วัดใจมส.ชี้ชะตาธัมมชโย หลังดีเอสไอชี้ชัดปาราชิก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/196997

วันอังคาร ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
หลังจากที่ก่อนหน้านี้หลวงปู่พุทธะอิสระเจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม เคยไปยื่นเรื่องต่อกองปราบปรามรวมทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)เพื่อให้ตรวจสอบว่าพระธัมมชโยเจ้าอาวาสวัดพระธรรมกายปาราชิกพ้นความเป็นสงฆ์ตามพระบัญชาของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช จนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วดีเอสไอสรุปผลตรวจสอบชี้ชัดว่าพระธัมมชโยปาราชิกจริงและส่งผลตรวจสอบไปยังมหาเถรสมาคม (มส.)เพื่อดำเนินการขั้นต่อไปแล้ว เพราะฉะนั้นคงต้องจับตาดูว่ามส.จะมีท่าทีอย่างไรต่อปัญหาของพระธัมมชโยที่ยืดเยื้อมานานนับสิบปี

ประเด็นที่ถูกจับตาก็คือพฤติกรรมภาพลักษณ์ของพระเถระผู้ใหญ่ในมส.กว่าครึ่งที่มีข้อครหามานานและถูกตั้งข้อสังเกตว่าอยู่ภายใต้อิทธิพลผลประโยชน์ของพระธัมมชโย จึงคอยปกป้องพระธัมมชโยไม่ให้ต้องพ้นความเป็นสงฆ์มาตลอด ถึงขนาดขัด
พระบัญชาของ สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราช ที่ตรวจสอบจนมีพระบัญชาว่า พระธัมมชโย ปาราชิกพ้นความเป็นสงฆ์กรณียักยอกเงินบริจาคของประชาชนมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท

ที่สำคัญ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชซึ่งทำหน้าที่ประธานมส. เป็นพระอุปปัชฌาย์ของ พระธัมมชโย ถูกครหาว่าคอยปกป้อง พระธัมมชโย ซึ่งเป็นลูกศิษย์มาตลอดเช่นกัน

นอกจากการชี้ชะตา พระธัมมชโยแล้วยังมีเรื่องสำคัญที่เกี่ยวข้องกันซึ่งรอการวัดใจจาก มส.เช่นกันคือปัญหาการเสนอชื่อพระเถระผู้ใหญ่ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ ซึ่ง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง เป็นพระเถระผู้ใหญ่ที่มีอาวุโสสูงสุดจึงอยู่ในอันดับต้นที่จะได้รับการเสนอชื่อเป็นพระสังฆราช แต่ก่อนหน้านี้เครือข่ายกลุ่มองค์กรพุทธศาสนิกชนออกมาคัดค้านและเรียกร้องให้มีการชะลอการแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ไว้ก่อนเนื่องจากพฤติการณ์ของ สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ช่วง ที่ผ่านมา
ทั้งจากการปกป้อง พระธัมมชโย ขัดพระบัญชาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช จึงหวั่นเกรงว่าหากขึ้นเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่จะเป็นชนวนให้เกิดความแตกแยกในบ้านเมือง

เพราะฉะนั้นคงต้องจับตามส.ว่าจะมีจุดยืนอย่างไรต่อปัญหาชะตากรรมของพระธัมมชโยหลังดีเอสไอชี้ชัดทนโท่แล้วว่าปาราชิกต้องพ้นสภาพความเป็นสงฆ์ และการเสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่ ซึ่งความจริงการชี้ชะตาของพระธัมมชโยให้พ้นจากความเป็นสงฆ์น่าจะเป็นเรื่องเร่งด่วนเพราะชัดเจน อย่างไรก็ตาม คงต้องรอพิสูจน์วัดใจมส.ว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลผลประโยชน์ของพระธัมมชโยอย่างที่สังคมตั้งข้อสงสัยหรือไม่ ส่วนเรื่องการเสนอชื่อพระสังฆราชองค์ใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนอะไรสำหรับชาติบ้านเมือง แต่ที่สำคัญคือหากเสนอชื่อแล้วทำให้เกิดความแตกแยกในชาติก็ควรชะลอไว้ก่อน

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วอ้าปากก็เห็นลิ้นไก่ แบไต๋มุ่งแต่ล้างโทษทักษิณ-ยิ่งลักษณ์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/196820

วันจันทร์ ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
หลังจากที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)เสนอแนวคิดให้พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวตั้งคณะกรรมการหาแนวทางสร้างความปรองดอง ซึ่งพล.อ.ประยุทธ์มีท่าทีตอบรับ ขณะที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติก็มีแนวคิดตั้งคณะกรรมการวิสามัญศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข ปรากฏว่าบรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วดาหน้าออกมาต่อต้านแนวคิดสร้างความปรองดอง

โดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มเสื้อแดง ถึงกับกล่าวว่าเป็นแนวคิดลวงโลกการปรองดองปัญหาอยู่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ เพียงคนเดียวว่าจะทำจริงหรือเปล่า วันนี้กล้าแม้แต่นิรโทษกรรมตัวเอง แต่ทำไมไม่กล้านิรโทษกรรมให้ประชาชนบ้าง

ขณะที่ นายประชา ประสพดี อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อแม้ว แบะท่าเผยไต๋โดยเสนอว่า ถ้าจะปรองดองต้องทบทวนกระบวนการยุติธรรมในอดีตใหม่ทั้งหมด อย่างคดีทุจริตการจัดซื้อที่ดินย่านรัชดาภิเษกที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นนักโทษหนีโทษจำคุก 2 ปีโดยไม่รอลงอาญาตามคำพิพากษาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง รวมทั้งคดีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ซึ่งเป็นจำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายล่มจมแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ส่วน นายวรชัย เหมะ อดีตสส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อแม้ว กล่าวคัดค้านการตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองโดยกล่าวว่าไม่รู้จะตั้งไปเพื่ออะไร ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยสำเร็จเป็นรูปธรรม และอ้างว่าขณะนี้กลุ่มการเมืองทุกกลุ่มไม่ได้มีปัญหาขัดแย้งกัน แต่ปัญหาคือพล.อ.ประยุทธ์ ขัดแย้งกับทุกกลุ่ม

ด้าน นายนพดล ปัทมะ อดีตรมว.ต่างประเทศ ทนายหน้าหอของทักษิณ กล่าวว่าแนวคิดตั้งคณะกรรมการศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองก็แค่ให้สังคมรู้สึกดี เป็นการตั้งตามกระแสและเป็นแค่ฝันลมๆ แล้งๆ ไม่น่าจะมีผลอะไร

หากย้อนไปในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มี ดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน เคยสรุปผลแนวทางสร้างความปรองดองโดยต้องไม่ทำลายหลักนิติรัฐและไม่ครอบคลุมคดีทุจริตหรือคดีอาญาร้ายแรงหรือคดีที่เกี่ยวกับการหมิ่นเบื้องสูง เสนอต่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แต่รัฐบาลยิ่งลักษณ์โยนทิ้งลงตะกร้าอย่างไม่สนใจเพราะไม่ตอบสนองความต้องการของ ทักษิณ หรือการที่ก่อนหน้านี้หลายฝ่ายเคยเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนทุกสีทุกกลุ่มที่เกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงที่ผ่านมาโดยไม่ครอบคลุมคนบงการหรือแกนนำที่สุมไฟให้เกิดความรุนแรง แต่ ทักษิณ กลับสั่งโยนทิ้งแล้วสั่งให้ยกร่างใหม่กลายเป็นร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดทั้งหมดให้ ทักษิณ เพื่อจะได้กลับบ้านแบบเท่ๆ โดยไม่ต้องรับโทษความผิดจนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาชุมนุมแสดงพลังต่อต้านจนกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองครั้งใหญ่

เพราะฉะนั้นการปรองดองภายใต้จุดยืนของขบวนการเพื่อแม้วคือต้องตอบสนองประโยชน์ของทักษิณเท่านั้น ตราบใดที่การปรองดองไม่นำไปสู่การลบล้างโทษความผิดให้กับทักษิณและคนตระกูลชิน ตราบนั้นการตีรวนป่วนเมืองทั้งบนดินและใต้ดินจะยังมีต่อไปโดยไม่คำนึงถึงหายนะที่จะเกิดกับชาติบ้านเมือง

ทีมข่าวการเมือง

จับตา3ปมร้อนประเดิมปีวอก วิกฤติรธน.-คดีจำนำข้าว-ม็อบสวนยาง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/196654

วันอาทิตย์ ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
เริ่มต้นปีวอก 2559 มีสถานการณ์สองปมร้อนที่ต้องจับตานั่นคือการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเห็นโฉมหน้าอย่างเป็นทางการในช่วงปลายเดือนนี้ ขณะที่คงต้องรอลุ้นคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและความรับผิดชอบทางละเมิดโครงการรับจำนำข้าวซึ่งจะสรุปผลการตรวจสอบและฟ้องร้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินฐานกระทำผิดต่อหน้าที่ปล่อยให้มีการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายต่อประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ และล่าสุดก็คือปัญหาราคายางตกต่ำเป็นประวัติการณ์จนชาวสวนยางนัดลุกฮือกดดันรัฐบาล

ในกรณีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำลังใกล้จะได้ข้อสรุปซึ่งโฉมหน้าของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะเป็นตัวชี้วัดว่า ร่างจะผ่านการทำประชามติและเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ โดย นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) ยืนยันว่าขณะนี้มาถึงขั้นตอนสุดท้ายที่จะได้เห็นโฉมหน้าร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในไม่ช้านี้โดยจะมีการพิจารณารายมาตราระหว่างวันที่ 11-17 ม.ค.นี้

นายมีชัย ย้ำเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ต้องอยู่ภายใต้กรอบและครอบคลุมการปฏิรูปขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่น ธุรกิจการเมือง ปฏิรูประบบราชการ รวมทั้งปฏิรูปตำรวจ ตลอดจนการสร้างความปรองดอง

ขณะที่ปมร้อนแนวคิดในร่างรัฐธรรมนูญใหม่ที่ถูกบรรดาพรรคการเมืองต่อต้านอย่างหนักก็คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์การปฏิรูปและการปรองดองแห่งชาติ(คปป.)ซึ่งกำหนดให้มีองค์กรซึ่งมีอำนาจพิเศษเข้ามาคลี่คลายวิกฤติของบ้านเมือง อย่างไรก็ตาม นายมีชัย ส่งสัญญาณชัดเจนว่า จะไม่บัญญัติประเด็นนี้ไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แน่นอนเพื่อลดปัญหาความขัดแย้งแต่อาจจะกำหนดให้ศาลรัฐธรรมนูญเป็นผู้ชี้ขาดในกรณีหากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเผชิญวิกฤติจนไม่สามารถใช้อำนาจปกติแก้ไขสถานการณ์ได้ก็สามารถที่เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อขอใช้อำนาจพิเศษเพื่อผ่าทางตันวิกฤติของประเทศ

ทั้งนี้ประธานยกร่างรัฐธรรมนูญยังกล่าวดักคอบรรดาพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยที่จ้องล้มร่างรัฐธรรมนูญในขั้นลงประชามติว่าจะต้องรับผิดชอบหากร่างรัฐธรรมนูญถูกคว่ำ

แนวโน้มสถานการณ์ที่จะต้องจับตาก็คือ แม้จะไม่มีการกำหนดประเด็นเรื่องคปป.ในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ แต่พรรคเพื่อไทยส่อพฤติการณ์ที่จะสร้างสถานการณ์ให้เกิดความวุ่นวายในช่วงการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญด้วยการอ้างความไม่เป็นประชาธิปไตยของร่างรัฐธรรมนูญในประเด็นอื่นๆ อาทิ การเปิดช่องให้คนนอกที่ไม่ได้เป็น สส.มีโอกาสเป็นนายกฯหลังการ
เลือกตั้งหรือประเด็นสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อม

ด้านอีกปมร้อนหนึ่งต้อนรับปีวอกกรณีการฟ้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินในโครงการรับจำนำข้าวซึ่งคาดว่าจะเป็นมูลค่าไม่ต่ำกว่า 2 แสนล้านบาทนั้น หากรัฐบาลส่งฟ้องก็จะนำไปสู่กระบวนการยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังไม่พูดถึงคดีทางอาญาซึ่งนับถอยหลังไปสู่การชี้ชะตาของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ซึ่งหากศาลฎีกาตัดสินว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ มีความผิดมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 10 ปี

ทั้งนี้ชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นสิ่งที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ นักโทษหนีโทษจำคุกคดีทุจริตผู้เป็นพี่ชาย คงทนเห็นน้องสาวเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายไม่ได้เด็ดขาด ดังนั้นที่ผ่านมาพลพรรคขบวนการระบอบทักษิณต่างดาหน้าออกมาปกป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ดุเดือดเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเคลื่อนไหวโจมตีคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. แบบดับเครื่องชนทั้งบนดินและใต้ดิน

ส่วนปมร้อนล่าสุดสำหรับรัฐบาลก็คือการนัดรวมตัวและอดข้าวประท้วงของชาวสวนยางในภาคใต้ในวันที่ 12 ม.ค.นี้ จากปัญหาราคายางตกต่ำเหลือเพียง กก.ละไม่ถึง 30 บาท

จากปมร้อนทั้งจากวิกฤติรัฐธรรมนูญ ชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จากพิษโครงการรับจำนำข้าวรวมทั้งปัญหาม็อบชาวสวนยางล้วนเป็นระเบิดเวลาทางการเมือง ซึ่งเป็นปัญหาท้าทายอำนาจรัฐประเดิมต้อนรับปีวอก

ทีมข่าวการเมือง

รัฐ-ชาวสวนยางต้องใช้สติ หาทางออกเชิงสร้างสรรค์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/196536

วันเสาร์ ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ทุกวันนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องมาเช็ดขี้เช็ดเยี่ยวและซ่อมแซมบ้านเมืองที่แทบกลายเป็นซากปรักหักพังจากผลงานรัฐบาลลากตั้งระบอบทักษิณที่อึฉี่เรี่ยราดอย่างไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งหนึ่งในผลพวงอัปยศของรัฐบาลทักษิณก็คือทิ้งปัญหาราคายางตกต่ำที่ยังสร้างความเสียหายให้ประเทศมาจนทุกวันนี้

หากยังจำกันได้ยุครัฐบาลพรรคไทยรักไทยผลักดันนโยบายส่งเสริมให้เกษตรกรทั่วประเทศปลูกยางกันขนานใหญ่ จากเดิมที่ปลูกกันเฉพาะภาคใต้กลายเป็นปลูกยางทั้งภาคตะวันออกและภาคอีสาน และถึงขนาดดันโครงการซื้อกล้าพันธุ์ยางนับล้านต้นแจกให้เกษตรกรทั่วประเทศปลูก ท่ามกลางข่าวทุจริต ซึ่งผลพวงจากการส่งเสริมให้ปลูกยางอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ปัจจุบันยางล้นประเทศ ราคาตกเพราะยางค้างสต๊อกอยู่เป็นจำนวนมาก ทั้งนี้ปัจจุบันพื้นที่ปลูกยางทั่วประเทศมีจำนวนถึง 5 ล้านไร่ ซึ่งเกินความต้องการของตลาดมหาศาล

นอกจากปัญหาผลผลิตยางภายในประเทศที่ล้นตลาดแล้ว รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ยังโชคไม่ดีเข้ามาบริหารประเทศในช่วงที่เศรษฐกิจโลกย่ำแย่ และราคาน้ำมันดิ่งลงเป็นประวัติการณ์ยิ่งทำให้ราคายางตกฮวบ ประกอบกับช่วงหลังจีนซึ่งเป็นผู้ซื้อยางรายใหญ่จากไทยหันไปปลูกยางเองในประเทศเวียดนาม กัมพูชา และลาว ทำให้ยางไทยยิ่งขายไม่ออกและราคาตกต่ำ

จากวิกฤติราคายางที่ต่ำเป็นประวัติการณ์เหลือแค่ 4 โลร้อย ทำให้ม็อบชาวสวนยางภาคใต้เริ่มก่อหวอดโดยบางส่วนเตรียมนัดชุมนุมและอดข้าวประท้วงในวันที่ 12 ม.ค.นี้ ขณะที่นายกฯลุงตู่ ประกาศกร้าวเตือนม็อบเกษตรกรสวนยางภาคใต้และย้ำจะไม่ยอมตามแรงกดดันของม็อบชาวสวนยางอย่างเด็ดขาด

จากปัญหาเผชิญหน้าระหว่างม็อบชาวสวนยางภาคใต้และรัฐบาลที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจทั้งสองฝ่าย เพราะเป็นที่รู้กันว่าการปลูกยางคืออาชีพหลักที่ผูกพันกับเกษตรกรส่วนใหญ่ในภาคใต้มาช้านาน ซึ่งการที่ยางราคาตกต่ำเป็นประวัติการณ์ย่อมเดือดร้อนแสนสาหัส ขณะเดียวกันรัฐบาลชุดนี้ต้องเข้ามาแก้ปัญหาทั้งที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ทิ้งไว้ รวมทั้งปัญหาใหม่ที่ซ้ำเติม ขณะที่รัฐเองก็มีงบประมาณไม่มากและต้องการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืนไม่ต้องการใช้วิธีแก้ปัญหาแบบฉาบฉวยหาเสียงแบบนักการเมืองด้วยการทุ่มงบประมาณมหาศาลพยุงราคายางจนเป็นภาระทางการคลังของประเทศในอนาคต

เมื่อเป็นเรื่องที่น่าเห็นใจทั้งฝ่ายรัฐและชาวสวนยาง ทางออกที่ดีที่สุดเพื่อคลี่คลายไม่ให้เหตุการณ์บานปลายและสมประโยชน์ทั้งสองฝ่ายคือหันหน้ามาหารือเพื่อหาทางออกอย่างสร้างสรรค์ โดยประเด็นสำคัญคือความเดือดร้อนของชาวสวนยางที่เป็นปัญหาเฉพาะหน้า แต่การที่ชาวสวนยางจะเรียกร้องให้รัฐพยุงราคา กก.ละ 60 กว่าบาท อาจจะเป็นตัวเลขที่สูงเกินไป จึงน่าที่จะมีการหารือตัวเลขความช่วยเหลือที่เหมาะสม ขณะเดียวกันรัฐบาลอาจจัดหาเงินให้กู้ยืมปลอดดอกเบี้ยหรือดอกเบี้ยต่ำแก่ชาวสวนยางเพื่อไปลงทุนทำอาชีพอื่นหรือปลูกพืชทางเลือกอื่นเพื่อเสริมรายได้

ทั้งนี้สิ่งสำคัญทั้งรัฐและชาวสวนยางต้องใช้ท่าทีที่เป็นมิตรพร้อมที่จะหารือเพื่อร่วมกันหาทางออก เพราะหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งใช้ท่าทีที่แข็งกร้าวโดยไม่รับฟังอีกฝ่ายหนึ่ง ผลก็คือไม่มีฝ่ายใดได้ประโยชน์ มีแต่ความเสียหายที่จะเกิดกับชาติบ้านเมือง

ทีมข่าวการเมือง

ประมุขสงฆ์ควรสะอาดสง่างาม ไร้ครหาแปดเปื้อนการเมืองผลประโยชน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/196355

วันศุกร์ ที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

อาจเรียกได้ว่าไม่เคยปรากฏมาก่อนในวงการสงฆ์เมื่อกลุ่มพุทธศาสนิกชนรวมตัวกันเรียกร้องให้องค์กรสงฆ์ชะลอการเสนอรายชื่อพระเถระผู้ใหญ่ขึ้นเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่ โดยเครือข่ายปกป้องพระเกียรติสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชและเครือข่ายสตรีปกป้องพระศาสนานำโดย นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้ยื่นหนังสือผ่านไปยังพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เพื่อคัดค้านและขอให้ชะลอการประชุมของมหาเถรสมาคม (มส.) เพื่อแต่งตั้งพระสังฆราชองค์ใหม่ในวันที่ 11 ม.ค.นี้

ทั้งนี้ กลุ่มเครือข่ายที่นำโดย นายไพบูลย์ เห็นว่า ตาม พ.ร.บ.สงฆ์มาตรา 7 กำหนดขั้นตอนการเสนอแต่งตั้งพระสังฆราชก่อนทูลเกล้าฯถวายเพื่อทรงสถาปนาให้เป็นอำนาจของนายกฯที่จะพิจารณาก่อน จึงค่อยส่งรายชื่อผู้เหมาะสมเป็นพระสังฆราชให้มส.พิจารณารายนามนั้น ซึ่งการประชุมมส. ในวันที่ 11 ม.ค.จึงทำผิดขั้นตอน

นอกจากนี้สมเด็จพระราชาคณะผู้มีอาวุโสสูงสุดที่น่าจะได้รับการเสนอแต่งตั้งเป็นสมเด็จพระสังฆราชซึ่งคงหมายถึง สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ (ช่วง วรปุญฺโญ) แห่งวัดปากน้ำ ผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช ยังมีข้อครหาในความไม่เหมาะสมหลายประการ โดยเฉพาะกรณีส่อเจตนาปกป้อง ธัมมชโย เจ้าสำนักธรรมกาย ซึ่งเป็นลูกศิษย์ไม่ให้ต้องโทษปาราชิกตามพระวินิจฉัยของสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช จากการที่ ธัมมชโย เคยถูกดำเนินคดีข้อหายักยอกเงินบริจาคของประชาชนมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท ในอดีต

อีกทั้งการทูลเกล้าฯเสนอรายชื่อเพื่อทรงสถาปนาสมเด็จพระสังฆราชนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่จะต้องมีการกลั่นกรองเป็นอย่างดีเพื่อไม่ให้ระคายเบื้องพระยุคลบาท

ที่ผ่านมาพระเถระผู้ใหญ่เสียงข้างมากในมส.ถูกตั้งข้อสังเกตว่าปกป้อง ธัมมชโย มาตลอดโดยมีเรื่องผลประโยชน์และการเมืองซ่อนอยู่เบื้องหลัง ซึ่งพฤติกรรมของพระเถระผู้ใหญ่ในมส.ที่ปกป้อง ธัมมชโย บางรูปสะท้อนความยึดติดมัวเมาในกิเลสวัตถุทางโลกอย่างชัดเจน ถึงขนาดใช้เงินมหาศาลจัดขบวนแห่อย่างใหญ่โตมโหฬาร แห่แหนไปตามท้องถนนทำให้รถติดอย่างหนักเพียงเพื่อฉลองวันเกิดและแสดงให้เห็นถึงสถานะอันยิ่งใหญ่ของตัวเอง

ในทางการเมืองนั้นมีการตั้งข้อสังเกตว่า ในยุคระบอบทักษิณเรืองอำนาจสุดขีดได้สมคบกับลัทธิจานบินซึ่งมอมเมาประชาชนด้วยการเผยแพร่แนวคิดที่ผิดเพี้ยนจากหลักธรรมของพุทธศาสนา โดยระบอบทักษิณมีความทะเยอทะยานคิดที่จะผูกขาดอำนาจยึดครองทุกองคาพยพของประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยเฉพาะอำนาจทางการเมืองคือรัฐบาลและอำนาจฝ่ายสงฆ์โดยมีความพยายามผลักดันคนของลัทธิจานบินขึ้นเป็นประมุขสงฆ์มาตลอด

ดังนั้นแม้ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ จะอ้างว่ากฎหมายล็อกให้มส.เป็นผู้เสนอชื่อสมเด็จพระสังฆราช และกำหนดให้พระสังฆราชต้องเป็นพระเถระที่มีอาวุโสสูงสุดเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การตั้งสมเด็จพระสังฆราชองค์ใหม่เป็นเรื่องสำคัญที่พุทธศาสนิกชนจำนวนนี้จับตาโดยผู้ที่จะขึ้นเป็นประมุขสงฆ์องค์ใหม่จึงควรเป็นเถระผู้ใหญ่ที่ไร้ข้อครหามีปูมหลังที่สะอาดบริสุทธิ์สง่างามอย่างแท้จริงและตัดแล้วซึ่งกิเลสความอยากทะเยอทะยานทั้งปวง มิฉะนั้นอาจเป็นชนวนที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงของคนในชาติ

ทีมข่าวการเมือง

ปรองดองเป็นไปได้ แต่ต้องไม่ทำผิดให้เป็นถูก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/196160

วันพฤหัสบดี ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.
การที่นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.) และเป็นหนึ่งในแกนนำของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)เสนอแนวคิดให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ใช้อำนาจตามมาตรา 44ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อตั้งคณะกรรมการกำหนดแนวทางสร้างความปรองดองในชาติ ถือเป็นการส่งสัญญาณที่ต้องจับตา

หากจะพูดถึงแนวคิดการสร้างความปรองดองก็คงต้องพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมให้แก่คนทุกกลุ่มทุกสีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับวิกฤติทางเมืองช่วงหลายปีที่ผ่านมา แต่ประเด็นสำคัญและเป็นเรื่องอ่อนไหวก็คือการนิรโทษกรรมจะครอบคลุมบุคคลในระดับไหนบ้าง โดยต้องไม่ลืมบทเรียนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมแบบสุดซอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตรอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตเคยเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคน ออกมาแสดงพลังต่อต้านจนกลายเป็นวิกฤติทางการเมืองมาแล้ว

เพราะฉะนั้นหากจะมีการนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองต้องมีกรอบที่ชัดเจน โดยพิจารณาแบบอย่างจากหลายประเทศที่ประสบความสำเร็จมาแล้ว โดยเฉพาะ“เนลสัน แมนเดลา โมเดล” ของแอฟริกาใต้ ซึ่งที่ผ่านมาคณะกรรมการอิสระและตรวจสอบค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มีดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน และสถาบันพระปกเกล้า เคยศึกษาไว้แล้ว แต่ถูกรัฐบาลยิ่งลักษณ์โยนทิ้งตะกร้าเพราะไม่สนองตอบความต้องการของนายใหญ่นักโทษหนีคุกที่มุ่งแต่จะลบล้างโทษความผิดให้ตัวเอง

กรอบการสร้างความปรองดองที่คอป.และ สถาบันพระปกเกล้าศึกษาไว้มีแนวคิดที่สอดคล้องกันคือหากจะสร้างความปรองดองคู่กรณีที่ขัดแย้งจะต้องมานั่งโต๊ะเจรจากันอย่างเปิดอกเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงแห่งความขัดแย้ง โดยทุกฝ่ายต้องยอมรับความผิดของตัวเองเพื่อเป็นบทเรียนไม่ให้เกิดปัญหาอีกในอนาคต และยอมรับโทษหากทำผิดกฎหมายอย่างร้ายแรง จากนั้นจึงเข้าสู่กระบวนการนิรโทษกรรม

อีกทั้งการนิรโทษกรรมควรมุ่งลบล้างโทษความผิดให้เฉพาะมวลชนทุกสีทุกกลุ่มที่ร่วมเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างสงบสันติในช่วงที่ผ่านมา โดยต้องไม่ครอบคลุมคดีทุจริต คดีอาญาหรือคดีที่เกี่ยวกับความมั่นคงร้ายแรง รวมทั้งความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยโทษฐานหมิ่นเบื้องสูง ซึ่งหากเป็นเช่นนี้เชื่อแน่ว่าทุกคนในชาติคงไม่ปฏิเสธ

ที่สำคัญการปรองดองต้องไม่ใช้วิธีการข่มขู่กดดันเพื่อให้ยกโทษความผิดแก่คนที่โกงชาติปล้นแผ่นดินและบงการก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองจนชาติพินาศย่อยยับ หรือใช้รัฐบาลหุ่นเชิดประชาธิปไตยจอมปลอมออกกฎหมายลบล้างโทษความผิดให้ตัวเองทั้งๆ ที่เป็นการทำลายหลักนิติรัฐ

ดังนั้นกรอบการนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองต้องที่ถูกต้องชอบธรรมและเป็นไปได้ต้องอยู่บนหลักการ ดังที่นายชวน หลีกภัย อดีตนายกฯ 2 สมัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรคประชาธิปัตย์ เคยกล่าวไว้ว่า “การปรองดองต้องไม่ใช่ทำผิดให้เป็นถูก”

ทีมข่าวการเมือง

‘แม้ว-ปู’ดิ้นทั้งยื้อทั้งป่วนเมือง หวังกลบแผลฟอกคดีจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/195979

วันพุธ ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
ยิ่งใกล้ชี้ชะตา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในฐานะจำเลยโครงการรับจำนำข้าวมากขึ้นเท่าไหร่ดูเหมือนว่าขบวนการเพื่อแม้วโดยเฉพาะสองอดีตนายกฯพี่น้องตระกูลชิน “ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์” จะออกอาการดิ้นทุรนทุรายพยายามเคลื่อนไหวเบี่ยงเบนประเด็นด้วยการป่วนเมืองเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ โดยล่าสุดทุ่มทุนถ่ายภาพคู่ทำเป็นปฏิทินเพื่อแจกในภาคอีสานและภาคเหนือส่อเจตนาปลุกเร้ามวลชนเสื้อแดงให้พร้อมลุกฮือ

แผนคิดหนีพิษคดีจำนำข้าวออกนอกประเทศของ ยิ่งลักษณ์ ถูกปิดประตูตายทั้งด้วยคำสั่งศาลและจากการตามประกบทุกฝีก้าวของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ทางเดียวที่จะดิ้นหนีกรรมจำนำข้าวก็คือแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเอาตัวรอดด้วยการดึงเกม
ยื้อเวลาให้นานที่สุด โดยใช้เล่ห์ลูกไม้เก่านั่นคือให้ทนายยื่นเรื่องขอเพิ่มพยานอีกราว 20 ปากกรณีที่รัฐบาลเตรียมฟ้องทางละเมิดเพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดิน แต่ล่าสุด ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ซึ่งรับผิดชอบคดีนี้รู้ทันยืนยันหนักแน่นจะไม่ยอมให้เพิ่มพยานอีกเพราะก่อนนี้ผ่อนปรนยอมให้เพิ่มพยานมาแล้ว 3 ครั้ง ตั้งแต่เดือนเม.ย.ปีที่แล้ว หากจะชี้แจงเพิ่มให้ทำเป็นลายลักษณ์อักษรแล้วส่งมาให้คณะกรรมการตรวจสอบภายในสิ้นเดือนนี้ จึงเป็นอันว่าคดีฟ้องแพ่งได้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินของ ยิ่งลักษณ์ ใกล้เวลาชดใช้กรรมเข้ามาทุกขณะซึ่งตามกระบวนการมีการยึดทรัพย์

ทั้งนี้ บ้านเมืองอยู่ภายใต้สถานการณ์พิเศษซึ่งต้องการความสงบเรียบร้อย แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับเดินสายไปที่จ.ขอนแก่น เพื่อแจกปฏิทินภาพคู่ตัวเองกับพี่ชายโดยมีบรรดาอดีตสส.ขอนแก่น พรรคเพื่อแม้ว อาทิ นายเสริมศักดิ์ พงษ์พานิช ร.ท.ปรีชาพล พงษ์พานิช มาคอยต้อนรับพร้อมมีมวลชนจัดตั้งมาคอยเชียร์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อสร้างภาพและส่อเจตนาปลุกระดมมวลชนหวังกดดันอำนาจรัฐอยู่ในที

การที่พรรคเพื่อแม้ว โดย พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอิทนทร์ รักษาการหัวหน้าพรรคออกแถลงการณ์โวยวายจี้คสช.ให้ตรวจสอบกรณีผู้ว่าราชการจังหวัดและทหารตำรวจบางจังหวัดห้ามแจกปฏิทินภาพคู่พร้อมลายเซ็น “แม้ว-ปู” โดยอ้างว่าเป็นการคุกคามเสรีภาพด้วยอำนาจเผด็จการ ทั้งๆ ที่ความจริงความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกส่อเจตนาชัดเจนว่ามีเป้าหมายทางการเมืองเพื่อปลุกเร้ามวลชนเสื้อแดง ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงคนที่เป็นนักโทษหนีคุกคดีทุจริตและเป็นจำเลยคดีรับจำนำข้าวไม่สมควรเป็นเยี่ยงอย่างสำหรับประชาชน

ที่สำคัญการจัดทำปฏิทินภาพ “แม้ว-ปู” ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ส่อเจตนาที่ไม่บังควรอย่างยิ่งเหมือนต้องการตีตนเสมอเจ้าเพื่อให้เหล่ามวลชนเสื้อแดงนำไปภาพปฏิทินแขวนบนฝาบ้านราวกับเทพเจ้าหรือเทวดาที่สมควรกราบไหว้บูชา ซึ่งอาจจะด้วยเหตุผลนี้ที่ทำให้มีการห้ามแจกปฏิทินดังกล่าวและไม่แปลกที่ พล.อ.อนุพงษ์เผ่าจินดา จะตั้งข้อสังเกตว่า “ปกติแล้วไม่เคยเห็นใครทำปฏิทินโดยเอารูปตัวเองมาใส่ในปฏิทินลักษณะนี้”

แต่ไม่ว่าสองพี่น้องตระกูลชินจะเคลื่อนไหวหวังป่วนเมืองกลบเกลื่อนกรรมที่ก่อไว้อย่างไรในที่สุดเชื่อว่าคงหนีไม่พ้นกฎแห่งกรรม โดยเฉพาะคนที่ทำสิ่งชั่วร้ายไว้กับแผ่นดินและข้าวจะต้องถูกพระสยามเทวาธิราชและพระแม่โพสพลงทัณฑ์อย่างหนักแม้จะพยายามหลอกตัวเองด้วยการแสร้งทำหน้าระรื่นเดินสายทำบุญสะเดาะเคราะห์ก็ตาม

ทีมข่าวการเมือง

ผู้นำพรรคเพื่อแม้วก็แค่หุ่นเชิด ทุกอย่างล้วนเพื่อตระกูลชิน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/195818

วันอังคาร ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ขบวนการเพื่อแม้วพยายามสร้างกระแสชิงพื้นที่ข่าวรายวันอยู่ตลอดเวลาเพื่อไม่ให้คนลืมและสร้างภาพความหวังลมๆ แล้งๆ หลอกชาวบ้านทั้งๆ ที่ตัวเองมีชนักปักหลังทำสิ่งชั่วร้ายไว้กับชาติบ้านเมืองมากมาย อย่างล่าสุดก็มีการปล่อยข่าวสร้างกระแสว่านายใหญ่นักโทษหนีคุกเตรียมปรับทัพพรรคเพื่อแม้วครั้งใหญ่ด้วยการเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคจาก พล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ รักษาการหัวหน้าพรรค

ตามข่าวระบุ 4 ตัวเต็งแคนดิเดทที่จะขึ้นมาเป็นทายาทพรรคเพื่อแม้วประกอบด้วย นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรมว.ยุติธรรม ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ และอดีตอัยการสูงสุด คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีหลายกระทรวงยุครัฐบาลทักษิณ และเป็นเจ้าแม่กทม. คุมสส.เมืองกรุง พรรคเพื่อแม้ว ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีตรองนายกฯหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ซึ่งใกล้ชิดตระกูลชินและ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรมว.กลาโหม

สำหรับตัวเต็งทั้ง 4 ใครจะเข้าวินในโค้งสุดท้ายนอกจากการตัดสินใจของนายใหญ่ในต่างแดนแล้ว ยังมีข่าวว่าขึ้นอยู่กับการเห็นชอบของ นายหญิง แห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า ซึ่งปัจจุบันก็มีอำนาจในฐานะเบอร์ 2 ของขบวนการเพื่อแม้ว

ตามข่าว 4 ตัวเต็งที่อยู่ในข่ายถูกเลือกเป็นทายาทอสูรถูกตั้งข้อสังเกตว่าก็ด้วยสาเหตุเบื้องหลังเป้าหมายและคุณสมบัติที่เข้าตาตระกูลชินซึ่งแต่ละคนล้วนมีจุดเด่นที่แตกต่างกันกล่าวคือ นายชัยเกษม ซึ่งเชี่ยวชาญด้านกฎหมายหากเป็นผู้นำพรรคเพื่อแม้ว จะสามารถเดินเกมช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯน้องสาวนายใหญ่ ที่กำลังจะเผชิญวิบากกรรมครั้งเลวร้ายที่สุดในชีวิตจากโครงการรับจำนำข้าวได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนคุณหญิงสุดารัตน์ มีจุดเด่นคือมีสายสัมพันธ์กับบิ๊กในคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บางคนโดยเฉพาะสาย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงและรมว.กลาโหม ซึ่งจะเป็นประโยชน์ในการเจรจาต่อรองกับฝ่ายคสช.ภายใต้ข้ออ้างเพื่อความปรองดอง

ด้าน ดร.วีรพงษ์ หรือ ดร.โกร่ง นั้นรับใช้ใกล้ชิดตระกูลชินมาตลอดแม้จนล่าสุดก็เป็นประธานกุนซือด้านเศรษฐกิจให้กับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ซึ่ง ดร.โกร่ง สามารถสร้างเป็นจุดขายในการหาเสียงในด้านความสามารถที่จะกอบกู้วิกฤติเศรษฐกิจของชาติที่กำลังซบเซา

ขณะที่ พล.อ.อ.สุกำพล นั้น คือเพื่อนรักเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10)ของนายใหญ่ตระกูลชินที่ได้รับความไว้วางใจจากนายใหญ่มากที่สุดคนหนึ่งในบรรดาเพื่อน ตท.10 ชนิดมองตาก็รู้ใจ

ขบวนการเพื่อแม้วนั้นถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ชาติบ้านเมืองย่อยยับตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ขณะพรรคเพื่อแม้วความจริงหาใช่พรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตย แต่เป็นบริษัทธุรกิจการเมืองจำกัดที่อยู่ภายใต้อำนาจการตัดสินของคนเพียงคนเดียวคือนายใหญ่ตระกูลชิน

ดังนั้นไม่ว่ารายชื่อแคนดิเดทผู้นำหุ่นเชิดพรรคเพื่อแม้วทั้ง 4 จะเป็นใครก็ตามถูกตั้งข้อสังเกตว่าล้วนเป็นเพียงผู้นำหุ่นเชิดที่ต้องทำทุกอย่างเพื่อนายใหญ่ตระกูลชิน

ทีมข่าวการเมือง

ปชป.ต้องปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่ ไม่งั้นพ่ายหมดรูปศึกเลือกตั้งครั้งหน้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/195666

วันจันทร์ ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.
พรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศอย่างพรรคประชาธิปัตย์ยังไงก็เป็นประชาธิกัดคือต้องมีเรื่องขัดแย้งในพรรคอยู่ตลอดเวลาจนตกเป็นข่าวครึกโครมมาทุกยุคทุกสมัยซึ่งในอดีตถึงขั้นพรรคแตกก็หลายครั้ง แม้ปัจจุบันพรรคพระแม่ธรณีบีบมวยผมก็ยังคงความเป็นประชาธิกัดไม่เปลี่ยนแปลง

ปรากฏการณ์ความเป็นประชาธิกัดยุคใหม่ที่สะท้อนความร้าวฉานในพรรคอย่างรุนแรงก็คือกรณีที่ก่อนหน้านี้มีอดีตสส.กทม. คือ นายวัชระ เพชรทอง และ นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ ออกมาโจมตีเปิดโปงเงื่อนงำการทุจริตในกทม.ภายใต้การบริหารของ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯกทม. ซึ่งเป็นแกนนำพรรคอย่างรุนแรงถึงขั้นเคลื่อนไหวที่จะขับพ้นสมาชิกพรรค

ล่าสุดก็มีความเคลื่อนไหวพยายามเปิดประเด็นข่าวแบบโยนหินถามทางชู ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตรมว.ต่างประเทศ อดีตเลขาธิการอาเซียน และอดีตสส. 7 สมัยพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นชิงเก้าอี้หัวหน้าพรรคกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำพรรคคนปัจจุบัน

จาก 2 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นรอยปริภายในพรรคประชาธิปัตย์ที่ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงหลังจากที่พรรคตกต่ำมากว่า 10 ปี เพื่อความพร้อมสู้ศึกเลือกตั้งในปีหน้า

ความขัดแย้งของพรรคประชาธิปัตย์หากมองในแง่ดีก็ถือเป็นเอกลักษณ์ของพรรคการเมืองนี้ที่สมาชิกพรรคทุกคนมีสิทธิมีเสียงมีความเป็นประชาธิปไตยอย่างเต็มที่ทำได้แม้แต่ขับไล่ผู้บริหารพรรคที่ผิดพลาดไม่ชอบมาพากล ต่างจากพรรคธุรกิจการเมืองอย่างพรรคเพื่อแม้วที่เป็นเพียงบริษัทการเมืองจำกัดซึ่งอำนาจการตัดสินใจทุกอย่างอยู่ที่เจ้าของบริษัทการเมืองเพียงคนเดียว

พรรคประชาธิปัตย์ในฐานะพรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศที่เคยรุ่งโรจน์ในอดีตแต่ช่วงกว่า 10 ปี กลับถดถอยซึ่งที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะนอกจากแพ้ต่ออิทธิพลของทุนธุรกิจการเมืองแล้ว ต้องยอมรับว่าพรรคเพื่อแม้วซึ่งเป็นคู่แข่งสำคัญก้าวหน้ากว่าในกลยุทธ์การสร้างคะแนนนิยมด้วยการตลาด ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ยังขาดจุดขายที่เด่นชัดเพียงพอทั้งในเรื่องตัวบุคคลที่เป็นแกนนำพรรค รวมทั้งแนวนโยบายที่โดนใจมหาชน

นักวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตว่า ในท่ามกลางอนาคตที่ยากลำบากมากขึ้นเรื่อยๆ สำหรับพรรคประชาธิปัตย์โอกาสเดียวหากคิดที่จะกลับมายิ่งใหญ่เหมือนในอดีตก็คือจะต้องรวมพลังระดมบุคคลที่มีความรู้ความสามารถระดับชาติซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้งในอดีตหรือดึงนักธุรกิจระดับชาติหรือคนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จมาเป็นแกนนำหรือที่ปรึกษาเพื่อขับเคลื่อนพรรค อาทิ ดร.สุรินทร์ ดร.ศุภชัย พานิชภักดิ์ อดีตรองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ซึ่งประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในเวทีโลก โดยเป็นอดีตผู้อำนวยการองค์การการค้าโลกและล่าสุดเป็นเลขาธิการองค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ หรือ อังค์ถัดซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญหมายเลขสองขององค์การสหประชาชาติรองจากเลขาธิการองค์การสหประชาชาติ

ส่วนนโยบายพรรคในยามที่เศรษฐกิจทั้งภายในและภายนอกประเทศยังอยู่ในภาวะซบเซาและผันผวน พรรคประชาธิปัตย์ต้องมีจุดขายที่ชัดเจนโดยเฉพาะการแก้ปัญหาปากท้องของประชาชน

ทั้งนี้หากพรรคประชาธิปัตย์ยังไม่ปฏิรูปพรรคครั้งใหญ่อย่างจริงจัง อย่าว่าแต่ยังจะพ่ายแพ้ต่อพรรคคู่แข่งในการเลือกตั้งครั้งหน้า แต่อาจจะตกต่ำถึงขั้นสูญเสียฐานที่มั่นสำคัญที่ยึดครองมาตลอดนั่นคือเมืองหลวง

ทีมข่าวการเมือง

สารพัดมรสุมท้าทายรัฐ ศึกหนักต้อนรับปีวอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/195509

วันอาทิตย์ ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

สถานการณ์ของประเทศในปีที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช.ในภาพรวมแม้จะยังเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่ก็ยังมีปัญหาอีกหลายประการที่เป็นระเบิดเวลาทางการเมืองหรือปัญหาที่ประชาชนต้องการให้รัฐบาลแก้ไขในปีใหม่โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจระดับรากหญ้า

ปัญหาเศรษฐกิจถือเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับรัฐบาลซึ่งแม้ในภาพรวมของปีที่ผ่านมาเริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวอย่างช้าๆ แต่ที่น่าวิตกคือเศรษฐกิจของคนระดับล่างของสังคมที่ยังอยู่ในภาวะฝืดเคืองจากปัญหาค่าครองชีพที่ไม่สอดคล้องกับรายได้ และที่น่าวิตกอย่างยิ่งคือภาคการเกษตรโดยเฉพาะชาวนาผู้ปลูกข้าวและเกษตรกรชาวสวนยางที่ต้องเผชิญกับราคาข้าวและยางตกต่ำ

แต่ที่น่าวิตกยิ่งกว่าก็คือวิกฤติภัยแล้งที่จะเป็นปัญหาซ้ำเติมเกษตรกรโดยเฉพาะชาวนาที่ต้องเผชิญวิกฤติไม่มีน้ำทำนาในปีที่ผ่านมา และมีการคาดการณ์ว่าวิกฤติภัยแล้งยังจะยืดเยื้อต่อเนื่องในปีใหม่นี้ ขณะที่ปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนใหญ่ทั่วประเทศอยู่ในขั้นวิกฤติทำให้กรมชลประทานต้องประกาศงดจ่ายน้ำเพื่อการเกษตร และถึงกับหวั่นวิตกว่าจะเกิดศึกแย่งน้ำอย่างรุนแรงในต้นปีใหม่นี้จากการงดจ่ายน้ำของกรมชลประทาน และยิ่งหากชาวนาถูกสุมไฟยุยงปลุกปั่นจากขบวนการที่ไม่หวังดีจ้องบ่อนทำลายรัฐบาลก็อาจเกิดปัญหาม็อบชาวนาลุกฮือประท้วงจนอาจลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติทางการเมือง

นอกจากปัญหาเศรษฐกิจที่ซบเซาภายในประเทศแล้วยังได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัวทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจในปีใหม่ยังอยู่ในภาวะประคองตัว

มรสุมสำคัญอีกลูกหนึ่งที่รัฐบาลต้องเผชิญในปีใหม่นั่นก็คือความร้อนแรงทางการเมืองภายในประเทศโดยเฉพาะจากการเคลื่อนไหวของขบวนการระบอบทักษิณและชาติมหาอำนาจที่อยู่เบื้องหลัง ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญที่เป็นตัวเร่งให้เครือข่ายระบอบทักษิณเคลื่อนไหวรุนแรงมากขึ้นก็คือ

การที่รัฐบาลจะฟ้องทางปกครองเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินจากโครงการรับจำนำข้าวซึ่งต้องมีการยึดทรัพย์โดยในส่วนนี้จะมีข้อสรุปในเดือนม.ค.นี้ ขณะที่คดีทางอาญาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลยฐานกระทำผิดต่ออำนาจหน้าที่ในโครงการรับจำนำข้าวโดยส่อรู้เห็นเป็นใจปล่อยให้มีการทุจริตอย่างโมหฬารจนสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ก็กำลังใกล้ชี้ชะตาเข้าไปทุกขณะ ซึ่งชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นสิ่งที่ นายทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายและเป็นนายใหญ่ระบอบทักษิณยอมไม่ได้อย่างเด็ดขาดโดยพร้อมที่จะเคลื่อนไหวแตกหักกับคสช.และรัฐบาล ซึ่งช่วงปีที่ผ่านมาพิสูจน์ให้เห็นมาแล้วจากเหตุลอบก่อวินาศกรรมด้วยระเบิดหลายครั้งเพื่อบ่อนทำลายเสถียรภาพอำนาจรัฐ

ปมทุจริตโครงการอุทยานราชภักดิ์เป็นอีกปัญหาหนึ่งซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนและเป็นประเด็นทางการเมืองที่เครือข่ายระบอบทักษิณหวังใช้เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งหากรัฐบาลไม่สามารถสร้างความเข้าใจต่อประชาชนให้ชัดเจนจะกลายเป็นปัญหาที่ลุกลามบานปลายกลายเป็นเรื่องใหญ่

อีกมรสุมหนึ่งสำหรับรัฐบาลก็คือ วิกฤติรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งบรรดาพรรคการเมืองพยายามที่ต่อต้านขัดขวางมาตลอดอาจนำไปสู่การปลุกระดมมวลชนให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญในขั้นลงประชามติซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เสี่ยงจะเกิดการเผชิญหน้าระหว่างอำนาจรัฐกับบรรดาพรรคการเมืองโดยเฉพาะพรรคระบอบทักษิณจนอาจนำไปสู่อุบัติเหตุทางการเมือง

นอกจากมรสุมภายในประเทศแล้ว ในปีใหม่นี้คาดว่ารัฐบาลซึ่งเป็นผลพวงจากการรัฐประหารยังต้องเผชิญกับแรงกดดันของมหาอำนาจสหรัฐและประชาคมยุโรปหนักหน่วงมากขึ้นด้วยข้ออ้างทั้งจากปัญหาเรื่องประมง การค้ามนุษย์ หรือเรื่องสิทธิมนุษยชน รวมทั้งการสร้างสถานการณ์ของระบอบทักษิณตามแผน“โลกล้อมไทย” ด้วยการสร้างสถานการณ์จุดประเด็นอ้างการคุกคามสิทธิเสรีภาพเพื่อให้นานาประเทศบอยคอตต์คสช.และรัฐบาล

ขณะเดียวกัน กรณีที่ พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์ศิริรินทร์อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 อดีตหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีค้ามนุษย์โรฮีนจา ที่อพยพครอบครัวและขอลี้ภัยในประเทศออสเตรเลียเดินสายให้สัมภาษณ์สื่อตะวันตกอ้างว่า ตัวเองถูกผู้มีอำนาจในเครื่องแบบข่มขู่จนต้องลาออกจากราชการและขอลี้ภัย ซึ่งเรื่องนี้เป็นข่าวอื้อฉาวไปทั่วโลกและส่งผลกระทบต่อรัฐบาลเป็นอย่างมากโดยอาจเป็นข้ออ้างที่นานาชาติใช้กดดันไทย

เพราะฉะนั้นในปีลิง 2559 นี้รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ยังต้องพิสูจน์ตัวเองเพื่อฝ่าฟันสารพัดมรสุมอันท้าทายซึ่งมีแนวโน้มที่จะร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ทีมข่าวการเมือง