เป้าหมายเพื่อแม้วมากกว่าคว่ำรธน. จับตาแผนป่วนทั้งบนดินใต้ดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/208213

วันพุธ ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ขณะที่สังคมรอลุ้นหน้าตาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่สำหรับขบวนการเพื่อแม้วแล้วตั้งธงจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ต้นโดยเฉพาะท่าทีที่สะท้อนจากนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง หรือแม้แต่พรรคเพื่อแม้วก็เคยออกแถลงการณ์ประกาศไม่ยอมรับร่างรัฐธรรมนูญอันเป็นผลพวงจากการรัฐประหาร

ท่าทีของขบวนการเพื่อแม้วจึงแตกต่างจากกลุ่มการเมืองอย่างพรรคประชาธิปัตย์ กลุ่มนักวิชาการ หรือกลุ่มองค์กรภาคประชาชนที่ออกมาแสดงความเห็นคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญในบางประเด็นบนพื้นฐานของความบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝงอย่างสิ้นเชิง

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า เป้าหมายที่แท้จริงของขบวนการเพื่อแม้วอาจจะไม่ใช่อยู่ที่ตัวร่างรัฐธรรมนูญ โดยการจ้องคว่ำร่างรัฐธรรรมนูญฉบับปราบโกงเป็นเพียงส่วนหนึ่งในแผนที่ต้องการสร้างสถานการณ์บ่อนทำลายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้พ้นจากอำนาจโดยเร็วที่สุด รวมทั้งล้มการปฏิรูปประเทศซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการกลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่ของขบวนการเพื่อแม้ว

ทั้งนี้ เป้าหมายสำคัญเฉพาะหน้าของขบวนการเพื่อแม้วนั่นคือพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยคนตระกูลชินที่กำลังเผชิญชะตากรรมในคดีต่างๆให้พ้นความผิดให้ได้ โดยเฉพาะชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่มีแนวโน้มสูงที่จะต้องติดคุกและอาจถูกยึดทรัพย์เพื่อชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่ามหาศาล

เพราะฉะนั้นขบวนการเพื่อแม้วจึงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อเปิดศึกแตกหักบ่อนทำลายคสช.ทั้งบนดินใต้ดิน และทั้งในและนอกประเทศ

การเคลื่อนไหวบนดินของขบวนการเพื่อแม้วที่น่าจับตาก็คือความพยายามที่จะจุดชนวนให้เกิดการลุกฮือของประชาชนโดยเฉพาะการสุมไฟวิกฤติรัฐธรรมนูญให้ลุกลามบานปลาย ขณะเดียวกันบรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วจะดาหน้าออกมาสร้างข่าวบ่อนทำลายคสช.ผ่านสื่อแบบรายวัน รวมทั้งขบวนการปล่อยข่าวผ่านโซเชียลมีเดีย

ขณะที่กลุ่มพันธมิตรเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วหลายกลุ่มก็พร้อมที่จะจับมือกันออกมาเคลื่อนไหวขั้นแตกหักโดยเฉพาะสำนักลิทธิจานบินที่กำลังอยู่ในภาวะใกล้จนตรอก

ขณะที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ช่วงหลังเดินสายบ่อนทำลายคสช.ในประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่องตามแผนใช้โลกล้อมไทย

อย่างไรก็ตาม ความเคลื่อนไหวของขบวนการเพื่อแม้วที่ต้องจับตาเป็นพิเศษก็คือกลุ่มก่อการร้ายใต้ดินที่เคยปฏิบัติการทำลายประเทศจนย่อยยับมาแล้ว รวมทั้งกลุ่มที่สูญเสียผลประโยชน์จากนโยบายของคสช. โดยเฉพาะกลุ่มมาเฟียผู้มิอิทธิพล ขบวนการค้ายาเสพติดและธุรกิจผิดกฎหมาย ซึ่งสูญเสียผลประโยชน์มหาศาลจากการกวาดล้างปราบปรามของ คสช. ซึ่งขบวนการธุรกิจสีดำเหล่านี้มีรายงานข่าวว่าจับมือกับขบวนการเพื่อแม้วหวังล้มคสช.

เพราะฉะนั้นไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะมีหน้าตาอย่างไรหรือผ่านการทำประชามติหรือไม่ก็ตาม ขบวนการเพื่อแม้วไม่หยุดเคลื่อนไหวป่วนประเทศแน่ตราบใดที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายที่แท้จริงที่ตัวเองต้องการ

ทีมข่าวการมือง

ทางออกกรธ.-คสช. พบกันครึ่งทาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/208055

วันอังคาร ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ภายใต้การนำของนายมีชัย ฤชุพันธุ์ หนักอกไม่น้อยที่ต้องรับภาระเผือกร้อนทบทวนร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นไปตามคำขาดของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ให้กำหนดในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญโดยมีกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบ เป็นเวลา 5 ปี ช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการเลือกตั้ง ประกอบด้วย การให้มีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) 250 คน ซึ่งมาจากการสรรหาทั้งหมด การเปิดทางให้มีนายกฯคนนอก และการกำหนดวิธีการเลือกตั้ง สส.ให้เขตใหญ่ขึ้นโดยผู้ใช้สิทธิ์เลือกผู้สมัครได้คนเดียว

ในภาวะพะอืดพะอมทางออกที่เป็นไปได้ของ กรธ.น่าจะมีอยู่ 3 ทางเลือกคือ ทางเลือกแรก หักดิบไม่ยอมรับคำขาดของคสช. ซึ่งทางเลือกนี้เชื่อว่าคงเป็นไปได้น้อยเพราะผลที่จะตามมาไม่เป็นผลดีต่อสถานการณ์บ้านเมือง หรือฝ่ายใดทั้งสิ้น

ส่วนทางเลือกที่สองก็คือ กรธ.ยอมตามคำขาดของคสช.ทั้งหมด ซึ่งเชื่อว่าคงมีโอกาสเป็นไปได้น้อยเช่นกัน เพราะกรธ.ถูกกดดันจากกระแสสังคมกลุ่มหนึ่งอย่างหนัก

ส่วนทางเลือกที่สามคือ ประนีประนอมแบบพบกันครึ่งทาง โดย กรธ.แก้ไขข้อเสนอของคสช.บางส่วน ซึ่งนักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่าเป็นไปได้มากที่สุดเพราะไหนๆ ก็ลงเรือแป๊ะลำเดียวกันแล้ว

ปมสำคัญอยู่ที่ คสช.ถูกโจมตีว่าวางแผนสืบทอดอำนาจใน 2 ประเด็น คือ สว.สรรหา กับการเปิดทางให้มีนายกฯ คนนอก ซึ่งแม้ก่อนหน้านี้คสช.ยืนยันชัดเจนว่า สว.สรรหามีอำนาจหน้าที่เพียงประคับประคองบ้านเมืองช่วงเปลี่ยนผ่านไม่ได้มีอำนาจควบคุมสภาผู้แทนราษฎร ส่วนเรื่องเปิดช่องให้มีนายกฯคนนอกนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. และ พล.อ.ประวิตรวงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ยืนยันแล้วว่าจะไม่เป็นนายกฯหลังการเลือกตั้งแน่นอน แต่แม้จะมีคำยืนยันจากคสช.แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความหวาดระแวงเรื่องสืบทอดอำนาจหมดไป

ความหวาดระแวงว่า คสช.จะสืบทอดอำนาจจึงเป็นประเด็นสำคัญซึ่ง กรธ.คงต้องคิดหนักว่าจะทำอย่างไรให้ร่างรัฐธรรมนูญออกมาแบบวินวินด้วยกันทุกฝ่ายทั้งจากคสช.และกระแสสังคมกลุ่มหนึ่ง ซึ่งหลายฝ่ายเสนอแนะทางออกไว้หลายแนวคิด อาทิ กำหนดกระบวนการสรรหาสว.ให้ยึดโยงประชาชนมากขึ้น หรือลดอำนาจหน้าที่ของสว.สรรหาบางอย่างลงเช่น การร่วมอภิปรายและลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาล

ส่วนประเด็นเรื่องการเปิดทางให้มีนายกฯคนนอกนั้น นายองอาจคล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เสนอแนวคิดแบบประนีประนอมว่า หากจะให้มีนายกฯคนนอกก็ควรกำหนดในรัฐธรรมนูญด้วยว่าต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรมากกว่านายกฯที่มาจากสส.ซึ่งใช้เสียงกึ่งหนึ่ง เช่น นายกฯคนนอกต้องได้เสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 3 ใน 5

ปัญหาทุกอย่างมีทางออกเสมอโดยเชื่อว่าในที่สุดกรธ.จะเลือกแนวทางพบกันครึ่งทาง แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คสช.จะยอมรับสูตรพบกันครึ่งทางหรือไม่ ซึ่งท่าทีของคสช.จะเป็นตัวกำหนดชี้วัดแนวโน้มสถานการณ์ข้างหน้า

ทีมข่าวการเมือง

คสช.ต้องแยกมิตรแยกศัตรู โดดเดี่ยวขบวนการเพื่อแม้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/207960

วันจันทร์ ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ท่าทีที่แข็งกร้าวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ที่ปักธงต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ มีกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบ 5 ปี ช่วงเปลี่ยนผ่านโดยเฉพาะการให้มีสมาชิกวุฒิสภา(สว.)จากการสรรหาทั้งหมด 250 คนและเปิดทางให้มีนายกฯคนนอกได้อาจจะกลายเป็นระเบิดเวลาที่นำไปสู่วิกฤติรัฐธรรมนูญ ซึ่งนอกจากร่างอาจจะไม่ผ่านการทำประชามติแล้วอาจนำไปสู่ความรุนแรงทางการเมืองหากคสช.ไม่ดำเนินยุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่ยืดหยุ่นโดยไม่แยกมิตรแยกศัตรูให้กระจ่าง

หากแยกแยะกระแสต่อต้านกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบช่วงเปลี่ยนผ่านจะพบว่ามีทั้งกลุ่มการเมือง นักวิชาการ และองค์กรภาคประชาชนหลายกลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์คัดค้านกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบช่วงเปลี่ยนผ่านเชิงสร้างสรรค์อย่างบริสุทธิ์ใจ กับกลุ่มการเมืองที่ออกมาต่อต้านคสช.ในทุกเรื่องตั้งแต่ต้น โดยมีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งบ่อนทำลายคสช.และล้มการปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วและเครือข่าย

ทั้งนี้กระแสวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญไม่ใช่มีแต่เฉพาะประเด็นเรื่องสว.สรรหาและการเปิดทางให้นายกฯมาจากคนนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเด็นรายละเอียดอื่นๆอีกมากมาย อาทิ เรื่องการมีส่วนร่วมของประชาชนและชุมชน สิทธิเสรีภาพของประชาชน สิทธิมนุษยชน

ดังนั้นเพื่อให้ภาพรวมสถานการณ์บ้านเมืองและการเดินหน้าปฏิรูปประเทศบรรลุเป้าหมายโดยไม่เกิดอุบัติเหตุจนล่มกลางคัน คสช.จำเป็นต้องแยกปลาออกจากน้ำกล่าวคือ แยกกลุ่มการเมือง นักวิชาการและองค์กรภาคประชาชนที่วิพากษ์วิจารณ์คัดค้านแนวคิดของคสช.โดยบริสุทธิ์ใจออกจากขบวนการเพื่อแม้ว โดยข้อเสนอแนวคิดของกลุ่มพลังบริสุทธิ์สร้างสรรค์เหล่านี้ หากสามารถประนีประนอมได้โดยไม่กระทบต่อแผนการใหญ่ก็ควรประนีประนอมเพื่อลดแรงต้านให้กลับมาเป็นแรงหนุน

ทั้งนี้หากวิเคราะห์ให้ถ่องแท้แล้วตัวปัญหาซึ่งบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองขณะนี้ก็คือขบวนการเพื่อแม้ว ดังนั้นจึงต้องสร้างแนวร่วมให้ได้มากที่สุดแม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งโดยเนื้อแท้แล้วก็ไม่ได้ค้านแนวคิดของคสช.แบบหัวชนฝา โดยพร้อมที่จะประนีประนอมและความจริงพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่อยากตกเป็นเครื่องมือทางการเมืองของขบวนการเพื่อแม้วหากสถานการณ์ไม่บังคับ ทั้งนี้การสร้างแนวร่วมให้ได้มากที่สุดก็เพื่อโดดเดี่ยวขบวนการเพื่อแม้วซึ่งเป็นตัวปัญหาหลักที่บ่อนทำลายประเทศ

ทั้งนี้แค่สองพรรคใหญ่คือเพื่อแม้วกับประชาธิปัตย์ซึ่งมีฐานเสียงทั่วประเทศรวมกันกว่า 20 ล้านเสียง หากรวมหัวกันคว่ำร่างรัฐธรรมนูญก็เหนื่อยแล้ว ยังไม่รวมพลังภาคประชาชนกลุ่มต่างๆ ที่อยากให้แก้ไขรัฐธรรมนูญในประเด็นที่ตัวเองต้องการ ซึ่งหากร่วมขบวนการรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญโอกาสที่ร่างจะผ่านประชามติคงริบหรี่เต็มที เพราะฉะนั้นคสช.ต้องยืดหยุ่นคิดถึงสถานการณ์ใหญ่โดยดำเนินยุทธศาสตร์แยกมิตรแยกศัตรูและดึงแนวร่วมให้ได้มากที่สุดเพื่อโดดเดี่ยวขบวนการเพื่อแม้วให้ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องเร่งสร้างความเข้าใจกับประชาชนให้เห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบช่วงเปลี่ยนผ่าน รวมทั้งแสดงความจริงใจเพื่อขจัดข้อครหาเรื่องสืบทอดอำนาจ ซึ่งหากดำเนินการดังว่าก็เชื่อว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงคงผ่านการทำประชามติได้ไม่ยากอันจะทำให้แผนการใหญ่เพื่อปฏิรูปประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยขบวนการเพื่อแม้วหมดข้ออ้างความชอบธรรมที่จะบ่อนทำลายขัดขวางการปฏิรูปประเทศอีกต่อไป

ทีมข่าวการเมือง

คสช.ลุยใช้ประชาธิปไตยครึ่งใบ ปฏิรูปช่วงเปลี่ยนผ่าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/207816

วันอาทิตย์ ที่ 20 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงซึ่งมีความเห็นสอดคล้องกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ส่งสัญญาณชัดเจนว่าประเทศชาติจำเป็นต้องใช้แนวทางประชาธิปไตยแบบครึ่งใบเป็นเวลา 5 ปี ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากอำนาจคสช.ไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยต้องมีกลไกบางอย่างเพื่อแก้ไขวิกฤติชาติเมื่อพบทางตันและเพื่อถ่วงดุลรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้เดินตามยุทธศาสตร์ปฏิรูปประเทศที่คสช.วางไว้

สัญญาณจากรัฐบาลสะท้อนผ่าน พล.อ.ประวิตร และเป็นประเด็นร้อนที่มีการถกเถียงกันมากที่สุดในขณะนี้ก็คือข้อเสนอให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.)มาจากการสรรหาทั้งหมด ซึ่งต่างจากแนวคิดของคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานที่ให้สว.มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมด้วยการเลือกกันเองแบบไขว้สลับในหมู่ตัวแทน 20 สาขาอาชีพ

ส่วนอำนาจหน้าที่ของสว.สรรหานั้นยังมีข้อถกเถียงว่าจะมีอำนาจหน้าที่เทียบเท่าสส.หรือไม่โดยเฉพาะอำนาจหน้าที่ในการร่วมลงมติเลือกผู้เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี

ขณะที่ นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) แสดงจุดยืนชัดเจนสนับสนุนแนวคิด สว.สรรหาช่วงเปลี่ยนเป็นเวลา 5 ปี เนื่องจากการปฏิรูปประเทศขณะนี้ยังไม่แล้วเสร็จจำเป็นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง

ประธานสนช.ยังให้ความเห็นคัดค้านการเลือกตั้งสว.ทางอ้อมแบบไขว้สลับตามแนวคิดของ กรธ. เพราะจะเปิดช่องให้มีการตั้งกลุ่มขึ้นมาบล็อกโหวตทำให้ไม่ได้ตัวแทนของกลุ่มอาชีพอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ยังจะเกิดปัญหาการฟ้องร้องกันวุ่นวายจนเกิดปัญหาตามมา

ข้อเสนอ สว.สรรหาถูกต่อต้านอย่างหนักจาก 2 พรรคการเมืองใหญ่ คือ พรรคเพื่อไทยและพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งนักวิชาการกลุ่มหนึ่งโดยมองว่าเป็นการสืบทอดอำนาจของคสช.

อย่างไรก็ตาม จากท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร รวมทั้ง นายพรเพชร สะท้อนให้เห็นว่าคสช.ยืนยันเดินหน้าปฏิรูปประเทศตามแผนที่วางไว้นั่นคือจำเป็นที่จะต้องมีกลไกแบบประชาธิปไตยครึ่งใบเพื่อเป็นหลักประกันในการประคับประคองการปฏิรูปประเทศไม่ให้เสียของหลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง รวมทั้งเป็นกลไกผ่าทางตันเมื่อบ้านเมืองเกิดวิกฤติโดยที่กองทัพไม่ต้องเข้ามาแก้ปัญหาด้วยการก่อรัฐประหารเมื่อทุกครั้งที่ผ่านมา

ทั้งนี้ไม่ว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการทำประชามติในเดือนก.ค.นี้หรือไม่ก็ตาม ทุกอย่างล้วนถูกกำหนดและยังจะเป็นไปตามแผนที่คสช.วางไว้ กล่าวคือ หากร่างรัฐธรรมนูญผ่านทุกอย่างก็เดินหน้าไปตามที่คสช.กำหนด แต่หากร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำก็มีความเป็นไปได้ 2 แนวทางคือ แนวทางแรกเริ่มกระบวนการนับหนึ่งใหม่ในการยกร่างรัฐธรรมนูญซึ่งนั่นเท่ากับยืดเวลาในอำนาจของคสช.และรัฐบาลออกไปโดยปริยาย หรือแนวทางที่สอง นายกฯใช้อำนาจมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวประกาศใช้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับพิเศษซึ่งคสช.เตรียมไว้แล้วซึ่งอาจจะมีเนื้อหาที่เข้มเข้นยิ่งกว่าประชาธิปไตยแบบครึ่งใบ

ทั้งนี้ เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปตามแผนที่วางไว้อย่างไม่มีอุปสรรค โดยเฉพาะการสร้างกระแสต่อต้านจากสองพรรคการเมืองใหญ่โดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทย คสช.จึงจำเป็นต้องเปิดยุทธการกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศครั้งใหญ่รอบใหม่

ทั้งนี้ บรรดามาเฟียผู้มีอิทธิพลไม่อาจปฏิเสธได้ว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองและนักการเมืองไม่ทางตรงก็ทางอ้อมโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทย โดยบรรดามาเฟียหลายคนเข้าสู่สนามการเมืองกลายเป็นนักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นเพื่ออาศัยคราบความเป็นนักการเมืองเป็นเกราะป้องกันและฟอกตัวเอง ขณะที่มาผู้มีอิทธิพลระดับท้องถิ่นและระดับชาติจำนวนไม่น้อยให้การสนับสนุนหรือเป็นหัวคะแนนให้กับพรรคการเมืองและนักการเมืองเพื่อใช้เป็นเกราะคุ้มกันความชั่วร้ายของตัวเอง

การกวาดล้างมาเฟียผู้มีอิทธิพลครั้งใหญ่ระลอกใหม่นี้นอกจากเพื่อความสงบของประเทศแล้วยังเท่ากับทำลายและป้องปรามขุมกำลังซ่อนเร้นของพรรคการเมืองและนักการเมืองซึ่งจะมีผลต่อการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเดือนก.ค.นี้ รวมไปจนถึงการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าด้วย

ทั้งนี้การปฏิรูปประเทศของคสช.นับตั้งแต่เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 จนขณะนี้ยังมีหลายเรื่องสำคัญที่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย เพราะฉะนั้นในช่วงเปลี่ยนผ่านจำเป็นต้องใช้แนวทางประชาธิปไตยครึ่งใบเป็นเวลา 5 ปี เพื่อวางรากฐานประเทศให้มั่นคงไม่ทำให้การปฏิรูปเสียของ โดยตัวแปรสำคัญที่จะตัดสินว่า คสช.ได้รับการยอมรับจากมวลมหาประชาชนหรือไม่จะสะท้อนจากการลงประชามติในเดือนก.ค.นี้ ซึ่งจะบ่งชี้ว่าประชาชนผู้เป็นเสียงสวรรค์ส่วนใหญ่ยังศรัทธาในคสช.เหมือนช่วงยึดอำนาจใหม่ๆ และยังไว้ใจให้คสช.เดินหน้าปฏิรูปประเทศด้วยประชาธิปไตยครึ่งใบต่อไปหรือไม่

ทีมข่าวการเมือง

จับตาการเมืองสุมไฟใต้ อำนาจเก่าจุดชนวนป่วน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/207735

วันเสาร์ ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตาหลังจากที่กลุ่มโจรก่อการร้ายในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อเหตุรุนแรงหลายจุดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาโดยเฉพาะมีการบุกเข้าไปภายในโรงพยาบาลเจาะไอร้อง จ.นราธิวาส และยิงถล่มโรงพยาบาลอย่างอุกอาจเมื่อวันที่ 13 มี.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งความไม่ธรรมดาของเหตุการณ์สะท้อนจากคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ชี้ว่า “วันนี้ต้องระวังเครือข่ายทางการเมือง วันนี้ขยับกันอีกแล้ว ผมได้รับข้อมูลมาพอสมควร พอมีคนพูดตรงนี้ ทางโน้นก็เกิดเหตุ มันถือเป็นความเชื่อมโยง ผมสั่งให้มีการติดตามทั้งหมดว่าใครพูด ใครรับต่อ ถ้ามันใช่ก็ต้องถูกดำเนินคดี”

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ตอบข้อซักถามของนักข่าวที่ว่าเหตุร้ายในภาคใต้ช่วงนี้เกี่ยวข้องกับการเมืองหรือไม่ว่า “ผมไม่อยากพูดเพราะพูดแล้วทำให้เกิดความขัดแย้ง ขอให้ทำงานก่อน แต่ยืนยันว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจะไม่กระทบต่อการพูดคุยสันติสุข”

จากการส่งสัญญาณของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตไปถึงการจู่ๆ ออกมาแถลงข่าวถึง 2 ครั้งซ้อนของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกฯ โดยตอนหนึ่งของการแถลงข่าวครั้งแรก “บิ๊กจิ๋ว” เตือนว่าจะเกิดสถานการณ์รุนแรงในชายแดนภาคใต้เพราะได้ข้อมูลการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้ายที่มีชื่อว่า “เหยี่ยวดำ” และในการแถลงครั้งที่สอง “บิ๊กจิ๋ว” ประกาศตั้งกองกำลังที่ 3 เพื่อกอบกู้ชาติโดยอ้างว่าบ้านเมืองขณะนี้มาถึงจุดวิกฤติแล้ว

ข้อน่าสังเกตก็คือ การออกมาเปิดตัวทางการเมืองของ “บิ๊กจิ๋ว” มักจะจู่ๆ ก็โผล่ออกมาในช่วงที่อุณหภูมิการเมืองกำลังเข้มข้น โดยเฉพาะหลังจากที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เปิดตัวออกมาดับเครื่องชนคสช.และรัฐบาล

ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งก็คือ หลังจากที่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศไม่นานก็เกิดการลอบก่อวินาศกรรมระเบิดห้างเซ็นทรัลเฟสติวัล เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งจากตรวจสอบของหน่วยข่าวของกองทัพพบเบาะแสโยงใยนักการเมืองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ซึ่งสังกัดพรรคเพื่อไทย โดยครั้งนั้น คสช.และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เชื่อว่าการลอบก่อวินาศกรรมมาจากสาเหตุทางการเมืองเพื่อสร้างสถานการณ์ให้เกิดความปั่นป่วนระส่ำระสาย

สำหรับเหตุการณ์ป่วนจังหวัดชายแดนภาคใต้ช่วงนี้ขณะนี้หากมีการเมืองอยู่เบื้องหลังอย่างที่พล.อ.ประยุทธ์ ระบุถือเป็นสถานการณ์อันตรายที่ต้องจับตา เพราะเป้าหมายของกลุ่มอำนาจเก่าก็คือทำทุกวิถีทางทั้งบนดินใต้ดินสร้างสถานการณ์ความรุนแรงเพื่อล้มคสช.และขัดขวางการปฏิรูปประเทศโดยไม่คำนึงถึงความหายนะที่จะเกิดกับชาติบ้านเมือง และที่น่าหวั่นเกรงก็คือไม่แต่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้เพราะอดีตที่ผ่านมามีบทเรียนให้เห็นมาแล้วแม้แต่การก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนพินาศย่อยยับ

ทีมข่าวการเมือง

สมเด็จช่วงยิ่งยื้อคดีเบนซ์ฉาว ยิ่งส่อพิรุธไม่กล้าสู้ความจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/207561

วันศุกร์ ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทีมทนายของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ได้นัดให้ทีมพนักงานสอบสวนคดีรถเบนซ์โบราณผิดกฎหมายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) นำโดย พ.ต.อ.พิสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ ไปสอบปากคำสมเด็จช่วงในเวลา 20.00 น. วันที่ 16 มี.ค.ที่วัดปากน้ำ แต่แล้วกลายเป็นว่า ทีมทนายสมเด็จช่วงนำโดยนายสมศักดิ์ โตรักษา ส่อเจตนายื้อด้วยการตั้งแง่ให้ดีเอสไอกลับไปทำหนังสือนัดสอบปากคำใหม่พร้อมทั้งต้องระบุในหนังสือนัดไล่เลียงประเด็นที่จะสอบปากคำสมเด็จช่วงให้ชัดเจนด้วยว่าจะถามในประเด็นไหนบ้าง

การใช้ช่องทางกฎหมายแบบศรีธนญชัยของทีมทนายสมเด็จช่วงลักษณะนี้ถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่เป็นผลดีต่อ สมเด็จช่วง เองเพราะอาจถูกตั้งข้อสงสัยได้ว่าเป็นการส่อพิรุธว่าจำนนต่อหลักฐาน เลยต้องใช้วิธียื้อเวลาการให้ปากคำออกไปเพราะไม่กล้าสู้ความจริง

ส่วนการที่ทีมทนายของ สมเด็จช่วง ให้ดีเอสไอต้องแจ้งประเด็นการสอบปากคำ สมเด็จช่วง แต่ละประเด็นอย่างชัดเจน ถือเป็นลูกเล่นของทีมทนายที่ส่อต้องการรู้ข้อสอบล่วงหน้าเพื่อนำไปพิจารณาหาช่องทางกฎหมายเพื่อสู้คดีพลิกสถานการณ์และเพื่อเตรียมคำพูดให้สมเด็จช่วง ไว้แก้ข้อกล่าวหาเวลาถูกทีมสอบสวนดีเอสไอสอบปากคำ

คดีรถเบนซ์โบราณหลักฐานชัดเจนว่าผู้ครอบครองคือ สมเด็จช่วง และการที่ สมเด็จช่วง แสดงเจตนายอมคืนรถให้กับผู้บริจาคไม่ได้หมายความว่าคดีนี้เป็นอันเลิกรากันไปเพราะความผิดสำเร็จแล้ว ปัญหาอยู่ที่ว่ารถเบนซ์ผิดกฎหมายคันนี้มีส่วนเชื่อมโยงกับ สมเด็จช่วงโดยตรงหรือไม่ หรือได้รับมาโดยไม่รู้ว่าเป็นรถผิดกฎหมายอย่างที่อ้าง ซึ่งจะต้องพิสูจน์กันด้วยพยานหลักฐานและฝีมือของดีเอสไอ และอาจด้วยเหตุนี้ที่ทีมทนายหวั่นเกรงว่า หากดีเอสไอสอบปากคำ สมเด็จช่วง โดยไม่รู้ข้อสอบล่วงหน้าอาจถูกซักจนเข้าตาจนได้

คดีรถเบนซ์โบราณผิดกฎหมายประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า เงิน 4 ล้านกว่าบาทซึ่งพระคนสนิทเลขาฯส่วนตัวของสมเด็จช่วงไปจ้างอู่ซ่อมและตกแต่งรถแห่งหนึ่งประกอบรถเบนซ์โบราณคันโปรดของสมเด็จช่วง ซึ่งจะต้องมีพยานหลักฐานพิสูจน์เส้นทางของเงินให้ได้ว่า เงิน 4 ล้านกว่าบาทเป็นของใครกันแน่ แต่แม้ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าไอ้โม่งเจ้าของเงินที่แท้จริงคือใคร แต่กรรมเป็นเครื่องส่อเจตนาและมีการตั้งข้อสังเกตว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่อยู่ดีๆพระเลขาฯคนสนิทสมเด็จช่วงจะหอบเงินถึง 4 ล้านกว่าบาท ไปจ้างอู่รถตกแต่งรถโบราณอย่างพลการโดยไม่มีคนสั่ง

ทีมข่าวการเมือง

คสช.เอาจริงดันกลไกปชต.ครึ่งใบ สยบพวกจ้องป่วน-ขรก.เกียร์ว่าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/207385

วันพฤหัสบดี ที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ชัดเจนว่าถึงอย่างไรคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานก็ต้องยกร่างไปตามธงที่แม่น้ำ 4 สายซึ่งคสช.เป็นหัวเรือใหญ่เสนอไป เพราะหากมีการรื้อก็จะมีการเสนอใหม่จนกว่าจะสำเร็จ

แม้จะมีแรงกดดันจากทุกด้าน แต่ นายมีชัย ก็ยืนยันไม่ถอดใจตามที่มีการคาดการณ์ เพราะต้องไม่ลืมว่า นายมีชัย คือมือกฎหมายอันดับ 1ที่ร่วมหัวจมท้ายกับคสช.มาตั้งแต่ต้น อีกทั้งข้อเสนอให้ใช้สูตรประชาธิปไตยครึ่งใบ 5 ปีช่วงเปลี่ยนผ่านหลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งของคสช.ก็ไม่น่าเกลียดและสอดคล้องกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ จึงไม่แปลกที่ นายมีชัย แสดงท่าทีเห็นใจ คสช.ซึ่งแบกภาระหน้าที่ความรับผิดชอบเพื่อชาติอันหนักอึ้งอยู่บนบ่าย่อมจะต้องทำทุกอย่างเพื่อให้สำเร็จตามเป้าหมาย

หากฟังเสียงสะท้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งสะท้อนจากโพลล์สำนักต่างๆ ตลอดช่วงที่ผ่านมาพอสรุปได้ว่า ประชาชนยังไว้ใจคสช.มากกว่าเหล่านักลากตั้ง ชนิดคสช.จะเอาไงก็เอากัน ดังนั้นไหนๆ คสช.ยึดอำนาจยอมให้ประชาธิปไตยถอยหลังเข้าคลองมาจนขนาดนี้ก็ควรเดินหน้าเพื่อให้การปฏิรูปประเทศสำเร็จ ซึ่งหากแผนของคสช.สะดุดกลางคันเท่ากับการยึดอำนาจและการปฏิรูปประเทศล้มเหลวเสียของสิ้นเชิง

ในข้อเสนอของแม่น้ำ 4 สาย ที่ส่งไปยังกรธ. ดูเหมือนว่าข้อเสนอของคสช.ที่ลงนามโดย พล.อ.ธีรชัย นาควานิชผู้บัญชาการทหารบก ในฐานะเลขาธิการคสช. จะมีนัยสำคัญที่สุดโดยข้อเสนอของคสช. ยกเหตุผลความจำเป็นที่จะต้องใช้สูตรประชาธิปไตยครึ่งใบช่วงเปลี่ยนผ่านด้วยการให้มีเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.)สรรหาทั้งหมด 250 คนซึ่งเท่ากับจำนวน สส. รวมทั้งไม่ปิดทางให้มีนายกฯคนนอก เนื่องจากขณะนี้สถานการณ์ของชาติยังไม่ปกติพร้อมปะทะได้ตลอดเวลา และมีความเสี่ยงที่จะนำชาติบ้านเมืองกลับไปสู่วงจรอุบาทว์อันเลวร้ายแบบเดิมๆ หลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง จึงจำเป็นต้องมีกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบเพื่อเป็นทางออกในการประคับประคองบ้านเมืองให้สามารถเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่า การเอาจริงเดินหน้ากลไกประชาธิปไตยครึ่งใบซึ่งเท่ากับต่ออายุอำนาจของคสช.กรายๆ เป็นการวางหมากส่งสัญญาณเตือนไปยังบรรดาขบวนการจ้องป่วนเมือง รวมทั้งเหล่าข้าราชการประเภททำตัวลู่ตามลมไม่ให้เกียร์ว่างโดยคิดว่าคสช.กำลังจะพ้นจากอำนาจในไม่ช้าทำให้การฟื้นฟูประเทศไม่คืบหน้าเท่าที่ควร โดยข้อเสนอให้มีกลไกประชาธิปไตยแบบครึ่งใบเพื่อเป็นการย้ำว่า ถึงอย่างไรก็ตาม คสช.ก็ยังมีอำนาจทางอ้อมผ่านกลไกที่คอยถ่วงดุลอำนาจของรัฐบาลหลังการเลือกตั้ง อีกอย่างน้อย 5 ปี

ทั้งนี้ขบวนการชั่วร้ายในชาติบ้านเมืองทั้งในฝ่ายอาณาจักรและฝ่ายศาสนจักรฝังรากลึกมานานและรวมหัวกันจ้องล้มคสช.และการปฏิรูปประเทศ ดังนั้นจึงต้องใช้เวลาในการขุดรากถอนโคน ซึ่งหากไม่มีกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบไว้คอยกำราบก็มีความเสี่ยงสูงที่เชื้อชั่วร้ายเหล่านี้จะกลับมามีอำนาจหลอกหลอนทำร้ายประเทศอีกครั้ง
ทีมข่าวการเมือง

ปชช.ส่วนใหญ่ควรเป็นผู้ตัดสิน จะเอาปชต.จ๋าหรือปฏิรูปให้สำเร็จ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/207204

วันพุธ ที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

สัญญาณค่อนข้างชัดเจนว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) มีแนวคิดใน 2 ประเด็นสำคัญที่จะกำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่นั่นคือการให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มาจากการสรรหาทั้งหมด และการกำหนดเปิดช่องให้มีนายกฯจากคนนอกได้ เพื่อให้การวางรากฐานปฏิรูปประเทศในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านหลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งไร้อุปสรรคขัดขวาง ขณะที่มีกระแสต่อต้านแบบหัวชนฝาจากสองพรรคใหญ่คือพรรคเพื่อแม้วและประชาธิปัตย์ รวมทั้งกลุ่มนักวิชาการประเภทประชาธิปไตยจ๋าโดยอ้างว่าคสช.กำลังวางแผนสืบทอดอำนาจ

ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่า ร่างรัฐธรรมนูญจะสืบทอดอำนาจหรือไม่ แต่อยู่ที่เจตนาเป้าหมายว่า มุ่งทำเพื่อชาติบ้านเมืองอย่างแท้จริงหรือไม่ต่างหาก ซึ่งต้องยอมรับว่า บ้านเมืองอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญของการเปลี่ยนผ่านจากสถานการณ์รัฐประหารไปสู่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งจำเป็นต้องมีกลไกพิเศษที่คอยประคับประคองและวางรากฐานการปฏิรูปประเทศซึ่งต้องใช้เวลาและยังมีอีกหลายเรื่องที่จะยังต้องทำให้สำเร็จโดยไม่ถูกขัดขวาง

ในเมื่อคสช.ลงทุนยึดอำนาจนำประเทศถอยหลังเข้าคลองเพื่อปฏิรูปประเทศแก้ปัญหาบ้านเมืองอย่างยั่งยืนไม่ให้กลับไปสู่วังวนธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันชั่วร้ายทั้งที ก็ควรทำไปให้ถึงที่สุด เพื่อการรัฐประหารและปฏิรูปประเทศจะได้ไม่เสียของ

เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากพรรคเพื่อแม้วซึ่งประกาศจุดยืนชัดเจนขวางการปฏิรูปประเทศเพื่อปราบโกงได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งเชื่อได้เลยว่าจะมีการรื้อรัฐธรรมนูญและสิ่งที่คสช.ทำไว้ขนานใหญ่ โดยบ้านเมืองจะกลับไปสู่สภาพอันเลวร้ายเหมือนที่ผ่านมา และนั่นจะเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังขับไล่นำพาประเทศไปสู่วิกฤติความรุนแรง และในที่สุดหนีไม่พ้นที่จะจบลงด้วยกองทัพเข้ายึดอำนาจกลายเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซาก

เพราะฉะนั้นหากบ้านเมืองในช่วงเปลี่ยนผ่านมีประชาธิปไตยจ๋าแล้วนำไปสู่ความพินาศย่อยยับซ้ำซากซึ่งมีบทเรียนให้เห็นมาแล้วจะมีประโยชน์อะไร

ตรงกันข้ามหากมีกลไกพิเศษซึ่งแม้จะเป็นประชาธิปไตยครึ่งใบ แต่สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เป็นจริงและเป็นประโยชน์กับชาติบ้านเมืองสมควรที่จะมีการต่อต้านอย่างนั้นหรือ

ภายใต้หัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านเป้าหมายเพื่อชาติบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญที่สุด และการทำงานใหญ่ไม่ควรที่จะคำนึงถึงเรื่องวิธีการหรือประเด็นปลีกย่อยหรือประชาธิปไตยจ๋ามากเกินไป ดังที่ เติ้ง เสี่ยว ผิง อดีตผู้นำและรัฐบุรุษของจีนเคยกล่าวไว้ว่า “แมวสีอะไรไม่สำคัญ
ขอเพียงให้จับหนูได้”

ดังนั้นไหนๆ ประเทศก็ลงทุนถอยหลังเข้าคลองมาจนขนาดนี้ก็ควรไว้ใจคสช.ให้เดินหน้าปฏิรูปประเทศให้สำเร็จดีกว่ากลับไปสู่ประชาธิปไตยเต็มใบขณะที่เชื้อชั่วร้ายทางการเมืองยังมีฤทธิ์เดชอยู่ แต่หากเหล่านักลากตั้งและนักวิชาการประชาธิปไตยจ๋ายังต่อต้านแนวคิดประชาธิปไตยครึ่งใบก็ควรให้ประชาชนส่วนใหญ่เป็นผู้ตัดสินในการลงประชามติว่า อยากให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยจ๋าหรือจะสนับสนุนประชาธิปไตยครึ่งใบของคสช.เพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศให้สำเร็จ ไม่ใช่ถูกสร้างกระแสครอบงำโดยนักการเมืองหรือนักวิชาการเพียงไม่กี่คน

ทีมข่าวการเมือง

ปู่จิ๋วท่าจะอาการหนัก อัลไซเมอร์หมดสภาพ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/207011

วันอังคาร ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การเปิดบ้านนัดสื่อออกมาแถลงข่าวใหญ่โตของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือ “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” หลังจากที่เพิ่งจะแถลงไปก่อนหน้านี้ไม่นานทำให้เห็นสัจธรรมที่ว่า คนเราเมื่อยามแก่เฒ่าเป็นไม้ใกล้ฝั่งมักหลงๆ ลืมๆ และเรียกร้องความสนใจ

สื่อหรือคนที่คุ้นเคย “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์”จะรู้ดีว่า อดีตนายกฯต้มยำกุ้งหลายปีที่ผ่านมาหลงๆ ลืมๆ มักพูดอะไรแล้วลืมคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้ หรือพูดแล้วต้องแปลจากไทยเป็นไทย และยิ่งอายุมากขึ้นก็มักพูดเรื่อยเปื่อยจนแทบไม่น่าเชื่อว่าหลุดออกมาจากปากผู้ที่ในอดีตได้ชื่อว่าเป็น “ขงเบ้งแห่งกองทัพ”

อย่างล่าสุดการเปิดบ้านนัดสื่อทุกสำนักมาแถลงข่าว “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” ก็สร้างข่าวพาดหัวในสื่อทุกสำนักได้สมใจคนไม้ใกล้ฝั่ง ด้วยแนวคิดแปลกๆ เรื่องกองกำลังที่ 3 เพื่อกู้ชาติ ให้พ้นจากความยากจน ทำให้มีการตั้งคำถามว่า หาก “ปู่จิ๋ว
อัลไซเมอร์” ทำได้จริงอย่างที่พูดก็ควรจะทำสำเร็จไปนานแล้วตั้งแต่ยุคที่ตัวเองมีอำนาจ

กองกำลังที่ 3 ในความหมายของ ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์ ประกอบด้วย คนทุกกลุ่มทุกสีเพื่อต่อสู้กับความยากจน ซึ่ง “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” อ้างว่าตั้งกองกำลังที่ 3 มา 3 ปีแล้ว โดยคนที่เข้าร่วมประกอบด้วยชาวไทยภูเขา 21 เผ่า และคนยากจนทั่วประเทศ

นอกจากนี้ “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” ยังเพ้อคิดถึง พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และอยากเข้าพบในฐานะอดีตคนใกล้ชิด แต่ช่วงหลัง “ป๋าเปรม”ไม่ให้นักการเมืองเข้าพบได้ง่ายๆ รวมทั้ง “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” ที่พฤติกรรมเปลี่ยนไป

การที่ “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” แถลงอาสาเป็นฮีโร่ด้วยการอาศัยกองกำลังที่ 3 กู้ชาตินั้นทำเอาบรรดาคอการเมืองถึงกับส่ายหน้า เพราะ“ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” คงลืมผลงานอัปยศที่ตัวเองเคยสร้างไว้ในอดีตจนทำให้ชาติบ้านเมืองพินาศล่มจมมาแล้วหลายเรื่องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยุคที่ “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” เป็นนายกฯเมื่อปี 2540 ทำให้เกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งจนประเทศล้มละลายต้องกลายเป็นลูกหนี้ของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือไอเอ็มเอฟ ขณะที่มีคนเพียง 3-4 คน ซึ่งในจำนวนนี้รวมทั้ง นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ซึ่งเป็นรองนายกฯยุครัฐบาล“ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” ถูกตั้งข้อสังเกตว่าร่ำรวยมหาศาลขณะที่ชาติล้มละลายจากการเก็งกำไรค่าเงินบาทเพราะรู้ข้อมูลภายในล่วงหน้า

อีกทั้ง “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” คงลืมคำมั่นสัญญาที่ประกาศไว้ต่อสาธารณชนยุคที่ตัวเองมีอำนาจว่า จะแก้ปัญหาความยากจนและทำให้อีสานเขียวภายใน 1 ปี หากทำไม่สำเร็จจะไปกระโดดแม่น้ำโขงตาย แต่ก็ไม่เห็น “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” ทำตาม
ที่สัญญาไว้กับประชาชน ซ้ำวันนี้ยังจะอาสามาแก้ปัญหาความยากจนอีกครั้ง แสดงว่ายุคที่ตัวเองเป็นนายกฯล้มเหลวสิ้นเชิง

นี่ยังไม่ต้องพูดถึงผลงานความล้มเหลวของ “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” ช่วงเป็นใหญ่ในกองทัพฝากผลงานอัปยศน่าอับอายขายหน้าในการเปิดศึกกับลาวในยุทธการ “บ้านร่มเกล้า” ปรากฏว่าไทยพ่ายแพ้ต่อลาวไม่เป็นท่าทำให้ทหารไทยเสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมากเพราะถูกระเบิดพวกเดียวกันเอง

เพราะฉะนั้นหาก “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์”หวังดีกับชาติบ้านเมืองจริงก็ควรใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างสงบ ไม่ควรออกมาก่อเรื่องอีกเพราะขนาดผลงานเก่าๆ ยังทำชาติพินาศล่มจมขนาดนั้น หากเชื่อคำ “ปู่จิ๋วอัลไซเมอร์” เรื่องตั้งกองกำลังที่ 3 อะไรนั่น ชาติมีหวังย่อยยับอย่างไม่ต้องสงสัย

ประชาธิปไตยครึ่งใบ ยังดีกว่าชาติกลับสู่วงจรอุบาทว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/206792

วันจันทร์ ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
สัญญาณจากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลสะท้อนผ่านท่าทีจริงจังของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง น่าจะชัดเจนว่าคสช.และรัฐบาลเอาแน่ที่จะผลักดันให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.)มาจากการสรรหาเพื่อเป็นกลไกแบบประชาธิปไตยครึ่งใบให้การเดินหน้าปฏิรูปประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านหลังมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความราบรื่นไม่ทำให้แผนปฏิรูปประเทศต้องเสียของ

นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)สนับสนุนแนวคิดให้มีสว.สรรหาเพราะไหนๆจะปฏิรูปประเทศทั้งทีก็ควรทำให้สุดไม่ใช่ครึ่งๆ กลางๆ ซึ่งขณะนี้การปฏิรูปประเทศทำสำเร็จเพียงบางส่วนดังนั้นต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่งและจำเป็นต้องมีกลไกเพื่อปฏิรูปประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านหลังการเลือกตั้งอีก 5 ปีเพื่อให้การปฏิรูปมั่นคงแข็งแรงก่อนกลับสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์

บางคนตั้งข้อสังเกตว่าประชาธิปไตยจ๋าแบบตะวันตกบางครั้งก็ไม่สอดคล้องกับสภาพประชาธิปไตยแบบไทยๆ ที่เป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์และเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่เต็มไปด้วยการทุ่มเงินซื้อ สส.ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศเพื่อให้ได้อำนาจรัฐจากนั้นโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารเพื่อถอนทุนบวกกำไรมหาศาลและใช้อำนาจรัฐตามใจชอบ

อีกทั้งธาตุแท้ของนักการเมืองนั้นส่วนใหญ่ล้วนมุ่งที่ผลประโยชน์ของตัวเองโดยอ้างผลชาติบ้านเมืองและประชาชนบังหน้า ซึ่งต่างจาก คสช.ที่เข้ามายึดอำนาจด้วยสถานการณ์ที่จำเป็นเนื่องจากประเทศอยู่ในภาวะรัฐล้มเหลวและเสี่ยงที่จะเกิดการนองเลือดจึงจำเป็นต้องหยุดยั้งความหายนะที่จะเกิดกับชาติบ้านเมืองและทำการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง
อันเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

แม้จะมีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศไว้ดีแค่ไหนก็ตาม แต่เชื่อเถอะในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ที่จะมีขึ้นก็ไม่พ้นการซื้อ สส.และซื้อเสียงทั้งทางตรงทางอ้อมเพียงแต่เพิ่มความแนบเนียนซับซ้อนมากขึ้นเท่านั้นซึ่งถือเป็นประชาธิปไตยที่บิดเบือน และเมื่อมีรัฐบาลหลังการเลือกตั้งโดยเฉพาะหากพรรคเพื่อแม้วได้เป็นรัฐบาลคุมอำนาจรัฐเชื่อได้เลยว่า ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นและสิ่งชั่วร้ายต่างๆ ที่จะนำประเทศไปสู่ความพินาศล่มจมจะกลับมา

เพราะฉะนั้นหากไม่มีกลไกบางอย่างไว้คอยถ่วงดุลและแก้ปัญหาผ่าทางตันเมื่อชาติเกิดวิกฤติในที่สุดก็หนีไม่พ้นที่กองทัพต้องก่อรัฐประหารยึดอำนาจกลายเป็นวงจรอุบาทว์ไม่รู้จบ

เพราะฉะนั้นไหนๆประชาชนส่วนใหญ่ก็ศรัทธาไว้ใจ คสช.ให้เดินหน้าปฏิรูปประเทศมาตั้งแต่ต้นก็ควรไว้ใจให้เดินหน้าต่อไปไม่ให้สิ่งที่ลงทุนมาทั้งหมดตั้งแต่ก่อรัฐประหารต้องเสียของ เพราะหากประชาชนถอดใจเลิกหนุนแนวทางคสช.นั่นหมายถึงประเทศไม่มีตัวช่วยอีกแล้วซึ่งถือเป็นสถานการณ์ที่อันตรายมาก ทั้งนี้ประชาธิปไตยแบบครึ่งใบในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเพื่อแก้ปัญหาของชาติบ้านเมืองอย่างยั่งยืนยังดีกว่าประชาธิปไตยเต็มใบแบบจอมปลอมแล้วนำพาประเทศกลับไปสู่วังวนของวงอุบาทว์อันชั่วร้ายซ้ำซาก

ทีมข่าวการเมือง