ค้นเหตุผล… ทำไม? ‘มงไม่ลง’ นางงามไทยสักที?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 ธันวาคม 2560 เวลา 11:56 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/world/529481

ค้นเหตุผล... ทำไม? 'มงไม่ลง' นางงามไทยสักที?

 ในที่สุด “วันมงลง” ก็มาถึง เป็นวันที่แฟนนางงามไทยรอคอย เวทีอันดับ 1 มิสยูนิเวิร์ส 2017 (Miss Universe 2017) การประกวดปีนี้จัดเป็นครั้งที่ 66 มีสาวงามจาก 92 ประเทศ เข้าร่วมประกวดที่เดอะ เพลนเน็ต ฮอลลีวู้ด รีสอร์ทแอนด์กาสิโน ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา

หญิงสาวคว้ามงกุฎมิสยูนิเวิร์สไปครอง เดมี่ ลีห์ เนล ปีเตอร์ส สาวแอฟริกาใต้ วัย 22 ปี หุ่นกะทัดรัดกำลังงามๆ เอกฉันท์ไม่ค้านสายตา “มงไม่งง”

ส่วนตัวแทนประเทศไทย มารีญา พูลเลิศลาภ เข้าสู่รอบ 5 คนสุดท้าย โดยในโลกออนไลน์ก็มีการพูดถึงกันในหลายๆ ประเด็น “งงไม่มง” ที่ไม่สามารถคว้ามงกุฎมาครองได้

โดยเฉพาะเรื่องของคำถามจากกองประกวด และเรื่องชุดราตรีสีน้ำเงินแบรนด์ อาซาว่า ซึ่งอะไรที่เป็นบวก ก็จะไม่ค่อยมีคำวิพากษ์วิจารณ์ตามมากันอยู่แล้ว แต่ถ้าประเด็นลบ เสียงวิจารณ์กระหึ่มแน่เสียยิ่งกว่าแน่

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

ทำไม “มารีญา” จึงไม่ได้ครองมงกุฎมิกิโมโต้?!!! มารีญา มีศักยภาพสูงมากโดยเฉพาะเรื่องทัศนคติ นางงามคนนี้ครบเครื่องที่สุดของไทยแล้ว ในช่วงเก็บตัวที่ผ่านมา มารีญา ทำให้คนไทยลุ้นได้ในทุกๆ รอบ เริ่มที่รอบ Preliminary Competition & National Costume มารีญา ทำได้ดีมากๆ ขึ้นแท่นอันดับ 1 เกือบทุกโพลมีชื่อของเธอติดท็อป 10 และ ท็อป 3 เป็นตัวเต็งอันดับต้นๆ เตรียมซิวมงกุฎปี 2017

เรียกว่า สร้างความสุข ความลุ้น ให้เหล่าแฟนๆ นางงามได้เชียร์นางงามตัวเก็งของเรากันแบบลุ้นตัวโก่ง และเป็นช่วงเดือนผ่านมา ที่บรรดาเวทีการประกวด รวม 4 เวทีระดับโลก มิสยูนิเวิร์ส มิสเวิลด์ มิสอินเตอร์เนชั่นแนล มิสเอิร์ธ มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล ทยอยเปิดเวทีชิงมงกุฎกันคึกคัก

แต่นางงามไทยคว้ามงกุฎไม่ได้เลยสักเวที??? จึงเกิดคำถามทำไม “มงไม่ลง” นางงามไทยสักที?!!! ทั้งที่สาวงามของไทยสวยไม่แพ้ชาติใดในโลก? เราจะเทรนด์นางงามไทยอย่างไร? ให้คว้ามงกุฎ กรรมการเวทีระดับโลกต้องการคนสวยในแบบไหน? ทุกๆ คำตอบล้วนน่าค้นหาเสียยิ่งนัก

สวยแบบไหน? พร้อมส่งออกสู่สากล

ปีนี้จัดการประกวดนำร่องก่อนใคร มิสแกรนด์ อินเตอร์เนชั่นแนล 2017 คงยึดคอนเซ็ปต์เดิมเหนียวแน่น คือ Stop the War เพื่อรณรงค์การยุติสงครามไม่ให้มีอีกต่อไปในอนาคต และนับเป็นเวทีประชันขาอ่อนสัญชาติไทยเวทีแรก กับการประกาศความมุ่งมั่นสู่แกรนด์สแลมใหม่ของโลกให้ได้

เป้าหมายคือการสร้างเวทีให้มีมาตรฐานเทียบเท่ามิสยูนิเวิร์ส มิสเวิลด์ และมิสเอิร์ธ

เวทีนี้นำโดย ณวัฒน์ อิสรไกรศีล เป็นประธานและผู้ก่อตั้งการประกวดเวทีใหม่ แม้อายุเวทีเพียง 5 ปี แต่คนสร้างเวทีนี้ มีพยายามสูงเพื่อผลักดันพัฒนาการประกวดไปในระดับมาตรฐานนานาชาติ

ณวัฒน์ ที่คนวงในคลั่งไคล้ชมประกวดนางงามเวทีนี้ เรียกขานเขากันว่า “บอส” คือเสาหลักผู้คัดเลือกผู้สวมมงกุฎมิสแกรนด์ไทยแลนด์

การจัดการประกวดสาวงามระดับประเทศครั้งแรก มีขึ้นเมื่อปี 2013 สาวงามผู้ได้รับตำแหน่งมิสแกรนด์ไทยแลนด์ จะเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปประกวดเวทีระดับนานาชาติ คือ “มิสแกรนด์อินเตอร์เนชั่นแนล” โดยมีศัพท์วงในอีกเช่นกันว่า “นางงามพร้อมใช้

พวกเธอพร้อมรับโอกาสได้เป็นนักแสดง หรือนักร้องที่เวทีนี้เน้นลูกทุ่งจ๋าๆ สร้างตลาดชัดเจน นางงามคงได้รับการปูทางก้าวเข้าสู่วงการบันเทิงในลำดับต่อไป

“เสียงไพเราะเป็นคุณสมบัติแรกๆ ด้วยครับ ในการคัดเลือกนางงาม” ณวัฒน์ ให้สัมภาษณ์ไว้ในช่วงเปิดเวทีประกวด มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ปีนี้ ซึ่งเป็นบริบทที่แตกต่างเรียกได้ว่า “เฉพาะเวที” นี้เลยก็ว่าได้

สุภาพร มะลิซ้อน ตัวแทนสาวงามแกรนด์ไทยส่งออกไปประกวดเวที มิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2016 ณ ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา จัดเป็นนางงามของบอสณวัฒน์ที่เข้ารอบลึกที่สุด สามารถผ่านเข้ารอบ 5 คนสุดท้ายได้สำเร็จ คว้าตำแหน่งรองอันดับ 2 ไปครอง

ผู้ชนะการประกวดในปีนั้นคือ อาริสกา ปุตรี เปอร์ตีวี จากอินโดนีเซีย ที่เล่าขานกันว่า “อย่าให้เธอจับไมค์” คำตอบภาษาอังกฤษพ่นเป็นไฟ ช่วง 4-5 ปีมานี้ นางงามบุหงามาแรงบนเวทีอินเตอร์ฯ

ส่วนปีนี้ “แพม” ปาเมล่า ปาสิเนตตี้ มิสแกรนด์ไทยแลนด์ 2017 ได้รับคัดเลือกไปประกวดมิสแกรนด์อินเตอร์เนชันแนล 2017 ที่ประเทศเวียดนาม ทำได้ดีที่สุดกับการผ่านเข้ารอบ 10 คนสุดท้าย

“แพมเป็นลูกครึ่งไทย-อิตาลี ปีนี้ลูกครึ่งมาแรง ได้เปรียบเรื่องภาษาที่เป็นเรื่องสำคัญกับเวทีสากล ปฏิเสธไม่ได้เลยครับ เราเคยส่งนางงามที่หน้าตาสวยมาก อกเอวมีครบ มิสแกรนด์อุบลราชธานีเคยส่งออกไปประกวดเวทีระดับชาติ ภาษาไม่ได้เลย ทีมก็ต้องปวดหัวกันกลับมา

ในปีของ “ฝ้าย” สุภาพร ต้องบอกว่าเป็นคนสวยมีครบรูปสมบัติ คุณสมบัติ วงการนางงามไม่มีใครไม่รู้จักเธอ ฝ้ายเป็นนางงามเดินสายมาแล้วทั่วประเทศ ตั้งแต่อายุ 16 ปี ทำให้ได้ทั้งจริตนางงาม แล้วอายุ 18 ปี ก็ได้สังกัดโมเดลลิ่งนางแบบระดับอินเตอร์ฯ ทำงานที่เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง ช่วง 18 ปี ก็ได้ความทันสมัยสไตล์นางแบบมาอีก สำหรับผมนี่คือการตอบโจทย์นางงาม ที่มีสิทธิสวมมงกุฎที่สุด”

สวยครบเครื่องแต่ก็ไม่คว้ามงกุฎ ณวัฒน์ ไขข้อข้องใจนี้ว่า นางงามไทยเรามี “กรอบ” ที่ก้าวไม่พ้นที่บอสเวทีนี้ใช้คำว่า “…คงเป็นโปรดักต์ไทย” เมื่อยืนเทียบกับนางงามชาติอื่นๆ ซึ่งอาจจะด้วยพื้นฐานความเป็นอาชีพนางงามไม่มีจริงในเมืองไทย การประกวดจำกัดในกลุ่มสาวงามไม่กว้างนัก ตัวเลือกเราจึงมีไม่มากไปด้วย

“การประกวดผลประโยชน์ไม่มากเพียงพอต่อการเลี้ยงชีพ จะต้องมาเวทีระดับประเทศที่มีมงกุฎเกียรติยศ บ้าน รถยนต์ เงินรางวัล 7 หลัก และอื่นๆ สมทบให้อีก ซึ่งก็จะมีผู้ได้รับเพียง 2-3% เท่านั้นครับต่อการประกวดแต่ละปี มาประกวด 70 คนได้รางวัล 5 คน คนตกรอบแทบไม่ได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปเลยนะครับ

จึงต้องพูดว่านางงามคือการปูทางไปสู่อาชีพอื่น หรือประกวดเพราะเป็นความฝันอย่างหนึ่งในชีวิต หรืออาจเป็นหาประสบการณ์ใหม่ เป็นงานอดิเรกแบบกิจกรรม หรือกีฬาสมัครเล่น ขึ้นเวทีเพื่อค้นหาหรือเติมเต็มอะไรบางอย่างให้ชีวิต

การทำเป็นอาชีพ ทำให้นางงามเชี่ยวชาญทั้งบนเวที การไปประกวดบ่อยๆ เจอคำถามบนเวทีมากๆ การตอบก็จะประเมินผลเร็ว หรือที่เรียกกันว่า ปฏิภาณ นางงามต่อให้สวยมากอย่างไร ภาพดีสวยเป๊ะทุกองศา ก็แพ้ทางสู้คนช่างพูดไม่ได้หรอกครับ

ผมยกตัวอย่างมิสแกรนด์ศรีสะเกษปีนี้ “แป้งหอม” กมลรัตน์ ทานนท์ รองอันดับ 4 มิสแกรนด์ไทยแลนด์ ได้รับเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการประกวด Miss Tourism International 2017 ที่ประเทศมาเลเซีย หน้าตาสวยมากสวยเด่นเอ็กโซติกผิวสีน้ำผึ้ง ใบหน้ารูปไข่สวยหวานแบบสาวไทยแท้ มีออร่า แต่ต้องเทรนเรื่องการพูดอีกเยอะครับ”

ณวัฒน์ ย้ำการประกวดอาวุธต้องมาเต็มมือ นางงามหน้าใหม่ไม่เคยขึ้นเวทีประกวดมาก่อน ก็จะสู้คนเจนเวทีไม่ได้ ทั้งเรื่องการแต่งหน้า ทำผม ที่บางครั้งก็ไม่ได้มีช่างแต่งหน้าให้ทุกครั้ง นางงามต้องดูแลความสวยด้วยตัวเองอีกด้วย

ถามย้ำอีกว่ามีสิทธิมงลงสาวไทยหรือไม่? ณวัฒน์ บอกว่าแม้เป็นเรื่องยาก แต่ก็ต้องเป็นไปได้สักวัน

“ประกวดไปทุกๆ ปีก็ต้องมีพัฒนาการทั้งความงาม ความสามารถเราต้องสร้างภาพความสำเร็จนั้นให้ได้ แล้วก็อย่าท้อใจ ที่เห็นนางงามแต่ละชาติสวยสยบครบเครื่อง เพราะไม่ว่ามงกุฎเวทีไหน เวทีใหญ่หรือเล็ก ก็ไม่มีใครยอมใครอยู่แล้ว”

เส้นทางสวมมงกุฎ… ไปทางไหนดี

ชาติมหาอำนาจด้านนางงามอย่าง “เวเนซุเอลา” มักจะคว้าตำแหน่งชนะเลิศเกือบทุกเวที โดยเฉพาะมิสยูนิเวิร์ส เพราะต้องยอมรับว่าประเทศนี้มีการเปิดโรงเรียนสอนนางงามตั้งแต่วัยเยาว์ ฉะนั้น จึงไม่แปลกที่หลายๆ เวทีได้เดินเข้าสู่รอบ 5 คนสุดท้าย

การเปิดโรงเรียนโดยทำธุรกิจด้านการเทรนผู้หญิงรุ่นใหม่เพื่อก้าวสู่เวทีเป็นมิสยูนิเวิร์ส ล่าสุด นาตาลี เกลโบวา มิสยูนิเวิร์ส ปี 2005 ปัจจุบัน นาตาลี กำลังจะเปิดคลาสสอนให้สาวๆ มีความมั่นใจมากขึ้น จัดคลาสบอกกลยุทธ์ถึงการจะคว้ามุงกฎมิสยูนิเวิร์ส รวมทั้งการเวทีประกวดอื่นๆ ระดับสากลมาครอบครองได้อย่างไร?

“ฉันมั่นใจว่า ปีหน้าหากมีคนมาเรียนและฉันสอน มั่นใจว่าประเทศไทยจะมีมิสยูนิเวิร์สคนที่ 3 ได้อย่างแน่นอนค่ะ ฉันการันตี เพราะการเรียนการสอนเรื่องนี้ ใครสอนจะดีไปกว่านางงามอย่างฉันที่อยู่ในเมืองไทยและรู้เรื่องเมืองไทยดี”

แฟนนางงามยอมรับในความงามระดับโลกและในความสามารถของนางงามจักรวาลคนนี้ นาตาลี ต้องขึ้นเวทีการประกวดซ้ำมาแล้วถึง 2 ครั้ง กว่าจะได้เป็นมิสแคนาดา เส้นทางการเป็นตัวแทนสาวงามมีทั้งผิดหวังและสมหวังในที่สุด และในวันนี้เธอพร้อมถ่ายทอดทุกประสบการณ์ การสนับสนุนสายสะพายไทยแลนด์ก้าวสู่จักรวาล

การประกวดนางงามนับเป็นความบันเทิง เป็นนาทีที่มีความสุขให้แก่ประเทศไทยของเรา มารีญา เดินเข้ารอบ 16 สาวงาม โดยเป็นคนแรกที่ได้เดินประชันโฉมในรอบชุดว่ายน้ำ Swimsuit Competition สวยโดดเด่นมากในชุดวันพีซเพียงคนเดียวจาก 16 สาวงามเข้ารอบลึก

และในที่สุดก็มีชื่อ “มารีญา” เข้ารอบ 10 คนสุดท้าย และเดินเข้า 5 คนสุดท้าย สง่างามที่สุด แต่ตัวเต็ง ทำไมตุ๊บ!!!? ทำไมสาวงามไทยไม่เข้า 3 คนสุดท้าย กลายเป็นคำถาม???

สำหรับโปรไฟล์ตัวแทนสาวไทย มารีญา คือนางงามป้ายแดง แน่นอนถ้าเวทีเดินแบบแฟชั่น ไม่มีใครเทียบสเต็ปสวยสับระดับโมเดลแถวหน้าไปได้ แต่ปีนี้ก็ชัดเจนขึ้นว่านางงามต้องตอบคำถามเรียกคะแนน การประกวดมิสยูนิเวิร์ส ไม่ใช่การประกวดนางงามสวยพิมพ์นิยม มีอก เอว สะโพก อีกต่อไปแล้ว

เรื่องตอบคำถามกลายเป็นเรื่องสำคัญ ถ้าคำถามเมื่อปี 2016 ได้สร้างความทรงจำไว้ให้แฟนๆ นางงามไทยไม่มีวันลืมเลือน กับคำถามที่ว่า… “ระบุชื่อของผู้นำโลกในปัจจุบันหรืออดีตที่คุณชื่นชอบพร้อมให้เหตุผล?”

หลายคนก็ได้ฟังคำตอบของ “น้ำตาล” ชลิตา ส่วนเสน่ห์ สาวงามตัวแทนประเทศไทยที่สร้างประวัติศาสตร์ผ่านเข้ารอบ 6 คนสุดท้ายในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ซึ่งก็เป็นคำตอบซึ้งๆ ของนางงามไทยและได้ใจแฟนนางงามไปอีก

ล่าสุดคำถามปีนี้ที่ว่า Social Movement ซึ่งแปลว่า ความเคลื่อนไหวทางสังคม กำลังกลายเป็นความทรงจำใหม่ ของแฟนๆ นางงามไทย หลังจาก สตีฟ ฮาร์วีย์ ส่งคำถามให้มารีญาตอบ

“คุณคิดว่าอะไรคือความเคลื่อนไหวทางสังคม สำคัญที่สุดในยุคของเรา?”

มารีญาตอบว่า “การเคลื่อนไหวทางสังคมที่สำคัญที่สุดตอนนี้คือการที่เรามีสังคมสูงวัย แต่ความเคลื่อนไหวที่สำคัญที่สุดก็คือเยาวชน เยาวชนคืออนาคต คือสิ่งที่เราควรลงทุน เพราะว่าพวกเขาคือคนที่ต้องดูแลโลกที่เราอยู่”

ในขณะที่ เดมี เล นีล-ปีเตอร์ส มิสแอฟริกาใต้ ผู้ครองตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สปีนี้ ตอบคำถามในรอบ 5 คนสุดท้าย กับคำถามว่า “ผู้หญิงคิดเป็น 49% ของแรงงานในโลก คุณคิดว่าอะไรคือประเด็นปัญหาใหญ่ที่สุดที่ผู้หญิงเผชิญ”เดมีตอบอย่างมั่นใจชัดเจนตรงประเด็น “ผู้หญิงได้รับค่าแรงแค่ 75% ของผู้ชาย ทั้งที่ทำงานเหมือนกัน ชั่วโมงทำงานเท่ากัน ฉันคิดว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง เราควรต้องมีความเท่าเทียมในการทำงานและรายได้ทั่วทั้งโลก”

ปีนี้มีการรณรงค์เรื่อง “สิทธิสตรี” การเปิดคำถามรอบตัดสิน วัดกึ๋นมิสยูนิเวิร์ส การประกวดมิสยูนิเวิร์สประจำปี 2017 ที่ลาสเวกัส สหรัฐอเมริกา ผู้เข้าประกวดตอบคำถาม 2 รอบเหมือนทุกๆ ปี คือรอบ 5 คนสุดท้าย และรอบ 3 คนสุดท้าย โดยคำถามที่เป็นที่จับตามอง คือคำถาม

รอบ 5 คนสุดท้าย เนื่องจากจะเป็นประเด็นที่เกี่ยวกับปัญหาสังคมและการเมืองโลก ในขณะที่คำถามรอบ 3 คนจะเป็นการเปิดโอกาสให้นางงามได้โชว์วิสัยทัศน์ต่อตำแหน่งมิสยูนิเวิร์สมากกว่าประเด็นทั่วๆ ไป

ความงามโชนแสงทันทีที่ เดมี ตอบคำถามจบ ปีนี้รณรงค์เรื่องสิทธิสตรี ก็เรียกว่า “คำตอบเรียกมง” บนเวทีการประกวดนางงามจักรวาล ซึ่งความเห็นของนางงามรุ่นพี่ ซึ่งทำหน้าที่เฝ้าหน้าจอเป็นผู้บรรยายให้กับทีวีช่องหนึ่ง “ไข่มุก” ชุติมา ดุรงค์เดช เธอคือผู้ครองมงกุฎมิสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส ประจำปี 2009 ให้ความเห็นว่า สาวไทยได้คำถามยาก บวกกับความกดดันบนเวทีที่ต้องตอบภายใน 30 วินาที อย่างไรก็ตามต้องบอกว่านางงามรุ่นน้องทำดีมาก

“การมอนิเตอร์บรรยายหน้าจอทีวี มุกแปลคำนี้ว่า เป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม แปลได้ทันทีก็เพราะเราอยู่ด้านล่างเวที (หัวเราะ) ไม่ได้อยู่บนเวทีประกวดไม่มีความกดดันแบบน้อง คำที่เราแปลได้ก็เพราะมาจากประสบการณ์ วุฒิภาวะ มุกซาบซึ้งคำนี้ก็เพราะในปีที่เราได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เป็นปีที่มีการโพสต์ลงโซเชียลกันแล้วค่ะ ในบอร์ดพันทิป เกี่ยวกับกิจกรรมกองประกวด โดยพี่ๆ แฟนนางงามที่รวมตัวกันกลุ่มใหญ่เลยค่ะ โพสต์เชียร์เรา พลังมวลชนยิ่งใหญ่ และเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้จริงค่ะ

ถ้าเป็นเรื่องโททัลลุคความเป็นนางงาม มุกไม่ใช่คนสวยโดดเด่น แต่พอมีคนรวมตัวกันหนุนเรา เราก็ไม่ได้กลับบ้านมือเปล่า มุกได้รางวัล Miss Photogenic (ขวัญใจช่างภาพและสื่อมวลชน ) และรางวัลขวัญใจมหาชน People’s Choice Award จากการโหวตโดยแฟนคนไทย ผ่านเว็บไซต์ Missosology.org ทำให้พอได้ยินคำว่า Social Movement มุกเก็ตศัพท์คำนี้ทันทีค่ะ

แล้วมาตระหนักยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ ก็คือปีของน้องน้ำตาล การรวมพลังนางงามไทยยิ่งใหญ่มาก ปีนี้พลังนี้ก็มาซ้ำอีก ซึ่งอีกกี่สิบปีที่จะหานางงามสมบูรณ์แบบได้ในแบบมารีญา มิสไทยแลนด์ประสบความสำเร็จได้ความรักมากมายจากแฟนนางงาม การโหวตแบบเรียลไทม์ ทีมไทยแลนด์แข็งแกร่งส่งพลังให้นางงามได้ไปสุดทางมาก ทำให้เรามองว่าการรวมตัวรูปแบบนี้ ถ้าเกิดจากความรักที่แท้จริง รักที่ถูกต้อง ก็จะกลายเป็นพลังยิ่งใหญ่เปลี่ยนแปลง และแก้ไขปัญหาต่างๆ ในสังคมไทยเราได้อีกด้วยนะคะ”

ชุติมา แสดงความเห็นว่าความฉลาด ฉับไว ในการตอบคำถามบนเวที แสดงได้ถึงความสวยจากภายใน ซึ่งยากกว่ามาก กับการกรูมมิ่งความสวยภายนอก

“การตอบคำถามมีผลอย่างรุนแรง มีผลมากกว่าชุดราตรีซึ่งกลายเป็นข้อวิพากษ์วิจารณ์กัน และมีผลมากกว่าความสวยความงาม คำตอบสวยงามต้องมาจากทัศนคติด้านบวก ที่จะต้องเริ่มปลูกฝังตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ ตอนนี้มุกเรียนปริญญาเอก สาขาธุรกิจเทคโนโลยีและการจัดการนวัตกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ก็ต้องอ่านตำราเกี่ยวกับการพัฒนาศักยภาพมนุษย์หลายๆ เล่ม น่าเซอร์ไพรส์มาก ความเก่งความฉลาดของคน มีจุดเริ่มต้นจากการคิดบวก

แต่ก่อนพอได้ยินคำคิดบวก ก็จะคิดถึง นาตาลี ที่โฆษณาเครื่องสำอางยี่ห้อหนึ่ง พูดว่าผู้หญิงสวยเพราะคิดบวก เราก็โห…นางง้ามนางงาม (หัวเราะ) แต่วันนี้บอกเลยค่ะ นี่คือเรื่องจริงค่ะ”

จากประสบการณ์การประกวด ชุติมา แจกแจงว่า ถ้าเราคิดว่าเราจะได้เข้าหรือเปล่านะ เราจะไม่ได้เข้า

“If I can see it then I can do it. แต่ถ้าเราคิดว่าเราต้องได้ๆๆ เราจะทำได้ดีที่สุดค่ะ แนวคิดนี้มีผลมากคือความเชื่อมั่นในตัวเรา มองทุกอย่างคิดบวกไปทั้งหมด จะนำพานางงามไปสู่สิ่งที่ดีกว่าเสมอ

สำหรับชุดก็เกี่ยวแต่ไม่เกี่ยวมากค่ะ รอบชุดราตรี Evening Gown มารีญา มีความเอเลเกนต์เดินเฉิดฉายบนเวทีมากๆ ค่ะ แต่ความโชคดีเกิดจากความเตรียมพร้อม เพื่อไปให้ถึงเป้าหมาย การถ่ายทอดองค์ความรู้ให้นางงามรุ่นต่อรุ่น ทำให้เราแข็งแกร่งยิ่งขึ้น จากนางงามสู่นางงาม จากแฟนคลับสู่นางงาม หรือการมี Advicer จะทำให้เราได้นางงามที่แกร่งยิ่งขึ้น

สาวไทยเพิ่งเข้ารอบจริงๆ 3 ปีล่าสุด และเพิ่งได้เข้าไปตอบคำถามก็แค่ 2 ปีมานี้เองนะคะ เรากำลังไต่เต้าขึ้นเป็น Powerhouse ด้านนางงาม มันก็ค่อยๆ เรียนรู้ค่อยๆ ปรับกันไป เมื่อปรับได้ลงตัว เราก็จะกลายเป็น Powerhouse สมบูรณ์แบบค่ะ”

ส่วนแพตเทิร์นนางงามสวยในแบบ “นางงามจักรวาล” ปีนี้มิสแอฟริกาใต้ ชุติมา มองว่าโททัลลุคสวยงามมาก ตั้งแต่ผมทรงหม้อตาลเกล้าสูง โชว์รูปหน้าสวยไร้ที่ติ

“ไม่นับสีผมบลอนด์แฮร์ ยิ้มสวยฟันเรียงเป็นระเบียบโชว์เหงือกสีชมพูสวยอีก มีอก มีเอวหักเป็นตัวเอส ใส่ชุดราตรีสะโพกบานผาย รูปสมบัติคือแบบแผนแพตเทิร์นมิสยูนิเวิร์สสิ่งแรกที่กรรมการพิจารณา”

ชุติมา กล่าวทิ้งท้ายในฐานะเคยเป็นกรรมการตัดสินความงามมาแล้วหลายๆ เวที เรื่องวัดกันที่ความสวย 10 กรรมการ ก็ 10 รสนิยมแตกต่างกันไป ของอย่างนี้ต้องวัดดวงไปด้วย

ปีหน้าเชียร์กันต่อไป ด้วยความหวังว่าที่สุดสาวไทยจะสามารถเข้ารอบไปยืนตอบคำถามสุดท้ายในรอบ 3 คน หรือ Final Words และขอสำทับด้วยคำตอบในรอบตัดสิน ได้งดงามไม่แพ้หน้าตา เดมี เล นีล-ปีเตอร์ส นางงามจักรวาลคนล่าสุด ตอบคำถามก่อนมงลงว่า

“สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องมั่นใจในตัวเอง ต้องก้าวข้ามความกลัวหลายๆ อย่าง จึงจะสามารถนำพาผู้หญิงคนอื่นให้ก้าวข้ามความกลัวได้เช่นกัน สำหรับฉัน ไม่เคยมีอะไรยากเกินไป และนั่นคือสิ่งที่ฉันเป็น”

 

อาเซียนมุ่งสู่อนาคต มุ่งนวัตกรรม-ดันความร่วมมือภายใน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 พฤศจิกายน 2560 เวลา 09:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/world/525746

อาเซียนมุ่งสู่อนาคต มุ่งนวัตกรรม-ดันความร่วมมือภายใน

ในปี 2017 นี้ สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ได้เดินทางมาถึงปีที่ 50 แล้ว ท่ามกลางคำถามว่าอีก 50 ปีข้างหน้า อาเซียนจะเป็นอย่างไรต่อไป ซึ่งภายในงานบางกอกโพสต์ ฟอรัม 2017 ASEAN @ 50 : In Retrospect เมื่อวันที่ 16 พ.ย.ที่ผ่านมา อดีตผู้นำอาเซียน 3 ราย ได้แสดงความมั่นใจว่าภูมิภาคนี้จะสามารถฝ่าความท้าทายไปสู่อนาคตยุคใหม่ร่วมกันได้

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

โก๊ะจ๊กตง รัฐมนตรีอาวุโสเกียรติคุณและอดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ เปิดเผยว่า ในโอกาสที่สิงคโปร์จะรับตำแหน่งประธานหมุนเวียนของอาเซียนในปีหน้า สิงคโปร์จะผลักดันเศรษฐกิจดิจิทัลของอาเซียน โดยเพิ่มความร่วมมือระหว่างกันมากขึ้น เช่นเดียวกับที่สิงคโปร์ร่วมมือกับไทยในการเชื่อมต่อ “เพย์นาว” บริการชำระเงินของสิงคโปร์​ กับ “พร้อมเพย์” ของไทย

โก๊ะจ๊กตง ระบุว่า อาเซียนมีศักยภาพมากเพียงพอที่จะเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจของเอเชียในอนาคต โดยจำเป็นต้องเตรียมพร้อมคนรุ่นใหม่เพื่อรับการเปลี่ยนแปลง พร้อมด้วยการมุ่งสู่การเป็นสมาร์ทอาเซียนคอมมูนิตี้ หรือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและดิจิทัล ซึ่งการปฏิรูปการศึกษาถือเป็นกุญแจสำคัญสำหรับการดำเนินการดังกล่าว

อาเซียนยังควรให้ความสำคัญกับภาคส่วนเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ซึ่งจำเป็นต้องผลักดันให้คนรุ่นใหม่ให้เข้าศึกษาในภาคส่วน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และยา) โดยปัจจุบันอาเซียนยังตามหลังจีนและอินเดียที่สามารถผลิตนักศึกษาในภาคส่วนดังกล่าวได้ 4.7 ล้านคน และ 2.6 ล้านคนตามลำดับคงนโยบายไม่แทรกแซง

googletag.cmd.push(function() { googletag.display(‘div-gpt-ad-1511154358428-0’); });

อดีตนายกรัฐมนตรีสิงคโปร์ ตอบคำถามเรื่องความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เมียนมาที่มีการใช้ความรุนแรงกับชาวโรฮีนจา หรือในกัมพูชาที่มีการกวาดล้างฝ่ายค้านว่า เรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องภายในของแต่ละชาติ

อย่างไรก็ตาม มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีของมาเลเซีย เปิดเผยว่า แม้อาเซียนไม่ควรชี้นิ้วสั่งประเทศใดให้ทำตาม แต่หากเหตุการณ์ความไม่สงบดังกล่าวขยายเป็นวงกว้างขึ้น เช่น การสังหารผู้คนในสมัยเขมรแดง อาเซียนควรมีช่องทางที่จะเข้าไปมีอิทธิพลกดดันประเทศนั้นๆ

อาเซียนเป็นโมเดลให้กับโลกในการอยู่ร่วมกันในภูมิภาคได้อย่างสันติ โดยเฉพาะในยุคที่ความขัดแย้งเกิดขึ้นทั่วโลก เช่น สงครามในเยเมนและอิรัก โดยอาเซียนเกิดขึ้นมาไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่เพื่อแก้ไขความขัดแย้งและป้องกันการเกิดสงคราม ซึ่งผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นเรื่องที่ตามมาทีหลัง

อย่างไรก็ตาม หลายชาติไม่ได้ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจดังกล่าวอย่างเท่าเทียม เนื่องจากการพัฒนาทางเศรษฐกิจของแต่ละชาติไม่เท่ากัน ดังนั้นควรให้ผลประโยชน์บางอย่างกับชาติที่เล็กกว่า เพื่อให้ชาติกำลังพัฒนาสามารถแข่งขันได้

ขณะเดียวกัน มหาเธร์ ระบุว่า นโยบายบางอย่างของแต่ละชาติ ส่งผลกระทบต่อความเป็นหนึ่งเดียวของอาเซียน เช่น มาเลเซียที่มีข้อพิพาทในพื้นที่ทะเลจีนใต้กับจีน ตรงกันข้ามบางประเทศที่ยอมรับอิทธิพลของจีน

เน้นพึ่งพาภายในมากขึ้น

สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน กล่าวว่า อาเซียนยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายเพิ่มมากขึ้น โดยในปัจจุบัน อาเซียนพึ่งพาเงินลงทุนจากต่างชาติมากเกินไป ทั้งการลงทุนจากญี่ปุ่นและการลงทุนในโครงการ 1 แถบ 1 เส้นทาง ของจีน

ทั้งนี้ อาเซียนควรหันมาพึ่งพาซึ่งกันและกันให้มากขึ้นในด้านการลงทุน เนื่องจากไม่สามารถคาดหวังการลงทุนจากต่างชาติได้ตลอดไป โดยอาเซียนมีกำลังมากพอในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานที่ต้องการเม็ดเงินจำนวนมหาศาล ซึ่งอาเซียนมีศักยภาพมากพอ เมื่อพิจารณาจากทุนสำรองระหว่างประเทศที่รวมกัน 10 ชาติ เกือบ 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 33 ล้านล้านบาท)

“อินโด-แปซิฟิก จะกลายเป็นเสาแห่งการเติบโตโลกในอนาคต” สุรินทร์ กล่าว โดยอินโด-แปซิฟิก ครอบคลุมถึง 10 ชาติอาเซียนรวมถึงอินเดียด้วย

ขณะเดียวกัน อาเซียนยังเผชิญกับความท้าทายอีกอย่างหนึ่งหลังการลดกำแพงภาษีในกลุ่ม 6 ประเทศสมาชิก เนื่องจากแม้ลดกำแพงภาษีลงแล้ว แต่กลับเพิ่มอุปสรรคการค้าที่ไม่ใช่ภาษีขึ้นมา ซึ่งรวมถึงไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม

นอกจากนี้ อาเซียนยังขาดกลไกการแก้ไขความขัดแย้งระหว่างกัน ทำให้ไม่สามารถดึงดูดเงินลงทุนได้มากที่ควรเป็น และเมื่อเกิดความขัดแย้ง ก็มักจะต้องพึ่งศาลระหว่างประเทศที่ตั้งอยู่นอกอาเซียน ดังนั้น หากต้องการให้การค้าระหว่างกันมีประสิทธิภาพมากขึ้น จำเป็นต้องมีกลไกดังกล่าว

สุรินทร์​ กล่าวด้วยว่า อาเซียนยังเผชิญกับสถานการณ์โลกที่เปลี่ยนไป โดยที่ผ่านมา อาเซียนหรือประเทศอื่นๆ ต่างมีการพูดคุยในระดับพหุภาคี แต่ในปัจจุบัน หลายประเทศเริ่มหันมาให้ ความสำคัญกับชาติตัวเองมากขึ้น จึงทำให้การพูดคุยกลับไปสู่ระดับทวิภาคี ดังนั้น ทางรอดของอาเซียนจึงต้องให้ความสนใจกับอาเซียนด้วยกันเองให้มากขึ้น ซึ่งรวมถึงความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) ของสมาชิก 16 ชาติด้วย

 

สถานทูตฯ เตือนคนไทยเลี่ยงเดินทางไปบาหลี หลังภูเขาไฟอากุงปะทุ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 กันยายน 2560 เวลา 20:00 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/world/516765

สถานทูตฯ เตือนคนไทยเลี่ยงเดินทางไปบาหลี หลังภูเขาไฟอากุงปะทุ

สถานทูตไทย กรุงจาการ์ตา เตือนคนไทยหลีกเลี่ยงเดินทางไปเกาะบาหลี หลังภูเขาไฟอากุงปะทุ

เมื่อวันที่ 25 ก.ย. สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงจาการ์ตา ประกาศแจ้งเตือนคนไทยหลีกเลี่ยงการเดินทางไปเกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยมีเนื้อหาว่า ตามที่ได้เกิดเหตุปะทุของภูเขาไฟอากุง (Agung) ทางตอนเหนือของเกาะบาหลี ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 22 ก.ย.เป็นต้นมา ปัจจุบันรัฐบาลอินโดนีเซีย ยังคงประกาศเตือนภัยระดับ 4 (เฝ้าระวัง) และห้ามเข้าพื้นที่ในรัศมี 12 กิโลกเมตร จากภูเขาไฟ จึงขอแจ้งว่า

1. ในกรณีที่เกิดภูเขาไฟระเบิด จะส่งผลให้มีการปิดสนามบิน Ngurah Rai ที่บาหลี และระงับเที่ยวบิน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเดินทางของนักท่องเที่ยว

2. ในการนี้เพื่อความไม่ประมาท สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอให้นักท่องเที่ยวชาวไทย พิจารณาหลีกเลี่ยงการเดินทางมาบาหลี ในกรณีที่ไม่มีความจำเป็น และติดตามข่าวสารจากทางการอินโดนีเซียอย่างสม่ำเสมอ

3. ในกรณีที่คนไทยได้รับผลกระทบจากเหตุภูเขาไฟ สามารถติดต่อหมายเลขฉุกเฉินของสถานกงสุลกิตติมศักดิ์ ณ เมืองเด็นปาซาร์ +62 812 3825542 และหมายเลขฉุกเฉินของสถานทูตฯ +62 811 186253 ได้ตลอด 24 ชม.

ที่มา https://www.facebook.com/rtejakarta/posts/964193507065918

 

โสมขาวเมินภัยเกาหลีเหนือ วิตกศก.ซบ-ว่างงานพุ่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 กันยายน 2560 เวลา 08:50 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/world/516388

โสมขาวเมินภัยเกาหลีเหนือ วิตกศก.ซบ-ว่างงานพุ่ง

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลีไม่มีทีท่าว่าจะจบลงโดยง่าย หลังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) เห็นพ้องคว่ำบาตรเกาหลีเหนือรอบใหม่ไปเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา และประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ เปิดเผยว่าจะจัดการเกาหลีเหนืออย่างเด็ดขาด กรณีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ระหว่างขึ้นปราศรัยในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) เป็นครั้งแรกเมื่อช่วงต้นสัปดาห์นี้

หลังการข่มขู่ของทรัมป์ เกาหลีเหนือเปิดเผยว่า จะเตรียมมาตรการตอบโต้กลับที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ ซึ่งอาจจะหมายถึงการทดลองระเบิดไฮโดรเจนในมหาสมุทรแปซิฟิก

แม้รัฐบาลเกาหลีใต้มองว่า ภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือถือเป็นมหันตภัยของประเทศ จนเดินหน้าติดตั้งระบบต่อต้านขีปนาวุธล้ำสมัย (ทาด) ที่สร้างความไม่พอใจอย่างมากให้จีน แต่สำหรับประชาชนเกาหลีใต้ทั่วไปแล้ว ปัญหาเศรษฐกิจซบเซา และการจ้างงาน มีความน่าวิตกมากกว่า

“เรามีปัญหาในชีวิตประจำวันให้กังวลมากพออยู่แล้ว โดยส่วนตัวแล้ว ผมห่วงเรื่องค่าอาหารในครอบครัวมากกว่า ที่จริงแล้ว เรื่องเกาหลีเหนือเป็นเรื่องไกลตัวมากสำหรับผม” ยูแจยอน ชาวเกาหลีใต้จากเมืองเซจอง กล่าว

ความเมินเฉยต่อภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือยังสะท้อนออกมาในผลการสำรวจล่าสุดจาก แกลลัพ โคเรีย โพล ในเดือน ก.ย. ที่พบว่า 58% ของชาวเกาหลีใต้ ไม่คิดว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นบนคาบสมุทรเกาหลี นับเป็นตัวเลขสูงสุดอันดับ 2 ตั้งแต่มีการจัดทำการสำรวจครั้งแรกเมื่อปี 1992

แกลลัพเสริมว่า สัดส่วนชาวเกาหลีใต้ที่คิดว่าจะมีสงครามเกิดขึ้นอีกครั้งปรับตัวลงอย่างต่อเนื่องจากช่วงทศวรรษปี 1990 โดยล่าสุดลดลงมาอยู่ที่ 37%

“ผู้คนบอกว่าเมื่อพูดตามหลักการแล้ว สงครามยังไม่จบ แต่คนรุ่นฉันหลายคนไม่เคยเห็นสงครามเลย เรื่องสงครามเลยเป็นเรื่องเลื่อนลอยมากสำหรับฉัน นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมฉันถึงไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อคนบอกว่าเป็นเรื่องอันตราย พวกเพื่อนๆ ฉันทุกคนกังวลเรื่องงานมากกว่า” คิมเฮจี กราฟฟิก ดีไซเนอร์ วัย 27 ปี กล่าวกับรอยเตอร์ส

เศรษฐกิจอ่อนแรง-ว่างงานอื้อ

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) เปิดเผยเมื่อต้นเดือน ก.ย. ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจเกาหลีใต้อยู่ที่ 0.6% ในไตรมาส 2 ของปี 2017 ต่ำกว่าอัตราการขยายตัวรายไตรมาสโดยเฉลี่ยของกลุ่มประเทศโออีซีดีที่ 0.7% และลดลงจากไตรมาสแรกที่ปรับตัวขึ้น 1.1%

แม้ว่าธนาคารกลางเกาหลีใต้ (บีโอเค) ระบุว่า อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจดังกล่าวไม่ได้ย่ำแย่นัก และยืนยันว่ารัฐบาลสามารถไปถึงเป้าหมายการขยายตัวที่ 3% ในปีนี้ แต่เกาหลีใต้ยังมีแนวโน้มเผชิญความเสี่ยงทางเศรษฐกิจต่างๆ เพิ่ม เช่น ทิศทางนโยบายปกป้องการค้าของสหรัฐ และการทดสอบนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือ

ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นดังกล่าวมีแนวโน้มกดดันเศรษฐกิจยิ่งขึ้นไปอีก ท่ามกลางหนี้ครัวเรือนที่สูงมาก โดยธนาคารเพื่อการชำระหนี้ระหว่างประเทศ (บีไอเอส) เปิดเผยว่า หนี้ครัวเรือนของเกาหลีใต้ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 92.8% ของขนาดเศรษฐกิจ (จีดีพี) ในปี 2016 เพิ่มขึ้นจาก 80.8% เมื่อปี 2012

ขณะที่หนี้สินเพิ่มขึ้น ชาวเกาหลีใต้กลับหางานได้ยากลำบาก โดยจำนวนคนว่างงานในประเทศเพิ่มขึ้นมาราว 5,000 คน เมื่อเทียบช่วงเดียวกันกับปีก่อนหน้านี้ ไปอยู่ที่ทั้งหมด 1.01 ล้านคน ในเดือน ส.ค.

ปัญหาการว่างงานยิ่งน่าวิกฤตในกลุ่มคนรุ่นใหม่ โดยสำนักงานสถิติเกาหลีใต้ ระบุว่า ประชากรรุ่นใหม่อายุ 15-29 ปี ว่างงานเพิ่มขึ้น 9.4% ปรับขึ้นจากปีก่อนหน้าที่ 9.3% และเป็นตัวเลขสูงสุดเป็นประวัติการณ์เมื่อเทียบรายปี

แม้ประธานาธิบดี มุนแจอิน ที่รับตำแหน่งมาไม่นานในปีนี้ ให้คำมั่นว่าจะพยายามแก้ไขปัญหาการว่างงานและรายได้ของประชาชน โดยรัฐสภาอนุมัติงบประมาณเพิ่มเติม วงเงิน 11 ล้านล้านวอน (ราว 3.2 หมื่นล้านบาท) เมื่อเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในประเทศโดยเฉพาะ รวมถึงจะเพิ่มค่าแรงขึ้นอย่างน้อย 16% แต่ขณะนี้นโยบายดังกล่าวของมุนแจอินยังคงไม่เป็นรูปเป็นร่างชัดเจน

 

พิพาทโสมแดงจบยาก ทุบตลาดทุนโลกต่อเนื่อง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 สิงหาคม 2560 เวลา 08:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/508513

พิพาทโสมแดงจบยาก ทุบตลาดทุนโลกต่อเนื่อง

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ในรอบสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นและตลาดเงินทั่วโลกต้องเจอแรงกดดันหลายระลอกจากความตึงเครียดบนคาบสมุทรเกาหลี โดยหลายฝ่ายต่างวิตกว่า การทดสอบขีปนาวุธพิสัยไกลข้ามทวีป (ไอซีบีเอ็ม) ถึง 2 ครั้งภายในเดือน ก.ค.เสี่ยงนำไปสู่การเผชิญทางการทหารมากยิ่งขึ้นในภูมิภาค โดยเฉพาะระหว่างเกาหลีเหนือและสหรัฐ

ตลาดหุ้นสหรัฐต่างปิดตลาดในแดนลบเมื่อวันที่ 10 ส.ค. โดยดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับลง 1.45% ปิดที่ 2,438.21 จุด แตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน พ.ค. ด้านดัชนีดาวโจนส์ร่วงลง 204.69 จุด และดัชนีแนสแด็ก ลดลง 2.13% โดยบรรยากาศการซื้อขายซบเซาในตลาดหุ้นสหรัฐ ส่งผลให้ดัชนีวัดค่าความผันผวนในตลาด พุ่งขึ้นแตะ 44% สูงสุดนับตั้งแต่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐวันที่ 8 พ.ย. 2016

สำหรับตลาดหุ้นเอเชียเคลื่อนไหวอ่อนแรงในการซื้อขายเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา โดยดัชนีเอ็มเอสซีไอ ตลาดหุ้นเอเชียแปซิฟิก ที่ไม่รวมญี่ปุ่น ร่วง 1.6% ปรับลงมากที่สุดในรอบวันนับตั้งแต่กลางเดือน ธ.ค.

ทั้งนี้ ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ร่วงหนักสุดในภูมิภาค โดยดัชนีคอสปิ ปรับลง 1.7% ปิดตลาดต่ำสุดนับตั้งแต่วันที่ 24 พ.ค. ด้านดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ตลาดหุ้นจีน ปรับลง 1.6% ลดลงมากที่สุดในรอบวันตั้งแต่ต้นปี 2017 เช่นเดียวกับดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดลบติดต่อกันเป็นวันที่ 3

ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปได้รับแรงกระเพื่อมจากความตึงเครียดคาบสมุทรเกาหลีด้วยเช่นกัน โดยดัชนียูโรสต็อกซ์ 600 ลดลง 0.6% ระหว่างการซื้อขายเมื่อวานนี้ ปรับลงเป็นวันที่ 3 ติดต่อกัน

ด้านตลาดค่าเงิน ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐร่วงหนักสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบค่าเงินเยน โดยปรับลง 0.2% ไปอยู่ที่ 108.96 เยน/ดอลลาร์

ขณะเดียวกัน ค่าเงินวอนและค่าเงินเปโซของฟิลิปปินส์ปรับลงอย่างหนักเมื่อวันศุกร์ โดยค่าเงินวอนอ่อนค่ามากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 12 ก.ค. อยู่ที่ 1,143.5 วอน/ดอลลาร์ ด้านค่าเงินเปโซปรับลง 0.6% ร่วงหนักสุดในรอบ 11 ปี และเคลื่อนไหวอ่อนแรงที่สุดในบรรดาค่าเงินเอเชีย

หวั่นความตึงเครียดปะทุต่อ

สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีที่มีแนวโน้มทวีความตึงเครียดขึ้นกดดันให้ประเทศต่างๆ ในเอเชียแปซิฟิก เตรียมหาทางตอบโต้เกาหลีเหนือ โดยล่าสุด นายกรัฐมนตรี มัลคอล์ม เทิร์นบูล ของออสเตรเลีย เปิดเผยว่า ออสเตรเลียจะสนับสนุนสหรัฐในการจัดการกับเกาหลีเหนือ หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ กล่าวกดดันเกาหลีเหนือหนักขึ้น ไม่ให้ยิงขีปนาวุธไปยังเกาะกวมตามที่ประกาศไว้เมื่อวันก่อนหน้านี้

ขณะเดียวกัน สหภาพยุโรป (อียู) ประกาศคว่ำบาตรบุคคล 9 ราย และหน่วยงาน 4 แห่ง ที่รวมถึงธนาคารด้านการค้าระหว่างประเทศของเกาหลีเหนือเพิ่มเติม ตามมาตรการของสหประชาชาติ กรณีเกาหลีเหนือทดสอบขีปนาวุธ

ทั้งนี้ บลูมเบิร์กรายงานอ้างนักวิเคราะห์หลายรายว่า สถานการณ์คาบสมุทรเกาหลีคาดว่าจะตึงเครียดยิ่งขึ้นช่วงวันที่ 15 ส.ค. ซึ่งเป็นวันฉลองอิสรภาพของเกาหลี และวันที่ 21 ส.ค. ที่เกาหลีใต้จะซ้อมรบร่วมกับสหรัฐ

ด้านหนังสือพิมพ์ โกลบอล ไทม์ส ซึ่งเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลจีน เปิดเผยว่า จีนควรวางตัวเป็นกลางหากเกาหลีเหนือยั่วยุสหรัฐจนนำไปสู่สงคราม อย่างไรก็ดี จีนจะเข้าไปแทรกแซงหากสหรัฐและเกาหลีใต้พยายามโจมตีและโค่นล้มอำนาจเกาหลีเหนือ

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้นหลังญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ประกาศพร้อมตอบโต้เกาหลีเหนือกลับ โดยสำนักข่าวเกียวโด รายงานว่า ญี่ปุ่นจะเริ่มการติดตั้งระบบสกัดขีปนาวุธแพทริออตบริเวณทางตะวันตกของประเทศ เพื่อยิงสกัดกรณีเกาหลีเหนือยิงขีปนาวุธมายังเกาะกวม นอกจากนี้ ญี่ปุ่นยังเริ่มการซ้อมรบ 18 วัน ร่วมกับสหรัฐ ซึ่งจะดำเนินไปถึงวันที่ 28 ส.ค.

ทะเลจีนใต้เดือดไม่จบ

สถานการณ์ในทะเลจีนใต้กลับมาตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง หลังสหรัฐส่งเรือพิฆาต ยูเอสเอส จอห์น แมคเคน เข้าไปใกล้หมู่เกาะสแปรตลีย์ ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทในทะเลจีนใต้และจีนเข้าไปสร้างสิ่งก่อสร้างทางการทหารบนเกาะดังกล่าว โดยอ้างว่าการส่งเรือดังกล่าวแสดงถึงเสรีภาพในการปฏิบัติการสำรวจทางทะเล

ทั้งนี้ การกระทำดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 แล้ว นับตั้งแต่ทรัมป์ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดี และเกิดขึ้นขณะที่สหรัฐพยายามกดดันให้จีนร่วมมือจัดการกับเกาหลีเหนือ

ด้านกระทรวงต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์แสดงความไม่พอใจต่อการกระทำของสหรัฐ โดยระบุว่า เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายนานาชาติ อีกทั้งบั่นทอนความมั่นคงและอำนาจอธิปไตยของจีน

 

สหรัฐ-รัสเซียตึงเครียด โต้คว่ำบาตรไล่ทูตออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 กรกฎาคม 2560 เวลา 08:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/505892

สหรัฐ-รัสเซียตึงเครียด โต้คว่ำบาตรไล่ทูตออก

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

วุฒิสภาสหรัฐลงมติรับรองกฎหมายคว่ำบาตรรัสเซีย อิหร่าน และเกาหลีเหนือ อย่างถล่มทลายด้วยคะแนนเสียง 98-2 เสียง ห่างเพียง 2 วัน หลังสภาผู้แทนราษฎรที่ลงมติเกือบเอกฉันท์ที่ 419-3 เสียง และส่งต่อไปให้ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามรับรองโดยไม่สามารถใช้สิทธิวีโต้ได้ เนื่องจากเป็นการรับรองจากทั้งสองสภาด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 2 ใน 3 เสียง

รัสเซียออกมาตอบโต้การคว่ำบาตรครั้งใหม่ดังกล่าว ซึ่งสหรัฐตั้งใจจัดการกรณีที่รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี 2016 โดยกระทรวงต่างประเทศรัสเซียประกาศให้สหรัฐลดจำนวนเจ้าหน้าที่การทูตที่อยู่ภายในรัสเซียลง และได้เข้ายึดอสังหาริมทรัพย์ของเจ้าหน้าที่การทูตสหรัฐเพื่อเป็นการตอบโต้การคว่ำบาตร

“การผ่านกฎหมายคว่ำบาตรใหม่แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซียกลายเป็นตัวประกันเพื่อการแย่งชิงอำนาจการเมืองภายในของสหรัฐ” กระทรวงต่างประเทศรัสเซีย แถลง

การผ่านกฎหมายดังกล่าวขัดกับนโยบายสานสัมพันธ์กับรัสเซียของทรัมป์ และยังเกิดขึ้นท่ามกลางข่าวอื้อฉาวว่ารัสเซียช่วยให้ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยการคว่ำบาตรครอบคลุมภาคส่วนพลังงาน ธนาคาร และการผลิตอาวุธ รวมถึงบุคคลต้องสงสัยแฮ็กการเลือกตั้งสหรัฐด้วย ซึ่งสหรัฐเคยขับไล่เจ้าหน้าที่การทูตรัสเซีย 35 คน ออกจากสหรัฐ เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา

นโยบายโดนขวางหนัก

นโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์ของสหรัฐเผชิญกับปัญหาอีกครั้ง เมื่อวุฒิสมาชิกสหรัฐโหวตไม่รับรองกฎหมายยกเลิกบางส่วนของประกันสุขภาพสมัยอดีตประธานาธิบดี บารัก โอบามา หรือโอบามาแคร์ ด้วยคะแนนเสียงฉิวเฉียดที่ 51-49 เสียง โดยมีสมาชิกพรรครีพับลิกัน 3 คน โหวตไม่รับรองการยกเลิกกฎหมายดังกล่าว

สำนักข่าวเอเอฟพี รายงานว่า ความล้มเหลวดังกล่าวกลายเป็นเครื่องหมายแสดงความถดถอยของความเป็นผู้นำรีพับลิกันและของทรัมป์ ซึ่งชูนโยบายยกเลิกโอบามาแคร์ในการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา

“รีพับลิกัน 3 คน และเดโมแครต 48 คน ทำให้ชาวอเมริกันต้องผิดหวัง อย่างที่ผมได้พูดไว้ตั้งแต่ต้น ต้องให้โอบามาแคร์ล้มเหลวไปก่อน แล้วค่อยหาทางรับมือทีหลัง” ทรัมป์ เปิดเผยผ่านทวิตเตอร์

ก่อนหน้านี้ สำนักงานงบประมาณแห่งสภาคองเกรสสหรัฐ คาดการณ์ว่า ชาวอเมริกันมากกว่า 32 ล้านคน จะไม่มีประกันสุขภาพภายในปี 2026 หากสหรัฐยกเลิกโอบามาแคร์โดยไม่มีกฎหมายประกันสุขภาพใหม่มารองรับ

พรรครีพับลิกันพยายามยกเลิกโอบามาแคร์มาแล้วหลายครั้ง โดยวันที่ 26 ก.ค.ที่ผ่านมา วุฒิสภาไม่ผ่านการยกเลิกกฎหมายโอบามาแคร์อย่างเต็มรูปแบบด้วยคะแนนเสียง 55-45 เสียง หลังรองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ต้องโหวตเพื่อปลดล็อกคะแนนเสมอที่ 50-50 เสียง เพื่อให้มีการนำประเด็นประกันสุขภาพขึ้นมาโต้เถียงกันวุฒิสภาอีกครั้งตามความต้องการของทรัมป์

“กำแพง” เตรียมเจอขวางอีก

สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐลงมติ 235-192 เสียง อนุมัติงบประมาณให้กับกระทรวงกลาโหม 6.58 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 22 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้นจากงบประมาณปีก่อน 6.8 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 2.2 ล้านล้านบาท) โดยงบประมาณดังกล่าวครอบคลุมถึงงบประมาณในการสร้างกำแพงแนวชายแดนเม็กซิโก-สหรัฐ ตามนโยบายของทรัมป์ วงเงิน 1,600 ล้านดอลลาร์ (ราว 5.3 หมื่นล้านบาท)

วุฒิสภาจะพิจารณาลงมติงบประมาณกลาโหมดังกล่าวต่อไป โดยพรรคเดโมแครตเคยประกาศว่า จะไม่เห็นด้วยกับงบประมาณใดๆ สำหรับการสร้างกำแพง ส่วนวุฒิสมาชิกรีพับลิกันอย่างน้อย 11 คน ไม่เห็นด้วยกับการสร้างกำแพง ขณะที่รัฐสภาสหรัฐต้องผ่านงบประมาณให้ได้ก่อนวันที่ 1 ต.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณใหม่

 

ค่าเงินเอเชียพุ่งทะยาน รับ‘เฟด’ผ่อนท่าที

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 กรกฎาคม 2560 เวลา 07:43 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/505693

ค่าเงินเอเชียพุ่งทะยาน รับ‘เฟด’ผ่อนท่าที

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

รอยเตอร์สรายงานว่า ค่าเงินของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกในเอเชียหลายแห่งปรับตัวแข็งค่าขึ้นพร้อมกันเมื่อวันที่ 27 ก.ค. นำโดยค่าเงินวอน เกาหลีใต้ที่แข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบ 8 เดือน อยู่ที่ 1,112.8 วอน/ดอลลาร์สหรัฐ หรือสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 10 ต.ค. 2016 ภายหลังที่ประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณกังวลเรื่องอัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ทำให้ตลาดคาดการณ์ว่าเฟดจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ และฉุดให้ดัชนีค่าเงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่ำสุดในรอบ 13 เดือน เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก

รายงานอ้างบรรดานักค้าค่าเงินในกรุงโซลว่าเป็นที่เชื่อว่าทางการเกาหลีใต้จะเข้าแทรกแซงอย่างเงียบๆ โดยนำเงินวอนออกมาซื้อดอลลาร์ เพื่อชะลอภาวะค่าเงินแข็งค่าขึ้นก่อนปิดตลาดวานนี้

ด้านค่าเงินหยวนของจีนยังคงปรับตัวแข็งค่าขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 9 เดือน หลังจากธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ปรับขึ้นค่ากลางเงินหยวนไปอยู่ที่ 6.7307 หยวน/ดอลลาร์ หรือปรับขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ต.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่าขึ้นไปแตะ 110 เยน/ดอลลาร์ ระหว่างการซื้อขาย ก่อนจะอ่อนลงเล็กน้อยมาปิดที่ระดับ 118.83-85 เยน/ดอลลาร์ วานนี้

“เราคิดว่าถ้อยแถลงของเฟดค่อนข้างมีความชัดเจน โดยส่งสัญญาณเชื่อมั่นต่อการฟื้นตัวในตลาดแรงงานมากขึ้น และแสดงความกังวลที่อาจพลาดเป้าเงินเฟ้อมากขึ้นด้วยเช่นกัน เราเชื่อว่าดอลลาร์จะปรับฐานลงอีก บนสมมติฐานที่ว่าธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) จะทยอยปรับนโยบายการเงินให้ตึงตัวขึ้นไปจนถึงปลายปีนี้” วิษณุ วรธาน นักเศรษฐศาสตร์อาวุโสจากธนาคารมิซูโฮ กล่าว

เฟดส่งซิกไม่รีบร้อนขันนอต

ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) มีมติหลังการประชุมเมื่อวันที่ 25-26 ก.ค. โดยคงอัตราดอกเบี้ยเท่าเดิมที่ 1-1.25% และยังคงสัญญาณเดิมเหมือนในการประชุมเดือน มิ.ย. ว่าจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ได้ส่งสัญญาณใหม่ว่าอาจจะเริ่มการลดขนาดงบดุลขนาดเกือบ 4.5 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 150 ล้านล้านบาท) ในเร็วๆ นี้ ซึ่งนักวิเคราะห์หลายฝ่ายคาดการณ์ว่าอาจจะเริ่มในเดือน ก.ย.นี้

“คณะกรรมการคาดว่าจะเริ่มดำเนินการปรับงบดุลให้เข้าสู่ภาวะปกติได้ในเร็วๆ นี้ เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมฟื้นตัวตามที่คาดไว้ ความเสี่ยงระยะสั้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจดูจะบรรเทาลงมาแล้ว การใช้จ่ายของภาคครัวเรือนและการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรของภาคธุรกิจก็ยังคงขยายตัวขึ้น และคณะกรรมการกำลังจับตาการเคลื่อนไหวของอัตราเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด” เอฟโอเอ็มซี ระบุ

ก่อนหน้านี้ในการประชุมเมื่อเดือน มิ.ย. เอฟโอเอ็มซีระบุเพียงว่า การลดขนาดงบดุลจะเริ่มขึ้นในปีนี้ โดยธนาคารจะไม่ต่ออายุพันธบัตรรัฐบาลที่ครบกำหนดการไถ่ถอน กำหนดวงเงินเดือนละ 6,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 2.1 แสนล้านบาท) ในช่วงแรกก่อนลดเพิ่มอย่างค่อยเป็นค่อยไปจนกว่าจะถึงเดือนละ 3 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1 ล้านล้านบาท) และจะลดการถือครองหลักทรัพย์ที่อิงกับสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (เอ็มบีเอส) โดยเริ่มเดือนละ 4,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 1.4 แสนล้านบาท) และเพิ่มการลดจนถึงเดือนละ 2 หมื่นดอลลาร์ (ราว 7 แสนล้านบาท)

หุ้นเอเชียทุบสถิติเกือบ 10 ปี

การส่งสัญญาณที่ชัดเจนขึ้นกว่าเดิมว่าเฟดกังวัลต่อการขยายตัวของเงินเฟ้อที่ชะลอตัวลง ซึ่งทำให้คาดว่าจะไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยก่อนช่วงปลายปีนี้ ยังทำให้ตลาดหุ้นเอเชียขยายตัวร้อนแรงที่สุดในรอบเกือบ 10 ปี โดยดัชนีเอ็มเอสซีไอ เอเชีย แปซิฟิก ปรับตัวขึ้น 1% ระหว่างการซื้อขายวานนี้ไปอยู่ที่ 160.81 จุด หรือสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2007 โดยยังได้ปัจจัยหนุนจากการรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนในช่วงไตรมาส 2 ด้วย

ด้านดัชนีฮั่งเส็งตลาดฮ่องกงบวก 0.76% ปิดที่ 27,131.17 จุด ขณะที่ดัชนีนิกเกอิ 225 บวกเล็กน้อย 0.15% ปิดที่ 20,079.64 จุด และดัชนีคอมโพสิต ตลาดหุ้นโซลบวก 0.36% ปิดที่ 2,443.24 จุด

“ตลาดน่าจะยังคงขยายตัวได้ต่อเนื่องจนถึงไตรมาส 4 ตราบเท่าที่อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐยังโตช้าอยู่” เนลสัน หยาน กรรมการผู้จัดการบริษัทหลักทรัพย์ซีซีบี ซีเคียวริตีส์ ในฮ่องกง กล่าว

 

จีนลุยดันนวัตกรรม หวังสลัดภาพนักก๊อบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 กรกฎาคม 2560 เวลา 08:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/504619

จีนลุยดันนวัตกรรม หวังสลัดภาพนักก๊อบ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ภาพลักษณ์แบบเก่าๆ ของจีนที่ทั่วโลกคุ้นเคยกันดีกำลังจะเปลี่ยนไป จากเดิมที่เป็น “นักลอกเลียนแบบ” ไปสู่ “นักสร้างสรรค์นวัตกรรม” หลังในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จีนประสบความสำเร็จอย่างมากในการผลักดันเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบการรับชำระเงินออนไลน์ การผลิตโดรนและปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) โดยตัวอย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด คือการที่เอกชนรายใหญ่ในประเทศ เช่น อาลีบาบา เทนเซนต์ และไป่ตู้ ต่างก้าวขึ้นเป็นบริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีระดับโลก ขณะที่สตาร์ทอัพไอทีแดนมังกรกำลังเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ

“จีนกำลังเปลี่ยนจากชาตินักลอกเลียนแบบไปสู่ชาติผู้สร้างนวัตกรรม” จิง อูลริช กรรมการบริษัทและรองประธานฝ่ายเอเชียแปซิฟิกของธนาคารเจพี มอร์แกน เชส กล่าว พร้อมเสริมว่า ในขณะนี้บริษัทจีนกำลังพยายามก้าวขึ้นเป็นผู้นำในด้านเทคโนโลยีการรับชำระเงินเคลื่อนที่ ระบบการเงินผ่านอินเทอร์เน็ต การผลิตโดรน เอไอ รวมไปถึงผู้ให้บริการโซเชียลมีเดีย

ทั้งนี้ ความสำเร็จด้านไอทีส่วนหนึ่งของเอกชนจีนมาจากความพยายามผลักดันการสร้างนวัตกรรมและการเป็นเจ้าของกิจการของรัฐบาล ซึ่งสะท้อนออกมาจากการเปิดเผยแผน “เมดอินไชน่า 2025” เพื่อมุ่งนำนวัตกรรมมายกเครื่องภาคการผลิตและขับเคลื่อนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยแผนการดังกล่าวเปิดเผยเมื่อปี 2015 และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง จนนายกรัฐมนตรี หลี่เค่อเฉียง ของจีน เปิดเผยระหว่างการกล่าวปราศรัยที่เมืองต้าเหลียนเมื่อเดือน มิ.ย. ว่า ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ชาวจีนยื่นจดทะเบียนบริษัทกว่า 1.5 หมื่นรายทุกปี และจากจำนวนดังกล่าว ธุรกิจราว 70% ยังคงดำเนินกิจการอยู่ในขณะนี้

ไม่เพียงแค่จำนวนธุรกิจจะเพิ่มขึ้นเท่านั้น มูลค่าของสตาร์ทอัพจีนเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน โดยบริษัทวิจัยตลาด ซีบี อินไซต์ส เปิดเผยว่า บริษัทจีนมากกว่า 50 แห่ง มีมูลค่าตลาดสูงกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.3 หมื่นล้านบาท) ซึ่ง ตีตี้ ชูซิ่ง ธุรกิจไรด์-แชริ่ง ของจีน มีความโดดเด่นอย่างมากจนกลายเป็นสตาร์ทอัพยูนิคอร์น โดยมีมูลค่าตลาดแล้วถึง 5 หมื่นล้านดอลลาร์ (ราว 1.67 ล้านล้านบาท) ตามหลังแค่ อูเบอร์ ผู้ให้บริการไรด์-แชริ่งจากสหรัฐในรายชื่อสตาร์ทอัพยูนิคอร์นทั่วโลก

นอกเหนือจากการสนับสนุนของรัฐบาลแล้ว ผู้บริโภคจีนโดยเฉพาะชนชั้นกลางที่กำลังขยายตัวมากขึ้นเรื่อยๆ ยังเป็นส่วนสำคัญที่ผลักดันให้ภาคเอกชนต้องผลิตนวัตกรรมและบริการใหม่ๆ ขึ้นมา เพื่อตอบสนองความต้องการในด้านต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น

ความท้าทายเอกชนจีน

แม้บริษัทจีนประสบความสำเร็จอย่างมากในตลาดภายในประเทศ แต่การช่วงชิงตลาดต่างประเทศ และแข่งขันกับบริษัทต่างชาติอื่นๆ โดยเฉพาะจากสหรัฐ เช่น อเมซอน และเฟซบุ๊ก ยังคงเป็นเรื่องยากอยู่ เนื่องจากเอกชนดังกล่าวเป็นบริษัทข้ามชาติขนาดใหญ่ที่ทำธุรกิจในหลายประเทศ และมีฐานลูกค้าทั่วโลกที่แข็งแกร่ง

เบสซี ลี ผู้ก่อตั้งและประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของวิธอินลิงก์ บริษัทให้การสนับสนุนสตาร์ทอัพจีน กล่าวว่า ธุรกิจไอทีจีนจะต้องเริ่มต้นใหม่จากรากฐานเมื่อตัดสินใจทำกิจการในตลาดสหรัฐและยุโรป เนื่องจากในต่างประเทศไม่มีปัจจัยเกื้อหนุนธุรกิจเหมือนในจีน โดยลีได้ยก เทนเซนต์ ขึ้นเป็นกรณีศึกษา

“เทนเซนต์เป็นบริษัทที่ทรงอิทธิพลอย่างมากในจีน หลายฝ่ายต่างยินดีและพร้อมทำธุรกิจด้วยเพราะต้องการพึ่งสถานะในประเทศอันแข็งแกร่ง แต่การประสบความสำเร็จในต่างประเทศไม่ได้เป็นเช่นนั้นและอาจแตกต่างจากในจีนอย่างมาก” ลี กล่าว

ชูแผน “เอไอ 2030”

ท่ามกลางความท้าทายของเอกชนจีนในการขยายธุรกิจสู่ต่างแดน รัฐบาลจีนประกาศแผนการผลักดันให้เอไอเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และให้จีนขึ้นเป็นผู้นำในด้านดังกล่าวภายในปี 2030 โดยแผนดังกล่าวประกอบด้วย 3 ขั้นตอน คือ 1.พัฒนาเทคโนโลยีเอไอและนำเอไอไปประยุกต์ใช้งานทั่วไปภายในปี 2020 ตามด้วย 2.สร้างการค้นคว้าด้านเอไอใหม่ๆ ภายในปี 2025 และ 3.ขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีเอไอระดับโลกภายในปี 2030

ทั้งนี้ จีนคาดการณ์ว่า เอไอจะช่วยสร้างผลผลิตทางเศรษฐกิจ คิดเป็น 4 แสนล้านหยวน (ราว 1.97 ล้านล้านบาท) ต่อปี ภายในปี 2025 ทำให้รัฐบาลจีนหวังนำเอไอมาชุบชีวิตภาคอุตสาหกรรมดั้งเดิมและรัฐวิสาหกิจ โดยตั้งเป้าให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจกว่า 26% มาจากอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับเอไอภายในปี 2030 ซึ่งรัฐบาลจะทุ่มงบสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเอไอโดยเฉพาะ เช่น ในด้านการผลิตซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ชิปเซมิคอนดักเตอร์ประสิทธิภาพเยี่ยม ซอฟต์แวร์ขั้นสูง รวมถึงเทคโนโลยี เออาร์และวีอาร์

“ปัญญาประดิษฐ์กลายเป็นจุดโฟกัสใหม่ในการแข่งขันระดับนานาชาติ จีนจึงต้องเริ่มสร้างฐานอันมั่นคงไปสู่การพัฒนาเอไอขั้นต่อไป เพื่อสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันเพิ่ม เปิดโอกาสการพัฒนาอุตสาหกรรมอื่นๆ และยกระดับการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติ” แถลงการณ์รัฐบาลจีน ระบุ

ภาพ https://www.efe.com

ห้างจีนใกล้สิ้นลม แกร่งไม่พอสู้ออนไลน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 กรกฎาคม 2560 เวลา 08:48 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/503377

ห้างจีนใกล้สิ้นลม แกร่งไม่พอสู้ออนไลน์

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

บรรดาห้างสรรพสินค้าจีนกำลังเจอทางตันในการหาหนทางเพิ่มรายได้ หลังผู้บริโภคจีนหันไปซื้อสินค้าออนไลน์มากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้ค้าปลีกรายย่อยลดการเช่าพื้นที่จำหน่ายสินค้าในห้างลง แล้วเปลี่ยนไปวางขายสินค้าบนแพลตฟอร์มออนไลน์แทน

แม้ขณะนี้ยอดค้าปลีกของจีนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง โดยอยู่ที่ 10.7% เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา ไม่เปลี่ยนแปลงจากเมื่อเดือนก่อนหน้านี้ และสูงกว่าคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่ 10.6% แต่ยอดขายของบรรดาห้างใหญ่กลับยังคงน้อยกว่าอยู่ที่เพียง 10.7% เมื่อเทียบกับยอดค้าปลีกออนไลน์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องถึง 26.5% หลังปรับขึ้น 25.9% เมื่อเดือนก่อนหน้า

สถานการณ์ดังกล่าวหมายความว่าห้างสรรพสินค้ารายใหญ่ในจีนกำลังสูญเสียความสามารถในการแข่งขันกับบรรดาค้าปลีกออนไลน์ โดยเฉพาะกับอาลีบาบาและเจดีดอทคอม ยักษ์อี-คอมเมิร์ซจีน โดยหนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่า มอนิ่ง โพสต์ รายงานว่า ภาคส่วนอี-คอมเมิร์ซจีนมีขนาดใหญ่ที่สุดเมื่อเทียบกับภาคส่วนดังกล่าวของประเทศอื่นๆ ทั่วโลก

ทั้งนี้ แมคคินซีย์ แอนด์ คอมปานีบริษัทที่ปรึกษารายใหญ่ เปิดเผยรายงานเดือน มิ.ย.ว่า ภาคส่วนอี-คอมเมิร์ซจีน คาดว่าจะขยายตัวแตะ 8.12 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 27 ล้านล้านบาท) ในปี 2017 คิดเป็นสัดส่วน 17% ของยอดค้าปลีกทั้งหมดทั่วประเทศ

ด้าน ลิลเลียน หลี นักวิเคราะห์จากมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส กล่าวว่า ธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ได้รับแรงหนุนจากการเติบโตต่อเนื่องของบริการรับชำระเงินออนไลน์ โดยสัดส่วนการชำระเงินออนไลน์ของผู้บริโภคจีนอยู่ที่ 8.2 แสนล้านดอลลาร์ (ราว 27.7 ล้านล้านบาท) ในไตรมาสแรกปีนี้ ขณะที่เมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา ยอดการรับชำระเงินออนไลน์ของผู้ให้บริการดังกล่าวรายใหญ่ที่สุดในจีน อย่างอาลีเพย์ของอาลีบาบา และวีแชตของเทนเซนต์ อยู่ที่ 2.9 ล้านล้านดอลลาร์ (ราว 98 ล้านล้านบาท) เพิ่มขึ้น 20 เท่า ในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา

ทิศทางดังกล่าวจึงทำให้ ปีเตอร์ลี รองประธาน เฮนเดอร์สัน แลนด์ดีเวลลอปเมนต์ บริษัทพัฒนาอสังหา ริมทรัพย์รายใหญ่ในฮ่องกง มองว่าห้างสรรพสินค้าจีนจะได้รับแรงกดดันมากยิ่งขึ้นในอนาคต

“ขณะนี้ผู้บริโภคไปซื้อสินค้าที่ห้างน้อยลงมาก โดยเฉพาะในเขตพื้นที่ห่างจากใจกลางเมือง ผมเลยคิดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้านี้ รายได้ของห้างรายใหญ่จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง และห้างเองก็ไม่สามารถขึ้นค่าเช่าพื้นที่เพื่อสร้างรายได้เพิ่ม เพราะผู้ค้าปลีกรายย่อยน่าจะหันไปลงโฆษณาขายของบนแพลตฟอร์มบริษัทไอที เช่น ไป่ตู้ อาลีบาบา และเทนเซนต์” ลี กล่าว

ลี เสริมว่า สำหรับห้างที่เน้นให้เช่าพื้นที่สำนักงาน หรือพื้นที่จัดประชุม คาดว่าจะได้รับผลกระทบเช่นกัน เนื่องจากความก้าวหน้าของเทคโนโลยี เช่น เทคโนโลยีโฮโลกราฟฟิกที่สามารถแสดงภาพ 3 มิติเสมือนจริง ซึ่งอาจทำให้การมีสำนักงานไม่จำเป็นอีกต่อไป

“ถ้าเทคโนโลยีดังกล่าวมีการใช้งานอย่างแพร่หลายยิ่งขึ้นในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ผู้คนสามารถประชุมผ่านทางไกลได้ โดยไม่ต้องมาที่สำนักงานอีก” ลี ระบุ

แสงสว่างปลายอุโมงค์

แม้อนาคตของห้างสรรพสินค้าจีนดูไม่สดใสนัก แต่โอกาสการพลิกฟื้นศักยภาพการแข่งขันเพื่อดึงดูดลูกค้ายังคงมีอยู่

โมรีน เฟิง ผู้อำนวยการบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ซันฮุงไค พรอพเพอตี้ส์ ที่บริหารงานห้างสรรพสินค้าในจีนและฮ่องกง เปิดเผยว่า ห้างค้าปลีกสามารถใช้ความได้เปรียบด้านสภาพแวดล้อมมาสร้างจุดแข่งขัน

“คนรุ่นใหม่ชื่นชอบห้างที่ออกแบบมาทันสมัยและมีสไตล์เมื่อไปซื้อสินค้า ขณะที่ห้างเองยังสามารถนำระบบการชำระเงินออนไลน์มาประยุกต์ใช้ได้ด้วย เช่น การทำระบบจ่ายเงิน มอบสิทธิพิเศษ หรือซื้อตั๋วหนังผ่านสมาร์ทโฟน” เฟิง กล่าวพร้อมเสริมว่า การดำเนินการดังกล่าวยังช่วยห้างรวบรวมข้อมูลต่างๆ ของลูกค้า เช่น ประเภทสินค้าที่ลูกค้าแต่ละช่วงอายุชื่นชอบ อีกทั้งยังเพิ่มความสะดวกในการจับจ่ายใช้สอยให้ผู้บริโภค

นอกจากเพิ่มความสะดวกในการจ่ายเงินแล้ว ห้างยังสามารถเอาเทคโนโลยีอื่นๆ เช่น เทคโนโลยีโลกเสมือน(เออาร์) มาผสมผสานกับพื้นที่ในห้างเพื่อจัดกิจกรรมกระตุ้นยอดขาย โดย ซันฮุงไค กล่าวว่า จะใช้เออาร์มาช่วยสร้างสนามบาสเกตบอลดิจิทัล หรือสร้างฉากจำลองเสมือนจริงจากภาพยนตร์ชื่อดังภายในห้าง เพื่อหวังดึงดูดกลุ่มลูกค้ารุ่นใหม่ที่ชอบความตื่นตาตื่นใจในการช็อปปิ้ง

การนำเทคโนโลยีมาปรับใช้จึงเป็นหนทางหนึ่งในการเพิ่มการแข่งขัน ซึ่งเฟิงเปิดเผยว่า ห้างหลายแห่งที่บริษัทดูแลอยู่ และเริ่มดำเนินการดังกล่าวแล้วยังคงมียอดขายเติบโตต่อเนื่อง อีกทั้งได้รับผลกระทบจากอี-คอมเมิร์ซไม่มากนัก เนื่องจากสามารถดึงดูดลูกค้าระดับไฮเอนด์ได้

 

แบงก์ชาติลุยเงินดิจิทัล หวังพลิกโฉมระบบใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 กรกฎาคม 2560 เวลา 08:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/500807

แบงก์ชาติลุยเงินดิจิทัล หวังพลิกโฉมระบบใหม่

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

แม้ปัจจุบันจะยังไม่มีประเทศใดที่ออก “สกุลเงินดิจิทัล” (Cryptocurrency) ของตนเองมาใช้อย่างเป็นทางการ และการยอมรับเงินดิจิทัลชื่อดังอย่างบิตคอยน์ ก็ยังอยู่ในแวดวงที่จำกัดมาก ทว่า การทำธุรกรรมทางการเงินที่เปลี่ยนไปสู่รูปแบบอิเล็กทรอนิกส์มากขึ้น ทำให้บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มสำรวจความเป็นไปได้ในการนำสกุลเงินดิจิทัลมาใช้งานจริง

ล่าสุดนั้น มีรายงานว่าธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) กำลังพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลตัวต้นแบบขึ้นอย่างลับๆ และจะทดลองใช้ระบบทำธุรกรรมสกุลเงินดิจิทัลดังกล่าวกับธนาคารพาณิชย์บางแห่งในประเทศ ทำให้มีความเป็นไปได้ว่าจีนอาจลองใช้สกุลเงินดังกล่าวควบคู่ไปกับสกุลเงินหยวนในอนาคต แม้ว่าในเบื้องต้นจะมีรายงานขัดแย้งกันว่าจีนปฏิเสธเรื่องดังกล่าวอยู่ก็ตาม

เว็บไซต์ข่าวเอ็มไอที เทคโนโลยี รีวิว ของสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (เอ็มไอที) ระบุว่า สกุลเงินดิจิทัลซึ่งได้รับการสนับสนุนจากธนาคารกลาง และสามารถนำไปใช้ชำระหนี้ได้ตามกฎหมาย จะช่วยลดต้นทุนการทำธุรกรรมทางการเงินในจีน ส่งผลให้สามารถขยายบริการทางการเงินได้ครอบคลุมทั่วประเทศยิ่งขึ้น ขณะที่ชาวจีนจำนวนมากไม่อาจเข้าถึงบริการทางการเงินแบบดั้งเดิมจากธนาคารได้

ขณะเดียวกัน สกุลเงินดิจิทัลคาดว่าจะช่วยให้รัฐบาลจีนเข้าไปควบคุมการทำธุรกรรมออนไลน์ได้ง่ายขึ้น เช่น การปรับให้สามารถติดตามการทำธุรกรรมออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์ ซึ่งจะช่วยลดปัญหาการฉ้อโกง ฟอกเงิน หรือการคอร์รัปชั่น ที่รัฐบาลพยายามปราบปรามอยู่ในขณะนี้

รายงานระบุว่า ปัจจุบัน ชาวจีนหันไปใช้ระบบการชำระเงินออนไลน์สำหรับสินค้าและบริการเกือบทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการซื้อเครื่องดื่ม โดยจ่ายเงินผ่านการสแกนคิวอาร์ โค้ด บนสมาร์ทโฟน ไปจนถึงการให้เงินอั่งเปาช่วงเทศกาลตรุษจีนผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล พฤติกรรมดังกล่าวของประชาชนทำให้รัฐบาลต้องเร่งเข้าไปหาทางดูแล

“ยิ่งได้รู้แนวทางการปล่อยกู้ของแบงก์ รวมถึงที่มาและปลายทางของเงินมากเท่าไร รัฐบาลก็ยิ่งมีหนทางควบคุมการฟอกเงินและปรับให้นโยบายการเงินมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น”

ต้วน ซินซิง รองประธานบริษัท โอเค คอยน์ หนึ่งในผู้ให้บริการซื้อขายบิตคอยน์รายใหญ่ที่สุดของจีน กล่าว พร้อมเสริมว่า การออกสกุลเงินดิจิทัลจะทำให้พีบีโอซีเฝ้าระวังความเสี่ยงทางการเงินได้ง่ายขึ้น

โลกกรุยทางสู่ยุคดิจิทัล

จีนไม่ใช่ประเทศเดียวที่พยายามหันไปสู่ระบบการเงินแบบดิจิทัล โดยเมื่อปลายปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดีย ยกเลิกการใช้ธนบัตรสำหรับชำระหนี้ตามกฎหมายถึง 86% ของจำนวนทั้งหมดเพื่อกวาดล้างการคอร์รัปชั่นและผลักดันประเทศสู่การชำระเงินบนดิจิทัลแพลตฟอร์มให้มากขึ้น

บลูมเบิร์กระบุว่า การผลิตเงินกระดาษและต่อสู้กับบรรดาผู้ผลิตเงินปลอมนั้นมีต้นทุนสูงมากสำหรับอินเดีย โดยเฉพาะต้นทุนการกำกับดูแลการทำธุรกรรมเงินกระดาษ ขณะที่การเพิ่มสกุลเงินดิจิทัลเข้าไปในระบบการเงินนั้น สามารถย่นระยะเวลา เพิ่มความสะดวก และสร้างความโปร่งใสให้การทำธุรกรรมการเงินได้

นอกจากนี้ บลูมเบิร์กรายงานว่า ธนาคารกลางแคนาดา เยอรมนี และสิงคโปร์ กำลังเร่งศึกษาเรื่องสกุลเงินดิจิทัลเช่นเดียวกับจีน ขณะที่มีรายงานว่า ธนาคารกลางเวียดนามกำลังสำรวจความเป็นไปได้ในการเอาบิตคอยน์ สกุลเงินดิจิทัลที่มีการซื้อขายอย่างแพร่หลายมากที่่สุดในขณะนี้มาใช้งานจริง

ก่อนหน้านี้เมื่อปี 2016 ประเทศแถบสแกนดิเนเวียอย่างเดนมาร์กและสวีเดน เปิดเผยว่า กำลังพิจารณาพัฒนาสกุลเงินดิจิทัล โดยธนาคารกลางเดนมาร์กระบุว่า กำลังหาทางผลิตเงิน อี-โครน (E-krone) เพื่อเอามาใช้แทนเงินกระดาษ ในการช่วยควบคุมและป้องกันอาชญากรรมทางเงินไปอย่างง่ายดายยิ่งขึ้น และกำลังพิจารณาว่าจะพัฒนาสกุลเงินดิจิทัลเป็นแบบต้องระบุตัวตนผู้ใช้ได้หรือไม่ เช่น การใส่เลขซีเรียล นัมเบอร์ เพื่อให้สามารถจับตาการทำธุกรรมการเงินได้ตลอดเวลา

ในเวลาไล่เลี่ยกัน ธนาคารกลางสวีเดนเปิดเผยว่าอยู่ระหว่างการพิจารณาออกสกุลเงินดิจิทัล หลังการใช้เงินสดในประเทศปรับตัวลงถึง 40% นับตั้งแต่ปี 2009 แต่ยังไม่ตัดสินใจว่าจะนำเทคโนโลยีใดมาใช้ควบคุมการทำธุรกรรมดิจิทัล

ความเสี่ยงยังสูง

ฝ่ายสนับสนุนสกุลเงินดิจิทัลมักยกข้อดีด้านหนึ่งขึ้นมาเสมอ คือ สกุลเงินเสมือนจริงจะช่วยลดการผูกขาดของภาคธนาคาร ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางและหักค่าหัวคิวในระบบอยู่ทุกวันนี้ อย่างไรก็ตาม การบั่นทอนบทบาทของแบงก์พาณิชย์ก็ถือเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเช่นเดียวกันด้วย โดยเฉพาะในแง่ของการติดตามเส้นทางการเงิน

เพราะแม้ว่าการออกสกุลเงินดิจิทัลจะช่วยให้บรรดาธนาคารกลางควบคุมดูแลความเสี่ยงทางการเงินออนไลน์ได้ดีขึ้น แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า สกุลเงินดิจิทัลอย่างบิตคอยน์ กำลังกลายเป็นช่องทางระดมเงินของอาชญากรไซเบอร์ เช่น กรณีแฮ็กเกอร์ปล่อยมัลแวร์เรียกค่าไถ่ วอนนาคราย เมื่อเดือน พ.ค. และเพตยา ช่วงสัปดาห์นี้ ข่มขู่ให้ผู้ใช้จ่ายค่าปลดล็อกคอมพิวเตอร์ผ่านบิตคอยน์ เนื่องจากระบบบล็อกเชนที่ใช้ซื้อขายบิตคอยน์นั้น ไม่มีตัวกลางการทำธุรกรรม ทำให้แฮ็กเกอร์สามารถหลบเลี่ยงการตรวจสอบจากรัฐบาลได้

อย่างไรก็ดี รายงานระบุว่า จีนได้หาทางออกแบบระบบสกุลเงินดิจิทัลเพื่ออุดช่องโหว่ดังกล่าวไว้เช่นกัน โดย เหยาเฉียน รองผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของพีบีโอซี ระบุในเอกสารตีพิมพ์ในวารสารวิชาการซิงหวา ไฟแนนเชียล รีวิว ว่า จีนจะผสมผสานสกุลเงินดิจิทัลเข้ากับระบบของธนาคารพาณิชย์ที่มีอยู่ในขณะนี้ เพื่อคงบทบาทให้ธนาคารพาณิชย์กลายเป็นตัวกลางให้บริการกระเป๋าเงินดิจิทัล