวลาออกหมายเรียกก็ทำไม่ได้เพราะกฎหมายกำหนดว่า การขยายเวลาออกหมายเรียกต้องให้คุณแก่ผู้เสียภาษี ไม่สามารถให้โทษกับผู้เสียภาษีได้

ขุนคลังยุครัฐบาลคสช. ยังทำทีสั่งตรวจสอบว่าจะต้องมีใครต้องรับผิดชอบหรือไม่กรณีที่ปล่อยให้คดีภาษีหุ้นชินคอร์ปยืดเยื้อจนใกล้หมดอายุความ ซึ่งหากพบว่าใครละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ก็จะดำเนินการลงโทษ

เรื่องการตรวจสอบเอาผิดกับข้าราชการที่อาจมีพฤติการณ์เอื้อประโยชน์ให้ตระกูลชินต้องดูกันต่อไป แต่ปัญหาสำคัญเฉพาะหน้าก็คือ คดีจะหมดอายุความในสิ้นเดือนนี้อยู่แล้วโดยมีเงินที่ควรตกเป็นของแผ่นดินมูลค่าถึง 16,000 ล้านบาท เป็นเดิมพัน ขณะที่กรมสรรพากรยังมะงุมมะงาหรา ซ้ำส่อท่าทีทะแม่งมาแต่แรกทำนองว่า กรณีหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินจบแล้วเพราะตามกฎหมายไม่สามารถเรียกเก็บภาษีได้

แต่ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กลับออกมาให้ความเห็นตีแสกหน้ากระทรวงการคลังโดยชี้ว่า กรมสรรพากรสามารถใช้อำนาจตามาตรา 61 ของประมวลรัษฎากรเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปจาก นายทักษิณ และผู้ที่เกี่ยวข้องได้ทันทีโดยไม่ต้องออกหมายเรียกอย่างที่อ้างใดๆ ทั้งสิ้น แต่กรมสรรพากรกลับไปพูดเรื่องการออกหมายเรียกภายใน 5 ปี ที่หมดอายุไปแล้วและอ้างว่าไม่สามารถขยายเวลาการออกหมายเรียกได้อีก จึงหมดทางเรียกภาษีจาก นายทักษิณ

กูรูอีกคนหนึ่งคือ นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล อดีตรมว.คลัง ให้ความเห็นยืนยันว่า รมว.คลังสามารถใช้อำนาจขยายเวลาออกหมายเรียกเก็บภาษีหุ้นชินคอร์ปได้ ตามมาตรา 3 อัฏฐ วรรคสองของประมวลรัษฎากรที่บัญญัติว่า “กำหนดเวลาต่างๆ ที่กำหนดไว้ในประมวลรัษฎากรนี้เมื่อรัฐมนตรีเห็นเป็นการสมควรจะขยายหรือเลื่อนกำหนดเวลานั้นออกไปอีกตามความจำเป็นแก่กรณีก็ได้”

มาทางด้านคดีสินบนโรลส์-รอยซ์เฟส 3 ช่วงปี 2547-2548 ยุครัฐบาลทักษิณซึ่งล่าสุดคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ขมีขมันหลังจากที่ก่อนหน้านี้ทำงานแบบยืมจมูกคนอื่นหายใจด้วยการรอรายงานลับผลการตรวจสอบสินบนโรลส์-รอยซ์ จากหน่วยปราบปรามทุจริต หรือป.ป.ช.ของอังกฤษถึงจะเดินหน้าตรวจสอบเพื่อหาไอ้โม่งนักการเมือง และผู้บริหารบริษัทการบินไทยที่งาบสินบนมาลงโทษ ล่าสุดหลังจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าเอาแต่ทำงานเชิงรับไม่คิดทำงานเชิงรุก ทำให้ ป.ป.ช.ชุดใหญ่มีมติตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวนคดีสินบนโรลส์-รอยซ์ในส่วนที่เกี่ยวกับ บริษัทการบินไทยแล้ว โดยคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่ทั้ง 9 คน ทำหน้าที่เป็นองค์คณะไต่สวนเอง โดยมี 3 กรรมการป.ป.ช.คือ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ นายสุรศักดิ์ ศรีวิเชียร และ พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง เป็นผู้รับผิดชอบสำนวนคดี

สำหรับผู้มีอำนาจขณะนั้นที่อยู่ในข่ายถูกเรียกมาสอบสวนในส่วนของรัฐมนตรีซึ่งเป็นนักการเมืองในช่วงปี 2547-2548 คือ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตรมว.คมนาคม นายวิเชษฐ์ เกษมทองศรี อดีตรมช.คมนาคม ส่วนคณะกรรมการบริหารบริษัทการบินไทยที่จะถูกเรียกมาสอบประกอบด้วย ดร.ทนง พิทยะ อดีตประธานคณะกรรมการบริหารบริษัทการบินไทย นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตรองประธาน พล.อ.อ.คงศักดิ์ วันทนา อดีตรองประธาน และกรรมการประกอบด้วย ดร.ชัยอนันต์ สมุทวณิช นายถิรชัย วุฒิธรรม นายชัชชัย สุมิตร ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายวิชิต สุรพงษ์ชัย พล.ต.อ.สันต์ ศรุตานนท์ นพ.สุชัย เจริญรัตนกุล ดร.โอฬาร ไชยประวัติ นายกนก อภิรดี นายวิโรจน์ นวลแข นายชาติศิริ โสภณพนิช

ทั้งนี้จากการเปิดเผยของ นายสรรเสริญ จากการตรวจสอบของป.ป.ช.ในเบื้องต้นรู้แล้วว่าใครคือคนกลางที่ประสานงานระหว่างตัวแทนบริษัทโรลส์-รอยซ์กับผู้บริหารและนักการเมืองของไทยที่พัวพันการรับสินบนโดยคนกลางคนดังกล่าวทำงานอยู่ในบริษัทเอกชน

แม้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ 2 คดีสุดอื้อฉาวคือคดีเลี่ยงภาษีหุ้นชินคอร์ปของตระกูลชินและคดีสินบนโรลส์-รอยซ์จะแสดงท่าทีขึงขังที่จะตรวจสอบเพื่อนำตัวคนโกงชาติปล้นแผ่นดินมาลงโทษ แต่สังคมคงต้องคอยติดตามจับตาตอนจบ เพราะในอดีตที่ผ่านมามีบทเรียนให้เห็นมานักต่อนักโดยเริ่มต้นเป็นลำไม้ไผ่ แต่พอเหลาลงไปกลายเป็นบ้องกัญชาเสียฉิบ กลายเป็นมวยล้มต้มคนดูหรือกลายเป็นคดีคลื่นกระทบฝั่งจับมือใครดมไม่ได้ตามเคย

ทีมข่าวการเมือง