จับตาขบวนการวิชามารทิ้งทวน โหมสุมไฟป่วนโค้งสุดท้ายประชามติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/228434

วันอังคาร ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ถึงกับสั่งกำชับให้ศูนย์รักษาความสงบเรียบร้อยทุกจังหวัดทั่วประเทศจับตาสถานการณ์ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และคำถามพ่วงซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้อย่างใกล้ชิด ขณะที่นายกฤษฎา บุญราช ปลัดกระทรวงมหาดไทยมีหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ เกาะติดสถานการณ์ป่วนประชามติเพราะมีเบาะแสขบวนการที่เตรียมสร้างสถานการณ์รุนแรงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนการทำประชามติ

ทั้งนี้ หนังสือของปลัดกระทรวงมหาดไทย ที่ส่งถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศตอนหนึ่งระบุว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ตรวจสอบงานด้านการข่าวพบว่ามีผู้พยายามปล่อยข่าวทางสื่อต่างๆ รวมทั้งใช้การสร้างข่าวลือบิดเบือนและโฆษณาชวนเชื่อในทางที่จะก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นเพื่อทำให้บ้านเมืองเกิดภาวะสับสนและอ่อนไหวจะได้ใช้เป็นเงื่อนไขในการระดมประชาชนออกมาสร้างความรุนแรงและหรือทำให้นานาชาติเข้าใจผิดเกี่ยวกับสถานการณ์ในประเทศไทย จึงเน้นย้ำให้ผู้ว่าราชการจังหวัดชี้แจงข้อเท็จจริงที่ถูกต้องผ่านสื่อออนไลน์หรือช่องทางสื่อสารในพื้นที่ทุกช่องทางอย่างรวดเร็ว กว้างขวางทั่วถึงและทันท่วงที

ขณะที่มีรายงานข่าวจากฝ่ายทหารในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้หน่วยทหารในพื้นที่ตรวจตราและเตรียมรับมือกับการสร้างสถานการณ์ความไม่สงบช่วงโค้งสุดท้ายการทำประชามติโดยเฉพาะให้ระวังการก่อเหตุคาร์บอมบ์

การที่ทหารในจังหวัดชายแดนภาคใต้เตือนให้ระวังคาร์บอมบ์แสดงว่าต้องได้รับรายงานด้านการข่าวบางอย่าง และสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างขบวนการโจรก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้กับกลุ่มการเมืองบางกลุ่มที่พยายามสร้างสถานการณ์ป่วนการทำประชามติ

ก่อนหน้านี้ก็มีข่าวว่าอดีต สส.ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ บางคนบางกลุ่มใช้วิชามารสุดสกปรกแพร่คลิปปลุกระดมโฆษณาชวนเชื่อให้ชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงด้วยการบิดเบือนอ้างว่า เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้ศาสนาพุทธอยู่เหนือศาสนาอื่น รวมทั้งศาสนาอิสลาม ซึ่งนอกจากส่งผลต่อการลงประชามติแล้วยังเป็นการสร้างความแตกแยกบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติอย่างร้ายแรง

ขณะที่ นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ประเมินว่า ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ก็ตาม ขบวนการที่จ้องป่วนประเทศยังคงหาข้ออ้างสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงอยู่วันยังค่ำ โดยหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านก็จะอ้างความชอบธรรมกดดันให้คสช.พ้นจากอำนาจโดยเร็วและบีบให้มีตัวแทนประชาชนเข้ามาร่วมร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แทนที่จะกำหนดโดยคสช. ในทางกลับกันหากร่างผ่านการทำประชามติขบวนการจ้องป่วนก็จะหาข้ออ้างต่างๆ นานาว่ามีการโกงการทำประชามติหรืออ้างความไม่ชอบธรรมจากการที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ถึงมือประชาชนก่อนลงประชามติ

ที่สำคัญคืออาจจะมีการปลุกระดมให้เกิดการลุกฮือของมวลชนก่อหวอดประท้วงพร้อมกับการชักศึกเข้าบ้านเรียกร้องให้นานาชาติและองค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทย โดยเป้าหมายไม่ได้อยู่แค่การคว่ำร่างรัฐธรรมนูญปราบโกง แต่มุ่งล้มอำนาจคสช. และการปฏิรูปประเทศหวังปูทางให้กลุ่มอำนาจเก่ากลับมายึดครองประเทศอีกครั้ง

ทีมข่าวการเมือง

โพลล์ชี้มหาชนหนุนรธน.ท่วมท้น สะท้อนวิกฤติศรัทธานักการเมือง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/228286

วันจันทร์ ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นี่ขนาดมีขบวนการใต้ดินใช้สารพัดวิชามารบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงหวังปลุกระดมให้ประชาชนคว่ำร่างรัฐธรรรมนูญ ขณะที่สองพรรคใหญ่คือเพื่อแม้วกับประชาธิปัตย์ที่ปกติเป็นศัตรูที่ไม่เผาผีแต่ขณะนี้กลับหันมาร่วมกันรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่จากผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพล่าสุดในหัวข้อ “นับถอยหลัง 7 วันก่อนลงประชามติ” ด้วยการหยั่งเสียงประชาชนทั่วประเทศพบว่า ประชาชนตื่นตัวจะไปใช้สิทธิลงประชามติถึง 87.8% และจะรับร่างรัฐธรรมนูญร้อยละ 48.4 ซึ่งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ขณะที่ฝ่ายที่จะไม่รับร่างรัฐธรรมนูญมีเพียงร้อยละ 7.7 ซึ่งมีสัดส่วนลดลงจากการสำรวจครั้งที่ผ่านมา ส่วนที่เหลือเป็นพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจหรือตั้งใจจะงดออกเสียง

ช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันลงประชามติยังคงมีการใช้วิชามารสุดสกปรกชั่วร้ายก็คือข่าวอดีต สส.ในจังหวัดชายแดนภาคใต้บางคนบางกลุ่มแพร่คลิปบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงแล้วปลุกปั่นยุงยงชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ให้พร้อมใจกันคว่ำร่างรัฐธรรมนูญโดยบิดเบือนว่า ร่างรัฐธรรมนูญมีเนื้อหากำหนดให้ศาสนาพุทธอยู่เหนือกว่าศาสนาอื่น รวมทั้งศาสนามุสลิม ซึ่งคลิปชั่วร้ายดังกล่าวนอกจากส่งผลต่อการลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญวันที่ 7 ส.ค.นี้แล้ว ยังเป็นการสร้างความแตกแยกทางศาสนาและบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

หากผลสำรวจของกรุงเทพโพลล์สะท้อนฉันทามติของประชาชนได้อย่างแม่นยำจริง นอกจากเป็นสัญญาณสะท้อนความศรัทธาเชื่อถือในร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศแล้ว ยังแสดงถึงความไว้ใจที่ประชาชนมีต่อคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มากกว่าบรรดาพรรคการเมือง

การที่เกิดวิกฤติศรัทธานักการเมืองโดยมหาชนน่าจะเป็นเพราะพฤติกรรมที่เหิมเกริมชั่วร้ายของนักการเมืองบางพรรคที่เป็นต้นเหตุทำให้บ้านเมืองเกิดวิกฤติหายนะล่มจมบอบช้ำอย่างหนักจนกลายเป็นรัฐล้มเหลวตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทำให้คสช.ต้องเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 ซึ่งหากนักการเมืองประพฤติตัวดีก็คงไม่มีคสช.ในวันนี้

นอกจากนี้มหาชนยังเบื่อหน่ายการเมืองน้ำเน่าและเอือมระอานักการเมืองที่ไม่ว่าจะสร้างภาพพูด คิดหรือทำอะไรก็ล้วนมุ่งเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองมากกว่าคำนึงถึงชาติบ้านเมือง อย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ล่าสุดออกมาชี้ว่า นักการเมืองอ้างแต่ประชาธิปไตย แต่ไม่เคยทำอะไรเพื่อบ้านเมือง ทำให้ประชาชนหันไปฝากความหวังไว้กับคสช.ให้จัดระเบียบประเทศครั้งใหญ่เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปเสียทีไม่กลับไปสู่วงจรอุบาทว์ทางการเมืองซ้ำซากอีก

วิกฤติศรัทธาในนักการเมืองถึงกับเกิดกระแสในหมู่มหาชนจำนวนมากที่แสดงออกทางโซเชียลมีเดียที่เรียกร้องให้อำนาจพิเศษภายใต้คสช.อยู่วางรากฐานประเทศต่อไปอย่างไม่มีกำหนดเวลาเพราะนับวันจะเริ่มตื่นรู้ในความเป็นประชาธิปไตยแบบจอมปลอมแบบไทยๆ

ทีมข่าวการเมือง

พลังเงียบชี้ขาดประชามติ7สค. ผ่านหรือคว่ำร่างรธน.ปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/228137

วันอาทิตย์ ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

อีกแค่ 1 สัปดาห์ ก็จะได้รู้กันว่าประชาชนส่วนใหญ่จะลงประชามติผ่านหรือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงท่ามกลางกระแสทั้งฝ่ายที่สนับสนุนและฝ่ายที่จ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ตัวแปรสำคัญที่จะชี้ผลการทำประชามติกลับเป็นพลังเงียบซึ่งประเมินว่ามีจำนวนถึงกว่า 60% ของผู้มีสิทธิออกเสียงลงประชามติทั่วประเทศจำนวน 50 ล้านคนเศษ

ทั้งนี้ผลสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศของโพลล์ทุกสำนักอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงที่ผ่านมาจนล่าสุดสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่กว่า 60% ยังไม่ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนหรือคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ขณะที่ประชาชนซึ่งตัดสินใจ
แล้วฝ่ายที่จะออกเสียงผ่านร่างรัฐธรรมนูญมีมากกว่าฝ่ายที่คัดค้าน

แต่ปัญหาที่หลายฝ่ายวิตกก็คือเกรงประชาชนจะไม่ตื่นตัวออกมาใช้สิทธิมากเท่าที่ควร โดย นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต และผู้อำนวยการสถาบันปฏิรูปประเทศไทย ให้ความเห็นว่า บรรยากาศการรณรงค์ให้ประชาชนไปออกเสียงลงประชามติช่วงที่ผ่านมา ยังไม่คึกคักเท่าที่ควรหากเปรียบเทียบกับการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2550 จึงเกรงว่าอาจทำให้การลงประชามติครั้งนี้โมฆะหรือขาดฉันทานุมัติจากประชาชนจนอาจกระทบต่อกระบวนการปฏิรูปประเทศได้

การลงประชามติครั้งนี้มีผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ 50 ล้านคนเศษเพิ่มขึ้นจากการลงประชามติเมื่อปี 2550 ซึ่งมีผู้มิสิทธิลงประชามติราว 45 ล้านคน ซึ่งเป็นตัวเลขผู้มีสิทธิที่สูงมาก แต่กลับไม่มีกระบวนการใช้สิทธิล่วงหน้าจนอาจทำให้ผู้มีสิทธิลงประชามติจำนวนมากที่ไม่ได้อยู่ในภูมิลำเนาหมดสิทธิไปโดยปริยาย

นายสุริยะใส ต้งข้อสังเกตว่า กระบวนการทำประชามติที่ชอบธรรมต้องมีผู้ออกมาใช้สิทธิอย่างน้อยกึ่งหนึ่งหรือไม่น้อยกว่า 25 ล้านเสียง สำหรับการลงประชามติครั้งนี้ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะขนาดการลงประชามติเมื่อปี 2550 มีการรณรงค์กันอย่างคึกคักมากกว่านี้ยอดผู้มาใช้สิทธิ์ยังมีแต่ร้อยละ 57.6 หรือแค่ 25 ล้านกว่าเสียงเท่านั้น แต่บรรยากาศการรณรงค์ประชามติครั้งนี้แม้แต่ร่างรัฐธรรมนูญก็ถึงมือประชาชนช้ามาก อีกทั้งมีการปิดกั้นการรณรงค์แสดงความคิดเห็น ขณะเดียวกัน สถานการณ์ทางการเมืองที่ขัดแย้งวุ่นวายสับสนอาจทำให้ประชาชนเบื่อหน่ายไม่ออกมาใช้สิทธิ

ทั้งนี้แม้ว่าพรรคการเมืองจะมีฐานคะแนนเสียงของตัวเองโดยเฉพาะสองพรรคใหญ่คือพรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ โดยพรรคเพื่อไทยประกาศจุดยืนชัดเจนแล้วว่าต่อต้านคสช.ในทุกเรื่องและจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงตั้งแต่ยังไม่ยกร่างด้วยซ้ำ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์ยังแทงกั๊ก อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันที่เปลี่ยนแปลงไปโดยไม่อาจปฏิเสธได้ว่าประชาชนเบื่อหน่ายนักการเมืองและฝากความหวังการปฏิรูปประเทศไว้กับคสช. จึงอาจทำให้ฐานคะแนนเสียงของพรรคการเมืองใหญ่อาจมีจำนวนลดลง ดังนั้นต้องจับตาประชาชนเพราะจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดผลการลงประชามติโดยเฉพาะพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสิน

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า เนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญอาจไม่ใช่สาเหตุสำคัญในการตัดสินใจของผู้มีสิทธิลงประชามติเพราะไม่ว่ายุคใดสมัยใดประชาชนมุ่งในเรื่องการทำมาหากินและคงไม่มีเวลามาศึกษาเนื่อหาในร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นเรื่องไกลตัวและเข้าใจยาก แต่จะตัดสินใจจากข่าวสาวข้อมูลที่ได้รับจากสื่อประเภทต่างๆ และที่สำคัญคือความพึงพอใจหรือศรัทธาในคสช.หรือพรรคการเมือง โดยมองที่ภาพรวมอนาคตของประเทศเป็นตัวชี้วัด

ทฤษฎีอีกกระแสหนึ่งที่มีการตั้งข้อสังเกตก็คือปรากฏการณ์ประชาชนจำนวนไม่น้อยไม่อยากให้มีการเลือกตั้งทั่วไปเนื่องจากไม่ไว้ใจบรรดานักการเมืองที่จะกลับมาสร้างปัญหาให้ประเทศอีก และอยากให้ คสช.อยู่จัดระเบียบประเทศต่อไป จึงเกิดกระแสแนวคิดที่จะลงประชามติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อันจะทำให้คสช.อยู่ในอำนาจต่อไปอีกช่วงระยะเวลาหนึ่ง

ดังนั้นผลงานของคสช.ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมาหลังการเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศและความหวังในการเดินหน้าปฏิรูปชาติบ้านเมืองกับพฤติการณ์ของพรรคการเมืองตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จนทำให้ประเทศจมอยู่ในวังวนของวิกฤตการณ์ทางการเมืองซ้ำซากจนบ้านเมืองชอกช้ำอย่างหนักอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญสำหรับการตัดสินใจของพลังเงียบและเป็นตัวบ่งชี้ผลการลงประชามติ 7 ส.ค.นี้
ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กตู่ทิ้งไพ่วัดใจประชามติ จะเดินหน้าหรือกลับไปเหมือนเดิม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/228033

วันเสาร์ ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 02.07 น.

ช่วงโค้งสุดท้ายเหล่านักเลือกตั้งโดยเฉพาะสองพรรคใหญ่คือเพื่อแม้วกับประชาธิกัดที่ปกติไม่เผาผีแต่ครั้งนี้กลับหันมาจูบปากร่วมกันงัดสารพัดวิชาทั้งบนดินและใต้ดินจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงให้ได้

หนึ่งในไพ่ตายของฝ่ายคว่ำร่างรัฐธรรมนูญในช่วงโค้งสุดท้ายก็คือการแถลงประกาศจุดยืนของ นายอภิสิทธิ์เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิกัด ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงด้วย เหตุผลหลัก 3 ข้อตามด้วย นายชวน หลีกภัยประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิกัด อาศัยบารมีภาพความซื่อสัตย์สุจริตหนุนจุดยืนของ นายอภิสิทธิ์ ผู้เป็นศิษย์ก้นกุฏิเพื่อเป็นการการันตี หรือแม้แต่เหล่าแกนนำเพื่อแม้วทั้งหลายยังฉวยโอกาสเอออวยหนุนส่ง นายอภิสิทธิ์ในการคว่ำรัฐธรรมนูญปราบโกง

แต่ประชาธิกัดก็คือประชาธิกัดที่ไม่เหมือนพรรคบริษัทจำกัดอย่างพรรคเพื่อแม้วที่อำนาจอยู่ภายใต้คำสั่งของเจ้าของพรรคบริษัทจำกัดเพียงคนเดียว เพราะฉะนั้นจึงมีข่าวว่าในพรรคประชาธิกัดเสียงแตกเป็นสองฝ่ายโดยฝ่ายหนึ่งสนับสนุนจุดยืน นายอภิสิทธิ์ ขณะที่อีกฝ่ายเห็นว่าควรหนุนร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงเพราะภาพรวมมีข้อดีมากกว่าข้อเสีย ทำให้ในที่สุดเชื่อว่าพรรคประชาธิกัดฟรีโหวตโดยปริยาย

แม้ประชาธิกัดจะทิ้งไพ่ช่วงโค้งสุดท้ายหวังคว่ำรัฐธรรมนูญปราบโกง แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า แฟนคลับของพรรคประชาธิปัตย์แม้จะยังรักประชาธิกัด แต่ก็อาจไปลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญปราบโกง โดยอาจมองว่าชาติบ้านเมืองต้องมาก่อนพรรคการเมืองที่นิยมชมชอบ อย่าว่าแต่เหตุผลของประชาธิกัดครั้งนี้ยังมีปมคาใจมหาชนไม่น้อย

ด้านนายอุดม รัฐอมฤต โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ออกมาตอบโต้เหตุผลคว่ำรัฐธรรมนูญปราบโกงของ นายอภิสิทธิ์ ทันควันโดยชี้ว่า ไม่จริงที่อ้างว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่มีกลไกป้องกันการทุจริตที่มีประสิทธิภาพเพราะร่างฉบับนี้กำหนดมาตรการกลั่นกรองป้องกันนักการเมืองเลวไปจนถึงบทลงโทษนักการเมืองที่ทุจริตประพฤติมิชอบอย่างรุนแรง ส่วนที่ระบุว่ามีการเปิดช่องเอื้อให้จำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตมโหฬารและสร้างความเสียหายย่อยยับให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์โดยกำหนดให้จำเลยสามารถยื่นอุทธรณ์ได้นั้น เจตนารมณ์ของกรธ.ก็เพื่อสร้างมาตรฐานกระบวนการยุติธรรมตามหลักสากลตามที่มีเสียงเรียกร้องโดยไม่ได้คำนึงถึงการเอื้อต่อคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งส่วนการกำหนดให้มีสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ที่มาจากการแต่งตั้งในช่วง 5 ปีแรกก็เพื่อประคับประคองและเดินหน้าปฏิรูปประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านให้เป็นไปด้วยความราบรื่น

ในประเด็นที่ นายอภิสิทธิ์ อ้างว่ารัฐธรรมนูญปราบโกงเอื้อต่อจำเลยคดีรับจำนำข้าวนั้นมีการตั้งข้อสังเกตว่า หากจริงอย่างที่อ้างแล้วทำไมขบวนการเพื่อแม้วถีงไม่ปลื้มในการหนุนร่างรัฐธรรมนูญให้ผ่านการลงประชามติ ตรงกันข้ามกลับระดมทุ่มสุดตัวเดินเกมทั้งบนดินใต้ดินจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงอย่างเอาเป็นเอาตาย

บุคคลสำคัญอีกคนหนึ่งซึ่งมีอิทธิพลพอสมควรต่อโค้งสุดท้ายก่อนการลงประชามติวันที่ 7 ส.ค.ก็คือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน กปปส.ที่ออกมาให้ความเห็นทิ้งทวนสวนทางพรรคประชาธิกัดโดยยืนยันจุดยืนที่เคยประกาศมาตั้งแต่ต้นว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญ พร้อมทั้งถล่มนักการเมืองว่าเห็นแก่ตัว ใจแคบ คิดเอาแต่ประโยชน์เฉพาะหน้าทางการเมือง

แต่บุคคลสำคัญที่สุดที่ออกมาให้ความเห็นและอาจจะส่งผลต่อการลงประชามติวันที่ 7 ส.ค.นี้ก็คือพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ย้ำว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการลงประชามติก็ต้องร่างกันใหม่

หากมีการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั่นหมายความว่า คสช.จะเป็นผู้คุมเกมในการยกร่างและจะประกาศใช้ได้เลยโดยไม่ต้องมีการลงประชามติอีก ซึ่งเป็นประเด็นที่บรรดาพรรคการเมืองวิตกเพราะอาจเจอร่างรัฐธรรมนูญที่ใช้ยาแรงกว่าเดิมในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ

นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังวัดใจมหาชนด้วยการกล่าวถึงบรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายที่ออกมาประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงว่า เป็นเพียงคนแค่หยิบมือหากเทียบกับประชาชนผู้มีสิทธิออกเสียงลงประชามติหลายสิบล้านคน พร้อมกับคำพูดทีเด็ดตบท้ายให้ข้อคิดเตือนสติประชาชนความว่า “จะให้เขานำผิดนำถูกก็แล้วแต่ ประชาชนเป็นคนเลือกต้องเรียนรู้ ขอให้ไปดูว่าก่อน 22 พ.ค.2557 มันมีอะไรอยู่ แล้วจะต้องการให้เกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไปหรือไม่ไปคิดเอาเอง”

คำพูดพล.อ.ประยุทธ์เหมือนเป็นการทิ้งไพ่วัดใจมหาชนให้เลือกระหว่างนักการเมืองกับคสช.ที่เสี่ยงยึดอำนาจเพื่อเข้ามาปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์อันเลวร้าย และให้เลือกระหว่างการเดินหน้าปฏิรูปแก้ปัญหาของประเทศครั้งใหญ่อย่างยั่งยืน หรือจะปล่อยให้ชาติบ้านเมืองกลับไปสู่สถานการณ์เหมือนก่อนการยึดอำนาจ 22 พ.ค.2557 ที่เต็มไปด้วยวิกฤติความรุนแรงปั่นป่วนวุ่นวายจนบ้านเมืองพังพินาศกลายเป็นรัฐล้มเหลวสิ้นเชิง

ทีมข่าวการเมือง

ปมคาใจรูโหว่ร่างรธน.ปราบโกง เปิดช่องเอื้อจำเลยคดีจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/227881

วันศุกร์ ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

การที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ออกมาทิ้งทวนประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันลงประชามติ 7ส.ค. เชื่อว่าแม้แต่แฟนคลับพรรคประชาธิปัตย์เองก็มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย และถึงที่สุดก็คงต้องวัดกันด้วยข้อดีข้อเสียในภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงซึ่งต้องยอมรับว่าไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนสมบูรณ์แบบ 100% แม้แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 ที่ได้ชื่อว่าฉบับประชาชนและร่างฉบับปี 2550 ที่ผ่านการทำประชามติมาแล้วก็ยังมีข้อบกพร่องเปิดช่องให้พรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและทำลายบ้านเมืองพินาศย่อยยับจนเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติ

แต่ในบรรดาเหตุผลไม่รับร่างรัฐธรรมนูญของ นายอภิสิทธิ์ มีอยู่ประเด็นหนึ่งน่าสนใจนั่นคือ หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านจะเป็นการต่อลมหายใจให้กับบรรดาจำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าวที่โกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความเสียหายย่อยยับแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท นำโดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯที่จะมีโอกาสซื้อเวลายื้อเกม

ทั้งนี้คดีโครงการรับจำนำข้าวขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซี่งรัฐธรรมนูญฉบับที่ผ่านๆ มากำหนดให้คำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองถือเป็นที่สิ้นสุดไม่มีการอุทธรณ์ฎีกาใดๆ อีก แต่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่กำลังจะลงประชามติกำหนดให้สามารถยื่นอุทธรณ์ได้

นายอภิสิทธิ์ ชี้ให้เห็นว่า หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติน่าจะประกาศใช้ในเดือนตุลาคม หรือพฤศจิกายน ขณะที่คดีจำนำข้าวน่าจะตัดสินหลังจากนั้นอีก 1-2 เดือน ซึ่งหากศาลตัดสินว่าผิด บรรดาจำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าวสามารถซื้อเวลายื่นอุทธรณ์ได้อันเกิดจากผลพวงร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

หากคดียื้อไปจนถึงมีรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้าและหากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอะไรจะเกิดขึ้นกับคดีรับจำนำข้าวเป็นเรื่องที่แค่คิดก็น่าวิตกแล้ว

เพราะฉะนั้นนี่อาจเป็นหนึ่งในจุดผิดพลาดของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงซึ่งไม่รู้ว่าคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) มองเห็นหรือไม่ แต่สำหรับคนทั้งประเทศคงไม่อยากเห็นเหล่าพวกที่โกงชาติปล้นแผ่นดินสร้างความย่อยยับล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มีโอกาสยื้อเกมและอาจพ้นผิดลอยนวล

ทีมข่าวการเมือง

ล้างวิชามารขบวนการป่วนประชามติ โยงใยสั่นสะเทือนพรรคเพื่อแม้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/227713

วันพฤหัสบดี ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

คำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้นายบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (นายกอบจ.) จ.เชียงใหม่ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราวหลังจากที่มีการบุกตรวจค้นพบร่างรัฐธรรมนูญปลอมที่มีเนื้อหาบิดเบือนจำนวนมากในที่ทำงานของคนตระกูล “บูรณุปกรณ์” ก่อนหน้านี้ถือเป็นสัญญาณการกวาดล้างขบวนการวิชามารป่วนประชามติด้วยยาแรง โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช. ย้ำชัดเจนว่า หากพยานหลักฐานสาวไปถึงใครจับหมด

ขณะที่มีรายงานข่าวว่าจากการสืบสวนขยายผลของฝ่ายตำรวจทั้งหลักฐานร่างรัฐธรรมนูญปลอมจำนวนมากที่เตรียมส่งไปยังประชาชนที่พบในห้องทำงานของคนตระกูล “บูรณุปกรณ์” รวมทั้งการให้การซัดทอดของผู้ต้องหาหลายคนที่ถูกจับกุมก่อนหน้านี้ชี้ว่า การป่วนช่วงโค้งสุดท้ายก่อนวันลงประชามติ 7 ส.ค. นี้ด้วยการเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญปลอมทำอย่างเป็นขบวนการโดยมีนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่นอยู่เบื้องหลัง โดยป่วนไม่แต่เฉพาะที่จ.เชียงใหม่ แต่แพร่กระจายในหลายจังหวัดภาคเหนือ อาทิ ลำปาง ลำพูน

ทั้งนี้ร่างรัฐธรรมนูญปลอมมีเนื้อหาบิดเบือนหวังคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงโดยให้ข้อมูลเท็จว่า หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติจะทำให้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค เรียนฟรี 15 ปี และเบี้ยยังชีพคนชราถูกยกเลิก

ล่าสุดมีข่าวว่า เบื้องต้นฝ่ายตำรวจเตรียมขออนุมัติศาลออกหมายจับนักการเมือง 5 คน ที่พยานหลักฐานบ่งชี้ว่ามีส่วนพัวพันอยู่เบื้องหลังขบวนการรัฐธรรมนูญปลอมป่วนประชามติ

ขณะเดียวกันทั้งๆ ที่ยังไม่มีการออกหมายจับ แต่อยู่ๆ น.ส.ทัศนีย์ บูรณุปกรณ์ อดีตสส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ได้เข้าพบ พล.ต.ท.ธนิตศักดิ์ ธีระสวัสดิ์ ผู้บัญชาการตำรวจภาค 5 เพื่อแสดงความความบริสุทธิ์ใจ

การเผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญปลอมที่มีการบิดเบือนนั้นมีโทษความผิดตามมาตรา 61 ของ พ.ร.บ.การจัดทำประชามติโดยกำหนดโทษจำคุก 1-10 ปี ปรับไม่เกิน 2 แสนบาท และศาลอาจสั่งให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งไม่เกิน 5 ปีด้วยก็ได้ แต่หากป่วนเป็นขบวนการตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปมีโทษจำคุก1-10 ปี ปรับตั้งแต่ 2 หมื่นถึง 2แสนบาท และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปี

สำหรับตระกูล “บูรณุปกรณ์” นั้นเป็นหนึ่งในตระกูลเก่าแก่ของจ.เชียงใหม่ และเป็นฐานเสียงสำคัญของพรรคเพื่อไทยในการผูกขาดนักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับเชียงใหม่แบบยกจังหวัดมานานหลายปีโดยบุคคลสำคัญที่เป็นแม่ทัพพรรคเพื่อไทยในภาคเหนือโดยเฉพาะจ.เชียงใหม่โดยอยู่เบื้องหลังตระกูล “บูรณุปกรณ์”ก็คือ นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือ“เจ๊แดง” น้องสาวของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก

เพราะฉะนั้นการกวาดล้างขบวนการแพร่รัฐธรรมนูญบิดเบือนป่วนการทำประชามติครั้งนี้นอกจากโยงใยทำลายภาพพจน์ความชอบธรรมของพรรคเพื่อแม้วแล้ว ยังสั่นสะเทือนฐานเสียงและอิทธิพลของพรรคเพื่อแม้วในภาคเหนือ

 

พระประสารเลิกตะแบง ปลุกม็อบผ้าเหลืองระวังเจอคุก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/227529

วันพุธ ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

พระเมธีธรรมาจารย์ หรือพระประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พุทธศาสนาแห่งประเทศไทย (ศพศ.) นับวันจะเผยธาตุแท้ตัวตนดุจนักเคลื่อนไหวเสื้อแดงในคราบผ้าเหลืองที่ลุกลี้ลุกลนหวังบีบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯให้รีบเสนอชื่อสมเด็จช่วง แห่งวัดปากน้ำ ขึ้นเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ให้ได้ ทั้งๆ ที่สมเด็จช่วงมีมลทินจากคดีครอบครองรถเบนซ์โบราณผิดกฎหมายและกำลังอยู่ระหว่างรอถูกดำเนินคดี

ปูมหลัง พระประสาร ผู้นี้เป็นมาอย่างไรสาธารณชนคงหูตาสว่างทราบกันแล้วจากข่าวที่ถูกตีแผ่ก่อนหน้านี้ แต่การที่ พระประสาร พยายามปลุกม็อบผ้าเหลืองด้วยการตะแบงอ้างว่า กรณีที่ สมเด็จช่วง ไม่ได้รับการเสนอชื่อเป็นพระสังฆราชเพราะมีขบวนการที่พยายามบ่อนทำลายพระพุทธศาสนาที่กำลังถูกคุกคามถือเป็นการมุสาบิดเบือนโดยไม่แยกแยะระหว่างผิดถูกชั่วดีและระหว่างกฎหมายบ้านเมืองกับตัวบุคคล

ปัญหาของ ธัมมชโย กับ สมเด็จช่วง สองอาจารย์ศิษย์ไม่ได้เกี่ยวกับพุทธศาสนาใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องของคนที่ถูกล่าวหาว่าทำผิดกฎหมายโดยคนหนึ่งถูกออกหมายจับ และอีกคนหนึ่งกำลังรอถูกดำเนินคดีซึ่งก็ต้องว่ากันไปตามตัวบทกฎหมายและพิสูจน์ความจริงตามกระบวนการยุติธรรมซึ่งในที่สุดจะไปสิ้นสุดที่ศาล โดยไม่ว่าพระหรือฆราวาสล้วนอยู่ภายใต้กฎหมายอย่างเท่าเทียมกัน ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยคนชั่วหรือโจรพอทำผิดก็ไปบวชเป็นพระแล้วอาศัยผ้าเหลืองเป็นเกราะกำบัง

หาก ธัมมชโย และ สมเด็จช่วง ไม่ผิดอย่างที่ถูกกล่าวหา ในที่สุดศาลย่อมตัดสินให้พ้นมลทิน เพราะฉะนั้นหากมั่นใจว่าบริสุทธิ์ก็ต้องกล้าไม่กลัวพิสูจน์ตัวเองตามกระบวกการยุติธรรม ไม่ใช่หาข้ออ้างหลบเลี่ยงการสู้คดีซ้ำใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมายอย่างที่ทำอยู่

เพราะฉะนั้นจะมาโมเมอ้างว่าเป็นเรื่องทำลายพุทธศาสนาเพราะการทำผิดกฎหมายเป็นเรื่องของตัวบุคคลเป็นคนละเรื่องกับพระพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง จึงชอบแล้วที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมจะเตือนสติ พระประสาร ว่าต้องรู้จักแยกแยะและเคารพหลักกฎหมาย อย่าปลุกม็อบผ้าเหลืองออกมาก่อความวุ่นวาย ซึ่งหากทำผิดกฎหมายต้องจับกุมไม่ไว้หน้า

ดังนั้นการที่พระประสารพยายามจะปลุกม็อบพระทั่วประเทศให้ลุกฮือ และล่าสุดยังคิดจะชักศึกเข้าบ้านด้วยการยุให้องค์กรสงฆ์ทั่วโลกออกมาร่วมผสมโรงถือว่าไร้ความชอบธรรมและต้องระวังให้ดีเพราะอาจจะเจอหลายข้อหาทั้งจากกฎหมายด้านความมั่นคงและคำสั่งคสช.ฐานปลุกปั่นยุยงให้เกิดความวุ่นวายบ่อนทำลายความสงบสุขและความมั่นคงของชาติ และพระประสารอย่าลืม
ว่าตัวเองยังมีชนักปักหลังกรณีปลุกม็อบในคราบผ้าเหลืองเฮโลล็อกคอทหารและพังรถของทางราชการที่พุทธมณฑลก่อนหน้านี้

ทีมข่าวการเมือง

เครือข่ายเพื่อแม้วหน้าเดิมๆโหมเกม ปลุกกระแสคว่ำรธน.ปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/227352

วันอังคาร ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ยิ่งใกล้วันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญปราบโกง 7 ส.ค.เข้าไปเท่าไหร่ดูเหมือนเครือข่ายเพื่อแม้วหน้าเดิมๆ ที่มุ่งจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญให้ได้ตามใบสั่งนายใหญ่ก็เผยธาตุแท้ตัวตนออกมาเคลื่อนไหวดุเดือดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุดกลุ่มประชาธิปไตยใหม่เจ้าเก่ากับพวกอ้างตัวว่าเป็นเครือข่าย 43 องค์กร จัดกิจกรรมปลุกระดมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยหัวโจกก็คือนักวิชาการสายเสื้อแดงที่เป็นตัวตั้งตัวตีซึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนล้วนพวกหน้าเดิมที่คุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี อาทิ นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ นายอนุสรณ์ อุณโณ โดยมีเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วร่วมจัดฉากแสดงพลัง

ขบวนการเพื่อแม้วนั้นถนัดในเรื่องการสร้างภาพโฆษณาชวนเชื่อซึ่งทำได้ง่ายๆ เพียงแค่จัดตั้งองค์กรที่ใช้คำ อาทิ “ประชาธิปไตย” หรือ “ประชาชน” หรือคำอะไรก็ตามที่ดูน่าเชื่อถือจำนวนมากเข้าไว้ ทั้งๆ ที่แต่ละองค์กรมีคนไม่กี่คน แล้วระดมพวกเดียวกันเองมาร่วมจัดฉากแสดงพลังเชิงสัญลักษณ์ชูมือว่าโหวตโนเพื่อให้สื่อถ่ายภาพกลายเป็นข่าวใหญ่ว่าพลังประชาชนจำนวนมากไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ทั้งๆ ที่เป็นการเคลื่อนไหวของคนหน้าเดิมๆ เพียงหยิบมือเดียว

หากย้อนกลับไปทบทวนความเคลื่อนไหวของเหล่าแก๊งนักวิชาการและนักเคลื่อนไหวหน้าเดิมและสังเกตดูให้ดีจะพบว่า จะไม่เคยออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านประณามขบวนการเพื่อแม้วแม้แต่ครั้งเดียวไม่ว่าขบวนการเพื่อแม้วจะโกงบ้านกินเมืองอย่างมโหฬารและมีพฤติกรรมชั่วร้ายเลวทรามเพียงใดก็ตาม ตรงกันข้ามจะออกมาเคลื่อนไหวเชิงปกป้องสนับสนุนตลอด โดยเฉพาะทุกครั้งที่ระบอบแม้วอยู่ในภาวะที่เพลี่ยงพล้ำเสียเปรียบ เครือข่ายนักวิชาการและนักศึกษาเสื้อแดงหน้าเดิมจะออกโรงมาถล่มฝ่ายที่เป็นศัตรูของขบวนการเพื่อแม้วแบบไม่ยั้งทันที

ขณะที่เครือข่ายที่อ้างตัวเป็นเครือข่าย 43 องค์กรออกมาสุมไฟโหวตโน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวก็ออกมาเคลื่อนไหวสอดรับด้วยการส่งสัญญาณเรียกร้องให้ประชาชนออกมาใช้สิทธิลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญให้มากที่สุดหรือพูดง่ายๆ ส่อเจตนาส่งสัญญาณให้ประชาชนออกมาโหวตโนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นจุดยืนของขบวนการเพื่อแม้วตั้งแต่ต้น

ขบวนการเพื่อแม้วตั้งเป้าคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเพราะหัวใจสำคัญของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงออกแบบมาเพื่อใช้ยาแรงมุ่งสกัดและขจัดพรรคธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤติชาติช่วงหลายปีที่ผ่านมา ด้วยบทลงโทษที่รุนแรงตั้งแต่ตอนสมัครลงเลือกตั้งไปจนถึงหลังเลือกตั้งมีรัฐบาลแล้ว โดยนักการเมืองที่โกงชาติปล้นแผ่นดินนอกจากโทษทางอาญาแล้วยังอาจถูกยึดทรัพย์ตกเป็นของแผ่นดินและถูกตัดสิทธิ์ทางการเมืองไปตลอดชีวิต

เพราะฉะนั้นเป้าหมายของขบวนการเพื่อแม้วคือทำทุกวิถีทางคว่ำร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงและล้มการปฏิรูปประเทศให้ได้เพื่อขจัดอุปสรรคต่อการฟื้นขบวนการเพื่อแม้วกลับมามีอำนาจทำสิ่งชั่วร้ายได้ตามใจชอบอีกครั้ง

ทีมข่าวการเมือง

ม็อบเหลืองเลิกตะแบง ดันสมเด็จช่วงเป็นสังฆราช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/227161

วันจันทร์ ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

พระเมธีธรรมาจารย์หรือพระประสาร เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย(ศพศ.) ไม่ละความพยายามยังคงออกมาข่มขู่กดดัน พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ให้รีบเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง วัดปากน้ำ ประธานมหาเถรสมาคมและผู้ทำหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อแต่งตั้งเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่โดยเร็ว มิฉะนั้นม็อบผ้าเหลืองทั่วประเทศออกมาแสดงพลัง ทั้งๆ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)แถลงแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับสมเด็จช่วงฐานครอบครองรถเบนซ์โบราณหรูโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

พระประสาร ซึ่งเป็นหัวโจกเครือข่ายระบอบทักษิณและสำนักจานบินมาช้านานอ้างว่าสมเด็จช่วง ยังถือเป็นผู้บริสุทธิ์เพราะศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุด เพราะฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรีบนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ

อาการอย่างนี้ของ พระประสาร สะท้อนให้เห็นถึงเจตนาลุกลี้ลุกลนและตะแบงผิดผิดปกติโดยไม่คำนึงถึงความไม่บังควรนำรายชื่อพระเถระผู้ใหญ่ที่มีมลทินขึ้นทูลเกล้าฯเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่และอ่อนไหว อันเป็นการทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทเพราะการที่จะเสนอชื่อพระเถระผู้ใหญ่ขึ้นทูลเกล้าฯเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่นั้นจะต้องได้รับการกลั่นกรองเป็นอย่างดีแล้วว่าเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีจริยวัตรอันงดงามไร้มลทิน ไม่ใช่มีมลทินถูกดำเนินคดีหรือมีข้อครหาอื้อฉาวในหลายเรื่อง จึงชอบธรรมแล้วที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะชะลอการทูลเกล้าฯผู้จะเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่จนกว่าจะมีความชัดเจนและไม่ทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท

นอกจากครอบครองรถเบนซ์โบราณเถื่อนแล้ว สมเด็จช่วง ยังมีมลทินถูกครหาในเรื่องให้การปกป้อง ธัมมชโย ผู้เป็นศิษย์ซึ่งมีคดีอาญาติดตัวมากมายและ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เคยมีพระบัญชาให้ปาราชิกพ้นความเป็นพระตั้งแต่ปี 2542 ฐานยักยอกทรัพย์วัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและเผยแพร่ลัทธิที่ผิดเพี้ยนจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

ข้ออ้างของพระประสาร ยังส่อพิรุธและแสดงตรรกะที่ขัดแย้งในตัวเอง เพราะขณะที่ตะแบงอ้างว่า คดีเบนซ์เถื่อนของ สมเด็จช่วง ยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าผิดจึงควรรีบเสนอชื่อเป็นพระสังฆราช ก็ในเมื่อยังไม่มีการพิสูจน์ว่า สมเด็จช่วง บริสุทธิ์ แล้วทำไมถึงร้อนตัวข่มขู่กดดันเร่งรีบให้ตั้ง สมเด็จช่วง ทั้งๆ ที่ความจริงการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ต้องยุติโดยปริยายจนกว่าศาลจะมีคำพิพากษาถึงที่สุด อย่าว่าแต่ในทางธรรมนั้นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีศีลอันบริสุทธิ์ปล่อยวางไม่ยึดติดในกิเลสทั้งปวงแค่มีข้อครหาก็จะมีความละอายหันหลังจากกิเลสทั้งปวงโดยทันที แทนที่จะมีความอยากทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภยศสรรเสริญ

เพราะฉะนั้นสงฆ์ทั่วประเทศทั้งหลายหากคิดจะออกมาแสดงพลังตามคำโฆษณาชวนเชื่อปลุกระดมของพระประสารต้องคิดให้ดีเพราะอาจถูกตั้งข้อสังเกตได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอลัชชีที่ส่อพฤติการณ์เข้ามาแสวงหาอำนาจผลประโยชน์ในคราบผ้าเหลือง

ทีมข่าวการเมือง

คสช.ซื้อใจวัดดวง โค้งสุดท้ายประชามติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/227028

วันอาทิตย์ ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับถอยหลังอีกเพียง 21 วัน ก็จะถึงวันลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและคำถามพ่วงเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ท่ามกลางอุณหภูมิการเมืองที่ร้อนแรงและสกปรกมากขึ้นทุกขณะจากขบวนการกลุ่มอำนาจเก่าที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญและสุมไฟให้เกิดวิกฤติ

ปัญหาที่สร้างความปั่นป่วนช่วงก่อนการลงประชามติก็คือขบวนการที่ใช้สารพัดวิชามารบิดเบือนเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญแล้วจัดทำเอกสารคำชี้แจงร่างรัฐธรรมนูญปลอมที่บิดเบือนแจกจ่ายและส่งถึงประชาชนในหลายจังหวัดทั่วประเทศโดยเฉพาะในภาคเหนือและภาคอีสาน ควบคู่ไปกับการที่อดีตสส.พรรคกลุ่มอำนาจเก่าบางคนปลุกระดมบิดเบือนว่าหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติจะทำให้โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค โครงการเรียนฟรี 15 ปี หรือเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุจะถูกยกเลิก

สำหรับแนวโน้มผลการลงประชามติซึ่งจะส่งผลต่อทิศทางประเทศในอนาคตพบว่า พลังเงียบจะเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดผลประชามติ ซึ่งจากผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมาพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่กว่าครึ่งยังไม่ตัดสินใจว่าจะรับร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งปัญหาอีกประการหนึ่งสำหรับการลงประชามติครั้งนี้ก็คือ ประชาชนส่วนใหญ่ไม่สนใจหรือยังไม่เข้าใจเนื้อหาในร่างรัฐธรรมนูญเท่าที่ควร ทั้งนี้ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารัฐธรรมนูญเป็นเรื่องไกลตัวและเข้าใจยากสำหรับประชาชนทั่วไปที่สนใจแต่เรื่องปากท้องการทำมาหากินของตัวเอง จึงทำให้ผลการลงประชามติที่จะมีขึ้นอาจไม่ได้สะท้อนการเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง แต่จะเป็นการสะท้อนการตัดสินใจของประชาชนตามข้อมูลข่าวสารทางการเมืองที่ได้รับรู้หรือด้วยความเชื่อศรัทธาในอำนาจรัฐหรือฝ่ายที่อยู่ตรงกันข้ามอำนาจรัฐ

แต่ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ก็ตามคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ยังอยู่ในอำนาจต่อไปและเตรียมแผนรองรับไว้แล้วในกรณีหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการลงประชามตินั่นคือการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้โดยไม่ต้องมีการลงประชามติอีก

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ถึงกับประกาศแบบคาบลูกคาบดอกทีเล่นทีจริงว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ด้วยตัวเอง เหมือนต้องการส่งส่งสัญญาณวัดใจบรรดาพรรคการเมืองและมหาชนในการลงประชามติที่จะมีขึ้น

ทั้งนี้สิ่งที่บรรดาพรรคการเมืองวิตกก็คือไม่รู้ว่าหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงไม่ผ่านการลงประชามติแล้วจะเจอร่างรัฐธรรมนูญที่มีเนื้อหาเข้มข้นกว่าฉบับที่ตกไปหรือไม่ โดยเฉพาะการกำหนดให้อำนาจพิเศษในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งอยู่กำกับรัฐบาลหลังการเลือกตั้งอย่างยาวนาน

นอกจากนี้โดยธรรมชาติของนักเลือกตั้งแล้วแม้ปากจะโจมตีร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างคะแนนหรือเพื่อเดิมเกมการเมือง แต่ใจจริงก็อยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วและกลัวจะเจอยาที่แรงกว่า ดังนั้นพอเอาเข้าจริงๆ บรรดาอดีตสส.ทั้งหลายแม้แต่พรรคเพื่อไทยอาจจะผลักดันให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการลงประชามติ

ในส่วนของประชาชนนั้นก็คงอยากให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยและเดินไปข้างหน้าและมีการเลือกตั้งในปีหน้าตามโรดแมปที่คสช.กำหนดไว้ซึ่งอาจส่งผลต่อการลงประชามติ

แต่อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้วไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ทุกประการล้วนอยู่ภายใต้เกมของคสช.โดยหากร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงผ่านก็ถือเป็นการเดินหน้าปฏิรูปประเทศด้วยกติการที่เข้มข้นในการขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตย แต่หากไม่ผ่านก็มีร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่เข้มข้นกว่าเตรียมไว้แล้วซึ่งพรรคธุรกิจการเมืองที่เคยประพฤติชั่วร้ายในอดีตย่อมไม่พอใจและต้องพยายามต่อต้านขัดขวางอย่างสุดฤทธิ์แน่นอน

ทีมข่าวการเมือง