จับตาหลายคดีดังจบแบบเอาจริง หรือตัดตอนมวยล้มไฟไหม้ฟาง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255676

วันพุธ ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ช่วงนี้มีหลายคดีใหญ่ดังระดับชาติไม่ว่าจะเป็นคดีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ คดีเสี่ยวิชัย ปั้นงาม เจ้าพ่อเงินกู้รายใหญ่ที่สุดของประเทศ หรือคดีเครือข่ายแก๊งยาเสพติดของเสี่ย “ไซซะนะ” ของลาวที่กล่าวกันว่าเป็นขบวนการค้ายานรกใหญ่ที่สุดในอาเซียน

คดีสินบนโรลส์-รอยซ์ ฉาวมีการแพลมรายชื่อล่าสุดจากการเปิดเผยของ นายพิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาสผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ชี้ตัวละครสำคัญที่งาบสินบนโรลส์-รอยซ์ 3 คนซึ่งมีอักษรย่อ“2ก”-“1ส” ซึ่งสอดรับกับที่ นายสรรเสริญ พลเจียกเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ยอมรับว่าป.ป.ช.มีข้อมูลตรงกับสตง. พร้อมแสดงความมั่นใจว่า มีโอกาสสูงที่จะหาตัวผู้รับสินบนมาลงโทษ

สำหรับรายชื่อ “2ก”–“1ส” เป็นใครนั้นข่าววงในของบรรดาสื่อสำนักต่างๆพอจะรู้ระแคะระคายกันแล้ว แต่ก็สงสัยอยู่หน่อยที่ขบวนการงาบสินบนมีแค่ “2ก”-“1ส”เพราะมีข่าวว่าเจ้าแม่พรรคใหญ่ภรรยาอดีตนายกฯผู้อื้อฉาวพัวพันสินบนฉาว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องหาหลักฐานสาวไปไม่ถึงก็เป็นได้

อย่างไรก็ตาม คดีอื้อฉาวนี้คงต้องรอดูว่า ป.ป.ช.จะสามารถลากตัวขบวนการงาบสินบนโรลส์-รอยซ์ ที่เป็นนักการเมืองใหญ่ มาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างได้จริงอย่างที่พูดหรือไม่ หรือในที่สุดจะเป็นแค่ไฟไหม้ฟาง

ส่วนคดีเจ้าพ่อเงินกู้มหาโหด นายวิชัย ปั้นงาม ที่ขณะนี้มีเบาะแสว่าหนีไปกบดานอยู่ที่ปอยเปตของกัมพูชา ขณะที่ล่าสุดกำลังตำรวจสนธิกับทหารและฝ่ายปกครองบุกเข้าตรวจยึดคฤหาสน์ใหญ่หรูหลายหลังและที่ดินรวมกว่า 800 ไร่ มูลค่ากว่า 400 ล้านบาทที่จ.อุทัยธานี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ เสี่ยวิชัย

คำถามซึ่งเป็นข้อสงสัยกันมากก็คือ คดีใหญ่ระดับเจ้าพ่อเงินกู้นอกระบบรายใหญ่ที่สุดของประเทศทำไมปล่อยให้ เสี่ยวิชัย หนีออกนอกประเทศไปได้อย่างง่ายดายโดยไม่จับตั้งแต่แรก หรือมีหนอนบ่อนไส้แจ้งข่าวหรือช่วยให้ เสี่ยวิชัย ออกนอกประเทศได้อย่างสะดวก

สำหรับผู้ที่รู้ข้อมูลลึกคดี เสี่ยวิชัย คนหนึ่งก็คือ พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรมที่เคยดูแลคดีนี้ตั้งแต่ต้นโดย พ.ต.อ.ดุษฎี เคยเปิดเผยว่า ขบวนการเงินกู้นอกระบบของเสี่ยวิชัย เป็นเครือข่ายขบวนการระดับชาติที่ใหญ่มาก โดยมีผลประโยชน์มูลค่าหลายพันล้านบาทและมีบุคคลเข้าไปเกี่ยวข้องกว่า 1,000 รายชื่อโดยเฉพาะคนมีสีทั้งสีกากีและสีเขียว

ที่สำคัญ พ.ต.อ.ดุษฎี เคยเปิดเผยว่าก่อนหน้านี้มีบิ๊กสีกากีผู้โด่งดังรายหนึ่งซึ่งสังคมรู้จักกันดีเดินทางมาพบเพื่อเจรจาขอเคลียร์คดีนี้ แต่ พ.ต.อ.ดุษฎี ตอบกลับไปว่า ทุกคนต่างมีหน้าที่ของตัวเองทำให้บิ๊กสีกากีผู้โด่งดังคนดังกล่าวกลับไปอย่างผิดหวัง

ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า โอกาสตามล่าตัวเสี่ยวิชัย ยากเพราะกุมความลับเครือข่ายแก๊งธุรกิจเงินกู้มหาโหดซึ่งมีบุคคลเกี่ยวข้องมากมายโดยเฉพาะบิ๊กมีสีทั้งหลาย หากปล่อยให้กลับมาแล้วเปิดเผยเบื้องหลังมีหวังมีระดับบิ๊กติดคุกกันระนาวแน่

ขณะที่มีข่าววงในกระเส็นกระสายว่า เสี่ยวิชัย อาจจะไม่ใช่ตัวการใหญ่แก๊งเงินกู้นอกระบบระดับชาติ แต่เป็นเพียงเบอร์สองโดยมีตัวการใหญ่ที่สำคัญคือบิ๊กสีกากีผู้โด่งดังและนักการเมืองหญิงชื่อดังที่สร้างภาพดุจแม่พระโดยทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกัน โดยบิ๊กสีกากีผู้โด่งดังอักษรย่อว่า “ค” ส่วนนักการเมืองหญิงชื่อดังอักษรชื่อ“ป”

คดีขบวนการเงินกู้มหาโหดรายใหญ่ระดับชาติคดีนี้คงต้องรอดูว่าจะมีการขยายผลไปสู่การดำเนินคดีกับบรรดาบิ๊กมีสีทั้งสีกากีและสีเขียวที่อยู่เบื้องหลังขบวนการทำนาบนหลังคนจนแก๊งนี้ได้หรือไม่ หรือจะมีการตัดตอน โดยเฉพาะบิ๊กสีกากีและนักการเมืองหญิงผู้โด่งดัง

มาทางด้านคดีค้ายานรกของ “เสี่ยไซซะนะ” ที่นอกจากมีคนดังในหลายวงการอาจมีส่วนพัวพันนอกเหนือจาก นายอัครกิตติ์ วรโรจน์เจริญเดชหรือ “เบนซ์เรซซิ่ง” นักแข่งรถชื่อดังที่ครอบครองรถหรู“ลัมโบร์กีนี”มูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ที่ได้มาจากหนึ่งในคนใกล้ชิดของ “เสี่ยไซซะนะ” จนถูกตั้งข้อสงสัยว่าฟอกเงินให้กับขบวนการยาเสพติดของ “เสี่ยไซซะนะ” แล้ว ล่าสุดจากการขยายผลของฝ่ายตำรวจพบว่ามีบุตรชายของนักการเมืองชื่อดังอาจมีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

นอกจากนี้ อาจมีขบวนการคนมีสี นักการเมืองหรือคนในวงการไฮโซเกี่ยวข้องหรือร่วมมือกับขบวนการเจ้าพ่อค้ายานรกของลาวรายนี้ทั้งทางตรงหรือทางอ้อมอย่างเป็นเครือข่ายที่ใหญ่มาก

คดีขบวนการค้ายาเสพติดที่เชื่อว่าใหญ่ที่สุดในอาเซียนรายนี้หวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นไปอย่างที่พล.ต.ท.สมหมาย กองวิสัยสุขผู้บัญชาการหน่วยปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่ประกาศว่า “วันนี้เราต้องการให้ลูกหลานเราอยู่เย็นเป็นสุข คนพวกนี้ทำลายลูกหลานทำลายครอบครัวของพวกเราที่หาเช้ากินค่ำมานานแล้ว เอาเงินของคนจนไปซื้อรถหรูแล้วมาอวดคนจนอีก มันเหยียบย่ำหัวใจเราเกินไปแล้วนะครับ ผมคิดอย่างนั้นนะครับ เพราะฉะนั้นผมยืนยันว่า ผมจะทำให้มันจนกว่าขอทานให้ได้”

เพราะฉะนั้นได้แต่หวังว่าตัวอย่างบรรดาคดีใหญ่ระดับชาติข้างต้นจะได้รับการสะสางอย่างจริงจังไม่มีการสร้างภาพแล้วตัดตอนหรือเป็นมวยล้มต้มคนดูโดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับนักการเมืองหรือคนมีสี ซึ่งเชื่อว่าสังคมกำลังเฝ้าจับตาและจะเป็นการพิสูจน์ฝีมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งความน่าเชื่อถือของรัฐยุคปฏิรูปภายใต้อำนาจพิเศษ

ทีมข่าวการเมือง

กองกำลังชุดดำตราบาปตามหลอน จับโกหกเล่ห์ขบวนการเพื่อแม้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255529

วันอังคาร ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

จากคำพิพากษาของศาลอาญาให้จำคุกนายกิตติศักดิ์หรืออ้วน สุ่มศรี และนายปรีชาหรือไก่เตี้ย อยู่เย็น สองจำเลยกองกำลังชุดดำคนละ 10 ปี ฐานร่วมปฏิบัติการใช้อาวุธสงครามยิงถล่มใส่ทหารและประชาชนในเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัว เมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 จนเป็นเหตุให้ทหารและประชาชนเสียชีวิต 26 คน และบาดเจ็บอีกจำนวนมาก ซึ่งในจำนวนผู้เสียชีวิตรวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม กลายเป็นคดีตอกย้ำความมีอยู่จริงของกองกำลังชุดดำที่แฝงตัวปะปนอยู่ในม็อบเสื้อแดงเพื่อสร้างสถานการณ์ก่อการร้ายเมื่อปี 2553 ขณะที่เหล่าแกนนำขบวนการเพื่อแม้วต่างร้อนตัวพยายามออกมาบิดเบือนและกลบเกลื่อนความมีอยู่จริงของกองกำลังชุดดำ

นพ.เหวง โตจิราการ อดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว แกนนำเสื้อแดง พยายามบิดเบือนว่าไม่มีกองกำลังชายชุดดำอยู่จริงและตอบโต้ พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ว่าแต่งนวนิยายเรื่องชายชุดดำ

ก่อนหน้านี้ พล.ท.สรรเสริญ เพียงออกมาชี้แจงว่า คำพิพากษาให้ลงโทษ 2 จำเลย ซึ่งเป็นกองกำลังชุดดำที่ร่วมปฏิบัติการยิงถล่มใส่ทหารเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553 ที่สี่แยกคอกวัวถือเป็นการพิสูจน์ว่ามีกองกำลังชุดดำอยู่จริง

นอกจาก นพ.เหวง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดง อ้างว่ามีคนบางกลุ่มต้องการล้มการสร้างความปรองดองด้วยการยกกรณีการตายของ พ.อ.ร่มเกล้า ขึ้นมายั่วยุ

จากท่าทีของ นายจตุพร ส่อเจตนาต้องการกลบเกลื่อนเหตุการณ์กองกำลังชุดดำพร้อมอาวุธสงครามครบมือที่แฝงตัวปะปนอยู่ในม็อบเสื้อแดงที่เปิดฉากยิงถล่มใส่กำลังทหารที่เข้ารักษาความสงบบริเวณสี่แยกคอกวัวจนเป็นเหตุให้ทหารเสียชีวิตทันที 5 นาย ซึ่งรวมทั้ง พ.อ.ร่มเกล้า ขณะที่ประชาชนเสียชีวิตอีก 21 ราย โดยมีผู้ได้รับบาดเจ็บที่เป็นทหารและประชาชนอีกเกือบ 1,000 ราย โดยการสร้างสถานการณ์ดังกล่าวเป็นแผนการของขบวนการเพื่อแม้วที่ต้องการจุดชนวนให้เกิดสงครามกลางเมืองเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐ โดยพยายามประโคมบิดเบือนอ้างว่าทหารฆ่าประชาชน

นายจตุพร ยังส่อเจตนาตีปลาหน้าไซอาศัยเรื่องการสร้างความปรองดองเพื่อกลบเกลื่อนเรื่องกองกำลังชุดดำ

ประวัติศาสตร์และข้อเท็จจริงนั้นไม่มีทางที่จะถูกบิดเบือนได้ซึ่งในกรณีกองกำลังชุดดำ นอกจากคำพิพากษาของศาลที่มีการตรวจสอบซักถามพยานหลักฐานต่างๆ จนเป็นที่แน่ชัดแล้ว ยังมีทั้งหลักฐานภาพถ่ายทั้งของสื่อไทยและสื่อต่างชาติหลายสำนักยืนยันชัดเจน รวมทั้งการตรวจสอบของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ(คอป.)ที่มีดร.คณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่ระบุเหตุการณ์ที่สี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย.2553 ว่า พบหลักฐานมีกองกำลังชุดดำใช้อาวุธสงครามโจมตีเจ้าหน้าที่บนถนนตะนาวและถนนข้าวสารบริเวณสี่แยกคอกวัวโดยใช้ระเบิดเอ็ม 79 และอาวุธปืนสงครามยิงเจ้าหน้าที่ทหารจนมีทหารเสียชีวิต และจากการตรวจสอบพบว่า กองกำลังชุดดำได้รับการสนับสนุนจากการ์ดเสื้อแดงบางคน

นอกจากนี้วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรในอดีตก็เคยตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นตรวจสอบความจริงเหตุการณ์รุนแรงจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 จนมีผู้เสียชีวิต 92 ราย ซึ่ง นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งเป็นกรรมาธิการตรวจสอบข้อเท็จจริงยืนยันว่า มีข้อมูลหลักฐานที่แน่ชัดชี้ว่ากองกำลังชุดดำก่อการร้ายมีอยู่จริงโดยมีรายละเอียดทุกแง่มุมในแผนก่อการร้ายที่สี่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เม.ย. 2553

ล่าสุด นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ออกมาจับโกหก นพ.เหวง โดยกล่าวว่า ตัวเองในฐานะที่เคยเป็นประธานคณะอนุกรรมาธิการพัฒนาการเมืองและการสื่อสารมวลชนของสภาผู้แทนราษฎรได้ศึกษาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับชายชุดดำจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งจากการตรวจสอบปรากฏพยานหลักฐานชัดเจนว่า มีชายชุดดำใช้อาวุธสงครามยิงทหารและประชาชนจริง อาวุธสงครามของทหารถูกการ์ดกลุ่มเสื้อแดงยึดไปเป็นจำนวนมากทั้งปืนเอ็ม 16 ปืนทราโว่ ปืนลูกซอง พร้อมกระสุนจำนวนมาก ซึ่ง พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก อดีตรมช.คมนาคม พรรคเพื่อแม้ว ก็ยังรับปากต่อที่ประชุมคณะอนุกรรมาธิการว่า จะช่วยติดตามอาวุธปืนของทหารคืนให้ทางราชการ

นอกจากนี้ในคำสั่งฟ้องของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ในคดีก่อการร้ายเมื่อปี 2553 ยังปรากฏคำว่า “ชายชุดดำ” อยู่ในคำฟ้อง ทั้งยังปรากฏหลักฐานว่า นพ.เหวง ปราศรัยบนเวทีคนเสื้อแดงสดุดีชายชุดดำที่สะพานผ่านฟ้าเมื่อคืนวันที่ 10 เม.ย.2553 โดยพยายามบิดเบือนว่า “ชายชุดดำนั้นเข้ามาตอนที่ทหารยิงประชาชนแล้ว เปรียบได้กับสุภาพบุรุษคนหนึ่งที่เดินเข้าไปในซอยเปลี่ยวแล้วเห็นผู้หญิงกำลังถูกข่มขืน แล้ววิ่งเข้าไปไล่เตะโจรที่ข่มขืนเพื่อช่วยผู้หญิงคนนั้นเอาไว้”

ขณะที่ นายจตุพร ก็ปราศรัยบนเวทีเสื้อแดงยกย่องคนชุดดำในลักษณะเดียวกัน

นพ.เหวง พูดสรรเสริญชายชุดดำว่ามาช่วยประชาชนในคืนนั้น แล้วมาวันนี้กลับบอกว่าชายชุดดำเป็นการแต่งนวนิยาย ทั้งๆ ที่มีคำพิพากษาปรากฏ จึงสงสัยในจริยธรรมของการเป็นแพทย์ของนพ.เหวง และขอเรียกร้องให้แพทยสภาตรวจสอบคุณธรรมจริยธรรมและสุขภาพจิตของ นพ.เหวงว่า พูดโกหกประชาชนกลับไปกลับมาเช่นนี้สมควรที่จะเป็นแพทย์ต่อไปหรือไม่ ส่วนอาวุธสงครามที่กลุ่มเสื้อแดงยึดไปขอให้กองทัพรีบติดตามนำกลับคืนมาโดยเร็ว เพราะหากยังซุกซ่อนอาวุธไว้การปรองดองจะเกิดขึ้นได้อย่างไร”

เพราะฉะนั้นกองกำลังชุดดำจึงเป็นตราบาปที่จะตามหลอนและจับโกหกขบวนการเพื่อแม้วที่พยายามใช้การสร้างความปรองดองเป็นเครื่องมือกลบเกลื่อนต่อรอง ขณะเดียวกันก็ทำให้เห็นธาตุแท้ขบวนการเพื่อแม้วและทำให้นึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า“คนพูดเท็จไม่ทำชั่วเป็นไม่มี”

ทีมข่าวการเมือง

หน่วยงานปราบโกงมีปัญหา ยังขาดความจริงจัง-การบังคับใช้กม.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255383

วันจันทร์ ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ผลสำรวจล่าสุดของกรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพต่อปัญหาคอร์รัปชั่น โดยเฉพาะกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ ที่พัวพันบริษัทการบินไทย จำกัด (มหาชน) บริษัทปตท.สผ. ไปจนถึงการจัดซื้อกล้องซีซีทีวีติดตั้งในรัฐสภา ซึ่งเป็นการทุจริตช่วงปี 2534 ถึง 2549 ผลปรากฏว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 58.1 คิดว่าการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นยังมีช่องโหว่ กฎหมายไม่รุนแรงพอที่จะทำให้กลัวต่อการกระทำผิด ขณะที่ร้อยละ 46 กลัวว่าจะไม่สามารถเอาผิดกับพวกทุจริตได้ โดยจะจับได้แต่ข้าราชการชั้นผู้น้อยกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู ส่วนร้อยละ 34.8 ห่วงว่าสถานการณ์คอร์รัปชั่นในแวดวงราชการและรัฐวิสาหกิจของประเทศจะมีเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลสำรวจของโพลล์ที่ออกมาสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนยังไม่มั่นใจการทำหน้าที่ของรัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการปราบปรามการทุจริตยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในการตรวจสอบเพื่อนำตัวพวกโกงชาติปล้นแผ่นดินมาลงโทษ

จากการสำรวจของกรุงเทพโพลล์ ในประเด็นที่ว่ารัฐบาลควรมีมาตรการเร่งด่วนเพื่อแก้ปัญหาการทุจริตเรื่องใดมากที่สุด ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 49.8 ตอบว่า การติดสินบน การให้เงินใต้โต๊ะแก่เจ้าหน้าที่รัฐ รองลงมาร้อยละ 47.7 เรื่องการทุจริตในการแต่งตั้ง การสอบคัดเลือก การรับเด็กเส้นเข้ามารับราชการในหน่วยงานของรัฐ ร้อยละ 47.5 การใช้ตำแหน่งหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์ ร้อยละ 46.6 ความโปร่งใสในการจัดซื้อจัดจ้างของภาครัฐ และร้อยละ 43.1 การเอื้อประโยชน์ต่อกิจการที่ตนเองพวกพ้องญาติพี่น้องมีส่วนได้เสีย

เมื่อถามว่าเชื่อมั่นหรือไม่ว่าการรื้อระบบการจัดซื้อจัดจ้างจะแก้ปัญหาการคอร์รัปชั่นในหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจได้ ผลสำรวจสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 61.8 ไม่เชื่อมั่น มีเพียงร้อยละ 30.5 ที่เชื่อมั่น ขณะที่ร้อยละ 7.7 ไม่แน่ใจ

ในประเด็นความเชื่อมั่นต่อการออกกฎหมายป้องกันการคอร์รัปชั่น อาทิ พ.ร.บ.ลงโทษผู้ทุจริต 3 ชั่วโคตรเพื่อป้องกันการคอร์รัปชั่นในหน่วยงานราชการและรัฐวิสาหกิจปรากฏว่า ร้อยละ 34.7 เชื่อมั่นค่อนข้างน้อย ร้อยละ 28.1 เชื่อมั่นค่อนข้างมาก ร้อยละ 24.3 เชื่อมั่นน้อยสุด ร้อยละ 7.2 ไม่แน่ใจ และร้อยละ 5.7 เชื่อมั่นมากที่สุด

เมื่อถามถึงความเห็นต่อการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวในการแก้ไขปัญหาการซื้อขายตำแหน่งทางราชการและรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 61.3 เห็นด้วย ร้อยละ 31.3 ไม่เห็นด้วย และร้อยละ 7.4 ไม่แน่ใจ

และเมื่อถามว่ารัฐบาลมีมาตรการจริงจังเพียงใดในการปราบปรามการคอร์รัปชั่นในหน่วยราชการและรัฐวิสาหกิจตลอด 2 ปี 6 เดือน หลังคสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศปรากฏว่าร้อยละ 52.6 เห็นว่ารัฐบาลมีความจริงจังค่อนข้างมาก ร้อยละ 22.3 ค่อนข้างน้อย ร้อยละ 14.6 มากที่สุด ร้อยละ 7.1 น้อยที่สุด และร้อยละ 3.2 ไม่แน่ใจ

ทั้งนี้ภาพสะท้อนความไม่เชื่อมั่นของประชาชนต่อการบังคับใช้กฎหมายเพื่อนำตัวเหล่านักการเมือง ข้าราชการที่ทุจริตคอร์รัปชั่นมาลงโทษตามกฎหมายด้านหนึ่งต้องยอมรับความจริงว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการตรวจสอบหรือปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำตลอดช่วงที่ผ่านมามีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งการทำหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรหรือหน่วยงานเหล่านี้อาจมีวาระซ่อนเร้นทางการเมืองหรือรับสินบนปิดปากเสียเอง

ขณะที่อีกด้านหนึ่งความไม่เชื่อมั่นของประชาชนเกิดขึ้นขณะที่ล่าสุดองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ(Tranparency International-TI) ประเมินอันดับความโปร่งใสของไทยลดลงจากอันดับ 76 เมื่อปีที่แล้ว เป็นอันดับ 101 จาก 176 ประเทศทั่วโลก ประกอบกับภาพลักษณ์การทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยช่างเผอิญถูกซ้ำเติมในเวลาใกล้เคียงกันเมื่อสื่อต่างชาติพากันประโคมข่าวผลการตรวจสอบของหน่วยงานปราบปรามการคอร์รัปชั่นของอังกฤษ(เอสเอฟโอ) รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกาที่เปิดเผยคำรับสารภาพของผู้บริหาบริษัทโรลส์-รอยซ์ และบริษัทเอกชนของสหรัฐบางบริษัทเกี่ยวกับการจ่ายสินบนให้กับนักการเมืองและผู้บริหารหลายรัฐวิสาหกิจของไทยในอดีต

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ให้ความเห็นว่า ปัญหาการปราบปรามการทุจริตซึ่งยังไม่ได้ผลในช่วงที่ผ่านมาเกิดจากการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังพร้อมทั้งตั้งข้อสังเกตชี้ให้เห็นว่า ข่าวทุจริตอื้อฉาวสำคัญๆ เกือบมักจะเกิดจากการตรวจสอบและตีแผ่โดยหน่วยงานของต่างประเทศแทนที่จะเกิดจากหน่วยงานของไทย ซึ่งสะท้อนถึงความไม่ปกติของหน่วยงานด้านการตรวจสอบการทุจริต อาทิ กรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ที่เกิดขึ้นมานานแล้ว แต่กลับถูกตรวจสอบพบโดยหน่วยงานของอังกฤษและสหรัฐอเมริกา

ขณะที่ นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์ ให้แง่คิดที่น่าสนใจว่า สาเหตุที่งานปราบปรามการทุจริตในไทยไม่สำเร็จเท่าที่ควรเพราะไม่บังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่อย่างจริงจังและอย่างมีประสิทธิภาพ อาทิ กฎหมายป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) มาตรา 103/4 และ 103/5 ที่ส่งเสริมให้ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือรัฐวิสาหกิจที่กล้าร้องเรียนเปิดเผยข้อมูลทุจริตต่อ ป.ป.ช. รัฐต้องยกย่องคุ้มครองเป็นแบบอย่างเพื่อสร้างค่านิยมที่ถูกต้องของสังคม ไม่ใช่เชิดชูคนรวยจากการโกง คณะรัฐมนตรีต้องพิจารณาให้รางวัลแก่ข้าราชการและเจ้าหน้าที่รัฐที่กล้าเปิดเผยการทุจริตเป็นกรณีพิเศษทั้งการเพิ่มเงินเดือนและเลื่อนตำแหน่ง หรือหากไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการเปิดเผยการทุจริตต้องได้รับความคุ้มครองโดย ป.ป.ช.ต้องเสนอนายกฯให้ย้ายสังกัดสายงานหรือกระทรวงได้ในทันที

เพราะฉะนั้นผลงานการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นด้วยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังในการนำตัวเหล่าตัวการสำคัญที่โกงชาติปล้นแผ่นดินทั้งในอดีตและปัจจุบันมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างจึงถือเป็นโจทย์ท้าทายและจะเป็นตัวชี้วัดศรัทธาของประชาชนที่จะมีต่อรัฐบาลและคสช. ซึ่งจะมีผลต่อการขับเคลื่อนเดินหน้าปฏิรูปประเทศในอนาคต

ทีมข่าวการเมือง

สัญญาณปรองดอง สูตรถอยคนละก้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255269

วันอาทิตย์ ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. มุ่งมั่นและตั้งใจที่จะพยายามสร้างผลงานชิ้นโบแดงด้วยการพยายามสร้างประวัติศาสตร์ยุติความแตกแยกในชาติที่ยืดเยื้อมากว่า 10 ปีและสร้างความปรองดองให้สำเร็จก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่แต่ดูเหมือนว่าการสร้างความปรองดองกลายเป็นภารกิจอันหนักอึ้งจากจุดยืนที่แตกต่างของกลุ่มการเมืองต่างๆ โดยเฉพาะจากการตั้งแง่ต่อรองของพรรคเพื่อไทย

กองทัพนับว่าได้รับภารกิจสำคัญในการวางแนวทางที่จะสร้างความปรองดองให้เกิดความสำเร็จ และโจทย์ท้าทายก็คือจะใช้แนวทางสูตรไหนที่จะสร้างความปรองดองอันเป็นที่ยอมรับของคู่ขัดแย้งสำคัญในสังคม

พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ซึ่งมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่องานด้านความมั่นคงและกำหนดอนาคตของประเทศย้ำว่า การสร้างความปรองดองจะต้องทำให้สำเร็จเพราะบ้านเมืองเสียเวลาและโอกาสมามากแล้วตลอดกว่า 10 ปี ที่เกิดความขัดแย้งจนนำไปสู่วิกฤติความรุนแรงจนทหารต้องเข้ามาแก้ปัญหา ทั้งนี้ทุกฝ่ายต้องเห็นแก่ชาติบ้านเมืองโดยยอมถอยคนละก้าว

สัญญาณ “ถอยคนละก้าว” จาก พล.อ.เฉลิมชัย บ่งชี้เป็นนัยถึงสูตรการสร้างความปรองดองที่จะมีขึ้น ซึ่งสอดคล้องกับท่าทีของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ซึ่งได้รับหมายให้เป็นหัวเรือใหญ่วางแผนสร้างความปรองดองที่กล่าวว่า แม้จะต้องมีการออกกฎหมาย เพื่อให้ทุกฝ่ายยอมรับการสร้างความปรองดองก็ต้องทำ

หากจับสัญญาณจาก พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.ประวิตรที่ผ่านมายืนยันว่า การสร้างความปรองดองเป็นเรื่องของจิตสำนึกต้องไม่มีเงื่อนไข และต้องไม่ขัดหลักนิติรัฐรวมทั้งต้องไม่มีการพูดถึงเรื่องการนิรโทษกรรมในขณะนี้ แต่ก็ไม่ได้ปิดทางการลดหย่อนโทษความผิดแก่คู่ขัดแย้งทุกสีทุกกลุ่มด้วยแนวทางอื่น ซึ่งสอดคล้องกับคำกล่าว “ถอยคนละก้าว” ของ พล.อ.เฉลิมชัย

นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณบางประการจากแม่น้ำ 5 สายของ คสช.ที่สอดรับกับแนวทางปรองดองสูตร “ถอยคนละก้าว”นั่นคือผลสรุปแนวคิดของคณะกรรมาธิการด้านการเมืองของ สนช.ที่มี นายกล้านรงค์ จันทิก เป็นประธานได้พิจารณาร่างพ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในแนวทางสร้างความปรองดองที่พิจารณาเสร็จแล้วและมีข่าวว่าขณะนี้ร่างกฎหมายฉบับนี้ได้เสนอต่อรัฐบาลไปแล้ว หากรัฐบาลเห็นชอบก็จะเสนอกลับมายังสนช.เพื่อลงมติผ่านเป็นกฎหมายมีผลบังคับใช้ต่อไป

สาระสำคัญของ พ.ร.บ.การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาเกี่ยวกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองกำหนดให้มีคณะกรรมการอำนวยความยุติธรรมทางอาญาที่เกี่ยวเนื่องกับมูลเหตุจูงใจทางการเมืองจำนวน 11 คน จากตัวแทนคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ คณะกรรมการตุลาการศาลปกครอง คณะกรรมการตุลาการศาลยุติธรรม คณะกรรมการอัยการ ผู้ตรวจการแผ่นดิน สถาบันพระปกเกล้า กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ สภาทนายความ และที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย

คณะกรรมการทั้ง 11 คน จะมีหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ที่เกี่ยวเนื่องจากเหตุการณ์ความขัดแย้งทางการเมืองตั้งแต่ปี 2548 ถึงวันที่ 22 พ.ค.2557 อันเป็นวันที่คสช.เข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศและกำหนดหลักเกณฑ์เกี่ยวกับการอำนวยความยุติธรรมตลอดจนการเยียวยาและเสนอแนะแนวทางความเห็นในการอำนวยความยุติธรรมต่อคณะรัฐมนตรี รัฐสภา ศาล องค์กรอัยการและองค์กรอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ที่สำคัญคณะกรรมการทั้ง 11 คน มีอำนาจจำแนกคดีอาญาที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมืองแล้วส่งความเห็นลดหย่อนโทษหรือให้ประกันตัวเพื่อต่อสู้คดีต่อศาลและอัยการได้ อย่างไรก็ตาม การอำนวยความยุติธรรมทางอาญาจะไม่ครอบคลุมผู้ต้องหาคดีทุจริต คดีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นเบื้องสูง หรือคดีอาญาร้ายแรงเกี่ยวกับความมั่นคง

จากแนวทางสร้างความปรองดองคสช.และรัฐบาล ปรากฏว่า พรรคเพื่อไทยส่อท่าทีแบไต๋ตั้งแง่กดดันให้มีการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยหากจะสร้างความปรองดองโดย นพ.เชิดชัย ตันติศิรินทร์ ส่งสัญญาณว่า หากจะปรองดองจริงต้องนิรโทษกรรมผู้กระทำผิดทุกคนและทุกคดีอย่างไม่มีเงื่อนไข ไม่ว่าจะเป็นคดีร้ายแรงแค่ไหน

ขบวนการระบอบทักษิณเคยพยายามผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยมีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดคดีทุจริตให้ตัวเองเพื่อกลับบ้านแบบเท่ๆโดยไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาล จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนเกิดการนองเลือดและประเทศกลายเป็นรัฐล้มเหลวสิ้นเชิงทำให้คสช.ต้องตัดสินใจเข้ามายึดอำนาจการปกครองประเทศ

การตั้งแง่ต่อรองให้มีการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยยังซ่อนเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดให้กับเหล่าแกนนำคนเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 และอาจรวมถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวสุดอื้อฉาว

นอกจากนี้แกนนำขบวนการระบอบทักษิณ อาทิ นายภูมิธรรมเวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อไทย คุณหญิงสุดารัตน์เกยุราพันธุ์, นายจาตุรนต์ ฉายแสง ยังส่อเจตนาป่วนการสร้างความปรองดองโดยพยายามชี้ว่าคสช.ถือเป็นคู่ขัดแย้งจึงไม่ควรทำหน้าที่คนกลางในการสร้างความปรองดอง ขณะที่ นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อไทย เหน็บแนมคสช.ด้วยการเรียกร้องทหารร่วมลงนามในเอ็มโอยูเพื่อให้สัตยาบันว่าจะไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารอีก

เพราะฉะนั้นแม้คสช.จะพยายามวางแนวทางสร้างความปรองดองแบบถอยคนละก้าว แต่คำถามก็คือขบวนการระบอบทักษิณซึ่งตั้งแง่เรียกร้องให้มีการนิรโทษกรรมแบบสุดซอยจะยอมรับหรือไม่ อันจะเป็นการพิสูจน์ว่าใครที่จริงใจหรือไม่จริงใจที่จะสร้างความปรองดอง

ทีมข่าวการเมือง

อำนาจรัฐหาเรื่องทำลายตัวเอง จุดชนวนระเบิดเวลา2ลูกใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255176

วันเสาร์ ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ทั้งๆ ที่รัฐนาวายุคอำนาจพิเศษมีภารกิจสำคัญของชาติที่ต้องเดินหน้าปฏิรูปอีกมากมายก่ายกองท่ามกลางสารพัดมรสุมรุมเร้าทั้งในและจากนอกประเทศ แต่คนสำคัญในรัฐบาลกลับจุดชนวนระเบิดเวลาทำลายตัวเอง

ระเบิดเวลาลูกแรกถูกจุดชนวนโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงที่อยู่ดีไม่ว่าดีปากจะพาพังด้วยการให้สัมภาษณ์สื่อแบบคลุมเครือทีเล่นทีจริงทำนองว่า หากแผนสร้างความปรองดองไม่สำเร็จก็เป็นไปได้ที่จะมีรัฐประหารอีก

การให้สัมภาษณ์แบบจุดชนวนระเบิดเวลาของ พล.อ.ประวิตร ครั้งนี้เกิดจากการตอบคำถามนักข่าวเรื่องที่เว็บไซต์ของวอชิงตันโพสต์สื่อดังของมะกันอันตรายประโคมบทวิเคราะห์ว่าไทยเสี่ยงเป็นอันดับ 2 ของโลกที่จะเกิดการรัฐประหารในปี 2560 นี้รองจากประเทศบุรุนดีในแอฟริกา ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ด้านหนึ่งปฏิเสธแข็งขันให้ความมั่นใจว่าทหารไม่มีใครอยากปฏิวัติรัฐประหาร นอกจากประเทศเดินหน้าต่อไปไม่ได้ แต่อีกด้านหนึ่งดันพูดแบบกำกวมอย่างมีนัยว่า “ถ้าเราปรองดองกันและทุกฝ่ายให้ความร่วมมือกันผมคิดว่าการทำปฏิวัติรัฐประหารไม่มีทางเกิดขึ้นได้ อีกทั้งทหารก็อยู่ภายใต้การดูแลของรัฐบาล”

การพูดแบบคลุมเครือแบบนี้จะให้ตีความเป็นอย่างอื่นได้อย่างไร นอกจากหมายความเหมือนขู่กรายๆ ว่า “ถ้าไม่ร่วมมือสร้างความปรองดอง รัฐประหารก็อาจเกิดขึ้นอีก” ซึ่ง พล.อ.ประวิตร อาจจะไม่มีเจตนาอย่างที่พูดก็ได้ แต่คำพูดเป็นนายมันตีความได้อย่างนั้น

ที่ผ่านมาเท่าที่สังเกตดูการให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประวิตร หลายต่อหลายครั้งนอกจากจับประเด็นหาสาระที่ชัดเจนอะไรไม่ค่อยได้แล้ว ยังมักคลุมเครือและหลายครั้งสร้างความสับสนจนสร้างปัญหาให้รัฐบาลและประเทศ

ทั้งนี้ผู้นำที่ดีนั้นไม่จำเป็นต้องพูดมากหรือพูดเรื่อยเปื่อยจนบางทีคำพูดมัดคอตัวเอง ผู้นำที่ดีมีแผนหรือคิดเรื่องสำคัญอยู่ในใจโดยไม่จำเป็นต้องเปิดเผยต่อสาธารณะเพราะบางเรื่องเป็นเรื่องอ่อนไหวส่งผลกระทบ ผู้นำพูดน้อยต่อยหนักจะดีกว่าผู้นำพูดเรื่อยเปื่อย อีกทั้งผู้นำต้องตระหนักว่าคำพูดแต่ละคำของตัวเองส่งผลกระทบต่อประเทศ การพูดที่ผิดพลาดแม้เพียงคำเดียวอาจสร้างความเสียหายต่อส่วนรวมอย่างร้ายแรงได้

การที่ พล.อ.ประวิตร พูดแบบกำกวมในทำนองมีโอกาสเกิดรัฐประหารอีกหากแผนสร้างความปรองดองไม่สำเร็จอย่างนี้เข้าทางทำให้บทวิเคราะห์แบบนั่งเทียนของวอชิงตันโพสต์มีน้ำหนักน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น แทนที่จะถูกมองว่าเป็นการสร้างเรื่องแบบโคมลอยไร้สาระโดยมีเป้าหมายมุ่งบ่อนทำลายอำนาจรัฐไทยของสื่อตะวันตกประเภทผีโม่แป้ง ซึ่งการตอกย้ำเรื่องโอกาสที่อาจเกิดรัฐประหารอีกของบุคคลสำคัญในรัฐบาลยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของประเทศ อีกเรื่องหนึ่งที่อำนาจรัฐจุดชนวนระเบิดเวลาทำลายตัวเองอย่างไม่จำเป็นนั่นก็คือแนวคิดผลักดันผ่านคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.) ที่มี พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธานในความพยายามที่จะผลักดันร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนที่มีเนื้อหาส่อเป็นการแทรกแซงควบคุมสื่อซึ่งผิดหลักสากลด้วยการกำหนดให้ปลัดกระทรวง 4 กระทรวงร่วมเป็นกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จนกลายเป็นปัญหาบานปลายเมื่อองค์กรสื่อทั่วประเทศ 30 องค์กรรวมตัวกันยื่นหนังสือประท้วงอำนาจรัฐและล่าสุดตัวแทนสื่อ 4 คน ได้ลาออกจากการเป็นอนุกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปด้านสื่อสิ่งพิมพ์ในคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน พร้อมกดดันให้มีการปลด พล.อ.อ.คณิต ออกจากประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการสื่อสารมวลชน

ระเบิดเวลาจากการเปิดศึกกับสื่อของ สปท.ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเป็นหนึ่งในแม่น้ำ 5 สาย ของอำนาจรัฐยุคคสช. หากไม่รีบถอดชนวนจะกลายเป็นปัญหาใหญ่ที่บ่อนทำลายอำนาจรัฐคสช.ในภาพรวม เพราะการแทรกแซงควบคุมสื่อส่อเจตนาปิดหูปิดตาประชาชนถือเป็นประเด็นใหญ่ของระบอบประชาธิปไตยที่ทั่วโลกให้ความสำคัญอย่างมาก การแทรกแซงควบคุมสื่อจึงเป็นเป้าทางบรรดาชาติมหาอำนาจตะวันตกที่จ้องขย้ำบ่อนทำลาย คสช.

การปฏิรูปสื่อนั้นต้องทำอย่างรอบคอบซึ่งแน่นอนว่าในบรรดาสื่อย่อมมีสื่อที่ไม่ดี แต่รัฐก็ไม่ควรออกกฎหมายแทรกแซงควบคุมสื่อในลักษณะเหมารวมซึ่งเป็นเรื่องของหลักการ ทั้งนี้สื่อที่ไม่ดีรัฐบาลคสช.สามารถใช้กฎหมายปกติเท่าที่มีอยู่จัดการสื่อที่บิดเบือนไม่มีจรรยาบรรณและมีเป้าหมายทางการเมืองแอบแฝงได้อยู่แล้ว ซึ่งความพยายามที่จะผลักดันกฎหมายแทรกแซงควบคุมสื่อในที่สุดผลร้ายจะตกอยู่กับอำนาจรัฐเองเพราะแน่นอนว่าจะถูกต่อต้านจากนานาประเทศ การที่รัฐบาลหัวเสียกับภาพลบในหลายเรื่องและผลงานที่ยังไม่เข้าเป้าแล้วมองว่าเป็นเพราะบทบาทของสื่อตลอดช่วงที่ผ่านมาคงไม่ใช่การมองปัญหาที่ตรงจุด เพราะการวิพากษ์วิจารณ์ของสื่อต่อรัฐบาลในแง่ลบคงไม่มีความหมาย ตราบใดที่รัฐบาลสร้างผลงานได้เข้าตาเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งประเทศ การสร้างศรัทธาและผลงานโดยยึดความถูกต้องเพื่อประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้งจึงเป็นการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

ปัญหาหลักของชาติบ้านเมืองเฉพาะหน้าที่รอการแก้ไขมีอีกมากทั้งปัญหาเศรษฐกิจ และการทุจริต ขจัดคอร์รัปชั่นจริงจัง เพราะ ฉะนั้นรัฐบาลอย่ามัวมาเสียเวลาสะเปะสะปะ ซ้ำจุดชนวนระเบิดเวลาทำลายตัวเอง

ทีมข่าวการเมือง

วอชิงตันโพสต์ส่อเจตนาแอบแฝง ปล่อยข่าวบ่อนทำลายคสช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/255035

วันศุกร์ ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

 

นับเป็นเรื่องไม่ปกติที่จู่ๆ เว็บไซต์วอชิงตันโพสต์สื่อดังของมะกันอันตรายเผยแพร่รายงานบทวิเคราะห์ว่าไทยเป็นประเทศอันดับ 2 ของโลก ที่เสี่ยงจะเกิดการรัฐประหารในปี 2560 นี้

ที่ผ่านมาสื่อตะวันตกมุ่งโจมตีบ่อนทำลายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และรัฐบาลมาตลอดอย่างมีเบื้องหลังทางการเมืองและผลประโยชน์แอบแฝงนับตั้งแต่มีการยึดอำนาจโดยคสช.เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยเชื่อว่าซีไอเออยู่เบื้องหลังแผนบ่อนทำลายคสช.และหนุนหลังขบวนการเพื่อแม้วหวังให้กลับมามีอำนาจอีกครั้งเพื่อเป็นทาสรับใช้ของมะกันอันตราย

สื่อดังอย่างวอชิงตันโพสต์ใครอย่างคิดว่ามีจรรยาบรรณเพราะเบื้องหลังอาจซ่อนไว้ด้วยความสกปรกโสมมเป็นแค่กระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อของกลุ่มทรงอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังอำนาจที่แท้จริงของมะกันอันตราย

ตามรายงานวิเคราะห์แบบนั่งเทียนของวอชิงตันโพสต์ อ้างว่า ประเทศที่เสี่ยงจะเกิดการรัฐประหารมากที่สุดเป็นอันดับ 1 ของโลก คือ ประเทศบุรุนดี ในทวีปแอฟริกา ตามด้วยไทยเป็นอันดับ 2 ซึ่งการประเมินของวอชิงตันโพสต์อาศัยสถิติและการประเมินความเป็นไปได้ ซึ่งสะท้อนถึงความไม่น่าเชื่อถือ แต่ที่สำคัญกว่าก็คือเป้าหมายแอบแฝงที่ส่อเจตนามุ่งบ่อนทำลายรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ในช่วงที่ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญเพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศ และกำลังจะมีการเลือกตั้ง ขณะที่ขบวนการระบอบแม้วกำลังใกล้จนแต้ม

ทั้งนี้ข้อน่าสังเกตก็คือ วอชิงตันโพสต์ออกมาสร้างข่าวฮือฮาในขณะที่รัฐบาลคสช.กำลังถูกบ่อนทำลายภาพพจน์โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐที่อยู่ๆ ก็ออกมาเปิดโปงกรณีสินบนอื้อฉาวของไทยอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตแต่ก็สั่นคลอนความน่าเชื่อถือของรัฐบาลปัจจุบันหากไม่สามารถนำตัวขบวนการทุจริตรับสินบนมาลงโทษได้

จากพฤติการณ์ที่น่าสงสัยว่าจะมีเป้าหมายแอบแฝงของวอชิงตันโพสต์ ทำให้ พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ทีมโฆษกคสช. ออกมาตอบโต้ตอกหน้าวอชิงโพสต์ ว่า รายงานบทวิเคราะห์ดังกล่าวเป็นเพียงการคาดการณ์ด้วยข้อมูลสถิติซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงการรัฐประหารไม่สามารถคำนวณด้วยค่าสถิติตัวเลข แต่การรัฐประหารแต่ละครั้งล้วนเกิดจากเงื่อนไขความจำเป็นและสภาวะแวดล้อมที่สุกงอมของสถานการณ์แล้วเท่านั้น

พ.อ.ปิยพงศ์ อธิบายอีกว่า หากจะยึดผลวิเคราะห์ตามข้อมูลสถิติของวอชิงตันโพสต์ ก็จะเห็นได้ว่าไทยมีความเสี่ยงในการเกิดรัฐประหารแค่ 11 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นั่นย่อมหมายความว่าโอกาสที่ไทยจะไม่เกิดการรัฐประหารมีสูงถึง 89 เปอร์เซ็นต์

ขณะเดียวกันทีมโฆษกคสช.ก็ย้อนวอชิงตันโพสต์อย่างเจ็บแสบว่า “ค่าความน่าจะเป็นในการที่จะเกิดการรัฐประหารเป็นไปได้ยากมาก จึงไม่มีอะไรที่จะต้องวิตกกังวลไปตามบทวิเคราะห์แม้แต่น้อย และตราบใดก็ตามที่รัฐบาลยังคงทำประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชนจนได้รับความนิยมอยู่ในระดับสูงเหมือนดังเช่นรัฐบาลปัจจุบัน ฉะนั้นการทำรัฐประหารโดยที่ประชาชน
ไม่ยอมรับจึงไม่น่าจะเกิดขึ้น ข้อน่าสังเกตอีกประการหนึ่งคือบทวิเคราะห์ของสื่อต่างชาติดังกล่าวไม่ได้กล่าวถึงการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ที่จะเกิดการรัฐประหารในประเทศของตัวเองแต่อย่างใด”

ทั้งนี้มะกันอันตรายเองขณะนี้บ้านเมืองอยู่ในภาวะระส่ำระสายอย่างหนักแทบจะลุกเป็นไฟหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดซึ่ง มหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งได้ขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของมะกันอันตรายจนมหาชนจำนวนมากเกิดการประท้วงต่อต้านถึงขั้นก่อจลาจลในหลายเมืองก่อนหน้านี้ แม้จนขณะนี้กระแสต่อต้าน ทรัมป์ มีแนวโน้มที่จะรุนแรงขึ้นทุกขณะจนหน่วยข่าวกรองเศรษฐศาสตร์ (EconomicIntelligence Unit (EIU) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนิตยสารดีอีโคโนมิสต์ ในอังกฤษ รายงานว่า มะกันอันตรายลดระดับจากประเทศประชาธิปไตยสมบูรณ์เป็นประเทศประชาธิปไตยบกพร่อง เพราะประชาชนขาดความเชื่อมั่นพรรคการเมืองและนักการเมือง ศาลและกระบวนการยุติธรรมแทรกแซงได้ สื่อมวลชนและภาคประชาสังคมไม่เป็นอิสระอย่างแท้จริง นักการเมืองไม่โปร่งใสทรัมป์ ได้ประโยชน์จากผลที่ประชาชนไม่เชื่อมั่นรัฐบาลและนักการเมืองแบบเก่า แต่ ทรัมป์ ก็ไม่สามารถแก้ปัญหาประชาธิปไตยบกพร่องในระยะยาวได้

แต่ที่ตอกหน้ามะกันอันตรายอย่างแรงยิ่งกว่าก็คือผลสำรวจทัศนะชาวอเมริกันโดยสำนักวิจัย “YouGov”ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีมะกันอันตรายครั้งล่าสุดพบว่า ชาวอเมริกันราว 29% หรือ 1 ใน 3 พร้อมจะให้การสนับสนุนหากกองทัพก่อรัฐประหารโค่นล้มรัฐบาลภายใต้การนำของอดีตประธานาธิบดีบารัค โอบามาซึ่งนับเป็นข้อมูลที่สร้างความตื่นตะลึงอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อนและสวนทางกับจุดยืนของมหาอำนาจสหรัฐที่เที่ยวแทรกแซงกิจการภายในประเทศต่างๆ ที่มีการรัฐประหาร

ผลสำรวจยังสะท้อนว่าชาวอเมริกันสนับสนุนพรรครีพับลิกันซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านถึง 43% พร้อมทั้งสนับสนุนเต็มที่หากกองทัพจะยึดอำนาจจากรัฐบาลโอบามา และแม้แต่กลุ่มตัวอย่างที่สนับสนุนพรรคเดโมแครตที่ประธานาธิบดีโอบามาสังกัดอยู่จำนวน 20% ก็สนับสนุนการรัฐประหารโดยกองทัพ ขณะที่กลุ่มตัวอย่างที่มีจุดยืนทางการเมืองเป็นอิสระ 29% ระบุจะสนับสนุนหากมีการทำรัฐประหาร

นอกจากนี้สำนักวิจัยอีกแห่งหนึ่งคือ“แกลลัปโพลล์”ชี้ว่า ชาวอเมริกันเพียง 26% ที่พอใจต่อความเป็นไปต่างๆ ของประเทศทั้งเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่ลดลงจาก 30% ในการสำรวจครั้งก่อนเมื่อเดือนก.ค.ปีที่แล้ว

ผลสำรวจของโพลล์ทั้งสองสำนักดังกล่าวสะท้อนเห็นว่า ประชาธิปไตยและรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอาจไม่ใช่คำตอบสำหรับการแก้ปัญหาในแต่ละประเทศเสมอไป

เพราะฉะนั้นวอชิงตันโพสต์ควรกลับไปส่องกระจกดูประเทศของตัวเองแทนที่จะเที่ยวบ่อนทำลายประเทศอื่น ขณะที่คนไทยต้องรู้เท่าทันอย่าคิดว่าสื่อดังชาติตะวันตกจะมีจรรยาบรรณและคุณภาพเสมอไป เพราะสื่อตะวันตกหลายสำนักเป็นซาตานในคราบสื่อที่ทำตัวเป็นกระบอกเสียงผีโม่งแป้งรับใช้กลุ่มอิทธิพลทางการเมืองและกลุ่มผลประโยชน์ และซ่อนไว้ด้วยความสกปรกโสมมพร้อมที่จะบิดเบือนป้ายสีบ่อนทำลายประเทศอื่นเพื่อให้บรรลุเป้าหมายแอบแฝงอันชั่วร้าย

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วหางโผล่ไม่สำนึก บิดเบือนป่วนปรองดอง?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/254913

วันพฤหัสบดี ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 02.00 น.

การออกแถลงการณ์แนวทางสร้างความปรองดองของพรรคเพื่อแม้ว โดยอ้างว่าความขัดแย้งทางการเมืองช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีสาเหตุหลักจากการที่พรรคเพื่อแม้วชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามขี้แพ้ชวนตีหาทางต่อสู้นอกระบบรัฐสภาใช้มวลชนขับไล่รัฐบาลนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารจนขยายความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น และอ้างมีการใช้ขบวนการทางกฎหมายสองมาตรฐานซึ่งขัดหลักนิติรัฐ นิติธรรม กลายเป็นประเด็นร้อนที่ถูกตอบโต้และตั้งข้อสังเกตว่าเป็นความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง

โดย นายราเมศ รัตนะเชวง รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ว่าข้อเสนอสร้างความปรองดองของพรรคเพื่อแม้วเป็นการให้ข้อมูลที่เป็นเท็จบิดเบือน จึงอยากเรียกร้องว่าก่อนที่จะมีการปรองดองคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)ในฐานะที่ยึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดต้องอธิบายทำความจริงให้ปรากฏว่า ก่อนการยึดอำนาจเกิดอะไรขึ้นกับชาติบ้านเมือง การที่พรรคเพื่อแม้วอ้างทำนองว่าความขัดแย้งเกิดจากฝ่ายตรงข้ามที่ขี้แพ้ชวนตีเป็นการพูดเพียงด้านเดียวโดยไม่พูดถึงกรณีที่พรรคเพื่อแม้วอาศัยความเป็นเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมพยายามหักดิบออกกฎหมายและแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยแล้วว่าขัดต่อหลักกฎหมาย

รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ย้ำว่า ที่ผ่านมาไม่มีใครอิจฉาพรรคเพื่อแม้วที่ชนะการเลือกตั้งได้เป็นรัฐบาล แต่ที่ประชาชนรับไม่ได้เพราะพฤติกรรมประพฤติชั่วร้ายแรงและยังไม่ยอมรับอำนาจตุลาการ ส่วนที่อ้างว่ามีการใช้กระบวนการยุติธรรมแบบสองมาตรฐานนั้น ความจริงอำนาจตุลาการวินิจฉัยคดีอย่างตรงไปตรงมาตามเนื้อผ้า หากรัฐบาลเพื่อแม้วไม่ได้ทำผิดก็ไม่สามารถสร้างเรื่องเท็จให้เกิดการตรวจสอบได้

นอกจากแถลงการณ์พรรคเพื่อแม้ว ล่าสุดกลุ่มเสื้อแดงก็ออกแถลงการณ์คู่ขนานโดยเนื้อหาของแถลงการณ์พยายามใช้วาทกรรมศัพท์พวกฝ่ายซ้ายหรือพวกหัวก้าวหน้าในอดีตให้ดูเท่น่าเชื่อถือ แต่วกไปวนมาแทบหาสาระไม่ได้ แต่หัวใจสำคัญที่สะท้อนจากแถลงการณ์ของกลุ่มเสื้อแดงที่ยังไม่สำนึกผิดโดยพยายามใช้วาทกรรมอ้างในทำนองว่า ความแตกแยกในชาติที่ผ่านมาเป็นการต่อสู้ระหว่างฝ่ายประชาธิปไตยซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศอันหมายถึงเครือข่ายระบอบทักษิณ กับกลุ่มที่ถูกเรียกว่า ฝ่ายอำมาตยาธิปไตย พวกคณาธิปไตย หรือพวกอนุรักษ์ที่สนับสนุนการรัฐประหาร ทั้งๆ ที่ความจริงระบอบทักษิณถูกต่อต้านขับไล่จากมวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่ออกมาแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

เครือข่ายระบอบทักษิณมักจะยกตัวอ้างว่าเป็นฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งๆ ที่โดยเนื้อแท้แล้วระบอบทักษิณเป็นระบอบธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม และพรรคเพื่อแม้วไม่ใช่สถาบันพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงตั้งแต่แรก โดยเป็นเพียงบริษัทธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ สส.เป็นเพียงทาสรับใช้ในบริษัทหาใช่ผู้แทนราษฎรไม่ โดยต้องอยู่ภายใต้อำนาจและทำตามคำสั่งของคนเพียงคนเดียวคือนายใหญ่เจ้าของบริษัทซึ่งเป็นนักธุรกิจการเมืองที่ใช้ทุนและผลประโยชน์ทุกรุ๊ปแบบซื้อพรรค ซื้อสส. ซื้อเสียงซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศ ซึ่งเมื่อได้อำนาจรัฐก็จะโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนบวกกำไรมหาศาล

พรรคเพื่อแม้วหลังได้อำนาจรัฐมีความทะเยอทะยานและใช้อำนาจตามอำเภอใจหวังผูกขาดอำนาจผลประโยชน์ยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในระยะยาว ซึ่งนี่คือต้นตอแห่งชนวนของวิกฤติความแตกแยกในชาติที่แท้จริงเมื่อมวลมหาประชาชนจำนวนมากออกมาต่อต้านขับไล่รัฐบาลเพื่อแม้วครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

แถลงการณ์กลุ่มเสื้อแดงพยายามโฆษณาชวนเชื่อในทำนองว่าฝ่ายอำมาตยาธิปไตยหรืออนุรักษ์นิยมยึดถือบุคคลมากกว่าหลักการโดยมุ่งที่จะจัดการ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เป็นปฏิปักษ์ที่ต้องทำลายล้างโดยไม่คำนึงถึงหลักประชาธิปไตยและหลักนิติรัฐ ทั้งๆ ที่ความจริงก็รู้กันอยู่ว่าที่นายทักษิณ คือนายใหญ่เจ้าของเครือข่ายระบอบทักษิณที่ยังคงต่อท่อน้ำเลี้ยง บงการพรรคเพื่อแม้วและกลุ่มเสื้อแดงบ่อนทำลายชาติจนระส่ำระสายมาตลอดช่วงที่ผ่านมา และการที่ นายทักษิณ ต้องกลายเป็นสัมภเวสีเคลื่อนไหวอยู่ในต่างแดนไม่ใช่เรื่องการมุ่งจองล้าง แต่เป็นไปตามหลักกฎหมาย โดยอดีตนายกฯผู้อื้อฉาวหนีโทษความผิดคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลออกนอกประเทศต่างหาก

ที่สำคัญแถลงการณ์กลุ่มเสื้อแดงเรียกร้องให้ฝ่ายตรงกันข้ามกับตัวเองสารภาพผิดในการกระทำต่อผู้ที่เห็นต่างเพื่อนำไปสู่การสร้างความปรองดอง รวมทั้งยกเลิกกระบวนการยุติธรรมเพื่อจัดการกับฝ่ายตรงข้าม

ข้อเรียกร้องของกลุ่มเสื้อแดงให้ฝ่ายตรงข้ามสารภาพผิดน่าจะหมายถึงเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ซึ่งเครือข่ายระบอบแม้วบิดเบือนมาตลอดว่าประชาชนถูกอำนาจรัฐเข่นฆ่า 91 ราย ทั้งๆ ที่โดยข้อเท็จจริงตัวเลข 91 รายนั้น มีทั้งประชาชนและฝ่ายเจ้าหน้าที่ทั้งทหารและตำรวจจำนวนมากถูกกระสุนและสะเก็ดระเบิดโดยกองกำลังก่อการร้ายชุดดำที่แฝงตัวอยู่ในม็อบเสื้อแดง ซึ่งผู้เสียชีวิตที่สำคัญคือ พ.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรมนอกจากนี้ตัวเลขผู้เสียชีวิตอีกจำนวนหนึ่งยังเกิดจากการลอบก่อวินาศกรรมแทบจะรายวันเพื่อยั่วยุสร้างสถานการณ์ให้เกิดความรุนแรงเป็นเวลานานนับเดือนก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์กระชับพื้นที่สลายม็อบเสื้อแดงที่แยกราชประสงค์ ขณะที่ผู้เสียชีวิตซึ่งเชื่อว่าเกิดจากฝ่ายเจ้าหน้าที่มีเพียงไม่กี่ราย

ล่าสุดศาลอาญาอ่านคำพิพากษาให้จำคุก นายกิตติศักดิ์ สุ่มศรีและ นายปรีชา หรือ ไก่เตี้ย อยู่เย็น สองจำเลยซึ่งเป็นกองกำลังชุดดำที่ก่อการร้ายในเหตุการณ์ เมื่อปี 2553 คนละ 10 ปีอันเป็นการตอกย้ำถึงความมีอยู่จริงของกองกำลังก่อการร้ายชุดดำในเครือข่ายคนเสื้อแดง

เพราะฉะนั้นจากท่าทีความเคลื่อนไหวทั้งพรรคเพื่อแม้วและกลุ่มคนเสื้อแดงสะท้อนว่า เครือข่ายระบอบแม้วไม่ได้มีอุดมการณ์ทางการเมืองอย่างที่อ้าง แต่เป็นขบวนการที่ส่อพฤติการณ์ทำทุกอย่างเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและไม่เคยสำนึกผิด ตรงกันข้ามยังคงอาศัยคราบประชาธิปไตยจอมปลอมเป็นข้ออ้างบิดเบือนป่วนการสร้างความปรองดอง

ทีมข่าวการเมือง

จับเท็จขบวนการเพื่อแม้ว อ้างแตกแยกเพราะพวกขี้แพ้ชวนตี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/254750

วันพุธ ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560, 06.00 น.

ชัดเจนโดยไม่ต้องอธิบายอีกสำหรับจุดยืนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ
(คสช.)ที่ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะไม่มีการใช้มาตรา 44 เพื่อนิรโทษกรรมเพื่อสร้างความปรองดองให้กับใครทั้งสิ้น ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคงที่ได้รับมอบหมายให้วางแผนสร้างความปรองดองออกมาสยบข่าวสะพัดเรื่องดีลลับฮั้วเพื่อแม้วตั้งรัฐบาลแห่งชาติ

หลังการประกาศจุดยืนเสียงดังฟังชัดของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่า จะไม่ปรองดองด้วยการนิรโทษกรรมแบบสุดซอย ขบวนการเพื่อแม้วที่แยกกันเดินร่วมกันตีก็ออกโรงส่งสัญญาณส่อเจตนาป่วนเมืองทันทีโดยที่นักวิชาการเสื้อแดงหน้าเดิมนำโดย นายอนุสรณ์ อุณโน คณบดีคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กับพวกรวม 10 คน ไปยื่นจดหมายเปิดผนึกต่อประธานศาลฎีกาพร้อมรายชื่อนักวิชาการและนักศึกษาทั้งไทยและต่างชาติกว่า 300 รายชื่อขอให้ประธานศาลฎีกาและผู้พิพากษาทั่วประเทศพิจารณาเรื่องความเสื่อมถอยของระบบนิติรัฐและการละเมิดสิทธิ์จากกรณี นายจตุภัทร์ บุญภัทรรักษา หรือ “ไผ่ ดาวดิน” จำเลยคดีหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา ไม่ได้รับความเป็นธรรมโดยอ้างกรณีที่ศาลจังหวัดขอนแก่นเพิกถอนการปล่อยชั่วคราว และศาลอุทธรณ์ภาค 4 ยกคำร้องอุทธรณ์

การเคลื่อนไหวของกลุ่มนักวิชาการหน้าเดิมกลุ่มนี้ส่อเจตนาดับเครื่องชนศาลโดยพยายามชี้ให้เห็นว่ากระบวนการยุติธรรมไทยโดยเฉพาะศาลไร้มาตรฐาน อันเป็นการเดินเกมบ่อนทำลายความน่าเเชื่อถือของอำนาจรัฐคสช.ในสายตาชาวโลกนอกเหนือจากประเด็นความไม่เป็นประชาธิปไตย

ในอีกด้านหนึ่งพรรคเพื่อแม้วก็แสดงจุดยืนต่อแนวทางสร้างความปรองดองโดยอ้างว่า ความขัดแย้งทางการเมืองช่วง 10 ปีที่ผ่านมามีสาเหตุหลักจากการที่พรรคเพื่อแม้วชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นทำให้ฝ่ายตรงข้ามขี้แพ้ชวนตีหาทางต่อสู้นอกระบบรัฐสภาใช้มวลชนขับไล่รัฐบาลนำไปสู่การปฏิวัติรัฐประหารจนขยายความขัดแย้งเพิ่มมากขึ้น มีการใช้ขบวนการทางกฎหมายสองมาตรฐาน ซึ่งขัดหลักนิติรัฐนิติธรรมซึ่งจะต้องมีการปฏิรูปให้เกิดความเป็นธรรม มีขบวนการขัดขวางการเลือกตั้ง การไม่ยอมรับหลักประชาธิปไตย โดยมีการใช้วาทกรรมชี้ให้สังคมเห็นว่า 1 เสียงของประชาชนที่มีความรู้ต่างกันควรจะมีไม่เท่ากัน คนที่มีความรู้มากกว่าควรจะมีเสียงมากกว่า การสร้างวาทกรรมให้เกิดความความเกลียดชังทำลายฝ่ายตรงข้ามส่งผลให้สังคมเกิดความเกลียดชังเคียดแค้น

จากสารพัดข้ออ้างของขบวนการเพื่อแม้วข้างต้นทั้งหมดตรงกันถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการบิดเบือนอำพรางข้อเท็จจริงโดยข้ออ้างเรื่องกระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐานนั้นที่ผ่านมาหลายต่อหลายกรณีที่ศาลและองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญตัดสินเอื้อประโยชน์ต่อขบวนการเพื่อแม้ว แต่พอตัดสินไม่เป็นไปตามที่ตัวเองพอใจก็หาว่า 2 มาตรฐาน

การที่ขบวนการเพื่อแม้วอ้างเรื่อง 2 มาตรฐานมาตลอดถือเป็นยุทธศาสตร์ที่ส่อเจตนาบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรมในระยะยาวและอาจส่งผลต่อการตัดสินคดีสำคัญโดยเฉพาะ คดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์และที่สำคัญมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด เป็นจำเลยคนสำคัญ

ส่วนที่อ้างว่าฝ่ายตรงข้างไม่ยอมรับหลักประชาธิปไตย ความจริงก็คือพรรคเพื่อแม้วไม่ใช่สถาบันพรรคการเมืองตามระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงตั้งแต่แรกและเป็นต้นตอสำคัญที่ทำให้เกิดความแตกแยกในชาติลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนมาจนทุกวันนี้ เพราะพรรคเพื่อแม้วโดยเนื้อแท้แล้วเป็นบริษัทธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ สส.เป็นเพียงพนักงานบริษัทหากใช่ผู้แทนราษฎร โดยต้องอยู่ภายใต้อำนาจและทำตามคำสั่งของนายใหญ่เจ้าของบริษัท
ซึ่งเป็นนักธุรกิจการเมืองเพียงคนเดียวที่ใช้ทุนและผลประโยชน์ทุกรูปแบบซื้อพรรค ซื้อสส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศซึ่งเมื่อได้อำนาจรัฐก็จะโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนบวกกำไรมหาศาล ซึ่งพรรคเพื่อแม้วหลังได้อำนาจรัฐมีความทะเยอทะยานและใช้อำนาจตามอำเภอใจหวังผูกขาดอำนาจผลประโยชน์ยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในระยะยาว ซึ่งนั่นคือต้นเหตุ
จุดเริ่มต้นที่ทำให้มวลมหาประชาชนกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือม็อบเสื้อเหลืองออกมาแสดงพลังขับไล่รัฐบาลพรรคเพื่อแม้วขณะนั้นจนนำไปสู่การรัฐประหารเมื่อปี 2549 ด้วยสาเหตุสำคัญคือ รัฐบาลพรรคเพื่อแม้วทุจริตคอร์รัปชั่นมโหฬาร
อย่างย่ามใจ พยายามแทรกแซงองค์กรอิสระต่างๆ เพื่อผูกขาดอำนาจและปกปิดป้องกันตัวเองจากความชั่วร้ายที่กระทำไว้จนสร้างความแตกแยกในชาติรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน และที่สำคัญมีการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริม

หลังถูกรัฐประหารเมื่อปี 2549 และมีรัฐบาลที่มีพรรคประชาธิปัตย์เป็นแกนนำ ขบวนการเพื่อแม้วพยายามสร้างสถานการณ์จัดตั้งมวลชนเสื้อแดงก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาหวังช่วงชิงอำนาจรัฐกลับมาเป็นของตัวเองอีกครั้งเมื่อปี 2552 แต่ประสบความล้มเหลว จึงอาศัยม็อบเสื้อแดงและกองกำลังติดอาวุธใต้ดินสร้างสถานการณ์ก่อวินาศกรรมแทบรายวันและนำไปสู่เหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

ส่วนการรัฐประหารรัฐบาลเพื่อแม้วครั้งที่สองในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์โดยคสช. มีจุดเริ่มต้นจากการที่รัฐบาล “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” เหลิงในอำนาจเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมถึงกับลักไก่หักดิบผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งฟอกโทษความผิดทั้งหมดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต และเหล่าแกนนำเสื้อแดงที่เป็นผู้ต้องหาก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองปี 2553 จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนจำนวนหลายล้านคนออกมาแสดงพลังต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จนเกิดการปราบปรามนองเลือดและมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่สงครามกลางเมืองครั้งใหญ่ ขณะที่
ประเทศอยู่ในภาวะรัฐล้มเหลวสิ้นเชิงทำให้คสช.ต้องเข้ายึดอำนาจการปกครองประเทศเพื่อให้ประเทศเดินหน้าต่อไปได้

เพราะฉะนั้นการที่บ้านเมืองขัดแย้งอย่างลึกซึ้งมาจนถึงทุกวันนี้จุดเริ่มต้นสำคัญจึงอยู่ที่ความเป็นพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมของขบวนการเพื่อแม้วที่หลงระเริงในอำนาจและทำสิ่งชั่วร้าย ซึ่งหากพรรคเพื่อแม้วเป็นพรรคในระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่โกงบ้านกินเมือง ไม่ส่อเป็นภัยต่อสถาบันเบื้องสูงและทะเยอทะยานคิดยึดครองประเทศก็คงไม่มีมวลมหาประชาชนมากมายมหาศาลออกมาต่อต้านจนกลายเป็นความแตกแยกลึกซึ้งเช่นทุกวันนี้

ทีมข่าวการเมือง

สางสินบนฉาวโรลส์รอยซ์ หวังว่าเอาจริงอย่ามวยล้มต้มคนดู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/254611

วันอังคาร ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

สังคมเฝ้าจับตาอย่างไม่ค่อยมั่นใจนักว่าถึงที่สุดแล้วอำนาจรัฐยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)จะเอาจริงสางกรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์จนสามารถลากตัวขบวนการรับสินบนโกงชาติมาเข้าคุกได้จริงหรือไม่ โดยเฉพาะตัวการใหญ่ระดับรัฐมนตรีในอดีต

ล่าสุด นายสรรเสริญ พลเจียก เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการประสานขอข้อมูลหลักฐานเชิงลึกจากหน่วยปราบปรามทุจริตคอร์รัปชั่นของอังกฤษหรือเอสเอฟโอ กล่าวว่า จะทำหนังสือขอข้อมูลไปยังเอสเอฟโออย่างเป็นทางการภายในสัปดาห์นี้ โดยก่อนหน้านี้จากการหารือระหว่างตัวแทนป.ป.ช.ไทยและป.ป.ช.อังกฤษข้ามทวีปผ่านระบบวีดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ ซึ่งฝ่ายเอสเอฟโอตอบรับพร้อมให้ความร่วมมือโดยตั้งเงื่อนไขว่า ขอให้ฝ่ายไทยระมัดระวังในการให้ข่าวเพราะกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดีในศาลจึงอาจเกิดปัญหาเกี่ยวกับกฎหมายได้

เพราะฉะนั้นเรื่องการขอข้อมูลหลักฐานเชิงลึกจากเอสเอฟโอคงต้องรอดูภายในสัปดาห์นี้ว่า เอสเอฟโอจะให้ข้อมูลอย่างที่รับปากหรือไม่หรือจะเล่นเกมตั้งแง่โยกโย้ แต่ถึงจะไม่มีข้อมูลจากเอสเอฟโอ จากข้อมูลกระฉ่อนโลกที่ถูกตีแผ่ออกมาโดยสื่อต่างชาติสำนักต่างๆ เกี่ยวกับคำรับสารภาพของผู้บริหารโรลส์-รอยซ์ต่อเอสเอฟโอรวมทั้งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯก็น่าจะเป็นเบาะแสที่ชัดเจนเพียงพอที่จะนำไปสู่การขยายผลลากขบวนการรับสินบนเข้าคุกได้ไม่ยาก

มาทางด้าน ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ มือกฎหมายของรัฐบาลแสดงท่าทีแบ่งรับแบ่งสู้ข้อเสนอของป.ป.ช.ที่ชี้ว่า แม้คดีสินบนโรลส์-รอยซ์ช่วงแรกระหว่างปี 2534-2535 และช่วงที่สองระหว่างปี 2535-2540 จะขาดอายุความทางอาญาไปแล้ว แต่บริษัทการบินไทยในฐานะผู้เสียหายอาจร้องเรียนไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)เพื่อให้ตรวจสอบและอายัดทรัพย์สินขบวนการรับสินบน โดย ดร.วิษณุ กล่าวว่ากำลังพิจารณารายละเอียดในข้อกฎหมายอยู่ว่าทำได้หรือไม่แค่ไหน โดยบางเรื่อง ป.ป.ช.อาจเป็นเจ้าภาพยื่นฟ้อง บางเรื่อง ปปง.อาจเป็นต้นเรื่องยื่นฟ้อง หรืออาจจะทั้งสองหน่วยงานร่วมกันยื่นฟ้อง

ที่น่าสนใจคือ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมว.ยุติธรรม ออกมาแสดงท่าทีเหมือนจะเอาจริงกับกรณีสินบนโรลส์-รอยซ์ โดยกล่าวว่าเมื่อพิจารณาทั้งภาพกว้างและรายละเอียดแล้วพบว่า การทุจริตให้สินบนที่เกิดขึ้นในอดีต ทางต่างประเทศได้ลงโทษบริษัทเอกชนและผู้ที่เกี่ยวข้องไปแล้ว แต่ในบ้านเราพวกที่รับสินบนไม่ว่าจะนักการเมือง ข้าราชการ เอกชน ยังไม่ได้ถูกลงโทษ

“เรื่องนี้ต้องหาตัวผู้ที่เกี่ยวข้องซึ่งน่าจะไม่ยากนักเพราะทุกเรื่องราวระบุปีที่มีการสั่งซื้อของเพื่อรับสินบน ต้องมีหลักฐานเอกสารการจัดหา การจัดซื้อจัดจ้าง มีรายชื่อผู้ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ต้องตรวจสอบได้จนพบผู้เกี่ยวข้องและข้อเท็จจริงต่างๆ ซึ่งศอตช.ได้ประสานหน่วยตรวจสอบให้มีการดำเนินการแล้ว และกระทรวงยุติธรรมก็จะใช้ทุกช่องทางและอำนาจตามกฎหมายที่มีทำให้การตรวจสอบได้ความกระจ่างชัดและเสนอรัฐบาลโดยเร็ว”

ฟังจากคำพูดของ นายสุวพันธุ์ แล้วเหมือนดูดีและมีความหวังว่ากรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์น่าจะสามารถลากขบวนการงาบสินบนมาลงโทษเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง แต่สาธารณชนก็ยังอดคลางแคลงใจไม่ได้กับผลงานของ นายสุวพันธุ์ ในอดีตเพราะเมื่อครั้งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯดูแลรับผิดชอบเกี่ยวกับปัญหาสำนักจานบินและ ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนัก ผู้อื้อฉาว รวมทั้งกรณีม็อบผ้าเหลืองล็อกคอทหารปรากฏว่าปัญหายืดเยื้อลุกลาม แม้จนบัดนี้เมื่อ นายสุวพันธุ์ มาดำรงตำแหน่งรมว.ยุติธรรม ธัมมชโย ก็ยังลอยนวลเย้ยกฎหมายหลังจากที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)เลื่อนแล้วเลื่อนอีกไม่กล้าบุกเข้าสำนักจานบินเพื่อคุมตัว ธัมมชโย ทั้งๆ ที่มีหมายจับตามคำสั่งศาลหลายหมายโดยเฉพาะข้อหายักยอกและรับของโจรพัวพันคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

ช่วงก่อนปีใหม่ นายสุวพันธุ์ หลังเข้ารับตำแหน่งรมว.ยุติธรรมไม่นานแสดงท่าทีขึงขังว่าหลังปีใหม่จะจัดการสำนักจานบินและ ธัมมชโย แน่ แต่จนบัดนี้เรื่องบุกสำนักจานบินเพื่อจับ ธัมมชโย กลับเงียบกริบกลายเป็นไฟไหม้ฟาง

สำหรับกรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ช่วงที่สำคัญคือระหว่างปี 2547-2548 ยุครัฐบาลแม้วที่นอกจากพัวพันเรื่องสินบนโดยมีการทำเป็นขบวนการโดยอดีตรัฐมนตรีไอ้โม่ง 2 คนเป็นตัวละครสำคัญแล้ว ยังเกี่ยวข้องกับการชงเรื่องล็อกสเปกงาบคอมมิสชั่นในการจัดซื้อเครื่องบิน 14 ลำ มูลค่าเกือบ 1 แสนล้านบาท ซึ่งต้องใช้เครื่องยนต์โรลส์-รอยซ์ทั้งๆ ที่เครื่องบินรุ่นดังกล่าวตกรุ่นซึ่งขณะนี้ถูกทิ้งเป็นเศษเหล็กตากแดดตากฝนและต้องใช้งบประมาณแผ่นดินมหาศาลเป็นค่าบำรุงรักษา

หลายฝ่ายกำลังจับตากรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ที่พัวพันกับรัฐบาลแม้วในอดีตเพราะอาจจะถูกนำมาเป็นเครื่องมือต่อรองทางการเมืองตามแผนสร้างความปรองดอง

เพราะฉะนั้นผลงานการสางกรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์จะเป็นบทพิสูจน์เครดิตรัฐบาลคสช.ว่าเอาจริงกับการขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นมากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่องค์กรความโปร่งใสนานาชาติ เพิ่งจะลดอันดับความโปร่งใสของไทยหล่นฮวบจากอันดับ 76 ไปอยู่ที่อันดับ 101 จาก 176 ประเทศ ขณะที่สาธารณชนเฝ้าจับตาและได้แต่หวังว่ากรณีนี้จะไม่เป็นมวยล้มต้มคนดูเหมือนหลายกรณีที่ผ่านมา

ทีมข่าวการเมือง

สัญญาณอันตรายวิกฤติศรัทธา ถ้ารัฐทหารไม่ต่างจากพวกนักโกงเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/254468

วันจันทร์ ที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2560, 02.00 น.

ช่วงนี้ข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตคอร์รัปชั่นของไทยครึกโครมถี่ยิบทั้งเรื่องเก่าที่เคยเกิดขึ้นในอดีตที่เพิ่งถูกนำมาตีแผ่ และข่าวที่เกิดขึ้นในรัฐบาลยุคคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดยเริ่มจากข่าวกระฉ่อนโลกก่อนหน้านี้กรณีสินบนฉาวโรลส์-รอยซ์ ช่วงปี 2534-2548ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านอกจากจะทำลายภาพพจน์ความน่าเชื่อถือของประเทศไทยในสายตาชาวโลกแล้ว ยังก่อให้เกิดวิกฤติศรัทธาของมหาชนไม่แต่เฉพาะนักการเมือง แต่ยังรวมถึงรัฐบาลอันเป็นผลพวงจากการรัฐประหารด้วยอันสะท้อนสัญญาณอันตรายของมะเร็งร้ายคอร์รัปชั่นที่กัดกินสังคมไทยอย่างฝังรากลึกและทำให้สังคมเดินไปสู่เส้นทางของวังวนแห่งวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายแบบเดิมๆซ้ำซาก

จากหลักฐานคำรับสารภาพของผู้บริหารบริษัทโรลส์-รอยซ์ ของอังกฤษที่ให้การต่อหน่วยปราบปรามการทุจริตของอังกฤษคือเอสเอฟโอ ระบุว่า มีการจ่ายสินบนให้กับนักการเมืองผู้มีอำนาจ เจ้าหน้าที่ของบริษัทการบินไทยและนายหน้ารวม 3 ครั้ง คือ ครั้งแรกช่วงปี 2534-2535 มูลค่า 18.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตรงกับช่วงรัฐบาล นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกฯ ที่ได้สมญาว่าผู้ดีรัตนโกสินทร์ และเป็นรัฐบาลซึ่งเป็นผลพวงจากการรัฐประหารของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ครั้งที่สอง ช่วงปี 2535-2540 เป็นมูลค่า 10.38 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งคาบเกี่ยวตรงกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งหลายรัฐบาล คือ รัฐบาล นายชวน หลีกภัยรัฐบาล นายบรรหาร ศิลปอาชา และ รัฐบาล พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ส่วนช่วงที่ 3 ระหว่างปี 2547-2548 มูลค่า 7.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ตรงกับรัฐบาลนายทักษิณชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริต

โดยเฉพาะในยุครัฐบาลทักษิณไม่เพียงเรื่องสินบน แต่ยังพัวพันถูกตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับการทุจริตสองเด้งคือ การล็อกสเปกชงเรื่องจัดซื้อเครื่องบิน 14 ลำ มูลค่าเกือบ 1 แสนล้านบาท ซึ่งนอกจากใช้เครื่องยนต์ของบริษัทโรลส์-รอยซ์แล้ว ยังถูกตั้งข้อสงสัยเรื่องการกินค่าคอมมิชชั่นการจัดซื้อเครื่องบินมูลค่ามหาศาล ขณะที่ประเทศเสียหายย่อยยับจากการที่เครื่องบินตกรุ่นที่สั่งซื้อดังกล่าว ซึ่งกินน้ำมันมากและมีค่ารักษาบำรุงสูงจนหลายประเทศเลิกใช้ จากการล็อกสเปกซื้อเครื่องบินตกรุ่นดังกล่าวทำให้บริษัทการบินไทยขาดทุนจนต้องหยุดให้บริการและนำเครื่องบินจอดทิ้งตากแดดตากฝนกลายเป็นเศษเหล็กมาจนทุกวันนี้โดยที่ต้องเสียค่าบำรุงรักษามูลค่ามหาศาล

สินบนโรลส์-รอยซ์ ยังลามไปถึงบริษัทปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม (ปตท.สผ.) ในสังกัดกระทรวงพลังงาน เมื่อกระทรวงยุติธรรมสหรัฐเปิดโปงผลการสอบสวนบริษัทโรลส์-รอยซ์ ที่จ่ายสินบนให้หลายประเทศรวมทั้งบริษัทปตท.สผ.ของไทย ยังไม่รวมกรณีที่บริษัทที่ทำธุรกิจขายสายเคเบิลของสหรัฐบริษัทหนึ่งถูกดำเนินคดีและสารภาพว่าได้จ่ายสินบนให้เจ้าหน้าที่ไทยในหลายรัฐวิสาหกิจที่เกี่ยวข้องกับการผลิตไฟฟ้าทั้งหลาย รวมทั้งบริษัททีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อแลกกับการขายสายไฟฟ้ามูลค่ามหาศาล

ส่วนในยุครัฐบาลคสช.ก็เกิดข่าวอื้อฉาวเกี่ยวกับการทุจริตไม่น้อย อย่างเมื่อไม่นานมานี้ คือ เรื่องการโกงสอบเข้าโรงเรียนนายสิบตำรวจ และที่สำคัญคือข่าวการวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งในวงการตำรวจที่มีมาช้านาน ซึ่งถือเป็นสัญญาณอันตรายอย่างยิ่งต่อกระบวนการยุติธรรม เพราะตำรวจเป็นผู้บังคับใช้กฎหมายและเป็นต้นทางของกระบวนการยุติธรรมที่สำคัญ หากตำรวจเองทุจริตมีการโกงสอบและวิ่งเต้นซื้อขายตำแหน่งคงไม่ต้องพูดถึงผลอันเลวร้ายที่จะตามมาจากความเหลวแหลกในวงการตำรวจ

ในวงเสวนาที่จัดโดยมูลนิธิองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) เมื่อวันที่ 26 ม.ค.ที่ผ่านมา ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ถึงกับกล่าวในการเสวนาว่า คนที่ค้ายาเสพติดนี่ยังก่ออาชญากรรมได้ไม่มากเท่ากับตำรวจ เพราะตำรวจบางส่วนที่ทั้งขายและทั้งจับด้วย แต่ไม่ได้หมายความถึงตำรวจทั้งหมด ถามว่ารัฐบาลรู้ไหม รัฐบาลรู้ แต่ถามว่าทำไมไม่ทำ เป็นคำถามที่ยังไม่มีคำตอบ ปัญหาที่สะท้อนมามากมายขนาดนี้ รัฐบาลยังไม่คิดเปลี่ยนแปลงทำให้ประชาชนพ้นทุกข์ทำให้เกิดความยุติธรรมถือว่าท่านผู้ปกครองมีใจคออำมหิตเกินไป ไม่มีความรักต่อประชาชนเลย เรื่องนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เกิดมานานแล้ว รัฐบาลอยู่มากว่า 2 ปี การปฏิรูปตำรวจก็ยังไม่เกิดขึ้นเลยสักนิดเดียว

ภาพลักษณ์ความไม่โปร่งใสของรัฐบาลคสช.ยังถูกซ้ำเติมจากการจัดอันดับขององค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (Tranparency International-TI) ครั้งล่าสุดที่ลดอันดับความโปร่งใสของรัฐบาลยุคคสช.จาก 38 คะแนนหรืออันดับ 76 เมื่อปีที่แล้วเหลือเพียง 35 คะแนน หรืออันดับ 101 จาก 176 ประเทศทั่วโลก

เพราะฉะนั้นรัฐบาลคสช.ซึ่งประกาศนโยบายปฏิรูปประเทศล้างการทุจริตคอร์รัปชั่นเป็นวาระแห่งชาติต้องรีบพิสูจน์ตัวเองว่าทำจริงอย่างที่พูดด้วยการดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดกับพวกโกงบ้านกินเมืองอย่างจริงจังทั้งเรื่องอื้อฉาวในอดีตและปัจจุบันไม่ใช่สร้างภาพแบบไฟไหม้ฟาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องไม่ปล่อยให้พวกเดียวกันเอง หรือหน่วยงานรัฐท้าทายอำนาจพิเศษของคสช.แสวงหาผลประโยชน์ปล้นเงินแผ่นดิน

ทั้งนี้ แม้ผลสำรวจของโพลล์ทุกสำนักตลอดช่วงที่ผ่านมา จะสะท้อนว่า ประชาชนยังเชื่อถือไว้วางใจในอำนาจรัฐทหาร แต่นั่นไม่ใช่สะท้อนเสียงของประชาชนที่ยั่งยืนถาวร ซึ่งจากประวัติศาสตร์มีบทเรียนให้เห็นมาแล้วว่า เมื่อใดที่รัฐบาลทหารทำตัวเหลวแหลกเพื่อตัวเอง โดยเฉพาะปล่อยให้มีการทุจริตคอร์รัปชั่นในหมู่พวกพ้องในที่สุดจะเกิดวิกฤติศรัทธาของมหาชนจนยากที่จะอยู่ในอำนาจต่อไป แต่ที่อันตรายต่อความมั่นคงของชาติในช่วงเปลี่ยนผ่านยิ่งกว่าก็คือทางตันสำหรับประเทศ เพราะเมื่อประชาชนหมดหวังพึ่งอำนาจพิเศษก็จะหันไปสนับสนุนรัฐบาลธุรกิจโกงเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่เป็นต้นเหตุของวังวนวงจรอุบาทว์ซ้ำซากแบบเดิมๆ

ทีมข่าวการเมือง