ขบวนการสมคบคิด? วินาศกรรม7จังหวัดใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/231887

วันพุธ ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

การแถลงข่าวครั้งล่าสุดความคืบหน้าคดีก่อวินาศกรรมระเบิดและเผา 7 จังหวัดภาคใต้ ของ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ทำให้เริ่มเห็นเค้าลางเบื้องหลังขบวนการทำลายชาติชัดมากขึ้นเรื่อยๆ

พล.ต.อ.จักรทิพย์ พยายามชี้ว่าขบวนการทำลายชาติเป็นขบวนการใหญ่ที่มีการวางแผนอย่างมืออาชีพ โดยมีจำนวนกว่า 20 คน โดยส่วนหนึ่งเป็นฝีมือโจรใต้รุ่นใหม่ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลามและมีภูมิลำเนาอยู่ใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ คือ ยะลา ปัตตานี นราธิวาส

ก่อนหน้านี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ฟันธงว่าแรงจูงใจในการก่อวินาศกรรมเชื่อมโยงกับผลการลงประชามติซึ่งประชาชนเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง อย่างไรก็ตามก็ไม่ได้ตัดประเด็นเรื่องการขยายปฏิบัติการนอกพื้นที่ของโจรใต้ และอีกประเด็นหนึ่งก็คือเป็นขบวนการตามทฤษฎีสมคบคิดที่มีการจ้างโจรใต้รุ่นใหม่กลุ่มหนึ่งมาก่อเหตุ ซึ่งเบาะแสสำคัญที่กำลังมีการตรวจสอบก็คือเส้นทางการเงิน 4.5 ล้านบาท ที่ถูกต้องข้อสงสัยว่าจะเป็นท่อน้ำเลี้ยงที่ส่งจากผู้บงการมายังตัวประสานกับกลุ่มปฏิบัติการก่อวินาศกรรม

พล.ต.อ.จักรทิพย์ ยังกล่าวเป็นนัยว่าขณะนี้จับตาอดีตสส.กลุ่มวาดะห์ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอิทธิพลในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และย่อมรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความั่นคง ซึ่งเป็นศูนย์รวมรายงานข่าวกรองเชิงลึกทั้งหมดยังคงมั่นใจว่า เหตุการณ์ลอบก่อวินาศกรรม 7 จังหวัดใต้ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

เมื่อเป็นเช่นนี้จึงทำให้น่าเชื่อว่าทฤษฎีสมคบคิดระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าที่จ้างกลุ่มโจรประเภทมือปืนรับจ้างทั้งจากนอกประเทศ หรือในประเทศมาก่อวินาศกรรมจึงมีความเป็นไปได้มาก ซึ่งเรื่องราวจะกระจ่างหากสามารถจับกุมตัวละครในขบวนการก่อวินาศกรรมได้บางคนซึ่งจะสามารถขยายผลไปสู่ตัวจอมบงการ

ทั้งนี้ขบวนการสร้างสถานการณ์บ่อนทำลายชาติเป็นขบวนการใหญ่ที่มีการวางแผนมาเป็นอย่างดีตั้งแต่ช่วงก่อนการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และคำถามพ่วงโดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคใต้มีการติดป้ายผ้าและพ่นสีเปรย์ข้อความโหวตโน พร้อมกับมีการแพร่ข้อความบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญทางโซเชียลมีเดียโดยสื่อเสื้อแดงว่าร่างรัฐธรรมนูญให้ความสำคัญกับศาสนาพุทธมากกว่าศาสนาอื่นรวมทั้งอิสลาม ส่งผลให้ผลการลงประชามติในจังหวัดชายแดนภาคใต้ผลคะแนนไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญมีมากกว่าคะแนนเห็นชอบ

ความจริงปฏิบัติการด้วยวิธีการสมคบคิดมีเบาะแสว่าเคยเกิดขึ้นมาแล้วทั้งเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง
ปี 2553 ระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ ระเบิดที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหง หรือระเบิดห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

ที่สำคัญหากพิจารณาแรงจูงใจและเงื่อนเวลาในการก่อวินาศกรรม 7 จังหวัดภาคใต้ ไม่กี่วันหลังการทำประชามติพบว่าเป็นการประท้วงผลการทำประชามติ รวมทั้งต้องการบ่อนทำลายเศรษฐกิจการท่องเที่ยว ความมั่นคงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลที่กำลังเข้มแข็งมากขึ้นเรื่อยๆ ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศซึ่งเป็นผลร้ายอย่างใหญ่หลวงต่อความอยู่รอดของกลุ่มอำนาจเก่าที่กำลังพ่ายแพ้ในทุกแนวรบ

ทีมข่าวการเมือง

คสช.ถอดชนวนระเบิดเวลา ดับปมร้อนสว.หักดิบเลือกนายกฯคนนอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/231716

วันอังคาร ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ปมร้อนความเคลื่อนไหวของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กลุ่มหนึ่ง อาทิ พล.อ.นพดล อินทปัญญานายวันชัย สอนสิริ นายทวีศักดิ์สูทกวาทิน ที่ออกมาจุดกระแสเสนอให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีสิทธิ์เสนอชื่อและร่วมโหวตเลือกนายกฯในการประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกจนถูกกระแสต่อต้านจากบรรดาพรรคการเมืองต่างๆ หรือแม้แต่ในหมู่สมาชิกสนช.ด้วยกันเอง จนอาจกลายเป็นระเบิดเวลาทางการเมืองจากการจุดกระแสให้เกิดการลุกฮือถึงขนาดเกิดเสียงร่ำลือว่าเสี่ยงที่จะเป็นชนวนกลายเป็นพฤษภาทมิฬภาคสอง

ล่าสุด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณรองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และหนึ่งในแกนนำคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องออกมาถอดชนวนระเบิดเวลาโดยย้ำว่า สว.คงเสนอชื่อนายกฯไม่ได้เพราะต้องทำตามขั้นตอนของรัฐธรรมนูญ นอกเสียจากกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเสนอชื่อนายกฯได้ไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตาม จึงเปิดโอกาสให้ สว.เสนอชื่อเพื่อหานายกฯคนนอกได้แต่โดยหลักการต้องให้เป็นหน้าที่ของสส.ในการเสนอชื่อนายกฯก่อน โดยสว.ร่วมโหวตด้วยเท่านั้น

“เป็นไปไม่ได้ที่สว.จะเสนอชื่อนายกฯได้เลย ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย ปัญหาที่เกิดขึ้นน่าจะเป็นเรื่องเข้าใจผิดมากกว่า”

ขณะที่ นายพีระศักดิ์ พอจิตรองประธานสนช. ยืนยันว่าจากการหารือจะไม่มีการแก้ไขเพิ่มเติมร่างรัฐธรรมนูญที่ขัดต่อเจตนารมณ์ของคำถามพ่วงที่ผ่านการทำประชามติมาแล้ว โดยกระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีจะเป็นไปตามขั้นตอนโดยเริ่มจากสภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เสนอชื่อและให้ความเห็นชอบ แต่หากไม่สามารถหาตัวนายกรัฐมนตรีได้ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามจึงมาถึงขั้นตอนที่สอง ซึ่ง สว.มีสิทธิ์ที่จะเสนอชื่อ รวมทั้งร่วมโหวตเลือกนายกฯได้ อย่างไรก็ตาม หากจะตีความว่าสว.ไม่มีสิทธิ์เสนอชื่อไม่ว่าขั้นตอนไหนสุดท้ายก็คงไปจบที่ศาลรัฐธรรมนูญอยู่ดี

จากท่าทีของ พล.อ.ประวิตร ก็น่าจะการันตีปิดประตูแนวคิดที่จะดันทุรังให้สว.มีสิทธิ์เสนอชื่อและร่วมโหวตนายกฯตั้งแต่การประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรก ซึ่งนักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่าเป็นการตัดสินใจเดินเกมที่ถูกต้องของคสช. เพราะเรื่องการบิดเบือนเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและเจตนารมณ์ตามผลประชามติถือเป็นเรื่องอ่อนไหวที่ฝ่ายตรงข้ามคสช.และรัฐบาลสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการจุดชนวนระเบิดเวลาได้ง่ายและชอบธรรม

การจะทำอะไรก็ตามต้องคำนึงถึงความพอดี การที่จะตะแบงดันทุรังในลักษณะได้คืบเอาศอกหักด้ามพร้าด้วยเข่าในเรื่องที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของคนหมู่มากอาจทำให้คสช.และรัฐบาลพังเอาง่ายๆ ซึ่งแม้แต่ในหมู่สนช.หรือแนวร่วมกองเชียร์คสช.และรัฐบาลจำนวนไม่น้อยก็ยังส่ายหน้าและเกรงว่านายกฯลุงตู่จะเสื่อมเพราะคนแวดล้อม

ทีมข่าวการเมือง

ปมให้สว.เสนอชื่อ-ร่วมโหวตนายกฯ คงต้องจบที่ศาลรัฐธรรมนูญ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/231526

วันจันทร์ ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ปมปัญหาที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)บางคนพยายามออกมาจุดประเด็นเสนอให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.) มีสิทธิ์เสนอชื่อและร่วมกับสส.ในการโหวตนายกฯคนใหม่หลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้ากำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ต้องจับตา เพราะอาจกลายเป็นระเบิดเวลาที่ถูกจุดชนวนเพื่อให้เกิดวิกฤตการณ์ทางการเมืองในอนาคต โดยไม่เพียงถูกต่อต้านจากบรรดาพรรคการเมือง แม้แต่ในหมู่สนช.ก็มีความเห็นที่ขัดแย้งกัน

นายทวีศักดิ์ สูทกวาทิน สมาชิกสนช. ยังคงยืนยันในแนวคิดให้สว.มีสิทธิ์ร่วมกับสส.ในการโหวตเลือกนายกฯได้ตั้งแต่แรกเมื่อมีการประชุมร่วมกันของสส.และสว. ซึ่งถือว่าไม่ขัดต่อเจตนารมณ์ของคำถามพ่วงที่ผ่านการทำประชามติระบุชัดเจนว่า ให้รัฐสภาซึ่งหมายถึงสส.และสว.พิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกฯ ขณะที่สนช.บางคนถึงกับเสนอให้สว.สามารถทั้งเสนอชื่อและร่วมโหวตเลือกนายกฯตั้งแต่วาระเริ่มแรก

แต่ นายวัลลภ ตังคณานุรักษ์ หรือ “ครูหยุย” สมาชิกสนช. กลับมองว่า คำถามพ่วงเขียนไว้ชัดเจนว่าสส.และสว.ร่วมกันเลือกนายกฯ ดังนั้นต้องเปิดประชุมรัฐสภาแล้วให้พรรคการเมืองเสนอตัวบุคคลที่สมควรเป็นนายกฯแล้วโหวตร่วมกัน ใครได้เสียงข้างมากก็เป็นนายกฯ แต่หากเมื่อพ้นขั้นตอนการเลือกนายกฯจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองไปแล้วยังหาข้อยุติไม่ได้เพื่อให้ประเทศมีทางออกก็ให้พรรคการเมืองเสนอชื่อบุคคลที่เหมาะสมเป็นนายกฯใหม่เพื่อลงมติ ซึ่งสว.ไม่มีสิทธิเสนอชื่อนายกฯเพราะคำถามพ่วงกำหนดให้รัฐสภาร่วมกันเลือกนายกฯเท่านั้น ไม่ได้มีคำว่าให้มีส่วนร่วมในการเสนอชื่อ

ด้าน นายถาวร เสนเนียม อดีตแกนนำ กปปส. กล่าวถึงข้อเสนอให้สว.มีสิทธิเสนอชื่อรวมทั้งร่วมโหวตเลือกนายกฯตั้งแต่รอบแรกในการสรรหาตัวนายกฯว่า ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 272 บัญญัติให้สิทธิ์สส.เสนอผู้เหมาะสมเป็นนายกฯตามบัญชีที่พรรคการเมืองเสนอชื่อก่อน หากเลือกไม่ได้จึงเข้าสู่ขยักสองที่ให้สว.สามารถร่วมโหวตเลือกนายกฯได้ หากจะเสนอให้สว.มีสิทธิเลือกนายกฯได้ตั้งแต่รอบแรกจะเป็นการทำผิดเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่ผ่านการทำประชามติ

อดีตแกนนำกปปส. ฝากเตือนสนช.บางคนที่พยายามเอาอกเอาใจใครก็แล้วแต่ ควรสงวนท่าทีต่อสังคมไว้บ้าง เพราะหากทำอะไรที่เกินพอดีเกรงว่าผลที่ออกมาจะไม่เป็นผลดีต่อการทำงานใหญ่เพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศ

จากปมร้อนแนวคิดที่จะให้สว.มีสิทธิเสนอชื่อและร่วมโหวตเลือกนายกฯตั้งแต่แรก นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)แนะว่าหากมีปัญหาข้อถกเถียงก็ควรจบด้วยการส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความเพื่อให้ได้ข้อยุติที่ชัดเจน อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นทั้งสนช.และกรธ.ไม่ควรดิ้นรนจนเกินพอดีเพราะอาจเสียไม่คุ้มได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีงานใหญ่สำหรับชาติบ้านเมืองที่สำคัญรออยู่อีกมาก

ทีมข่าวการเมือง

อำนาจเก่าเลือดเข้าตาเปิดศึกใต้ดิน เบื้องหลังวินาศกรรมทำลายชาติ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/231365

วันอาทิตย์ ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

หลังการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และคำถามพ่วงเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยมหาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศแสดงฉันทามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงและคำถามพ่วงด้วยคะแนนเสียงขาดลอยจนถือเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนได้สร้างความผิดหวังคั่งแค้นต่อขบวนการกลุ่มอำนาจเก่าถึงกับออกมาแสดงท่าทีส่อขี้แพ้ชวนตีไม่ยอมรับผลการทำประชามติและส่อเจตนาข่มขู่กดดันในทำนองว่าวิกฤติและหายนะชาติจะตามมาในอนาคต

ข้อน่าสังเกตก็คือหลังรู้ผลการทำประชามติ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ส่อเจตนาไม่ยอมรับผลประชามติด้วยการให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติว่า รัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติทำให้ไทยถอยหลังห่างจากเส้นประชาธิปไตยและผลประชามติไม่เป็นไปตามมาตรฐานสากลเพราะการแสดงความเห็นต่อร่างรัฐธรรมนูญก่อนลงประชามติไม่อิสระและยุติธรรม ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง กล่าวเชิงข่มขู่ทำนองว่า ร่างรัฐธรรมนูญที่ผ่านการทำประชามติจะนำไปสู่วิกฤติและสร้างความหายนะให้กับประเทศในอนาคต

หลังเพิ่งผ่านการลงประชามติซึ่งขบวนการจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงพ่ายแพ้อย่างยับเยินเพียง 4 วัน ก็เกิดเหตุร้ายบ่อนทำลายความสงบของประเทศโดยมีการก่อวินาศกรรมวางระเบิดและวางเพลิงใน 7 จังหวัดท่องเที่ยวสำคัญในภาคใต้ในเวลาไล่เลี่ยกันประกอบด้วย อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ จ.ตรัง จ.พังงา จ.นครศรีธรรมราช และจ.สุราษฎร์ธานี ทำให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีกเกือบ 40 ราย สะท้อนให้เห็นเจตนาหวังบ่อนทำลายเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติเหมือนเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นในอดีต

ด้วยแรงจูงใจและเงื่อนเวลาของการลอบก่อวินาศกรรมชัดเจนว่าเป็นการวางแผนอย่างเป็นขบวนการโดยเหตุการณ์เกิดขึ้นหลังการทำประชามติเพียง 4 วันโดยผลจากการก่อวินาศกรรมก็คือมุ่งสร้างความระส่ำระสายและความหวาดกลัวทำลายเสถียรภาพความน่าเชื่อถือของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ตลอดจนทำลายเศรษฐกิจและความั่นคงของชาติโดยเฉพาะการท่องเที่ยวซึ่งเป็นตัวสร้างรายได้หลักให้กับประเทศขณะนี้ ขณะที่ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดงานใหญ่คือวันท่องเที่ยวโลกปลายเดือนก.ย.นี้ ซึ่งจะมีตัวแทนจากทั่วโลกมาร่วมงานครั้งนี้

การลอบวางระเบิดในหลายจังหวัดที่เกิดขึ้นแน่นอนว่าไม่ใช่เหตุการณ์บังเอิญโดยผู้ได้ประโยชน์จากเหตุร้ายครั้งนี้ก็คือฝ่ายที่ต้องการบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาล และน่าจะเป็นฝ่ายที่สูญเสียอำนาจและผลประโยชน์จนอยู่ในสภาพใกล้ล่มสลายจากกติกาใหม่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่และการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ

เหตุการณ์ระเบิดป่วนเมืองที่เกิดขึ้นทำให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ถึงกับสาปแช่งพวกที่ก่อเหตุว่าไม่หวังดีทำลายชาติบ้านเมืองและถือว่าไม่ใช่คนไทย พร้อมสั่งล่าตัวขบวนการชั่วร้ายให้ได้ ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ถึงกับเหลืออดประณามว่าเป็นฝีมือของพวกระยำ และเชื่อว่าเกี่ยวข้องกับผลการลงประชามติ

ขบวนการวินาศกรรมป่วนเมืองครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกหลังจากที่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.2557 โดยเครือข่ายกลุ่มอำนาจเก่าก่อเหตุวินาศกรรมระเบิดป่วนเมืองมาแล้วหลายครั้งรวมทั้งเชื่อว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์ ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก รวมทั้งเหตุการณ์ระเบิดที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย และเผาสหกรณ์โคออป จ.สุราษฎร์ธานี

และหากย้อนกลับไปทบทวนอดีตขบวนการอำนาจเก่า เคยก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาหวังนำไปสู่สงครามกลางเมืองเมื่อปี 2552 และในปีถัดมาก็สร้างสถานการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองปี 2553 โดยครั้งนั้นใช้กองกำลังติดอาวุธยิงถล่มด้วยกระสุนระเบิดมุ่งเป้าหมายวัดพระแก้ว ขณะที่กองกำลังเสื้อแดงเหิมเกริมถึงขนาดบุกสภากาชาดไทยและโรงพยาบาลจุฬาฯ ทั้งๆ ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ทรงรักษาอาการพระประชวรอยู่จนมีกระแสรับสั่งให้เคลื่อนย้ายสมเด็จพระสังฆราชไปรักษาอาการพระประชวรที่โรงพยาบาลศิริราชเป็นการชั่วคราว ตลอดจนอพยพผู้ป่วยออกจากโรงพยาบาลจุฬาฯอย่างอลหม่าน

จากหลักฐานลักษณะของส่วนประกอบระเบิดแสวงเครื่องซึ่งพบในที่เกิดเหตุหลายจุดแม้จะทำให้เกิดข้อสันนิษฐานว่าอาจจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มโจรใต้ แต่จากแรงจูงใจรวมทั้งการข่าวความเคลื่อนไหวของขบวนการที่จ้องก่อวินาศกรรมซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงรู้มาคร่าวๆ ก่อนหน้านี้ก็คือกลุ่มอำนาจเก่ามีการนัดพบว่าจ้างกลุ่มโจรใต้ประเภทมือปืนรับจ้างบางกลุ่มเพื่อเตรียมก่อเหตุ

เพราะฉะนั้นที่ต้องจับตาและน่าวิตกก็คือขบวนการกลุ่มอำนาจเก่าที่ขณะนี้กำลังอยู่ในภาวะหลังพิงฝาเลือดเข้าตาในทุกแนวรบคงจะไม่ยอมรามือบ่อนทำลายประเทศแน่นอน เพียงแต่รอคอยโอกาสก่อเหตุร้ายรอบใหม่ที่อาจลับลวงพรางซับซ้อนรุนแรงยิ่งกว่าตราบใดที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่ตัวเองต้องการ

ทีมข่าวการเมือง

แกะรอย17แก๊งแดงหลงยุค คิดเปลี่ยนแปลงการปกครองปท.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/231287

วันเสาร์ ที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

การที่ฝ่ายทหารเข้าแจ้งความกับกองบังคับการกองปราบปรามจับกุมดำเนินคดีกับผู้ต้องสงสัย 17 คนที่สังคมสับสนเพราะเข้าใจว่ามีส่วนพัวพันกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมระเบิดและวางเพลิงใน 7 จังหวัดภาคใต้ก่อนหน้านี้ แต่ทำไปทำมากลายเป็นคนละเรื่องเดียวกัน โดยทั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง รวมทั้ง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติต่างยืนยันว่า การจับกุม 17 ผู้ต้องสงสัยไม่เกี่ยวกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมป่วน 7 จังหวัดภาคใต้

ทั้งนี้ ผู้ต้องสงสัยทั้ง 17 คน ทั้งหมดถูกตั้งข้อหาเบื้องต้นเข้าข่ายเป็นอั้งยี่ซ่องโจร และบางคนถูกตั้งข้อหามีอาวุธสงครามไว้ในครอบครองเพราะมีการตรวจค้นพบ อาวุธสงครามคือปืนเอชเค 47 1 กระบอกภายในบ้านพัก

ความสับสนที่เกิดขึ้นเกิดจากการที่เจ้าหน้าที่หน่วยงานด้านความมั่นคงดันมาจับกุมดำเนินคดี 17 ผู้ต้องสงสัยในช่วงที่เพิ่งเกิดเหตุการณ์วินาศกรรมระเบิดและวางเพลิงป่วน 7 จังหวัด ภาคใต้ทำให้เกิดการคาดเดากันไปต่างๆ นานา

ผู้ต้องสงสัยทั้ง 17 คนมีภูมิลำเนากระจายอยู่ในทั่วทุกภาคของประเทศและเกือบทั้งหมดเป็นผู้สูงวัยอายุ 50 ปีขึ้นไปโดยผู้มีอายุสูงสุดคือ 71 ปี ซึ่งเป็นช่วงวัยในยุคที่ลัทธิคอมมิวนิสต์แพร่ระบาดเข้ามาในประเทศกลุ่มอินโดจีนรวมทั้งประเทศไทย

จากรายงานข่าวระบุว่า ผู้ต้องสัยที่ถูกจับกุมรับสารภาพว่ามุ่งเคลื่อนไหวโค่นล้มรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ภายใต้พรรคแนวร่วมปฏิวัติประชาธิปไตย(นปป.) โดยมีแนวคิดปฏิวัติการปกครองประเทศให้เป็นแนวทางสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์แบบซ้ายสุดขั้ว ทั้งนี้ ขบวนการซ้ายหลงยุคดังกล่าวใช้บ้านพักแห่งหนึ่งย่านอ.บางกรวย จ.นนทุบรี เป็นที่ประชุมวางแผนเคลื่อนไหว

หน่วยงานด้านความมั่นคงพบว่า ขบวนการกลุ่มนี้ได้วางแผนป่วนประเทศตั้งแต่ช่วงก่อนการทำประชามติ และเตรียมก่อเหตุหลังวันทำประชามติแต่ไม่ทราบเป้าหมายที่จะก่อเหตุแน่ชัด

สำหรับขบวนการซ้ายสุดขั้วกลุ่มนี้แท้ที่จริงแล้วก็คือกลุ่ม “แดงฮาร์ดคอร์” ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงติดตามความเคลื่อนไหวมานานแล้ว โดย 6 ใน 17 ผู้ต้องสงสัยเป็นแกนนำสำคัญซึ่งทำหน้าที่ประสานงานระหว่างกลุ่มที่ลงมือปฏิบัติการกับกลุ่มการเมืองซึ่งเป็นผู้จ้างวาน

แกนนำขบวนการซ้ายสุดขั้วกลุ่มนี้ยังมีรายงานข่าวระบุว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการเหตุการณ์รุนแรงในอดีตโดยเฉพาะการลอบวางระเบิดที่ย่านมหาวิทยาลัยรามคำแหงเมื่อปี 2556 รวมทั้งระเบิดที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุยและเผาสหกรณ์โคออป จ.สุราษฏร์ธานี เมื่อปีที่แล้ว

ผู้ต้องหาที่ถูกออกหมายจับบางคนเป็นคนใกล้ชิดกับ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือแซ่ด่าน หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงที่ขณะนี้หลบหนีคดีความมั่นคงและคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพไปกบดานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้าน โดยนายสุรชัย เคยเข้าร่วมต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย(พคท.) ในอดีตเช่นเดียวกับแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงและอดีตสส.พรรคเพื่อแม้วหลายคนซึ่งเป็นคนเดือนตุลาฯ

หากย้อนกลับไปทบทวนเหตุการณ์ลอบก่อวินาศกรรมในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจะพบว่าล้วนเป็นฝีมือของขบวนการก่อการร้ายใต้ดินของกลุ่มอำนาจเก่าที่ใช้กองกำลังติดอาวุธเป็นเครื่องมือสร้างสถานการณ์เพื่อนำไปสู่การโค่นล้มอำนาจรัฐเพื่อให้ตัวเองมีโอกาสกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศ โดยมีแนวคิดถึงขั้นเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศเป็น “รัฐไทยใหม่”

ในช่วงหนึ่งขบวนการอำนาจเก่าดำเนินยุทธวิธีเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐด้วย “แก้ว 3 ประการ” โดยอาศัยพรรคการเมือง มวลชนจัดตั้ง และกองกำลังใต้ดินติดอาวุธเป็นเครื่องมือไปสู่เป้าหมาย

ในส่วนของกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มอำนาจเก่านั้นในเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 มีการจ้างพวกนักรบรับจ้างจากประเทศเพื่อนบ้านส่วนหนึ่งเข้ามาร่วมชุมนุมและก่อการร้าย ซึ่งนักรบรับจ้างเหล่านี้เมื่อทำงานเสร็จก็จะมีการขนไปส่งยังตะเข็บชายแดนเพื่อหลบหนีออกนอกประเทศอันเป็นการตัดตอนและยากต่อการจับกุม

ในช่วงหลังมีรายงานข่าวบางกระแสระบุว่า กลุ่มอำนาจเก่าได้พัฒนาการก่อวินาศกรรมด้วยการจ้างผู้ก่อการร้ายจากนอกประเทศ โดยมีการตั้งข้อสงสัยกรณีระเบิดที่ศาลท้าวมหาพรหม สี่แยกราชประสงค์เมื่อปีที่แล้ว รวมทั้งมีการจ้างโจรใต้ประเภทมือปืนรับจ้างร่วมก่อเหตุ โดยอาศัยกลุ่มการเมืองซึ่งมีอิทธิพลในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นตัวประสาน

นับวันขบวนการลอบก่อวินาศกรรมจะเพิ่มความซับซ้อนแนบเนียนมากขึ้น ดังนั้น หน่วงงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะหน่วยงานด้านการข่าวจะต้องเพิ่มประสิทธิภาพความเข้มข้นในการเกาะติดความเคลื่อนไหวและหาข่าวเชิงรุกมากขึ้น ขณะเดียวกัน ต้องไม่ปล่อยให้คดีคลุมเครือกลายเป็นไฟไหม้ฟางจับได้แต่ปลาซิวปลาสร้อยหรือแพะ ขณะที่ตัวการสำคัญลอยนวลเหมือนที่ผ่านๆ มา

ทีมข่าวการเมือง

นักโทษหนีคุกฟ้องดร.อาทิตย์ สะท้อนธาตุแท้เอาแต่ได้?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/231111

วันศุกร์ ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นเรื่องสุดพิลึกกรณีนายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกที่มอบหมายให้น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล อดีตสส.พรรคเพื่อไทยยื่นฟ้องดำเนินคดี ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ฐานหมิ่นประมาทและทำผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์กรณีที่ดร.อาทิตย์แสดงความเห็นทางเฟซบุ๊คว่า นายทักษิณอาจรู้เห็นกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมใน7 จังหวัดภาคใต้

การฟ้องร้อง ดร.อาทิตย์ ของ นายทักษิณถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่สะท้อนธาตุแท้ของนักโทษหนีคุกและเหล่าสาวกขบวนการเพื่อแม้วที่ส่อพฤติการณ์เอาแต่ได้ เพราะรู้กันอยู่ว่า นายทักษิณ มีสถานะเป็นนักโทษที่หนีโทษจำคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนหลายปี และที่ผ่านมา นายทักษิณ และสาวกส่อพฤติการณ์ไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมและองค์กรอิสระต่างๆ อ้างว่าสองมาตรฐาน ทั้งๆ ที่หลายคดีที่ผ่านมาพอศาลหรือองค์กรอิสระตัดสินในลักษณะที่เป็นผลดีต่อตัวเอง นายทักษิณ และพวกก็จะชื่นชมอ้างว่าศาลและองค์กรอิสระตัดสินด้วยความยุติธรรม แต่พอศาลหรือองค์กรอิสระตัดสินคดีไม่เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการก็จะออกมาเคลื่อนไหวบ่อนทำลาย ถึงขั้นเหล่าสาวกเพื่อแม้วเคยยกพวกบุกทำลายหรือปาระเบิดใส่ศาลหรือองค์กรอิสระมาแล้ว

ขณะที่นักโทษหนีคุกไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม แต่กลับทำตัวสองมาตรฐานพอต้องการฟ้องร้องดำเนินกับใครก็ตามที่กล่าวหาตัวเองก็หันมาพึ่งกระบวนการยุติธรรม

นักกฎหมายหลายท่าน อาทิ รศ.ดร.กิตติศักดิ์ปรกติ อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชี้ว่า การที่ นายทักษิณ ไม่ยอมรับโทษตามคำพิพากษาศาลและปฏิเสธว่าตัวเองไม่ผิดตามคำตัดสินก็แสดงอยู่แล้วว่าไม่ยอมรับเขตอำนาจของศาล ดังนั้นจะมาพึ่งศาลในการฟ้องร้องคนอื่นเป็นจำเลยถือเป็นการใช้สิทธิที่ไม่สุจริต และทำให้ระบบกฎหมายและศาลไม่อาจรองรับให้ใช้สิทธิเช่นนั้นได้

อีกประเด็นซึ่งเป็นข้อสังเกตก็คือ กรณีที่น.ส.ขัตติยา รับเป็นตัวแทนของ นายทักษิณยื่นฟ้อง ดร.อาทิตย์ แสดงว่าต้องรู้ที่อยู่หลักแหล่งของนักโทษหนีคุก แต่กลับไม่แจ้งเจ้าหน้าที่เพื่อติดตามจับกุมตัวมาลงโทษ ซ้ำยังคอยช่วยเหลืออีกต่างหาก ทำให้เกิดตั้งคำถามว่า น.ส.ขัตติยา มีความผิดหรือไม่ฐานให้การช่วยเหลือนักโทษซึ่งหลบหนีโทษความผิด

เพราะฉะนั้นอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกหากยังมีความเคารพในกระบวนการยุติธรรมอยู่บ้างต้องกล้ากลับมารับโทษตามคำพิพากษาศาล ไม่ใช่เอาแต่ทำตัวดุจสัมภเวสีหนีคุกแล้วเที่ยวฟ้องร้องดำเนินคดีกับใครต่อใคร ทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม

ทีมข่าวการเมือง

นักการเมืองจะว่าไงถ้ามหาชนเทใจ หนุนบิ๊กตู่นั่งนายกฯคนนอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/230934

วันพฤหัสบดี ที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การออกมาเปิดประเด็นตั้งพรรคประชาชนปฏิรูปของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสมาชิกวุฒิสภา และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) พร้อมทั้งประกาศจุดยืนชัดเจนว่าจะสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้งทั่วไปที่จะมีขึ้นภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ถือเป็นการโยนหินถามทางวัดปฏิกิริยาบรรดานักการเมือง สื่อตลอดจนเป็นการหยั่งกระแสมหาชน

จากการหยั่งเชิงของ นายไพบูลย์เป็นไปตามคาดนั่นคือสองพรรคใหญ่ได้แก่ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ดาหน้าออกมาค้านการผลักดันนายกฯคนนอก แบบหัวชนฝาโดยอ้างผิดหลักการประชาธิปไตยและเป็นการสืบทอดอำนาจ

แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ปฏิกิริยามหาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ซึ่งจะเป็นตัวแปรชี้วัดว่า “บิ๊กตู่” มีความชอบธรรมสมควรที่จะเป็นผู้นำรัฐนาวาหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นหรือไม่

ที่ผ่านมาจากผลสำรวจของโพลล์ทุกสำนักสะท้อนชัดเจนว่า ประชาชนส่วนใหญ่ยังศรัทธาสนับสนุน “บิ๊กตู่” อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ในด้านกลับกันก็สะท้อนให้เห็นว่าประชาชนเอือมระอาเบื่อหน่ายนักการเมืองซึ่งตลอด 10 ปีที่ผ่านมาคือต้นเหตุสำคัญที่สร้างความแตกแยกและทำลายชาติบ้านเมือง

แม้แต่ผลการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และคำถามพ่วงเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา โดยเฉพาะผลประชามติที่ประชาชนเห็นชอบกับคำถามพ่วงที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.) ซึ่งมาจากการสรรหาโดยคสช.ร่วมโหวตนายกฯคนต่อไปสะท้อนนัยอยู่กรายๆว่า ฉันทามติมหาชนส่วนใหญ่ไม่ขัดข้องกับกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบหลังการเลือกตั้ง

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองตั้งคำถามว่า หากสำนักโพลล์ต่างๆ ทำผลสำรวจถามประชาชนตรงๆ ว่าเห็นด้วยหรือไม่หากจะสนับสนุนให้ “บิ๊กตู่”คุมบังเหียนประเทศต่อไปหลังการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นแล้วผลออกมาว่า มหาชนส่วนใหญ่เห็นด้วย บรรดานักการเมืองที่ออกมาต่อต้านนายกฯคนนอกจะว่าอย่างไร

ชาติบ้านเมืองบอบช้ำอย่างหนักมามากเกินพอแล้วจากธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม ซึ่งหากไม่มีผู้นำที่เข้มแข็งซึ่งไม่ใช่นักการเมืองมาทำการปฏิรูปประเทศอย่างเด็ดขาดจริงจังเชื่อได้เลยว่าหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยก็จะกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศและวนเวียนอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายแบบเดิมๆ ไม่มีที่สิ้นสุด

ดังนั้นจะถึงเวลาแล้วที่บ้านเมืองจะต้องปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงและยั่งยืนพ้นจากวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายเสียที ขณะที่บรรดานักการเมืองทั้งหลายต้องเปลี่ยนแปลงตัวเองให้สอดคล้องกับกติกาใหม่ภายใต้ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง

ทั้งนี้หากเสียงสะท้อนของมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศสนับสนุนให้ “บิ๊กตู่” เป็นผู้นำประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านต่อไปอีก ก็ถือเป็นเรื่องที่ชอบธรรมที่รัฐสภาหลังการเลือกตั้งครั้งต่อไปจะทำตามฉันทามติมหาชนส่วนข้ออ้างเรื่องสืบทอดอำนาจก็เป็นแค่เรื่องวิธีการ สำคัญที่เป้าหมายหากเป็นการสืบทอดอำนาจเพื่อชาติบ้านเมืองก็ถือว่าชอบธรรม และที่สำคัญหากเป็นความต้องการของมหาชนส่วนใหญ่ข้ออ้างของนักการเมืองถือว่าไร้ความหมายเพราะผลประโยชน์ของชาติและประชาชนต้องมาก่อนผลประโยชน์ความต้องการของนักการเมือง

ทีมข่าวการเมือง

อำนาจเก่าตัดตอนจ้างโจรใต้ ร่วมแก๊งวินาศกรรมทำลายชาติ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/230736

วันพุธ ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ช่วงนี้ข่าวจากทั้งสื่อกระแสหลักและโซเชียลมีเดียสร้างความสับสนต่อสาธารณชนเป็นอย่างมาก ในประเด็นเบื้องหลังขบวนการวินาศกรรมทำลายชาติเป็นฝีมือของใครกันแน่ระหว่างกลุ่มอำนาจเก่าที่ต้องการบ่อนทำลายเศรษฐกิจความมั่นคงของรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังพ่ายแพ้เกมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงอย่างยับเยินจากผลการทำประชามติ หรือจะเป็นฝีมือของกลุ่มใต้ แต่ไม่ว่ากลุ่มไหนล้วนแล้วแต่ระยำอุบาทว์ทั้งสิ้น

ฝ่ายตำรวจโดย พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ล่าสุดก็ยังฟันธงว่าแรงจูงใจในการก่อวินาศกรรมมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลการลงประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งมหาชนส่วนใหญ่แสดงฉันทามติเห็นชอบรับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงแบบขาดลอย

ผบ.ตร.ย้ำว่า เหตุการณ์เลวร้ายที่เกิดขึ้นเป็นการก่อวินาศกรรมไม่ใช่ก่อการร้าย เพราะหากเป็นการก่อการร้ายต้องแสดงตัวชัดเจน แต่เหตุการณ์วินาศกรรมระเบิดและเผาใน 7 จังหวัดภาคใต้เป็นการลอบก่อเหตุส่อเจตนามุ่งผลทางการเมือง หวังบ่อนทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลและคสช.

คำชี้แจงของผบ.ตร.นั้นเป็นการเปิดเผยความจริงเพียงบางส่วนซึ่งสาธารณชนต้องเข้าใจเพราะข้อมูลเบื้องลึกบางอย่างยัง
ไม่สมควรเปิดเผยเพราะอาจทำให้ยากต่อการขยายผลทางคดี ซึ่งแม้พยานหลักฐานที่ฝ่ายตำรวจมีอยู่พอจะบ่งชี้ได้ว่าการก่อวินาศกรรมเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจเก่า แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการโจรก่อการร้ายในชายแดนภาคใต้ ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง แย้มเป็นนัยว่า อาจจ้างพวกโจรมือปืนรับจ้างมาร่วมก่อเหตุ

ทั้งนี้ เหตุการณ์ลอบก่อวินาศกรรมด้วยระเบิดหลายครั้งที่ผ่านมาก็มีเบาะแสว่ามีการจ้างโจรใต้ประเภทปลายแถวมาก่อเหตุ อาทิ ที่หน้ามหาวิทยาลัยรามคำแหงหรือแม้แต่ที่ห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี

กลุ่มอำนาจเก่านั้นเจ้าเล่ห์เพทุบายซึ่งเหตุการณ์ก่อจลาจล ก่อวินาศกรรมหรือก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองช่วงที่ผ่านมาก็มีการจ้างนักรบรับจ้างจากประเทศเพื่อนบ้านมาร่วมก่อเหตุการณ์รุนแรงซึ่งพวกนี้พอก่อเหตุก็หลบออกนอกประเทศจับมือใครดมไม่ได้ และช่วงหลังก็ใช้วิธีจ้างโจรใต้ปลายแถวเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นและตัดตอนไม่ให้สาวมาถึงตัวคนสั่งการ

สำหรับขบวนการโจรใต้นั้นมีอยู่หลายกลุ่มและบางกลุ่มไม่ได้เป็นพวกที่มีอุดมการณ์อะไรโดยเฉพาะโจรใต้รุ่นใหม่ที่ได้รับเงินสนับสนุนจากขบวนการค้ายาเสพติด แก๊งค้ามนุษย์ หรือสินค้าเถื่อน โจรใต้วัยรุ่นบางคนมีพฤติกรรมไม่ต่างจากพวกเด็กแว้น บางคนติดยาเสพติดหรือพร้อมทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เงินมาสนองความต้องการของตัวเอง

เพราะฉะนั้นกลุ่มอำนาจและโจรใต้จึงอาจเป็นเรื่องเดียวกัน ดังนั้น สาธารณชนขอให้ใจเย็นรอดูผลงานของฝ่ายตำรวจที่มั่นใจว่าจะกระชากหน้ากากขบวนการวินาศกรรมทำลายชาติได้แน่ ซึ่งแม้จะช้าหน่อยแต่ชัวร์มีหลักฐานมัดแน่นขบวนการอุบาทว์ทำลายชาติยกแก๊ง ยังดีกว่ารีบร้อนจับแพะ และที่สำคัญอย่าให้กลายเป็นคดีคลื่นกระทบฝั่งเหมือนที่ผ่านๆ มาก็แล้วกัน

ทีมข่าวการเมือง

สำคัญที่สาวให้ถึงตัวการใหญ่ บงการวินาศกรรมทำลายชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/230611

วันอังคาร ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ช่วงนี้บรรดาสมุนขบวนการเพื่อแม้วพากันดาหน้าออกมาปฏิเสธพัลวันยืนกรานว่า เครือข่ายเพื่อแม้วทั้งบนดินใต้ดินไม่ได้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ก่อวินาศกรรมระเบิดและเผาทำลายชาติใน 7 จังหวัด ซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของภาคใต้และของประเทศ

นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง นำทีมแกนนำเสื้อแดงออกมาแถลงและถึงกับท้า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รวมทั้ง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชนเพื่อปฏิรูปประเทศไทย ไปสาบานที่วัดพระแก้วกรณีที่มีการตั้งข้อสงสัยว่าขบวนการเพื่อแม้วอยู่เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมป่วนประเทศ

นอกจากบอกปัดไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องแล้ว นายจตุพร ยังอ้างว่า เบื้องหลังการก่อวินาศกรรมเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งจากการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีที่ไม่ลงตัว

ขณะที่สื่อต่างชาติและสื่อไทยบางสำนักพยายามประโคมข่าวชี้นำในทำนองว่า การก่อวินาศกรรมที่เกิดขึ้นเป็นฝีมือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

อย่างไรก็ตาม นายเด่น โต๊ะมีนาอดีตสส.ปัตตานี และเป็นหนึ่งสมาชิกอดีตสส.กลุ่มวาดะห์ในชายแดนภาคใต้กลับแย้งว่า การก่อวินาศกรรมที่เกิดขี้นเชื่อว่าไม่ใช่ฝีมือโจรใต้ แต่เกิดจากกลุ่มที่ไม่พอใจผลการลงประชามติที่ประชาชนส่วนใหญ่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงและคำถามพ่วง

อีกทั้งขบวนการโจรใต้นั้นมีอุดมการณ์เป้าหมายชัดเจนมุ่งแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ซึ่งที่ผ่านมาก่อเหตุรุนแรงเฉพาะในจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือจังหวัดใกล้เคียง อาทิ สงขลาโดยไม่เคยเคลื่อนไหวนอกพื้นที่ชายแดนใต้ เพราะหากเป็นอย่างนั้นขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็จะกลายเป็นขบวนการก่อการร้ายซึ่งสูญเสียความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวอย่างสิ้นเชิง

ทั้งนี้การที่จะประเมินว่าระเบิดทำลายชาติครั้งนี้เป็นฝีมือของใครต้องดูที่แรงจูงใจใครได้ประโยชน์จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ซึ่งก็คือพวกที่ต้องการทำลายความสงบ ทำลายเศรษฐกิจโดยเฉพาะด้านการท่องเที่ยวและทำลายเสถียรภาพความเชื่อมั่นของคสช.และรัฐบาล ซึ่งจะเป็นใครนั้นสาธารณชนน่าจะพอเดาได้ เพราะมีบทเรียนให้เห็นมาแล้วในอดีต

แต่เมื่อข้อสันนิษฐานมีความเห็นที่แตกต่างก็ควรพิสูจน์ด้วยพยานหลักฐานอย่าเพิ่งด่วนสรุป โดยให้รอการสืบสวนสอบสวนขยายผลของฝ่ายตำรวจและทหารที่มีข่าวว่า จับกุมผู้ต้องสงสัยได้หลายคนและขณะนี้นำตัวไปสอบเค้นข้อมูล ซึ่งพล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ยืนยันว่า จะสามารถคลี่คลายคดีและเปิดโปงขบวนการวินาศกรรมทำลายชาติรวมทั้งคนบงการได้ในไม่ช้า ซึ่งคงต้องรอดูว่าจะของจริงหรือเป็นแค่ราคาคุย

ทั้งนี้ขบวนการวินาศกรรมทำลายชาติอาจวางแผนล่วงหน้าตัดตอนโดยจ้างพวกโจรปลายแถวหรือพวกมือปืนรับจ้างโนเนมที่หิวเงินมาก่อเหตุ เพราะฉะนั้นการจับแก๊งวินาศกรรมจึงไม่สำคัญเท่ากับการสาวถึงขั้นจับคนสั่งการมาลงโทษให้ได้

ทีมข่าวการเมือง

หลายปัจจัยบ่งชี้กลุ่มอำนาจเก่า ส่ออยู่เบื้องหลังบึ้มป่วนประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/230408

วันจันทร์ ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

อยู่ๆ นายนพดล ปัทมะ ทนายหน้าหอคนสนิทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกก็ออกอาการเหมือนร้อนตัวด้วยการขู่ว่าจะฟ้องดะสื่อสำนักไหนก็ตามที่กล่าวหาว่าอดีตนายกฯเกี่ยวข้องกับเหตุวินาศกรรมระเบิดและเผาใน 7 จังหวัดภาคใต้ ช่วง
วันแม่แห่งชาติจนมีประชาชนผู้บริสุทธิ์สังเวยชีวิต 4 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 30 ราย ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง โบ้ยอ้างว่าเหตุวินาศกรรมบ่อนทำลายประเทศเกิดขึ้นในช่วงฤดูการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหาร

นายนพดล และคนของระบอบทักษิณควรใจเย็นๆ อย่าเพิ่งตีโพยตีพายเหมือนร้อนตัว เพราะงานนี้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างหนักแน่นแล้วว่าต้องล่าตัวคนร้ายและคนที่บงการอยู่เบื้องหลังให้ได้ เพราะเป็นพวกทำลายชาติและถือว่าไม่ใช่คนไทย

แต่หากจะวิเคราะห์จากปัจจัยแวดล้อมทั้งแรงจูงใจ ขนาดของการก่อวินาศกรรม รวมทั้งเงื่อนเวลาการก่อเหตุก็น่าจะชี้ขบวนการที่ต้องสงสัยว่าอยู่เบื้องหลังวินาศกรรมทำลายชาติครั้งนี้ได้ไม่ยาก

โดยปัจจัยแวดล้อมในเรื่องแรงจูงใจนั้นเหตุการณ์ทำลายชาติครั้งนี้มีเป้าหมายมุ่งบ่อนทำลายเศรษฐกิจและความมั่นคงของชาติรวมทั้งทำลายเสถียรภาพความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐคือคสช.และรัฐบาลในภาพรวม โดยเฉพาะการมุ่งก่อเหตุในจังหวัดท่องเที่ยวสำคัญ อาทิ จ.ภูเก็ต จ.กระบี่ จ.พังงา อ.หัวหิน จ.ประจวบคีรีขันธ์ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งก็รู้กันอยู่ว่าการท่องเที่ยวคือตัวทำรายได้หลักให้ประเทศที่สำคัญที่สุดขณะนี้ และเป็นการทำลายความเชื่อมั่น ขณะที่ไทยกำลังจะเป็นเจ้าภาพจัดงานวันท่องเที่ยวโลกในเดือนหน้าซึ่งเป็นงานใหญ่ที่จะมีตัวแทนเกี่ยวกับการท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาร่วมในงานนี้

ส่วนปัจจัยในเรื่องเงื่อนเวลาการก่อเหตุ ข้อสังเกตที่สำคัญที่สุดก็คือเหตุการณ์เกิดขึ้น 4 วัน หลังการทำประชามติซึ่งประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศแสดงฉันทามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงแบบขาดลอยท่ามกลางความไม่พอใจของขบวนการที่ซ่อนเจตนาไม่ยอมรับฉันทามติของมหาชนเสียงส่วนใหญ่ถึงกับขู่เป็นสัญญาณล่วงหน้าว่าจะเกิดวิกฤติตามมาหลังผลการทำประชามติ

ด้านปัจจัยเกี่ยวกับขนาดของเหตุการณ์นั้นชัดเจนว่าเป็นการวางแผนลงมือด้วยอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรงอย่างเป็นขบวนการเพราะครอบคลุมถึง 7 จังหวัด ในเวลาไล่เลี่ยกัน

ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ ขบวนการกลุ่มอำนาจเก่ากำลังจะพ่ายแพ้ในทุกแนวรบจึงอยู่ในภาวะหลังพิงฝาเลือดเข้าตา จึงอาจใช้เกมใต้ดินแตกหักแบบเดิมเหมือนในอดีตดังคำกล่าวของแกนนำกลุ่มอำนาจเก่าบางคนที่ว่า “ถ้าข้าอยู่ไม่ได้ ก็อย่าหวังว่าประเทศจะอยู่อย่างสงบสุข”

พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช. ชี้ว่าการลอบก่อวินาศกรรมครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับกลุ่มโจรก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้และกลุ่มก่อการร้ายจากนอกประเทศ

ล่าสุดหน่วยงานด้านความมั่นคงเตรียมออกหมายจับผู้ต้องสงสัยร่วมขบวนการทำลายชาติบางคนแล้ว ซึ่งหากจับกุมตัวได้และมีการขยายผลก็คงได้เห็นโฉมหน้าเลาๆ ว่าใครคือไอ้โม่งชั่วร้ายที่อยู่เบื้องหลังวินาศกรรมทำลายชาติ

ทีมข่าวการเมือง