รธน.ใหม่สำคัญที่สาระภาพรวม ต้องขจัดธุรกิจการเมืองต้นเหตุวิกฤติชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/200163

วันจันทร์ ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้วเกือบ 20 ฉบับ ตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อ 84 ปีที่แล้ว แต่จนบัดนี้ประเทศก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่ไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์หรือสมบูรณ์แบบ แม้แต่ประเทศซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบและมีรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยจ๋าแต่กลับพบว่าสภาพความเป็นจริงประเทศต้นแบบเหล่านั้นก็ใช่จะเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงไม่

การที่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กันเซ็งแซ่ทั้งจากเหล่านักลากตั้งและนักวิชาการหลังคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ซึ่งมี นายมีชัยฤชุพันธุ์ เป็นประธาน เผยโฉมร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่เพิ่งพิจารณาเสร็จสดๆ ร้อนๆ ถือเป็นเรื่องปกติ ทั้งนี้ต้องเข้าใจว่าร่างรัฐธรรมนูญที่เผยโฉมออกมาเป็นเพียงต้นแบบซึ่งยังจะต้องผ่านการแก้ไขปรับปรุงหลังจากที่รับฟังความเห็นจากประชาชนทุกกลุ่มอาชีพอีกนาน 2 เดือน จากนี้ไปซึ่งนายมีชัย ก็แถลงชัดเจนว่ากรธ.พร้อมจะรับฟังจากทุกความเห็นและแก้ไขหากเห็นว่าเป็นประโยชน์ แต่ต้องเป็นความเห็นที่เป็นเหตุเป็นผล

หากมองกลุ่มที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญใหม่จะพบว่ามีหลายกลุ่มทั้งกลุ่มที่วิพากษ์วิจารณ์แบบติ เพื่อก่อเชิงสร้างสรรค์และบริสุทธิ์ใจ ซึ่งกลุ่มนี้เป็นประโยชน์ต่อการทำให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีความสมบูรณ์มากที่สุด

แต่ที่ชั่วร้ายก็คือนักลากตั้งบางพรรคบางกลุ่มที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งคำนึงถึงอำนาจประโยชน์ของตัวเองโดยอ้างประชาธิปไตยจอมปลอมบังหน้า โดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วที่ตั้งธงจ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญมาตั้งแต่ยังไม่ทันยกร่างด้วยซ้ำ เพราะมีวาระซ่อนเร้นคือมุ่งล้มรัฐธรรมนูญฉบับนี้ซึ่งมีสาระสำคัญใช้ยาแรงในการปฏิรูปประเทศเพื่อขจัดธุรกิจการเมืองโกงชาติปล้นแผ่นดินที่เป็นเชื้อร้ายและเป็นต้นเหตุวิกฤติบ่อนทำลายชาติตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

นักวิชาการบางคนวิพากษ์วิจารณ์อย่างสร้างสรรค์และไม่มีเบื้องหลังแอบแฝง แต่นักวิชาเกินบางคนที่ไปร่ำเรียนถึงเมืองนอกเมืองนาแต่กลับสักแต่ค้านหรือประเภทลัทธิคัมภีร์ที่ลอกประชาธิปไตยจ๋าของตะวันตกมาทั้งดุ้น ทั้งๆ ที่สถานการณ์บ้านเมืองเราขณะนี้เป็นสถานการณ์ที่ไม่ปกติอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่จะต้องมีการสังคายนาการเมืองน้ำเน่าปฏิรูปประเทศกันขนานใหญ่เพื่อให้พ้นวังวนของวงจรอุบาทว์ด้วยการขจัดธุรกิจโกงบ้านกินเมืองประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นเหตุของวิกฤติให้หมดสิ้นไป

เพราะฉะนั้นจากนี้ไปเป็นห้วงเวลาที่กรธ.จะต้องเผยแพร่สื่อสารให้ประชาชนมีส่วนร่วมในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และรับฟังความเห็นของประชาชนทุกหมู่เหล่าให้มากที่สุดเพื่อปรับปรุงร่างรัฐธรรมนูญให้เป็นที่ยอมรับและมีข้อบกพร่องน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ทั้งนี้ทุกฝ่ายควรยึดเป้าหมายของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งโดยดูสาระสำคัญในภาพรวมของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใช้ยาแรงปราบโกงเพื่อไม่ให้การปฏิรูปประเทศต้องเสียของ ส่วนพวกขวางโลกจ้องแต่จะป่วนเมืองฉุดรั้งการเดินหน้าปฏิรูปประเทศปล่อยให้เป็นไปตามกรรม

ทีมข่าวการเมือง

มาตรา44ไม้ตายคสช. คุมเกมปฏิรูปประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/200010

วันอาทิตย์ ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
หลังจากที่บรรดานักเลือกตั้งโดยเฉพาะเหล่าสาวกขบวนการระบอบทักษิณดาหน้าออกมาข่มขู่โจมตีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แบบรายวันพร้อมทั้งประกาศรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) เพื่อจุดกระแสให้เกิดความปั่นป่วนโดยไม่สนใจว่าจะมีการเลือกตั้งตามโรดแมปในกลางปีหน้าหรือไม่ แต่ก็ถูกสวนกลับจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ว่าต้องมีการเลือกตั้งในปีหน้าอย่างแน่นอน ซึ่งท่าทีของ พล.อ.ประยุทธ์ด้านหนึ่งเป็นการส่งสัญญาณชัดเจนต่อชาวโลกเพื่อลดแรงเสียดทานและสร้างความเชื่อมั่นว่าไทยกำลังกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย ขณะที่อีกด้านหนึ่งคำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ว่ามีแผนสำรองไว้แล้วหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติได้สร้างความสั่นสะท้านแก่เหล่านักเลือกตั้งโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยจนต้องออกมาตีโพยตีพายเพราะแผนสำรองที่ว่าอาจจะมีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับพิเศษของคสช.ซึ่งเป็นยาแรงยิ่งกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัยเสียอีก

ความหวั่นเกรงในอาวุธลับอันเป็นไม้ตายยาแรงของ คสช.ที่ซ่อนอยู่ทำให้บรรดาแกนนำระบอบทักษิณ อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ออกมาดับเครื่องชนคสช. และส่งสัญญาณพร้อมที่จุดชนวนสุมไฟป่วนเมือง

นายคำนูณ สิทธิสมาน สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ให้ความเห็นว่า การที่คสช.อุบไต๋ไม่ยอมเผยว่าจะใช้แผนอะไรหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านโดยให้ไปวัดดวงในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2560 ถือเป็นไม้เด็ดวัดใจฝ่ายที่จ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญและประชาชนที่มีสิทธิออกเสียงประชามติ เพราะไม่รู้เลยว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวที่จะงัดออกมาใช้ก่อนการเลือกตั้งจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรและจะนำไปสู่อะไรซึ่งภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ทำให้ทุกอย่างอยู่ภายใต้เกมของคสช.

ทั้งนี้มีข่าวว่าแผนรองรับหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติถูกคสช.กำหนดไว้ล่วงหน้าตั้งแต่ยึดอำนาจเมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยมีแผนรองรับไว้หลายแผน แต่ที่เป็นไม้ตายสำคัญที่สุดของคสช.ก็คือ มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ให้อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้กุมอำนาจรัฏฐาธิปัตย์สามารถใช้อำนาจสิทธิ์ขาดอะไรก็ได้เพื่อความมั่นคงของชาติและเพื่อให้บ้านเมืองเดินไปข้างหน้าได้อย่างราบรื่น

พล.อ.ประยุทธ์ อาจใช้อำนาจตามมาตรา 44 นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับคสช.ซึ่งเตรียมไว้ล่วงหน้าตั้งแต่แรกออกมาประกาศใช้ หรืออาจนำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งในอดีตมาปรับแต่งแก้ไขเพิ่มเติม โดยสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญจะต้องเป็นไปตามเป้าหมายของคสช.คือต้องวางรากฐานการปฏิรูปประเทศครั้งสำคัญให้สำเร็จเพื่อไม่ให้การยึดอำนาจของคสช.ต้องเสียของ

แต่ที่บรรดานักการเมืองโดยเฉพาะระบอบทักษิณหวั่นเกรงมากก็คือ อาจมีการยืดอำนาจของคสช.และรัฐบาลออกไปไม่ว่าด้วยทางตรงหรือทางอ้อม ขณะเดียวกันก็อาจใช้ยาแรงคุมกำเนิดพรรคการเมืองโดยกำหนดให้พรรคการเมืองทุกพรรคสิ้นสภาพชั่วคราวเพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบเรียบร้อยและเดินหน้าบริหารประเทศเป็นไปด้วยความราบรื่น โดยมีข่าวบางกระแสระบุว่าอาจถึงขั้นมีการกำหนดให้ผู้สมัคร สส.ต้องสมัครในนามอิสระโดยไม่สังกัดพรรคการเมือง

เพราะฉะนั้นไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะผ่านประชามติหรือไม่ก็ตาม ฝ่ายที่เดือดร้อนดิ้นรนอย่างหนักเพื่อเอาตัวรอดก็คือบรรดานักเลือกตั้งโดยเฉพาะพรรคธุรกิจการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทยซึ่งกลัวการปฏิรูปประเทศและการใช้ยาแรงของคสช. และไม่ว่าผลการทำประชามติจะออกมาอย่างไรล้วนอยู่ภายใต้เกมของคสช.โดยภารกิจสำคัญก็คือต้องวางรากฐานปฏิรูปประเทศให้สำเร็จด้วยการขจัดธุรกิจการเมืองและเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นตอของวิกฤติชาติตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา เพื่อไม่ให้ชาติบ้านเมืองกลับไปสู่วังวนแห่งวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายโดยเหล่านักธุรกิจการเมืองอีก

ทีมข่าวการเมือง

เทียบชูวิทย์ยอมรับคำตัดสินศาล ยังดีกว่านักโทษหนีคุกทักษิณ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/199919

วันเสาร์ ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
แล้วอดีตเจ้าพ่อน้ำกามจนกลายเป็นนักการเมืองที่สร้างสีสันอย่างนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทยก็ถึงเวลาชดใช้กรรมเดินเข้าซังเตเมื่อศาลมีคำพิพากษาให้จำคุก 2 ปี ในคดีบงการแก๊งคนมีสีรื้อบาร์เบียร์ย่านถนนสุขุมวิทเมื่อ 13 ปีที่แล้ว

ละครแห่งชีวิตของ นายชูวิทย์ ตลอดช่วงที่ผ่านมานั้นมีทั้งภาพลักษณ์ด้านลบและด้านที่เป็นสีสัน แต่ไม่ว่าเขาจะดีจะชั่วอย่างไรสิ่งหนึ่งที่สะท้อนให้เห็นในนาทีสุดท้ายก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษาโดยที่เจ้าตัวดูเหมือนจะรู้ชะตากรรมของตัวเองดีก็คือ การไม่คิดหลบหนีและประกาศยืดอกอย่างสง่าผ่าเผยว่าพร้อมจะยอมรับคำพิพากษาของศาลโดยดุษณีเพื่อชดใช้กรรมที่ก่อไว้

ก่อนหน้านี้ นายชูวิทย์ บินไปใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาช่วงหนึ่งจนเกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า เขาคงหนีคดีแล้วปักหลักอยู่ในอเมริกาเหมือนที่บรรดานักโทษหนีคุกมักจะกระทำกัน แต่แล้วเขาก็กลับมาเพื่อพิสูจน์สัจจะที่ว่าไม่เคยคิดหลบหนีความผิด

นายชูวิทย์ ประกาศต่อหน้าผู้สื่อข่าวจำนวนมากก่อนที่ศาลจะอ่านคำพิพากษาว่า “วันนี้ผมพร้อมเป็นตัวอย่างให้นักการเมืองและประชาชนทั่วไปเห็นว่า ผมไม่หนีไปไหน จะอยู่ตรงนี้และยอมรับคำพิพากษาอย่างแท้จริง หากศาลพิพากษาให้จำคุกผมก็ไปใช้ชีวิตในเรือนจำ”

คำประกาศที่ว่าขอ “เป็นแบบอย่างให้นักการเมือง” ของนายชูวิทย์ ทำให้เกิดข้อเปรียบกับนักการเมืองบางคนโดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกฯนักโทษหนีโทษจำคุก 2 ปีคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกมูลค่าเกือบ 1,000 ล้านบาท ตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อหลายปีที่แล้ว ซึ่งก่อนหน้าที่ศาลจะมีคำพิพากษา ทักษิณ บินกลับไทยในยุครัฐบาลหุ่นเชิดระบอบทักษิณโดยสร้างภาพก้มกราบแผ่นดินทันทีเมื่อถึงสนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นเปิดแถลงข่าวใหญ่โตพร้อมสมาชิกในครอบครัวว่าจะยุติบทบาททางการเมืองและพร้อมยอมรับคำพิพากษาของศาลโดยดุษณี

แต่พอใกล้เวลาที่ศาลจะตัดสิน ทักษิณ ส่งทีมทนายถือถุงขนมซึ่งภายในบรรจุเงิน 2 ล้านบาท ไปศาลหวังจะชิมลางติดสินบนเจ้าหน้าที่ศาลและผู้พิพากษา แต่โชคดีที่ผู้พิพากษาตงฉินจึงดำเนินคดีซ้ำฐานพยายามติดสินบน ทำให้ ทักษิณ เห็นท่าไม่ดีมีหวังติดคุกแน่จึงกลืนน้ำลายตัวเองบินหนีออกนอกประเทศ และระหว่างที่อยู่ต่างแดนยังเคลื่อนไหวบงการเครือข่ายระบอบทักษิณมาจนทุกวันนี้

นี่คือความแตกต่างระหว่างชูวิทย์ที่จะดีจะชั่วก็ยังกล้าสู่ความจริงและยอมรับคำพิพากษาตรงกันข้ามกับทักษิณและคนในระบอบทักษิณอีกหลายคนที่นอกจากหนีโทษความผิดไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยังพยายามโจมตีบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลและองค์กรอิสระต่างๆ ด้วยข้ออ้างที่ว่าสองมาตรฐานทั้งๆ ที่ผลการตัดสินของศาลจำนวนมากที่เป็นคุณกับฝ่ายตัวเอง

ทีมข่าวการเมือง

รัฐบาลคสช.ต้องเอาจริงปราบโกง เชือดคนใกล้ตัวเป็นคดีตัวอย่าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/199769

วันศุกร์ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
มูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติแถลงผลการจัดอันดับภาพลักษณ์การคอร์รัปชั่นของประเทศทั่วโลก ล่าสุดปรากฏว่าไทยเลื่อนอันดับดีขึ้นจากอันดับ 85 ปีที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 76 จาก 175 ประเทศทั่วโลก แต่ที่น่าสนใจคือไทยได้คะแนนความโปร่งใสเท่าเดิมคือ 38 จากคะแนนเต็ม 100 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นยังแฝงตัวอยู่แม้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะมีนโยบายขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจังโดยถือเป็นวาระแห่งชาติ

ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะการทุจริตคอร์รัปชั่นฝังรากลึกในสังคมไทยมาช้านานและมีอยู่ในทุกวงการซึ่งยากที่จะขจัดให้หมดสิ้นไปในเวลาเพียงปีสองปี ซึ่งนอกจากภาครัฐต้องออกกฎหมายที่เป็นยาแรงเพื่อลงโทษคนทุจริตทั้งข้าราชการและนักธุรกิจภาคเอกชนแล้ว ที่สำคัญต้องรณรงค์สร้างค่านิยมให้คนไทยรังเกียจชิงชังคนที่ทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างต่อเนื่องและจริงจังโดยดำเนินการลงโทษบุคคลสำคัญโดยเฉพาะนักการเมืองที่โกงชาติปล้นแผ่นดินให้เห็นเป็นตัวอย่าง เชื่อว่าจะทำให้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นค่อยๆ หมดไป

แนวทางหนึ่งที่น่าสนใจที่จะขจัดพวกคนโกงก็คือความเห็นของ น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอดีตข้าราชการจอมตงฉินตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นรองปลัดกระทรวงการคลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวจนถูกรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และจำเลยคนสำคัญคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ มูลค่ากว่า 5 แสนล้านบาท ซึ่งจากการทำหน้าที่ปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดินทำให้ น.ส.สุภา ถูกกลั่นแกล้งโยกย้ายเข้ากรุจน น.ส.สุภา ตัดสินใจอำลาชีวิตราชการแล้วมาสมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช.

โดย น.ส.สุภา เสนอแนวคิดว่า ที่ผ่านมานักการเมืองที่ทุจริตอย่างกรณีโครงการบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน แม้จะมีการลงโทษติดคุกแต่จำเลยบางคนหลบหนี และแม้บางคนต้องติดคุกก็ไม่คุ้มกับความเสียหายที่เกิดกับแผ่นดิน ดังนั้นต้องแก้กฎหมายโดยคนที่ทุจริตไม่ใช่ลงโทษแค่ติดคุกแล้วจบ โดยขณะนี้ป.ป.ช.เตรียมแก้กฎหมาย ป.ป.ช.ฉบับที่สามซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยแม้ผู้ทุจริตจะหลบหนี แต่อายุความก็ยังอยู่

ที่สำคัญควรมีการแก้กฎหมายกำหนดว่าหากมีการทุจริตต้องยึดทรัพย์คนที่โกงทันทีเพื่อนำทรัพย์สินของแผ่นดินที่ถูกโกงไปกลับคืนมาทั้งหมดไม่ใช่แค่ติดคุกแล้วจบ

แต่ที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้าและกรณีตัวอย่างของการทุจริตคอร์รัปชั่นในยุครัฐบาลคสช.ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคสช.ต้องจัดการอย่างจริงจังอย่าปล่อยให้กลายเป็นจุดอ่อนทำลายจุดแข็งของรัฐบาลคสช.คือกรณีที่มีข่าวว่า คนในรัฐบาลระดับดอกเตอร์และอีกหลายคนแอบอ้างชื่อนายกฯและพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ไปทำมาหากิน ซึ่งเรื่องนี้ต้องเชือดไก่ให้ลิงดู ล่าตัวมาลงโทษขั้นเด็ดขาด แล้วประจานต่อสาธารณชนเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ไม่ใช่ปล่อยให้เรื่องเงียบกลายเป็นไฟไหม้ฟาง

ทีมข่าวการเมือง

เลือกตั้งกลางปี’60มีแน่ แต่ภายใต้เกมของคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/199581

วันพฤหัสบดี ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
คำประกาศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ที่ว่าต้องมีการเลือกตั้งในปีหน้าอย่างแน่นอน ด้านหนึ่งเป็นการแสดงท่าทีชัดเจนต่อชาวโลกเพื่อลดแรงเสียดทานและสร้างความเชื่อมั่นว่าไทยกำลังกลับไปสู่ระบอบประชาธิปไตย

ขณะที่อีกด้านหนึ่งคำประกาศของบิ๊กตู่ที่ว่ามีแผนสำรองไว้แล้วหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติได้สร้างความสั่นสะท้านแก่เหล่านักลากตั้งโดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วจนต้องออกมาตีโพยตีพายเพราะแผนสำรองที่ว่าก็คืออาจจะมีการใช้รัฐธรรมนูญฉบับพิเศษของคสช. ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นยาแรงยิ่งกว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับ นายมีชัยฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เสียอีก

อย่างที่ นายคำนูณ สิทธิสมานสมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ให้ความเห็นไว้อย่างน่าสนใจว่า การที่คสช.อุบไต๋หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติแล้วให้ไปวัดดวงในการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2560 ถือเป็นไม้เด็ดวัดใจฝ่ายที่จ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญและประชาชน เพราะไม่รู้เลยว่ารัฐธรรมนูญชั่วคราวที่จะงัดออกมาใช้ก่อนการเลือกตั้งจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร โดยทุกอย่างอยู่ภายใต้เกมของคสช.

ด้วยไม้ตายของ คสช.ที่ซ่อนอยู่นี่เองที่ทำเอาบรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายดิ้นพล่านออกมารุมถล่ม คสช.แบบดับเครื่องชนโดยเฉพาะ นายจตุพร พรหมพันธุ์ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง และนายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุลอดีตรองนายกฯยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์

หรือแม้แต่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็แสดงท่าทีไม่เห็นด้วยที่ คสช.จะใช้รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราวหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติโดยที่ไม่เผยให้เห็นว่าหน้าตาของรัฐธรรมนูญชั่วคราวก่อน ซึ่งเท่ากับมัดมือชกประชาชนในการทำประชามติ

แต่เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ประกาศชัดเจนว่าการเลือกตั้งต้องมีขึ้นในกลางปี 2560 ก็คงไม่มีการเปลี่ยนแปลง ซึ่งแน่นอนว่าต้องมีแผนรองรับไว้แล้วหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ เพราะการทำงานตามแบบหลักนิยมของกองทัพนั้นมุ่งการทำภารกิจให้สำเร็จตามเป้าหมายให้ได้โดยจะมีการกำหนดยุทธศาสตร์ยุทธวิธีล่วงหน้าทั้งระยะสั้น ระยะกลางและระยะยาว ซึ่งว่ากันว่า คสช.ได้กำหนดแผนรองรับล่วงหน้าอย่างเป็นขั้นตอนไว้แล้วตั้งแต่ยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ในกรณีหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านการทำประชามติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม้ตายคือมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่ให้อำนาจ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะผู้กุมอำนาจรัฏฐาธิปัตย์สามารถใช้อำนาจอะไรก็ได้เพื่อให้บ้านเมืองเกิดความสงบและเดินไปข้างหน้า

เพราะฉะนั้นไม่ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านประชามติหรือไม่ล้วนอยู่ภายใต้เกมของคสช.โดยภารกิจสำคัญก็คือต้องวางรากฐานปฏิรูปประเทศให้สำเร็จด้วยการขจัดธุรกิจการเมืองและเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นตอของวิกฤติชาติตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาเพื่อไม่ให้ชาติบ้านเมืองกลับไปสู่วังวนแห่งวงจรอุบาวท์อันชั่วร้ายโดยเหล่านักธุรกิจการเมืองอีก

ทีมข่าวการเมือง

แม้วเครียดชะตากรรมปู มากกว่าปัญหารธน.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/199410

วันพุธ ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ขณะที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศกร้าวเดินหน้าคว่ำรัฐธรรมนูญฉบับนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้ได้ แต่กลับมีรายงานข่าวว่า อดีตสส.เพื่อแม้วจำนวนไม่น้อยกลับมองว่าควรจะปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ผ่านการทำประชามติในเดือนก.ค.นี้ เพื่อที่จะได้ไปเลือกตั้งในราวกลางปีหน้า

นายจตุพร มองว่าขบวนการเพื่อแม้วไม่ควรคิดแต่อยากให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วเพราะแม้จะมีเลือกตั้งและพรรคเพื่อแม้วได้กลับมาเป็นรัฐบาลในที่สุดก็อยู่ไม่ได้ แต่ต้องใจแข็งอย่าคิดแต่จะรีบมีเลือกตั้งแล้วคว่ำร่างรัฐธรรมนูญเพื่อสร้างภาพแสดงจุดยืนต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แม้ว่าการคว่ำรัฐธรรมนูญอาจทำให้การเลือกตั้งต้องล่าช้าออกไปก็ตาม

ขณะที่อดีต สส.กลุ่มหนึ่งไม่เห็นด้วยกับ นายจตุพร โดยมองว่าหากคว่ำร่างรัฐธรรมนูญอาจเป็นการเปิดช่อง
ให้ คสช.ยืดเวลาเลือกตั้งออกไปอีกจากโรดแมปเดิมที่กำหนดไว้ในราวกลางปีหน้า ดังนั้นควรรีบเลือกตั้งจะดีกว่าเพราะอย่างน้อยยังมีโอกาสที่จะช่วงชิงอำนาจรัฐกลับมาเป็นรัฐบาล และสามารถแก้ไขรื้อรัฐธรรมนูญได้ภายหลังดีกว่าอยู่ภายใต้อำนาจพิเศษของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างมองไม่เห็นอนาคต

ที่สำคัญเพราะ 2 ปีที่ผ่านมาหลังคสช.ยึดอำนาจ อดีตสส.ทั้งหลายอยู่ในสภาพตายซากไร้อาชีพไม่มีรายได้ และหลายคนห่างเหินจากชาวบ้านในพื้นที่เพราะไม่สามารถทำกิจกรรมทางการเมืองได้ ซึ่งหากปล่อยให้สถานการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไปในที่สุดบรรดาอดีตสส.ทั้งหลายอาจหนีไปหาพรรคอื่นสังกัดหมด

ภายใต้สถานการณ์ที่แหลมคมและใกล้เวลาที่จะมีการทำประชามติเข้าไปทุกขณะ บุคคลสำคัญที่จะตัดสินใจและกำหนดเกมของขบวนการเพื่อแม้วว่าจะคว่ำหรือปล่อยให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านเพื่อให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วก็คือ ทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่จอมบงการที่ขณะนี้ซุ่มเก็บตัวเงียบ ท่ามกลางกระแสข่าวว่ามีแกนนำขบวนการเพื่อแม้วบินไปพบหารือเป็นระยะๆ

แต่สิ่งที่ ทักษิณ เครียดและให้ความสำคัญมากกว่าเรื่องรัฐธรรมนูญก็คือชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งรัฐบาลเตรียมฟ้องทางแพ่งอันจะนำไปสู่การยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่านับแสนล้านบาทในเร็วๆ นี้ ขณะที่คดีอาญาซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี คาดว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ อย่างช้าไม่เกินปลายปีนี้ ซึ่ง ทักษิณ ยังคิดไม่ตกว่าจะหาทางช่วยน้องสาวได้อย่างไร ขณะที่เวลาแห่งการชี้ชะตาใกล้เข้ามาทุกขณะ

แต่ไม่ว่าขบวนการเพื่อแม้วจะดิ้นรนเดินเกมคว่ำหรือไม่คว่ำรัฐธรรมนูญดูเหมือนว่าทุกอย่างล้วนต้องเดินไปตามแผนที่คสช.กำหนด นั่นคือต้องมีการปฏิรูปประเทศขจัดการเมืองชั่วร้ายในอดีตไม่ให้กลับมามีอำนาจบริหารประเทศอีก

ทีมข่าวการเมือง

แอมเนสตี้-มะกันอันตรายเหิมเกริม แทรกแซงไทยให้ท้ายแก๊งป่วนเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/199243

วันอังคาร ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับว่าเหิมเกริมและส่อเจตนาแอบแฝงจ้องบ่อนทำลายไทยมาตลอดสำหรับสำนักงานเลขาธิการใหญ่แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนล กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่ล่าสุดออกแถลงการณ์ด่วนเรียกร้องให้สมาชิกทั่วโลกรณรงค์ต่อต้านทางการไทย รวมทั้งส่งจดหมายถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และนายดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เรียกร้องให้ยกเลิกข้อกล่าวหามั่วสุมหรือชุมนุมอย่างผิดกฎหมายต่อกลุ่มนักศึกษาและนักเคลื่อนไหวไทยทั้งหมดโดยเฉพาะนายสิรวิชญ์ เสรีธิวัฒน์ หรือ “จ่านิว” นักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และพวก

การเคลื่อนไหวของ “จ่านิว” และแก๊งนั้นก็รู้ๆ กันอยู่เพราะถูกตั้งข้อสังเกตว่า เป็นเครือข่ายแนวร่วมขบวนการเพื่อแม้วที่พยายามสร้างสถานการณ์หาเรื่องยั่วยุท้าทาย คสช.ให้จับมาตลอด หวังใช้ข้ออ้างคุกคามเสรีภาพเป็นเงื่อนไขเข้าแผน “โลกล้อมไทย”ของขบวนการเพื่อแม้วในการร้องเรียนต่อชาติตะวันตกที่ให้ท้ายขบวนการเพื่อแม้วโดยเฉพาะมหาอำนาจมะกันอันตรายรวมทั้งแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล

จึงไม่แปลกที่ทันทีหลังมีการควบคุมตัว “จ่านิว” นายมาร์ก โทเนอร์รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศมะกันอันตราย ถึงกับให้ความสำคัญขนาดกระพือข่าวใหญ่โตราวกับเตรียมตัวล่วงหน้าว่า ทางการไทยคุกคามสิทธิเสรีภาพการแสดงออกและขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน พร้อมทั้งขู่ว่ามะกันอันตรายจะแสดงท่าทีคัดค้านเพิ่มเติมต่อไป

หลังจากการออกโรงของกระทรวงการต่างประเทศมะกันอันตราย แอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลก็รับลูกตามมาติดๆ ทันควันแสดงถึงการให้ท้าย “จ่านิว” และขบวนการป่วนเมือง แต่ที่เหิมเกริมก็คือเรียกร้องให้ทางการไทยยกเลิกข้อกล่าวหาต่อ “จ่านิว” เหล่านักป่วนเมืองทั้งหมด

ทั้งๆ ที่ทางการไทยโดยกระทรวงการต่างประเทศพยายามชี้แจงมาตลอดว่าปฏิบัติภายใต้กรอบของกฎหมาย รวมทั้งชี้ให้เห็นเบื้องหน้าเบื้องหลังขบวนการที่ออกมาป่วนเมือง ซึ่งแอบอิงกลุ่มอำนาจเก่า แต่มะกันอันตรายกับแอมเนสตี้อินเตอร์เนชั่นแนลกลับทำหูทวนลม โดยกรณีล่าสุดที่ “จ่านิว” ถูกควบคุมตัวทั้งมะกันอันตรายกับแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลแทนที่จะสอบถามเหตุผลจากทางการไทยก่อน แต่กลับด่วนออกมาประณามกดดันไทยทันทีเหมือนมีแผนอยู่ในใจเตรียมธงไว้ล่วงหน้าอยู่แล้ว

จากท่าทีให้ท้ายขบวนการป่วนเมืองของมะกันอันตรายทำให้ก่อนหน้านี้ พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ต้องออกมาเตือนสติมหาอำนาจมะกันอันตรายว่า อย่าอ้างแต่เรื่องสิทธิเสรีภาพ และหากมีชาวอเมริกันทำผิดกฎหมาย รัฐบาลมะกันอันตรายจะไม่ดำเนินคดีตามกฎหมายใช่หรือไม่

ขณะที่ ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกฯฝ่ายความมั่นคง เตือนสติแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ว่า
ควรตรงไปตรงมาและรอบคอบในการปกป้อง“จ่านิว” และพวก โดยต้องคำนึงถึงกฎหมายไทยและต้องดูรายละเอียดของเรื่องราวที่มีเบื้องหลังทางการเมืองแอบแฝงด้วย

ทั้งนี้ในกรณี“จ่านิว” และพวกทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจนทั้ง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะและฝ่าฝืนคำสั่งคสช.ชัดเจนและที่สำคัญซ่อนแผนบ่อนทำลายความมั่นคงของรัฐ

จากพฤติการณ์ของมะกันอันตรายและแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลสะท้อนความเหิมเกริมแทรกแซงกิจการภายในและกระบวนการยุติธรรมของไทยอย่างชัดแจ้ง ขณะเดียวกันก็เป็นการให้ท้ายขบวนการอำนาจเก่าอันเลวร้ายพวกเดียวกันที่เคยถูกมวลมหาประชาชนเกือบ 10 ล้านคน ออกมาแสดงพลังขับไล่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนต้องพ้นจากอำนาจ

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วสร้างภาพชวนเชื่อ อ้างประชาธิปไตยจอมปลอมบังหน้า?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/199072

วันจันทร์ ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ทุกครั้งที่เพลี่ยงพล้ำทางการเมืองเหล่าแกนนำเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วมักจะชูประเด็นอ้างเรื่องประชาธิปไตยสร้างความชอบธรรมให้ตัวเอง ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อสร้างภาพลวงโลกซึ่งตรงกันข้ามกับพฤติกรรมที่เป็นจริงของขบวนการเพื่อแม้วที่เป็นธุรกิจการเมืองที่อาศัยคราบประชาธิปไตยจอมปลอมบังหน้าอย่างสิ้นเชิง

หากย้อนกลับไปดูธาตุแท้ของขบวนการเพื่อแม้วนับตั้งแต่ก่อกำเนิดและเรืองอำนาจสุดขีดเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้วจะพบความจริงว่า พรรคเพื่อแม้วเกิดจากการทุ่มทุนและใช้ผลประโยชน์ทุกรูปแบบกวาดต้อนซื้อกลุ่มการเมืองและบรรดานักการเมืองเสือสิงห์กระทิงแรดมารวมกันเพื่อให้เป็นพรรคใหญ่แบบโตทางลัด จากนั้นซื้อเสียงทุกรูปแบบทั้งทางตรงทางอ้อมผ่านระบอบหัวคะแนนเพื่อได้ สส.เสียงข้างมาก เป็นรัฐบาลคุมอำนาจรัฐ จากนั้นโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนบวกกำไรมหาศาล และใช้อำนาจรัฐทำสิ่งชั่วร้ายตามใจชอบ และวางแผนผูกขาดอำนาจหวังเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครองประเทศโดยเหิมเกริมทะเยอทะยานถึงกับคิดบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดของชาติ

พรรคเพื่อแม้วนั้นโดยเนื้อแท้เป็นเพียงบริษัทธุรกิจการเมืองที่มีอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกเป็นเจ้าของ ขณะที่บรรดา
สส.เป็นเพียงพนักงานบริษัทที่ทำหน้าที่ทาสรับใช้ทำตามคำสั่งนายทุนเพียงคนเดียว หาใช่ผู้แทนราษฎรแต่อย่างใดทั้งสิ้น

ในยุคเรืองอำนาจ ขบวนการเพื่อแม้วแทรกแซงองค์กรอิสระ และอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกเคยพยายามให้ตัวเองพ้นโทษความผิดคดีทุจริต เมื่อไม่สำเร็จก็หนีโทษออกนอกประเทศไปบงการขบวนการบ่อนทำลายประเทศ หวังช่วงชิงอำนาจรัฐกลับมาเป็นของตัวเองและจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษ

ขบวนการเพื่อแม้วยังจัดตั้งม็อบมวลชนเสื้อแดงก่อการร้ายบ่อนทำลายประเทศในเหตุการณ์ 2552-2553 และไม่ยอมรับอำนาจของศาล ตลอดจนองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ

นอกจากนี้ยังอาศัยความเป็นเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยพยายามหักดิบผ่านกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดให้กับอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยต้องไม่รับโทษคดีทุจริต ทั้งๆ ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังขับไล่จนนำไปสู่การยึดอำนาจของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557 เพื่อปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงและเพื่อให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองอันชั่วร้าย อันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา

หลังสูญเสียอำนาจล่าสุดเหล่าสาวกขบวนการเพื่อแม้วภายใต้การบงการของอดีตนายกฯนักโทษหนีคุก
ผู้เป็นนายใหญ่ยังพยายามสร้างสถานการณ์เพื่อบ่อนทำลายการเดินหน้าปฏิรูปประเทศโดยหวังกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศเพื่อฟื้นธุรกิจการเมืองทนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยเหมือนในอดีต ทั้งๆ ที่เสียงสะท้อนของมหาชนส่วนใหญ่ต้องการให้ประเทศเดินหน้าปฏิรูป พฤติการณ์ของขบวนการเพื่อแม้วทั้งหมดจึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเป็นเพียงการสร้างภาพลวงโลก ตรงกันข้ามกับประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง

ทีมข่าวการเมือง

ประชามติมหาชนตัดสิน เชื่อนักกินเมืองหรือหนุนรธน.ปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/198931

วันอาทิตย์ ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ภายใต้สถานการณ์พิเศษไม่ว่าจะร่างออกมาอย่างไรยังคงตกเป็นเป้าโจมตีของสองพรรคการเมืองใหญ่คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเครือข่ายระบอบทักษิณถึงกับประกาศรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้หากย้อนศึกษาในอดีตนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองตั้งแต่เมื่อปี 2475 มีการร่างรัฐธรรมนูญมาแล้วเกือบ 20 ฉบับ ซึ่งไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนที่สมบูรณ์แบบและไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แม้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะเผยโฉมในสิ้นเดือนนี้จะไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์แบบ แต่ในภาพรวมและสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญมุ่งจะขจัดการโกงชาติปล้นแผ่นดินของเหล่านักธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา อันถือเป็นหนึ่งในภารกิจสำคัญที่จะปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปรียบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมุ่งขจัดการทุจริตทุกรูปแบบโดยเฉพาะการทุจริตการเลือกตั้งซึ่งมีโทษที่รุนแรง รวมถึงการทุจริตต่องบประมาณแผ่นดินซึ่งหากพบความผิดคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบทั้งคณะ หรือแม้แต่สมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีหากสมคบกันผลาญงบประมาณแผ่นดินอย่างไม่ชอบมาพากลและถูกตรวจสอบพบมีโทษถึงขั้นห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตและยังต้องชดใช้เงินแผ่นดินที่ถูกผลาญในโครงการต่างๆ ด้วย

นอกจากนี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังยกระดับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นทำงานคล่องตัวมากขึ้นโดยสามารถตรวจสอบการทุจริตได้เองโดยไม่ต้องรอผู้ร้องเรียน และจะกำหนดระยะเวลาตรวจสอบเพื่อความรวดเร็ว รวมทั้งบัญญัติให้การผลักดันโครงการประชานิยมอย่างไร้ความรับผิดชอบทั้งหลายต้องผ่านการตรวจสอบและหากเกิดปัญหาขึ้นรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ

การที่แกนนำขบวนการเพื่อไทย อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรมช.พาณิชย์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเลขาธิการกลุ่มเสื้อแดง นายวัฒนา เมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อแม้ว นายสมคิด เชื้อคง อดีตสส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ดาหน้าออกมาต่อต้านโจมตีร่างรัฐธรรมนูญใหม่แบบหัวชนฝา และประกาศรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเผยธาตุแท้ของระบอบทักษิณที่อ้างประชาธิปไตยบังหน้า ทั้งๆ ที่มีเป้าหมายซ่อนเร้นที่แท้จริงจ้องหาเรื่องล้มร่างรัฐธรรมนูญใหม่ก็เพื่อขวางการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ที่มุ่งขจัดพวกนักธุรกิจการเมืองโกงชาติปล้นแผ่นดิน โดยหากร่างรัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้นั่นหมายถึงลางล่มสลายของระบอบทักษิณที่จะหมดหนทางโกงชาติปล้นแผ่นดินและผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศได้อย่างง่ายดายอีกต่อไป

ในส่วนของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผ่านมายังสงวนท่าทีแทงกั๊ก โดยแม้แกนนำพรรคโดยเฉพาะ นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ รองหัวหน้าพรรค จะออกมาต่อต้านโจมตีร่างรัฐธรรมนูญในหลายประเด็น แต่ นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค กลับกล่าวว่า ภาพรวมร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ก็มีข้อดีอยู่มากโดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศเพื่อขจัดการทุจริตด้วยมาตรการที่เด็ดขาด

ส่วน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นแบ่งรับแบ่งสู้ว่ายังไม่สามารถตอบได้ว่าพรรคจะรับหรือคัดค้านร่างรัฐธรรมนูญ

จากท่าทีของพรรคการเมืองใหญ่ที่ขู่จ้องคว่ำร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในขั้นตอนการทำประชามติในราวเดือนก.ค.นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ตอบโต้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวโดยย้อนทำนองว่า พรรคใหญ่ทีออกมาขู่คว่ำร่างรัฐธรรมนูญนั้นให้กลับไปส่องกระจกดูตัวเองว่า ที่ผ่านมาทำสิ่งชั่วร้ายอะไรไว้กับชาติบ้านเมืองจนต้องมีการร่างรัฐธรรมนูญเพื่อปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ พร้อมท้าว่า อยากรู้เหมือนกันว่าพรรคการเมืองใหญ่มีประชาชนสนับสนุนมากน้อยแค่ไหน โดยขอให้ประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศเป็นผู้ตัดสินในขั้นการทำประชามติ

เพราะฉะนั้นการทำประชามติสนับสนุนหรือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในเดือนก.ค.นี้จะเป็นบทพิสูจน์ความเชื่อถือของประชาชนที่มีต่อพรรคการเมืองใหญ่ แต่ที่สำคัญคือจะได้รู้แน่ชัดกันเสียทีว่า มวลมหาประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศซึ่งเป็นตัวแปรชี้ขาดผลประชามติอยากให้อนาคตชาติกลับไปสู่วังวนวงจรอุบาทว์การเมืองน้ำเน่าแบบเดิมๆ หรือจะสนับสนุนรัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงเพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศขจัดธุรกิจการเมืองและการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินโดยเหล่านักประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่าน มาขั้นเด็ดขาดเพื่อสร้างประชาธิปไตยที่แท้จริงและยั่งยืน

ทีมข่าวการเมือง

โอ๊คเดินเกมตามรอยอาปู ส่อยื้อคดีทุจริตแบงก์กรุงไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/198859

วันเสาร์ ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ไม่เหนือความคาดหมายหลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ได้ทำหนังสือเรียกนายพานทองแท้ ชินวัตร ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคุก มาให้ปากคำเนื่องจากพัวพันคดีทุจริตและฟอกเงินกรณีธนาคารกรุงไทย ยุครัฐบาลทักษิณปล่อยกู้ให้กลุ่มบริษัทเครือกฤษดามหานคร ทั้งๆ ที่อยู่ในบัญชีธุรกิจหนี้เสีย ทำให้รัฐเสียหายมูลค่ากว่า 10,000 ล้านบาท ปรากฏว่า เสี่ยโอ๊ค-พานทองแท้มอบหมายให้ทนายแจ้งต่อดีเอสไอขอเลื่อนการให้ปากคำ

คดีโกงแบงก์กรุงไทยซึ่งเป็นของรัฐมี ทักษิณเป็นจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลฎีกาสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราวเพราะหนีออกนอกประเทศ และก่อนหน้านี้ศาลพิพากษาจำคุกอดีตผู้บริหารแบงก์กรุงไทย และผู้ที่เกี่ยวข้องนับสิบคนฐานสมคบกันทุจริต

สำหรับ นายพานทองแท้ พัวพันคดีการปล่อยกู้ของแบงก์กรุงไทย เพราะดีเอสไอมีข้อมูลสงสัยว่าลูกชายทักษิณ ผู้นี้รับเช็คเป็นเงินก้อนใหญ่จากกลุ่มบริษัทเครือกฤษดามหานครจึงอยากฟังคำชี้แจงพร้อมทั้งขอให้แสดงหลักฐานยืนยันคำชี้แจงด้วย

ทั้งนี้ นายพานทองแท้ ยังถูกตั้งข้อสงสัยว่าเป็นเพื่อนของบุตรชายเจ้าของบริษัทกฤษดามหานคร จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นไปได้หรือไม่ ที่เช็คสั่งจ่ายให้ นายพานทองแท้ เป็นเงินค่าปากถุงที่อาจเกี่ยวข้องกับการที่แบงก์กรุงไทยปล่อยกู้ให้กับกลุ่มบริษัทกฤษดา มหานคร

การขอเลื่อนเข้าชี้แจงต่อดีเอสไอของ นายพานทองแท้ ทำให้นึกถึงการเดินเกมยื้อคดีโครงการรับจำนำข้าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นอาของ นายพานทองแท้ตกเป็นจำเลย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ตามคำแนะนำของทีมทนายใช้ทั้งวิธีการเลื่อนการเข้าให้ปากคำ รวมทั้งขอเพิ่มพยานฝ่ายจำเลยเป็นจำนวนมากหวังยื้อเวลาให้ได้นานที่สุด

อย่างไรก็ตาม พนักงานสอบสวนของดีเอสไอดูเหมือนจะรู้ทันเกมของ นายพานทองแท้ โดยยอมให้เลื่อนการเข้าชี้แจงเพียง1 ครั้งเท่านั้น

คดีทุจริตแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้แก่บริษัทกลุ่มบริษัทกฤษดามหานครยุครัฐบาลทักษิณ ยังพัวพันคนในตระกูลชินและคนใกล้ชิดอีกหลายคน

ทั้งนี้คงต้องจับตาดูว่าเมื่อดีเอสไออนุญาตให้นายพานทองแท้เลื่อนการเข้าชี้แจงต่อพนักงานสอบสวนได้เพียงครั้งเดียว ครั้งต่อไปนายพานทองแท้จะแก้เกมเพื่อยื้อเวลาอย่างไรและที่สำคัญ ซึ่งอาจจะสร้างความหนักใจแก่นายพานทองแท้ ยิ่งกว่าก็คือการหาพยานหลักฐานมาแก้ต่าง โดยเฉพาะเช็คปริศนาซึ่งเป็นหลักฐานชัดเจนและเป็นโจทก์สาหัสที่ตอบยากอย่างยิ่ง

ทีมข่าวการเมือง