คสช.กับพรรคการเมือง ใครทำเพื่อชาติหรือเพื่อตัวเอง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/211049

วันอังคาร ที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงจะผ่านการทำประชามติหรือไม่ นอกจากพลังเงียบแล้ว สองพรรคการเมืองใหญ่คือพรรคเพื่อแม้วและประชาธิปัตย์ ถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะมีอิทธิพลชี้ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านหรือถูกคว่ำ และนับถอยหลังไปสู่วันลงประชามติบรรดาพรรคการเมืองต่างออกมาแสดงจุดยืนต่อร่างรัฐธรรมนูญชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

พรรคเพื่อไทยนั้น ไม่ต้องพูดถึงเพราะประกาศจุดยืนตั้งแต่ไก่โห่โดยที่ยังไม่ทันร่างรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำว่าจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นผลพวงจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ล่าสุดแกนนำพรรคนำทีมโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค แถลงว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงมีข้อเสียมากกว่าข้อดี โดยเฉพาะที่พรรคไม่เห็นด้วยอย่างมากก็คือ คำถามพ่วงร่างรัฐธรรมนูญในการทำประชามติที่ถามว่าเห็นด้วยหรือไม่ หากให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.)จากการสรรหาร่วมโหวตเลือกนายกฯได้ นอกจากนี้ ยังเรียกร้องให้เปิดโอกาสให้รณรงค์เกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญช่วงการทำประชามติได้ รวมทั้งอยากให้คสช.พูดออกมาให้ชัดเจนว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติแล้วจะมีทางออกอย่างไร

แต่แม้พรรคประชาธิปัตย์จะไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญในหลายประเด็น แต่ก็ยังแทงกั๊กว่าจะรับหรือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเพราะยังมีปัจจัยอื่นๆ ต้องพิจารณาโดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่พรรคเพื่อแม้วอาศัยการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเป็นเครื่องมือทางการเมือง

ส่วนพรรคขนาดกลางอย่างพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย แสดงจุดยืนชัดเจนว่า สนับสนุนให้ร่างผ่านการทำประชามติอย่างไม่มีเงื่อนไข

มาทางด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ตอบโต้บรรดาพรรคการเมืองที่ออกมาต่อต้านร่างรัฐธรรมนูญอย่างดุเดือดแข็งกร้าวว่า “แล้วมันทำให้ประเทศเลวร้ายลงมากกว่าเดิม ประชาชนมีความทุกข์มากขึ้นหรือเปล่า หรือนักการเมืองที่ไม่ดีจะเป็นจะตาย หรือเกรงว่าจะทำอะไรที่เลวร้ายเหมือนที่เคยทำมาไม่ได้อีก อยากถามว่าที่ผ่านมาแก้ปัญหาอะไรสำเร็จบ้างโดยไม่มีปัญหาตามมา ทั้งนโยบายประชานิยมที่สร้างความเสียหาย ประชาชนแตกแยก ประมงผิดกฎหมาย ค้ามนุษย์ ปัญหาการบิน คอร์รัปชั่น คดีความที่ค้างคาจำนวนมาก ธุรกิจมืด ธุรกิจสีเทา บ้านเมืองไร้ระเบียบ กดดันจนข้าราชการและตำรวจทำงานไม่ได้ ระบบการทำงานขาดวิสัยทัศน์ขาดยุทธศาสตร์ทุกมิติส่งผลให้เศรษฐกิจประเทศไม่เข้มแข็งประเภทมือใครยาวก็เข้าถึงระบบราชการ มีพรรคพวกตัวเองก็ได้ไป ภาคการเกษตรเกิดปัญหาราคาข้าว ยางพารา น้ำท่วมและภัยแล้ง

วันนี้ยังกล้าออกมาพูดตำหนิคสช. ตำหนิการปฏิรูป หรือเห็นว่าหากปล่อยให้คสช.ทำไปแล้วสำเร็จ ประชาชนจะไม่เลือกนักการเมือง สิ่งที่ถามคสช.ทุกเรื่องอยากให้สื่อลองถามกลับไปแล้วให้เขาตอบว่า หลายสิบปีของรัฐบาลที่มาจาการเลือกตั้งทำไมเรื่องเหล่านี้จึงไม่เกิดและหากได้มาเป็นรัฐบาลจะแก้ไขอย่างไร ที่ออกมาโวยวายรัฐธรรมนูญและกฎหมายทำเพื่ออะไร ใครได้ประโยชน์ ที่ผ่านมาทำไมไม่ออกมา ไม่สนใจ”

จากจุดยืนเหตุผลระหว่างฝ่ายนักการเมืองกับคสช. ประชาชนผู้เป็นเสียงสวรรค์ทั้งหลายก็ไตร่ตรองเปรียบเทียบก็แล้วกันว่า ใครทำเพื่อชาติบ้านเมืองและใครทำเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง โดยพิจารณาจากบทเรียนในอดีตและอนาคตของประเทศเป็นแนวทางการแยกแยะ

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วแน่จริงไม่ลงเลือกตั้ง หากรธน.ผ่านประชามติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/210901

วันจันทร์ ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
จุดยืนพรรคเพื่อแม้วถูกตั้งข้อสังเกตว่า หน้าไหว้หลังหลอกพูดอย่างทำอย่างดูตัวอย่างกรณีการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ซึ่งเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วออกมาประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญตั้งแต่ยังไม่ทันยกร่างด้วยซ้ำ และล่าสุดก่อนหน้านี้พรรคเพื่อแม้วถึงกับออกแถลงการณ์ประกาศจุดยืนไม่รับร่างรัฐธรรมนูญและปลุกระดมให้ประชาชนร่วมรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญในการทำประชามติ แต่เมื่อถูกถามว่าพรรคจะแสดงจุดยืนอย่างไรหากร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ บรรดาสาวกเพื่อแม้วกลับออกอาการแทงกั๊ก อาทิ นพ.เหวง โตจิราการ

พรรคเพื่อแม้วประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ฉบับที่ยกร่างโดยคณะกรรมการชุดที่มี ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน ซึ่งตกไปในขั้นการลงมติของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยพรรคเพื่อแม้วและเครือข่ายอ้างหลักประชาธิปไตยไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศเพราะเป็นผลพวงจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

อีกทั้งก่อนหน้านี้อดีต สส.พรรคเพื่อแม้วอย่าง นายวรชัย เหมมะ หรือ นายเสนาะ เทียนทอง ถึงกับออกมาเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตนายกฯและหัวหน้าคสช. แสดงความรับผิดชอบหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติจน นายวรชัย ถูกนำตัวไปปรับทัศนคติในค่ายทหาร

เพราะฉะนั้นหากพรรคเพื่อแม้วไม่หน้าไหว้หลังหลอกแบบเกลียดตัวกินไข่โดยในเมื่อแสดงจุดยืนชัดเจนหนักแน่นว่าไม่รับร่างรัฐธรรมนูญโดยอ้างว่าไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะเป็นผลพวงจากการรัฐประหารก็ต้องไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง เพราะการเลือกตั้งก็เป็นผลพวงจากรัฐประหารตามโรดแมปของคสช. และก็เป็นไปตามร่างรัฐธรรามนูญฉบับที่มีการลงประชามติ

แกนนำขบวนการเพื่อแม้วที่ออกมาประกาศจุดยืนขึงขังให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้นและเสนอให้พรรคเพื่อแม้วไม่ลงเลือกตั้งก็คือ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง

แต่เมื่อวันก่อนกลับเห็น นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก นายใหญ่ขบวนการเพื่อแม้ว เพิ่ง
สไกป์มาอวยพรสงกรานต์บรรดาสาวกพรรคเพื่อแม้ว และยังปลุกเร้าให้อดีตสส.พรรคเพื่อแม้วทั้งหลายลงพื้นที่เพื่อ
เตรียมพร้อมสำหรับการเลือกตั้ง

เพราะฉะนั้นจากพฤติการณ์เกลียดตัวกินไข่ประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญก็คงเป็นแค่เกมขึงขังแทงกั๊กตีสองหน้าสร้างภาพประชาธิปไตยไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร แต่พอเอาเข้าจริงอยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วใจจะขาดเพราะดูเหมือนจะเป็นความหวังเดียวของขบวนการเพื่อแม้วที่จะใช้การโฆษณาชวนเชื่อ อิทธิพลของเหล่าหัวคะแนนและทุนมหาศาลซื้อประชาธิปไตยเพื่อกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้ง

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วดับเครื่องชนคสช. สุมไฟป่วนทั้งบนดินใต้ดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/210802

วันอาทิตย์ ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
นับวันขบวนการเพื่อแม้วจะส่งสัญญาณดับเครื่องชนเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการที่บรรดาแกนนำขบวนการเพื่อแม้วเรียงหน้าออกมาท้าทายโจมตีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รวมทั้งการที่พรรคเพื่อแม้วออกแถลงการณ์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและปลุกระดมประชาชนให้ร่วมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ

ก่อนหน้านี้ นายวรชัย เหมะ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว ออกมายั่วยุคสช.ด้วยการเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ลาออกหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติจนทหารต้องนำตัว นายวรชัย ไปปรับทัศนคติหลายวันก่อนปล่อยตัว เช่นเดียวกับ นายวัฒนา เมืองสุข อดีต สส.พรรคเพื่อแม้ว ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ถูกคสช.เรียกตัวไปปรับทัศนคติหลายครั้งแต่ก็ยังพยายามยั่วยุท้าทายคสช.โดยออกมาโจมตีคสช.และรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง

การยั่วยุท้าทายคสช.เพื่อให้ทหารคุมตัวไปปรับทัศนคติของแกนนำขบวนการเพื่อแม้วถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการสร้างสถานการณ์ให้เป็นข่าวไปทั่วโลกเพื่อใช้เป็นข้ออ้างโจมตีคสช.ว่าใช้อำนาจคุกคามสิทธิเสรีภาพฝ่ายประชาธิปไตย

แต่คสช.รู้ทันแผนของขบวนการเพื่อแม้วดังนั้นทุกครั้งที่มีการนำตัวแกนนำพรรคเพื่อแม้วไปปรับทัศนคติจึงทำอย่างเปิดเผย ละมุนละม่อมและปล่อยตัวโดยเร็วเพื่อขจัดข้ออ้างในการสร้างกระแสว่ามีการละเมิดสิทธิมนุษยชนแต่ขณะเดียวกันคสช.ก็แก้เผ็ดการยั่วยุท้าทายซ้ำซากของขบวนการเพื่อแม้ว ด้วยการจัดหลักสูตรปรับทัศนคตินักการเมืองคนไหนก็ตามที่ออกมาสร้างสถานการณ์ป่วนเมืองโดยจะนำไปปรับทัศนคติในค่ายทหารหรืออาจนำไปปรับทัศนคติในจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยอาจใช้เวลานาน 7-10 วัน เพื่อละลายพฤติกรรม ซึ่งหากยังไม่เลิกพฤติกรรมก็จะนำตัวมาปรับทัศนคติอีกจนกว่าจะสำนึก

สำหรับการออกแถลงการณ์ปลุกระดมให้ประชาชนร่วมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญแม้ขณะนี้กฎหมายการลงประชามติจะยังไม่มีผลบังคับใช้ แต่ก็เสี่ยงเข้าข่ายผิดกฎหมายอื่นๆ โดยเฉพาะกฎหมายด้านความมั่นคง ซึ่ง พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช. กล่าวว่าขณะนี้คสช.อยู่ระหว่างการตรวจสอบแถลงการณ์ของพรรคเพื่อไทยว่าเข้าข่ายชี้นำและทำให้สังคมเกิดความเข้าใจผิดคลาดเคลื่อนต่อร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ ซึ่งหากเข้าข่ายก็จะดำเนินการตามกฎหมาย

พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญกล่าวว่า ขณะนี้ได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จแล้วเตรียมเสนอให้สนช.เห็นชอบก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

พล.อ.สมเจตน์ ย้ำว่ากฎหมายพ.ร.บ.ประชามติไม่ได้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นในเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญสามารถชี้แจงข้อดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องไม่ชี้นำหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงจนสร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชนโดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อปลุกระดมหวังผลทางการเมือง ซึ่งจะมีโทษจำคุกและปรับ และหากมีการกระทำเป็นขบวนการตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป ในการบิดเบือนหรือปลุกระดมจะมีโทษหนักคือจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปี และถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปีด้วย

ขณะเดียวกันนโยบายกวาดล้างปราบปรามผู้มิอิทธิพลทั่วประเทศและล่าสุดมีการใช้คำสั่งคสช.ที่ให้อำนาจฝ่ายทหารสามารถเข้าตรวจค้นจับกุมได้ทั่วประเทศซึ่งเป็นยุทธการที่ออกมาในช่วงสถานการณ์การเมืองกำลังเข้มข้นถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นหนึ่งในเครื่องมือของคสช. ที่จะสกัดการเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วที่พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบ่อนทำลายประเทศป่วนช่วงการทำประชามติ

นอกจากนี้คสช.ยังสั่งเบรกการนัดแถลงข่าวครั้งที่ 3 ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ ที่เชื่อว่าเป็นส่วนหนึ่งการเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้การแถลงข่าว 2 ครั้งของ พล.อ.ชวลิต ในเวลาไล่เลี่ยกันมุ่งโจมตีร่างรัฐธรรมนูญและถึงขนาดประกาศจัดตั้งกองกำลังที่ 3 ซึ่งส่อเจตนาสร้างสถานการณ์ให้ปั่นป่วนวุ่นวาย

แม้แต่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ช่วงนี้ก็เปิดตัวออกมาเคลื่อนไหวถี่ยิบทั้งการเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อต่างชาติบ่อนทำลายประเทศ รวมทั้งสั่งให้สาวกในประเทศแจกขันแดงที่มีภาพและข้อความของตัวเองเพื่อหวังผลปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงให้ฮึกเหิมพร้อมเคลื่อนไหวทำศึกใหญ่ รวมทั้งออกมาตอบโต้ท้าทาย พล.อ.ประยุทธ์ ให้ดำเนินคดีกับตัวเองได้เลยหากเห็นว่าการแจกขันแดงเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ ช่วงนี้ตอบโต้อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกอย่างแข้งกร้าวโดยชี้ว่ามีการจ้างบริษัทล็อบบี้ยิสต์บ่อนทำลายประเทศและคสช.ด้วยการใส่ร้ายให้ข้อมูลเท็จกับนานาประเทศกล่าวหาว่าคสช.ละเมิดสิทธิมนุษย์ร้ายแรง ด้วยการใช้วิธีการโหดเหี้ยมกับผู้มีความเห็นต่างและสังหารคนเป็นจำนวนมากรวมทั้งสื่อมวลชน

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ ยังส่งสัญญาณว่าเหตุการณ์รุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงนี้มีข้อมูลเกี่ยวข้องทางการเมือง ซึ่งพอจะคาดเดาได้ว่าเป็นฝีมือของขบวนการกลุ่มอำนาจเก่าที่พยายามทำทุกวิถีทางบ่อนทำลายคสช.ให้พ้นจากอำนาจโดยเร็ว

เพราะฉะนั้นจึงต้องจับตาสถานการณ์จากนี้ไปจนกระทั่งถึงวันลงประชามติเพราะมีแนวโน้มที่จะเข้มข้นดุเดือดมากขี้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะจากขบวนการเพื่อแม้วทั้งเกมบนดินและใต้ดิน

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วหลังพิงฝาส่งสัญญาณเดือด เตรียมเปิดศึกดับเครื่องชนคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/210686

วันเสาร์ ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ขบวนการเพื่อแม้วนับวันจะตกอยู่ในสภาพหลังพิงฝาถูกรุกไล่เข้ามุมอับทั้งระยะสั้นและระยะยาวจากกลไกพิเศษประชาธิปไตยครึ่งใบช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญโดยเฉพาะการกำหนดให้มีสมาชิกวุฒิสภา(สว.) สรรหา 250 คน เพื่อคอยคานอำนาจรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง ซึ่งล่าสุดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) รุกคืบจัดหนักผลักดันจนที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) มีมติให้ตั้งคำถามพ่วงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญว่าประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.) มีสิทธิร่วมกับสส.ในการลงมติเลือกนายกฯหลังการเลือกตั้ง ขณะที่ร่างรัฐธรรมนูญเปิดช่องให้นายกฯมาจากคนนอกได้

นอกจากนี้ที่ประชุมสนช.ยังมีมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ออกเสียงประชามติที่ใช้ยาแรงคาดโทษหนักถึงขั้นติดคุกสำหรับการชี้นำ บิดเบือน ข่มขู่ หรือซื้อเสียงเพื่อรณรงค์ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญทำให้แผนของขบวนการเพื่อแม้วที่คิดจะรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงถูกบล็อกจนกระดิกตัวขยับเกมแทบไม่ได้ และยิ่งกว่านั้นหากการป่วนการทำประชามติทำเป็นขบวนการ 5 คนขึ้นไปนอกจากเจอโทษจำคุก 1-10 ปีแล้วยังถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปีด้วย

ยิ่งไปกว่านั้นหากมองอนาคตหลังมีการเลือกตั้งทั่วไปตามโรดแมปในปีหน้า ซึ่งแม้พรรคเพื่อแม้วจะกลับมามีอำนาจเป็นรัฐบาลก็ต้องอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใช้ยาแรงปราบโกงอย่างเข้มข้น รวมทั้งมีกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปีคอยคานอำนาจรัฐบาล

แต่ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าซึ่ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกผู้เป็นนายใหญ่กังวลมากที่สุดก็คือชะตากรรมของคนตระกูลชินโดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์กำลังเดินใกล้ประตูคุกและถูกฟ้องร้องให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่านับแสนล้านบาทเข้าไปทุกขณะ ซึ่งเป็นสิ่งที่อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกทนเห็นน้องสาวต้องเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายไม่ได้เด็ดขาด

ดังนั้นภายใต้สถานการณ์ที่ถูกรุกไล่จนหลังพิงฝาในทุกแนวรบทำให้มีการคาดการณ์ว่า นายใหญ่นักโทษหนีคุกจำต้องสร้างสถานการณ์เปิดศึกขั้นแตกหักถล่มคสช. โดยอาศัยวิกฤติร่างรัฐธรรมนูญเป็นตัวจุดชนวน

ทั้งนี้เป็นที่น่าสังเกตว่านายใหญ่นักโทษหนีคุกได้สไกป์ปลุกขวัญเหล่าแกนนำและสาวกพรรคเพื่อแม้วซึ่งรวมตัวกันเมื่อวันที่ 7 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยใช้เทศกาลสงกรานต์บังหน้า โดยนายใหญ่นักโทษหนีคุกส่งสัญญาณให้เตรียมพร้อมสู้ศึกเต็มพิกัด ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึงกับสุดกลั้นในชะตากรรมตัวเองโผเข้ากอด นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ หรือ “เจ๊แดง” ผู้เป็นพี่สาวพร้อมกับร่ำไห้อันเป็นการสะท้อนสถานการณ์ที่เลวร้ายของขบวนการเพื่อแม้ว

ความเคลื่อนไหวล่าสุดของนายใหญ่อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นสัญญาณเดือดของเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วที่พร้อมจะสุมไฟวิกฤติทั้งบนดินใต้ดินซึ่งในอดีตมีบทเรียนให้เห็นมาแล้วเมื่อปี 2552 และ 2553

ทีมข่าวการเมือง

คสช.วัดดวงวัดใจมหาชน ดันวุฒิฯร่วมเลือกนายกฯ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/210543

วันศุกร์ ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

การที่สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กลุ่มหนึ่งแสดงท่าทีเห็นด้วยกับข้อเสนอของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ในการพ่วงคำถามการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญโดยถามประชาชนเห็นด้วยหรือไม่ที่จะให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีอำนาจเช่นเดียวกับสส.ในการร่วมลงมติเลือกนายกฯหลังการเลือกตั้งถือเป็นระเบิดเวลาที่เพิ่มจุดอ่อนทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงมีโอกาสจะถูกคว่ำในการทำประชามติมากขึ้น

ทั้งนี้ ไม่ต้องพูดถึงพรรคเพื่อแม้วที่ตั้งธงจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญอยู่แล้วตั้งแต่ยังไม่ทันร่างด้วยซ้ำ ประเด็นเรื่องให้สว.ร่วมเลือกนายกฯถือเป็นประเด็นอ่อนไหวที่ถูกกระแสคัดค้านในวงกว้าง โดยแม้แต่คนกันเองของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)อย่าง นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.)ก็ยังไม่เห็นด้วยเพราะเป็นการขัดกับหลักการในบทถาวรของร่างรัฐธรรมนูญ

และที่ต้องจับตาก็คือท่าทีของพรรคใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงท่าทีชัดเจนว่าไม่เห็นด้วยกับการให้สว.มาร่วมเลือกนายกฯเพราะขัดหลักการประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

มติของสปท.และการผลักดันของสมาชิกสนช.กลุ่มหนึ่งที่ออกมาสะท้อนว่า คสช.มีความพยายามผลักดันกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบช่วงเปลี่ยนผ่านแบบจัดหนักเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการคุมประพฤตินักการเมือง รวมทั้งวางรากฐานเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้สำเร็จตามเป้าหมาย โดยไม่แคร์กระแสต้านของบรรดาพรรคการเมือง แต่พร้อมจะวัดดวงวัดใจมหาชนในขั้นทำประชามติโดยอาจมั่นใจว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังศรัทธาในคสช.และอยากให้มีการเลือกตั้งตามโรดแมปปีหน้า

ไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการทำประชามติหรือไม่ก็ตามก็เดินหน้าประเทศก็ยังอยู่ภายใต้การกำหนดของ คสช. เพราะรัฐธรรมนูญชั่วคราวไม่ได้กำหนดว่า หากรัฐธรรมนูญไม่ผ่านรัฐบาลจะต้องแสดงรับผิดชอบ แต่ยังบัญญัติให้คสช.นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งขึ้นมาประกาศใช้ได้ทันที อย่างที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ แย้มไต๋ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติอาจมีการนำร่างรัฐธรรมนูญ 4 ฉบับคือ ร่างปี 2540 ปี 2550 ร่างฉบับ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณอดีตประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญที่ตกไป และร่างฉบับปราบโกงมารวมกัน หรือคสช.อาจร่างฉบับใหม่ขึ้นมาก็เป็นได้

การประเมินของคสช.โดยอาจมั่นใจว่าพลังมหาชนจะลงประชามติผ่านร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงจะถูกหรือผิดคงต้องรอดูผลการทำประชามติ 7 ส.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไรนอกจากจะเป็นการสะท้อนความชอบของร่างรัฐธรรมนูญแล้ว ยังสะท้อนความศรัทธาเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อคสช.ด้วย

ทีมข่าวการเมือง

คสช.ควรฟื้นศรัทธามหาชน ปฏิรูปให้เห็นผลทันที

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/210381

วันพฤหัสบดี ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
หลังจากที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557ใหม่ๆ มหาชนต่างศรัทธาให้การสนับสนุนคสช.ด้วยความหวังเต็มเปี่ยมว่าจะเข้ามากอบกู้ภาวะรัฐล้มเหลวของประเทศที่บอบช้ำมานานกว่า 10 ปี ให้กลับคืนสู่ภาวะปกติและขจัดสิ่งชั่วร้ายในอดีตอันเป็นต้นตอของวิกฤติชาติ รวมทั้งเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างยั่งยืน แต่ดูเหมือนว่าผลงานการปฏิรูปประเทศจะยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันทั้งๆ ที่คสช.เข้ามาควบคุมอำนาจการปกครองประเทศนาน 2 ปีแล้ว

นับวันผู้ที่เคยสนับสนุนหรือเป็นแนวร่วมของคสช.เริ่มจะอึดอัดและลดลงเรื่อยๆ โดยล่าสุด นายธีรยุทธบุญมี นักวิชาการชื่อดัง ชี้ว่า 2 ปีที่ผ่านมาคสช.ซึ่งมีอำนาจอยู่ในมือควรจะมีผลงานปฏิรูปประเทศให้เห็น อาทิ การปฏิรูปความเหลื่อมล้ำ การปฏิรูปตำรวจ การปฏิรูปการศึกษา แต่กลับยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ดังนั้นจึงไม่เห็นด้วยที่คสช.จะขอใช้กลไกประชาธิปไตยครึ่งใบอยู่ต่ออีก 5 ปีหลังเลือกตั้งเพื่อปฏิรูปประเทศ เพราะขนาดมีอำนาจอยู่ในมือยังไม่ทำ แล้วจะไปหวังอะไรเมื่อมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ดังนั้นเชื่อว่าแนวโน้มการปฏิรูปประเทศคงล้มเหลว

อย่างไรก็ตามยังไม่สายเกินไปหากคสช.จะเริ่มต้นปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังตั้งแต่บัดนี้โดยไม่ซื้อเวลาไปเรื่อยๆ

ก่อนหน้านี้นักวิชาการและตัวแทนองค์กรภาคประชาชนจำนวนไม่น้อยที่เป็นแนวร่วมของคสช. อาทิ นายสุริยะใส กตะศิลา มีความเห็นเช่นกันว่า ที่ผ่านมาคสช.แทบจะไม่มีผลงานการปฏิรูปประเทศและแม้จะกำหนดในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้มีการปฏิรูปประเทศตามกรอบเวลาที่กำหนด แต่ก็ไม่มีหลักประกันว่าจะสำเร็จ เพราะขณะนี้คสช.มีอำนาจอยู่ในมือแท้ๆ ก็ยังไม่ปฏิรูปอะไรได้สำเร็จเป็นเรื่องเป็นราว เพราะฉะนั้นหากจะเรียกศรัทธามหาชนเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านการทำประชามติ คสช.ควรจะปฏิรูปให้เห็นผลงานก่อนทำประชามติ ซึ่งเชื่อว่าจะได้ใจจากประชาชนจำนวนมาก

การปฏิรูปประเทศนั้นบางเรื่องอาจต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลซึ่งเข้าใจได้ อาทิ การลดความเหลื่อมล้ำ แต่บางเรื่องซึ่งมีความสำคัญและสามารถปฏิรูปได้ทันที อาทิ การขุดรากถอนโคนขบวนการเพื่อแม้วที่พยายามบ่อนทำลายและเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการปฏิรูปประเทศ รวมทั้งการปฏิรูปตำรวจสามารถดำเนินการได้ทันทีก่อนการเลือกตั้งและควรทำมานานแล้วด้วยซ้ำ

แต่ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาขบวนการเพื่อแม้วยังยั่วยุท้าทายและบ่อนทำลายอำนาจรัฏฐาธิปัตย์เหิมเกริมมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกที่ยังลอยนวลเดินสายทำลายภาพพจน์ของไทยในเวทีโลกอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็พยายามปลุกปั่นสาวกเสื้อแดงในประเทศให้พร้อมลุกฮือป่วนประเทศ ทั้งๆ ที่ควรนำตัวมาลงโทษเพื่อตัดไฟแต่ต้นลม ขณะที่การปฏิรูปตำรวจซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญต่อความมั่นคงของชาติและทุกข์สุขของประชาชนยังมองไม่เห็นอนาคตด้วยซ้ำก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯและหัวหน้าคสช. ส่งสัญญาณชัดเจนว่า การปฏิรูปตำรวจจะไม่ทำในยุคคสช. แต่จะรอให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งดำเนินการ

เพราะฉะนั้นยังไม่สายหากคสช.จะหันมาฟื้นศรัทธามหาชนด้วยการปฏิรูปให้เห็นผลนับจากนี้โดยเริ่มจากเรื่องการขุดรากถอนโคนขบวนการเพื่อแม้วและปฏิรูปตำรวจซึ่งเชื่อว่าจะได้ใจมหาชนจนกลายเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับคสช.และทำให้การเดินหน้าประเทศเป็นไปด้วยความราบรื่น

ทีมข่าวการเมือง

จับตา21รายชื่อตระกูลดัง พัวพันเอกสารลับแฉฟอกเงิน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/210218

วันพุธ ที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
นับเป็นข่าวอื้อฉาวโด่งดังไปทั่วโลกขณะนี้กรณีที่สำนักข่าวต่างประเทศตีแผ่ข่าวเอกสารลับทางการเงิน 11.5 ล้านชุด รั่วไหลออกจากบริษัทมอสแซค ฟอนเซกา ซึ่งเป็นบริษัทกฎหมายชื่อดังของประเทศปานามา ซึ่งเก็บงำความลับสุดยอดเกี่ยวกับการฟอกเงินของผู้นำประเทศและบุคคลสำคัญทั่วโลกที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตตลอดจนการค้ายาเสพติด

แต่ประเด็นที่น่าสนใจก็คือข้อมูลลับการฟอกเงินสกปรกของมอสแซค ฟอนเซกา ระบุว่า มีบุคคลผู้มีชื่อเสียงของไทย 21 ราย มีชื่ออยู่ในเอกสารลับสุดยอดด้วย ซึ่ง พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. ยอมรับว่าไม่เคยทราบข้อมูลเรื่องการฟอกเงินของคนไทย 21 ราย โดย ปปง.จะประสานงานไปยัง ปปง.ของปานามาเพื่อขอทราบรายละเอียดข้อเท็จจริง

เรื่องการฟอกเงินสกปรกในหมู่นักการเมือง นักธุรกิจ หรือแม้แต่ขบวนการธุรกิจมืดมีมานานจนไทยได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในแหล่งที่มีการฟอกเงินมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยทรัพย์สินสกปรกที่ถูกยักย้ายถ่ายเทนำไปฟอกในแหล่งฟอกเงินต่างๆ ทั่วโลกมีมูลค่ามหาศาลโดยหน่วยงานตรวจสอบทางการเงินสากล หรือ Global Financial Integrity (GFI) เปิดเผยข้อมูลอื้อฉาวที่ระบุว่า ช่วงปี 2543-2553 มีเงินสกปรกจากอาชญากรรม การทุจริตคอร์รัปชั่นไหลออกจากประเทศไทยเฉลี่ยปีละประมาณ 2 แสนล้านบาท หรือถ้ารวมทั้ง 10 ปี จะมีเงินสกปรกไหลออกจากประเทศไทยถึงราว 2 ล้านล้านบาท

เงินสกปรกเหล่านี้ส่วนใหญ่เชื่อว่าเป็นเงินทุจริตของผู้นำทางการเมืองที่ยักย้ายถ่ายเทเงินจำนวนมหาศาลไปยังแหล่งฟอกเงินนอกประเทศที่เลื่องชื่อในเรื่องความอื้อฉาว อาทิ ประเทศในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิ้น ซึ่งเป็นแหล่งฟอกเงินของบรรดาผู้นำเผด็จการทรราช หรือนักการเมืองที่โกงบ้านกินเมืองทั้งหลาย

หนึ่งใน 21 คนไทย ที่รายบุคคลสำคัญของไทยที่ถูกตั้งข้อสงสัยและถูกจับตามากที่สุดคนหนึ่งก็คือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ตลอดจนคนในตระกูลดังเพราะก่อนหน้านี้มีข่าวลือสะพัดมาตลอดว่าอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกยักย้ายถ่ายเทซุกซ่อนทรัพย์สินอีกมูลค่ามหาศาล

พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) รับทราบข้อมูลแล้วและกำลังตรวจสอบเรื่องนี้ ซึ่งหากพบว่ามีคนไทยเกี่ยวข้องและทำความผิดก็ต้องดำเนินการตามกฎหมาย

นี่นับว่าโชคดีที่ข่าวอื้อฉาวถูกนำมาเปิดเผยในยุคที่คสช.เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศทำให้เชื่อว่าจะต้องมีการขยายผลทำความจริงให้ปรากฏ ซึ่งหากเป็นยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเฉพาะยุคระบอบแม้วเรืองอำนาจเรื่องนี้อาจจะถูกปกปิดกลบฝังอย่างมิดชิดเพราะกลัวข้อมูลลับการฟอกเงินสกปรกของอดีตนายกฯจอมคอร์รัปชั่นบางคนถูกเปิดโปงขุดคุ้ย

ทีมข่าวการเมือง

ระเบิดเวลาสว.ร่วมเลือกนายกฯ เปิดจุดอ่อนรธน.เสี่ยงสูงถูกคว่ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/210079

วันอังคาร ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

การที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของนายวันชัย สอนศิริ สมาชิกสปท.ที่ให้ตั้งคำถามพ่วงร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงในการทำประชามติว่า ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่หากจะให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการเลือกนายกฯหลังการเลือกตั้งกำลังกลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกต่อต้านอย่างกว้างขวางว่าเป็นการส่อเจตนาสืบทอดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างโจ๋งครึ่ม

บุคคลสำคัญที่ทำให้กระแสคัดค้านคำถามพ่วงที่กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่มีน้ำหนักยิ่งขึ้นก็คือ นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯสองสมัย ผู้อาวุโสแห่งพรรคประชาธิปัตย์ ที่เตือนว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ควรจะถอยหลังเข้าคลองมากเกินไป

และที่สำคัญคือแม้แต่ นายมีชัยฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ก็ยังส่ายหน้าชี้ว่า การตั้งคำถามพ่วงให้สว.ร่วมเลือกนายกฯเท่ากับขัดหลักการในตัวร่างรัฐธรรมนูญถาวรซึ่งจะทำให้มีปัญหาตามมาภายหลัง

การตั้งคำถามพ่วงให้สว.ร่วมเลือกนายกฯจีงเท่ากับสร้างจุดอ่อนให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงโดยเฉพาะข้อกล่าวหาในประเด็นอ่อนไหวคือความพยายามสืบทอดอำนาจของคสช. ซึ่งเข้าทางขบวนการเพื่อแม้วที่จ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้ ประเด็นสืบทอดอำนาจจุดกระแสต่อต้านในวงกว้างให้ลุกโชนได้ง่ายอยู่แล้ว ยิ่งชัดเจนถึงขนาดให้สว.ร่วมเลือกนายกฯยิ่งทำให้การสุมไฟให้เกิดกระแสคว่ำร่างรัฐธรรมนูญมีความชอบธรรมมากขึ้นโดยเฉพาะในหมู่พลังเงียบ

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กล่าวว่ามติคำถามพ่วงให้สว.เลือกนายกฯได้ของสปท.จะเข้าสู่การพิจารณาของสนช.ในวันที่ 7 เม.ย.นี้ จึงต้องจับตาดูว่าที่ประชุมสนช.จะหลงทางตามมติของสปท.หรือไม่ โดยมีการตั้งข้อสังเกตว่าการที่สปท.บางคนพยายามผลักดันประเด็นนี้หวังเอาใจคสช.เพื่อปูทางให้ตัวเองได้นั่งเก้าอี้สว.สรรหาตามที่กำหนดไว้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

ทั้งนี้ ความจริงในร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงมีการกำหนดกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบในช่วงเปลี่ยนผ่าน หลังการเลือกตั้งในหลายประเด็น ซึ่งก็จะน่าจะเป็นหลักการในการกำกับให้การเดินหน้าปฏิรูปประเทศเป็นไปตามความต้องการของคสช.ได้อย่างมีประสิทธิภาพอยู่แล้ว จึงไม่ควรโลภหาเรื่องใส่ตัวโดยไม่จำเป็น

ที่ผ่านมาบุคคลสำคัญในคสช.ต่างประกาศยืนยันหนักแน่นมาตลอดว่าไม่คิดสืบทอดอำนาจเพราะนั้นก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเสี่ยงเอาประเด็นระเบิดเวลามาพ่วงไว้กับร่างรัฐธรรมนูญโดยไม่จำเป็นเพราะมีแนวโน้มสูงที่จะถูกคว่ำ และที่สำคัญปัญหานี้จะถูกฝ่ายตรงข้ามนำไปขยายผลสุมไฟให้ลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติ อีกทั้งทำให้ให้ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อคสช.สั่นคลอนและหวาดระแวงว่า แท้ที่จริงแล้วคสช.ทำเพื่อชาติประชาชนหรือเพื่อตัวเองกันแน่

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วคิดหนักเจอยาแรง โทษป่วนประชามติถึงคุก-ตัดสิทธิ์10ปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/209920

วันจันทร์ ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.
หลังจากที่ก่อนหน้านี้พรรคเพื่อแม้วออกแถลงการณ์ดับเครื่องชนประกาศไม่รับร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและส่อเจตนาปลุกระดมประชาชนให้ร่วมคว่ำร่างรัฐธรรมนูญซึ่งแม้กฎหมายการทำประชามติจะยังไม่มีผลบังคับใช้ แต่ก็อาจเข้าข่ายผิดกฎหมายอื่นโดยเฉพาะกฎหมายด้านความมั่นคง ล่าสุดพล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญกล่าวว่า ขณะนี้ได้พิจารณาร่างกฎหมายฉบับนี้เสร็จแล้วเตรียมเสนอให้สนช.เห็นชอบก่อนประกาศใช้เป็นกฎหมายต่อไป

พล.อ.สมเจตน์ ย้ำว่ากฎหมายพ.ร.บ.ประชามติไม่ได้ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นในเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญสามารถชี้แจงข้อดีข้อเสียของร่างรัฐธรรมนูญได้ แต่ต้องไม่พูดชี้นำหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงจนสร้างความเข้าใจผิดต่อประชาชนโดยมีเจตนาแอบแฝงเพื่อปลุกระดมหวังผลทางการเมือง ซึ่งจะมีโทษจำคุกและปรับ และหากมีการกระทำเป็นขบวนการตั้งแต่ 5 คนขึ้นไปในการบิดเบือนหรือปลุกระดมจะมีโทษหนักคือจำคุกตั้งแต่ 1-10 ปีและถูกเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง 10 ปีด้วย

พล.อ.สมเจตน์ ยังยกตัวอย่างกรณีที่เข้าข่ายบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญ อาทิ การอ้างว่าร่างรัฐธรรมนูญไม่เป็นประชาธิปไตยเพราะมีการสืบทอดอำนาจโดยเปิดช่องให้มีนายกฯคนอก ทั้งๆ ที่ความจริงเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญกำหนดให้สภาผู้แทนราษฎรเป็นผู้เลือกนายกฯ แต่หากไม่สามารถเลือกนายกฯได้ ไม่ว่าจะด้วยปัญหาใดก็ตามจึงให้ สส.และสมาชิกวุฒิสภา(สว.)สามารถเข้าชื่อยื่นเรื่องขอให้เสนอชื่อบุคคลภายนอกเป็นนายกฯได้ จากนั้นสุดท้ายที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้สรรหานายกฯ

เพราะฉะนั้นเมื่อเจอยาแรงของพ.ร.บ.ประชามติขนาดนี้จึงต้องจับตาบรรดาแกนนำขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายที่ก่อนหน้านี้ประกาศแข็งกร้าวเดินหน้ารณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญยังจะกล้ายืนยันท่าทีเดิมหรือไม่ อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายวัฒนา เมืองสุข นายจาตุรนต์ ฉายแสง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ

แต่เชื่อว่าจากนี้ไปบรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วคงต้องคิดหนักเพราะหากไม่รณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงจนผ่านการทำประชามติและมีผลบังคับใช้จะส่งผลสะเทือนอย่างใหญ่หลวงต่อขบวนการเพื่อแม้ว แต่ครั้นจะเดินหน้าปลุกระดมให้ประชาชนคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเหมือนที่ผ่านมาก็เสี่ยงที่จะเจอโทษหนัก โดยเฉพาะหากยังออกแถลงการณ์ในลักษณะชี้นำปลุกระดมให้ประชาชนร่วมคว่ำรัฐธรรมนูญ หรือบิดเบือนร่างรัฐธรรมนูญโดยมีเจตนาก่อให้เกิดความปั่นป่วนอาจถึงขั้นติดคุกและถูกตัดสิทธิเลือกตั้งยกแก๊ง

ทีมข่าวการเมือง

คสช.อุบแผนหากรธน.ถูกคว่ำ นับหนึ่งยกร่างใหม่หรือใช้ยาแรง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/209784

วันอาทิตย์ ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงพ่วงบทเฉพาะกาลที่กำหนดให้มีกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบเป็นเวลา 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการเลือกตั้งซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้วและกำลังเข้าสู่กระบวนการขอประชามติจากประชาชนทั่วประเทศในวันที่ 7 ส.ค.นี้ ท่ามกลางกระแสต่อต้านจากพรรคการเมืองและกลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายกลุ่ม

สำหรับพรรคเพื่อไทยประกาศจุดยืนท่าทีตั้งแต่ก่อนร่างรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำว่า จะรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นผลพวงจากการรัฐประหาร ทั้งนี้เป้าหมายของพรรคเพื่อไทยนั้นเชื่อว่าไม่ได้แค่เพียงต้องการคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ แต่ต้องการสร้างสถานการณ์เพื่อสุมไฟให้เกิดวิกฤติหวังบ่อนทำลายคสช.และขัดขวางการปฏิรูปประเทศ

ขณะที่พรรคใหญ่อีกพรรคคือพรรคประชาธิปัตย์รวมทั้งพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กต่างๆ ยังสงวนท่าทีไม่แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์มีทั้งสนับสนุนประเด็นในร่างรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการขจัดการทุจริตทุกรูปแบบ อย่างไรก็ตามก็ไม่เห็นด้วยประเด็นในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญซึ่งส่อเป็นการสืบทอดอำนาจของคสช.โดยเฉพาะที่มาของสมาชิกวุฒิสภา(สว.)250 คน ที่มาจากการสรรหา รวมทั้งการเปิดช่องให้มีนายกฯจากคนนอก

พรรคประชาธิปัตย์และบรรดาพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กต่างๆหรือแม้แต่พรรคเพื่อไทยต่างก็อยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด แต่หากคิดจะจับมือกันเพื่อรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญก็คงต้องคิดหนัก เพราะสิ่งที่ทุกพรรคหวั่นเกรงก็คือหากร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำอาจเข้าทางของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ซึ่งคาดว่าวางแผนรับมือไว้แล้วโดยแผนแรกอาจต้องมีการ
เริ่มต้นขบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทำให้การเลือกตั้งต้องยืดออกไปและยิ่งไปกว่านั้นคสช.อาจใช้แผนที่สองโดยนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับสำรองซึ่งเตรียมไว้แล้วซึ่งมีเนื้อหาใช้ยาแรงภายใต้อำนาจพิเศษของคสช.อย่างเข้มข้นกว่าร่างรัฐธรรมนูญที่ถูกคว่ำออกมาประกาศใช้โดยคสช.อาจจะอยู่ในอำนาจอีกยาวเพื่อปฏิรูปประเทศ

นายสุริยะใส กตะศิลา รองคณบดีวิทยาลัยนวัตกรรม มหาวิทยาลัยรังสิต ถึงได้ให้ความเห็นว่า ในที่สุดแล้วบรรดานักเลือกตั้งทั้งหลายรวมทั้งพรรคเพื่อไทยพอเอาเข้าจริงก็คงฟรีโหวตหรือปล่อยให้สมาชิกตัดสินใจโดยอิสระว่าจะคว่ำร่างรัฐธรรมนูญหรือไม่ เพราะในส่วนลึกจริงๆ แล้วนักการเมืองล้วนแต่อยากให้มีการเลือกตั้งเต็มแก่ และที่สำคัญหลายคนกลัวว่าหากคว่ำร่างรัฐธรรมนูญอาจเจอร่างรัฐธรรมนูญฉบับยาแรงกว่าเดิมของคสช.

ถ้าจะว่าไปแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงแม้จะมีเนื้อหาบางประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์แต่ในภาพรวมก็ถือว่ามีจุดแข็งอยู่มากโดยเฉพาะการใช้ยาแรงมุ่งขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา

นายมีชัย กล่าวว่าพอใจกับภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มีการรับฟังความคิดเห็นและตอบโจทก์ของประชาชนส่วนใหญ่โดยมุ่งที่จะแก้ปัญหาและทำไห้เกิดประโยชน์ต่อประเทศในระยะยาว ซึ่งเป้าหมายสำคัญนอกจากขจัดการทุจริตทุกรูปแบบแล้วยังมุ่งขจัดความเหลื่อมล้ำและปัญหาของชาติที่สั่งสมมานาน โดยเฉพาะการปฏิรูปด้านการศึกษาและตำรวจ ถึงขนาดบัญญัติไว้ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญให้รัฐบาลหลังการเลือกตั้งต้องปฏิรูปให้เสร็จภายใน 1 ปี

ขณะที่ นายวันชัย สอนศิริ โฆษกคณะกรรมาธิการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)ด้านการเมืองชี้ว่า จุดแข็งของร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ก็คือปราบนักการเมืองโกง และเห็นด้วยอย่างยิ่งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้บัญญัติห้ามผู้เคยกระทำผิดต่อหน้าที่ ฝ่าฝืนจริยธรรมร้ายแรงหรือคนที่มีประวัติแม้ศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุดโดยส่อว่าแสวงหาผลประโยชน์ในทางมิชอบลงสมัครสส.ตลอดชีวิต

“ต่อไปนี้นักการเมืองต้องมือสะอาดภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกง ใครมีประวัติไม่ซื่อสัตย์ด่างพร้อยถือเป็นเสนียดไม่ควรให้มาเหยียบบันไดสภา รัฐธรรมนูญห้ามพวกเจ้าพ่อเจ้าแม่ใช้การเมืองฟอกตัวเพราะไม่ควรให้คนชั่วมาออกกฎหมายหรือปกครองคนอื่นเด็ดขาด”

ในท่ามกลางกระแสคัดค้านและสนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงในที่สุดปัจจัยชี้ขาดก็คือประชาชนผู้เป็นเสียงสวรรค์ที่จะไปลงประชามติในวันที่ 7 ส.ค. ขณะที่พรรคการเมืองต่างๆ หากคิดจะรณรงค์ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญคงต้องคิดหนักเพราะอาจได้ไม่คุ้มเสียเจอยาแรงภายใต้อำนาจพิเศษของคสช.จนย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม

ทีมข่าวการเมือง