พระแท้หรืออลัชชีในคราบผ้าเหลือง นัดแสดงพลังวันมาฆบูชา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/203522

วันจันทร์ ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.
การมารวมตัวของสงฆ์แท้ในวันมาฆบูชา ถือเป็นกิจกรรมสำคัญทางพระพุทธศาสนามาช้านานเพื่อน้อมรำลึกถึงวันที่พระอรหันต์สาวกของพระพุทธเจ้า 1,250 รูป มารวมตัวกัน โดยมิได้นัดหมายเพื่อประกาศสืบทอดเผยแผ่หลักธรรมคำสอนขององค์พระศาสดา

ทั้งนี้สงฆ์แท้ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังต้องสามารถแยกแยะผิดถูกชั่วดี แต่หากเป็นม็อบผ้าเหลืองที่ออกมาแสดงพลังในวันมาฆบูชา แสดงว่าเป็นพวกสงฆ์เทียมในคราบผ้าเหลืองเพื่ออุ้มสองอาจารย์ศิษย์ คือ ดันก้น สมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ขึ้นเป็นพระสังฆราช ทั้งๆ ที่มีมลทินและปกป้อง ธัมมชโยเจ้าลัทธิจานบิน ทั้งๆ ที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช มีพระบัญชาให้ ธัมมชโย พ้นความเป็นพระไปตั้งแต่ปี 2542 จากความผิดสำเร็จยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท และแพร่ลัทธิสวนทางกับคำสอนพระพุทธเจ้า แต่ สมเด็จช่วง และมหาเถรสมาคมที่ สมเด็จช่วง เป็นประธานขัดพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราช โดยมีมติให้ ธัมมชโย ไม่ปาราชิก นอกจากนี้ ธัมมชโย ยังมีข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ติดตัว

การที่ม็อบผ้าเหลืองอาศัยวันมาฆบูชาเคลื่อนไหวสนับสนุนปกป้องอลัชชีในวงการสงฆ์ยังเป็นการเหยียบย่ำพระพุทธศาสนาและแสดงให้เห็นว่าไม่ได้เห็นความสำคัญกับวันมาฆบูชาแม้แต่น้อยจึงเป็นแค่คนห่มผ้าเหลือง

เมื่อ 2-3 วันก่อน มีสงฆ์และฆราวาสกลุ่มหนึ่งไปร่วมเสวนาเรื่องปัญหาในวงการสงฆ์ปัจจุบันที่พุทธมณฑล ปรากฏว่าสงฆ์ที่เข้าร่วมเสวนาแทนที่จะยึดความถูกต้องและดับไฟขัดแย้งในวงการพุทธศาสนา กลับแสดงตนเชิงปกป้องขบวนการอลัชชีในคราบผ้าเหลือง

พระเทพวิสุทธิกวี ประธานศูนย์พิทักษ์พุทธศาสนาแห่งประเทศไทย(ศพศ.) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส ตีขลุมอ้างว่า “ขณะนี้คณะสงฆ์กำลังถูกแทงด้วยหอก สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์(สมเด็จช่วง)ไม่รู้มีกรรมเก่าตั้งแต่อดีตชาติหรือไม่ จะขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ยังมีผู้มาขัดแย้ง การที่กลุ่มสงฆ์ออกมาชุมนุมก่อนหน้านี้ก็เพื่อต้องการให้รัฐบาลรู้ว่ามีขบวนการล้มพระพุทธศาสนาที่เป็นสถาบันหลักของคนไทยที่เชื่อมโยงไปสู่การล้มสถาบันหลักอื่นๆ ด้วย”

ขณะที่ พระราชญาณกวี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดพระราม 9 อ้างว่าขณะนี้มีขบวนการใส่ร้ายสมเด็จช่วง ให้มีมลทินด้วยการโยงให้ไปเกี่ยวพันกับสำนักธรรมกาย เพื่อไม่ให้ขึ้นเป็นพระสังฆราช

การที่พระคุณเจ้าทั้งสองรูปอ้างว่ามีขบวนการใส่ร้ายสมเด็จช่วงและมุ่งบ่อนทำลายสถาบันพุทธศาสนานั้น ทำให้ถูกตั้งคำถามว่าไม่รู้จริงๆ หรือแกล้งไม่รู้ว่า สมเด็จช่วงและธัมมชโย ผู้เป็นศิษย์ทำอะไรไว้ต่อวงการศาสนาและชาติบ้านเมือง และที่พยายามชี้ว่าพวกที่ใส่ร้ายสมเด็จช่วงเป็นขบวนการบ่อนทำลายสถาบันพุทธศาสนานั้น ตรงกันข้ามขบวนการที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติอย่างแท้จริงก็คือ ขบวนการอลัชชีในคราบผ้าเหลืองที่ประพฤติขัดกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิงซึ่งใช้ผลประโยชน์ครอบงำวงการสงฆ์ทั่วประเทศไว้ในมือแทบจะสิ้นเชิง

ทีมข่าวการเมือง

ปัญหาสังฆราชองค์ใหม่ ชนวนระเบิดเวลาชี้อนาคตชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/203382

วันอาทิตย์ ที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่กำลังเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่หลังจากที่ก่อนหน้านี้เครือข่ายพุทธศาสนนิกชนภายใต้การนำของนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) รวมทั้งหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม รวบรวมรายชื่อชาวพุทธกว่า 5 แสนคนยื่นต่อรัฐบาลและหลายหน่วยงานเพื่อคัดค้านการผลักดันพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นพระอุปปัชฌาย์ของพระธัมมชโย เจ้าสำนักธรรมกาย ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ เนื่องจากมีจริยวัตรที่ไม่สง่างามตามพระธรรมวินัยและตามหลักกฎหมาย

การออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการผลักดัน สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสังฆราชองค์ที่ 20 มีขึ้นหลังจากจากที่มหาเถรสมาคม(มส.)ซึ่งมี สมเด็จช่วง เป็นประธานและถูกตั้งข้อสังเกตว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลและผลประโยชน์ของสำนักธรรมกายแอบประชุมลับแล้วมีมติเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ซึ่งเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงสุดขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช ซึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่ากิจของสงฆ์นั้นไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบังหากไม่มีอะไรซ่อนเร้นก็ควรประชุมอย่างเปิดเผยบริสุทธิ์ใจซึ่งจากความไม่สง่างามในการผลักดัน สมเด็จช่วง ขี้นเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่ทำให้ หลวงปู่พุทธะอิสระ ถึงกับประกาศเดิมพันพร้อมสละผ้าเหลือง

ทั้งนี้ สมเด็จช่วง ซึ่งนอกจากมีฐานะเป็นอาจารย์ของ พระธัมมชโย แล้ว ยังเคยประกาศว่าวัดปากน้ำและวัดธรรมกายเกื้อกูลกันเสมือนหนึ่งเป็นวัดเดียวกัน ที่สำคัญมส.ซึ่งมี สมเด็จช่วง เป็นประธานก่อนหน้านี้มีมติให้ พระธัมมชโย พ้นผิดไม่ปาราชิกพ้นความเป็นพระซึ่งขัดต่อพระบัญชาของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ที่เคยมีพระบัญชาให้ พระธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระตั้งแต่เมื่อปี 2542 ฐานประพฤติผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงเผยแพร่คำสอนที่ผิดเพี้ยนสวนทางกับคำสอนขององค์สัมมาสัมพุทธเจ้าและยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท และล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ก็เพิ่งสรุปผลสอบสวนชี้ชัดตอกย้ำว่า พระธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระและส่งเรื่องให้ มส.ดำเนินการ แต่ มส.กลับนิ่งเฉย

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ซึ่งตาม พ.ร.บ.สงฆ์ จะเป็นผู้ที่กลั่นกรองรายชื่อสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ก่อนทูลเกล้าฯต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามขั้นตอนได้ออกมาส่งสัญญาณว่า ต้องไปแก้ปัญหาความขัดแย้งให้จบเสียก่อน ถ้ายังขัดแย้งก็จะไม่มีการนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ

ขณะที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ซึ่งกำกับดูแลปัญหาด้านศาสนาแสดงท่าทีว่า การที่จะนำรายชื่อผู้สมควรเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ขึ้นทูลเกล้าฯรัฐบาลจะต้องแบกรับความรับผิดชอบในการกลั่นกรองอย่างรอบคอบ เพราะไม่บังควรที่จะโยนภาระไปให้องค์เหนือหัว ส่วนระยะเวลาการเสนอชื่อนั้นขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างทั้งด้านกฎหมาย ประเพณีตลอดจนความคาดหมายของประชาชน ซึ่งในอดีตเคยมีการว่างเว้นการแต่งตั้งพระสังฆราชนานถึง 37 ปี

จากกระแสคัดค้าน สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นสังฆราชองค์ใหม่ ตลอดจนท่าทีของ ดร.วิษณุ ซึ่งถูกตีความว่าอาจจะไม่มีการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ขึ้นเป็นพระสังฆราชในเวลาอันใกล้ ปรากฏว่า พระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ออกมาข่มขู่กดดันรัฐบาลให้เร่งรีบเสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นพระสังฆราชโดยเร็วที่สุด โดยหากพบว่ารัฐบาลพยายามดองเรื่องม็อบสงฆ์ทั่วประเทศจะออกมาแสดงพลังสังฆามติ

สำหรับสงฆ์ทั่วประเทศในปัจจุบันถูกตั้งข้อสังเกตว่าจำนวนไม่น้อยถูกกลืนด้วยลาภ ยศ ผลประโยชน์ภายใต้อิทธิพลของสำนักธรรมกายซึ่งเป็นพันธมิตรกับระบอบทักษิณ ดังนั้น หากมีการก่อม็อบผ้าเหลืองทั่วประเทศเพื่อผลักดันให้เสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นสังฆราชโดยเร็วก็คาดว่า สำนักธรรมกายรวมทั้งกลุ่มเสื้อแดงและเครือข่ายระบอบทักษิณจะเข้าร่วมการเคลื่อนไหวทั้งทางตรงและทางอ้อม ขณะที่พลังพุทธศาสนิกชนและประชาชนที่คัดค้านการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง ก็มีอยู่จำนวนมากเช่นกัน

ล่าสุดการออกมาแสดงพลังของม็อบผ้าเหลืองที่พุทธมณฑลโดยมีสำนักธรรมกายและระบอบทักษิณหนุนหลังเพื่อกดดันอำนาจรัฐให้เสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นสังฆราชองค์ใหม่โดยเร็วที่สุดถือเป็นเพียงสัญญาณเริ่มต้นของการเปิดศึกแตกหัก

ดังนั้นปัญหาการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่อันเป็นเรื่องอ่อนไหวจึงเป็นชนวนระเบิดเวลาลูกใหญ่ที่ต้องจับตาเพราะอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติผ้าเหลือง ขณะเดียวกัน ก็จะเป็นตัวชี้วัดอนาคตความมั่นคงของชาติจากการต่อสู้ระหว่างพลังพุทธศาสนิกชนที่ยึดมั่นในความดีความถูกต้องกับพลังของเหล่าอลัชชีในคราบผ้าเหลือง

อลัชชีครองเมืองฝังรากลึก วิกฤติวงการสงฆ์ที่แท้จริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/203271

วันเสาร์ ที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.

กรณีรถเบนซ์โบราณเถื่อน กรณีองค์กรผ้าเหลืองขัดพระบัญชาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เพื่อปกป้องอลัชชีในคราบผ้าเหลืองพวกเดียวกันเองที่ยักยอกทรัพย์วัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและตั้งลัทธิอุบาทว์นอกรีตขัดพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า ตลอดจนฟอกเงินรับของโจรที่ปล้นมาจากเงินฝากของเหล่าคนชรา รวมทั้งกรณีแก๊งผ้าเหลืองที่ออกมาก่อม็อบถ่อยแสดงพฤติกรรมอันธพาลล็อกคอทหาร สะท้อนให้เห็นถึงขบวนการฝนตกขี้หมูไหลซึ่งไม่มีความชั่วร้ายใดที่ไม่กล้าทำ

นับเป็นสิ่งที่ต้องชื่นชมให้กำลังใจกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ยุคปฏิรูป ที่ลบล้างภาพตกต่ำในอดีตที่ถูกโจมตีว่าเป็นทาสรับใช้ขบวนการเพื่อแม้วได้อย่างหมดจด และแสดงถึงความกล้าหาญในการทำความจริงให้ปรากฏอย่างมืออาชีพ ด้วยการแถลงกรณีรถเบนซ์เถื่อนซึ่งอยู่ในความครอบครองของ สมเด็จช่วง วัดปากน้ำ พระอุปัชฌาย์ของ ธัมมชโยเจ้าสำนักจานบิน โดยพบการทำผิดกฎหมายกว่า 10 ข้อหา

คดีนี้หวังว่าดีเอสไอจะขยายผลเพื่อจัดการกับขบวนการรถเถื่อนซึ่งเป็นขบวนการใหญ่ระดับชาติที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มผู้มีอิทธิพล นักการเมือง ข้าราชการ และพระที่เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด

คดีนี้หากเป็นดีเอสไอยุครัฐบาลขบวนการเพื่อแม้วเชื่อได้เลยว่าจะถูกบิดเบือนจากดำเป็นขาว หรือแช่แข็งกลบเกลื่อนความชั่วร้ายปล่อยคนผิดซึ่งเป็นพวกเดียวกันลอยนวล

สมเด็จช่วง มีมลทินทั้งกรณีปกป้อง ธัมมชโย และกรณีครอบครองรถเบนซ์เถื่อนซึ่งหากขึ้นเป็นสังฆราชก็นับว่าเป็นปัญหาใหญ่อยู่แล้ว แต่ที่น่าวิตกและเป็นปัญหาที่ใหญ่กว่าสำหรับพุทธศาสนาและความมั่นคงของชาติก็คือ อิทธิพลของสองพันธมิตรคือขบวนการเพื่อแม้วและสำนักจานบินที่สมคบกันหวังผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรโดยมีการใช้ประโยชน์ทุกรูปแบบสร้างอิทธิพลเครือข่ายครอบงำทุกองคาพยพของประเทศอย่างฝังรากลึกมานานหลายปี

มหาเถรสมาคม(มส.) สำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) หรือกรมการศาสนา ถูกตั้งข้อสังเกตว่าล้วนอยู่ภายใต้อิทธิพลขบวนการเพื่อแม้วและสำนักจานบินอย่างสิ้นเชิง ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากพฤติการณ์และมติของมส.ในช่วงที่ผ่านมา ซึ่งส่อไปในทางปกป้อง ธัมมชโย มาตลอด

เพราะฉะนั้นแม้ สมเด็จช่วง จะไม่ได้ขึ้นเป็นสังฆราช แต่เชื่อว่ายังมีพระเถระผู้ใหญ่ที่เป็นร่างทรงของขบวนการเพื่อแม้วและสำนักจานบินอยู่เต็มไปหมดในมส.ซึ่งต่อคิวที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นสังฆราชองค์ใหม่

ดังนั้นวงการศาสนาภายใต้อิทธิพลของขบวนการเพื่อแม้วและสำนักจานบินที่ฝังรากลึกหากจะแก้ปัญหาล้างวงการสงฆ์ให้บริสุทธิ์สะอาดอย่างแท้จริง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องผ่าตัดสังคายนาครั้งใหญ่ เพื่อขจัดเหล่าอลัชชีในคราบผ้าเหลืองซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางผ่าตัดวงการสงฆ์ ซึ่งเสนอโดยนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ หรือส.ศิวรักษ์ นักคิดชื่อดังก็คือ ควรยุบมส. รวมทั้ง พศ.และกรมการศาสนาเพราะไม่มีประโยชน์ และที่ผ่านมา พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นเครื่องมือบ่อนทำลายวงการพุทธศาสนา ซึ่งแนวคิดนี้ดูเหมือนจะโดนใจพทุธศาสนิกชนจำนวนไม่น้อยเพราะหากทิ้งปัญหาไว้จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งต่อพุทธศาสตร์และความมั่นคงของชาติ

ทีมข่าวการเมือง

เมื่อสมเด็จช่วงเต็มไปด้วยมลทิน เหมาะหรือไม่ขึ้นเป็นสังฆราช?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/203106

วันศุกร์ ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.

คำแถลงอย่างละเอียดของทีมพนักงานสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอที่นำโดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ ในกรณีรถเบนซ์ผิดกฎหมายที่ครอบครองและใช้ชื่อของสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ประธานมหาเถรสมาคม(มส.)และเป็นผู้ที่ขบวนการสำนักจานบินและระบอบทักษิณพยายามผลักดันให้ขึ้นเป็นสังฆราชองค์ใหม่คงทำให้พุทธศาสนิกชนทั้งประเทศได้หูตาสว่าง และคงเกิดปัญญาที่จะพิเคราะห์ได้ว่า สมเด็จช่วงมีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหนที่จะขึ้นเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่

ทีมพนักงานสอบสวนของดีเอสไอแถลงข้อมูลหลักฐานได้อย่างชัดแจ้งว่ารถเบนซ์โบราณราคาหลายล้านบาทซึ่งเก็บสะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์รถโบราณภายในวัดปากน้ำคันดังกล่าว เป็นรถผิดกฎหมายในหลายข้อหาหลายขั้นตอน อาทิ เลี่ยงภาษี ลักลอบนำชิ้นส่วนอุปกรณ์จากนอกประเทศเข้ามาอย่างผิดกฎหมาย และอำพรางการทำผิดกฎหมายด้วยวิธีการยอกย้อน

แม้คดีนี้ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด และ สมเด็จช่วง อาจแก้ต่างได้ว่าได้รับรถเบนซ์โบราณมาโดยไม่รู้ว่าเป็นรถผิดกฎหมาย ซึ่งความจริงก็คือรถโบราณ
คันดังกล่าวแต่เดิมเสียใช้การไม่ได้ แต่มีการใช้เงินหลายล้านบาทสั่งซื้ออุปกรณ์หายากจากต่างประเทศ รวมทั้งจ้างอู่รถภายในประเทศทำการประกอบเพื่อให้ใช้การได้ คำถามก็คือใครจ่ายเงินหลายล้านบาทเพื่อซ่อมรถโบราณหรูคันนี้ ซึ่งอยู่ในความครอบครองของ สมเด็จช่วง เพราะข้อสงสัยก็คือ เป็นไปได้หรือไม่ที่บรรดาคนใกล้ชิดของ สมเด็จช่วงดำเนินการซ่อมตบแต่งรถเองพลการโดยไม่ได้รับคำสั่งจาก สมเด็จช่วง ซึ่งมีข่าวว่าชอบสะสมรถและของโบราณ

แม้จะยังพิสูจน์ไม่ได้ว่า รู้เห็นกับการซ่อมตบแต่งรถเบนซ์โบราณหรูด้วยวิธีการที่ผิดกฎหมาย แต่ก็เป็นรอยมลทินสำหรับ สมเด็จช่วง ซึ่งได้รับการหนุนหลังจากคนบางกลุ่มให้ขึ้นเป็นพระสังฆราช

อีกรอยมลทินหนึ่งซึ่งมีความสำคัญยิ่งกว่าการครอบครองรถเบนซ์โบราณอย่างผิดกฎหมายของ สมเด็จช่วง ก็คือ การที่ส่อเจตนาปกป้อง ธัมมชโยเจ้าลิทธิจานบิน ซึ่ง สมเด็จช่วง เป็นพระอุปัชฌาย์บวชให้ ทั้งๆ ที่เป็นการขัดต่อพระบัญชาของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่เคยชี้ชัดตั้งแต่เมื่อปี 2542 ว่า ธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระเพราะทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงทั้งยักยอกทรัพย์สินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาทและเผยแพร่ลัทธิอุบาทว์ขัดพระธรรมคำสอนพระพุทธเจ้า รวมทั้งล่าสุดกำลังจะถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงินและรับของโจรคดีที่คนใกล้ชิดโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นแล้วเล่นแร่แปรธาตุโอนเงินสกปรกเบื้องต้นกว่า 2,000 ล้านบาท เข้าบัญชี ธัมมชโย และแก๊งในสำนักจานบิน

ทั้งนี้สงฆ์แท้ต้องละแล้วซึ่งเลสและความอยากทั้งปวง และต้องมีหิริโอตตัปปะละอายต่อบาปยิ่งพระเถระชั้นผู้ใหญ่ที่จะขึ้นเป็นพระสังฆราชยิ่งต้องยึดมั่นในพระธรรมวินัยอย่างเคร่งครัดเหนือสงฆ์ทั่วไป และต้องมีจริยวัตรที่สะอาดงดงามไม่มีมลทินด่างพร้อย แต่สำหรับสมเด็จช่วง นั้นเป็นคำถามที่พุทธศาสนิกชนที่มีจิตใจสะอาดรู้เท่าทันโดยไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลังแอบแฝงคงใช้วิจารณญาณตอบคำถามได้เองว่า สมควรขึ้นเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่หรือไม่

ทีมข่าวการเมือง

จับตาเพื่อแม้ว-ธรรมกายรวมหัว ดับเครื่องชนสู้เลือดเข้าตา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/202935

วันพฤหัสบดี ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นวิบากกรรมที่ใกล้ปิดฉากเข้าไปทุกขณะสำหรับสำนักจานบินกับขบวนการเพื่อแม้วที่กำลังจะจำนนต่อความจริง กฎหมาย และที่สำคัญคือกฎแห่งกรรม ซึ่งอาจด้วยภาวะที่สองพันธมิตรใกล้จนตรอกนี่เองจึงจับมือกันแบบแยกกันเดินแต่ร่วมกันตีเพื่อเปิดศึกดับเครื่องชนแบบไม่มีอะไรจะเสียซึ่งสะท้อนให้เห็นจากม็อบผ้าเหลืองที่ออกมาแสดงพลังเปิดศึกแตกหัก ขณะที่เครือข่ายสาวกเพื่อแม้วดาหน้าถล่มคสช.อย่างเหิมเกริมไม่เกรงกลัวอำนาจคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อีกต่อไป

สำหรับสำนักจานบินนั้นหัวขบวน คือ ธัมมชโย รวมทั้งสมเด็จช่วง แห่งวัดปากน้ำผู้เป็นอาจารย์กำลังเผชิญวิบากกรรมครั้งสำคัญโดยต่างพัวพันคดีอื้อฉาวล่าสุดที่อาจชี้ชะตาจุดจบของสองอาจารย์และศิษย์ โดย ธัมมชโยกำลังจะถูกกรมสอบสวนคดีพิเศษฟ้องดำเนินคดีข้อหาฟอกเงินและรับของโจรจาก นายศุภชัยศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งเป็นคนสนิทของ ธัมมชโย โดยคดีนี้มีการยักยอกเงินฝากคนเฒ่าคนแก่ของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นไปกว่า 16,000 ล้านบาท โดยส่วนหนึ่งมีการเล่นแร่แปรธาตุโอนเข้าบัญชี ธัมมชโย และเครือข่ายในสำนักจานบินเบื้องต้นเท่าที่ตรวจพบเป็นมูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท

ส่วน สมเด็จช่วง ในฐานะประธานมหาเถรสมาคม (มส.) นอกจากมีชนักปักหลังกรณีส่อปกป้องธัมมชโย ไม่ให้ต้องปาราชิกพ้นความเป็นพระอันเป็นการขัดพระบัญชา สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ แล้ว ล่าสุดดีเอสไอยังชี้ว่า สมเด็จช่วง ครอบครองรถเบนซ์โบราณที่สะสมไว้ในพิพิธภัณฑ์รถโบราณภายในวัดปากน้ำอย่างผิดกฎหมาย ซึ่งหากมีความผิดจริงก็ต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายซึ่งนอกจากจะทำให้หนทางสู่เก้าอี้พระสังฆราชดับวูบแล้ว ยังอาจปาราชิกพ้นความเป็นสงฆ์ ด้วยหากไม่สามารถชี้แจงได้อย่างชัดเจนว่าครอบครองรถผิดกฎหมายคันดังกล่าวได้อย่างไร

ไม่เพียงม็อบผ้าเหลืองภายใต้การนำของ พระเมธีธรรมาจารย์ หรือที่มีคนตั้งข้อสงสัยว่าแท้ที่จริงก็คือ นายประสาร หนองพร้าว อดีตแกนนำเสื้อแดงอีสาน ที่ออกมาดับเครื่องชนเพื่อปกป้อง สมเด็จช่วงและ ธัมมชโย อยู่ในที แกนนำขบวนการเพื่อแม้วอย่าง นายจตุพรพรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง และ นายจักรภพ เพ็ญแข หนึ่งในคนใกล้ชิดอดีตนายกฯ นักโทษหนีคุกซึ่งเป็นผู้ต้องหาคดีหมิ่นเบื้องสูงและอีกหลายคดี ก็ออกมาประกาศปกป้องขบวนการสำนักจานบินแบบสุดตัว

ทั้งนี้เพราะสองพันธมิตรขบวนการเพื่อแม้วและสำนักจานบินคงต่างรู้ดีว่าสถานการณ์ของตัวเองขณะนี้คับขันและใกล้เข้าตาจนเข้าไปทุกขณะ ซึ่งทางเดียวที่จะเอาตัวรอดคือจับมือกันระดมสรรพกำลังสู้ขั้นแตกหักแบบไม่มีอะไรจะเสีย

ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์จากนี้ไปจึงต้องจับตาอย่ากะพริบเพราะคนที่ใกล้จนตรอกพร้อมที่จะสู้แบบเลือดเข้าตาและทำสิ่งเลวร้ายโดยไม่คำนึงถึงความหายนะใดๆ ที่จะเกิดกับชาติบ้านเมือง

ทีมข่าวการเมือง

คำถามที่ต้องการคำตอบจากม็อบพระ เพื่อศาสนาหรือเพื่อป้อง‘ช่วง-ธัมมชโย’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/202748

วันพุธ ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การออกมาแสดงพลังของม็อบผ้าเหลืองโดยการนำของพระเมธีธรรมาจารย์ เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย กำลังถูกตั้งคำถามจากสังคมว่ามีความเหมาะสมหรือไม่และซ่อนอะไรอยู่เบื้องหลัง

คำถามแรกก็คือพฤติกรรมของพระคุณเจ้าดูจะไม่เหมาะสมกับความเป็นสมณเพศเพราะทำตัวราวกับนักเลงหัวไม้โดยเฉพาะภาพพระล็อกคอทหาร และแสดงกิริยากราดเกรี้ยวเฮโลยึดรถฮัมวี่ของทหาร ขณะที่ทหารไม่ตอบโต้ เพียงเพราะทหารมารักษาความสงบและตรวจรถทุกคันที่มายังพุทธมณฑล ซึ่งเป็นจุดชุมนุมเพื่อไม่ให้มีคนสวมรอยก่อเหตุร้ายหวังสุมไฟให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลาย

ปกติพระแท้ต้องสำรวมและสันติอหิงสาไม่ใช่ใช้วิธีการแบบอันธพาลเด็ดขาดและเท่าที่สังเกตดูมีชายฉกรรจ์ที่ปะปนอยู่ในม็อบพระกระชากคอเสื้อทหารคนหนึ่งอย่างแรง แต่ทหารก็พยายามอดกลั้น การไม่ยอมให้ทหารตรวจรถ ซึ่งขนพระหรืออะไรก็ตามเข้ามายังจุดชุมนุมอาจถูกมองได้ว่าร้อนตัวไม่อยากให้ทหารตรวจเหมือนกลัวจะถูกจับได้ว่าพระที่ขนมาอาจมี
พระปลอมหรือพระต่างด้าวผสมโรง

คำถามที่สองก็คือ ใช่หรือไม่ที่ พระเมธีธรรมาจารย์ แท้ที่จริงก็คือนายประสาร หนองพร้าว ชาวร้อยเอ็ด อดีตแกนนำเสื้อแดง ที่เคยเคลื่อนไหวอยู่ในภาคอีสาน และมีความใกล้ชิดกับ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก รวมทั้งคุ้นเคยกับเหล่าแกนนำเสื้อแดงเป็นอย่างดีโดยเฉพาะ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง ที่ถึงกับออกมาชมม็อบผ้าเหลืองครั้งนี้ว่าเป็นความกล้าหาญ

คำถามที่สาม ใช่หรือไม่ที่การออกมาเคลื่อนไหวของม็อบผ้าเหลืองครั้งนี้ อ้างพระพุทธศาสนาบังหน้า แต่แท้ที่จริงเพื่อปกป้องช่วยสองอาจารย์ศิษย์คือ สมเด็จช่วงเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ที่ม็อบผ้าเหลืองพยายามดันให้ขึ้นเป็นพระสังฆราช และ ธัมมชโย ผู้เป็นศิษย์ ทั้งๆ ที่อาจารย์และศิษย์คู่นี้พัวพันเรื่องอื้อฉาวโดยเฉพาะธัมมชโย ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมีพระบัญชาให้ปาราชิกพ้นความเป็นพระไปแล้วตั้งแต่ปี 2542 ฐานยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวและละเมิดพระธรรมวินัยร้ายแรงเผยแพร่ลัทธิที่สวนทางกับหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิง และล่าสุดกำลังจะถูกดำเนินคดีฐานฟอกเงินและรับของโจรคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา พระประสาร เคยออกมาเคลื่อนไหวประกาศจุดยืนหนุน สมเด็จช่วง เป็นสังฆราช และป้อง ธัมมชโยชัดเจน

คำถามที่สี่ก็คือ การที่ม็อบผ้าเหลืองยื่นคำขาด 5 ข้ออ้างเป็นสังฆามติสงฆ์ทั่วประเทศประกอบด้วย 1.ห้ามหน่วยงานภาครัฐเข้ามาก้าวก่ายเรื่องของสงฆ์ซึ่งเท่ากับห้ามยุ่งคดีที่เกี่ยวข้องกับ สมเด็จช่วง และ ธัมมชโย ที่กำลังจะเข้าตาจนอยู่ในขณะนี้2.เรื่องอะไรก็แล้วแต่ที่เกี่ยวกับสงฆ์หากรัฐบาลจะดำเนินการใดๆ ต้องหารือและได้รับความเห็นชอบจากมหาเถรสมาคม (มส.) ก่อน หากเป็นอย่างนี้หมายความว่าถ้าสงฆ์ประพฤติชั่วทำผิดกฎหมายรัฐไม่สามารถดำเนินคดีได้ต้องขอความเห็นชอบจากมส.ก่อน ซึ่งนั่นหมายถึงรวมทั้งคดีของ สมเด็จช่วง และ ธัมมชโย 3.ให้รัฐบาลเร่งตั้ง สมเด็จช่วง เป็นสังฆราชโดยเร็ว 4.ให้รัฐบาลสั่งเป็นนโยบายไปยังหน่วยราชการให้ปฏิบัติต่อสงฆ์ด้วยความเคารพเอื้อเฟื้อไม่คุกคามสงฆ์ด้วยกฎหมาย แต่พระล็อกคอทหารไม่เป็นไรใช่หรือไม่5.ให้บรรจุพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไว้ในรัฐธรรมนูญ

นี่แค่ 4 คำถามตัวอย่าง แต่ดูจากข้อเรียกร้องแล้วอย่างนี้ไม่เหิมเกริมโอหังทำตัวเป็นอันธพาลผ้าเหลืองที่อยู่เหนืออำนาจรัฐและอยู่เหนือกฎหมายไปหน่อยหรือ

ทีมข่าวการเมือง

ยาแรงถูกโรคดักคอเพื่อแม้ว สกัดแผนสกปรกล้มรธน.ปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/202550

วันอังคาร ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงจะผ่านการลงประชามติหรือไม่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ หากสะท้อนความต้องการ

ของมหาชนผู้เป็นเสียงสวรรค์ส่วนใหญ่ของประเทศอย่างแท้จริงและโปร่งใสซึ่งถือเป็นการวัดผลอย่างยุติธรรมว่า ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่หรืออยากให้บ้านเมืองกลับไปสู่วังวนแห่งวงจรอุบาทว์ จนทำให้ประเทศวิบัติบอบช้ำซ้ำซากเหมือนที่ผ่านมา

แต่ปัญหาที่น่าวิตกก็คือเหล่านักลากตั้งโดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วไม่มีทางที่จะทิ้งธาตุแท้สันดานเดิมๆ นั่นอาศัยกลโกงแบบศรีธนญชัยทุกรูปแบบเพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญฉบับเอาจริงปราบโกงเพื่อการปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์เสียที

ดังนั้นที่มีข่าวว่าคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เตรียมที่จะเสนอไปยังรัฐบาลเพื่อออกพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หรือพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) เพื่อใช้ยาแรงคาดโทษเจ้าหน้าที่รัฐ หรือนักลากตั้งที่มีพฤติการณ์โกงเลือกตั้งไม่ว่าด้วยวิธีการใดถึงขั้นเข้าคุกและต้องชดใช้ค่าใช้จ่ายในการทำประชามติ ขณะที่นักลากตั้งมีสิทธิถูกห้ามเล่นการเมืองตลอดชีวิต จึงถือเป็นการใช้ยาแรงที่ถูกโรคและทันเกมและเชื่อว่าน่าจะทำให้การลงประชามติที่จะมีขึ้นในวันที่ 31 ก.ค.นี้ เป็นไปด้วยความยุติธรรมโปร่งใส

ตัวอย่างยาแรงคาดโทษการโกงลงประชามติ อาทิ เจ้าหน้าที่รัฐหากร่วมโกงติดคุก 1-10 ปี ใครก่อความวุ่นวายขัดขวางการลงประชามติมีโทษสูงสุด 10 ปี ใครว่าจ้างข่มขู่ให้ประชาชนไปลงประชามติโทษสูงสุด 10 ปี และต้องชดใช้ค่าใช่จ่ายการทำประชามติด้วย ส่วนนักการเมืองนอกจากเจอโทษทางอาญาแล้วยังอาจถูกตัดสิทธิ์เลือกตั้งตลอดชีวิตหากร่างรัฐรรมนูญผ่านมีผลบังคังใช้ ใครเล่นพนันขันต่อผลประชามติมีโทษสูงสุด 5 ปี และอาจถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี ใครจัดเลี้ยงหรือขนคนไปลงประชามติโทษสูงสุด 5 ปี และอาจถูกเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง 5 ปี นี่แค่หนังตัวอย่าง

กลโกงเลือกตั้งนั้นมีวิธีการมากมายซึ่งเหล่านักลากตั้งช่ำชองเป็นอย่างดี ทั้งการโกงผ่านเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่ซึ่งเป็นพวกเดียวกัน ผ่านระบบหัวคะแนนด้วยการซื้อเสียงแล้วเกณฑ์ชาวบ้านไปลงคะแนนเป็นกลุ่มเป็นก้อนหรือแม้แต่การซื้อเจ้าหน้าที่ประจำหน่วยเลือกตั้ง และอีกมากมาย

วิธีสกปรกโกงการเลือกตั้งคือหนึ่งในสาเหตุสำคัญที่ทำให้ประชาธิปไตยแบบไทยๆ บิดเบี้ยวกลายเป็นธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตย และเป็นต้นเหตุของวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายทั้งปวงและเป็นสาเหตุที่สร้างความแตกแยกในชาติอย่างลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนในช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา จากการที่มวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังขับไล่รัฐบาลพรรคธุรกิจการเมือง

เพราะฉะนั้นประเทศเสียเวลามามากแล้วซึ่งในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านเพื่อปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์อันชั่วร้าย การลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงที่จะมีขึ้นครั้งนี้ควรเป็นไปด้วยความโปร่งใสชอบธรรมเพื่อสะท้อนความต้องการอันแท้จริงของเสียงสวรรค์ส่วนใหญ่ที่จะกำหนดอนาคตของชาติบ้านเมืองว่าจะเดินไปข้างหน้าไปสู่สิ่งที่ดีกว่าหรืออยกกลับไปสู่วังวนวงจรอุบาทว์แบบเดิมๆ

ทีมข่าวการเมือง

ปู-สาวกแม้วตะแบงสีข้างถลอก โกงจำนำข้าวทำชาติล่มจมไม่ผิด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/202331

วันจันทร์ ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด จำเลยคดีมหกรรมโคตรโกงโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์มูลค่าหลายแสนล้านบาทตลอดจนเหล่าสาวกพรรคเพื่อแม้ว อาทิ นายวัฒนา เมืองสุข, นายชูศักดิ์ ศิรินิล, นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด ต่างดาหน้าออกมาส่อพฤติการณ์เล่นลิ้นตะแบงป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยการจับผิดอ้างคำพูดของนายจิรชัย มูลทองโร่ย รองปลัดสำนักนายกฯในฐานะประธานคณะกรรมการว่าด้วยการรับผิดชอบทางแพ่งคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ชี้แจงก่อนหน้านี้ว่า นโยบายจำนำข้าวไม่ผิด โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกตะแบงว่า เมื่อนโยบายรับจำนำข้าวไม่ผิดแล้ว น.ส.ยิ่งลักษณ์จะมีความผิดได้อย่างไร

การยิ่งดิ้นตะแบงอ้างแบบเอาสีข้างเข้าถูของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และเหล่าสาวกพรรคเพื่อแม้วก็ยิ่งประจานมัดตัวเองเพราะทำให้ นายจิรชัย ออกมาชี้แจงย้ำตอกฝาโลงน.ส.ยิ่งลักษณ์ โดยชี้ให้เห็นว่า แม้นโยบายรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ไม่ผิด แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผิดใน 3 กระทงคือ 1.รับจำนำข้าวทุกเมล็ดในราคาสูงเกินจริงมากอันเป็นการบิดเบือนกลไกตลาดเปิดช่องให้มีการทุจริตและสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรง 2.โครงการรับจำนำข้าวมีการทุจริตซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเก๊ทำให้รัฐเสียหายเป็นมูลค่ามหาศาล และ 3.คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และหลายหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนเคยทักท้วงให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทบทวนโครงการรับจำนำข้าวก่อนชาติวิบัติ แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่สนใจดึงดันเดินหน้าโครงการต่อไปท่ามกลางข่าวทุจริต ขณะที่รัฐบาลถังแตกจนค้างจ่ายเงินค่าจำนำข้าวแก่ชาวนานานข้ามปีจนชาวนาเครียดฆ่าตัวตายไปเกือบ 20 ราย

ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่าหากคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ไม่เข้ายึดอำนาจแล้วปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวต่อไปแน่นอนว่า ในที่สุดชาติจะล้มละลายขณะที่วงจรข้าวของประเทศจะพังทั้งระบบ

ที่ผ่านมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังพยายามอ้างว่า โครงการรับจำนำข้าวเป็นโครงการที่ดีทำให้ชาวนาทั่วประเทศได้ประโยชน์ แต่ในความเป็นจริงเป็นโครงการที่ออกแบบปูทางเพื่อทุจริตมโหฬารจากส่วนต่างราคารับจำนำที่สูงกว่าราคาตลาดถึงเท่าตัวซึ่งผิดหลักการรับจำนำสิ้นเชิง อาทิ การนำข้าวราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านตันละ 5,000-6,000 บาทมาสวมสิทธิ์เข้าโครงการรับจำนำขายข้าวให้รัฐในราคาตันละ 15,000 บาท กินส่วนต่างกำไรมหาศาล หรือการแอบนำข้าวที่เก็บไว้ในโกดังของรัฐเวียนเทียนมาขายให้รัฐหรือจัดฉากขายข้าวแบบจีทูจีเก๊ ทั้งๆ ที่ไม่มีการขายจริงโดยมีการแอบขายข้าวให้พ่อค้าซึ่งล้วนเป็นพวกเดียวกับนักการเมืองในราคาถูก จากนั้นนำข้าวราคาถูกหมุนเวียนกลับมาขายให้รัฐตามโครงการรับจำนำซึ่งราคาสูงกว่าเท่าตัว

นอกจากนี้ผลการวิจัยของสถาบันเพื่อการพัฒนาประเทศไทยหรือทีดีอาร์ไอชี้ชัดว่า ชาวนาส่วนใหญ่ทั่วประเทศซึ่งเป็นชาวนารายย่อยที่ยากจนอย่างแท้จริงไม่ได้รับประโยชน์จากโครงการรับจำนำข้าวเพราะปลูกข้าวเพียงพอกินเท่านั้นไม่มีเหลือขาย ขณะที่ผู้ได้ประโยชน์อย่างแท้จริงคือนักการเมืองพ่อค้า และนายทุนหรือชาวนาที่ร่ำรวย

เพราะฉะนั้นพฤติการณ์ของน.ส.ยิ่งลักษณ์และเหล่าสาวกเพื่อแม้วจึงสะท้อนอาการจนแต้มจนต้องตะแบงอ้างแบบเอาสีข้างเข้าถูหวังพ้นผิดลอยนวลไม่ต้องชดใช้กรรมที่ก่อไว้กับชาติบ้านเมือง

ทีมข่าวการเมือง

กรธ.ควรแก้จุดอ่อนบางส่วน เพื่อรักษารธน.ปราบโกงไม่ให้เสียของ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/202192

วันอาทิตย์ ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปประเทศฉบับปราบโกงที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เป็นผู้ตั้งฉายาแม้จะได้รับการยอมรับจากหลายฝ่ายยกเว้นพรรคระบอบทักษิณที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งแต่จะสร้างความปั่นป่วนเพื่อคว่ำรัฐธรรมนูญและล้มการปฏิรูปประเทศท่าเดียว แต่ร่างรัฐธรรมนูญก็ถูกคัดค้านในหลายประเด็นซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่กรธ.จะต้องรับฟังและแก้ไขหากเป็นข้อเสนอเชิงสร้างสรรค์และมีเหตุผลที่ดีกว่าเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญมีข้อบกพร่องและถูกต่อต้านน้อยที่สุดอันจะทำให้ร่างรัฐธรรมนูญเพื่อการปฏิรูปผ่านการลงประชามติ

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่าจุดแข็งของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปมีอยู่หลายประเด็น ซึ่งที่สำคัญคือมุ่งขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง แต่ขณะเดียวกันก็อยากเห็นประชาชนมีหลักประกันในสิทธิเสรีภาพและการมีส่วนร่วมไม่น้อยไปกว่าร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 และอยากเห็นระบบการตรวจสอบถ่วงดุลซึ่งกันและกันระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ ตลอดจนองค์กรอิสระมีดุลยภาพและมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตามหาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) อยากให้ทุกอย่างเดินหน้าไปตามโรดแมปที่กำหนดไว้ คสช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำอย่างน้อย 3 เรื่องคือ 1.กรธ.ต้องแก้ไขเนื้อหาร่างรัฐธรรมนูญในบางประเด็นให้มีความสมบูรณ์ขึ้น มีข้อขัดแย้งน้อยลงและเป็นที่ยอมรับมากขึ้นเพื่อให้สามารถผ่านประชามติได้ เพราะหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการลงประชามติจะมีผลกระทบต่อโรดแมปและคสช.อย่างแน่นอน 2.ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อให้เกิดความชัดเจนทั้งเกณฑ์ตัดสินการออกเสียงประชามติว่าจะใช้เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิ์ลงประชามติหรือผู้มาใช้สิทธิ์ลงประชามติ 3.หากรัฐธรรมนูญผ่านประชามติ กรธ.ต้องเร่งทำกฎหมายลูกให้แล้วเสร็จโดยเร็วเพื่อให้เป็นไปตามโรดแมป

แม้แต่บรรดาสมาชิกสภาขับเคลื่อนเพื่อการปฏิรูปประเทศ(สปท.) และสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ซึ่งเป็นองค์กรในแม่น้ำ 5 สาย ของคสช.ก็ยังเสนอให้มีการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญในบางประเด็นโดย นพ.เจตน์ ศิรธรานนท์ สมาชิกสนช. ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาศึกษาเสนอแนะและรวบรวมความเห็นเพื่อการจัดทำร่างรัฐธรรมนูญของสนช.กล่าวภายหลังการระดมความเห็นของสนช.ว่า ที่ประชุมเห็นควรเสนอให้ กรธ.แก้ไขต้นแบบของร่างรัฐธรรมนูญใน 5 ประเด็นคือ 1.ไม่เห็นด้วยกับการเลือกตั้งแบบใช้บัตรลงคะแนนใบเดียวหรือระบบจัดสรรปันส่วนผสมเนื่องจากเห็นว่าซับซ้อนเข้าใจยาก ควรใช้ระบบบัตรเลือกตั้ง 2 ใบเหมือนเดิม 2.ไม่เห็นด้วยกับการให้พรรคการเมืองต้องเสนอชื่อผู้ที่จะเป็นนายกฯล่วงหน้า 3 คน 3.การเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ทางอ้อมจาก 20 กลุ่มอาชีพไม่เห็นด้วยเพราะไม่สามารถป้องกันการบล็อกโหวตได้และอาจเกิดการทุ่มเงินซื้อเสียงเพื่อให้ได้เป็นสว. ซึ่งควรใช้สว.จากการสรรหาทั้งหมดจะเหมาะสมกว่าโดยปรับแก้ที่มาของคณะกรรมการสรรหาให้เปิดกว้างมากขึ้น 4.หมวดการปฏิรูปซึ่งในร่างรัฐธรรมนูญกำหนดไว้เฉพาะเรื่องการปฏิรูปอัยการ การศึกษา และตำรวจควรเพิ่มเติมให้ปฏิรูปมีความหลากหลายมากขึ้น 5.ประเด็นสิทธิเสรีภาพของประชาชนที่ยังเขียนไม่ชัดเจน

นักวิเคราะห์ประเมินว่า จากกระแสคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญในหลายประเด็นจากหลายกลุ่มแม้แต่กลุ่มที่เป็นแนวร่วมของคสช.จึงน่าที่ กรธ.จะยอมทบทวนแก้ไขประเด็นในร่างรัฐธรรมนูญบางส่วนซึ่งเป็นประเด็นร่วมที่ถูกกระแสต่อต้านจากหลายฝ่าย และหากมีการแก้ไขแล้วจะไม่ส่งผลกระทบทำลายเป้าหมายใหญ่เพื่อการปฏิรูปประเทศมุ่งขจัดธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยอันชั่วร้ายเพื่อให้ร่างรัฐธรรมนูญเป็นที่ยอมรับและถูกต่อต้านน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

เพราะหากกรธ.ยังขืนดันทุรังไม่ยอมเสียบางส่วนก็อาจทำให้งานใหญ่เพื่อการปฏิรูปประเทศปราบโกงต้องล้มครืนเสียของ

ทีมข่าวการเมือง

ถึงเวลาสังคายนาวงการสงฆ์ ขจัดอลัชชีในคราบผ้าเหลือง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/202104

วันเสาร์ ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 06.00 น.
ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันเกิดอลัชชีในคราบผ้าเหลืองเข้ามาอาศัยวงการพุทธศาสนาแสวงหาอำนาจผลประโยชน์มาแล้วมากมาย ซึ่งอลัชชีในคราบผ้าเหลืองหลายคนทำตัวเป็น 18 มงกุฎหลอกลวงคนทั้งประเทศให้งมงายจนโด่งดังอำพรางความชั่วร้ายของตัวเอง ซึ่งจากกรณีล่าสุดก็คือการที่มหาเถรสมาคม(มส.) ถูกตั้งคำถามจากพุทธศาสนิกชนจำนวนมากว่าปกป้องธัมมชโย เจ้าสำนักธรรมกายทั้งๆ ที่สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯมีบัญชาให้ธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระตั้งแต่เมื่อปี 2542 ฐานยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท และเผยแพร่ลัทธิที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า

เบื้องหลังการปกป้องเจ้าสำนักธรรมกายของมหาเถรสมาคมถูกตั้งข้อสังเกตว่าซ่อนไว้ด้วยเบื้องหลังทั้งทางการเมืองและผลประโยชน์ภายใต้อิทธิพลของสำนักธรรมกายที่ส่อพฤติการณ์ต้องการยึดครองศาสนจักรและประเทศไว้ในมือ

วงการสงฆ์ช่วงหลายปีที่ผ่านมาถูกตั้งข้อสังเกตว่าตกอยู่ภายใต้ผลประโยชน์และการครอบงำของสำนักธรรมกายที่พยายามเผยแพร่ลัทธิอันเลวร้ายซึ่งตรงกันข้ามกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยมุ่งแสวงหาอำนาจผลประโยชน์ในคราบผ้าเหลืองซึ่งถือเป็นเรื่องอันตรายอย่างยิ่งทั้งต่อพระพุทธศาสนา และความมั่นคงของชาติ

ด้วยเหตุนี้พุทธศาสนิกชนหลายฝ่ายเรียกร้องให้มีการสังคายนาและปฏิรูปวงการสงฆ์ครั้งใหญ่เพื่อขจัดเหล่าอลัชชีที่เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์อำนาจโดยอาศัยคราบผ้าเหลืองบังหน้า ทั้งนี้ควรจะมีการแก้ไข พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับปัจจุบันซึ่งมีการแก้ไขในยุครัฐบาลระบอบทักษิณเรืองอำนาจซึ่งมีการลิดรอนพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์และราชประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่โบราณกาลจากที่ พ.ร.บ.สงฆ์ฉบับเดิมกำหนดให้พระมหากษัตริย์ทรงเป็นผู้สถาปนาสมเด็จพระสังฆราช แต่กลับแก้ไขถ่ายโอนพระราชอำนาจโดยกำหนดให้ มส.เป็นผู้เสนอชื่อพระเถระผู้ใหญ่ที่มีสมณศักดิ์สูงสุดขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราช

นอกจากนี้ที่ผ่านมาจวบจนปัจจุบันพบว่าพระเถระชั้นผู้ใหญ่หลายต่อหลายรูปประพฤติตนไม่อยู่ในพระธรรมวินัยมีการมัวเมาสั่งสมกิเลสแทนที่จะยึดพระธรรมวินัย อาทิ ลุ่มหลงในการแสวงหาอำนาจสมณศักดิ์และสะสมทรัพย์สินจำนวนมากและใช้ทรัพย์สินเพื่อปรนเปรอความสุขส่วนตัวโดยไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อวงการพุทธศาสนาหรือสังคมแม้แต่น้อย และที่เลวร้ายก็คือเสียงวิพากษ์วิจารณ์ร่ำลือในเรื่องการวิ่งเต้นซื้อขายหรือใช้ผลประโยชน์ต่างตอบแทนในการเลื่อนสมณศักดิ์ในหมู่พระเถระผู้ใหญ่

จากปรากฏการณ์การแสวงหาอำนาจผลประโยชน์ในวงการสงฆ์ทำให้มีข้อเรียกร้องว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่น่าจะมีระบบตรวจสอบวงการสงฆ์ให้ใสสะอาดบริสุทธิ์ โปร่งใส ป้องกันไม่ให้อลัชชีในคราบผ้าเหลืองเข้ามาอาศัยวงการพุทธศาสนาแสวงหาอำนาจผลประโยชน์

ทั้งนี้ควรมีการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อพิสูจน์ความโปร่งใสเริ่มจากพระเถระผู้ใหญ่ในมส.อันเป็นองค์กรสูงสุดของสงฆ์และวัดทั่วประเทศ ทั้งนี้ที่มาผลประโยชน์ที่แฝงอยู่ในวงการสงฆ์นั้นมีมูลค่ามหาศาล ดังนั้นพระเถระผู้ใหญ่ซึ่งสมควรบริสุทธิ์โปร่งใสและละแล้วซึ่งกิเลสไม่มีเบื้องหน้า เบื้องหลังแอบแฝงก็ต้องพร้อมที่จะถูกตรวจสอบ เว้นแต่อลัชชีในคราบผ้าเหลืองเท่านั้นที่จะโวยวายไม่ยอมถูกตรวจสอบ

ทีมข่าวการเมือง