Skip to primary content
Skip to secondary content

SootinClaimon.Com

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย2 [SartKasetDinPui2] : รวบรวม ข้อมูล เศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม เกษตร ดิน น้ำ ปุ๋ย

SootinClaimon.Com

Main menu

  • Home
  • KU23-2506
  • ข้อคิดความเห็น
  • ตระกูลคล้ายมนต์
  • ผมเองครับ
  • ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย1

Category Archives: สกู๊ปแนวหน้า

Post navigation

← Older posts
Newer posts →

สกู๊ปแนวหน้า : ‘เด็ก-เยาวชน’กลุ่มเสี่ยง ‘สุขภาพจิต’สิทธิต้องเข้าถึง

Posted on January 15, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/704271

สกู๊ปแนวหน้า : ‘เด็ก-เยาวชน’กลุ่มเสี่ยง  ‘สุขภาพจิต’สิทธิต้องเข้าถึง

สกู๊ปแนวหน้า : ‘เด็ก-เยาวชน’กลุ่มเสี่ยง ‘สุขภาพจิต’สิทธิต้องเข้าถึง

วันอาทิตย์ ที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2566, 07.00 น.

“เราเล่าเรื่องที่เราถูกล่วงละเมิดทางเพศกับครูประจำชั้นตั้งแต่เราอายุ 11 ญาติที่บ้านรับทราบเรื่องเงียบ เราไปโรงพยาบาล ฉุกเฉินต้องล้างท้อง สุดท้ายชีวิตก็กลับมาเหมือนเดิมไม่มีการเยี่ยมบ้าน ไม่มีการติดตาม อันนี้เป็นปัญหา อายุ 14 ปี พบครูแนะแนว ไปโรงพยาบาล แจ้งผู้ใหญ่อีกรอบ แจ้งผู้ดูแลทุน เราได้ทุนตั้งแต่อายุ 11 พอโตมาได้ออกสื่อได้ความรู้มากขึ้นก็จริงแต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ”

เรื่องเล่าของ จอมเทียน จันสมรักผู้เคยมีประสบการณ์กับโรคซึมเศร้าที่เปิดเผยในวงเสวนา “ทางออกสุขภาพจิต พิชิตปัญหาวัยรุ่น” ที่งานสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15 เมื่อเร็วๆ นี้ ถึงชีวิตที่ผ่านวิกฤตมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่ต้องใช้ชีวิตกับแม่ที่มีอาการหวาดระแวง เคยถูกแม่พาไปลาออกจากโรงเรียนอนุบาลซึ่งกว่าจะได้กลับเข้าระบบการศึกษาต้องรอถึงอายุ 9 ปี เคยอยู่แบบลำบากอดมื้อกินมื้อต้องพึ่งพาอาหารจากญาติข้างบ้าน เคยถูกล่วงละเมิดทางเพศจากลูกพี่ลูกน้องแต่ตอนนั้นยังเด็กจึงไม่รู้ว่าคืออะไร เคยทำร้ายตนเองด้วยการกินยาพาราเซตามอลเกินขนาด

แต่ทั้งหมดนี้ไม่เคยมีหน่วยงานของรัฐเข้ามาช่วยเหลือ ไม่เคยมีการประสานส่งต่อทั้งที่โรงเรียนและโรงพยาบาลรับรู้กระทั่งจุดเปลี่ยนในชีวิตคือได้เข้าเรียนที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่นั่นมีคณะจิตวิทยาและนิสิตสามารถพบนักจิตวิทยาได้และได้อยู่หอพักโดยไม่ต้องอยู่กับแม่ จึงเริ่มดูแลตนเองพร้อมกับดูแลแม่ กระทั่งเมื่อไม่นานนี้เพิ่งได้เห็นนักสังคมสงเคราะห์ พยาบาลจิตเวช และอาสาสมัครสาธารณสุขหมู่บ้าน (อสม.)ลงพื้นที่เยี่ยมบ้าน ทำให้คิดว่า หากระบบนี้มีมาถึงตั้งแต่ตนเองยังเป็นเด็กก็อาจไม่ต้องเผชิญกับความรุนแรงต่างๆ เลยก็เป็นได้

ปราชญา ศิริ์มหาอาริยะโพธิ์ญาตัวแทนเยาวชนที่ผลักดันให้เกิดการแก้ไข พ.ร.บ.สุขภาพจิต เล่าถึงสาเหตุของการแก้ไขกฎหมายให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พบจิตแพทย์ได้โดยไม่ต้องมีผู้ปกครองยินยอม ว่า ในหลายกรณีปัญหาสุขภาพจิตของเด็กและเยาวชนมาจากครอบครัว จึงต้องการผลักดันให้แก้ไขกฎหมายดังกล่าว ทั้งนี้นับตั้งแต่การเริ่มทำงานกับสภาเด็กและเยาวชนเมื่ออายุได้ 12 ปี แผนงานส่วนใหญ่จะเป็นการแก้ปัญหาสุขภาพกาย แต่เมื่อได้เข้าไปเก็บข้อมูลจริงๆ แล้ว ปัญหาสุขภาพจิตก็รุนแรงไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ซึ่งหลายครั้งหมายถึงความพยายามฆ่าตัวตาย

แต่การผลักดันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายโดยเฉพาะการที่เด็กเพิ่งเรียนชั้นมัธยมต้องไปชี้แจงกับรัฐมนตรีและผู้เชี่ยวชาญของกระทรวงสาธารณสุขที่วัยวุฒิและคุณวุฒิสูงกว่ามาก ทีมงานจึงต้องพยายามรวบรวมข้อมูลหลักฐานให้ได้มากที่สุดเพื่อให้ข้อเรียกร้องมีน้ำหนัก เช่น สถานการณ์สุขภาพจิตในต่างประเทศ ซึ่งพบว่าประเทศที่ให้ผู้มีอายุต่ำกว่า 18 ปี พบจิตแพทย์ได้เองปัญหาเรื่องนี้ของเด็กและเยาวชนจะน้อยกว่าประเทศที่ต้องให้ผู้ปกครองยินยอม ใช้เวลากันถึง 3 ปี กว่าที่กระทรวงฯ จะยอมรับมีแนวปฏิบัติกับบุคลากรทางการแพทย์ออกมา

“บางคนอาจจะรู้สึกว่าการพบจิตแพทย์คือเหมือนกับเด็กได้เจอจิตแพทย์คนเดียว แต่เรามองว่ามันไม่ใช่ คือการที่ถ้าเขาได้เข้าถึงบริการแล้ว เขาได้เจอจิตแพทย์ นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ เด็กที่เดินเข้าไปพบจิตแพทย์ด้วยตัวเองจะแบ่งได้เป็น 2 ประเภทหลักๆ 1.บอกไม่ได้จริงๆ บอกแล้วครอบครัวจะมีปัญหา บอกแล้วครอบครัวจะใช้ความรุนแรง คือไม่สามารถจะสื่อสารกับครอบครัวได้ รวมถึงเคสเหล่านี้ก็จะมีบางส่วนที่ครอบครัวมีปัญหาทางจิตเวชด้วย

กับ 2.ตัวเขาไม่มีข้อมูล ไม่มีชุดความรู้ ไม่มีชุดคำพูดที่จะพูดกับพ่อแม่ อยากให้คุณหมอ อยากให้นักสังคมสงเคราะห์ช่วยบอกแทนเขาหน่อย การเปิดประตูบานแรกมันก็จะช่วยทั้ง 2 เคส เคสแรกเขาก็จะได้เข้าถึงการรักษาและสามารถเยียวยาเขาได้ เคสที่สองคือนักสังคมสงเคราะห์จะสามารถพูดคุยกับครอบครัวช่วยเยียวยา อารมณ์เหมือนช่วยรักษารอยร้าวในครอบครัว ให้สามารถช่วยเหลือเขาได้” ปราชญา กล่าว

พญ.วิรัลพัชร กิตติธะระพันธุ์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น โรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์ กล่าวว่า โรคหรือภาวะซึมเศร้าคือความผิดปกติทางร่างกาย เพราะคนทุกคนมียีนที่เสี่ยงกับภาวะซึมเศร้าอยู่แล้ว และความเครียดหรือความเสียใจคือปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการ อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นที่ซึมเศร้าอาจมีอาการต่างจากผู้ใหญ่ โดยในขณะที่ผู้ใหญ่อาจร้องไห้หรือมีความคิดอยากฆ่าตัวตาย แต่วัยรุ่นคืออาจพบเห็นว่ามีอารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป หงุดหงิดง่ายขึ้น มีความคิดไม่อยากมีชีวิตอยู่ อยากหายไปจากโลกนี้

ประสิทธิภาพในการเรียนแย่ลง จากที่เคยไปเรียนก็ไม่อยากเรียน มีพฤติกรรมเก็บตัว หรืออาจมีอาการทางกายร่วมด้วย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง คลื่นไส้อาเจียน น้ำหนักลดเนื่องจากเบื่ออาหาร ส่วน “ความแตกต่างระหว่างโรคซึมเศร้ากับภาวะซึมเศร้า” คือภาวะซึมเศร้าเป็นสิ่งที่เกิดได้กับทุกคนเมื่อประสบกับเหตุการณ์ที่ทำให้เกิดความเครียดหรือเสียใจ นำไปสู่ความรู้สึกเศร้าหรือเบื่อหน่าย แต่อาการนี้จะไม่คงอยู่ไปตลอด แต่เมื่อใดที่อาการเหล่านั้นเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น ไม่อยากไปเรียน-ไม่อยากไปทำงาน นั่นคือสัญญาณว่ากำลังป่วยเป็นโรคซึมเศร้าแล้ว

“วัยรุ่นแบบไหนที่เราต้องสงสัยว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า? ก็คือวัยรุ่นที่มีความเจ็บป่วยทางจิตเวชมาก่อนหน้าที่แล้ว อย่างเช่นเด็กหลายๆ คนเรามาเจอว่าเขาเป็นสมาธิสั้นในวัยเด็ก หรือมีภาวะออทิสติกปรับตัวยาก มีภาวะการเข้าสู่สังคมที่ผิดปกติ ถูกเพื่อนแกล้งหรือโดน Bully (ล้อเลียน-เหยียดหยาม) มาโดยตลอด หรือแม้แต่ครอบครัวที่มีปัญหาสุขภาพจิต อย่างเช่น พ่อแม่ติดการพนัน ติดสารเสพติด หรือแม้กระทั่งติดเหล้านี่เราเจอบ่อยที่สุดเลย ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กถูกทารุณกรรมและเกิดภาวะซึมเศร้าได้

เด็กที่มีปัญหาการเรียน โดดเรียนบ่อย เข้าห้องฝ่ายปกครองบ่อยๆ ชอบชกต่อย ชอบใช้สารเสพติด หรือติดพนัน ติดเกมพวกนี้ให้สงสัยว่าถึงจุดหนึ่งเขาอาจจะมีภาวะซึมเศร้าที่เขาต้องใช้ปัจจัยพวกนี้เป็นตัวกระตุ้นให้เขาเกิดความสุขขึ้นมาแทนที่ แต่มีเด็กอีกกลุ่มที่เราแทบจะไม่น่าเชื่อเลยว่าเขาจะมีภาวะซึมเศร้า ก็คือเด็กที่เราเรียกว่าเด็กดีเกินไป คุณครูคุณพ่อคุณแม่เคยเจอไหม?ไม่กล้าที่จะปฏิเสธ อ่อนไหวต่อคำวิพากษ์วิจารณ์ รู้สึกแย่มากกับการไมได้คะแนนเต็ม หรือไม่ได้ 4.00 หรือไม่ได้เป็นที่ 1 ของห้องเด็กพวกนี้เขาน่าสงสารมากเพราะเขามีความเปราะบางทางจิตใจ เพราะฉะนั้นเวลามีผลกระทบอะไรก็ตาม เขาแตกสลายได้ง่าย” พญ.วิรัลพัชร ระบุ

ทั้งนี้ “ครอบครัวก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นให้คนเป็นโรคซึมเศร้า” เช่น พ่อแม่ผู้ปกครองที่ไม่เปิดโอกาสให้บุตรหลานได้แสดงออกหรือได้เป็นตัวของตัวเอง พอบุตรหลานจะแสดงความคิดเห็นก็ตำหนิว่าก้าวร้าวชอบโต้เถียง หรือการเกิดมาเป็นผู้ชายแล้วต้องแบกรับค่านิยมว่าเพศชายต้องแสดงท่าทีเข้มแข็งตลอดเวลา เหล่านี้เป็นจุดที่สังคมไทยต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้ และโดยสรุปแล้ว “โรคซึมเศร้าเกิดได้กับทุกคน รักษาให้หายได้และเป็นซ้ำได้”ดังนั้นจึงต้องให้ความรู้กับสังคในเรื่องของการที่ผู้ป่วยได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

โดยเฉพาะ “ต้องมีพื้นที่ปลอดภัย (Safe Zone)”ให้ได้แสดงตัวตนความคิดโดยไม่ต้องถูกตัดสินผิด-ถูก!!!

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว’ผลลัพธ์เลิศ วิถี‘การศึกษา’แบบ‘เกาหลีใต้’

Posted on January 14, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/704138

สกู๊ปแนวหน้า : ‘มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว’ผลลัพธ์เลิศ  วิถี‘การศึกษา’แบบ‘เกาหลีใต้’

สกู๊ปแนวหน้า : ‘มุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว’ผลลัพธ์เลิศ วิถี‘การศึกษา’แบบ‘เกาหลีใต้’

วันเสาร์ ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

“เกาหลีใต้” ประเทศที่โดดเด่นทั้งอุตสาหกรรมไม่ว่ายานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สื่อบันเทิง“เค-ป๊อป (K-Pop)” รวมไปถึง “การศึกษา” ที่ผลคะแนนการทดสอบวัดความรู้ระหว่างประเทศอย่าง PISA เกาะกลุ่มหัวแถวของโลกของทวีปเอเชีย อาทิ การทดสอบในปี 2561 มี 77 ประเทศ และเขตปกครองเข้าร่วม เกาหลีใต้อยู่ได้อันดับที่ 7 เป็นรองเพียงจีนแผ่นดินใหญ่ (ทดสอบใน 4 พื้นที่คือกรุงปักกิ่ง เมืองเซี่ยงไฮ้ มณฑลเจียงซูและมณฑลเจ้อเจียง) สิงคโปร์ มาเก๊า ฮ่องกง เอสโตเนีย และญี่ปุ่นตามลำดับ ส่วนปีนั้นไทยอยู่อันดับที่ 60

เมื่อเร็วๆ นี้ สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ร่วมกับ โครงการประเมินและพัฒนาสู่ความเป็นเลิศทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (TEDET) จัดบรรยายหัวข้อ “สร้างนิสัยเรียนเก่งตามแบบฉบับเกาหลี” โดยวิทยากรคือ ดร.ไพบูลย์ ปีตะเสน ประธานศูนย์เกาหลีศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มธ. ซึ่งเคยมีประสบการณ์เรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติ กรุงโซล สถาบันอุดมศึกษาอันดับ 1 ของเกาหลีใต้ เริ่มต้นด้วยการกล่าวถึง “Reborn Rich” ซีรี่ส์ดังจากแดนกิมจิ ที่มีมหาวิทยาลัยแห่งนี้เป็นฉากหลังส่วนหนึ่งด้วย

“เขาฉายภาพของมหาวิทยาลัยโซล และฉายให้เห็นถึงการเรียนให้มีผลดี การเข้าไปแข่งขันในวงการธุรกิจ มันคือเรื่องเดียวกัน การที่เราเรียนได้ประสบความสำเร็จมันก็เป็นบันไดก้าวแรกที่จะให้เราไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างประสบความสำเร็จเหมือนกัน อันนี้มาในภาพมหาวิทยาลัยโซลในยุค 90 (ปี 2533-2542) ในฉากในหนัง” ดร.ไพบูลย์กล่าว

ดร.ไพบูลย์ เล่าต่อไปว่า เมื่อครั้งได้ทุนจากประเทศไทยไปเรียนที่เกาหลีใต้ในช่วงทศวรรษ 1990 ได้พบนักเรียนท้องถิ่นชั้น ม.6 คนหนึ่ง เลือกที่จะไม่เรียนต่อมหาวิทยาลัยในทันทีหลังเรียนจบ เพราะตั้งใจจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยแห่งชาติ กรุงโซล ให้ได้ ซึ่งในปีแรกหลังจบ ม.6 เขาสอบไม่ผ่าน จึงใช้เวลาอ่านหนังสืออีก 1 ปีก่อนกลับมาสอบแต่ครั้งนี้สอบผ่านได้เข้าไปเรียน โดยไม่สนใจที่นั่งในมหาวิทยาลัยอื่นๆ ที่เขาสอบได้แล้วแต่อย่างใด

ความน่าสนใจคือพฤติกรรมแปลกๆ ของเด็กคนนี้“เมื่ออ่านหนังสือจบก็จะฉีกทำลายหนังสือทิ้ง” ซึ่งหลังจากสังเกตอยู่หลายวันจึงตัดสินใจเข้าไปสอบถาม และได้รับคำตอบว่า “ถ้าอยากไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเลก็ต้องไม่เหลือเส้นทางให้กลับหลัง” การอ่านหนังสือแล้วทำลายทิ้งก็เพื่อกระตุ้นให้ต้องจำสาระสำคัญของบทเรียนให้ได้ ไม่เพียงเท่านั้น เขายังเดินทางไป-กลับระหว่างที่พักกับมหาวิทยาลัยเป็นประจำ ราวกับว่าได้เข้าไปเรียนแล้ว เพื่อปลุกเร้าตนเองว่าจะต้องเข้าไปเรียนให้ได้ด้วย

อีกเหตุการณ์หนึ่งคือเมื่อ ดร.ไพบูลย์ ได้เพื่อนร่วมห้องในหอพักเป็นลูกครึ่งเกาหลีใต้-ญี่ปุ่น ในเวลานั้นก็คุยกันว่าจะเลือกห้องไหนระหว่างชั้น 5 กับชั้น 2 ซึ่ง เพื่อนคนนี้ขอให้เลือกชั้น 2 แม้จะเป็นห้องแคบๆ เมื่อเทียบกับชั้น 5 ที่ห้องกว้างกว่า โดยให้เหตุผล 3 ข้อ คือ 1.สะดวกในการเดินทาง หากอยู่ชั้น 5 ต้องใช้ลิฟต์ในการขึ้น-ลง แต่อยู่ชั้น 2 เดินลงบันไดเองได้ ทำให้ในตอนเช้าเมื่อต้องขึ้นรถไปเรียนซึ่งรถก็มีที่นั่งจำกัดจะทำได้ง่ายกว่า

2.หลีกเลี่ยงการถูกรบกวน เนื่องจากเพื่อนคนนี้ทราบว่าคณะที่ตนเรียนสอบช้าที่สุด และนักศึกษาทุกคณะเมื่อสอบเสร็จก็มักจะมีปาร์ตี้สังสรรค์ ดังนั้นการเลือกห้องเล็กๆ
ก็น่าจะทำให้เพื่อนจากคณะอื่นๆ ไม่มาขอใช้ห้องเป็นพื้นที่สังสรรค์ 3.ไม่ทำให้เกิดความรู้สึกอยากอยู่ในห้องนานๆ วิถีชีวิตของนักศึกษาในเกาหลีใต้นิยมไปอ่านหนังสือในห้องสมุด โดยห้องในหอพักมีไว้เพียงเป็นที่ซุกหัวนอนเท่านั้น โดยห้องสมุดในมหาวิทยาลัยนั้นเปิด 24 ชั่วโมง และในทุกเช้าจะตื่นกันตั้งแต่ตี 4 เพื่อรีบกินมื้อเช้าแล้วเข้าไปหาพื้นที่อ่านหนังสือ

“คนเกาหลีจะชอบอ่านหนังสือในห้องสมุด ไม่เหมือนกับคนไทยที่ชอบอ่านที่บ้าน คืออ่านที่บ้านมันเงียบจริงแต่ข้อเสียคือเราอาจจะขาดวินัยได้ เราอาจจะทำโน่นทำนี่
จนเพลินแล้วเวลาอ่านมันไม่มีบรรยากาศเหมือนกับคนที่นั่งอ่านแข่งขันกับเราอยู่ มีคนอีกเป็นร้อยที่อยู่ด้านข้างเรา ห้องสมุดเกาหลีก็เงียบเหมือนกัน เขา (เพื่อนร่วมห้องที่หอพัก) ก็เลยบอกถ้าอยู่ห้องสบายเกินไปจะทำโน่นทำนี่วอกแวก เขาแถมให้อีกเหตุผลหนึ่งคือถ้าห้องใหญ่จะซื้อของเข้ามาเยอะแล้วเปลืองเงินมาก

ตลอดเวลาที่เขาเรียนกับผมมาทั้ง ป.โท-ป.เอก เขาใช้แก้วแค่ใบเดียวเอง ถ้าเขาใช้ห้องใหญ่เขาก็จะต้องมีแก้วกาแฟ แก้วน้ำ เยอะแยะมากมาย แก้วนมแก้วอะไร สะสมเจอแก้วสวยๆ ก็ต้องซื้อเพราะเขามีพื้นที่จัดเก็บ แต่ถ้าห้องมันเล็กเขาจำเป็นจะต้องใส่ของได้น้อย เสื้อผ้าเขาก็มีเท่าที่เขาต้องการ แก้วน้ำ ปากกา ดินสอ เวลาจะซื้อแต่ละอย่างที่จะบรรจุเข้าไปเขาก็ต้องคิด ผมก็เลยเห็นดีด้วยกับเขาในเมื่อเขาให้เหตุผลมาแล้วว่าเราควรจะอยู่ห้องเล็ก จบไวแล้วก็ประหยัดเงินด้วย” ดร.ไพบูลย์ ระบุ

ข้อคิดที่ ดร.ไพบูลย์ ได้เพื่อนร่วมห้องในหอพักคนนี้คือ “การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียน” ซึ่งในวันที่เรียนจบเพื่อนคนนี้มีเงินเหลือเก็บออมมากกว่านักศึกษาคนอื่นๆ ในกลุ่ม แต่ก็อาจเป็นเพราะยุคนั้นยังไม่มีโทรศัพท์มือถือ จึงไม่มีใครมารบกวนมากนัก จึงฝากเพิ่มเติมถึงคนยุคปัจจุบันด้วยว่า “ขอให้มีเป้าหมายแน่ชัดว่าตนเองต้องการทำอะไร และสร้างเงื่อนไขให้เดินไปตามเส้นทางนั้น” อย่าให้วอกแวก

เมื่อเทียบรายได้ต่อหัวระหว่างคนไทยกับคนเกาหลีใต้ทั้ง 2 ชาติเคยอยู่ระดับเดียวกันจนกระทั่งถึงปี 2518 จากนั้นเกาหลีใต้ก็ค่อยๆ ทิ้งห่างไทยขึ้นไปเรื่อยๆ โดยการสำรวจครั้งล่าสุดในปี 2563 พบว่า เกาหลีใต้อยู่ที่ 32,780 เหรียญสหรัฐต่อปี ส่วนไทยอยู่ที่ 7,260 เหรียญสหรัฐต่อปี หรือโดยสรุปคือ ในปี 2563คนเกาหลีใต้มีรายได้มากกว่าคนไทยถึงเกือบ 5 เท่า และการศึกษาก็คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เศรษฐกิจเกาหลีใต้เติบโตอย่างก้าวกระโดด

โดยเกาหลีใต้วางนโยบายหลักด้านการศึกษาไว้ 4 เรื่อง 1.จัดหาการศึกษาคุณภาพสูงให้แก่ประชาชน 2.ขยายโอกาสตามความฝันและความสามารถของนักเรียน 3.สนับสนุนการศึกษาในกลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคม และ 4.จัดให้มีการศึกษาในภาคปฏิบัติ โดยการให้น้ำหนักที่ความเท่าเทียมกันและวางอยู่บนค่านิยมที่เป็นสากล ซึ่งอาจเป็นเพราะยุคก่อนปี 2518 (ที่คนเกาหลีใต้ยังมีรายได้ต่อหัวไล่เลี่ยกับคนไทย) เป็นช่วงที่เกาหลีใต้ต้องฟื้นฟูประเทศหลังสงครามเกาหลี (ปี 2493-2496) เวลานั้น
จึงยังไม่มีโอกาสได้ให้ความสำคัญกับการศึกษามากนัก

แต่เมื่อโอกาสอำนวย รัฐบาลเกาหลีใต้จึงทุ่มเทกับการพัฒนาด้านการศึกษาอย่างมาก โดยมีสัดส่วนงบประมาณรายจ่ายด้านนี้สูงเป็นอันดับ 3 ของโลก อยู่ที่ร้อยละ 14 ของงบประมาณทั้งหมดต่อปี เช่นเดียวกับในฝั่งครัวเรือนที่พ่อแม่ผู้ปกครองในเกาหลีใต้ ลงทุนด้านการศึกษาให้บุตรหลานมากที่สุดในโลก คิดเป็นร้อยละ 0.8 ของรายได้ทั้งหมดที่มีต่อปี ซึ่งสูงยิ่งกว่าหลายประเทศในทวีปยุโรปไม่ว่าจะเป็นสวิตเซอร์แลนด์ เยอรมนีหรือเนเธอร์แลนด์เสียด้วยซ้ำ

ตัวอย่างผลสำเร็จของเกาหลีใต้ เกิดขึ้นในการสอบ PISA เมื่อปี 2552 โดยการสอบ PISA จะจัดสอบทุกๆ 3 ปี วัดผลใน 3 ด้าน คือคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการอ่าน คะแนนด้านการอ่านและคณิตศาสตร์ของเกาหลีใต้อยู่ที่เกือบ 550 คะแนน มากที่สุดในโลก และมากกว่าฟินแลนด์หรือแม้แต่สหรัฐอเมริกา ส่วนด้านวิทยาศาสตร์แพ้เพียงฟินแลนด์กับญี่ปุ่นเท่านั้น ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าฟินแลนด์คือประเทศที่มีระบบการศึกษาดีที่สุดในโลก

ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เป็นเพียง “โหมโรง” ฉายภาพการให้ความสำคัญของการศึกษาตั้งแต่ระดับปัจเจกบุคคลไปจนถึงครัวเรือนและภาครัฐ ซึ่งผู้สนใจเคล็ดลับการเรียนเก่งแบบคนเกาหลี สามารถเข้าไปรับชม-รับฟัง ได้ที่เพจ “TEDET” หรือที่ลิงก์ https://www.facebook.com/tedet.or.th/videos/652560313327745

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กัญชา’โอกาสของไทย การแพทย์ชุมชน-เศรษฐกิจ

Posted on January 12, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/703632

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กัญชา’โอกาสของไทย  การแพทย์ชุมชน-เศรษฐกิจ

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กัญชา’โอกาสของไทย การแพทย์ชุมชน-เศรษฐกิจ

วันพฤหัสบดี ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.45 น.

ยังคงต้องติดตามกันต่อไปกับ “(ร่าง) พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. ….” ซึ่งภาคประชาชนพยายามผลักดันอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์ที่ของสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันใกล้จะสิ้นสุดลง โดยล่าสุดเมื่อช่วงบ่ายวันที่ 8 ม.ค. 2566 ที่ผ่านมามีการจัดงานเสวนาหัวข้อ “13 ภาพอนาคตกัญชาไทย จาก 13 ทัศนคตินักคิดและนักกิจกรรมสังคมไทย” ณ คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (ท่าพระจันทร์)

ภายในงานมีเสียงสะท้อนจากผู้ผลิตและใช้กัญชาเพื่อบำบัดรักษาโรคในระดับท้องถิ่น อาทิ ธนโชติ เธียรรุ่งโรจน์ ประธานวิสาหกิจชุมชนสมุนไพรอากานิกส์ เขาฉกรรจ์ จ.สระแก้ว กล่าวว่า มี 3 ประเด็นเกี่ยวกับกัญชาที่ต้องการนำเสนอ 1.ประชาชนต้องสามารถปลูกได้ 2.ประชาชนต้องใช้เป็น และ 3.ชุมชนต้องมีส่วนร่วม เพื่อให้เกิดความยั่งยืน ทั้งนี้ กัญชามีหลายสายพันธุ์ซึ่งแตกต่างกันไปตามปัจจัย เช่น ดิน น้ำ อากาศ ของแต่ละพื้นที่

ขณะเดียวกันก็ต้องมีองค์ความรู้ว่ากัญชาแต่ละสายพันธุ์เหมาะสมกับการใช้ทำอะไรหรือรักษาโรคใด
ขณะเดียวกันคนนำไปใช้ก็ต้องมีความรู้เพื่อให้ใช้ได้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ใช่นำยานอนหลับไปใช้แก้ปวดท้อง หรือนำกัญชาสายพันธุ์ที่ใช้ด้านสันทนาการไปใช้รักษาโรคมะเร็ง ดังนั้นทั้งคนปลูกและคนใช้จึงต้องได้รับการฝึกอบรมให้ใช้เป็นซึ่งจะนำไปสู่การคัดเลือกสายพันธุ์ที่เหมาะสมกับการปลูกในแต่ละพื้นที่ด้วย

ส่วนประเด็นร่างกฎหมาย พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ. …. ที่ยังอยู่ในการพิจารณาของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) นั้น เท่าที่ทราบคือทางสมาชิกวุฒิสภา (สว.) ได้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) รอไว้แล้ว 4 คณะ เพื่อเตรียมพิจารณา แต่จะต้องเข้าไปให้ถึงชั้น สว. ให้ได้ภายในต้นเดือน ก.พ. 2566 เพราะทาง สว. จะต้องส่งร่างกฎหมายกลับมาให้ฝั่ง สส. พิจารณากันอีกรอบ ดังนั้น ประชาชนจะต้องติดตามและเป็นกำลังหลักสำคัญในการสร้างความเปลี่ยนแปลง

“ผมเคยพูดไปครั้งหนึ่งแล้วว่าบ้านผมพรรคพลังประชารัฐทั้งจังหวัดเลย แต่วันนี้ผมรู้สึกว่าท่านอนุทินทำเพื่อชาวบ้าน ทำเพื่อเรา ผมเป็นกำลังใจแล้วก็จะผลักดันช่วย ถ้าโอกาสหน้าท่านได้กลับมาเป็นคณะรัฐบาล อยากให้ท่านดูกระทรวงสาธารณสุขต่อแล้วก็เดินต่อไป แต่ถ้ามันจบในสมัยนี้ได้ มันจะเป็นความมั่นคงของประชาชนที่เป็นรากหญ้าที่จะดูแลตัวเองได้ด้วยสารสกัดจากกัญชา อย่างถูกวิธีและถูกต้อง” ธนโชติ กล่าว

พระครูปัญญาวโรบล เจ้าอาวาสวัดสิรินธรวรารามภูพร้าว อ.สิรินธร จ.อุบลราชธานี กล่าวว่า ที่วัดมีการรักษาผู้มีอาการทางจิตประสาท ผู้ป่วยลมชัก และบำบัดผู้ติดสุราเรื้อรัง โดยใช้สมุนไพรมาตั้งแต่ยุคที่ยังไม่มีกัญชาให้ใช้ กระทั่งต่อมาได้เข้าร่วมโครงการของ นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ อดีตคณบดีวิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี จึงได้นำกัญชามาใช้กับอาการทั้ง 3 กลุ่มดังกล่าว รวมถึงผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่มีบัตร เนื่องจากบริเวณที่ตั้งของวัดเป็นชายแดน จึงพบปัญหาประชากรที่ไม่มีเอกสารแสดงสถานะบุคคล

“รพ.สต. ผู้ป่วยที่ไม่มีบัตรก็เอาเข้ามา เราจะแจกยาผู้ป่วยมะเร็งที่ไม่มีบัตร ตรงนี้เราดูแลมาค่อนข้างนานพอสมควร ดังนั้นกลุ่มพวกนี้เราก็จะเริ่มเห็นว่าการใช้สมุนไพรบำบัด ไม่ใช่กัญชาอย่างเดียว กัญชามันลดปวดดี นอนหลับดี กินดี แต่การขับพิษมะเร็งแพทย์แผนไทยองค์ความรู้เขาเยอะดังนั้นก็เชิญอาจารย์แพทย์มาประยุกต์ยา ก็เกิดการเรียนการสอนแล้วเราเอากัญชามาประยุกต์ยากับการแพทย์แผนไทยเลยเอาโรคนี้ๆ ปรุงยาไม่ต้องเยอะ ปรุงแค่ 2-3 อย่างก็ใช้เลย”พระครูปัญญาวโรบล กล่าว

สฤษดิ์ โชติช่วง ปราชญ์ชาวบ้านผู้รู้ด้านกัญชาแห่งเกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี กล่าวว่า นับตั้งแต่เด็กได้ติดตามพ่อแม่ไปดูการปลูกข้าวไร่ ซึ่งเกษตรกรบนเกาะพะงันจะหว่านเมล็ดกัญชาควบคู่ไปกับเมล็ดข้าว ขณะที่ย่าก็เล่าว่า ตอนที่แม่คลอดคนก็ใช้กัญชาไปต้มให้เกิดเป็นไอขณะอยู่ไฟเพื่อทำให้ร่างกายผ่อนคลาย ส่วนข้อกังวลเรื่องเด็กและเยาวชนติดยาเสพติดเพิ่มขึ้น สำหรับที่เกาะพะงันปัจจุบันยังไม่เป็นเช่นนั้น แม้ว่าบนเกาะจะเต็มไปด้วยชาวต่างชาติ ที่จำนวนไม่น้อยมีการใช้ยาเสพติดก็ตาม โดยชาวต่างชาติหลายคนก็บอกว่ากัญชาเลิกใช้ง่าย แต่จริงไม่จริงก็อีกเรื่องหนึ่ง

“กลุ่มวิสาหกิจในปัจจุบันนี้รวมตัวกัน 5 กลุ่ม สร้างเป็นเครือข่าย ทำข้อตกลงกับโรงพยาบาลเกาะพะงันเพื่อปลูกกัญชาเพื่อรักษาชาวเกาะพะงันฟรี โดยกลุ่มวิสาหกิจชุมชนปลูกให้ฟรี ไม่ได้แบ่งดอกแบ่งใบแบ่งต้นขาย ให้ทั้งหมดกับโรงพยาบาลแล้วก็ไม่ได้คิดสตางค์ คิดค่าตอบแทนอะไรทั้งสิ้น อันนั้นเป็นข้อตกลง ทำเอ็มโอยูกันไว้ และเราจะต้องทำต่อ” สฤษดิ์ กล่าว

นพ.ปัตพงษ์ เกษสมบูรณ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น กล่าวว่า ประเทศไทยพึ่งพาตนเองด้านยาได้น้อยมาก ซึ่งค่าใช้จ่ายในการนำเข้ายาจากต่างประเทศเฉลี่ยปีละ 1.3 แสนล้านบาท และยังมีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งนี้ ประเทศไทยมีตัวอย่างดีๆ มากมายเรื่องการใช้กัญชารักษาโรคมะเร็ง และไทยน่าจะสามารถก้าวกระโดดไปเป็นศูนย์กลางการรักษามะเร็งของโลกได้ เป็นการตอบสนองนโยบาย Health for Wealth (สุขภาพเพื่อความมั่งคั่ง) ได้อย่างดี เม็ดเงินจำนวนมากจะไหลเข้ามาและกระจายต่อไปยังชุมชน

“เราจะเห็นว่าปัจจุบันคนที่ต่อต้านกัญชาคือแพทย์แผนปัจจุบัน แต่ถ้าเราเปิดมุมมองให้เขาเห็นว่าคุณมาช่วยกันทำสิ แล้วมันจะช่วยสร้างรายได้ให้กับประเทศชาติด้วยนะ สถาบันวิจัย รัฐบาล แหล่งทุนวิจัยต่างๆ ต้องอัดฉีดให้กับคุณหมอแผนปัจจุบันมาทำวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง พันธุ์สมุนไพรดีๆ ที่เราอุตส่าห์อนุรักษ์ไว้” นพ.ปัตพงษ์ กล่าว

ดร.พิพัฒน์ นนธนาธรณ์ นายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย นำหนังสือ “The Cannabis Health Index”
ซึ่งรวบรวมผลการศึกษาการใช้กัญชากับโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ ในแวดวงวิชาการของโลกตะวันตก ระบุเป็นระดับ 0 คือใช้ไม่ได้ผล ไปจนถึงระดับ 5 คือใช้ได้ผลดีมากที่สุด มาแสดงในงานด้วย โดยสมาคมฯ ได้จัดทำหลักสูตร “นักวิจัยกัญชาศาสตร์ (Cannabis Science Researcher : CSR)” เพื่อสร้างนักวิจัยที่สามารถผลิตผลงานวิชาการด้านกัญชาไปนำเสนอในงานประชุมวิชาการและตีพิมพ์ในวารสารวิชาการได้

“อนาคตของการวิจัยด้านกัญชาศาสตร์ ผมมองว่าเราวิจัยในแง่การผสมผสานระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์แผนไทย แล้วก็ตามหลักที่เรามีอยู่ และสายพันธุ์ที่เรามีอยู่ซึ่งมีคุณสมบัติแตกต่างจากสายพันธุ์อื่นๆ เอามาจัดดูแล้วก็ใช้แบบ Cannabis Health Index เราก็น่าจะทำเป็น Thailand Cannabis Health Index บ้าง ด้วยสายพันธุ์ของภูพาน หางกระรอก สารพัดอะไรต่างๆ เยอะแยะ น่าทำ น่าเป็น Thailand Cannabis Health Index” นายกสมาคมนักวิจัยแห่งประเทศไทย กล่าว
 

SCOOP@NAEWNA.COM
 

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : 7เดือน‘กทม.’ยุคผู้ว่าฯ‘ชัชชาติ’ ‘แผงลอย’ทวงถามนโยบายไม่คืบ

Posted on January 8, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/702737

สกู๊ปแนวหน้า : 7เดือน‘กทม.’ยุคผู้ว่าฯ‘ชัชชาติ’  ‘แผงลอย’ทวงถามนโยบายไม่คืบ

สกู๊ปแนวหน้า : 7เดือน‘กทม.’ยุคผู้ว่าฯ‘ชัชชาติ’ ‘แผงลอย’ทวงถามนโยบายไม่คืบ

วันเสาร์ ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2566, 02.00 น.

ย้อนไปเมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2565 ซึ่งมี “การเลือกตั้งผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.)” ในครั้งนั้นต้องบอกว่า “แลนด์สไลด์”กับชัยชนะของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ที่ได้คะแนนสนับสนุนจากประชาชนคนกรุงไปถึง 1.3 ล้านเสียง ถล่มทลายชนิดที่นำคะแนนของผู้ที่ได้อันดับ 2-5 รวมกันก็ยังน้อยกว่า สะท้อน “ความหวัง” ที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงในหลายด้านของ กทม. ซึ่งหนึ่งในนั้นคือ “เศรษฐกิจ-ปากท้อง” เรื่องใกล้ตัวที่ประชาชนมักเรียกร้องให้รัฐบาลทั้งส่วนกลางและส่วนท้องถิ่นเข้ามาแก้ไขบรรเทาผลกระทบ

“หาบเร่แผงลอย” เป็นอีกกลุ่มอาชีพที่ต้องการความชัดเจนด้านนโยบาย เพราะก่อนหน้านั้นด้านหนึ่ง กทม. มีนโยบายยกเลิกจุดผ่อนผันเกือบทั้งหมดเพื่อคืนพื้นที่ทางเท้าให้ผู้สัญจร ท่ามกลางเสียงสะท้อนของผู้ค้าจำนวนมากว่าต้องสูญเสียอาชีพ เพราะจะไปพื้นที่เอกชนที่ทำเลดีก็สู้ราคาค่าเช่าไม่ไหว แต่จะไปพื้นที่ทำเลไม่ดีอยู่ในซอกหลืบก็ขายไม่ได้อีก แต่อีกด้านหนึ่ง หาบเร่แผงลอยโดยเฉพาะกลุ่ม “สตรีทฟู้ด (Street Food)” หรืออาหารริมทาง ได้รับคำยกย่องจากสื่อต่างประเทศว่าดีที่สุดในโลก เป็นเสน่ห์ดึงดูดนักท่องเที่ยวนานาชาติให้มาลิ้มลอง

ข้อมูลจาก http://www.chadchart.com เว็บไซต์ทางการของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ (ณ วันที่ 23 พ.ค. 2565) กล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับหาบเร่แผงลอยจำนวน 11 นโยบาย ได้แก่ 1.ดึงอัตลักษณ์ สร้างเศรษฐกิจ 50 ย่านทั่วกรุงเทพฯ 2.ส่งเสริมให้ผู้ค้าแผงลอยมีความมั่นคงในการประกอบอาชีพ 3.สร้างการมีส่วนร่วมของผู้ค้าแผงลอย ภาคประชาชน และเอกชนในพื้นที่ ช่วยดูแลพื้นที่การค้า 4.ขึ้นทะเบียนผู้ค้าแผงลอย พร้อมติดตามการดำเนินการ

5.เตรียมโครงสร้างพื้นฐานที่เหมาะสมรองรับพื้นที่การค้าหาบเร่แผงลอย 6.หาพื้นที่ของเอกชนหรือหน่วยงานราชการที่สามารถจัดเป็นพื้นที่ขายของสำหรับหาบเร่หรือศูนย์อาหาร (Hawker Center) 7.ทางเท้าเดิมโล่ง สะอาด เป็นระเบียบ 8.ตลาดนัดชุมชน ตลาดนัดเขต 9.ใบอนุญาตตามประเภทกิจกรรม Function-based License 10.ผู้ว่าฯ เที่ยงคืน สนับสนุนการใช้ชีวิตและเศรษฐกิจกลางคืน และ 11.พัฒนาโอกาสและศักยภาพในตลาด กทม. คำถามคือ “ณ วันนี้ นโยบายที่กล่าวมาคืบหน้าไปเพียงใด?” หลังผ่านไปแล้วกว่า 7 เดือนหลัง กทม. ได้พ่อเมืองคนใหม่

เรวัตร ชอบธรรม ประธานเครือข่ายแผงลอยไทยเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน กล่าวว่า เป็นเวลากว่า 7 เดือนแล้วที่ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯ กทม. แต่นโยบายที่เคยหาเสียงไว้เกี่ยวกับการดูแลผู้ค้าหาบเร่แผงลอย ยังไม่มีความคืบหน้า เช่น กรณีจุดผ่อนผันที่ถูกยกเลิกไปกว่า 500 จุดช่วงรัฐบาลทหารคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จนเหลือเพียง 176 จุด ในยุคที่ พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง เป็นผู้ว่าฯ กทม.จนถึงปัจจุบันที่ ชัชชาติ ซึ่งดำรงตำแหน่งต่อจาก พล.ต.อ.อัศวิน ก็ยังไม่มีการอนุมัติพื้นที่เพิ่ม

ขณะเดียวกัน ในพื้นที่ที่ยังได้รับอนุญาตให้ทำการค้า ปัจจุบันเท่าที่ทราบคือผู้ค้าหลายรายยังไม่ได้รับบัตรประจำตัวของผู้ค้าทั้งที่ กทม. เปิดให้ลงทะเบียนไปแล้ว จึงอยากเรียกร้องไปยังผู้ว่าฯ ชัชชาติ และคณะผู้บริหาร กทม. ว่า ควรเร่งรัดพิจารณาเปิดจุดผ่อนผันเพิ่มเติมในพื้นที่ที่มีความพร้อมสามารถตั้งแผงค้าได้แบบจัดระเบียบไม่ให้กีดขวางคนเดินเท้า นอกจากนั้น ในจุดที่อนุญาตอยู่แล้วควรจัดหาสิ่งอำนวยความสะดวกด้วย

เช่น จุดผ่อนผันย่านอ่อนนุช 70 ผู้ค้าลงทุนติดตั้งระบบถังดักไขมัน แต่ยังต้องซื้อน้ำประปาและไฟฟ้าจากภายนอก เรื่องนี้เคยสอบถามไปยังการประปาและการไฟฟ้าฯ ได้รับคำตอบว่าหากทางสำนักงานเขตประสานมาก็สามารถไปติดตั้งระบบน้ำประปา-ไฟฟ้า ได้ทันที จึงอยากให้ทาง กทม. เร่งรัดไปยังทางเขตด้วย โดยจุดดังกล่าวผู้ค้ามีการรวมกลุ่มและพร้อมจ่ายค่าน้ำประปา-ไฟฟ้า ขอเพียงมีการมาติดตั้งเท่านั้น นอกจากนั้นยังมีเรื่องของระเบียบ 16 ข้อ ที่ออกโดย กทม. มาตั้งแต่สมัยผู้ว่าฯอัศวิน ซึ่งเครือข่ายผู้ค้าเรียกร้องให้แก้ไขเพราะไม่สามารถใช้ได้จริงในทางปฏิบัติ

แต่จนถึงปัจจุบันในสมัยผู้ว่าฯ ชัชชาติ ก็ยังไม่มีการขยับในเรื่องนี้ ส่งผลกระทบต่อทั้งผู้ค้าและเจ้าหน้าที่ เช่น เคยมีกรณีผู้ค้าย่านเจริญกรุง ตั้งแผงค้ามานานหลายสิบปี วันหนึ่งที่ดินบริเวณนั้นมีการก่อสร้างคอนโดมิเนียม และทางคอนโดฯ ได้ร้องเรียนว่าทำให้ทัศนียภาพไม่สวยงาม ซึ่งแม้เทศกิจที่ดูแลพื้นที่จะเห็นว่าผู้ค้าตั้งแผงเป็นระเบียบไม่กีดขวางทางเดิน แต่ก็ต้องรื้อย้ายแม้จะเห็นใจก็ตาม เพราะเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ต้องทำตามที่กฎหมายกำหนดไว้ หากไม่ทำก็จะมีความผิด ทั้งนี้มีหลายจุดใน กทม. ที่มีความพร้อมในการเปิดให้ค้าขายได้ แต่ยังติดข้อจำกัดที่กฎระเบียบดังกล่าว

เรวัตร กล่าวต่อไปว่า อีกทั้งพื้นที่ค้าขายใน กทม. และในแต่ละเขตมีบริบทไม่เหมือนกัน จึงอยากให้ผู้บริหาร กทม. ลงมาดูพื้นที่จริง อย่าดูแต่เรื่องร้องเรียนบนแอปพลิเคชั่นทราฟฟี่ฟองดูว์ (Traffy Fondue) เพราะคนร้องเรียนก็มีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบหาบเร่แผงลอย ส่วนประเด็นการจัดหาพื้นที่อื่นทดแทนทางเท้า ที่มีแนวคิดมาจากฮอว์คเกอร์ เซ็นเตอร์ (Hawker Center) ในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งย้ายผู้ค้าเข้าไปในอาคาร ในทางปฏิบัติก็ไม่สามารถนำมาใช้กับบริบทของประเทศไทยได้ เรื่องนี้พูดกันมาตั้งแต่รัฐบาล คสช. แต่จนปัจจุบันก็ยังทำไม่สำเร็จ

“อย่างพื้นที่สุขุมวิท คุณจะเอาพื้นที่ตรงไหนเข้าไป เขาก็หาไม่ได้เหมือนกันเพราะค่าเช่ามันแพง พื้นที่มันแพงเพราะเป็นของเอกชนที่ไม่สามารถคุมได้เลย เอกชนเขาขึ้นค่าเช่าตามที่เขาต้องการได้ แล้วผลกระทบจากโควิดมันทำให้คนต้องหนีตายกันหมดเลย คนอยู่ไม่ได้ไง ค่าเช่ามันแพง อย่างหลายๆ พื้นที่ ถ้าเราออกไปในบางพื้นที่มันอาจจะมีอยู่แล้วที่เหมือนคล้ายๆ กับฮอว์คเกอร์ คือเขาทำตลาดอยู่แล้ว มันก็จะมีบางพื้นที่อยู่ แต่ถ้าที่เขาขายอยู่ด้านนอกที่มันล้นอยู่แต่เดิมจะให้เขาไปอยู่ตรงไหนพื้นที่มันไม่พอ” นายเรวัตร กล่าว

ด้านนักวิชาการที่ศึกษาความเป็นไปของหาบเร่แผงลอยมาอย่างยาวนาน ศ.ดร.นฤมล นิราทร อาจารย์ คณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ฝาก 3 ข้อถึง3 ระดับ ประกอบด้วย 1.กรุงเทพมหานคร ต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้จะทำอะไรก่อน-หลัง และภายในระยะเวลาเท่าใด เพื่อที่จะทำให้เห็นภาพว่าพื้นที่ใดสามารถอนุญาตให้ค้าขายได้-ไม่ได้ และพื้นที่ที่ไม่สามารถอนุญาตให้ขายได้ กทม. จะทำอย่างไรกับผู้ที่ยังทำการค้าอยู่ อย่างน้อยต้องมีตารางการทำงานที่มองเห็นภาพว่าจะเกิดอะไรขึ้นในอีก 1-2 ปีข้างหน้า

“ในแต่ละเขตมันไม่เหมือนกัน ในบางเขตอาจจะทำการสำรวจผู้ค้าได้ ในบางเขตอาจจะพูดถึงการหาพื้นที่ให้เขาขายได้ แต่บางเขตยังทำไม่ได้ เพราะฉะนั้นมันก็หมายความว่าไทม์ไลน์เหล่านี้อาจจะไม่ได้เป็นไปทุกเขต แต่หมายความว่าคุณชัชชาติจะต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าจะต้องทำแบบนี้ๆ ในภาพใหญ่โดยหลักการจะต้องเอาอย่างนี้มาให้ได้ แล้วแต่ละเขตจะไปทำอะไรก็แล้วแต่ ภายในเวลาทุกๆ 6 เดือนจะต้องมารายงานผลว่า
ทำไปถึงขนาดไหน ทำได้-ไม่ได้เพราะอะไร” อาจารย์นฤมล กล่าว

2.สำนักงานเขต เมื่อรับนโยบายจาก กทม. แล้ว แต่ละเขตก็ต้องวางแนวทางดำเนินการที่กำหนดเงื่อนเวลาไว้ชัดเจน เช่น ในอีก 2 ปีข้างหน้าจะตอบโจทย์อะไรประชาชนบ้าง ซึ่งแนวทางของแต่ละเขตจะแตกต่างกันไปตามบริบทของพื้นที่ เช่น มีชุมชนแออัดหรือการจัดหาพื้นที่ค้าขาย บางจุดอาจเป็นพื้นที่สำนักงาน พื้นที่ตลาดนัด ฯลฯ และ 3.ผู้ค้า จะทำอย่างไร เช่น ในบางเขตที่มีการฟื้นฟูจุดผ่อนผันที่เคยถูกยกเลิกไป ก็มีข้อพิพาทระหว่างผู้ค้ารายเดิมที่มองว่าต้องได้สิทธิ์ก่อนเพราะต่อสู้เรียกร้องมาตั้งแต่ต้น กับรายใหม่ที่มองว่าหากกำหนดเช่นนั้นก็เท่ากับลิดรอนสิทธิ์

ส่วนประเด็นแนวคิดการทำฮอว์คเกอร์ เซ็นเตอร์ ก็ต้องดูบริบทของแต่ละพื้นที่ซึ่งแตกต่างกัน เช่น ในย่านบางรัก หรือย่านเอกมัย-สุขุมวิท มีบางพื้นที่ของเอกชนที่สามารถทำได้ อย่างไรก็ตาม ฮอว์คเกอร์ เซ็นเตอร์ ซึ่งก็คือ “ศูนย์อาหาร” นั้นสามารถตีความได้หลายแบบ โดยในแบบสิงคโปร์ที่สร้างเป็นอาคารก็เป็นรูปแบบหนึ่ง แต่พื้นที่สาธารณะที่ขายอาหารก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่ง เช่น ถนนในย่านบางลำพู เพียงแต่เป็นการขายแบบซื้อไปรับประทานที่อื่น ไม่ใช่นั่งรับประทานที่ร้าน

ทั้งนี้ ประเทศสิงคโปร์มีพื้นที่เล็กและประชากรน้อยกว่าเมืองอย่าง กทม. การบริหารจัดการจึงง่ายกว่า แต่การวางรูปแบบพื้นที่นั้น กทม. มีทางเลือกมากกว่าสิงคโปร์ แต่ต้องพูดคุยกันให้ได้ข้อสรุปว่าจุดใดตั้งแผงลอยได้-ไม่ได้ หรือหากจุดไหนตั้งได้จะจำกัดจำนวนกี่แผง โดยไม่จำเป็นต้องมีรูปแบบเดียวทุกพื้นที่ แต่สิ่งสำคัญคือต้องรักษาความสะอาด ไม่ทำให้ชาวบ้านทั่วไปเดือดร้อน มีโครงสร้างพื้นฐานที่สอดคล้องกับการค้าขาย เช่น ระบบน้ำประปา-ไฟฟ้า

“เขาต้องเลิกคิดว่าร่มต้องสีเดียวกัน รถเข็นต้องแบบเดียวกัน คนนั้นขายก๋วยเตี๋ยว คนนี้ขายขนมต้ม จะเป็นรถเข็นแบบเดียวกันได้อย่างไร” อาจารย์นฤมล ฝากทิ้งท้าย

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘สินเชื่อ-รายได้-ราคา’ อุปสรรค‘คนฐานราก’มีบ้าน

Posted on January 5, 2023 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/702231

สกู๊ปแนวหน้า : ‘สินเชื่อ-รายได้-ราคา’  อุปสรรค‘คนฐานราก’มีบ้าน

สกู๊ปแนวหน้า : ‘สินเชื่อ-รายได้-ราคา’ อุปสรรค‘คนฐานราก’มีบ้าน

วันพฤหัสบดี ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2566, 06.00 น.

ผ่านพ้นไปแล้วกับ “สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 15” งานใหญ่ส่งท้ายปลายปี 2565 เมื่อช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา ซึ่งภายในงานมีวงเสวนาน่าสนใจหลายหัวข้อ หนึ่งในนั้นคือ “กลไกการเงินเพื่อการเข้าถึงที่อยู่อาศัยที่เพียงพอและมีสุขภาวะ” โดยมีวิทยากร อาทิ ผศ.ดร.บุษราโพวาทอง หัวหน้าภาควิชาคหการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า ในการสำรวจของการเคหะแห่งชาติ พบ 5.87 ล้านครัวเรือนไทย (หรือคิดเป็นร้อยละ 27.5 ของครัวเรือนไทยทั้งหมด 21.32 ล้านครัวเรือน) ไม่มีกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัย

ในจำนวนนี้แบ่งเป็นกลุ่มรายได้สูง ร้อยละ 14 รายได้ปานกลาง ร้อยละ 24 รายได้น้อย ร้อยละ 60 และไร้ที่พึ่ง ร้อยละ 2 ในขณะที่ยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาที่อยู่อาศัย 20 ปีวางเป้าหมายว่า คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579 โดยมีเรื่องของ “การเสริมสร้างระบบการเงินและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย” เป็นยุทธศาสตร์ที่ 2 ในทั้งหมด 5 ยุทธศาสตร์ย่อยของแผน 20 ปีนี้

“ยุทธศาสตร์ที่ 2 มีอะไรบ้างในเรื่องการเงิน? สรุปคร่าวๆ ได้ก็จะเป็นเรื่องเสนอให้มีการจัดตั้งกองทุนที่อยู่อาศัย สนับสนุนระดับชุมชน-ระดับเมืองในเชิงของกองทุน ปรับปรุงกฎระเบียบในการใช้เงินกองทุน พัฒนากลไกต่างๆ ให้เข้าถึงเรื่องสินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะผู้มีรายได้น้อย และพัฒนากลไกต่างๆ เช่น สินเชื่อที่ครอบคลุมทุกความต้องการ การออมแล้วก็ให้ผู้มีรายได้น้อยเข้าถึงสินเชื่อ อันนี้เป็นประเด็นทางยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ใน 20 ปี” ผศ.ดร.บุษรา ระบุ

ผศ.ดร.บุษรา กล่าวต่อไปว่า หากดูตั้งแต่ปี 2553-2563 ราคาที่อยู่อาศัยเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 4-6 ต่อปี ขณะที่ปัญหาสำคัญของครัวเรือนไทยคือ “รายได้น้อยกว่ารายจ่าย” โดยรายได้เพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 6.63 ต่อปี แต่รายจ่ายเพิ่มเฉลี่ยร้อยละ 7.31 ต่อปี ทำให้เก็บออมเงินได้น้อยลงแต่ต้องแบกรับภาระหนี้สินเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ช่องทางการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย หากเป็นระดับชาติคือธนาคารต่างๆ ที่พิจารณาสินเชื่อกับผู้ขอกู้เป็นรายบุคคลกรณีเป็นคนรายได้ปานกลาง แต่หากเป็นคนรายได้น้อยก็อาจต้องพึ่งพาธนาคารของรัฐเป็นหลัก และต้องรอให้รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนออกมา

แต่ยังมีระดับกลุ่ม หรือสถาบันการเงินที่มีลักษณะเฉพาะ เช่น สหกรณ์ออมทรัพย์ สหกรณ์บ้านมั่นคง ไปจนถึงบริษัทเอกชนบางแห่ง การขอสินเชื่อสถาบันการเงินประเภทนี้นอกจากจะเป็นบุคคลแล้วยังต้องเป็นสมาชิกของกลุ่มด้วย ทั้งนี้ ปัจจุบันการเคหะแห่งชาติมีสินเชื่อที่อยู่อาศัยระดับโครงการเท่านั้นไม่ใช่กองทุน ขณะที่ สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. ซึ่งมีกองทุนสนับสนุน คำถามคือตอบโจทย์ชุมชนหรือเมืองแล้วหรือยัง? รวมถึงไปกองทุนพัฒนาที่อยู่อาศัยของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่มีมาตั้งแต่ปี 2541 ยังคงใช้การได้หรือไม่? เป็นต้น

กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย กล่าวว่า แหล่งทุนสำหรับจัดหาที่อยู่อาศัยมี 3 แหล่งคือ 1.เงินออม ทั้งของบุคคลแต่ละคนและครอบครัว 2.เงิน
งบประมาณ หรือก็คือรายได้รัฐที่มาจากการเก็บภาษี ซึ่งอย่างไรก็ไม่มีวันพอ และ 3.เงินจากตลาดการเงิน ซึ่งในส่วนนี้มีมากที่สุด แต่การจะไปสั่งตลาดการเงินก็ไม่สามารถทำได้ มีแต่ต้องปรับตัวเข้ากับตลาดเท่านั้น

สำหรับประเทศไทยนั้นสินเชื่อที่อยู่อาศัยใช้ระบบเงินฝาก ซึ่งปัจจุบัน (ปลายปี 2565) เงินกู้เพื่อที่อยู่อาศัยในธนาคารอยู่ที่ 4.7 ล้านล้านบาท และคาดว่าต้นปี 2566 จะเพิ่มเป็น 5 ล้านล้านบาท ทั้งนี้ ระบบสินเชื่อที่อยู่อาศัยทั่วโลกมีอยู่ 3 ระบบใหญ่ๆ คือระบบอังกฤษ ระบบสหรัฐอเมริกา และระบบยุโรป “ปัญหาของการเขียนแผนยุทธศาสตร์คือมักนำระบบของต่างประเทศที่เคยได้ยินมานำเสนอกับประเทศไทย” เช่น มีความพยายามนำระบบ Securitization ของสหรัฐฯ มาใช้กับไทย
โดยหวังว่าจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย ผลคือประสบความล้มเหลว

ขณะที่การเคหะแห่งชาติก็มีข้อจำกัดเพราะมีแหล่งรายได้หลักจากงบประมาณแผ่นดิน จึงสร้างที่อยู่อาศัยได้เพียงขนาดเล็กและอยู่ไกล ส่วนกองทุน พอช. เป็นระบบที่ดีกับชุมชนแออัด แต่ก็ต้องระมัดระวังเรื่องกฎระเบียบ รวมถึงการออมซึ่งบางครั้งก็ออมไม่จริง หนึ่ง การขอกู้ซื้อที่อยู่อาศัยในไทยยังทำได้ง่ายกว่าหลายประเทศในโลก แต่อีกด้านก็เป็นคนไทยเองที่ทำให้ระบบการกู้ซื้อที่อยู่อาศัยมีปัญหา ผ่านการผ่อนปรนต่างๆ เช่น 1.ลดเงินดาวน์จนเหลือศูนย์ ซึ่งคนไม่เคยออมเงินดาวน์และปล่อยไปเป็นหนี้ ผลคือรายได้หายไป เสี่ยงมากต่อการเป็นหนี้เสีย

หรือ 2.กู้แล้วยังมีเงินทอน ซึ่งสืบเนื่องจากประเทศไทยไม่มีกฎหมายควบคุมผู้ประเมินค่าทรัพย์สินของธนาคารที่ผ่านมามีความพยายามให้มีกฎหมายดังกล่าวมานานกว่า20 ปี แต่ไม่มีใครสนใจเพราะทุกคนอยากตีราคาทรัพย์สินเอง ขณะเดียวกัน “อัตราเงินงวดของการผ่อนที่อยู่อาศัยอยู่ในเกณฑ์เสี่ยงมากกับการเกิดหนี้เสีย” ตามหลักสากลแล้ว ค่าผ่อนที่อยู่อาศัยไม่ควรเกินร้อยละ 25 ของรายได้ แต่ของไทยสูงกว่านั้น จึงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีหนี้เสียสูงมาก

“วิธีที่จะช่วยให้คนกู้ได้คือส่งเสริมให้คนออมก่อนกู้ ซึ่งในประเทศเยอรมนีเคยทำสำเร็จ เพราะเยอรมนีตอนแพ้สงครามบ้านถูกระเบิดพังไปเกือบทั้งประเทศ เขาใช้วิธีให้โบนัสการออม ถ้าใครออมเพื่อที่อยู่อาศัยเขาเคยให้โบนัสสูงถึง 22% ของเงินที่ออมได้ เขาก็เลยสามารถแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยสำเร็จทั้งประเทศ ผมเลยมีความเห็นว่า การออมก่อนกู้เท่านั้นที่จะช่วยได้สำหรับทั่วไปทั้งประเทศ อย่างอื่นมันมีข้อจำกัด ทำได้จำกัดเสมอ” กิตติ กล่าว

นิภาภัสร์ มลิทอง คณะทำงาน Urban Smile.net กล่าวถึงกลุ่ม “คนจนเมือง” ว่ามักเป็นแรงงานนอกระบบ (Informal Sector) ที่มีรายได้ไม่แน่นอน และเข้าถึงสินเชื่อในระบบไม่ได้ซึ่งก็เข้าใจได้เพราะสถาบันการเงินในระบบเองก็ต้องมีต้นทุน ดังนั้นคนจนหากปล่อยให้อยู่แบบปัจเจกก็ยากที่จะไปรอด จึงเป็นที่มาของ พอช. ที่ส่งเสริมการรวมกลุ่ม โดยเริ่มจากสหกรณ์ออมทรัพย์สู่สหกรณ์เคหสถาน มีการปล่อยเงินให้กับกลุ่ม วงเงิน 3.3-3.6 แสนบาท คิดดอกเบี้ยร้อยละ 4 ต่อปีและเป็นอัตราคงที่ อีกทั้งให้เวลาผ่อนชำระนานถึง 20 ปี

ขณะเดียวกัน ยังเตรียมความพร้อมให้คนจนมีวินัยในการออม โดยจะเข้าโครงการได้ต้องมีเงินออมอย่างน้อยร้อยละ 5 ของโครงการที่จะขอสินเชื่อ อีกทั้งมีคณะกรรมการและมีสมาชิกค้ำประกันซึ่งกันและกัน โดยสรุปแล้วกลไกนี้ พอช. ปล่อยเงินให้กับสหกรณ์ซึ่งมีชาวบ้านเป็นสมาชิกกลุ่มย่อย เช่น กลุ่มออมทรัพย์ โดยกลุ่มย่อยจะเก็บสินเชื่อส่งสหกรณ์ และสหกรณ์ส่งกลับมาที่ พอช. ทำให้คนคนหนึ่งที่มีรายได้ไม่แน่นอนได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่ม ทั้งนี้ ปัจจุบัน พอช. มีหนี้เสียจากสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพียงร้อยละ 1 สะท้อนภาพความมีวินัยของคนจน

“แนวคิดของ พอช. เราไม่ได้เน้นเรื่องที่อยู่อาศัยอย่างเดียว เราคิดว่า Physical Change (การเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ) ต้องมาให้ทันกับ Social Change (การเปลี่ยนแปลงทางสังคม) อันนี้สำคัญเพราะจะสร้างพลังให้เขา” นิภาภัสร์ กล่าว

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2566(2023), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กสศ.-สอศ.’พร้อมขยายผล ‘ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง’

Posted on December 24, 2022 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/700269

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กสศ.-สอศ.’พร้อมขยายผล  ‘ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง’

สกู๊ปแนวหน้า : ‘กสศ.-สอศ.’พร้อมขยายผล ‘ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง’

วันเสาร์ ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 02.00 น.

ผ่านพ้นไปแล้วกับการประชุมวิชาการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ปี 2565 “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงานด้วยการศึกษาสายอาชีพ” จัดโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เมื่อวันที่ 16-17 ธ.ค. 2565 โดยมี
การมอบรางวัล “สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน (TVET DNA)” และรวมพลังภาคีเครือข่ายให้กับครูและผู้บริหารทางการศึกษา

เพื่อเชิดชูครูผู้ให้โอกาส สร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนการศึกษา มีครูได้รับรางวัลจำนวน 492 ท่านทั่วประเทศ โดยรางวัล “ครูและผู้บริหารในดวงใจ” มาจากผลโหวต ของนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงทั่วประเทศ อาทิ นายนิตย์นิรันดร์ พิลาไชย ผู้อำนวยการวิทยาลัยเทคนิคอำนาจเจริญ ซึ่งกล่าวว่า อำนาจเจริญ เป็นจังหวัดที่ติด 1 ใน 6 ที่มีค่าเฉลี่ยประชากรยากจนที่สุดของประเทศ โอกาสการเข้าถึงการศึกษาของเด็กด้อยโอกาสก็ยิ่งลดน้อยลงไปมาก

“จากการลงพื้นที่ไปแนะแนว เราพบว่า นักเรียนและผู้ปกครองมีความต้องการเรียนอาชีวะสูงมากแต่ไม่มีเงิน และอีกส่วนหนึ่งครอบครัวอยากให้ไปทำงาน ทำให้เขาหมดโอกาสทางการศึกษาตั้งแต่รอบแรก แต่ก็มีผู้ปกครองอีกส่วนที่เก็บเงินเพื่อส่งลูกเรียนอาชีวะในเมือง ที่มีระยะทางห่างจากบ้าน 80 กิโลเมตร และต้องนำเงินไปจ่ายค่าหอพัก ค่าชุดนักเรียน และค่ากินอยู่ เมื่อเข้ามาในเมืองสักระยะเงินก็หมด” นายนิตย์นิรันดร์ ระบุ

นายนิตย์นิรันดร์ เล่าต่อไปว่า ครูต้องไปหาทุน กยศ. หรือทุนให้เปล่าอื่นๆ เพื่อให้นักเรียนได้มีโอกาสศึกษาต่อ แต่ก็มีบางส่วนที่ไม่สามารถเข้าถึงทุนกยศ. เพราะบ้านมีหนี้สินจำนวนมาก และไม่มีคนรับรอง เด็กเหลานี้ก็จะทยอยออกไปจากการศึกษาทีละคนสองคน ซึ่งเป็นรอยแผลที่เจ็บปวดของครู ที่มองเห็นต้องเดินออกไปจากโรงเรียนจนกระทั่ง ปี 2562 ที่กสศ.มีทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงสำหรับเด็กยากจนแต่ขาดโอกาส วิทยาลัยเทคนิคอำนาจเจริญไม่รอช้าที่จะเข้าร่วมโครงการ และเข้ามาจนถึงปัจจุบัน

ซึ่งเด็กเหล่านี้เป็นเด็กที่เปราะบางมาจากครอบครัวที่บางคนถูกทิ้งให้อยู่กับปู่ ย่า ตา ยาย หรือบางคนถูกทิ้งให้อยู่คนเดียว ดังนั้น เมื่อเขาได้ทุน ในระยะเริ่มต้น เราดูแลให้ความอบอุ่น เป็นพ่อ เป็นแม่ ระยะที่สอง สร้างให้เขาเป็นคนที่มีคุณค่าในสังคม ระยะสาม สอนให้ก้าวข้ามปัญหาในชีวิต ถอดบทเรียนระหว่างเพื่อนต่อเพื่อน ได้เห็นคนที่มีความยากลำบากมากกว่า นอกจากนี้ ยังมีการสร้างกิจกรรมเรื่องจิตอาสา ให้เด็กสร้างจิตสาธารณะ ให้เขาก้าวข้ามบาดแผลที่เขามีอยู่ เพื่อเตรียมพร้อมเข้าสู่วิชาการ

น.ส.อณุภา คงปราโมทย์ วิทยาลัยเทคโนโลยีดอนบอสโก กล่าวว่า วิทยาลัยรับเด็กที่มีความต้องการพิเศษ โดยคัดกรองครอบครัวที่เข้าเกณฑ์ กสศ. ได้นักเรียนร่วมโครงการรุ่นแรก 25 คน โดยเด็กที่ได้รับทุนจะมาเป็นนักเรียนประจำ เราสอนตั้งแต่การใช้ชีวิต ใส่ใจทุกขั้นตอน สอนการเดินทาง การเรียนรู้ที่หลากหลายในการใช้ชีวิตจัดอบรมสัปดาห์ละ 1 ครั้ง

มีคณะกรรมการดูแลสวัสดิภาพ การเยี่ยมบ้าน ติดตามความคืบหน้าในแต่ละเดือนมีปัญหาอะไรบ้าง ในระหว่างเรียนยังหางานพาร์ทไทม์ให้ทำ เพื่อนำเงินทุนไปใช้จ่ายในครอบครัว และสอนให้รู้จักออมก่อนใช้ เพื่อเป็นทุนสำรองในการต่อยอดทำงาน เมื่อเรียนจบหลักสูตร วิทยาลัยหางานให้ทำและเด็กได้ทำงานทุกคน ซึ่งหลังจากร่วมทำงานกับ กสศ. พบการเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับผู้เรียน

“หลายคนทำงานต่อใน กทม. ทุกคนมีเงินออม 50,000-100,000 บาท ส่วนสถานศึกษาเกิดการปรับเปลี่ยนวิธีการสอนเป็นระบบมากขึ้น เกิดแบรนด์สินค้าที่ออกแบบเองโดยนักศึกษา ออกแบบแฟชั่นเครื่องแต่งกาย กระเป๋า เป็นโมเดลที่มีประโยชน์ไม่ใช่เฉพาะเด็กพิเศษ ผลัดเปลี่ยนให้เด็กทั่วไปได้เข้ามาเรียนรู้ด้วย” น.ส.อณุภา กล่าว

รศ.ดร.ศิริพันธุ์ ศิริพันธุ์ คณบดีคณะพยาบาลศาสตร์มหาวิทยาลัยนราธิวาสราชนครินทร์ กล่าวว่า กสศ.ทำให้เราปรับเปลี่ยนความคิด จากเดิมที่เราเป็นคณะพยาบาลศาสตร์ที่ตั้งรับใครๆ ก็อยากมาเรียน เมื่อเราเข้าร่วมทุนผู้ช่วยพยาบาลกับ กสศ. เราต้องออกไปค้นหาเด็ก ทำให้เราได้สัมผัสกับเด็กที่ครอบครัวเปราะบาง เด็กที่มีปัญหาสารพัด ทำให้คณาจารย์ได้เรียนรู้ที่จะดูเด็กเหล่านี้และทำงานเชิงรุกมากขึ้น

“กสศ.ทำให้เรามีเพื่อนเยอะขึ้น มีเครือข่ายทางสังคม เครือข่ายผู้ประกอบการจากเดิม มี 12 แห่ง ตอนนี้มี24 แห่ง เพื่อประสานงานให้เด็กของเรามีงานทำ 100% เช่น รพ.บำรุงราษฎร์ฯ ที่ให้ทุนเด็กและรับเด็กของเราไปทำงาน เรามีเพื่อนต่างประเทศ โดยผ่านกรมการจัดหางานส่งเด็กของเราไปงานที่ประเทศซาอุดีอาระเบีย เป็นต้น”รศ.ดร.ศิริพันธุ์ กล่าว

เรืออากาศโทสมพร ปานดำ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กล่าวว่า ก้าวต่อไปของการสร้างโอกาสทางการศึกษาผ่านการจัดการศึกษาสายอาชีพ สอศ.ไม่ใช่ทำงานเพียงลำพังอีกต่อไปเพราะ กสศ. และภาคผู้ประกอบการ พร้อมที่จะจับมือไปพัฒนาคนอาชีวะที่สอดคล้องกำลังคนของประเทศ การดูแลผู้ด้อยโอกาสและเด็กในถิ่นทุรกันดาร ให้มุ่งสู่อาชีวศึกษา และมีงานทำ

“ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ได้ส่งเสริมความช่วยเหลือผู้ต้องการศึกษาต่อ แต่ขาดแคลนทุนทรัพย์เพื่อประกอบอาชีพมีศักยภาพที่จะดำเนินชีวิตยืนอยู่ด้วยลำแข้งของตนเอง พร้อมดูแลช่วยเหลือครอบครัว รวมถึงสนับสนุนสถานศึกษา มีกิจกรรมพัฒนาผู้เรียนในภาพรวมซึ่งเป็นไปตามจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาร่วมกันผลิตกำลังสมรรถภาพสูง เพื่อพัฒนาประเทศ สามารถทำได้จริง” รองเลขาธิการ สอศ. กล่าว

เรืออากาศโทสมพร กล่าวต่อไปว่า ทาง กสศ. ตอกย้ำความสำเร็จ 5 ด้านที่สำคัญคือ 1.การยกระดับคุณภาพของอาชีวศึกษา 2.ความร่วมมือยกระดับการทำงานกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ ภาคประกอบการ 3.การขยายโอกาสการศึกษาตอบโจทย์การพัฒนาของแต่ละพื้นที่ 4.เปิดทวิภาคีระดับจังหวัด ที่มีคณะกรรมการระดับจังหวัดเสริมสร้างอาชีวะปลอดภัย สังคมออนไลน์ การประพฤติปฏิบัติตน ความรุนแรง การมีจิตอาสา

และ 5.เทคโนโลยีจัดการเรียนรู้ในหลายมิติ การเรียนรู้ตลอดชีวิต การสื่อสารจูงใจ ยกระดับทวิภาคีคุณภาพสูงให้สอดคล้องเพียงพอ ทั้งนี้ เด็กอาชีวะ เป็นเด็กที่เก่งปฏิบัติ มีความสามารถ มีประสิทธิภาพทำงานได้ทันที เป็นซอฟต์ พาวเวอร์ พลังของประเทศ โดย กสศ. จะมีการจัดการทวิภาคีการศึกษาแนวใหม่เพื่อดูแลนักเรียนโรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) เพื่อผลิตกำลังคนในเชิงพื้นที่ทุกรูปแบบเพื่อไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

นายพัฒนะพงษ์ สุขมะดัน ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า บทเรียนการทำงานตลอด 4 ปี ของ กสศ. และก้าวสู่ปีที่ 5ของทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ของกสศ. ที่สามารถสนับสนุนตัวแบบได้เพียง 1% ต่อรุ่น หรือจำนวน 2,500 ทุนต่อปี และครอบคลุมสถานศึกษา 116 แห่ง ทำอย่างไรให้ตัวแบบที่ กสศ. มีเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ ได้รับการต่อยอด จากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถเชื่อมโยงสถานศึกษาอาชีวะอีก 600 แห่งทั่วประเทศ รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจเป็นสิ่งสำคัญ

“เพราะการทำงานจะประสบความสำเร็จได้ ครูเป็นแรงผลักดันสำคัญเพื่อให้เด็กประสบความสำเร็จยืนได้ด้วยตนเองและดูแลครอบครัว สังคม และประเทศได้ ซึ่งสำหรับบทเรียนที่สำคัญในเวทีประชุมวิชาการฯครั้งนี้ คือ การปิดช่องว่างความเหลื่อมล้ำด้วยการพัฒนาคนให้เข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพ เสริมสร้างความเข้มแข็งช่วยเหลือด้านสุขภาพจิตในสถานศึกษา ผ่านบทเรียนจากต่างประเทศ

เพื่อมีสุขภาพกาย และใจที่ดี ไม่ให้หลุดออกจากระบบการศึกษา และเสียงสะท้อนจากเยาวชนนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ที่จะเติบโตเป็นกำลังสำคัญของประเทศ ผ่านระบบการศึกษาอย่างยืดหยุ่น โดยจะรวบรวมความเห็นทั้งหมดในครั้งนี้สรุปเป็นข้อเสนอทางนโยบายเพื่อมอบให้ สอศ.ทำงานเรื่องนี้อย่างเข้มข้นต่อไป” ผู้ช่วยผู้จัดการกองทุน กสศ. กล่าว

กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.)

SCOOP@NAEWNA.CO

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2565(2022), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ธนากร คุปตจิตต์’ คุม‘น้ำเมา’ต้องได้สมดุล

Posted on December 18, 2022 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/698833

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ธนากร คุปตจิตต์’  คุม‘น้ำเมา’ต้องได้สมดุล

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ธนากร คุปตจิตต์’ คุม‘น้ำเมา’ต้องได้สมดุล

วันอาทิตย์ ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 07.00 น.

“ปิดสถานบันเทิง (เฉพาะในย่านท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ) ตี 4”, “ยกเลิกเวลาห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 14.00-17.00 น.”, “แก้ไขกฎหมายห้ามโฆษณาที่เขียนไว้สุดโต่งจนทำอะไรไม่ได้เลย” เหล่านี้เป็นข้อเสนอของผู้ที่เกี่ยวข้องกับ“น้ำเมา” เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตั้งแต่ผู้ผลิตผู้ค้า ผู้บริโภค ผู้ประกอบการร้านค้าร้านอาหารและสถานบันเทิง ตลอดจนภาควิชาการที่มองว่าการดื่มก็เป็นวิถีชีวิตรูปแบบหนึ่งบวกกับปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับรายได้มหาศาลจากเศรษฐกิจภาคการท่องเที่ยว

แต่อีกด้านหนึ่ง “แรงต้าน” ทุกครั้งที่มีการนำเสนอเรื่องเหล่านี้ก็หนักหน่วงไม่แพ้กัน โดยมาจากผู้ที่เห็นผลกระทบจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ตั้งแต่เป็นปัจจัยเสี่ยงต่ออุบัติเหตุบนท้องถนน โรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ความรุนแรงในครอบครัวและสังคม ฯลฯ ซึ่งคนเหล่านี้จะตั้งคำถามว่า “เม็ดเงินจากความสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของผู้คนนั้นคุ้มค่ากันแล้วหรือ?” จนกลายเป็นข้อถกเถียงของทั้ง 2 ฝ่ายเสมอมา

“มันต้องเอาเรื่องของการให้ความรู้การมีส่วนร่วมของภาคเอกชน พอเราบอกให้ความรู้ เฮ้ย! สอนให้คนกินเหล้า สมัยก่อนจำกันได้ไหม? สอนเพศศึกษาคนเขาก็ด่า โอ๊ย! ไปพูดได้อย่างไร ชี้โพรงให้กระรอก สุดท้ายเป็นอย่างไร? มันแก้ปัญหาได้เยอะในเรื่องของอันตราย เรื่องท้องก่อนวัยอันควร มีมิสเตอร์คอนดอมอย่างอาจารย์มีชัย วีระไวทยะ วันนี้มันต้องมาทบทวนว่าคุณต้องให้ความรู้อย่างนี้”

ธนากร คุปตจิตต์ ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย (TABBA) กล่าวถึงวิธีคิดเรื่องการลดผลกระทบของเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่อสังคม ที่การเน้นห้ามเป็นหลักอาจไม่ใช่วิธีที่ได้ผล โดยยกตัวอย่างเรื่องการสอนเพศศึกษาให้กับเด็กและเยาวชนวัยเรียน ซึ่งกว่าที่จะสังคมไทยจะยอมรับได้ก็เผชิญแรงต้านไม่น้อย ท่ามกลางสถิติ “ท้องวัยเรียน-แม่วัยรุ่น” ที่เพิ่มสูงขึ้น จนท้ายที่สุดทั้งรัฐและสังคมก็ต้องปรับวิธีคิดไปสู่การให้สอนได้ ซึ่งเรื่องเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก็เช่นกัน เพราะที่ผ่านมากฎหมายที่มีอยู่ถูกมองว่ามีปัญหาและต้องทบทวน

โดยการทบทวนนั้นอาศัยช่องทางบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 มาตรา 77 วรรคหนึ่ง ที่ระบุว่า รัฐพึงจัดให้มีกฎหมายเพียงเท่าที่จําเป็น และยกเลิกหรือปรับปรุงกฎหมายที่หมดความจําเป็นหรือไม่สอดคล้องกับสภาพการณ์ หรือที่เป็นอุปสรรคต่อการดํารงชีวิตหรือการประกอบอาชีพโดยไม่ชักช้าเพื่อไม่ให้เป็นภาระแก่ประชาชน และดําเนินการให้ประชาชนเข้าถึงตัวบทกฎหมายต่างๆ ได้โดยสะดวกและสามารถเข้าใจกฎหมายได้ง่ายเพื่อปฏิบัติตามกฎหมายได้อย่างถูกต้อง ซึ่งต่อมาได้มีการออก พ.ร.บ.หลักเกณฑ์การจัดทำร่างกฎหมายและการประเมินผลสัมฤทธิ์ของกฎหมาย พ.ศ. 2562 มาเพื่อเป็นแนวปฏิบัติ

“ผมไม่เคยบอกว่าต้องขายให้เด็ก หรือกินเหล้าเมาขับรถได้ไม่ใช่! กฎหมายป้องกันเรื่องห้ามเด็กต้องเข้มข้น ต้องมีการบังคับใช้อย่างจริงจัง เรื่องของเมาแล้วขับต้องจับจริง แต่ไม่ใช่คุณจะมาออกกฎหมายกันหมดในเรื่องการขาย เรื่องวัน-เวลา อะไรต่างๆ เหล่านี้ มันไม่ได้ป้องกันแล้ว คุณต้องการกำจัด หรือแม้แต่การโฆษณาที่บอกเห็นชื่ออะไรก็ผิดหมด” ธนากร ระบุ

ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย กล่าวเพิ่มเติมในประเด็นการแก้ไขกฎหมาย ว่า บางเรื่องเป็นกฎหมายระดับรองซึ่งสามารถปรับแก้ได้เลยในระดับบริหาร (เช่นกฎกระทรวงต่างๆ หรือมติ ครม.) อาทิ วัน-เวลาห้ามขายไม่จำเป็นต้องรอเข้าพิจารณาในที่ประชุมสภา จึงน่าจะมีการทดลองปรับแก้เพื่อให้เห็นผลที่เกิดขึ้น หากเป็น “เชิงบวก”ได้ผลดีด้านฟื้นฟูและกระตุ้นเศรษฐกิจมากกว่าก่อปัญหาก็ใช้ต่อไปแต่หากเป็น “เชิงลบ” ก่อปัญหาเพิ่มขึ้นมากกว่าประโยชน์ที่ได้รับ ก็ยังสามารถปรับแก้กลับไปเป็นรูปแบบเข้มงวดแบบเดิมได้

ขณะเดียวกัน “การมีกฎหมายคุมเข้มแบบสุดโต่งเกินไปยังเป็นช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม”เช่น เรื่องการห้ามโฆษณาไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อมตาม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ.2551 มาตรา 32 นอกจากถ้อยคำในกฎหมายจะมีปัญหาแล้ว ยังเชื่อมโยงกับ “รางวัลสินบนนำจับ” ที่ผู้แจ้งเบาะแสจะได้ส่วนหนึ่งของค่าปรับเมื่อคดีสิ้นสุดลง ซึ่งเมื่อบวกกับกระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นระบบกล่าวหาที่ทำให้เป็นคดีความได้ง่าย หลายคนจึงเลือกจบเรื่องที่การจ่ายค่าปรับ ดีกว่าไปขึ้นศาลที่แม้จะมีคำตัดสินว่าอะไรถูก-ผิดแต่ก็เสียค่าใช้จ่ายสูงกว่า

“คดีไปถึงศาลน้อยมาก เวลาคนที่โดนจับ ถ้าจะสู้คดีคุณต้องมาประกันตัวก่อน ไหนจะเสียค่าทนาย ไหนจะเสียเวลา ไปเสียค่าปรับดีกว่า ยอมๆ ไป เขาก็ไปเก็บคะแนนว่าคดีเสียค่าปรับผิดเยอะๆ ที่จริงพวกนี้ลองดู ไม่ต้องประกันตัวแล้วสู้ในชั้นศาลได้ ผิดทีปรับอย่างเดียว ผมว่าสนุก มีเต็มศาลแน่ ทำกันไม่ไหว ตอนนี้ก็คือยอมเสียค่าปรับดีกว่า เพราะว่าเวลาประกันตัวมันต้องถูกควบคุมตัว เอาแล้ว! พิมพ์ลายนิ้วมือมันก็เสียประวัติ มันทำให้กระบวนการยุติธรรมมันผิดเพี้ยน เพราะมันไม่นำไปสู่การพิจารณาตัดสินอย่างชอบในชั้นศาลไง มันไม่ถึง”ธนากร กล่าว

ส่วนฝ่ายที่ออกมาต่อต้านทุกครั้งที่มีข้อเรียกร้องให้ลดความเข้มสุดของการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ลงมาสู่สมดุลธนากร ระบุว่า เอาจริงๆ แล้วมีเพียงไม่กี่คน และส่วนใหญ่เป็นองค์กรพัฒนาเอกชน (NGO) ก็ต้องถามกลับเช่นกันว่า NGO เหล่านี้มีรายได้จากทางใด ทำไมถึงเจริญเติบโต มีรถเก๋งขับ สามารถไปดูงานต่างประเทศ นอกจากนั้น ตนเองมีโอกาสได้พูดคุยกับ NGO บางราย ถามว่าเหตุใดไม่มาช่วยกันให้ความรู้กลับได้รับคำตอบว่าไม่ใช่ภารกิจ โดยงานที่ทำคือเน้นการป้องกันและปราบปรามมากกว่า

ขณะที่การทำงานร่วมกับพรรคการเมือง ที่ปรึกษาสมาคมธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไทย เผยว่า จริงๆ แล้วประเด็นนี้ได้รับความสนใจจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) จากหลายพรรคทั้งซีกรัฐบาลและฝ่ายค้าน รวมถึงพรรคที่ตั้งขึ้นใหม่เพื่อเตรียมรับการเลือกตั้งครั้งต่อไป เพราะนักการเมืองต่างก็เห็นปัญหาของกฎหมาย และการแก้ไขสามารถเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้ประชาชนได้ แต่ก็ไม่ค่อยมีใครอยากเปิดตัวนักเพราะที่ผ่านมา เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ถูกตีตราในแง่ลบไว้มากบางครั้งอาจพอๆ กันหรือมากกว่ายาเสพติดบางชนิดที่ผิดกฎหมายด้วยซ้ำไป

“ประเทศเพื่อนบ้านนี่เขาพยายามหาอะไรที่มันลดอุปสรรคช่องว่างทั้งหมด แต่เราก็มาเป็นอย่างนี้ โอเค! เรื่องสาธารณสุขผมเข้าใจ แต่มันต้องมองภาพทุกมิติ ไม่ใช่มองสาธารณสุขอย่างเดียว คุณต้องมองเรื่องเศรษฐกิจ-สังคม คำว่าสังคมมันมีเรื่องคนอยู่อาศัย คนทำมาหากินด้วย อย่างนี้สำคัญ” ธนากร ฝากข้อคิด

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2565(2022), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ขายบริการ’กฎหมายห้ามได้? นำความจริงขึ้นบนดิน..ทางออก!

Posted on December 17, 2022 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/698676

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ขายบริการ’กฎหมายห้ามได้?  นำความจริงขึ้นบนดิน..ทางออก!

สกู๊ปแนวหน้า : ‘ขายบริการ’กฎหมายห้ามได้? นำความจริงขึ้นบนดิน..ทางออก!

วันเสาร์ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 06.00 น.

“ทุกคนก็ทำงานแลกกับเงินทั้งนั้น เป็นครูก็ได้เงินเดือน เป็นอาจารย์ก็ได้เงินเดือน เป็น กสม. ก็ได้เงินเดือน เป็นนักร้องก็ได้เงินเดือน แล้วทำไมเราให้บริการทางเพศมันผิดกฎหมาย?มันดูแปลกมาก เป็นอะไรที่แปลกมาก แล้วเราก็มีกฎหมายออกมาอีกนะว่าการค้าบริการมันผิด มีโทษทางอาญา แต่กลายเป็นว่าตัวกฎหมายมันกลายเป็นเครื่องมือทำมาหากินของคนบางกลุ่มไปเสียอีก เราก็ได้ยินเรื่องราวเยอะแยะ

จับปรับ ออกใบสั่ง จ่าย 1,000 ยืนได้ 5 วัน อะไรอย่างนี้ มันก็กลายเป็นช่องทางทำมาหากิน คือมันไม่ได้ดูแลคุ้มครองคนที่เป็น Sex Worker หรือเป็นพนักงานบริการเลย เพราะฉะนั้นมันจะมีกฎหมายนี้ไปทำไม อันนี้คือโจทย์เป็นคำถามว่า พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี มันถึงเวลาที่ต้องยกเลิกแล้วมั้ง?”

สุภัทรา นาคะผิว กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติกล่าวในวงเสวนา “เพียงแค่เราเห็นคนทุกคนเป็นคนเท่ากันอนาคต Sex Worker ประเทศไทย” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงานเปิดตัวสารคดี “GIANT SWING” ณ โรงภาพยนตร์ 2 Quartier CineArt ศูนย์การค้า EmQuartier (BTS พร้อมพงษ์) เมื่อช่วงต้นเดือน ธ.ค. 2565 ที่ผ่านมา ถึงคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ในใจ ในฐานะที่เรียนมาทางด้านกฎหมายและเคยทำงานเป็นทนายความอยู่หลายปี ว่า “เหตุใดการขายเรือนร่างของตนเองถึงถูกกำหนดให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย?” ทำแบบนี้แล้วใครเดือดร้อนอย่างไร?

สารคดี GIANT SWING ฉายภาพของ “พนักงานบริการทางเพศ (Sex Worker)” ที่ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรค ในสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ซึ่ง สุภัทรา ยืนยันอีกเสียงถึงความยากลำบากของ Sex Worker ในเวลานั้น จากการลงพื้นที่ช่วงปี 2563-2564 เคยพบหญิงไร้บ้านบริเวณย่านพัฒน์พงษ์ เมื่อสอบถาม
ก็ทราบว่าเคยเป็น Sex Worker แต่เมื่อสถานบริการถูกปิด ไม่มีรายได้ไปจ่ายค่าเช่าที่พักก็ทำให้ต้องมานอนอยู่ข้างถนน

ทั้งนี้ ในเดือน พ.ย. 2565 สำนักงานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) หยิบยกกรณีเจ้าหน้าที่ตรวจค้นจับกุมการลักลอบค้าประเวณีโดยใช้วิธี “ล่อซื้อ” ที่สถานบริการแห่งหนึ่ง จ.ชลบุรี ขึ้นมาพิจารณา และให้ความเห็นไปว่า “การล่อซื้อการค้าประเวณีคือการละเมิดสิทธิมนุษยชน” ซึ่งในอดีตถึงขั้นเจ้าหน้าที่ที่ล่อซื้อต้องมีเพศสัมพันธ์กับเป้าหมายที่จะจับกุมจึงครบองค์ประกอบให้จับได้ แต่ต่อมาเมื่อทราบว่าการกระทำดังกล่าวหมิ่นเหม่ที่เจ้าหน้าที่จะทำผิดกฎหมายด้วย จึงได้ปรับเปลี่ยนเป็นเพียงให้เป้าหมายถอดเสื้อผ้า แต่ก็ยังนับว่าเป็นการละเมิด

สุภัทรา ยังกล่าวถึงการประเมินผลสัมฤทธิ์ทางกฎหมาย ซึ่งต้องดำเนินการทุก 5 ปี ว่า กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กำลังอยู่ระหว่างทบทวน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันคือฉบับปี 2539 ว่าจะปรับปรุงแก้ไขอย่างไร แต่ในความเห็นแล้วสมควรยกเลิกไปเลยเพราะเป็นกฎหมายที่ไม่ได้เป็นคุณกับใคร หลังจากนั้นจึงค่อยร่างกฎหมายใหม่ที่มีเนื้อหาไปในทางคุ้มครองและพัฒนาคุณภาพชีวิตพนักงานบริการ ไม่ใช่เน้นการจับกุมอย่างที่ผ่านมา

ส่วนข้อกังวลว่าหากยกเลิกความผิดอาชีพขายบริการทางเพศ จะเพิ่มปัญหาการบังคับหรือล่อลวงเด็กหรือผู้หญิงเข้ามาสู่วงจรนี้หรือไม่ ในความเป็นจริง การบังคับหรือล่อลวงผู้ที่ไม่เต็มใจมาขายบริการทางเพศนั้นเข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ซึ่งกำหนดอัตราโทษไว้หนักกว่าความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี ดังนั้นการไม่มี พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี จึงไม่ใช่การเอื้อประโยชน์ต่อขบวนการค้ามนุษย์แต่อย่างใด

“สมัยก่อนทำงานกับเพื่อนหญิง ก็เป็น NGO มาทั้งชีวิต เราไปช่วยน้องที่ถูกหลอกไปขายในซ่อง ถูกล่ามโซ่ไว้ มีหมด อันนั้นเราต้องจัดการให้เด็ดขาดเพราะนี่มันคือการค้ามนุษย์ ซึ่งตอนนี้เราก็มีกฎหมายแล้ว แต่ถ้ามันไม่ใช่การบังคับ แต่เป็นคนที่ผ่านการทำงานมาทุกอย่างแล้วแต่ชีวิตมันไม่เคยดีขึ้น แล้วก็เลือกมาอยู่ในอาชีพนี้เพราะว่ามันช่วยให้อาชีพเขาดีขึ้น แล้วก็เป็นความสุขของคนที่ไปหาซื้อความสุข ตกลงกันไม่ได้มีใครบังคับใคร มันผิดอย่างไร? มันนึกอย่างไรมันก็นึกไม่ออก” สุภัทรา กล่าว

แต่ความพยายามในการยกเลิกกฎหมายที่มุ่งเอาผิดการขายบริการทางเพศ ความท้าทายประการหนึ่งคือ “ทัศนคติเชิงลบ” เช่น ในกฎหมาย พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 (ปัจจุบันถูกยกเลิกไปแล้ว) มีการระบุว่าการค้าประเวณีเป็นกิจกรรมอันน่ารังเกียจ ซึ่ง ธนษิต จตุรภุช ศิลปินนักร้อง ให้ความเห็นว่า “เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติและเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคนเกิดมาบนโลกนี้”โดยเปรียบเทียบกับกรณีพ่อแม่ที่ย้ำกับลูกว่าไม่ให้มีเพศสัมพันธ์ ซึ่งในความเป็นจริงไม่สามารถห้ามได้ จึงน่าจะเป็นการแนะนำการมีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัยจะดีกว่า

หรือมุมมองที่ยอมรับเรื่องเพศได้ในบางกรณีเท่านั้น เช่น การแต่งงานมีครอบครัว คำถามคือ “ถ้าคนที่ไม่คิดแต่งงานคือห้ามมีเพศสัมพันธ์เลยหรือ? ทั้งที่เรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมชาติของมนุษย์” ดังนั้นสำหรับคนที่ไม่ได้แต่งงานแต่ต้องการมีเพศสัมพันธ์ก็ต้องไปหาคนที่ขายบริการซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องที่เข้าใจยาก อนึ่ง ด้วยความที่พักอยู่แถวย่านสะพานควาย ได้เห็นคลินิกของ มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) อยู่แล้ว ในตอนแรกก็เข้าใจว่าเป็นคลินิกตรวจเชื้อ HIV แต่เมื่อเข้ามาศึกษาก็ทราบว่าทำงานช่วยเหลือ Sex Worker ด้วย

“เรามองว่า Sex Worker มันก็คืองานประเภทหนึ่ง อย่างเราก็บริการด้วยเสียงเพลง เราร้องเพลงแล้วเราก็ได้เงินมา เราก็รู้สึกว่า Sex Worker มันก็เป็นงานอีกรูปแบบหนึ่ง แล้วทำไมเขาถึงไม่ได้รับการช่วยเหลือขนาดนี้ เรารู้สึกว่าเขาถูกผลักดันอยู่ในชายขอบ แล้วคน Threat (ปฏิบัติ)ไม่ค่อยดีเท่าไร แล้วได้รับการช่วยเหลือน้อยมาก เราก็เลยรู้สึกว่าช่วยเขาดีกว่า” ธนษิต เล่าถึงที่มาที่ไปของการไปร่วมรายการ “ร้องคู่ Together” โดยเลือกบริจาคเงินรางวัลให้กับ SWING ซึ่งทำงานกับทั้ง Sex Worker รวมถึงกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+)

ในมุมคนทำงานขับเคลื่อนด้านสิทธิของ Sex Worker มานานกว่า 3 ทศวรรษ สุรางค์ จันทร์แย้ม ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) กล่าวว่า ทุกครั้ง
ที่มีความพยายามผลักดันให้ Sex Worker กลายเป็นอาชีพหนึ่งขึ้นมาอยู่บนดินก็มักจะมีเสียงโต้แย้งเสมอ เช่น จะเป็นการส่งเสริมการขายบริการทางเพศบ้าง จะทำให้ประเทศไทยน่าอับอายในสายตาชาวโลกบ้าง ทั้งที่ในความเป็นจริง สถานบริการ คนขายบริการ และผู้รับประโยชน์จากงานบริการก็มีอยู่ แต่ไม่สามารถพูดถึงอย่างตรงไปตรงมาได้

นับตั้งแต่ พ.ร.บ.ปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 ที่ยกเลิกไปแล้ว มาจนถึง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539 ที่ยังใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน เป้าหมาย
คือต้องการกำจัดอาชีพขายบริการทางเพศให้หมดไป ทั้งที่คนคนหนึ่งใช้เนื้อตัวร่างกายของตนเองไม่ใช่ของผู้อื่นเพื่อทำงานหารายได้ เพื่อไม่ให้ตนเองเป็นภาระของผู้ใด แต่การกระทำนั้นกลับถูกบอกว่าผิด ซ้ำร้ายกฎหมายยังกลายเป็นช่องทางให้มีการเรียกรับผลประโยชน์ พร้อมกับที่คนในสังคมกลับยอมรับให้สภาพแบบนี้เกิดขึ้นและดำรงอยู่มาได้หลายสิบปี

“ส่วนใหญ่วางแผนจะทำงานอยู่ในอาชีพนี้ 5 ปี แต่วันที่ถูกจับถูกปรับวันละ 300 เท่ากับที่ตั้งใจว่าจะอยู่ในอาชีพนี้ 5 ปีมันอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายคือการยืดให้อยู่ในอาชีพนี้ ยืดให้อยู่ใต้การกดขี่ยาวนานมากยิ่งขึ้น เราเห็นปัญหากันมาถ้านับรวมตั้งแต่มี พ.ร.บ. ฉบับแรกปี 2503 จนถึงปัจจุบัน 60 กว่าปี เรามองเห็นแล้วเราก็นิ่งเฉย ปล่อยให้เป็นแบบนี้ พอถึงจุดหนึ่งจะลุกให้ขึ้นมายกเลิก ก็สารพัดเหตุผลออกมาว่ามันทำไมได้ มันทำแล้วจะเกิดผลเสีย แต่ถามว่าที่มีกฎหมายอยู่นี้มันส่งผลดีอะไร” สุรางค์ ระบุ

ผอ.มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ ทิ้งท้ายว่า แม้จะมีกฎหมายเอาผิดการขายบริการทางเพศ แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีคนที่ทำงานนี้อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ และใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก ดังนั้นจึงอยู่ที่ “ความกล้าที่จะยอมรับความจริง” และ “ความกล้าที่จะมองว่าคนทุกคนเท่ากัน” จากที่เรามองตนเองว่าเป็นคนดีแล้วมองคนอีกกลุ่มเป็นคนไม่ดีจึงสมควรแล้วจะให้มีชีวิตอยู่แบบนั้นโดยมีกฎหมายควบคุม มุมมองแบบนี้ของสังคมใจร้ายเกินไปหรือเปล่า?

สำหรับสารคดี “GIANT SWING” จัดทำโดย มูลนิธิเอดส์ เฮลท์ แคร์ (AHF) ประเทศไทย ร่วมกับ มูลนิธิเพื่อนพนักงานบริการ (SWING) มีความยาว 16.30 นาที สามารถรับชมได้ทางช่องยูทูบ “SWING THAILAND” หรือค้นหาคลิปวีดีโอชื่อ “(ENG Sub) สารคดี GIANT SWING”

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2565(2022), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ดราม่า‘ค่าจ้างขั้นต่ำ600/วัน’ การเมืองหาเสียง-เศรษฐกิจกังวล

Posted on December 11, 2022 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/697401

สกู๊ปแนวหน้า : ดราม่า‘ค่าจ้างขั้นต่ำ600/วัน’  การเมืองหาเสียง-เศรษฐกิจกังวล

สกู๊ปแนวหน้า : ดราม่า‘ค่าจ้างขั้นต่ำ600/วัน’ การเมืองหาเสียง-เศรษฐกิจกังวล

วันอาทิตย์ ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 06.45 น.

สัปดาห์นี้เชื่อเหลือเกินว่าไม่น่าจะมีเรื่องใดเรียกเสียงฮือฮาไปมากกว่าการประกาศนโยบาย “ค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาท” ในงานประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2565 ของ “พรรคเพื่อไทย” เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. 2565 พร้อมกับเปิดตัวอีกหลายนโยบายเพื่อเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ที่กำลังจะมาถึงในเร็วๆ นี้ และกลายเป็น “ดราม่า” เกิดวิวาทะในสังคมว่าจะทำได้จริงหรือ?

ไล่ตั้งแต่ในขั้วการเมืองฝ่ายตรงข้ามอาทิ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ซึ่งมีกระแสข่าวอย่างต่อเนื่องว่าน่าจะเข้าร่วมกับ “พรรครวมไทยสร้างชาติ” ในช่วงเวลาอีก 2 ปีที่เหลือ ที่ยังสามารถดำรงตำแหน่งนายกฯได้ตามกรอบรัฐธรรมนูญฉบับ 2560 โดยในวันเดียวกับที่พรรคเพื่อไทยประกาศนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ 600 บาท พล.อ.ประยุทธ์ ตั้งคำถามผ่านสื่อที่ทำเนียบรัฐบาล ว่านโยบายดังกล่าวจะทำได้จริงหรือ?

“ก็ต้องไปดูว่าทำได้จริงหรือเปล่าหลายเรื่องก็มีการเปิดเผยมาโดยตลอดซึ่งการจะทำโน่นทำนี่มันไม่ง่ายนักหรอกที่จะทำวันนี้เราก็ทำโครงสร้างต่างๆ มากมายเพื่อไม่ให้มีปัญหาในอนาคต ซึ่งก็ต้องดูว่ามีผลกระทบอะไรบ้างหรือเปล่า การจะเพิ่มค่าแรงก็ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ที่เกี่ยวข้อง ต้องดูว่านักลงทุน ผู้ประกอบการรับไหวหรือไม่วันนี้มันก็มีความแตกต่างอยู่แล้ว ในเรื่องของค่าแรง แรงงานที่มีฝีมือค่าแรงก็สูง ซึ่งสูงมากกว่า 600 บาทต่อวันเสียอีก

ขณะนี้เรามีการพัฒนาฝีมือแรงงาน เพื่อตอบสนองแรงงานยุคใหม่ที่ต้องทำงานกับเครื่องจักร และกิจการที่มีรายได้สูง วันนี้ต้องสนับสนุนไปทำนองนั้นก่อน บางโรงงานราคาโดยเฉลี่ยของแต่ละจังหวัดไม่เท่ากัน ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วมีผู้ที่มีรายได้มากกว่าที่กำหนดไว้มากพอสมควร แต่ทั้งหมดต้องฟังผู้ประกอบการด้วย ประชาชนก็ต้องได้ประโยชน์ เราต้องสนับสนุนให้ได้ค่าแรงตามขีดความสามารถตามความเป็นจริง” พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

เช่นเดียวกับ สุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งเมื่อช่วงปลายเดือน พ.ย. 2565 ได้ลาออกจากตำแหน่งกรรมการบริหาร “พรรคพลังประชารัฐ” พรรคแกนนำฝ่ายรัฐบาลชุดปัจจุบัน โดยเป็นอีกคนหนึ่งที่คาดว่าจะเข้าร่วมกับพรรครวมไทยสร้างชาติเพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไปได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว เตือนพรรคเพื่อไทยเรื่องหาเสียงขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาทต้องระมัดระวังด้วย

“เพื่อไทยหากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเอง
ได้คะแนนเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้จะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศเพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน การออกมาพูดแบบนี้ส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจทั้งระบบ หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย” สุชาติ กล่าว

ไม่เว้นแม้แต่ขั้วการเมืองที่เป็นพันธมิตรกับพรรคเพื่อไทยอย่าง “พรรคก้าวไกล” กับกรณีของว่าที่ผู้สมัคร สส.ลำปาง เขต 1 ของพรรคอย่าง ทิพา ปวีณาเสถียร โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “Tipa Paweenasatien – ทิพา ปวีณาเสถียร” ระบุว่า“ค่าแรงในลำปาง ปี 54 จาก 156-กระโดดเป็น 300, 310, 315- SME ตายเป็นเบือ! ถ้าจาก 315-ขยับเป็น 600-ฉันก็คงไม่รอด!!” ซึ่งในเวลาต่อมาเจ้าตัวได้ลบข้อความดังกล่าวออกไป พร้อมกับทางพรรคก้าวไกลได้ออกแถลงการณ์ผ่าน
ทวิตเตอร์ “@MFPThailand” ซึ่งเป็นบัญชีทวิตเตอร์ทางการของพรรค ขอโทษกับกรณีที่เกิดขึ้น

“พรรคก้าวไกลเสียใจอย่างมากที่ว่าที่ผู้สมัครของพรรค ได้ด่วนวิพากษ์วิจารณ์นโยบายดังกล่าวโดยขาดการไตร่ตรองอย่างรอบคอบ พรรคขอน้อมรับคำวิจารณ์ทั้งหมด และขออภัยพรรคเพื่อไทย และพี่น้องประชาชนทั่วประเทศอย่างสูง พรรคก้าวไกลตระหนักดีว่าการขึ้นค่าแรงอย่างเป็นธรรม สอดคล้องกับค่าครองชีพ จะทำให้พี่น้องชาวไทยได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และเป็นส่วนสำคัญในการลดความเหลื่อมล้ำในประเทศไทย ซึ่งก็ถือเป็นแนวนโยบายและคุณค่าหลักที่พรรคก้าวไกลยึดถือเช่นกัน”แถลงการณ์ของพรรคก้าวไกล ระบุ

หันไปดูภาคเอกชน ในการประชุม “คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.)” ซึ่งประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและสมาคมธนาคารไทย ในวันที่ 7 ธ.ค. 2565 แสดงความกังวลเรื่องหาเสียงขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาทเช่นกัน โดย สนั่น อังอุบลกุล ประธานสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ในฐานะประธาน กกร. ให้เหตุผลว่า การพิจารณาปรับค่าแรงต้องมองในทุกมิติ ทั้งในมุมของนายจ้างและลูกจ้าง รวมถึงการคำนึงถึงความสามารถในการจ่ายค่าจ้างของนายจ้างซึ่งมีผลต่อการจ้างงานโดยรวม

“จากกรณีขึ้นค่าแรง 300 บาทต่อวันเมื่อปี 2554 ที่ถึงแม้จะดำเนินการได้สำเร็จ แต่ต้องยอมรับว่าช่วงแรกโดยเฉพาะ SME ปรับตัวค่อนข้างลำบาก ส่วนธุรกิจหรืออุตสาหกรรมขนาดใหญ่บางรายก็ปรับเป็นการย้ายฐานการผลิตไปประเทศอื่นแทน ขณะเดียวกัน หากทยอยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาทต่อวัน จากปัจจุบันที่ค่าแรงเฉลี่ยอยู่ที่ 328-354 บาทต่อวัน ซึ่งถึงแม้ว่าจะเป็นการทยอยขึ้นก็จะทำให้ต้นทุนภาคธุรกิจปรับเพิ่มขึ้นเกือบ 70% ทำให้ภาคธุรกิจอาจปรับตัวไม่ทัน” สนั่น กล่าว

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 7 ธ.ค. 2565 แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ชี้แจงเรื่องนโยบายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำวันละ 600 บาท ว่า เข้าใจดีถึงสาเหตุที่มีข้อถกเถียง เพราะปัจจุบันเศรษฐกิจประเทศไม่ดี จึงคิดภาพว่าหากค่าแรงเพิ่มเป็น 600 บาท ต้นทุนผู้ประกอบการต้องเพิ่มขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าหากคิดในวันนี้เดือดร้อนแน่ แต่พรรคนั้นพูดถึงเศรษฐกิจภาพรวมทั้งประเทศที่จะเติบโตพร้อมๆ กันทั้งระบบ ซึ่งทั้งนายจ้างและลูกจ้างได้ประโยชน์ทั้ง 2 ฝ่าย

“วันนี้ไม่แปลกเลยที่คนจะคิดว่าต้นทุนจะเพิ่มขึ้น วันนี้ยังคิดไม่ได้ ค่าแรงขึ้นเป็น 600 บาท ยังคิดไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี เมื่อเศรษฐกิจดีทั้งระบบแล้วจะไปโดยธรรมชาติของเศรษฐกิจ การเติบโตเศรษฐกิจเราต้องการเติบโตทั้งระบบทั้งประเทศ คนทุกชนชั้น คนทุกฐานะได้รับประโยชน์ ได้มีโอกาสได้มีศักดิ์ศรี มีเกียรติที่จะสามารถออกมาใช้ชีวิตจับจ่ายใช้สอย ลดหนี้สิน ดูแลครอบครัวได้” แพทองธาร ระบุ

สำหรับประเด็นข้อเถียงเรื่องการปรับค่าจ้างนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมาทุกครั้งที่มีข่าวว่าจะปรับ ระหว่างฝ่ายสนับสนุนที่มองว่าจะทำให้แรงงานมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดยบางส่วนมองไปไกลถึงการเปลี่ยนจากค่าจ้างขั้นต่ำ (Minimum Wage) เป็นค่าจ้างที่เหมาะสมกับการดำรงชีพ (Living Wage) เพื่อให้แรงงานทุกคนอยู่ได้สมศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในขณะที่ฝ่ายคัดค้านกังวลผลกระทบด้านต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น และเมื่อผู้ประกอบการแบกรับไม่ไหวก็อาจย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศที่ค่าจ้างถูกกว่า หรือใช้เครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานคน!!!

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2565(2022), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

สกู๊ปแนวหน้า : ‘อาเซียน’ดึงดูดมหาอำนาจ ‘ฉันทามติ’ภายในยังเกิดยาก

Posted on December 10, 2022 by SoClaimon
Reply

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

https://www.naewna.com/likesara/697262

สกู๊ปแนวหน้า : ‘อาเซียน’ดึงดูดมหาอำนาจ ‘ฉันทามติ’ภายในยังเกิดยาก

สกู๊ปแนวหน้า : ‘อาเซียน’ดึงดูดมหาอำนาจ ‘ฉันทามติ’ภายในยังเกิดยาก

วันเสาร์ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565, 02.00 น.

“55 ปี” เป็นระยะเวลาการดำรงอยู่ของ “อาเซียน (ASEAN)”หรือสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2510 ที่ประเทศไทย จากเริ่มต้นมีสมาชิกร่วมก่อตั้งจำนวน 5 ประเทศ จนล่าสุดในเดือน พ.ย. 2565 เพิ่งต้อนรับ ติมอร์เลสเต เข้าเป็นประเทศสมาชิกลำดับที่ 11 ขณะเดียวกัน อาเซียนยังได้รับความสนใจจากชาติมหาอำนาจต่างๆ ทั่วโลก แต่อีกด้านหนึ่ง อาเซียนก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าไม่สามารถรวมกันเป็นประชาคมได้อย่างเข้มแข็ง หากเทียบกับประชาคมที่คล้ายกันอย่างสหภาพยุโรป (EU)

เมื่อเร็วๆ นี้ มีวงเสวนา (ออนไลน์) หัวข้อ “ถนนทุกสายมุ่งสู่อาเซียน : สัญญาณแห่งการเปลี่ยนแปลงหรือแค่ประชุมประจำปี” จัดโดยศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่ง ศ.ดร.นภดล ชาติประเสริฐ อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ และที่ปรึกษาสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าถึงจะบอกว่าอาเซียนเป็นกรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม แต่จริงๆ แล้วเป็นเรื่องการเมือง

โดยช่วงแรกของการก่อตั้งเป็นความร่วมมือของชาติในกลุ่มโลกเสรีเพื่อรับมือภัยคุกคามจากชาติในกลุ่มโลกคอมมิวนิสต์ ขณะเดียวกัน ยังมีการเข้ามาของมหาอำนาจทั้ง 2 ค่าย คือสหรัฐอเมริกาในฝ่ายโลกเสรี และสาธารณรัฐประชาชนจีนในฝ่ายคอมมิวนิสต์ ซึ่งจีนนั้นขัดแย้งกับสหภาพโซเวียตแม้จะเป็นมหาอำนาจร่วมค่ายคอมมิวนิสต์เหมือนกัน และไม่พอใจที่สหภาพโซเวียตพยายามขยายอิทธิพลในภูมิภาคนี้ผ่านเวียดนาม ดังนั้น อาเซียนจึงโดดเด่นขึ้นมาในฐานะเวทีประลองกำลังในระดับโลก

กระทั่งในทศวรรษ 1990 (ปี 2533-2542) สงครามเย็นสิ้นสุดลง กระแสโลกเชื่อว่าคงไม่มีสงครามใหญ่ๆ กันอีก จึงมุ่งไปสู่การพัฒนาเศรษฐกิจมากขึ้น ซึ่งอาเซียนก็เริ่มปรับตัวเช่นกัน จากการก่อตั้งของกลุ่มชาติโลกเสรี 5 ประเทศ ในเวลาต่อมาอาเซียนเปิดรับความหลากหลายทางการเมือง หรือแม้แต่ความแตกต่างทางเศรษฐกิจ จนล่าสุดที่เพิ่งรับติมอร์เลสเตเข้าเป็นชาติสมาชิก

“ความเป็นศูนย์กลางอาเซียนเป็นปรากฏการณ์เฉพาะมากของประเทศโลกที่ 3 ซึ่งก็ไม่ได้มีเห็นในที่อื่น แม้จะมีการรวมกลุ่มในภูมิภาคต่างๆ ก็ตาม ก็ไม่ได้มีบทบาทโดดเด่นตรงนี้จริงๆ นักวิชาการญี่ปุ่นท่านหนึ่งก็เคยมาแลกเปลี่ยนกับผมด้วยซ้ำว่าบทบาทของอาเซียนก็มีลักษณะพิเศษนะ เมื่อมีการประชุมระดับผู้นำอาเซียนที่เราเรียกว่าประชุมสุดยอดอาเซียน เราสามารถเชิญประเทศต่างๆ ที่เป็นคู่เจรจาให้ส่งผู้แทนระดับสูงหรือระดับผู้นำรัฐบาลมาพูดคุยกันได้

คือเป็นประเทศกำลังพัฒนาในโลกที่ 3 ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจก็ไม่ได้ใหญ่ แต่สามารถเป็นที่รวมของผู้นำของประเทศมหาอำนาจต่างๆ ได้ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่ญี่ปุ่นเองเขาบอกว่าเขายังทำไมได้เลย อยู่ๆ จะจัดประชุมแล้วก็ไปเชิญผู้นำประเทศมหาอำนาจต่างๆให้มาประชุมกันอยู่เรื่อยๆ เป็นประจำ แต่อาซียนทำได้ อันนี้เป็นบทบาทซึ่งน่าจะเป็นผลพวงต่อเนื่องมาจากยุคสงครามเย็นอันนี้เป็นบทบาทซึ่งหลายๆ คนมองข้ามไป” ศ.ดร.นภดล กล่าว

หลังปี 2543 เป็นต้นมา จีนเริ่มพัฒนาประเทศจนสามารถแข่งขันกับสหรัฐอเมริกาได้ แต่ในทางกลับกันอาเซียนกลับมีบทบาทร่วมกันน้อยลง ศ.ดร.นภดล ตั้งข้อสังเกตว่า ในยุคนี้ชาติมหาอำนาจเลือกเจรจากับชาติในอาเซียนเป็นรายประเทศมากกว่าจะพูดคุยในนามอาเซียน ขณะที่อาเซียนเองก็ไม่สามารถหาฉันทามติได้แม้จะเป็นเรื่องที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับอาเซียนเอง เช่น ประเด็นทะเลจีนใต้ ประเด็นแม่น้ำโขง ประเด็นการรัฐประหารในเมียนมา เป็นต้น

ขณะที่ ศ.ดร.กิตติ ประเสริฐสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ และที่ปรึกษาศูนย์ญี่ปุ่นศึกษา สถาบันเอเชียตะวันออกศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง 3 ชาติอาเซียนที่เป็นเจ้าภาพจัดประชุมใหญ่ในปี 2565 คือไทย (APEC) อินโดนีเซีย (G20) และกัมพูชา (อาเซียน) ทั้ง 3 ประเทศ แม้จะอยู่ในอาเซียนเหมือนกัน แต่บทบาทที่ออกมาคือต่างคนต่างเล่นโดยมุ่งเน้นผลประโยชน์ของประเทศตนเอง โดยเฉพาะไทยและอินโดนีเซีย ส่วนกัมพูชาเนื่องจากเป็นเจ้าภาพประชุมอาเซียนจึงยังอยู่ในกรอบของอาเซียน

ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะย้ำกันเสมอว่า “อาเซียนเป็นศูนย์กลาง(ASEAN Centrality)” แต่หากขาดการประสานความร่วมมือกันการผลักดันวาระร่วมให้โลกเห็นว่าอาเซียนให้ความสำคัญกับเรื่องใดอย่างแข็งชัดจึงยังไม่เห็นภาพชัด เช่น กรณีของประเทศไทยที่ผลักดันเศรษฐกิจ BCG (Bio Economy – เศรษฐกิจชีวภาพ, Circular Economy – เศรษฐกิจหมุนเวียน, Green Economy – เศรษฐกิจเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) คำถามคือแล้วอาเซียนรับ BCG แบบเดียวกันไทยได้หรือไม่? จึงสร้างฉันทามติและพันธมิตรด้าน BCG ในอาเซียนได้ไม่มากพอ

“แน่นอนว่าหลายชาติยังไม่พร้อม ชาติที่อาจจะยังพัฒนาน้อยก็ยังไม่พร้อม แต่ว่ามันมีหลายชาติที่พร้อม ถ้าเรา Coordinate (ประสานความร่วมมือ) และผลักดันไปด้วยกันในนามของอาเซียน อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ไปคุยหรือ Coordinate กับชาติอาเซียนบ้างเลยนะ แต่ผมคิดว่ามันน่าจะมีความแข็งขันมากกว่านี้ เพื่อผลักดัน Agenda (วาระ) ของอาเซียนในเรื่องต่างๆไม่เฉพาะ BCG อันนี้เป็นเพียงตัวอย่าง” ศ.ดร.กิตติ กล่าว

ดร.กิตติ กล่าวต่อไปว่า คำว่า อาเซียนเป็นศูนย์กลาง (ASEAN Centrality) เกิดขึ้นมาได้ประมาณ 16-17 ปีแล้ว เมื่อมีการจัดประชุม East Asia Summit ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจากอาเซียน +3 (จีน เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น) อาเซียน +6(เพิ่มอินเดีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์) และ +8 (ดึงสหรัฐฯ กับรัสเซียมาด้วย) แต่ด้วยความที่อาเซียนหวั่นเกรงจะถูกกลบบทบาทโดยชาติมหาอำนาจต่างๆ ที่มีศักยภาพสูงกว่าทั้งทางทหารและเศรษฐกิจ จึงเริ่มย้ำเรื่องอาเซียนเป็นศูนย์กลางตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา หรือก็คือคำคำนี้มาจากความรู้สึกไม่มั่นคง(Insecure) ของอาเซียนเอง

อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่ชี้ว่าชาติสมาชิกอาเซียนไม่ได้พยายามผลักดันบทบาทอาเซียนให้ชัด คือในปี 2561 ที่มีการพบกันระหว่าง โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ (ในขณะนั้น)กับ คิม จอง อึน ประธานาธิบดีเกาหลีเหนือ ที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งพบว่า สิงคโปร์เน้นย้ำว่าผู้นำของทั้ง 2 ชาติ เลือกสิงคโปร์เป็นสถานที่เจรจา แต่ไม่มีการกล่าวอ้างใดๆ ถึงอาเซียน โดยสิ่งที่อยากเห็นคือเมื่อชาติในอาเซียนจะแสดงบทบาทขอให้เน้นย้ำถึงการเป็นสมาชิกอาเซียน

ด้าน รศ.ดร.ดุลยภาค ปรีชารัชช รองผู้อำนวยสถาบันเอเชียตะวันออกศึกษา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่าในเดือน พ.ย. 2565 มีทั้งการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่กัมพูชา ประชุม G20 ที่อินโดนีเซีย และประชุม APEC ที่ประเทศไทย หากพิจารณาเฉพาะชาติในอาเซียนหรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินโดนีเซีย เป็นประเทศที่แสดงบทบาทได้โดดเด่น เนื่องจาก 1.ร่วมประชุมครบทั้ง 3 งาน เนื่องจากอินโดนีเซียเป็นชาติเดียวในอาเซียนที่เป็นสมาชิก G20 2.วิสัยทัศน์ของผู้นำ นั่นคือ โจโก วิโดโด ประธานาธิบดีคนปัจจุบัน

“น่าจะเป็นครั้งที่โดดเด่นมากที่อินโดนีเซียประกาศแผนวิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ที่เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า Global Maritime Fulcrum หรือแปลเป็นภาษาไทยว่า ยุทธศาสตร์แกนสมุทรโลก นั่นก็คือเปรียบให้อินโดนีเซียเป็นศูนย์กลางของทั้งมหาสมุทรอินเดียและแปซิฟิก ก็คือเป็นแกนกลางหลักเหมือนกันในสถาปัตยกรรมของอินโด-แปซิฟิก แล้วก็มีการกำหนด Boundaries (ขอบเขต) โดยคร่าวๆ ด้วยว่าอาณาบริเวณที่อินโดนีเซียน่าจะทำ Power Projection (การฉายภาพแห่งอำนาจ) ว่ามันควรจะแผ่ไปถึงไหนบ้าง

ซึ่งมันก็ทับๆ กับ Concept (แนวคิด) เดิมที่เป็น Concept เรื่องเขตแดน-ดินแดนของอินโดนีเซีย ที่เรียกว่านูสันตารา (Nusantara) มันก็เป็นชื่อ Concept ในเชิงดินแดน มหารัฐที่คุมมหาสมุทรที่ยิ่งใหญ่ มันก็ทับกัน แล้วอินโดนีเซียก็ใช้ตรงนี้ที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ วิสัยทัศน์ยุทธศาสตร์ทาง Geopolitics (ภูมิรัฐศาสตร์) ไปผลกักเรื่อง ASEAN Centrality ซึ่งคำนี้ก็มีมานานพอสมควรแล้ว แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าผลงานของรัฐบาลอินโดนีเซีย ก็ผลักดันให้ชาติสมาชิกอาเซียนจำนวนไม่ใช่น้อยเลยน้อมรับในเรื่องนี้” รศ.ดร.ดุลยภาค ระบุ

จากบทบาทที่โดดเด่นข้างต้น ทำให้ในการประชุมอาเซียนประจำปี 2566 ซึ่งอินโดนีเซียจะเป็นเจ้าภาพตามวาระเวียนของการเป็นประธานอาเซียน น่าจะมีแรงกดดันไม่น้อยไปถึงรัฐบาลทหารในเมียนมา ซึ่งในการประชุมอาเซียนครั้งล่าสุดที่เพิ่งผ่านพ้นไป ผู้นำอินโดนีเซียก็แสดงท่าทีชัดเจนว่าผิดหวังที่รัฐบาลทหารในเมียนมาไม่สามารถดำเนินการตามฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียนได้ อีกทั้งพยายามกีดกันไม่ให้ผู้แทนรัฐบาลทหารเมียนมาร่วมประชุมด้วย

รศ.ดร.ดุลยภาค กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จากข้อมูลที่ทราบ รัฐบาลชุดปัจจุบันของอินโดนีเซียค่อนข้างเห็นใจฝ่ายต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมา ดังนั้น จึงต้องจับตามองว่าหลังจากนี้จะเป็นอย่างไร แต่อีกด้านหนึ่ง ผู้นำรัฐบาลทหารเมียนมาอย่างมิน อ่อง หล่าย ก็ประกาศว่า หากในปี 2566 สถานการณ์ทางการเมืองสงบและสามารถเจรจาสันติภาพกับฝ่ายต่อต้านได้ก็จะจัดให้มีการเลือกตั้งอีกครั้ง ซึ่งก็อาจจะช่วยผ่อนคลายแรงกดดันจากอินโดนีเซียได้ แต่ก็ต้องดูว่าเลือกตั้งด้วยระบบใดและจะมีกลุ่มใดร่วมเจรจาสันติภาพบ้าง!!!

SCOOP@NAEWNA.COM

Share this:

  • Click to share on Pocket (Opens in new window) Pocket
  • Click to share on Facebook (Opens in new window) Facebook
  • Click to share on X (Opens in new window) X
  • Click to share on LinkedIn (Opens in new window) LinkedIn
  • Click to share on Reddit (Opens in new window) Reddit
  • Click to email a link to a friend (Opens in new window) Email
  • Click to print (Opens in new window) Print
  • Click to share on Telegram (Opens in new window) Telegram
  • Click to share on Tumblr (Opens in new window) Tumblr
  • Click to share on WhatsApp (Opens in new window) WhatsApp
  • Click to share on Mastodon (Opens in new window) Mastodon
  • Click to share on Pinterest (Opens in new window) Pinterest
Like Loading...
Posted in ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า | Tagged 2565(2022), ข่าว Like สาระ, สกู๊ปแนวหน้า, แนวหน้า, naewna | Leave a reply

Post navigation

← Older posts
Newer posts →

BamBam Family

BamBam Family

สถิติบล็อก

  • 2,821,203 hits

Join 3,805 other subscribers
Follow SootinClaimon.Com on WordPress.com

Categories

Top Posts & Pages

‘นายกฯ’ลั่น‘เขมร’ต้องกลับเข้า 4 ข้อปฏิญญา เหน็บประเทศมหาอำนาจต้องกดดันฝ่ายละเมิด
ถอดแนวคิด 'มอนเดลีซฯ' กับการเป็นองค์กรในดวงใจคนนิวเจน
'แคนดิเดตนายกฯภท.'ยังไม่ชัด! แต่ถ้าคัมแบ็ครัฐบาล'เอกนิติ-ศุภจี-สีหศักดิ์'ร่วม รบ.ต่อ
ตำรวจชี้ตัวผู้ต้องสงสัยกราดยิงม.บราวน์ เร่งสอบเอี่ยวคดีฆ่าอาจารย์ MIT ด้วยหรือไม่
'เจาะใจ'พาคุยกับสตรีคนสำคัญแห่ง'กระทรวงวัฒนธรรม'ผู้ถือภารกิจแห่งการส่งเสริมวัฒนธรรมไทย
จุฬาฯ-มหิดล ผนึกกำลังสร้างนวัตกรรมเวชสำอางจากข้าวไรซ์เบอร์รี่ไทยถ่ายทอดเทคโนโลยี "AnthoRice™ Complex" เตรียมทดสอบทางคลินิกที่ศิริราช
บังกลาเทศประท้วงเดือด บุกผาสำนักงานหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ 2 แห่ง
นทท.สะพรึง แห่ชมปรากฎการณ์ธรรมชาติชายหาดสีเลือดในอิหร่าน
ทรัมป์สั่งระงับโครงการกรีนการ์ดล็อตโต้ หลังผู้ต้องสงสัยกราดยิง ม.บราวน์ ใช้เป็นช่องทางเข้าสหรัฐฯ
ทรัมป์ลงนามคำสั่ง ขยายการเข้าถึงกัญชา เพิ่มขอบเขตการวิจัย

Recent Posts

  • ทรัมป์สั่งระงับโครงการกรีนการ์ดล็อตโต้ หลังผู้ต้องสงสัยกราดยิง ม.บราวน์ ใช้เป็นช่องทางเข้าสหรัฐฯ
  • อียูตกลงปล่อยกู้ยูเครน 9 หมื่นล้านยูโร เลี่ยงใช้ทรัพย์สินรัสเซียที่ถูกอายัด
  • ปิดฉากล่าตัวมือกราดยิง ม.บราวน์ พบกลายเป็นศพในห้องเก็บของ หลังหนีกบดานข้ามรัฐ
  • ออสเตรเลียประกาศ “รับซื้อคืนปืน” ทั่วประเทศ หลังเหตุกราดยิงหาดบอนได
  • ศรีลังกาจับ 3 ผู้ต้องสงสัยเผาช้างป่าเป็น ๆ จนล้ม จุดกระแสโกรธแค้นในสังคม

ป้ายกำกับ

  • 2559(2016)
  • 2564(2021)
  • entertain
  • naewna
  • The Nation
  • การเมือง
  • คมชัดลึก
  • ต่างประเทศ
  • บันเทิง
  • แนวหน้า
  • RSS - Posts
  • RSS - Comments

Archives

Follow Us

  • https://soclaimon.tumblr.com/
  • https://www.facebook.com/soclaimon
  • https://www.instagram.com/sootinclaimon/
  • https://www.facebook.com/SootinClaimon/
  • https://www.facebook.com/profile.php?id=100001170824639
  • https://www.facebook.com/pompam.pp
  • https://www.facebook.com/toraman666
  • https://www.facebook.com/apich214
  • https://www.facebook.com/samabat.klaimon
  • https://www.facebook.com/profile.php?id=100005312762480
  • https://www.facebook.com/jirasuda.manomaiyanon
  • https://www.facebook.com/eikpakkred
  • https://www.facebook.com/profile.php?id=100003091451547
Blog at WordPress.com.
  • Subscribe Subscribed
    • SootinClaimon.Com
    • Join 1,659 other subscribers
    • Already have a WordPress.com account? Log in now.
    • SootinClaimon.Com
    • Subscribe Subscribed
    • Sign up
    • Log in
    • Report this content
    • View site in Reader
    • Manage subscriptions
    • Collapse this bar
 

Loading Comments...
 

    %d