ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า
http://www.naewna.com/creative/226923
วันเสาร์ ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
อีกแค่ 2 สัปดาห์ ก็จะถึงวันชี้ชะตาการลงประชามติว่าจะรับหรือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงอันเป็นผลพวงของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ต้องการเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ซ้ำซากของธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตย ซึ่งยิ่งใกล้วันลงประชามติ ขบวนการใต้ดินป่วนบ่อนทำลายบรรยากาศการลงประชามติให้ยิ่งร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงกับมีการเผาทำลายบัญชีรายชื่อผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติในหลายจังหวัด
ขบวนการที่ออกมาเคลื่อนไหวจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญที่ชัดเจนก็คือเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้ว ทั้งในส่วนพรรคเพื่อแม้ว กลุ่มเสื้อแดง และเครือข่ายเพื่อแม้วในคราบนักวิชาการและนักศึกษาซึ่งล้วนเป็นเหล่าคนหน้าเดิมๆเพียงไม่กี่คน
แต่ความเคลื่อนไหวที่น่าจับตาช่วงนี้คือการจับมือกันได้อย่างไม่น่าเชื่อเป็นครั้งแรกระหว่างสองพรรคใหญ่คู่กัดคือพรรคเพื่อแม้วกับพรรคประชาธิปัตย์ โดยแกนนำสองพรรคต่างร่วมลงชื่อสนับสนุนการเคลื่อนไหวของเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วยใย 16 องค์กร ที่มี นายโคทม อารียา และ นายจอนอึ๊งภากรณ์ เป็นตัวตั้งตัวตี โดยยื่นข้อเสนอ 5 ข้อ กดดันคสช.
ฝ่ายแกนนำพรรคเพื่อแม้วที่ร่วมลงชื่อสนับสนุน อาทิ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯ น้องเขยนายทักษิณชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์รักษาการหัวหน้าพรรคเพื่อแม้ว คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธุ์ ส่วนแกนนำพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผม อาทิ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และหัวหน้าพรรค นาองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรค
ส่วนข้อเสนอ 5 ข้อ ของเครือข่ายพลเมืองผู้ห่วงใย 16 องค์กร ประกอบด้วย 1.ให้เคารพในทุกสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนไม่ว่าจะเป็นฝ่ายเห็นด้วยหรือเห็นต่าง 2.ต้องมีการเสนอทางเลือกที่ชัดเจนให้กับประชาชนว่า ถ้าร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะมีกระบวนการอย่างไร จะร่างใหม่หรือไม่3.กรณีที่ร่างไม่ผ่านประชามติควรมีกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มาจากฉันทามติของประชาชนซึ่งหมายถึงการเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ(ส.ส.ร.) จากทั่วประเทศขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญเหมือนที่ผ่านมา 4.หากหลักการตามข้อเรียกร้อง 1-3 เกิดขึ้นจริง ทุกฝ่ายควรยอมรับในผลการทำประชามติ 5.รัฐธรรมนูญที่ได้ไม่ควรที่จะถดถอยในด้านสิทธิมนุษยชนส่งเสริมการถ่วงดุลระหว่าง 3 อำนาจ บัญญัติเรื่องการปฏิรูป และร่างรัฐธรรมนูญไม่ควรกำหนดให้แก้ไขยากจนเกินไป
ข้อเสนอทั้ง 5 ข้อจะว่าไปแล้วดูเหมือนจะซ่อนเป้าหมายที่แท้จริงและเข้าทางเหล่านักเลือกตั้งโดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วมากกว่าจะสนับสนุนให้เกิดประโยชน์ต่อชาติบ้านเมืองในการปฏิรูปประเทศให้พ้นจากธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตย อันเลวร้าย
ทั้งนี้จากบทเรียนที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับปี 2540 หรือฉบับล่าสุดปี 2550 ที่ยกร่างโดยด้วยวิธีการมี ส.ส.ร.ไม่สามารถแก้ปัญหาธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยได้ แต่ร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงฉบับนี้กำหนดยาแรงในการป้องกันและลงโทษนักการเมืองที่โกงชาติปล้นแผ่นดิน หรือสร้างความเสียหายแก่ประเทศตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำด้วยบทลงโทษที่เด็ดขาดรุนแรง ซึ่งนอกจากโทษทางอาญาและโทษทางการเมืองถึงขั้นถูกเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิตแล้ว ยังรวมถึงการยึดทรัพย์และให้คืนเงินที่โกงหรือชดใช้ความเสียหายทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย อีกทั้งนักการเมืองต้องรับผิดชอบต่อการถลุงงบประมาณแผ่นดิน หรือดำเนินโครงการประชานิยมที่เปิดช่องให้ทุจริตหรือสร้างความเสียหายแก่บ้านเมืองอย่างร้ายแรง
หากมีการเลือกตั้ง ส.ส.ร.ซึ่งขบวนการธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ยังมีอิทธิพลสูงในที่สุดก็จะได้ร่างทรงกลุ่มอำนาจเก่าเข้ามาเป็นส.ส.ร.ยกร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามที่ตัวเองต้องการ
ส่วนการที่เสนอให้แก้ไขรัฐธรรมนูญได้ง่ายขึ้นเป็นการเอื้อให้เหล่าพรรคการเมืองรวมหัวกันรื้อร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นประเทศก็จะกลับสู่วงจรอุบาทว์อันเลวร้ายอันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติอีกครั้ง
นายโคทมถึงกับเก็บอาการไม่อยู่สะท้อนจุดยืนว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงแน่โดยอ้างเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญปราบโกงฉบับนี้มุ่งเล่นงานคนบางคน
แต่ข้อเสนอ 5 ข้อดังกล่าว ถูกปิดสนิทเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ย้ำว่าอย่ามาบีบกันและไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือไม่ก็ตาม คสช.ก็ยังจะอยู่ในอำนาจต่อไปเพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้สำเร็จจนมีการเลือกตั้งและรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งคงต้องเป็นเช่นนั้นเพราะประเทศจะเกิดสุญญากาศไร้อำนาจรัฐไม่ได้ เว้นแต่จะมีการสร้างสถานการณ์สุมไฟให้เกิดการลุกฮือเรียกร้องอำนาจรัฐที่มาจากประชาชนโดยขบวนการกลุ่มอำนาจเก่า
สำหรับแนวโน้มของผลการลงประชามติ 7 ส.ค.นั้นถึงที่สุดแล้วประชาชนผู้เป็นเสียงสวรรค์โดยเฉพาะพลังเงียบที่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะสนับสนุนหรือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีจำนวนถึงกว่า 60% จะเป็นตัวแปรชี้ขาดผลการลงประชามติซึ่งนอกจากเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญปราบโกงที่จะเป็นปัจจัยการตัดสินใจของพลังเงียบแล้ว เชื่อว่าข้อเปรียบเทียบและความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อคสช.กับบรรดาพรรคการเมืองจะมีส่วนสำคัญกำหนดผลการลงประชามติ
ทีมข่าวการเมือง









