ปูยังมีหน้าแดกดันบิ๊กตู่ ทั้งที่ตัวเองทำชาติพินาศล่มจม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/214092

วันอังคาร ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ทั้งๆ ที่นำพาประเทศไปสู่ภาวะรัฐล้มเหลวจนคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องเข้ายึดอำนาจ แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯโคลนนิ่งแทนที่จะวางตัวสำรวมเพื่อความสงบของชาติบ้านเมือง กลับส่อเจตนาผสมโรงเคลื่อนไหวสอดรับกับเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วที่พยายามสร้างความสับสนปั่นป่วนด้วยการทำลายภาพลักษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.

ขณะที่การเมืองกำลังร้อนแรงจากการเคลื่อนไหวของเครือข่ายขบวนการป่วนเมืองระบอบแม้วด้วยการบ่อนทำลายอำนาจรัฐคสช.ทางโซเชียลมีเดียจนมีการจับกุม 8 มือป่วนและมีการซัดทอดคนส่งท่อน้ำเลี้ยงโยงใยไปถึง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง และอาจโยงใยไปถึง นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายหัวแก้วหัวแหวน ของนายใหญ่ในต่างแดน น.ส.ยิ่งลักษณ์ จู่ๆ ก็โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊คส่วนตัวไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ความว่า “วันนี้ขออนุญาตเขียนถึง พล.อ.ประยุทธ์ เพราะแม้วันนี้สถานะเราจะต่างกัน แต่เมื่อก่อนเราก็เคยร่วมงานกันและดิฉันก็เคยอยู่ในสถานะเช่นท่านมาก่อน แม้ว่าที่มาที่ไปของเราจะต่างกันจึงเข้าใจความรู้สึกของท่านเวลาถูกต่อว่าต่างๆ นานา ในฐานะที่เป็นผู้นำถือเป็นบุคคลสาธารณะที่ต้องพร้อมเปิดใจรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์ทั้งในด้านดีและด้านลบที่มีต่อตัวเองหรือรัฐบาล เพราะดิฉันเคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ต้องเป็นฝ่ายอดทนมาโดยตลอดย่อมเข้าใจความรู้สึกท่านดี เพียงแต่ดิฉันไม่สามารถที่จะออกกฎหมายหรือสั่งการใดๆ ให้เป็นกฎหมายได้เช่นท่าน

เมื่อก่อนท่านก็เคยพูดกับดิฉันว่า ยามบ้านเมืองแตกแยก ถ้าคิดแต่เอากฎหมายมาปลดคนนั้นคนนี้ออก เพียงเพราะไม่สนองตอบนโยบายหรือเอากฎหมายมาใช้บังคับคนให้ทำงานตามคำสั่งจะยิ่งทำให้สถานการณ์มันแย่และเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ ซึ่งดิฉันก็พูดมาโดยตลอดว่าคนที่มีความคิดเห็นต่าง ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้บ้านเมืองแตกแยก แต่จะเป็นการดีที่จะได้ช่วยกันแสดงความคิดความเห็นในการพัฒนาประเทศมากกว่า วันนี้ดิฉันจึงอยากจะขอฝากสิ่งที่ท่านเคยพูดไว้หวังว่าท่านคงจะ
ไม่ลืม และนำไปใช้เช่นเดียวกัน ตามที่เคยบอกกับดิฉันเมื่อสองปีที่แล้วนะคะ”

พิจารณาจากข้อความในเฟซบุ๊คของอดีตนายกฯหุ่นเชิดแล้วเชื่อว่าคงมีคนเขียนสคริปต์บอกบทให้เหมือนเคย และส่อเจตนาประการแรกเหมือนต้องการแดกดันบ่อนทำลายภาพลักษณ์ผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าพูดอย่างทำอย่างเชื่ออะไรไม่ได้ ประการที่สอง ต้องการตอกย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำจากการรัฐประหารที่ตรงข้ามกับตัวเองที่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ประการที่สาม ส่อเจตนา โจมตีว่าพล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจออกกฎหมายและปลดคนที่ไม่สนองนโยบายคสช.หรือรัฐบาลแบบเผด็จการโดยไม่เปิดใจกว้าง

แต่น.ส.ยิ่งลักษณ์คงลืมไปแล้วกระมังว่า ตัวเองเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าว คงลืมไปแล้วกระมังว่ายุคที่ตัวเองเป็นนายกฯหุ่นเชิดได้สั่งย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี พ้นเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างไม่เป็นธรรม เพื่อให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ขณะนั้นมาเป็นเลขาธิการสมช. โดยส่อเจตนาเปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่เขยของนายทักษิณ ชินวัตร ขี้นเป็นผบ.ตร.จนนายถวิลร้องเรียนและทำให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์

ทีมข่าวการเมือง

ขบวนการหน้าเดิมแค่หยิบมือเดียว ป่วนชาติฉุดรั้งเดินหน้าปฏิรูปปท.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/213948

วันจันทร์ ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ผลสำรวจของสำนักวิจัยสวนดุสิตโพล มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิตสะท้อนปฏิกิริยาท่าทีประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศต่อความเคลื่อนไหวของขบวนการป่วนเมืองในขณะนี้โดยมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่มุ่งกดดันรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งแม้จะมีผลดีที่ทำให้ประชาชนได้รับข้อมูลข่าวสารในอีกด้านหนึ่ง แต่ผลเสียมีมากกว่านั่นคือจะสร้างความแตกแยกในชาติ และที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่เห็นว่า พวกที่ออกมาป่วนเมืองควรนึกถึงส่วนรวมมากกว่าผลประโยชน์ส่วนตัว

เสียงสะท้อนของมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศบอกในตัวของมันเองอยู่แล้วว่า ขบวนการป่วนเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้เป็นคนแค่หยิบมือเดียว ซึ่งไม่ต่างอะไรจากมุมมองของนักสังเกตการณ์ทางการเมืองและคอการเมืองทั้งหลายที่รู้อยู่แก่ใจว่า ขบวนการที่ออกมาเคลื่อนไหวยั่วยุ ท้าทาย และสร้างความระส่ำระสายให้กับบ้านเมืองนั้นไม่ได้ทำโดยบริสุทธิ์ใจโดยยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งแม้แต่นิดเดียว แต่มีเป้าหมายแอบแฝงหวังบ่อนทำลายอำนาจรัฐปัจจุบันและทวงอำนาจคืนมาเป็นของฝ่ายตัวเอง

และขบวนการป่วนเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวแท้ที่จริงเป็นคนเพียงไม่กี่คนซึ่งเป็นเครือข่ายและแนวร่วมขบวนการเพื่อแม้ว และหากทบทวนความเคลื่อนไหวที่ผ่านมาและสังเกตดูให้ดีจะพบว่า ตัวการสำคัญของขบวนการป่วนเมืองที่ออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องรวมทั้งนักวิชาการกลุ่มหนึ่งล้วนแต่เป็นพวกขาประจำหน้าเดิมๆ ทั้งที่เคลื่อนไหวในและนอกประเทศ แต่แบ่งหน้าที่กันทำแบบแยกกันเดินแต่ร่วมกันตีเพื่อทำให้เห็นว่า เป็นพลังมวลชนจากหลากหลายกลุ่มจำนวนมาก ทั้งๆ ที่มีแค่หยิบมือเดียวและเป็นพวกเดียวกันทั้งสิ้น

ขบวนการเพื่อแม้วพยายามป่วนเมืองฉุดรั้งบ่อนทำลายการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ทั้งๆ ที่ตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา
ขบวนการเพื่อแม้วซึ่งเป็นธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬาร ใช้เงินผลประโยชน์ทุกรูปแบบทั้งทางตรงและทางอ้อมซื้ออำนาจรัฐ ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศ เป็นต้นตอที่สร้างความแตกแยกในชาติลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน แทรกแซงองค์กรอิสระและพยายามผูกขาดอำนาจหวังเปลี่ยนแปลงระบอบยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และที่เลวร้ายคือมีการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริม

สำหรับ 8 จำเลยป่วนเมืองทางโซเชียลมีเดียที่ถูกควบคุมตัวเพื่อดำเนินคดีอยู่ในขณะนี้เป็นเพียงเบี้ยปลายแถวที่ถูกว่าจ้าง ซึ่งจากข้อมูลหลักฐานเชื่อมโยงที่ฝ่ายคสช.และฝ่ายสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)นำออกมาตีแผ่คือข้อมูลส่วนหนึ่ง โดยบางส่วนเกิดจากการเปิดปากรับสารภาพซัดทอดของมือป่วนปลายแถวเอง โดยพบว่ามีการรับเงินว่าจ้างเป็นทอดๆ โดยตัวการสำคัญอาจมีส่วนเชื่อมโยงไปถึง นายจตุพร พรหมพันธุ์ และที่สำคัญอาจโยงใยไปถึง นายพานทองแท้ ชินวัตรบุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของ
นายใหญ่ขบวนการเพื่อแม้ว

ขบวนการป่วนประเทศที่ถูกตีแผ่สาวลึกมากขึ้นเรื่อยๆจึงไม่แปลกที่เห็นแกนนำขบวนการหน้าเดิมๆ ออกมาตีโพยตีพายเหมือนร้อนตัวประท้วงเพื่อให้ปล่อยตัวจำเลยขบวนการป่วนหวังปิดปาก ขณะเดียวกันก็สร้างภาพว่าไม่ทอดทิ้งพวกเดียวกัน ทั้งนี้ปรากฏการณ์ป่วนเมืองที่เกิดขึ้นจึงพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าล้วนเกิดจากขบวนการหน้าเดิมๆ เพียงหยิบมือเดียวที่พยายามฉุดรั้งขัดขวางความสงบของชาติบ้านเมืองและการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ดังนั้นประชาชนส่วนใหญ่ต้องออกมาแสดงพลังความเป็นเจ้าของประเทศที่แท้จริงในเบื้องต้นว่าอยากให้ประเทศเดินหน้าหรือถอยหลังกลับไปสู่สภาพการเมืองแบบเดิมๆ ซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นในวันลงประชามติรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงในวันที่ 7 ส.ค.นี้

ทีมข่าวการเมือง

จับตาบิ๊กตู่ส่งสัญญาณจัดหนัก รื้อเร่งคดีล้างระบอบแม้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/213724

วันเสาร์ ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ฮือฮาเป็นอย่างมากเมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พูดกลางที่ประชุมผู้บริหารส่วนราชการต่อหน้านายปวิณ ชำนิประศาสน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่เมื่อวันก่อนอย่างเสียงดังฟังชัดและบอกนัย ทางการเมืองว่า “ขอฝากประเทศไว้กับผู้ว่าฯ อย่าไปจงรักภักดีกับนายเก่า แล้วอย่าเอาเรื่องต่างๆ ไปรายงานเพื่อขอความเห็น มันหมดสมัยของนักการเมืองแล้ว ขอให้ถอยออกไปและถ้าผมจะไป ผมก็จะไปเมื่อหมดเวลาในการบริหารราชการแผ่นดิน และจะเอาคนไม่ดีออกไปด้วย ผมพร้อมใช้มาตรา 44 ปรับย้ายทุกวัน ผมพูดไม่ได้ขู่ แต่ทำจริง” นี่อาจเป็นการส่งสัญญาณปรามบรรดาพ่อเมืองเบ๊รับใช้ระบอบทักษิณทั้งหลายที่จนขณะนี้หลายคนยังอยู่ในอำนาจและยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมทั้งๆ ที่คสช.ให้โอกาสกลับตัว

สำหรับ นายปวิณ เป็นสิงห์ดำ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ และได้ดิบได้ดีเป็นผู้ว่าฯครั้งแรกเมื่อปี 2556 ยุคที่นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ อดีตหัวหน้าพรรคเพื่อไทยเป็นรมว.มหาดไทย โดย นายจารุพงศ์ ขณะนี้หลบหนีคดีอยู่ในต่างแดน และ นายปวิณ ได้รับการสนับสนุนผลักดันจากสิงห์ดำ รัฐศาสตร์ จุฬาฯ รุ่นพี่คือ นายวิบูลย์ สงวนพงศ์ อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ให้มาเป็นผู้ว่าฯเกรดเอที่จ.เชียงใหม่ในยุคคสช.นี่เองโดยนายวิบูลย์ นั้นเป็นสิงห์ดำ รัฐศาสตร์ จุฬาฯเพื่อนซี้ร่วมรุ่นของ นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อแม้ว

การส่งสัญญาณเตือนของ พล.อ.ประยุทธ์ ครั้งนี้อาจเพราะได้รับการข้อมูลลับอะไรบางอย่างเกี่ยวกับพฤติกรรมของผู้ว่าฯเชียงใหม่ผู้นี้

แต่ที่สำคัญก็คือการส่งสัญญาณว่าหมดสมัยของนักการเมืองแล้วให้ถอยออกไป พร้อมทั้งย้ำว่า หากคสช.ต้องพ้นจากอำนาจนั่นหมายถึงต้องล้างนักการเมืองที่ไม่ดีให้หมดสิ้นเสียก่อน

หากเป็นจริงอย่างที่ พล.อ.ประยุทธ์ พูดส่งสัญญาณนั่นหมายความว่า ตราบใดที่พรรคธุรกิจการเมืองอันชั่วร้ายโดยเฉพาะระบอบทักษิณซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติทั้งปวงตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมายังไม่ล่มสลาย คสช.ก็จะยังไม่ลงจากอำนาจ หรือไม่ช่วงเวลาในอำนาจของคสช.ที่เหลืออยู่ไปจนกระทั่งมีรัฐบาลชุดใหม่หลังการเลือกตั้งนับจากนี้ไป เกมสลายเครือข่ายขบวนการระบอบทักษิณจะเข้มข้นจริงจังมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยมาตรการทางกฎหมาย

โดยเฉพาะในคดีทุจริตหรือคดีสำคัญร้ายแรงต่างๆ ที่บรรดาแกนนำระบอบทักษิณทั้งหลายเข้าไปเกี่ยวข้องและคั่งค้างอยู่อาจถูกเร่งรัดรื้อฟื้นเพื่อให้มีการตัดสินชี้ขาดเร็วๆ ยิ่งขึ้น อย่างคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรยุครัฐบาลทักษิณซึ่งก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ แพลมเป็นตัวอย่างบ้างแล้วซึ่งคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรขณะนี้ค้างอยู่ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) โดยจำเลยคนสำคัญก็คือ นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อแม้ว ที่เคลื่อนไหวยั่วยุท้าทายคสช.และป่วนเมืองอยู่ในขณะนี้ นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง อดีตแกนนำเสื้อแดง นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” นายทุนคนใกล้ชิด นายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งพัวพันคดีทุจริตหลายคดีรวมทั้งโครงการรับจำนำข้าว และรัฐมนตรียุครัฐบาลทักษิณบางคนตลอดจนโยงใยถึงตระกูลชินด้วย

เพราะฉะนั้น ต้องจับตาจากนี้ไปโดยอาจได้เห็นมาตรการจัดหนักของคสช.ที่เข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะคดีทุจริตยุครัฐบาลระบอบทักษิณที่มีอยู่เพียบ ซึ่งหากมีการเร่งรัดรื้อฟื้นจนนำไปสู่การตัดสินเมื่อไหร่มีหวังระบอบทักษิณล่มสลายแน่เพราะแกนนำมีหวังติดคุกกันเป็นแถว

ทีมข่าวการเมือง

ขบวนการป่วนท้าทายคสช. แผนสุมไฟให้ลุกโชน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/213570

วันศุกร์ ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ขบวนการป่วนเมืองขาประจำหน้าเดิมๆ เพียงหยิบมือเดียวโดยใช้โซเชียลมีเดียเป็นเครื่องมือบ่อนทำลายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)และปลุกระดมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงนับวันจะดุเดือดเข้มข้นขึ้นทุกขณะส่อพฤติการณ์สุมไฟให้ลุกโชนลุกลามบานปลายกลายเป็นกระแสลุกฮือในประเทศ รวมทั้งแรงบีบจากนอกประเทศ

ด้วยโซเชียลมีเดียและสื่อในยุคปัจจุบันสามารถแพร่ข่าวไปทั่วโลกได้อย่างง่ายดายในชั่วพริบตาเดียวโดยใช้คนเพียงไม่กี่คน ซึ่งหากวิเคราะห์ขบวนการป่วนเมืองที่เคลื่อนไหวตลอดช่วงที่ผ่านมา พบว่าล้วนเป็นตัวละครขาประจำหน้าเดิมๆ เพียงไม่กี่คนที่แยกกันเดินแต่ร่วมกันตี โดยมีการวางแผนมาเป็นอย่างดีจนสามารถชิงพื้นที่ข่าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยการบริหารจัดการนัดแนะสื่อทุกสำนักมาทำข่าว ขณะเดียวกันก็ป่วนเมืองผ่านทางโซเชียลมีเดีย

จนในที่สุดคสช.ตัดไฟแต่ต้นลมเพื่อสกัดแผนป่วนเมืองที่ส่อเค้ารุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยการคุมตัวขบวนการป่วนเมืองทางโซเชียลมีเดีย10 คน ไปสอบสวนขยายผลโดยทั้ง 10 คน เคลื่อนไหวในกทม. 8 คน และที่จ.ขอนแก่น 2 คน ซึ่งคาดว่าจะมีส่วนเชื่อมโยงเป็นขบวนการเดียวกัน และทันทีหลังควบคุมตัว 10 มือป่วน ปรากฏว่า กลุ่มพลเมืองโต้กลับซึ่งเป็นขาป่วนหน้าเดิมที่นำโดย นายอานนท์นำภา ยกพวกไปประท้วงเชิงสัญลักษณ์ที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ทันทีเหมือนต้องการท้าทายให้คสช.คุมตัวหวังให้เป็นข่าวไปทั่วโลกว่าคสช.ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ที่สำคัญและน่าสนใจก็คือ 2 ใน 10 มือป่วนที่ถูกคสช.คุมตัวคือ นายนพเก้า คงสุวรรณ และ น.ส.วรารัตน์ เหม็งประมูล ซึ่งเป็นลูกน้องคนใกล้ชิดที่ทำเฟซบุ๊คส่วนตัวให้กับ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง

นายจตุพร รีบชิงออกมาให้ข่าวโวยวายกดดันให้ คสช.ปล่อยตัว 2 ลูกน้องคนสนิท พร้อมบ่อนทำลายภาพพจน์คสช.อย่างรุนแรงอ้างว่าเป็นการอุ้มหายและใช้วิธีการเยี่ยงโจร พร้อมท้า พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ให้มาจับตัวเองและไม่ต้องนำตัว 2 ลูกน้องคนสนิท ไปทรมานเพื่อเค้นรีดข้อมูลให้รับสารภาพว่าเกี่ยวข้องกับตัวเอง “ถ้าอยากหาเรื่องมาหาเรื่องกับผม ไม่ต้องไปสืบลูกน้องผมให้มากความ เพราะเขาทำเฟซบุ๊คให้ผม ไม่ต้องไปเค้นว่าเกี่ยวข้องอะไรกับนายจตุพรหรือไม่ เพราะนายจตุพรขอบอกเองว่าเกี่ยว ใครจะกลัวอย่างไรก็ช่าง แต่ไม่ใช่ผม”

ท่าทีของ นายจตุพร เหมือนแก้เกี้ยวหลังถูกจับได้ว่าเกี่ยวข้องกับขบวนการป่วนเมืองและเหมือนท้าทาย โดยก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ เปิดโปงว่าขบวนการป่วนเมืองมีรถของกลุ่มเสื้อแดงคอยรับ-ส่ง ซึ่ง นายจตุพร แก้ตัวอ้างแบบน้ำขุ่นๆ ว่าเป็นแค่การขอติดรถมาด้วยเท่านั้น

ส่วนการที่นายจตุพรแก้เกี้ยวท้าให้คสช.จับนั้นคงไม่ต้องท้าเพราะหากมีพยานหลักฐานมัดนายจตุพรไม่รอดเงื้อมมือกฎหมายอยู่แล้ว แต่ที่น่าห่วงสำหรับชาติบ้านเมืองก็คือสัญญาณการเคลื่อนไหวของขบวนการป่วนเมืองที่ส่อเจตนายั่วยุท้าทายดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ หวังสุมไฟวิกฤติให้ลุกโชนเพื่อล้มคสช.

ทีมข่าวการเมือง

เกมดิบเถื่อนแก๊งแดงเพื่อแม้ว ชักศึกเข้าบ้านบ่อนทำลายชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/213369

วันพฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ข้อเรียกร้องของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามจุดกระแสให้องค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น)และกลุ่มประชาคมยุโรป(อียู)เข้ามาสังเกตการณ์การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงของไทยถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเกมการเมืองที่หวังชักศึกเข้าบ้านและสร้างความปั่นป่วนบ่อนทำลายภาพพจน์ของประเทศ

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ปัดข้อเรียกร้องของ นายจตุพรอย่างไม่ให้ราคาโดยย้ำว่า จะไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวกิจการภายในของไทยอย่างเด็ดขาด

ขณะที่ นายดอน ปรมัตถ์วินัยรมว.ต่างประเทศ สอนมวยประจานความถ่อย ดิบ เถื่อนของขบวนการแดงเพื่อแม้ว ด้วยลีลานักการทูตผู้มีอารยะว่า การทำประชามติในโลกนี้ไม่มีองค์กรระหว่างประเทศไหนเข้ามายุ่งเกี่ยวเพราะถือเป็นกิจการภายในไม่ใช่การเลือกตั้ง ข้อเสนออย่างนี้มันผิดตั้งแต่แรก หรือแม้เป็นการเลือกตั้งหากองค์กรระหว่างประเทศจะเข้ามาสังเกตการณ์ก็เฉพาะในกรณีที่ประเทศเจ้าบ้านเชิญให้เข้ามาเท่านั้น ทั้งนี้จนปัจจุบันก็ยังไม่เห็นมีองค์กรระหว่างประเทศองค์กรไหนที่แสดงท่าทีอยากเข้ามาสังเกตการณ์ทำประชามติเพราะเขามีมารยาทพอ

ข้อเรียกร้องของขบวนการแดงเพื่อแม้วดูก็รู้ว่าเป็นเกมการเมืองหวังสร้างความสับสนปั่นป่วนให้กับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ตามแผน “โลกล้อมไทย” เพื่อบ่อนทำลายความชอบธรรมของคสช.

ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการประจานธาตุแท้ที่กลับกลอกของขบวนการเพื่อแม้ว เพราะหากยังจำกันได้ในยุครัฐบาลระบอบทักษิณภายใต้การนำของ นายทักษิณ ชินวัตรเรืองอำนาจสุดขีด อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เคยประกาศอย่างอหังการว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” โดยจะไม่ยอมให้องค์กรระหว่างประเทศไม่ว่าองค์กรไหนเข้ามาตรวจสอบหรือยุ่มย่ามอธิปไตยของไทยอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อระบอบทักษิณพ้นจากอำนาจทางการเมืองกลับเปลี่ยนจุดยืนท่าที ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าด้วยการชักศึกเข้าบ้านใช้แผน “โลกล้อมไทย” เรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศและประเทศต่างๆบอยคอตต์ คสช.และรัฐบาลชุดปัจจุบัน หวังปูทางให้ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง

จากพฤติการณ์ของขบวนการเพื่อแม้วตลอดช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความถ่อย ดิบ เถื่อนพร้อมทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง ขอเพียงให้บรรลุเป้าหมายและผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งอย่าว่าแต่ชักศึกเข้าบ้านเพื่อบ่อนทำลายแผ่นดินเกิดตัวเอง แม้แต่ก่อจลาจลทั่วเมืองหลวงและบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจา หรือก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง จนพินาศย่อยยับก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว แต่เกมชักศึกยูเอ็นและอียูเข้าบ้านครั้งนี้เห็นทีจะเหลวเพราะยูเอ็นและอียูคงรู้ทันและคงไม่ถ่อยดิบเถื่อนซุ่มซ่ามลนตามแผน “โลกล้อมไทย”ของขบวนการเพื่อแม้วอย่างไร้อารยะ

ทีมข่าวการเมือง

เกมดิบเถื่อนแก๊งแดงเพื่อแม้ว ชักศึกเข้าบ้านบ่อนทำลายชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/213369

วันพฤหัสบดี ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ข้อเรียกร้องของ นายจตุพร พรหมพันธุ์ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงที่พยายามจุดกระแสให้องค์การสหประชาชาติ(ยูเอ็น)และกลุ่มประชาคมยุโรป(อียู)เข้ามาสังเกตการณ์การทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงของไทยถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเกมการเมืองที่หวังชักศึกเข้าบ้านและสร้างความปั่นป่วนบ่อนทำลายภาพพจน์ของประเทศ

จึงไม่แปลกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ปัดข้อเรียกร้องของ นายจตุพรอย่างไม่ให้ราคาโดยย้ำว่า จะไม่ยอมให้ต่างชาติเข้ามายุ่งเกี่ยวกิจการภายในของไทยอย่างเด็ดขาด

ขณะที่ นายดอน ปรมัตถ์วินัยรมว.ต่างประเทศ สอนมวยประจานความถ่อย ดิบ เถื่อนของขบวนการแดงเพื่อแม้ว ด้วยลีลานักการทูตผู้มีอารยะว่า การทำประชามติในโลกนี้ไม่มีองค์กรระหว่างประเทศไหนเข้ามายุ่งเกี่ยวเพราะถือเป็นกิจการภายในไม่ใช่การเลือกตั้ง ข้อเสนออย่างนี้มันผิดตั้งแต่แรก หรือแม้เป็นการเลือกตั้งหากองค์กรระหว่างประเทศจะเข้ามาสังเกตการณ์ก็เฉพาะในกรณีที่ประเทศเจ้าบ้านเชิญให้เข้ามาเท่านั้น ทั้งนี้จนปัจจุบันก็ยังไม่เห็นมีองค์กรระหว่างประเทศองค์กรไหนที่แสดงท่าทีอยากเข้ามาสังเกตการณ์ทำประชามติเพราะเขามีมารยาทพอ

ข้อเรียกร้องของขบวนการแดงเพื่อแม้วดูก็รู้ว่าเป็นเกมการเมืองหวังสร้างความสับสนปั่นป่วนให้กับการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่กำลังจะมีขึ้นในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ตามแผน “โลกล้อมไทย” เพื่อบ่อนทำลายความชอบธรรมของคสช.

ขณะเดียวกันในอีกด้านหนึ่งก็เป็นการประจานธาตุแท้ที่กลับกลอกของขบวนการเพื่อแม้ว เพราะหากยังจำกันได้ในยุครัฐบาลระบอบทักษิณภายใต้การนำของ นายทักษิณ ชินวัตรเรืองอำนาจสุดขีด อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เคยประกาศอย่างอหังการว่า “ยูเอ็นไม่ใช่พ่อ” โดยจะไม่ยอมให้องค์กรระหว่างประเทศไม่ว่าองค์กรไหนเข้ามาตรวจสอบหรือยุ่มย่ามอธิปไตยของไทยอย่างเด็ดขาด แต่เมื่อระบอบทักษิณพ้นจากอำนาจทางการเมืองกลับเปลี่ยนจุดยืนท่าที ชนิดหน้ามือเป็นหลังเท้าด้วยการชักศึกเข้าบ้านใช้แผน “โลกล้อมไทย” เรียกร้องให้องค์กรระหว่างประเทศและประเทศต่างๆบอยคอตต์ คสช.และรัฐบาลชุดปัจจุบัน หวังปูทางให้ระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง

จากพฤติการณ์ของขบวนการเพื่อแม้วตลอดช่วงที่ผ่านมา สะท้อนให้เห็นถึงความถ่อย ดิบ เถื่อนพร้อมทำสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง ขอเพียงให้บรรลุเป้าหมายและผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งอย่าว่าแต่ชักศึกเข้าบ้านเพื่อบ่อนทำลายแผ่นดินเกิดตัวเอง แม้แต่ก่อจลาจลทั่วเมืองหลวงและบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจา หรือก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง จนพินาศย่อยยับก็มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้ว แต่เกมชักศึกยูเอ็นและอียูเข้าบ้านครั้งนี้เห็นทีจะเหลวเพราะยูเอ็นและอียูคงรู้ทันและคงไม่ถ่อยดิบเถื่อนซุ่มซ่ามลนตามแผน “โลกล้อมไทย”ของขบวนการเพื่อแม้วอย่างไร้อารยะ

ทีมข่าวการเมือง

ธัมมชโยหนีความจริงได้ชั่วคราว แต่ยากหนีกรรมพ้น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/213238

วันพุธ ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การส่อเจตนายื้อหาข้ออ้างไม่ยอมเข้าให้ปากคำต่อพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท คดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ของธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินเป็นครั้งที่ 3 จนดีเอสไอต้องขออำนาจศาลออกหมายจับยิ่งเป็นการสะท้อนและทำให้สังคมเห็นพิรุธและธาตุแท้ตัวตนที่แท้จริงของธัมมชโยและสำนักจานบินชัดเจนมากขึ้น

ในครั้งแรกหลังถูกออกหมายเรียก ธัมมชโย อ้างว่าติดธุระขอเลื่อนการให้ปากคำต่อดีเอสไอพอครั้งที่สองก็อ้างว่าติดงานวันเกิดตัวเอง และพอครั้งที่สามก็มีพระสำนักจานบินออกมาแถลงพร้อมใบรับรองแพทย์อ้างว่า ธัมมชโย ป่วยหนักซึ่งที่ผ่านมา ดีเอสไอพยายามอะลุ้มอล่วย ทั้งๆ ที่รู้ว่า ธัมมชโย หาข้ออ้างยื้อการเข้าให้ปากคำ

แถลงการณ์ของดีเอสไอหลัง ธัมมชโย เบี้ยวมาให้ปากคำเป็นครั้งที่ 3 ให้เหตุผลที่ต้องออกหมายจับว่า การที่ ธัมมชโย มีหนังสือขอเลื่อนนัดพนักงานสอบสวนมาแล้วถึง 2 ครั้ง โดยอ้างเหตุติดการประกอบศาสนกิจ หรือล่าสุดอ้างว่าป่วยโดยใช้ใบรับรองแพทย์จากคลินิกเอกชน แต่ปรากฏว่ามีการเข้าร่วมพิธีกรรมทางศาสนาได้ตามปกติจึงไม่มีเหตุสมควรที่ ธัมมชโยจะขอเลื่อนมาพบพนักงานสอบสวนดีเอสไอ เพราะพฤติการณ์ดังกล่าวเป็นไปในลักษณะหลบเลี่ยงไม่เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม โดยทางคดีดีเอสไอมีหลักฐานพอสมควรว่า ผู้ถูกกล่าวหาน่าจะกระทำผิดอันมีเหตุตามกฎหมายที่จะออกหมายจับได้

สังคมมีการตั้งข้อสงสัยกรณีที่ พระสนิทวงศ์วุฑฒิวังโส ผู้อำนวยการสำนักสื่อสารองค์กรสำนักจานบินและนพ.ชูชัย พรพัฒนาพันธุ์ แพทย์ประจำคลินิกรัตนเวช ซึ่งเป็นผู้ออกใบรับรองแพทย์ให้ ธัมมชโย ร่วมกันแถลงอ้างว่า สาเหตุที่ ธัมมชโย ไม่ไปให้ปากคำดีเอสไอเป็นครั้งที่สามเพราะป่วยหนัก ซึ่งหากเป็นการจัดฉากไม่เป็นจริงอย่างที่อ้างเท่ากับสะท้อนให้เห็นความไม่ซื่อสัตย์สุจริตของสำนักจานบินที่ปกปิดซ่อนเร้นความไม่ชอบมาพากล อีกทั้งสงฆ์หากพูดเท็จปกปกป้องผู้กระทำผิดทางอาญาร้ายแรงถือว่าผิดพระธรรมวินัย เช่นเดียวกับแพทย์ผู้ออกใบรับรองแพทย์หากเจตนาช่วยคนทำผิดถือว่าผิดจรรยาแพทย์อย่างร้ายแรง อีกทั้งอาจถูกดำเนินคดีอาญาฐานช่วยเหลือผู้กระทำผิดกฏหมาย

ความจริงหาก ธัมมชโย บริสุทธิ์ใจและไม่ได้ทำผิดจริงตามข้อกล่าวหาก็ควรที่จะเข้าให้ปากคำต่อดีเอสไออย่างสง่าผ่าเผยให้จบเรื่องจบราวตั้งแต่แรกแต่การที่ส่อเจตนาหลบเลี่ยงยื้อเกมไม่กล้าเผชิญความจริงอาจทำให้ถูกตั้งข้อสงสัยได้ว่าไม่กล้าสู้ความจริงและพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม

การส่อเจตนาหนีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเท่ากับเป็นการประจานตัวเองทำให้สังคมตั้งข้อสงสัยว่าเพราะทำผิดจริงจึงไม่กล้าพิสูจน์ตัวเอง ซึ่งแม้ ธัมมชโย จะเล่นเกมยื้อหนีความจริงได้ชั่วครั้งชั่วคราว แต่ในที่สุดก็คงยากหนีกรรมซึ่งเหมือนเงาติดตัวไปไม่พ้น

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วส่งสัญญาณแตกหัก เปิดศึกดับเครื่องชนคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/213068

วันอังคาร ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นการส่งสัญญาณพร้อมทำศึกแตกหักเมื่อนักโทษชายแม้วผู้เป็นนายใหญ่ออกโรงตอบโต้พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แบบตาต่อตาฟันต่อฟันหลังถูกระบุว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังขบวนการป่วนเมือง พร้อมทั้งโจมตีการบริหารของรัฐบาลนายกฯลุงตู่ว่าล้มเหลวและถึงขนาดท้าให้ประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับคสช.ไปเลยโดยไม่ต้องมาเสียเวลาทำประชามติ

ก่อนหน้านี้เครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วทั้งบรรดาแกนนำพรรคเพื่อแม้วโดยเฉพาะ นายวัฒนา เมืองสุข และ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง รวมทั้งกลุ่มนักวิชาการและนักศึกษาเสื้อแดงต่างออกมาเคลื่อนไหวสอดรับกันโดยอาศัยการต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญที่กำลังจะทำประชามติเป็นเครื่องมือสุมไฟให้เกิดกระแสลุกฮือต่อต้านคสช.และรัฐบาลทั้งในและนอกประเทศ โดยสร้างภาพความเป็นประชาธิปไตยและการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นข้ออ้างในการจุดกระแสสร้างความชอบธรรมเพื่อปูทางไปสู่เกมขั้นแตกหัก

โดยเป้าหมายของขบวนการเพื่อแม้วถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่ได้มุ่งเพียงเพื่อคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่อาจมีเป้าหมายแอบแฝงที่ใหญ่กว่านั่นคือมุ่งบ่อนทำลายทำให้คสช.พ้นจากอำนาจโดยเร็วๆ ที่สุด เพราะเป้าหมายเฉพาะหน้าของขบวนการเพื่อแม้วก็คือต้องช่วยให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดรอดพ้นชะตากรรมที่มีแนวโน้มกำลังนับถอยหลัง อาจถูกยึดทรัพย์ เพื่อชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินเข้าไปทุกขณะ โดยคดีรับจำนำข้าวขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคาดว่าจะตัดสินอย่างช้าไม่น่าจะเกินช่วงต้นปีหน้าก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป

เพราะฉะนั้นด้วยเวลาที่รอไม่ได้และความหวังที่ระบอบทักษิณจะกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศหลังการเลือกตั้งหวังเคลียร์คดีช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์คงเป็นไปได้ยาก ทำให้ นักโทษชายแม้ว ผู้เป็นนายใหญ่คงยอมไม่ได้ที่จะทนเห็นน้องสาวต้องมารับกรรมอันเลวร้ายถึงขั้นเข้าคุกจากการชักใยของตัวเอง ยังไม่รวมเครือญาติตระกูลชินอีกหลายคนที่ถูกดำเนินคดีและมีสิทธิ์ติดคุกเช่นกัน

เพราะฉะนั้นจึงเห็นสัญญาณความเคลื่อนไหวแบบดับเครื่องชนของบรรดาแกนนำขบวนการเพื่อแม้วชัดเจนดุเดือดมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งออกมาท้าทาย ยั่วยุ และตอบโต้คสช.และรัฐบาลอย่างไม่เกรงกลัวอำนาจพิเศษอีกต่อไป

ล่าสุด นายจตุพร และเหล่าแกนนำเสื้อแดงออกมาแถลงจุดกระแสคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง และที่สำคัญเดินเกมชักศึกเข้าบ้านแทรกแซงกิจการภายในอันเป็นการทำลายภาพพจน์ประเทศด้วยการเรียกร้องให้องค์การสหประชาชาติและประชาคมยุโรปเข้าร่วมสังเกตการณ์การลงประชามติที่จะมีขึ้นโดยอ้างว่าเพื่อความโปร่งใส

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นถึงขั้นนักโทษชายแม้วผู้เป็นนายใหญ่เปิดตัวออกมาเปิดศึกชนช้างกับ “บิ๊กตู่” ด้วยตัวเอง ขณะที่แกนนำขบวนการเพื่อแม้วดาหน้าออกมาเคลื่อนไหวแบบดับเครื่องชนทำให้สถานการณ์จากนี้ไปมีแนวโน้มที่จะเดือดพล่านขึ้นทุกขณะทั้งเกมบนดินและใต้ดิน

ทีมข่าวการเมือง

จับเท็จนช.แม้วและพวก คนโกหกไม่ทำชั่วเป็นไม่มี?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/212897

วันจันทร์ ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
นักโทษชายแม้ว อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ถึงกับเก็บอาการไม่อยู่ ออกมาตอบโต้อย่างดุเดือดทันทีหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ประกาศชัดเป็นครั้งแรกว่า “ทักษิณ” อยู่เบื้องหลังขบวนการป่วนเมืองและอาศัยบริษัทล็อบบี้ยิสต์ข้ามชาติเป็นเครื่องมือเคลื่อนไหว โดยอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกปฏิเสธอ้างว่าไม่เคยจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต็ ขณะเดียวกันก็โจมตีว่า พล.อ.ประยุทธ์โยนความผิดให้คนอื่น ทั้งๆ ที่ 2 ปี หลังคสช.และรัฐบาลเข้าคุมอำนาจบริหารประเทศประสบความล้มเหลว

นอกจาก นักโทษชายแม้ว แล้ว บรรดาบริวารขบวนการเพื่อแม้ว อาทิ นายนพดล ปัทมะ ทนายหน้าหอของนักโทษชายแม้ว นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรมว.ต่างประเทศ ต่างออกมาแก้ต่างแทนนายใหญ่โดยอ้างว่า เจ้านายไม่เคยจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์

เรื่องผลงานของคสช.และรัฐบาลจะสำเร็จ หรือล้มเหลวหากวัดจากผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ของประเทศยังคงให้การสนับสนุนคสช.และรัฐบาลจึงน่าจะเป็นคำตอบได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่ นักโทษชายแม้ว พูดเป็นเรื่องจริงหรือแค่คำโฆษณาชวนเชื่อ

แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ข้อกล่าวหาที่ว่า นักโทษชายแม้ว ชักใยบงการอยู่เบื้องหลังขบวนการเพื่อแม้วจริงหรือไม่ ซึ่งความจริงเรื่องนี้ แม้ พล.อ.ประยุทธ์ จะไม่พูด แต่เชื่อว่าสาธารณชนต่างก็รู้ดีแก่ใจมานานแล้วว่า ตั้งแต่ นักโทษชายแม้ว ถูกรัฐประหารพ้นจากอำนาจเมื่อปี 2549 และหนีออกนอกประเทศได้บงการอยู่เบื้องหลังม็อบเสื้อแดงทั่วกทม.ยุครัฐบาล นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยา เมื่อปี 2552 และปีถัดมาก็ใช้ม็อบเสื้อแดงและกองกำลังชุดดำก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนพินาศ

นอกจากนี้ยังวางแผนชักใยผลักดันจน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร น้องสาว ได้เป็นนายกฯหุ่นเชิด ภายใต้สโลแกนหาเสียงของพรรคเพื่อไทย “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” และหลัง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกคสช.ยึดอำนาจ นักโทษชายแม้ว ยังคงเคลื่อนไหวให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติ และอาศัยบริษัทล็อบบี้ยิสต์ข้ามชาติบ่อนทำลายประเทศไทยและคสช.มาตลอด และล่าสุด นักโทษชายแม้ว ยังปลุกระดมสาวกด้วยการแจกขันแดงที่มีภาพของตัวเองและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่วงสงกรานต์ รวมทั้งยังสไกป์มายังที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเพื่อปลุกระดมให้เหล่าสาวกลุกขึ้นสู้

ส่วนที่นักโทษชายแม้ว และเหล่าลิ่วล้อปฏิเสธว่าไม่เคยจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์นั้น ถูกจับเท็จอย่างสิ้นเชิงเพราะมีใบเสร็จมัดโดยรายงานของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐก่อนหน้านี้เปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับการจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์เฉพาะในสหรัฐของ นักโทษชายแม้ว เพื่อเป็นเครื่องมือเคลื่อนไหวทางการเมือง ช่วงปี 2549-2558 รวม 5 บริษัทประกอบด้วย 1.บริษัท Baker Botts L.L.P 2.บริษัท Barbour Griffith & Rogers,.LLC 3.บริษัท Amsterdam & Peroff LLP 4.บริษัท Kobre & Kim LLP 5.บริษัท BGR government Affairs

จากพฤติการณ์ทำให้นึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า “คนพูดเท็จไม่ทำชั่วเป็นไม่มี” ทั้งนี้การพูดเท็จคือพื้นฐานบ่อเกิดและของคู่กับการทำชั่วในเรื่องอื่นๆ

ทีมข่าวการเมือง

ขบวนการทักษิณสุมไฟวิกฤติ ชักศึกเข้าบ้านป่วนประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/212786

วันอาทิตย์ ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ที่ผ่านมา นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อไทย ออกมาแสดงบทบาทหัวหมู่ทะลวงฟันตามแผนขบวนการเพื่อแม้ว ในการสร้างสถานการณ์ยั่วยุท้าทายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ให้นำตัวไปปรับทัศนคติในค่ายทหารมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นกับดักที่ขบวนการเพื่อแม้วต้องการใช้เป็นเครื่องมือกระพือข่าวและเป็นข้ออ้างว่าเผด็จการจากการรัฐประหารละเมิดสิทธิมนุษยชนและคุกคามสิทธิเสรีภาพของฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อสุมไฟให้เกิดการลุกฮือทั้งภายในประเทศและชักศึกเข้าบ้านตามแผนโลกล้อมไทย

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาเห็นได้ชัดเจนว่า เกิดเครือข่ายขบวนการที่สร้างสถานการณ์สุมไฟป่วนเมืองโดยใช้ประเด็นการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญเป็นหัวเชื้อจุดชนวน โดยเคลื่อนไหวในลักษณะแยกกันเดินร่วมกันตี ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักวิชาการโหวตโนซึ่งหลายคนเป็นนักวิชาการเสื้อแดงประเภทขาประจำหน้าเดิมๆ ที่เคลื่อนไหวคู่ขนานกับขบวนการเพื่อแม้วมาตลอด

หรือกลุ่มพลเมืองโต้กลับที่นำโดย นายอานนท์ นำภา และ นายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” ก็โผล่ออกมาเคลื่อนไหวปลุกระดมพลังคนเสื้อขาวให้ออกมาแสดงพลังพร้อมทั้งเรียกร้องให้คสช.ปล่อยตัว นายวัฒนา ทันทีโดยไม่มีเงื่อนไข โดยนายอานนท์ และ นายสิรวิชญ์ พยายามยั่วยุท้าทายคสช.และต้องการสร้างข่าวให้เกิดกระแสด้วยการเคลื่อนไหวตามสถานที่สาธารณะสำคัญ อาทิ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สถานีรถไฟฟ้า หวังให้คสช.คุมตัวไปปรับทัศนคติเพื่อเป็นข้ออ้างว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนและคุกคามสิทธิเสรีภาพประชาชน

พรรคเพื่อไทยก็ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการปล่อยตัว นายวัฒนา ทันทีหลัง นายวัฒนา ถูกนำตัวไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร

ฉากสร้างสถานการณ์ของขบวนการสุมไฟป่วนประเทศสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน ในวันที่คสช.นำตัว นายวัฒนา ไปปรับทัศนคติในมณฑลทหารบกที่ 11 ก่อนนำตัวไปเข้าค่ายที่กองพลที่ 9 จ.กาญจนบุรี โดยบรรดาคนของพรรคเพื่อแม้วมีการสร้างสถานการณ์ให้เป็นข่าวใหญ่โตโดยมีการวางแผนจัดเตรียมเอกสารล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี โดยเฉพาะ ร.ท.หญิงสุณิสา เลิศภควัต หรือ “หมวดเจี๊ยบ” อดีตรองโฆษกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นัดสื่อทั้งไทยและเทศรวมทั้งตัวแทนสถานทูตต่างชาติประจำประเทศไทยบางประเทศ ตลอดจนตัวแทนองค์กรสิทธิมนุษยชนสากล มาแถลงข่าวว่า นายวัฒนา ได้ร้องเรียนไปยัง นายบัน คี มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนในไทย ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อแม้ว อาทิ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นพวกขาประจำผีโม่แป้งเรียกร้องให้ปล่อยตัว นายวัฒนา

เช่นเดียวกับขบวนการระบอบทักษิณ โดยเฉพาะนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการคนเสื้อแดง นางธิดา ถาวรเศรษฐ อดีตประธานคนเสื้อแดง เดินทางไปเยี่ยม นายวัฒนา พร้อมเรียกร้องให้มีการปล่อยตัวเพื่อสร้างข่าวรายวัน

ขณะเดียวกันมีการนำ น.ส.วีรดา เมืองสุข บุตรสาว นายวัฒนา เดินสายสร้างภาพร้องเรียนไปยังสถานทูตประเทศต่างๆ ในไทย รวมทั้งสหภาพยุโรป(อียู) ตลอดจนองค์กรระหว่างประเทศ

ทั้งนี้เอกสารการร้องเรียนของ นายวัฒนา ที่นำมาแจกจ่ายแก่สื่อต่างชาติรวมทั้งส่งไปยังองค์การสหประชาชาติและประเทศต่างๆ มีการลงนามโดย นายวัฒนา ซึ่งจัดเตรียมล่วงหน้ามาเป็นอย่างดี

อีกความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจก็คือการออกมาให้ความเห็นของ นายชินวัฒน์ หาบุญพาด อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว และแกนนำคนเสื้อแดง ส่งสัญญาณเตือนคสช.ว่า หากไม่ถอยคนละก้าวในที่สุดก็ต้องแตกหัก

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคสช. ส่งสัญญาณแข็งกร้าวจะดำเนินการตามกฎหมายขั้นเด็ดขาดกับขบวนการป่วนเมืองหนักขึ้นเรื่อยๆ พร้อมทั้งระบุชัดเจนเป็นครั้งแรกว่ามีคนบงการขบวนการป่วนประเทศโดยเฉพาะกลุ่มนักศึกษาที่ออกมาเคลื่อนไหวมีรถของสถานีโทรทัศน์วอยซ์ทีวีและกลุ่มคนเสื้อแดงคอยรับ-ส่ง และที่สำคัญ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำชัดว่า ทักษิณ อยู่เบื้องหลังขบวนการป่วนเมืองทั้งวางแผน ชักใยและเคลื่อนไหวผ่านบริษัทล็อบบี้ยิสต์

ทั้งนี้นักวิเคราะห์มองว่า การออกมาจัดฉากสร้างสถานการณ์ยั่วยุท้าทายให้คสช.คุมตัวนายวัฒนาไปปรับทัศนคติเป็นแผนสุมไฟให้ลุกโชนจนเกิดความระส่ำระสายทั้งภายในและเกิดแรงบีบจากนานาประเทศตามแผนโลกล้อมไทย โดยเป้าหมายรองคือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง แต่มีเป้าหมายหลักที่แท้จริงมุ่งโหมไฟวิกฤติให้เกิดกระแสต้านคสช.ทั้งและนอกประเทศจนคสช.ไม่สามารถอยู่ในอำนาจต่อไปได้ เพื่อช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญของคดีโครงการทุจริตรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ตลอดจนคนในตระกูลชินคนอื่นๆ ที่กำลังจะถูกชี้ชะตาอันเลวร้ายถึงขั้นเข้าคุกและถูกยึดทรัพย์ซึ่งเป็นสิ่งที่นายใหญ่ระบอบทักษิณผู้เป็นพี่ชายยอมไม่ได้ จึงบงการขบวนการป่วนเมืองสุมไฟทำศึกแตกหัก

ทีมข่าวการเมือง