ปชป.ไม่มีจะเสียตัดหางชายหมู ยอมสะเทือนดีกว่าพรรคพัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/198667

วันศุกร์ ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ในที่สุดพรรคประชาธิปัตย์ก็สะบั้นฟางเส้นสุดท้ายโดยนายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรค และนายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคร่วมกันแถลงอย่างเป็นทางการว่าพรรคตัดหางไม่ยุ่งเกี่ยวและรับผิดชอบต่อผลการบริหารงานของม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม.และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จากนี้เป็นต้นไป

ปัญหาความขัดแย้งภายในพรรคประชาธิปัตย์ระหว่างผู้บริหารพรรคนำโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรค กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ยืดเยื้อมานานหลายเดือนโดยมีสาเหตุมาจากช่วงที่ผ่านมา ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ทำตัวเหมือนรัฐอิสระไม่ยอมพบปะกับผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์ แม้แต่ นายอภิสิทธิ์ ซึ่งนัดหารือหลายครั้งแต่ถูกปฏิเสธ

ปัญหามาถึงจุดแตกหักเมื่อสองอดีต สส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์คือ นายวัชระ เพชรทอง และ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ออกมาแฉการทุจริตในกทม.อย่างต่อเนื่อง ท่ามกลางข่าวมาตลอดว่าผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์คิดที่จะปลด ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ พ้นสมาชิกพรรค แต่ติดขัดที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ไม่อนุญาตให้พรรคการเมืองประชุมพรรค

รอยร้าวฉานครั้งสำคัญในพรรคประชาธิปัตย์ครั้งนี้เกิดขี้นท่ามกลางกระแสข่าวลือสะพัดว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ มีแผนที่จะตั้งพรรคการเมืองใหม่ของตัวเองโดยจับมือกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำมวลมหาประชาชน กปปส.

ศึกแตกหักระหว่างผู้บริหารพรรคประชาธิปัตย์กับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ครั้งนี้ย่อมส่งผลสะเทือนต่อฐานคะแนนเสียงและสร้างความระส่ำระสายให้กับบรรดาอดีต สส.และสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงสถานการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อที่กำลังจะมีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งใหม่ในกลางปีหน้า

ทั้งนี้หาก นายสุเทพ มีแผนจับมือกับ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ จริงจะส่งผลสะเทือนต่อพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างมากเพราะแม้ขณะนี้ นายสุเทพ จะลาออกจากพรรคประชาธิปัตย์แล้ว แต่ก็ยังทรงอิทธิพลต่ออดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์อยู่ไม่น้อย ซึ่งในอดีตพรรคประชาธิปัตย์เคยเผชิญกับสถานการณ์พรรคแตกมาแล้วหลายครั้ง

อย่างไรก็ตามภายใต้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นพรรคประชาธิปัตย์ถือว่าไม่มีอะไรจะเสียเพราะเผชิญกับความเสื่อมมาตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และแม้การตัดหาง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ครั้งนี้จะทำให้พรรคร้าวหรืออาจถึงขั้นแตก

แต่มองอีกด้านหนึ่งยอมเสียอวัยวะเพื่อรักษาชีวิตยังดีกว่าปล่อยให้ปัญหาคาราคาซังบานปลายจนระเบิดซึ่งเมื่อถึงตอนนั้นผลที่ตามมาอาจเลวร้ายกว่าที่คิด

ทีมข่าวการเมือง

จับตาเพื่อแม้วจับมือสำนักจานบิน เร่งเกมดันสมเด็จช่วงเป็นสังฆราช

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/198489

วันพฤหัสบดี ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
หลังจากที่เครือข่ายพุทธศาสนิกชนหลายกลุ่มรวมทั้งหลวงปู่พุทธะอิสระเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม นำรายชื่อพุทธศาสนิกชนกว่า5 แสนชื่อ ยื่นต่อรัฐบาลเพื่อคัดค้านการทูลเกล้าฯ เสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ เป็นพระสังฆราชเป็นประมุขแห่งสงฆ์หลายเรื่องทำให้มีสัญญาณจากเครือข่ายสำนักธรรมกายและขบวนการเพื่อแม้วออกมาเคลื่อนไหวตอบโต้และถึงกับขู่ปลุกม็อบผ้าเหลืองทั่วประเทศเพื่อแสดงพลังสังฆามติหนุนสมเด็จช่วงขึ้นเป็นสังฆราช

ในบรรดาแกนนำสงฆ์ที่ออกมาแสดงท่าทีแข็งกร้าวในการปกป้อง สมเด็จช่วง ก็คือ พระเมธีธรรมาจารย์เลขาธิการศูนย์พิทักษ์พระพุทธศาสนาแห่งประเทศไทย ที่ก่อนหน้านี้เคยออกมาปกป้อง ธัมมชโย อย่างเอาเป็นเอาตาย มาครั้งนี้ออกมาปกป้องสมเด็จช่วง ผู้เป็นอาจารย์ของธัมมชโย โดย พระเมธีธรรมาจารย์ประกาศตอบโต้ฝ่ายที่ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านการเสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นพระสังฆราช รวมทั้งข่มขู่กดดัน พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างเหิมเกริมดุเดือดว่า“จากนี้ไปก็ต้องวัดใจรัฐบาลว่าจะเต้นตามกลุ่มกดดันหรือจะยืนอยู่ข้างพระสงฆ์ทั้งประเทศ ถ้ายืนอยู่ข้างพระสงฆ์ทั้งประเทศก็ขออนุโมทนา แต่ถ้ายืนอยู่ข้างกลุ่มกดดันคงได้เห็นจีวรพระทั่วประเทศเหลืองอร่ามกลางกรุงเทพฯ แน่นอน”

พฤติการณ์ของ พระเมธีธรรมาจารย์ ทำให้พุทธศาสนิกชนหลายคนตั้งข้อสงสัยพระรูปนี้

ยิ่งปูมหลังประวัติของ พระเมธีธรรมาจารย์ ยิ่งน่าสนใจและอาจไม่น่าแปลกใจเพราะมีการตั้งคำถามว่าใช่หรือไม่ที่ชื่อเดิมก่อนแปลงร่างมาบวชเป็นพระของ พระเมธีธรรมาจารย์แท้ที่จริงก็คือ นายประสาน หนองพร้าว หนึ่งในแกนนำเสื้อแดงภาคอีสานที่เคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มเสื้อแดงและใกล้ชิดกับ นักโทษชายแม้ว และเหล่าแกนนำเสื้อแดงเป็นอย่างดี

สำหรับขบวนการเพื่อแม้วกับสำนักจานบินนั้นถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นพันธมิตรที่จับมือเกื้อหนุนซึ่งกันและกันมานานโดยมีเป้าหมายอันเป็นความฝันสูงสุดอย่างเดียวกันคือยึดครองประเทศให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดแล้วแบ่งอำนาจและผลประโยชน์เสพสุขกันอย่างสบายโดยขบวนการเพื่อแม้วยึดครองฝ่ายอาณาจักร ส่วนสำนักจานบินยิ่งใหญ่คุมอำนาจศาสนจักร

เพราะฉะนั้น ต้องจับตาการเคลื่อนไหวของสำนักจานบินที่จับมือกับขบวนการเพื่อแม้วให้ดี หลังจากที่การเสนอชื่อสมเด็จช่วงเป็นสังฆราชองค์ใหม่ส่อเค้ายืดเยื้อเนื่องจากพัวพันเรื่องอื้อฉาวหลายเรื่องจน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ย้ำมาสองครั้งแล้วว่า ถ้าปัญหาความขัดแย้งยังไม่มีข้อยุติก็จะไม่เสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทอย่างเด็ดขาด

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วสันหลังหวะขวางปฏิรูป จ้องคว่ำรธน.ฉบับปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/198308

วันพุธ ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
รัฐธรรมนูญทุกฉบับนับตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อปี 2475 ไม่มีฉบับไหนที่สมบูรณ์แบบและไม่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญใกล้จะยกร่างเสร็จและกำลังจะเผยโฉมในสิ้นเดือนนี้ก็เช่นกัน การวิพากษ์วิจารณ์เชิงสร้างสรรค์เป็นเรื่องปกติ แต่พวกตีรวนป่วนเมืองที่มีเป้าหมายชั่วร้ายแฝงเร้นก็คือขบวนการเพื่อแม้วที่ดาหน้าออกมาหาเรื่องรุมถล่มรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แบบหัวชนฝา

แม้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่กำลังจะเผยโฉมจะไม่ใช่ร่างรัฐธรรมนูญที่สมบูรณ์แบบ แต่ในภาพรวมและสาระสำคัญที่มุ่งจะขจัดการโกงชาติปล้นแผ่นดินของเหล่านักธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมาถือเป็นนิมิตหมายที่ดีและถือเป็นหนึ่งในภาระสำคัญที่จะปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง

นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เปรียบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ว่าเป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับปราบทุจริตคอร์รัปชั่น โดยมุ่งขจัดการทุจริตทุกรูปแบบโดยเฉพาะการทุจริตการเลือกตั้งซึ่งมีโทษที่รุนแรง รวมถึงการทุจริตต่องบประมาณแผ่นดินซึ่งหากพบความผิดคณะรัฐมนตรีต้องรับผิดชอบทั้งคณะ หรือแม้แต่สมาชิกรัฐสภาและคณะรัฐมนตรีหากสมคบกันผลาญงบประมาณแผ่นดินอย่างไม่ชอบมาพากลและถูกตรวจสอบพบมีโทษถึงขั้นห้ามลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิตและยังต้องชดใช้เงินแผ่นดินที่ถูกผลาญในโครงการต่างๆ ด้วย

นอกจากนี้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ยังยกระดับคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ให้มีมาตรฐานสูงขึ้นทำงานคล่องตัวขึ้นโดยสามารถตรวจสอบการทุจริตได้เองโดยไม่ต้องรอผู้ร้องเรียน และจะกำหนดระยะเวลาตรวจสอบเพื่อความรวดเร็ว รวมทั้งบัญญัติให้การผลักดันโครงการประชานิยมอย่างไร้ความรับผิดชอบทั้งหลายต้องผ่านการตรวจสอบและหากเกิดปัญหาขึ้นรัฐบาลและรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบ

การที่แกนนำขบวนการเพื่อแม้วอาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรมช.พาณิชย์ รัฐบาลยิ่งลักษณ์และเลขาธิการกลุ่มเสื้อแดง นายวัฒนาเมืองสุข แกนนำพรรคเพื่อแม้วนายสมคิด เชื้อคง อดีตสส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ดาหน้าออกมาถล่มร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และประกาศรณรงค์คว่ำร่างรัฐธรรมนูญถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเผยธาตุแท้สันหลังหวะของขบวนการเพื่อแม้วที่อ้างประชาธิปไตยบังหน้า

แต่แฝงเป้าหมายซ่อนเร้นที่แท้จริงนั่นคือ หาเรื่องจ้องล้มร่างรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อขวางการปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่ที่มุ่งขจัดพวกนักธุรกิจโกงบ้านกินเมือง ซึ่งหากร่างรัฐธรรมนูญใหม่มีผลบังคับใช้นั่นหมายถึงการล่มสลายของระบอบแม้วที่จะหมดหนทางโกงชาติปล้นแผ่นดินและผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศ

ทีมข่าวการเมือง

คดีรถหรูอีกรอยด่างสมเด็จช่วง ดีเอสไอต้องรีบทำให้กระจ่าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/198145

วันอังคาร ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การเสนอชื่อสมเด็จช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ตามมติการประชุมแบบลับๆ ล่อๆ ของมหาเถรสมาคม (มส.) เมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมา ปัญหาสำคัญไม่ได้อยู่ที่หลักกฎหมายหรือตัวบุคคล แต่อยู่ที่หลักการแห่งความถูกต้องชอบธรรมนั่นคือผู้ที่จะขึ้นดำรงตำแหน่งประมุขแห่งสงฆ์ควรจะเป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีวัตรปฏิบัติที่สะอาดหมดจดสง่างามไม่มีเรื่องด่างพร้อย

การที่ สมเด็จช่วง และมส.ที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นยุคผีโม่แป้งปกป้องธัมมชโย เจ้าสำนักจานบิน ซึ่งเป็นศิษย์ สมเด็จช่วง อันเป็นการขัดพระบัญชาของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ชี้ขาดให้ ธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นสงฆ์ตั้งแต่ปี 2542

ที่สำคัญล่าสุดนายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ยื่นเรื่องให้กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)สอบสวนกรณีรถหรูโบราณนับสิบคันของ สมเด็จช่วง ภายในวัดปากน้ำ ซึ่งมีข่าวว่าเป็นรถที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย

หลังจากที่ นายไพบูลย์ ไปยื่นเรื่องต่อดีเอสไอปรากฏว่าลูกศิษย์สายวัดปากน้ำออกมาตอบโต้ทันทีอ้างว่า รถหรูโบราณดังกล่าวมีผู้บริจาคให้ สมเด็จช่วง และมีการนำไปตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์รถโบราณภายในวัดปากน้ำ แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตว่า การสะสมรถหรูโบราณควรเป็นกิจของสงฆ์ที่ละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวง และวัดควรเป็นสถานที่ตั้งพิพิธภัณฑ์รถหรูโบราณ หรือควรใช้เป็นสถานที่ให้เกิดประโยชน์ต่อการเผยแผ่พุทธศาสนาในด้านอื่นๆ

อีกทั้งรถหรูโบราณเป็นสิ่งฟุ่มเฟือยไม่ใช่ปัจจัยอันจำเป็นสำหรับสงฆ์แม้แต่น้อย คำถามก็คือทำไมมีผู้บริจาครถหรูโบราณให้แต่เฉพาะ สมเด็จช่วง เป็นจำนวนมากทำให้เกิดข้อสงสัยว่าหรือผู้บริจาคจะรู้ว่าสมเด็จช่วง ชอบสะสมรถหรูโบราณ

ทั้งนี้ไม่ว่ารถหรูจำนวนมากมายเหล่านี้จะมีผู้บริจาคให้ หรือสมเด็จช่วงใช้เงินวัดจัดหามาเพื่อสะสมด้วยรสนิยมส่วนตัวก็ตามก็ถือเป็นภาพที่ไม่เหมาะสมสำหรับพระเถระผู้ใหญ่ซึ่งได้รับการเสนอชื่อขึ้นเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่

แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าคือข่าวที่มีการระบุว่ารถหรูเหล่านี้เป็นรถที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จนมีการร้องเรียนที่ดีเอสไอ ดังนั้นควรให้ดีเอสไอรีบตรวจสอบเรื่องนี้ให้เกิดความกระจ่างตรงไปตรงมาว่ารถหรูโบราณจำนวนมากเหล่านี้มีที่มาที่ไปอย่างไรและถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ โดยดีเอสไอต้องทำหน้าที่โดยไม่เกรงกลัวอิทธิพลใดๆ ทั้งสิ้น

ตำแหน่งประมุขสงฆ์นั้นมีความสำคัญอย่างยิ่งยวดจึงควรถูกตรวจสอบความสะอาดโปร่งใสในทุกเรื่องโดยเฉพาะทรัพย์สินวัดปากน้ำมูลค่ามหาศาลเพื่อพิสูจน์ความสง่างามของ สมเด็จช่วงเอง

ทั้งนี้ เพียงแค่พระเถระผู้ใหญ่ซึ่งได้รับการเสนอชื่อเป็นพระสังฆราชพัวพันเรื่องอื้อฉาวถึงขั้นเป็นคดีความถือเป็นความด่างพร้อย และยิ่งหากผลสอบของดีเอสไอชี้ว่ารถหรูโบราณของสมเด็จช่วงมีที่มาที่ไปไม่ถูกต้องตามกฎหมายก็ถือเป็นความไม่สง่างามอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่จะดำรงตำแหน่งประมุขแห่งสงฆ์ที่ควรมีวัตรปฏิบัติที่ใสสะอาดและสละแล้วซึ่งความอยากทั้งปวง

ทีมข่าวการเมือง

บิ๊กตู่กล้าขอโทษรับผิด เทียบทักษิณต่างราวฟ้ากับดิน กล้าขอโทษรับผิด แบบอย่างผู้นำที่แท้จริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/197927

วันจันทร์ ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นแบบอย่างที่น่าชื่นชมที่คนซึ่งจะเป็นผู้นำประเทศ ตลอดจนเยาวชนคนรุ่นใหม่ควรถือเป็นแบบอย่างกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ประกาศขอโทษกรณีที่ก่อนหน้านี้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวปลด7 กรรมการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.) ให้ยุติการทำหน้าที่ชั่วคราวเพื่อตรวจสอบความโปร่งใสหลังได้รับการร้องเรียนว่าปฏิบัติหน้าที่ส่อไปในทางขัดต่อระเบียบราชการ

การที่ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งเป็นผู้นำภายใต้อำนาจพิเศษซึ่งไม่ได้มาจากการเลือกตั้งตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตยกล่าวคำขอโทษต่อหน้าสาธารณชนพร้อมทั้งเตรียมให้7 บอร์ด สสส.กลับเข้าสู่กระบวนการคัดเลือกเป็นกรรมการใหม่ได้หลังผลตรวจสอบไม่พบการกระทำผิดสะท้อนให้เห็นวุฒิสภาภาวะความเป็นผู้นำที่มีจิตวิญญาณแห่งผิดถูกชั่วดีและกล้าหาญพร้อมที่จะยอมรับความผิดพลาดโดยไม่กลัวเสียหน้า รวมทั้งแสดงให้เห็นถึงความจริงใจ เปิดเผย โปร่งใส ซึ่งต่างจากผู้นำที่มาจากการเลือกตั้งที่ส่วนใหญ่มักกะล่อนปลิ้นปล้อนสร้างภาพมอมเมาประชาชนเพื่ออำพรางความเลวร้ายของตัวเอง

คนไทยทั้งประเทศย่อมรู้ดีแก่ใจถึงบุคลิกอุปนิสัยของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่โกหกไม่เป็นคิดอะไรก็พูดอย่างนั้น เพียงแต่ด้วยความเป็นนายทหารอาจมีท่าทีดุดันไปบ้าง แต่ก็แฝงไว้ด้วยความจริงใจ

ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ เคยยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนมีความสามารถเก่งกาจอะไร บางครั้งก็ผิดพลาด แต่เมื่อผิดพลาดแล้วก็แก้ไข และใจจริงไม่อยากเข้ามายึดอำนาจแต่ด้วยความจำเป็นที่ประเทศเดินหน้าไปไม่ได้จากภาวะรัฐล้มเหลว ซึ่งด้วยสำนึกและหน้าที่ของกองทัพที่ต้องรักษาชาติบ้านเมืองจึงต้องเข้ามากอบกู้ประคับประคองประเทศและวางรากฐานให้ประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงยั่งยืน

หากเปรียบเทียบกับผู้นำประเทศในอดีตอย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตจะพบว่าจิตสำนึกในเรื่องความกล้าหาญ ความซื่อสัตย์ โปร่งใส และความจริงใจต่อประชาชนและชาติบ้านเมืองช่างต่างกันสิ้นเชิง

ทักษิณ นั้นนอกจากไม่ยอมรับผิดตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว ยังหลบหนีโทษจำคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาศาลและที่เลวร้ายกว่านั้นนอกจากไม่สำนึกผิดแล้วยังบงการเหล่าบริวารเครือข่ายระบอบทักษิณก่อการร้ายบ่อนทำลายชาติบ้านเมืองจนพินาศย่อยยับ

ในยุครัฐบาลทักษิณเรืองอำนาจสุดขีดเคยบริหารประเทศผิดพลาดและละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นร้ายแรงเทียบเท่ากับอาชญากรโลกจากนโยบายฆ่าตัดตอนสงครามกวาดล้างยาเสพติด ซึ่งมีการสังหารประชาชนผู้บริสุทธิ์ไปกว่า 2,500 ศพเพื่อสร้างผลงาน หรือนโยบายการอุ้มฆ่าทารุณกรรมชาวไทยมุสลิมในจังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งทนายสมชาย นีละไพจิตรทนายนักต่อสู้เพื่อชาวไทยมุสลิม หรือเหตุการณ์สลายการชุมนุมของชาวไทยมุสลิมที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส ทำให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 100 ศพ หรือเหตุการณ์ยิงถล่มมัสยิดกรือเซะ จ.ปัตตานี จนเป็นต้นเหตุสุมไฟก่อการร้ายในชายแดนภาคใต้ที่แทบจะมอดดับให้กลับมาลุกโชนจนบัดนี้ ยังไม่รวมความเลวร้ายและล้มเหลวภายใต้ระบอบทักษิณอีกมากมาย

แต่ทักษิณนอกจากไม่เคยขอโทษด้วยการกระทำต่อกรรมชั่วร้ายที่ตัวเองก่อไว้กับชาติบ้านเมืองเหลือคณานับแล้ว ตรงกันข้ามยังพยายามคิดที่จะลบล้างโทษความผิดของตัวเองเพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐและยังหวังที่จะกลับมาผูกขาดอำนาจเปลี่ยนแปลงประเทศครั้งใหญ่

ทีมข่าวการเมือง

ปรองดองยั่งยืนต้องก้าวข้ามทักษิณ ยึดนิติรัฐขจัดประชาธิปไตยจอมปลอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/197803

วันอาทิตย์ ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) แสดงท่าทีตอบรับหลังจากที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และเป็นหนึ่งในแกนนำคสช. เสนอแนวคิดให้ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางสร้างความปรองดองในชาติถือเป็นการส่งสัญญาณว่าคสช.กำลังจะผลักดันการสร้างความปรองดองอันเป็นหนึ่งในนโยบายสำคัญเพื่อการปฏิรูปประเทศให้สำเร็จภายในปีนี้ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปในปีหน้า

อย่างไรก็ตาม แนวคิดการสร้างความปรองดองหนีไม่พ้นที่จะต้องพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมให้แก่คู่ขัดแย้งทุกกลุ่มทุกสีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤติทางการเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ประเด็นสำคัญและเป็นเรื่องอ่อนไหวก็คือการนิรโทษกรรมจะครอบคลุมบุคคลในระดับไหนบ้าง เพราะมีบทเรียนครั้งสำคัญมาแล้วกรณีร่างกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอยโดยรัฐบาลหุ่นเชิดภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่บงการโดย นายทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีโทษจำคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาล โดยมีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษอันเป็นการทำลายหลักนิติรัฐเคยเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านจนกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองมาแล้ว

ความจริงแล้วไม่มีใครในชาติที่ไม่อยากเห็นการปรองดอง แต่การปรองดองต้องอยู่บนพื้นฐานของหลักนิติรัฐและความถูกต้องชอบธรรม ซึ่งแบบอย่างการสร้างความปรองดองในชาติซึ่งประสบความสำเร็จเคยมีตัวอย่างให้เห็นในหลายประเทศโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศแอฟริกาใต้ ขณะที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการอิสระและตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน และสถาบันพระปกเกล้าเคยศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองไว้แล้ว โดยเฉพาะคอป.เคยเสนอรายงานผลสรุปการศึกษาที่ใช้เวลาหลายปีให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่ถูกโยนทิ้งตะกร้าอย่างไม่สนใจ ทั้งๆ ที่เป็นทางออกการสร้างความปรองดองที่เป็นประโยชน์สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมืองเป็นอย่างยิ่ง แต่กลับถูกปัดทิ้งเพียงเพราะไม่สนองตอบความต้องการของนายใหญ่ทักษิณที่มุ่งแต่จะลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองเป็นสำคัญ

ตามกรอบการสร้างความปรองดองที่คอป.และ สถาบันพระปกเกล้าศึกษาไว้มีแนวคิดที่สอดคล้องกันคือหากจะสร้างความปรองดองคู่กรณีที่ขัดแย้งจะต้องมานั่งโต๊ะเจรจากันอย่างเปิดอกเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงแห่งความขัดแย้ง โดยทุกฝ่ายต้องยอมรับความผิดของตัวเองเพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต และผู้ที่ทำผิดต้องยอมรับโทษจากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการนิรโทษกรรม

อีกทั้งการนิรโทษกรรมควรมุ่งลบล้างโทษความผิดให้เฉพาะมวลชนทุกสีทุกกลุ่มที่ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสงบสันติในช่วงที่ผ่านมา โดยต้องไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีอาญาหรือคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงร้ายแรง รวมทั้งความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยโทษฐานหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เชื่อแน่ว่าทุกคนในชาติคงไม่ปฏิเสธ

ทั้งนี้การปรองดองต้องไม่ใช่เกิดจากการใช้วิธีการข่มขู่กดดันเพื่อให้ยกโทษความผิดแก่คนที่โกงชาติปล้นแผ่นดินหรือบงการก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนชาติพินาศย่อยยับ หรือใช้รัฐบาลหุ่นเชิดประชาธิปไตยจอมปลอมออกกฎหมายลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองทั้งๆ ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ

กรอบการนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองที่ถูกต้องชอบธรรมและเป็นไปได้จึงต้องอยู่บนหลักการที่ต้องยึดหลักนิติรัฐ ดังที่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ 2 สมัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เคยกล่าวไว้ว่า “การปรองดองต้องไม่ใช่ทำผิดให้เป็นถูก” มิฉะนั้นแล้วแทนที่จะสร้างความปรองดองกลับจะเป็นชนวนนำไปสู่วิกฤติทางการเมืองรอบใหม่

ดังนั้นการสร้างความปรองดองด้วยการนิรโทษความผิดให้คนทุกสีทุกกลุ่มทางการเมืองให้สำเร็จเสียทีเพื่อประเทศจะได้เดินหน้าไปได้อย่างยั่งยืนจึงถือเป็นปัญหาท้าทายและอ่อนไหวสำหรับคสช.และรัฐบาลซึ่งหากไม่ยึดหลักนิติรัฐและความถูกต้องชอบธรรมแทนที่จะแก้ปัญหากลับจะเป็นชนวนให้เกิดวิกฤติที่ร้ายแรงกว่า อีกทั้งการที่จะสร้างความปรองดองอย่างยั่งยืนยังต้องขจัดธุรกิจการเมืองและเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยอันชั่วร้ายซึ่งเป็นต้นเหตุรากเหง้าของความแตกแยกในชาติ
มิฉะนั้นวังวนวิกฤติความรุนแรงทางการเมืองรอบใหม่ก็ยังจะวนเวียนกลับมาและจบลงด้วยการรัฐประหารกลายเป็นวงจรอุบาทว์ซ้ำซากไม่รู้จบ

ทีมข่าวการเมือง

อิทธิพลธรรมกาย-ระบอบแม้วฝังรากลึก อันตรายต่อความมั่นคงของชาติ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/197716

วันเสาร์ ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ปัญหาประมุขสงฆ์องค์ใหม่นับว่าน่าวิตกแล้ว แต่ที่อันตรายต่อความมั่นคงของชาติยิ่งกว่าก็คืออิทธิพลของสำนักธรรมกายซึ่งเป็นพันธมิตรที่จับมือกับระบอบแม้วมานานที่ยังฝังรากลึกครอบงำทุกองคาพยพของประเทศ

ความเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นระหว่างสำนักจานบินกับระบอบแม้วเกิดจากมีนายทุน ซึ่งเป็นมหาเศรษฐีระดับต้นๆ ของประเทศคนหนึ่งเป็นตัวประสานโดยมหาเศรษฐีผู้นี้เป็นศิษย์เอกที่จับมือกับ ธัมมชโย ก่อตั้งสำนักจานบินตั้งแต่ยุคบุกเบิก
โดยไล่ที่ชาวบ้านย่านปทุมธานีเพื่อสร้างสำนักอันยิ่งใหญ่ ขณะเดียวกันมหาเศรษฐีผู้นี้ก็เป็นหนึ่งในนายทุนและผู้ร่วมก่อตั้งพรรคเพื่อแม้วตั้งแต่เมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

นอกจากมีผู้ประสานงานคนเดียวกันแล้ว เจ้าลัทธิจานบินกับนายใหญ่ระบอบแม้วยังมีแนวคิดทะเยอทะยานที่เหมือนกันคือคิดผูกขาดอำนาจยึดครองทุกองคาพยพ

ด้วยความเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นจึงไม่น่าแปลกในยุครัฐบาลระบอบแม้วเรืองอำนาจสุดขีดสามารถพลิกคดีที่ ธัมมชโย กำลังจะถูกศาลชี้ชะตากรณียักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท จนพ้นโทษอย่างไม่น่าเชื่อ ขอถอนฟ้องเอาดื้อๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง

ขณะที่ในทางการเมืองสำนักจานบินถูกตั้งข้อสังเกตว่าก็คือ ฐานคะแนนเสียง รวมทั้งฐานเคลื่อนไหวทางการเมืองสนับสนุนระบอบแม้วและกลุ่มเสื้อแดงทุกรูปแบบ สองพันธมิตรที่คิดการใหญ่ต่างเคลื่อนไหวคู่ขนานสนับสนุนซึ่งกันและกันโดยมีข้อสังเกตว่าระบอบแม้วมุ่งยึดอำนาจฝ่ายอาณาจักร ขณะที่ฝ่ายสำนักจานบินมุ่งแผ่ขยายอิทธิพลครอบงำฝ่ายศาสนจักร ด้วยการใช้ลาภ ยศ ผลประโยชน์ทุกรูปแบบพยายามซื้อบรรดาผีโม่แป้งในทุกหน่วยงาน องค์กร แม้แต่ในหมู่พระเถระผู้ใหญ่ตั้งแต่ระดับสูงสุดไปจนถึงระดับเจ้าอาวาสทั่วประเทศ รวมไปถึงข้าราชการระดับสูงในหน่วยราชการต่างๆ

อิทธิพลของสำนักจานบินยังถูกตั้งข้อสังเกตว่าครอบงำมหาเถรสมาคม(มส.) ซึ่งมี สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง แห่งวัดปากน้ำ ซึ่งเป็นพระอุปัชฌาย์ของธัมมชโย เป็นประธาน โดยมส.ส่อพฤติการณ์ปกป้อง ธัมมชโย ถึงกับไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ให้ ธัมมชโย ปาราชิกตั้งแต่เมื่อปี 2542 ซ้ำลงมติว่า ธัมมชโย พ้นผิดไม่ปาราชิก และล่าสุด มส.มีมติเสนอชื่อ สมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ท่ามกลางกระแสต่อต้านของพุทธศาสนิกชนจำนวนมาก

กรณี นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานคณะกรรมการสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นคนใกล้ชิดของ ธัมมชโย ซึ่งถูกดำเนินคดีฐานฉ้อโกงยักยอกเงินฝากของสหกรณ์มูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาทโดยเงินส่วนหนึ่งถูกโอนไปยัง ธัมมชโย และเครือข่ายสำนักธรรมกายเป็นอีกตัวอย่างที่สะท้อนให้เห็นอิทธิพลของลัทธิจานบินที่ฝังรากลึกและครอบคลุมไปแทบทุกวงการ

เพราะฉะนั้นไม่อาจปฏิเสธได้ว่าอิทธิพลที่ฝังรากลึกในทุกองคาพยพของประเทศของสำนักจานบินและระบอบแม้วอาจเป็นสัญญาณอันตรายต่อความมั่นคงของชาติจากความทะเยอทะยานคิดที่จะผูกขาดอำนาจ โดยเฉพาะหากสำนักจานบินสามารถยึดอำนาจศาสนจักรผ่านพระสังฆราชองค์ใหม่ ขณะที่ระบอบแม้วกลับมายิ่งใหญ่ได้เป็นรัฐบาล

ทีมข่าวการเมือง

นช.แม้วคนเดียวต้นเหตุสำคัญ ทำปรองดองล่มซ้ำซาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/197538

วันศุกร์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
แนวคิดของ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ที่เสนอให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวตั้งคณะกรรมการศึกษาหาแนวทางสร้างความปรองดอง หรือแนวคิดของ พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ที่เสนอตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข ส่อเค้าไม่เวิร์กเสียแล้วเพราะแกนนำสองพรรคใหญ่ต่างไม่เห็นด้วย

นายจุติ ไกรฤกษ์ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ เห็นว่าที่ผ่านมามีการตั้งองค์กรอิสระและคณะกรรมการไม่รู้กี่คณะจนมีผลสรุปการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองมากมาย รวมทั้งคณะกรรมการอิสระและตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่เสนอแนวทางสร้างความปรองดองอย่างเป็นขั้นตอนแล้วจึงมีการนิรโทษกรรมประชาชนทุกสีทุกกลุ่มโดยไม่ครอบคลุมผู้ทำผิดคดีทุจริต คดีอาญาร้ายแรง และคดีว่าด้วยโทษฐานหมิ่นเบื้องสูง เพราะฉะนั้นจึงไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาตั้งคณะกรรมการศึกษาอะไรอีก เพียงแต่ต้องลงมือปฏิบัติให้เป็นจริงเท่านั้น

ขณะที่แกนนำพรรคเพื่อแม้ว อาทิ นายอำนวย คลังผา อดีต สส.ลพบุรี หรือ นายประชา ประสพดี อดีต สส.สมุทรปราการ รวมทั้ง นายจตุพรพรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ประกาศหากรัฐบาลคสช.จริงใจสร้างความปรองดอง พล.อ.ประยุทธ์ สามารถใช้มาตรา 44 ได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาศึกษาอะไรอีก

แต่ที่สำคัญนายอำนวยและนายประชาแบไต๋ชัดเจนว่า หากจะสร้างความปรองดองต้องนับหนึ่งใหม่ด้วยการลบล้างโทษความผิดให้คนทุกกลุ่มทุกสีที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ทางการเมืองช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมารวมทั้ง นายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต และน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดซึ่งเป็นจำเลยคดีรับจำนำข้าว

ท่าทีของสองอดีตสส.พรรคเพื่อแม้วสอดคล้องกับจุดยืนของ นักโทษหนีคุกทักษิณที่เคยประกาศมาตลอดว่า หากจะปรองดองต้องเซทซีโร่ หรือเริ่มต้นทางการเมืองใหม่โดยทุกอย่างต้องกลับไปสู่สภาพเดิมก่อนที่จะมีการรัฐประหารเมื่อปี 2549 นั่นหมายถึงทักษิณ และเหล่าสาวกที่มีคดีร้ายแรงเป็นชนักปักหลังต้องพ้นโทษความผิดทั้งหมด

ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อแม้ว เคยพยายามผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีทุกกลุ่มที่ออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองช่วงที่ผ่านมาเพื่อสร้างความปรองดองโดยไม่รวม ทักษิณปรากฏว่า ทักษิณ ไม่พอใจเขี่ยร่างฉบับ นายวรชัย ทิ้งเพราะตัวเองไม่ได้ประโยชน์แล้วร่างใหม่เป็นฉบับสุดซอยซึ่งรัฐบาลยิ่งลักษณ์พยายามหักดิบผ่านร่างจนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาต่อต้าน

เพราะฉะนั้นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้การปรองดองไม่สำเร็จเสียทีจึงเกิดจากตัวการสำคัญเพียงคนเดียวคือทักษิณ ดังนั้นนายกฯลุงตู่ควรถือโอกาสก้าวข้ามทักษิณแล้วใช้มาตรา 44ประกาศนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกกลุ่มทุกสี อันจะเป็นผลงานยิ่งใหญ่ที่สร้างศรัทธาและคืนความสุขให้ประชาชนทั้งประเทศ

ทีมข่าวการเมือง

จับตาสมเด็จช่วงนั่งสังฆราช หวั่นธัมมชโยผงาดลอยนวล?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/197348

วันพฤหัสบดี ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

พฤติกรรมของมหาเถรสมาคม (มส.) ช่วงที่ผ่านมาถูกตั้งข้อสังเกตว่า ทำตัวลับๆ ล่อๆ เหมือนมีเบื้องหลังซ่อนเร้นโดยเฉพาะล่าสุดที่มีข่าวว่าแอบประชุมวาระลับพิเศษเมื่อวันที่ 5 ม.ค. ที่ผ่านมา แล้วมีมติเสนอชื่อสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ อาจารย์ของธัมมชโย เจ้าสำนักธรรมกายเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ จากนั้นวันที่ 11 ม.ค. ก็มีมติรับรองมติการประชุมลับพิเศษเมื่อวันที่ 5 ม.ค. อีกครั้งโดยมีการปิดข่าวเงียบทั้งๆ ที่เป็นเรื่องสำคัญที่ควรทำอย่างเปิดเผยสง่างาม

สำหรับภาพลักษณ์ของ มส.ชุดนี้นั้นถูกตั้งข้อสังเกตมาตลอดว่าอยู่ภายใต้อำนาจผลประโยชน์การครอบงำของ ธัมมชโย ซึ่งอยู่หลังฉากความพยายามผลักดัน สมเด็จช่วง ผู้เป็นอาจารย์ขึ้นคุมอำนาจสูงสุดของวงการสงฆ์ ซึ่งความร่วมมือกันของ ธัมมชโย และ สมเด็จช่วง สะท้อนชัดเจนจากคำกล่าวของ สมเด็จช่วง เองเมื่อครั้งวัดธรรมกายจัด “ธุดงค์ธรรมชัย” แห่กลางเมืองหลวงมุ่งสู่วัดปากน้ำเมื่อปี 2555 โดยมีการโปรยกลีบดอกกุหลาบและดาวเรืองตลอดทางที่ขบวนเดินผ่านท่ามกลางเสียงด่าขรมทั่วเมืองว่าสร้างภาพทำให้รถติดหนัก แต่ สมเด็จช่วง กลับกล่าวว่า “ตั้งแต่เกิดมาจนถึงบัดนี้ 87 ปีแล้ว เพิ่งจะวันนี้เองที่ได้เดินบนกลีบกุหลาบ จึงชื่นใจ”

แต่ที่สำคัญก็คือคำกล่าวของ สมเด็จช่วง กล่าวต่อญาติโยมที่วัดปากน้ำในปีเดียวกันมีใจความตอนหนึ่งว่า “ถือว่าวัดปากน้ำกับวัดพระธรรมกายเป็นวัดพี่น้องหรือเสมือนหนึ่งว่าเป็นวัดเดียวกัน มีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน วัดปากน้ำมีวัดพระธรรมกายมีอะไรก็ช่วยเหลือเกื้อกูลกัน แต่ส่วนใหญ่วัดพระธรรมกายให้กับวัดปากน้ำเป็นส่วนใหญ่ เป็นต้นว่า พระมหาเจดีย์ที่ท่านทั้งหลายกำลังนั่งเห็นอยู่นี้ วัดพระธรรมกายถวายจตุปัจจัยมา 30 ล้านบาท ทองคำอีกจำนวนหนึ่ง แล้วก็พระธาตุอื่นๆ อีกจำนวนมาก ทุกอย่างท่านให้ สละ เพราะถือว่าเป็นวัดพี่วัดน้องหรือเป็นวัดเดียวกัน”

พฤติกรรมส่อปกป้อง ธัมมชโย ของสมเด็จช่วงถึงกับเคยทูลเกล้าฯเลื่อนสมณศักดิ์ให้ ธัมมชโย เมื่อปี 2554 ทั้งๆ ที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เคยมีพระบัญชาให้ ธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระตั้งแต่เมื่อปี 2542 ฐานยักยอกเงินวัดธรรมกายจากการบริจาคของสาธุชนมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท และยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้ มส.ซึ่งมี สมเด็จช่วง เป็นประธานแอบประชุมลับโดยนอกจากไม่ปฏิบัติตามพระบัญชาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ซ้ำยังลงมติให้ ธัมมชโย ไม่ปาราชิกพ้นจากความเป็นพระ

ล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมากรมสอบสวนคดีพิเศษได้ส่งผลการตรวจสอบโดยชี้ชัดว่า ธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระไปยัง มส. ขณะที่ ธัมมชโย มีคดียักยอกทรัพย์ติดตัวอีกหลายคดีโดยเฉพาะพัวพันคดีทุจริตเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

การที่พุทธศาสนิกชนหลายกลุ่มออกมาคัดค้านการเสนอชื่อสมเด็จช่วงเป็นพระสังฆราชอาจเพราะวิตกว่า หากสมเด็จช่วงขึ้นเป็นประมุขสงฆ์จะส่งผลให้ธัมมชโยลอยนวลพ้นข้อหาปาราชิกตามผลสอบของดีเอสไอ รวมทั้งคดีอื้อฉาวอื่นๆ และกลับมาผงาดมีอิทธิพลมากขึ้น ขณะที่สำนักธรรมกาย รวมทั้งกลุ่มอำนาจเก่าซึ่งเป็นพันธมิตรมีสิทธิแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลยึดครองประเทศ

ทีมข่าวการเมือง

หลายคำถามถึงสมเด็จช่วง รอพิสูจน์ความสะอาดสง่างาม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/197182

วันพุธ ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
แม้ตาม พ.ร.บ.สงฆ์จะให้อำนาจเบื้องต้นแก่มหาเถรสมาคม (มส.) ในการเสนอรายชื่อพระเถระผู้มีอาวุโสสูงสุด ซึ่งก็คือสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วงเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ พระอุปัชฌาย์ของธัมมชโย แห่งวัดพระธรรมกาย เป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ แต่ก็ยังผ่านขั้นตอนสำคัญอีกถึง 2 ด่าน นั่นคือต้องส่งรายชื่อไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยหากเห็นชอบจากนั้นจึงนำรายชื่อขึ้นทูลเกล้าฯเพื่อสถาปนาเป็นสมเด็จพระสังฆราช แต่การตั้งประมุขสงฆ์
เรื่องสำคัญจึงไม่เพียงยึดตัวบทกฎหมายแต่ยังต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมควบคู่ไปด้วย เพราะหากผิดพลาดอาจนำไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติและในหมู่สงฆ์อย่างรุนแรงซึ่งเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของชาติ

พระสังฆราชองค์ใหม่ต้องมีพฤติกรรมปูมหลังและจริยวัตรของสงฆ์ที่งดงามไร้ข้อครหา แต่ สมเด็จช่วง ถูกตั้งคำถามและถูกต่อต้านจากผู้คนจำนวนมาก อย่างน้อยพุทธศาสนิกชน 3 แสนคน ซึ่งหลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐมได้นำรายชื่อยื่นต่อรัฐบาลก่อนหน้านี้

หลายคำถามสำหรับ สมเด็จช่วง รวมไปถึง มส.ที่ถูกตั้งข้อสงสัยว่าตกอยู่ภายใต้อำนาจเงินและผลประโยชน์ของ ธัมมชโย ซึ่งหลายเรื่องขัดต่อกฎหมายและพระธรรมวินัยร้ายแรง โดยคำถามสำคัญก็คือ ทำไม สมเด็จช่วง และมส.ถึงกล้าขัดพระบัญชาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ให้ธัมมชโย ปาราชิกไปตั้งแต่เมื่อปี 2542ฐานยักยอกเงินบริจาคประชาชนเกือบ
1,000 ล้านบาท เป็นสมบัติส่วนตัวยังไม่รวมพฤติการณ์อื่นของเจ้าสำนักธรรมกายอีกมากมาย โดยที่ สมเด็จช่วงและมส.ส่อพฤติการณ์ปกป้องสนับสนุนธัมมชโย มาอย่างต่อเนื่อง

อีกเรื่องหนึ่ง ทั้งๆ ที่มีพระบัญชาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ให้ ธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นพระไปแล้ว แต่ทำไม สมเด็จช่วงและมส.จึงฝืนพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชด้วยการมีมติเลื่อนสมณศักดิ์ให้ธัมมชโย เป็นกรณีพิเศษ ทั้งๆ ที่มีชนักปักหลังพ้นความเป็นสงฆ์ไปแล้วโดยนำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯ เลื่อนสมณศักดิ์เมื่อปี 2554 และมีข่าวร่ำลือว่า สมเด็จช่วง มอบพัดยศให้ ธัมมชโย ทั้งๆ ที่การมอบพัศยศให้พระสงฆ์ที่ได้รับเลื่อนสมณศักดิ์เป็นพระราชอำนาจ

นอกจากนี้ยังมีข้อครหากรณี สมเด็จช่วง สะสมทรัพย์สินและมีรถหรูหลายสิบคันโดยรับทรัพย์สินจาก ธัมมชโยมหาศาล ซึ่งขัดต่อวัตรปฏิบัติอันงดงามของสงฆ์ซึ่งควรละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเถระผู้ใหญ่ที่อยู่ในข่ายจะได้รับการเสนอชื่อเป็นพระสังฆราชองค์ใหม่ แต่ สมเด็จช่วง กลับส่อมีวัตรปฏิบัติซึ่งต่างจาก สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ที่ทรงไม่สะสมทรัพย์สินใดๆ ทั้งสิ้นโดยทรงใช้ชีวิตอย่างสมถะตลอดพระชนม์ชีพเป็นแบบอย่างของสงฆ์อย่างแท้จริง

สำหรับมส.นั้นล่าสุดมีพฤติการณ์ลับๆ ล่อๆ น่าเคลือบแคลงด้วยการแอบประชุมลับพิเศษเมื่อวันที่ 5 ม.ค.ที่ผ่านมานี่เองโดยข่าวว่าแอบลงมติเสนอชื่อ สมเด็จช่วง เป็นพระสังฆราชองค์ใหม่

อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่นั้น ยังต้องผ่านด่านสำคัญคือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ย้ำชัดเจนว่าถ้ามีปัญหาจะไม่นำชื่อขึ้นทูลเกล้าฯให้เป็นที่ระคายเบื้องพระยุคลบาทเด็ดขาด อีกทั้งการสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชถือเป็นพระราชอำนาจ

ทีมข่าวการเมือง