พวกอุบาทว์บิดเบือน บ่อนทำลายเบื้องสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/215485

วันศุกร์ ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

สำนักข่าวเอเอฟพีส่อพฤติการณ์บิดเบือนและให้ท้ายขบวนการหมิ่นเบื้องสูงของไทยด้วยการอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ นางแคตินา อดัมส์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศมะกันอันตรายด้านเอเชียตะวันออกที่ประณามกรณีที่ทางการไทยจับกุมดำเนินคดี น.ส.พัฒน์นรี ชาญกิจ ซึ่งเป็นแม่ของนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” แกนนำป่วนเมืองตัวยง ในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา

แต่ล่าสุด นายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ ออกมายืนยันแล้วว่าจากการตรวจสอบไปยังกระทรวงการต่างประเทศมะกันอันตรายได้รับการชี้แจงว่า ข่าวของสำนักข่าวเอเอฟพีดังกล่าวคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริงเพราะไม่มีการให้ข่าว “ประณาม” ไทย โดยโฆษกหรือเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐในกรณีแม่ของ “จ่านิว” แต่อย่างใดทั้งสิ้น แต่เป็นการขอสัมภาษณ์เจ้าหน้าที่คนหนึ่งของกรมเอเชียตะวันออกของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐที่เพียงแสดงความ “กังวล” ต่อปัญหาสิทธิมนุษยชนในไทยเท่านั้น

สรุปก็คือปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นความจงใจของสื่ออุบาทว์ประเภทผีโม่แป้งของตะวันตกที่จองเวรให้ท้ายขบวนการที่พยายามบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงของไทยมาอย่างต่อเนื่อง

แต่แม้ทางการมะกันอันตรายจะปฏิเสธว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์สื่ออุบาทว์สำนักดังกล่าวและยืนยันว่าไม่ได้ “ประณาม” ไทย แต่ก็มีข้อน่าสังเกตว่า ปกติการให้สัมภาษณ์สื่อโดยหน่วยงานของมะกันอันตรายโดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศจะมีระเบียบแบบแผนต้องได้รับอนุญาตและระมัดระวังเป็นอย่างมาก แต่ทำไมถึงกระทรวงการต่างประเทศมะกันอันตรายถึงปล่อยเจ้าหน้าที่กรมเอเชียตะวันออกให้สัมภาษณ์สื่อในเรื่องละเอียดอ่อนจนเป็นข่าวไปทั่วโลก ซึ่งพฤติกรรมของมะกันอันตรายที่ผ่านมาส่อเจตนาให้ท้ายขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงของไทยมาตลอดโดยก่อนหน้านี้ถึงกับเคยสนับสนุนให้ยกเลิกมาตรา 112

ขณะนี้กำลังมีความเคลื่อนไหวของขบวนการไทยขายชาติเครือข่ายระบอบแม้วพยายามชักศึกเข้าบ้านหวังใช้โลกล้อมไทยด้วยการสร้างสถานการณ์ฟ้องชาวโลกอ้างว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการถูกดำเนินคดีข้อหาต่างๆ รวมทั้งข้อหาหมิ่นสถาบันเบื้องสูง

เรื่องนี้เมื่อสื่อไปถาม พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายารมว.ยุติธรรม ได้รับคำตอบแบบชายชาติทหารที่โดนใจด้วยข้อความที่ว่า “ผมยอมไม่ได้อยู่แล้วพวกหมิ่นสถาบัน ประเทศไทยนั้นมีความสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์มากถึงต้องมีกฎหมายฉบับนี้ ต่างประเทศเขามีเหมือนเรามั้ย ครบรอบ 70 ปี ครองราชย์เขามีมั้ย ไม่มีเพราะเขาไม่มีอารยะ ไม่มีความละเอียดอ่อน ไม่มีความนุ่มนวลอย่างที่พวกเราได้รับ ไปบอกเขาด้วย เราไม่ได้กลัวอะไรต่างชาติ เขามีกฎหมายป้องกันผู้นำประเทศของเขา และเราก็มีกฎหมายป้องกันพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราเหมือนกัน”

ข้อน่าสังเกตคือประเทศตะวันตกบางประเทศและสื่อต่างชาติอุบาทว์บางสำนักจ้องประโคมข่าวและฟังแต่การใส่ร้ายของขบวนการหมิ่นเบื้องสูง แต่กลับไม่เคยมาถามความเห็นคนไทยทั้งประเทศที่ถูกเหยียบย่ำหัวใจว่าคิดอย่างไร เหมือนรู้เห็นเจตนาให้ท้ายแก๊งหมิ่นสถาบันอยู่ในที

ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กตู่ปิดเหมืองทองได้ใจชาวบ้าน โมเดลที่ทำให้คสช.ทำงานง่ายขึ้น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/215330

วันพฤหัสบดี ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจเด็ดขาดทุบโต๊ะจนคณะรัฐมนตรีมีมติปิดเหมืองทองคำทั่วประเทศซึ่งรวมทั้งเหมืองแร่ทองคำที่ดำเนินการโดยบริษัทอัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่ จ.พิจิตร หลังจากเป็นปัญหายืดเยื้อที่สร้างความทุกข์ให้ประชาชนในพื้นที่มานานนับสิบปีนับว่าโดนใจชาวบ้านอย่างแรง

มติคณะรัฐมนตรียังได้แก้ปัญหาอย่างครบวงจรโดยผ่อนปรนให้ผู้ประกอบการเหมืองแร่ทองคำหาผลประโยชน์จากสินแร่ได้จนถึงสิ้นปีนี้เท่านั้นเพื่อนำรายได้มาชดเชยให้พนักงานกว่า 1,000 คนที่ต้องตกงาน รวมทั้งต้องปรับปรุงสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติให้กลับคืนสู่สภาพเดิมในขณะเดียวกันรัฐจะเข้าเยียวยาดูแลประชาชนในพื้นที่ซึ่งเจ็บป่วยอันเนื่องจากการทำเหมือง

สัมปทานทำเหมืองทองคำในอดีตที่ผ่านมาผลประโยชน์ตกอยู่กับนายทุนทั้งไทยและต่างชาติ ขณะที่รัฐได้ผลตอบแทนที่ไม่
คุ้มค่าเมื่อเทียบกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมและที่สำคัญคือชีวิตและการเจ็บป่วยของชาวบ้านจำนวนมากในพื้นที่ซึ่งรับกรรมจากสารโลหะหนักอันเนื่องจากการทำเหมืองทองคำมานานนับสิบปีจนล้มป่วยโดยประชาชนที่เจ็บป่วยหลายรายเสียชีวิตอย่างทรมานซึ่งปัญหาที่เกิดขึ้นที่ผ่านมาประชาชนได้ร้องเรียนต่อรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลายยุคหลายสมัยมานาน แต่กลับไม่ได้รับการเหลียวแลอย่างจริงจัง ซ้ำบางรัฐบาลยังส่อพฤติการณ์เอื้อประโยชน์ให้นายทุนโดยมีผลประโยชน์แอบแฝง

ผลงานชิ้นโบแดงครั้งนี้พิสูจน์ให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่กล้าตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ และสะท้อนให้เห็นว่า รัฐบาล คสช.ยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองและความทุกข์ร้อนของประชาชนเป็นสำคัญ และสามารถทำในสิ่งที่รัฐบาลเลือกตั้งไม่สามารถหรือไม่คิดที่จะทำได้สำเร็จ ซึ่งคำสั่งเฉียบขาดปิดเหมืองทองคำครั้งนี้ไม่ได้โดนใจเฉพาะชาวบ้านในพื้นที่ซึ่งได้รับผลกระทบ แต่ยังโดนใจและสร้างศรัทธาต่อมหาชนทั้งประเทศไม่น้อย

ความเด็ดขาดกล้าตัดสินใจปิดเหมืองทองคำที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนครั้งนี้น่าจะถือเป็นโมเดลที่คสช. และรัฐบาลบิ๊กตู่ควรถือเป็นเข็มมุ่งสำหรับการปฏิรูปประเทศในเรื่องอื่นๆด้วย ซึ่งหากรัฐบาลกล้าตัดสินใจในเรื่องอื่นๆ จนเข้าตามหาชนอย่างต่อเนื่องเชื่อได้เลยว่าจะสามารถครองใจคนทั้งประเทศซึ่งผลสะท้อนที่จะกลับมาก็คือ ประชาชนจะเทใจให้คสช.และรัฐบาล

และประชาชนนี่แหละจะกลายเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้คสช. และรัฐบาลเดินหน้าบริหารและปฏิรูปประเทศได้ง่ายขึ้น เพราะเหล่าขบวนการป่วนเมืองที่เคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้จะไร้ความหมายกลายเป็นขบวนการฝนตกขี้หมูไหลที่ถูกมองว่าเป็นตัวเสนียดจัญไรที่คอยก่อกวนขัดขวางฉุดถ่วงความเจริญก้าวหน้าของประเทศ

ทีมข่าวการเมือง

อย่าเพิ่งด่วนสรุปรอความชัดเจน แนวทางปรองดองควรยึดชาติเป็นที่ตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/215174

วันพุธ ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
แค่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ออกมาโยนหินถามทางแนวคิดพักโทษเหล่าแกนนำทุกสีทุกกลุ่มที่ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์ความรุนแรงทางการเมืองช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความปรองดองปรากฏว่าบรรดาแกนนำทุกสีดาหน้าออกมาค้านกันเซ็งแซ่จนส่อเค้าว่า แนวทางปรองดองในชาติคงล่มทั้งๆ ที่ยังเป็นแค่กรอบแนวคิดที่ยังไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน

อย่าง นายเอกณัฐ พร้อมพันธุ์ แกนนำกปปส.ยืนยันว่า กปปส.พร้อมสู้คดีตามกระบวนการยุติธรรมและพร้อมยอมรับคำตัดสินของศาลทุกอย่างไม่ว่าผลการตัดสินจะออกมาอย่างไรโดยไม่เห็นด้วยที่จะมีการยุติคดีทั้งๆ ที่ยังไม่มีการพิสูจน์ความจริงว่าใครผิดใครถูก ขณะที่ นายวัชระเพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมายและควรปล่อยให้ศาลตัดสินความถูกผิด ซึ่งเมื่อศาลตัดสินแล้วจะนิรโทษกรรมอย่างไรค่อยมาว่ากัน ซึ่งสังคมยอมรับได้ แต่อยู่ๆ จะมาถอนฟ้องหรือพักโทษเป็นการผิดหลักนิติรัฐนิติธรรม

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง ตีขลุมตั้งป้อมค้านอ้างว่า กำลังมีความพยายามออกกฎหมายเพื่อช่วยกลุ่มเสื้อเหลืองโดยเฉพาะมีการพูดถึงการไม่เอาผิดกับการยึดสนามบิน

ส่วน นายวีระ สมความคิด แกนนำเครือข่ายต่อต้านการคอร์รัปชั่น มองว่าการที่จะให้คนทุกยอมรับผิดก่อนการพักโทษภายใต้เงื่อนไขว่าห้ามออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอีกต่อไป ถือเป็นการมัดมือชกเพราะคนที่ออกมาชุมนุมไม่ได้ทำความผิดเหมือนกันหมด บางกลุ่มไม่ได้ใช้ความรุนแรง ขณะที่บางกลุ่มใช้อาวุธและกลุ่มก่อการร้ายเผาเมือง จึงควรให้ศาลตัดสินว่าใครผิดใครถูกจากนั้นจึงค่อยมาพูดถึงเรื่องการปรองดอง อีกทั้งการตั้งเงื่อนไขว่าถ้ายอมรับการพักโทษแล้วต้องไม่เคลื่อนไหวอีกถือเป็นการปิดโอกาสพลังภาคประชาชน กรณีหากรัฐบาลในอนาคตทุจริตคอร์รัปชั่นหรือทำสิ่งชั่วร้าย ประชาชนก็ไม่สามารถออกมาแสดงพลังขับไล่ได้อีกต่อไป

ในท่ามกลางกระแสคัดค้านแนวทางสร้างความปรองดองสูตร สปท. พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมให้ความเห็นอย่างน่าสนใจว่า การที่คณะกรรมาธิการสปท.ออกมาเสนอแนวคิดสร้างความปรองดองถือเป็นเจตนาดีเพราะฉะนั้นทุกฝ่ายควรเปิดใจกว้างยอมรับความเห็นของฝ่ายที่เห็นต่างแล้วนำมาเปรียบเทียบ และร่วมกันหาทางออกเชิงสร้างสรรค์ ซึ่งจะเกิดประโยชน์กับชาติบ้านเมืองที่บอบช้ำมามากพอแล้ว ทั้งนี้แนวคิดที่มีการเสนอออกมาเป็นเพียงกรอบความคิดเบื้องต้นที่ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจน เพราะฉะนั้นควรรอให้เกิดความชัดเจนแล้วค่อยวิพากษ์วิจารณ์จะดีกว่า

ความเห็นของ พล.อ.ไพบูลย์นับว่ามีเหตุผล ทั้งนี้ทุกฝ่ายควรยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งโดยไม่มีอคติและทิฐิ ซึ่งหากทุกฝ่ายยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้งเชื่อว่าในที่สุดก็จะสามารถหาทางออกผ่าทางตันให้ประเทศได้ ซึ่งที่สำคัญช่วงนี้อย่าเพิ่งตีโพยตีพายโดยควรรอความชัดเจนจากผลหารือของสปท. ซึ่งมีวาระประชุมกันในวันที่ 12 พ.ค.นี้ เสียก่อนแล้วค่อยแสดงความเห็นบนพื้นฐานของการสร้างสรรค์

ทีมข่าวการเมือง

จับตาปรองดองสูตรสปท. ชนวนเผือกร้อนอ่อนไหว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/215031

วันอังคาร ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
นับเป็นประเด็นเผือกร้อนสำหรับแนวคิดของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่มี นายเสรี สุวรรณภานนท์ เป็นประธานที่เปิดประเด็นกรอบแนวคิดพักโทษแกนนำทุกสีทุกกลุ่มที่ถูกดำเนินคดีในเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา เพื่อสร้างความปรองดอง

นายเสรี อธิบายแนวคิดเบื้องต้นการสร้างความปรองดองสูตร สปท.ว่ามี 2 ระดับ คือ 1.การแก้ปัญหาโดยใช้นโยบายรัฐเช่น ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวถอนฟ้องคดีความผิดเล็กๆ น้อยๆ หรือมีเจตนาไม่ร้ายแรง 2.การแก้ปัญหาด้วยกฎหมาย โดยออก เป็นพ.ร.บ.หรือพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) รอการกำหนดโทษเพื่อความปรองดองโดยให้คดีเหตุการณ์ความรุนแรงทั้งหลายสิ้นสุดลงทันที โดยไม่ต้องตัดสินหรือฟังคำพิพากษา เช่น คดีบุกยึดสถานที่ราชการ การปิดสนามบินสุวรรณภูมิ หรือสี่แยกต่างๆ ที่เกิดจากอุดมการณ์ต่อสู้ทางการเมือง แต่จะไม่รวมถึงคดีทุจริต คดีหมิ่นสถาบันเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา และการวางเพลิงเผาทรัพย์

ส่วนเงื่อนไขการรอการกำหนดโทษต้องสารภาพว่าตัวเองกระทำผิดในชั้นศาลก่อนและเมื่อรอการกำหนดโทษแล้วไม่ให้กลับมากระทำผิดอีก เช่น ห้ามเคลื่อนไหวปลุกปั่นหรือชุมนุมทางการเมืองไปตลอดชีวิต มิฉะนั้นอาจถูกตัดสิทธิการรอการกำหนดรับโทษ

นายเสรี กล่าวว่า จะชงแนวคิดของคณะกรรมาธิการไปถึง นายวิษณุ เครืองามรองนายกฯเพื่อผลักดันให้มีผลบังคับใช้ภายใน 3 เดือนก่อน สปท.จะหมดวาระและก่อนที่จะมีการเลือกตั้ง

ในทันทีที่ นายเสรี เสนอแนวคิดเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ทันควันจาก นายจตุพรพรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง ที่ออกมาดักคอข้อสังเกตว่า กำลังมีความพยายามออกกฎหมายเพื่อช่วยกลุ่มเสื้อเหลืองโดยเฉพาะมีการพูดถึงการไม่เอาผิดกับการยึดสนามบิน ทั้งนี้ นายจตุพร ส่งสัญญาณเตือนว่าหากจะสร้างความปรองดองต้องทำอย่างเท่าเทียม ซึ่งแนวคิดเรื่องการรอการลงโทษยังไม่ชัดเจนต้องดูกันต่อไป

ขณะที่ นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า พรรคประชาธิปัตย์ ไม่ขัดข้องที่จะมีการนิรโทษกรรมให้กับประชาชนทุกสีที่มาร่วมชุมนุม แต่กฎหมายต้องเป็นกฎหมายคนที่ทุจริต หรือแกนนำที่เผาบ้านทำลายเมืองต้องถูกลงโทษซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ย้ำมาตลอดให้ยึดหลักกฎหมาย เพราะฉะนั้นคดีที่เกิดขึ้นควรให้ศาลตัดสิน ส่วนเมื่อศาลตัดสินแล้วจะนิรโทษกรรมอย่างไรค่อยมาว่ากันซึ่งสังคมยอมรับได้ แต่อยู่ๆจะมาถอนฟ้องหรือพักโทษตามใจชอบคงไม่ใช่หลักนิติรัฐนิติธรรม

จากแนวคิดการพักโทษคนทุกสีทุกกลุ่มจึงเป็นเรื่องอ่อนไหว ซึ่งคงต้องรอดูรายละเอียดแนวคิดของ สปท.ที่ชัดเจนอย่างเป็นทางการต่อไป

แต่ประเด็นสำคัญที่ยังเป็นคำถามก็คือ หากการพักโทษคนทุกสีโดยไม่รวมถึงนักโทษชายแม้วซึ่งเป็นนักโทษหนีคุกคดีทุจริต นักโทษชายแม้วจะยอมรับหรือไม่ เพราะที่ผ่านมานักโทษชายแม้วแสดงจุดยืนชัดเจนแล้วว่า หากตัวเองไม่ได้ประโยชน์ไม่เอาด้วยเด็ดขาด ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีการเสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีที่ร่วมชุมนุมทางการเมือง แต่นักโทษชายแม้วสั่งล้มแล้วผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อให้ลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องติดคุกจนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านและขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์มาแล้ว

ทีมข่าวการเมือง

สัญญาณอันตรายแนวคิดอุบาทว์ ขบวนการหมิ่นเบื้องสูงเหิมเกริม?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/214917

วันจันทร์ ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

การที่ตำรวจจับกุมดำเนินคดี น.ส.พัฒน์นรี ชาญกิจ แม่ของนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” แกนนำกลุ่มพลเมืองโต้กลับนักเคลื่อนไหวป่วนเมืองตัวยงด้วยข้อหาหมิ่นเบื้องสูงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 กำลังจะเป็นชนวนเงื่อนไขอีกเรื่องหนึ่งที่ขบวนการป่วนเมืองหน้าเดิมๆ รวมหัวกันเคลื่อนไหวประท้วงสุมไฟให้ลุกโชนโดยอ้างเป็นการกลั่นแกล้งและละเมิดสิทธิมนุษยชนของอำนาจรัฐภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

ที่ตั้งข้อสังเกตว่าเป็นขบวนการป่วนเมืองหน้าเดิมเพราะดูหน้าตาพวกที่ออกมาเคลื่อนไหวป้องแม่ “จ่านิว” ล้วนพวกขาประจำที่เคลื่อนไหวโดยมีเป้าหมายสอดคล้องกันไม่ว่าจะเป็น นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ก๊วนนักวิชาการเสื้อแดงสายธรรมศาสตร์ นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ นายรังสิมันต์ โรม กลุ่มพลเมืองโต้กลับ หรือ นายสมบัติ บุญงามอนงค์ บก.ลายจุด แกนนำเสื้อแดงเจ้าเก่า

เวลาสมัครพรรคพวกเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วถูกจับดำเนินคดีหรือถูกคุมตัวไปปรับทัศนคติ บรรดาขบวนการป่วนเมืองหน้าเดิมๆ จะดาหน้าออกมาปกป้องและถล่มอำนาจรัฐทันที

สิ่งที่เครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วยึดถือปฏิบัติอย่างหนึ่งโดยไม่เคยเปลี่ยนนั่นคือ พร้อมโกหกบิดเบือนหรือทำได้ทุกอย่าง
แม้แต่การบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง การก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเพื่อให้บรรลุเป้าหมายของตัวเองโดยไม่คำนึงถึงหายนะที่จะเกิดกับชาติบ้านเมือง

อย่างกรณีไปร้องสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทยก่อนหน้านี้ก็บิดเบือนลวงโลกหน้าตาเฉยว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ซ้อมทรมานฝ่ายที่เห็นต่าง มาครั้งนี้คดีจับแม่ “จ่านิว” ฐานหมิ่นเบื้องสูงก็อ้างว่าเป็นการกลั่นแกล้งเพราะตำรวจมีหลักฐานเพียงแค่ข้อความในเฟซบุ๊คของแม่ “จ่านิว” ที่ตอบกลับความเห็นของผู้ต้องหาหมิ่นเบื้องสูงคนหนึ่งด้วยคำเพียงคำเดียวว่า “จ้า” ซึ่งการอ้างว่าเป็นการกลั่นแกล้งก็เพื่อใช้เป็นชนวนข้ออ้างในการเคลื่อนไหวสุมไฟให้ลุกโชน

โดยสามัญสำนึกตำรวจคงไม่บ้าบอคอแตกดำเนินคดีในข้อหาอ่อนไหวฐานหมิ่นเบื้องสูงกับแม่ “จ่านิว” ซึ่งเป็นเชื้อชนวนระเบิดแรงสูงที่ง่ายต่อการใช้เป็นเครื่องมือสุมไฟให้บานปลายเพียงแค่เพราะคำว่า “จ้า” โดยฝ่ายตำรวจยืนยันชัดเจนว่า การดำเนินคดีกับแม่ “จ่านิว” เพราะเป็นพฤติกรรมทำผิดอย่างต่อเนื่องโดยมีการแสดงความเห็นหมิ่นเบื้องสูงมาหลายต่อหลายครั้งอย่างต่อเนื่องและทำกันเป็นขบวนการ

ส่วนการที่ฝ่ายตำรวจไม่เปิดเผยรายละเอียดข้อความหมิ่นเบื้องสูงอย่างต่อเนื่องของแม่ “จ่านิว” ก็เพราะกฎหมายบัญญัติบทลงโทษห้ามผู้ที่เผยแพร่ข้อความอันเป็นการหมิ่นเบื้องสูง หากใครนำมาเผยแพร่แม้แต่สื่อถือว่ามีความผิด

คดีแม่ “จ่านิว” ถึงยังไงก็ปิดก็ไม่ได้เพราะเมื่อคดีเข้าสู่การพิจารณาของศาลข้อเท็จจริงทั้งหมดต้องมีการเปิดเผยต่อศาลและนำไปสู่การพิพากษาในที่สุด ดังนั้น ขอให้พิสูจน์ด้วยกระบวนการยุติธรรมแทนที่จะตะแบงออกมาเคลื่อนไหวแบบมีเจตนาแอบแฝง

ประเด็นน่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ นายอนุสรณ์ พยายามส่งสัญญาณบางอย่างว่า คดีแม่ของ “จ่านิว” เป็นหมุดหมายสำคัญในการกลับมาพูดถึงเรื่องการบังคับใช้มาตรา 112

ปรากฏการณ์ขบวนการจวบจ้วงสถาบันเบื้องสูงที่เกิดขี้นตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันถือเป็นสัญญาณอันตรายเพราะดูเหมือนว่าขบวนการอุบาทว์บางกลุ่มจะเหิมเกริมและพยายามเผยแพร่แนวคิดเลวร้ายทั้งในวงกว้างและลึกขึ้นเรื่อยๆ

ทีมข่าวการเมือง

ขบวนการหน้าเดิมหยิบมือเดียว มุ่งป่วนตัวถ่วงฉุดปท.เดินหน้าปฏิรูป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/214803

วันอาทิตย์ ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ขณะที่ชาติบ้านเมืองอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อการปฏิรูปครั้งใหญ่ไม่ให้กลับไปสู่วงจรอุบาทว์วิกฤติอันเลวร้ายที่สร้างความบอบช้ำให้ประเทศอย่างแสนสาหัสตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา โดยชาติบ้านเมืองต้องการความสงบเรียบร้อย และร่วมพลังเดินหน้าหลังคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 แต่ขบวนการระบอบทักษิณซึ่งเป็นระบอบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันชั่วร้ายที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติยังไม่ละความพยายามที่จะฟื้นระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง

ทั้งที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติสร้างความบอบช้ำนำประเทศไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลวจนคสช.ต้องเข้ายึดอำนาจ แต่ระบอบทักษิณกลับยังพยายามสร้างความปั่นป่วนถ่วงรั้งชาติบ้านเมืองและมุ่งล้มการปฏิรูปประเทศรวมทั้งบ่อนทำลายคสช.หวังทวงคืนอำนาจด้วยการเคลื่อนไหวสร้างความระส่ำระสายทั้งบนดินใต้ดิน และทั้งในและนอกประเทศ

จากผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆตลอดช่วงที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่าประชาชนส่วนใหญ่เบื่อหน่ายเอือมระอานักการเมืองซึ่งตลอดช่วงที่ผ่านมาสร้างปัญหาให้ประเทศจมอยู่กับวังวนวงจรอุบาทว์อันเลวร้าย ขณะเดียวกันฝากความหวังและให้การสนับสนุนคสช.ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์อย่างจริงจังเสียที ซึ่งเสียงสะท้อนของมวลมหาประชาชนส่วนใหญ่สะท้อนให้เห็นว่า ขบวนการป่วนเมืองเครือข่ายระบอบทักษิณที่ออกมาเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้เป็นคนแค่หยิบมือเดียว ซึ่งพยายามสร้างสถานการณ์ยั่วยุ ท้าทาย และสร้างความระส่ำระสายให้กับบ้านเมืองโดยมีเป้าหมายแอบแฝงหวังบ่อนทำลายอำนาจรัฐปัจจุบันและทวงอำนาจคืนมาเป็นของฝ่ายตัวเอง

ทั้งนี้ขบวนการป่วนเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวแท้ที่จริงเป็นคนเพียงไม่กี่คนซึ่งเป็นเครือข่ายและแนวร่วมขบวนการระบอบทักษิณขาประจำหน้าเดิมๆ ทั้งสิ้น ทั้งแกนนำพรรคเพื่อไทย แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง กลุ่มนักวิชาการและนักศึกษา ซึ่งแบ่งหน้าที่กันเคลื่อนไหวแบบแยกกันเดินแต่ร่วมกันตีเพื่อทำให้เห็นว่า เป็นพลังมวลชนจากหลากหลายกลุ่มจำนวนมากทั้งๆที่เป็นพวกเดียวกันและมีจำนวนแค่หยิบมือเดียว

การเคลื่อนไหวป่วนประเทศแบบดับเครื่องชนของเครือข่ายระบอบทักษิณสะท้อนให้เห็นจากท่าทีของ นายจตุพร
พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เคยประกาศอย่างแข็งกร้าวในช่วงเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ในทำนองว่า ถ้าระบอบทักษิณอยู่ไม่ได้ ประเทศนี้ก็อย่าหวังอยู่อย่างสงบสุขอีกต่อไป

ระบอบทักษิณซึ่งเป็นระบอบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมพร้อมที่จะทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่างเพื่อให้บรรลุเป้าหมายผลประโยชน์ของตัวเอง ทั้งทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬาร ใช้เงินผลประโยชน์ทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อมซื้ออำนาจรัฐ ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศ เป็นต้นตอที่สร้างความแตกแยกในชาติลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน แทรกแซงองค์กรอิสระและพยายามผูกขาดอำนาจหวังยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และที่เลวร้ายคือพยายามบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริม

หลังการยึดอำนาจของคสช.เมื่อ 2 ปีที่แล้ว ระบอบทักษิณพยายามก่อการร้ายลอบระเบิดป่วนเมืองหลายครั้ง และวางแผนก่อการร้ายทั่วประเทศครั้งใหญ่โดยเฉพาะแผน “ขอนแก่นโมเดล” แต่ถูกคสช.ชิงกวาดล้างจับกุมได้เสียก่อนที่จ.ขอนแก่นโดยจับกองกำลังเสื้อแดงได้กว่า 20 คน พร้อมอาวุธสงครามร้ายแรงจำนวนมากโดยผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมรับสารภาพว่าได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่ในต่างแดน

ทั้งนี้การเคลื่อนไหวของเครือข่ายระบอบทักษิณซึ่งเป็นตัวละครขาประจำหน้าเดิมในขณะนี้ก็เพื่อยั่วยุ ท้าทายคสช.เพื่อให้จับกุมหรือนำตัวไปปรับทัศนคติเพื่อชิงพื้นที่ข่าวสร้างกระแสหวังใช้เป็นข้ออ้างสุมไฟให้เกิดกระแสต่อต้านอำนาจรัฐทั้งในและนอกประเทศ โดยสร้างภาพอ้างการละเมิดสิทธิมนุษยชนและการคุกคามเสรีภาพตามระบอบประชาธิปไตยโดยอำนาจเผด็จการรัฐทหาร

ขณะเดียวกันการสร้างความระส่ำระสายก็เพื่อก่อกวนทำลายสมาธิของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ให้หัวเสียและมาเสียเวลากับการยั่วยุท้าทายของเครือข่ายระบอบทักษิณจนไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างราบรื่นประสบความสำเร็จในการปฏิรูปประเทศ อีกทั้งการยั่วยุจน พล.อ.ประยุทธ์ ฟิวส์ขาดยังส่งผลกระทบต่อการแสดงท่าทีเกรี้ยวกราดต่อสื่อสำนักต่างๆ ซึ่งเท่ากับบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาล

การเคลื่อนไหวที่สำคัญของเครือข่ายระบอบทักษิณในการบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาลอีกอย่างคือการทำสงครามโจมตีผ่านโซเชียลมีเดีย จนล่าสุดมีการจับกุม 8 ผู้กระทำผิดซึ่งมีการซัดทอดโยงใยผู้ต่อท่อน้ำเลี้ยงไปถึงนายจตุพรรวมทั้ง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายใหญ่ระบอบทักษิณ

นับวันความเคลื่อนไหวป่วนฉุดรั้งการเดินหน้าปฏิรูปประเทศของเครือข่ายระบอบทักษิณจะดุเดือดเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะขณะนี้ระบอบทักษิณอยู่ในสภาพหลังพิงฝาพร้อมที่จะสู้แบบเลือดเข้าตา ซึ่งการบ่อนทำลายของเครือข่ายระบอบทักษิณนับเป็นปัญหาท้าทายคสช.และรัฐบาลหนักหน่วงอยู่แล้ว แต่ปัจจัยสำคัญที่วัดความสำเร็จหรือล้มเหลวของคสช.และรัฐบาลก็คือการสร้างศรัทธาครองใจมหาชนด้วยผลงานโดยเฉพาะการทำให้ประชาชนกินดีอยู่ดี บ้านเมืองเกิดความสงบ รวมทั้งต้องเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้เห็นผลเป็นรูปธรรมโดยเร็ว และที่สำคัญที่สุดคือคสช.และรัฐบาลต้องไม่สะดุดขาตัวเองจากกรณีทุจริตโดยเฉพาะพล.อ.ประยุทธ์ ต้องระวังจะพังเพราะคนใกล้ตัว

ทีมข่าวการเมือง

ก๊วนนักวิชาการหน้าเดิมต้องรับผิดชอบ อ้างคสช.ทรมานพวกเห็นต่าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/214719

วันเสาร์ ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
การที่กลุ่มอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นก๊วนนักวิชาการเสื้อแดงขาประจำหน้าเดิมๆ นำโดย นายอนุสรณ์ อุณโณ คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา นายพิชิตลิขิตกิจสมบูรณ์ จากคณะเศรษฐศาสตร์ เดินทางไปพบตัวแทนสำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติประจำประเทศไทย เพื่อให้ตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชนของอำนาจรัฐไทยภายใต้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กำลังถูกหลายฝ่ายตั้งคำถามเกี่ยวกับข้อกล่าวหาร้ายแรงบางประเด็น

สำหรับคอการเมืองคงรู้ว่าปูมหลังนักวิชาการกลุ่มนี้ดีว่าไม่เคยออกมาเคลื่อนไหวประท้วงการกระทำที่ชั่วร้ายละเมิดสิทธิมนุษยชนในยุคระบอบเพื่อแม้วครองเมืองเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกลับเคลื่อนไหวคู่ขนานสอดรับกับเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วมาตลอด และก่อนหน้านี้นักวิชาการหน้าเดิมกลุ่มนี้เพิ่งจะออกมาแถลงโหวตโนไม่เอาร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงสอดรับกับขบวนการป่วนรัฐธรรมนูญที่นับวันจะเคลื่อนไหวดุเดือดเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ

ประเด็นสำคัญที่ถูกตั้งข้อสงสัยก็คือ หนังสือร้องเรียนชักศึกเข้าบ้านเพื่อโหมไฟเผาประเทศของนักวิชาการหน้าเดิมกลุ่มนี้ที่กล่าวหาอ้างว่า ภายใต้อำนาจคสช.มีการจับกุมและซ้อม ทรมานประชาชนต่างขั้วการเมือง รวมถึงนิสิตนักศึกษา นักวิชาการ สื่อมวลชน นักกิจกรรมสังคมและนักการเมืองจากการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์คสช. ด้วยการเรียกตัวเข้าค่ายทหาร เพื่อเข้าสู่กระบวนการปรับทัศนคติ อีกทั้งละเมิดสิทธิส่วนตัวในระบอบคอมพิวเตอร์และแจ้งดำเนินคดีด้วยกฎหมายที่รุนแรง โดยยกกรณี 8 มือเพจรับจ้างป่วนเมืองที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้โดยโยงใยถึง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง และ นายพานทองแท้ ชินวัตรลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของนายใหญ่ขบวนการเพื่อแม้ว

การกล่าวหาว่าคสช.ซ้อมทรมานฝ่ายที่เห็นต่างถือเป็นข่าวกล่าวหาที่ร้ายแรงมากหากเป็นเรื่องจริง ปัญหาอยู่ที่ว่าจริงอย่างที่กลุ่มนักวิชาการหน้าเดิมกล่าวอ้างหรือเปล่า ซึ่งฝ่ายที่กล่าวหาต้องแสดงพยานหลักฐานให้ชัดเจนออกมามิฉะนั้นอาจถูกมองว่าลวงโลกใช้วิธีสกปรกกล่าวหาตีกินแบบลอยๆ ขณะที่ฝ่ายคสช.เองก็ต้องออกมาทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งเรื่องนี้จะปล่อยให้ผ่านไปเฉยๆแบบอึมครึมตีหัวเข้าบ้านไม่ได้ เพราะมีความพยายามที่จะสุมไฟชักศึกเข้าบ้านให้เรื่องลุกลามไปจนถึงขั้นให้สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครเจนีวา ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เข้ามาตรวจสอบกลายเป็นข่าวทำลายภาพพจน์ประเทศไปทั่วโลก

แต่มีข้อน่าสัเงกตว่า ก่อนหน้านี้ก็มีตัวอย่างเหล่าแกนนำเพื่อแม้วชอบอ้างว่ามีการทารุณกรรมฝ่ายตัวเองที่ถูกทหารควบคุมตัวทั้งๆ ที่เป็นเรื่องโกหกพกลม เพราะคสช.เองก็ระวังตัวรู้ทันหลุมพรางของขบวนการเพื่อแม้วจึงปฏิบัติต่อพวกป่วนเมืองที่ถูกนำตัวมาปรับทัศนคติด้วยความละมุนละม่อมเปิดเผยต่างจากคณะรัฐประหารในอดีตอย่างสิ้นเชิง

เพราะฉะนั้นข้อกล่าวหาเรื่องซ้อมทรมานฝ่ายเห็นต่างของกลุ่มนักวิชาการขาประจำหน้าเดิมต้องพิสูจน์ทำความจริงให้ปรากฏ เพื่อจะได้รู้ว่าใครดีใครชั่ว ใครละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือเป็นแค่การสร้างสถานการณ์ใส่ร้ายโกหกพกลมเพื่อป่วนประเทศของแก๊งลวงโลก ในคราบนักวิชาการ

ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กตู่ระวังพังเพราะคนแวดล้อม สุมไฟเผาคสช.-รัฐบาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/214596

วันศุกร์ ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ก่อนหน้านี้ ดร.อาทิตย์ อุไรรัตน์ อดีตประธานรัฐสภาอธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นกัลยาณมิตรที่สนับสนุนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.มาตลอด แต่ล่าสุด ดร.อาทิตย์ กลับแสดงความเห็นผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวด้วยใจความว่า “ขอให้มีรัฐบาลพลเรือนปฏิรูปแห่งชาติที่เด็ดขาด อาจเด็ดขาดกว่ารัฐบาลทหารที่โลเล”

ทัศนะของ ดร.อาทิตย์ และบุคคลสำคัญอีกจำนวนไม่น้อยที่เป็นกัลยาณมิตรของคสช.คงมีทัศนะที่เหมือนกันโดยสะท้อนให้เห็นถึงความผิดหวังต่อผลงานของคสช.ที่สู้อุตส่าห์ลงทุนยึดอำนาจการปกครองประเทศจากระบอบการเมืองอันเลวร้าย แต่ 2 ปี หลังการยึดอำนาจมีหลายสิ่งหลายอย่างที่ส่อเค้าว่า การยอมให้ประชาธิปไตยถอยหลังเข้าคลองเพื่อแลกกับปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญอาจเสียของจากความโลเลขาดความเด็ดขาดของผู้นำคสช.

ทุกวันนี้เครือข่ายขบวนการกลุ่มอำนาจเก่าโดยเฉพาะตัวการสำคัญก็ยังคงลอยนวลซ้ำนับวันจะยั่วยุท้าทายบ่อนทำลายคสช.และรัฐบาลเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อรอโอกาสกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง โดยอำนาจพิเศษของคสช.ตกเป็นฝ่ายตั้งรับ และแทนที่พูดน้อยต่อยหนัก กลับขู่มากแต่ต่อยเบาไม่สามารถทำให้ขบวนการป่วนเมืองโดยกลุ่มอำนาจเก่าหยุดการก่อกวนแม้แต่น้อย อย่าว่าแต่การขุดรากถอนโคนให้สิ้นซากเพื่อขจัดปัญหาที่ต้นตอ

การปฏิรูปประเทศในเรื่องสำคัญอย่างการปฏิรูปตำรวจซึ่งเป็นเสียงเรียกร้องของมหาชนทั้งประเทศที่ความจริงควรจะสำเร็จมานานแล้วกลับถูกซื้อเวลาโยนให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง

ส่วนการกวาดล้างการทุจริตประพฤติมิชอบซึ่งน่าจะเป็นผลงานจุดแข็งของคสช.และรัฐบาล แต่กลับเกิดข่าวอื้อฉาวเสียงร่ำลือในความไม่ชอบมาพากลโดยมีคนของรัฐแอบอ้างชื่อผู้มีอำนาจแสวงหาผลประโยชน์อยู่บ่อยครั้ง จนกลายเป็นเงื่อนไขให้กลุ่มผู้ไม่หวังดีนำไปเป็นประเด็นขยายผลโจมตีว่าอำนาจรัฐจากการรัฐประหารก็มีปัญหาคอร์รัปชั่นไม่ต่างจากรัฐบาลนักการเมือง

นอกจากเสียงร่ำลือเรื่องทุจริตของคนของรัฐที่เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ สิ่งที่ต้องระวังเป็นอย่างมากสำหรับนายกฯและหัวหน้าคสช.ก็คือ บรรดาคนแวดล้อมใกล้ตัวทั้งหลายที่อาจจะอาศัยอำนาจหน้าที่ภายใต้ยี่ห้อคสช.ไม่เพียงทุจริตประพฤติมิชอบ แต่อาจถึงขั้นจุดชนวนระเบิดเวลาถล่มคสช.และรัฐบาลให้พินาศได้จากเรื่องไม่เป็นเรื่อง อย่างกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชุดใหม่ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นผลผลิตของคสช.ทางอ้อมมีมติด้วยเสียง 6 ต่อ 1 ให้ถอนฟ้อง นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์อดีตนายกฯระบอบทักษิณ กับพวก ซึ่งรวมทั้ง พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) น้องชายของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ในคดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พธม.) เมื่อปี 2551จนมีประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก

เรื่องนี้กำลังส่อเค้าบานปลายเมื่อเครือข่าย พธม.ทั่วโลกออกมาต่อต้านมติของป.ป.ช.และมองว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับคสช.เนื่องจาก พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจประธานป.ป.ช. คือลูกน้องที่รับใช้ใกล้ชิด พล.ต.อ.ประวิตรและ พล.ต.อ.พัชรวาท มาก่อน

ทั้งนี้ ผู้นำที่ดีคิดทำงานใหญ่ต้องมีสติหนักแน่นรอบด้าน รู้จักแยกมิตรแยกศัตรูให้กระจ่าง และยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองมากกว่าการเกรงอกเกรงใจเจ้านายเก่าหรือผู้มีพระคุณที่เชิญมาร่วมงาน เพราะไม่อย่างนั้นคสช.และรัฐบาลอาจตายน้ำตื้นพังเพราะคนแวดล้อมบางคนที่ไม่สุจริตมีเป้าหมายแอบแฝง

ทีมข่าวการเมือง

จับตาเพื่อแม้ว-สำนักจานบิน ส่งสัญญาณเปิดศึกแตกหัก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/214438

วันพฤหัสบดี ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
อุณหภูมิการเมืองเข้มข้นร้อนแรงขึ้นทุกขณะภายใต้สภาวะที่สองพันธมิตรคือขบวนการเพื่อแม้วกับสำนักจานบินกำลังอยู่ในสภาพหลังพิงฝาจากการที่แกนนำและเครือข่ายสองพันธมิตรต่างถูกดำเนินคดีถ้วนหน้าใกล้คุกเข้าไปทุกขณะ จึงมีสัญญาณกร้าวจากสองพันธมิตรที่พร้อมเปิดศึกแตกหัก

นอกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกฯหุ่นเชิด และพวกที่คอพาดเขียงในคดีโครงการรับจำนำข้าวนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯหุ่นเชิดระบอบแม้ว และพวกก็เป็นจำเลย คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 จนประชาชนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ขณะที่ก่อนหน้านี้นายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่ขบวนการเพื่อแม้ว ออกมาส่งสัญญาณแตกหักตอบโต้กับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

ล่าสุด นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ส่งสัญญาณว่าคนเสื้อแดงพร้อมลุกฮือหากหมดความอดทน หลังจากที่ 8 มือโพสต์ป่วนเมืองขบวนการเพื่อแม้วถูกจับกุมและมีการซัดทอดว่าได้รับท่อน้ำเลี้ยงจาก นายจตุพร และโยงใยไปถึง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ของนายใหญ่

ขณะที่แนวรบอีกด้านหนึ่งสำนักจานบินซึ่งเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับขบวนการเพื่อแม้วอย่างลึกซึ้งมาช้านานก็กำลังเผชิญวิบากกรรมตกอยู่ในสภาพหลังพิงฝาไม่แพ้กันโดยเฉพาะการที่ ธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ออกหมายจับข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดี นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งเป็นคนสนิทของ ธัมมชโยโกงเงินสหกรณ์ฯกว่า 16,000 ล้านบาทแล้วยักย้ายถ่ายเทเล่นแร่แปรธาตุโอนเงินกว่า 2,000 ล้านบาท มายังสำนักจานบินโดยส่วนหนึ่งโอนเข้าบัญชีธัมมชโย ซึ่งที่ผ่านมา ธัมมชโย ส่อเจตนายื้อเกมดื้อแพ่งไม่ยอมให้ความร่วมมือมาให้ปากคำตามหมายเรียกหลายครั้งจนดีเอสไอต้องออกหมายจับซึ่งล่าสุดดีเอสไอขีดเส้นตายจนถึงกลางเดือน พ.ค.นี้

ทำให้ล่าสุด พระสนิทวงศ์ วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรสำนักจานบินแถลงว่าศิษย์สำนักธรรมกายทั่วประเทศจะออกมาเคลื่อนไหวยื่นหนังสือถึงศูนย์ดำรงธรรมทุกจังหวัดเพื่อขอความเป็นธรรมให้ ธัมมชโย โดยอ้างว่าถูกดีเอสไอรังแก ซึ่งความเคลื่อนไหวของสำนักจานบินดังกล่าวถูกตั้งข้อสังเกตว่าเหมือนเป็นสัญญาณขู่ว่า ศิษย์สำนักจานบินทั่วประเทศพร้อมเปิดศึกแตกหักหากธัมมชโย ต้องใช้กรรม

เพราะฉะนั้นคงต้องจับตาดูว่าศิษย์สำนักจานบินจะรู้ผิดถูกชั่วดีดังที่สร้างภาพหรือจะปกป้องผู้ต้องหาคดีฟอกเงินและรับของโจร

ขณะที่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม สวนกลับสำนักจานบินอย่างรู้ทันว่า ถ้าบริสุทธิ์ใจว่าตัวเองไม่ผิดแล้วจะยื้อคดีไปทำไมต้องพร้อมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม

ดังนั้นต้องจับตาแนวโน้มสถานการณ์จากนี้ไปเพราะเริ่มมีสัญญาณของสองพันธมิตรขบวนการเพื่อแม้วและสำนักจานบินที่พร้อมทำศึกแตกหักแบบเข้าตาจนหวังเอาตัวรอดหนีกรรมที่ก่อไว้

ทีมข่าวการเมือง

วัดใจปปช.ยุคบิ๊กกุ้ย หลังจุดระเบิดเวลาใส่คสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/214252

วันพุธ ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ทั้งๆ ที่ทุกวันนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ต้องเผชิญสารพัดปัญหารอบด้านอยู่แล้วแต่ไม่รู้ว่าด้วยเบื้องหน้าเบื้องหลังอะไรที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ยุคใหม่ที่มี พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ หรือ “บิ๊กกุ้ย”เป็นประธาน ถึงเพิ่มระเบิดเวลาลูกใหญ่ใส่รัฐบาลด้วยการมีมติเตรียมถอนฟ้องคดีรัฐบาล นายสมชายวงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯกับพวก รวม 4 คน สลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) เมื่อปี 2551 จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

พฤติกรรมพิรุธน่าสงสัยซ่อนเงื่อนของคณะกรรมการป.ป.ช.ยุค “บิ๊กกุ้ย” เพราะคดีนี้ป.ป.ช.ชุดเดิมมีมติสั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไปแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวน แต่ ป.ป.ช.ยุค “บิ๊กกุ้ย” กลับมีมติให้ถอนฟ้องเอาดื้อๆด้วยปมข้อสงสัยที่ว่า 1 ใน 4ผู้ตกเป็นจำเลยในคดีนี้ ก็คือ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณอดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ในยุครัฐบาลสมชาย และ พล.ต.อ.พัชรวาท เป็นน้องชายของ พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง โดย “บิ๊กกุ้ย” รับใช้ใกล้ชิดสองบิ๊กพี่น้อง “วงษ์สุวรรณ” มาช้านาน

ขณะที่ นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการ ป.ป.ช.ได้ส่งคำสั่งแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อศึกษาการเตรียมถอนฟ้อง นายสมชาย และพวกให้กับ “บิ๊กกุ้ย” เพื่อลงนามแล้ว และคาดว่าคณะทำงานจะศึกษาเสร็จและส่งกลับไปยังคณะกรรมการป.ป.ช.ชุดใหญ่เพื่อตัดสินใจขั้นต่อไปได้ภายในเดือนนี้

ล่าสุด นายนิติธร ล้ำเหลือ ทนายความกลุ่ม พธม. และญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจากเหตุการณ์เมื่อปี 2551 ได้ยื่นคัดค้านการถอนฟ้องคดีของ ป.ป.ช.โดยก่อนหน้านี้ อดีตแกนนำกลุ่มพธม.บางคนประกาศว่า หากมีการถอนฟ้องกลุ่มพธม.จะออกมาเคลื่อนไหวแน่นอน

ด้าน นายประสาร มฤคพิทักษ์ อดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.) และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เตือนป.ป.ช.ยุค “บิ๊กกุ้ย” ให้ทบทวนมติถอนฟ้อง นายสมชายและพวก โดยให้เหตุผลว่า ประการแรกคดีนี้เข้าสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองไปแล้วซึ่งตาม พ.ร.บ.ป.ป.ช.มาตรา 88 ระบุว่า เรื่องที่ศาลรับฟ้องและอยู่ในการพิจารณาคดีห้ามมิให้ป.ป.ช.ยกข้อกล่าวหานั้น ประการที่สอง คดีนี้ป.ป.ช.ชุดเดิมได้พิจารณาอย่างรอบคอบโดยหารือร่วมกับฝ่ายอัยการแล้วจึงส่งฟ้อง แล้วอยู่ๆ จะมาถอนฟ้องจึงเป็นเรื่องชอบกล

นายประสาร ยังเตือนว่า “หากป.ป.ช.ยืนยันเดินหน้าถอนฟ้องก็ต้องรับแรงกดดันทางจริยธรรมของสังคมอย่าหนักหน่วง และจะกลายเป็นมลทินทางประวัติศาสตร์ของป.ป.ช.ที่ล้างบาปให้คนอื่นแล้วบาปตกอยู่ที่ตัวเอง และป.ป.ช.จะกลายเป็นองค์กรที่สิ้นศรัทธาที่ไม่อาจเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อีกต่อไป”

เพราะฉะนั้นคงต้องรอวัดใจคณะกรรมการป.ป.ช.ยุค “บิ๊กกุ้ย” ว่ายังจะดึงดันเดินหน้าถอนฟ้องนายสมชายและพวกหรือไม่ ซึ่งหากยืนกรานเดินหน้าเท่ากับจุดชนวนระเบิดเวลาลูกใหญ่ใส่ คสช.เพราะยากปฏิเสธว่ากรรมการป.ป.ช.ชุดใหม่นี้ ถูกมองว่าเป็นผลพวงของคสช.ผ่านสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

ทีมข่าวการเมือง