ไอเอ็มเอฟเตือนเศรษฐกิจโลกแย่ เล็งหั่นคาดการณ์ปี 2016 อีกระลอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 08:31 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/418288

ไอเอ็มเอฟเตือนเศรษฐกิจโลกแย่ เล็งหั่นคาดการณ์ปี 2016 อีกระลอก

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกรายงานเตือนเศรษฐกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่เคยคาดไว้ และมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลกระทบสูง เนื่องจากความผันผวนทางการเงิน ราคาสินทรัพย์ที่ลดลง ราคาน้ำมันโลก ปัญหาทางภูมิศาสตร์การเมือง และเศรษฐกิจตลาดเกิดใหม่

รายงานระบุว่า ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังไม่ฟื้นตัว อาจส่งผลให้ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกในรายงานภาพรวมเศรษฐกิจโลกเดือน เม.ย. หลังเมื่อเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ไอเอ็มเอฟได้หั่นคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2016 ลง 0.2% จาก 3.6% เป็น 3.4%

“กิจกรรมทางเศรษฐกิจโลกชะลอตัวกว่าที่คาดการณ์ไว้เมื่อปลายปี 2015 และจะยังคงย่ำแย่อย่างต่อเนื่องในปี 2016 ท่ามกลางราคาสินทรัพย์ที่ปรับลดลง” รายงานของไอเอ็มเอฟ ระบุ

จากรายงานของไอเอ็มเอฟ ระบุว่า ความผันผวนในตลาดการเงินไม่เพียงแต่จะทำให้ภาวะทางการเงินในประเทศพัฒนาแล้วตึงตัวและกระทบการขยายตัวทางเศรษฐกิจ แต่ยังทำให้เกิดปัญหาเงินไหลออกจากตลาดเกิดใหม่ และอาจส่งผลให้ภาวะทางการเงินของตลาดเกิดใหม่ตึงตัวเช่นกัน ซึ่งจะส่งผลกระทบให้สกุลเงินอ่อนค่าและประสบปัญหาในการระดมทุน

ส่วนราคาโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลง โดยเฉพาะราคาน้ำมันจะส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้อในภาพรวมและกระทบภาคการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ อีกทั้งการนำเข้าน้ำมันที่หดตัวลงกว่าที่คาดก็ส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจโลกเช่นกัน

ในส่วนของเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว ยังคงน่าเป็นห่วงต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เนื่องจากเศรษฐกิจจีนขยายตัวช้าที่สุดในรอบ 25 ปี อย่างไรก็ตามการที่จีนปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจเพื่อสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจมากขึ้นส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโลก พร้อมแนะนำให้ประชาคมโลกสนับสนุนการปฏิรูปเศรษฐกิจของจีน

ไอเอ็มเอฟ ยังระบุว่า รัฐบาลทั่วโลกควรสร้างเครื่องมือทางการเงินแบบใหม่ เพื่อช่วยเหลือตลาดเกิดใหม่และประเทศที่ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์เป็นหลัก ซึ่งมีความเป็นไปได้สูงที่จะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงจากปัญหาเงินไหลออกที่ส่งผลต่อค่าเงินและภาคการส่งออกของตลาดเกิดใหม่

นอกจากนี้ ไอเอ็มเอฟยังเรียกร้องให้กลุ่มประเทศเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ (จี20) ดำเนินนโยบายที่ครอบคลุมเพื่อสร้างความแข็งแกร่งและป้องกันความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น เพิ่มการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพื่อกระตุ้นแรงซื้อ อีกทั้งยังเสนอแนะให้ประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าพึ่งพานโยบายทางการเงินมากเกินไป แต่ควรให้ความสำคัญกับนโยบายทางการคลังด้วย เพื่อกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ รัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางจากกลุ่มประเทศ จี20 มีกำหนดการประชุม ณ นครเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ระหว่างวันที่ 26-27 ก.พ.นี้

ซิตี้กรุ๊ปลดจีดีพีโลก

วิลเลียม บิวเตอร์ นักเศรษฐศาสตร์ระดับสูงของธนาคารซิตี้กรุ๊ป ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2016 จาก 2.8% อยู่ที่ 2.5% และอาจ
อยู่ที่ 2.2% ถ้าจีนไม่ได้รายงานตัวเลขทางเศรษฐกิจตรงตามความเป็นจริง พร้อมเตือนว่า มีความเป็นไปได้สูงที่เศรษฐกิจโลกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย

รายงานของซิตี้กรุ๊ป ระบุว่า ภาพรวมทางเศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐ ยังคงน่าเป็นกังวล ส่วนเศรษฐกิจจีนยังชะลอตัวและสกุลเงินหยวนยังคงไร้เสถียรภาพ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจากการถอนตัวออกจากสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษด้วย

“ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลกมี 3 ปัจจัย ได้แก่ ภาวะทางการเงินโลกที่ย่ำแย่ แรงซื้อจากสหรัฐหดตัว รวมถึงภาคบริโภคและภาคธุรกิจอ่อนแอเป็นวงกว้าง” ซิตี้กรุ๊ป ระบุ

จีนร้องใช้คลังกระตุ้น

จูกวงเหยา รัฐมนตรีช่วยกระทรวงการคลังของจีน ระบุว่า ควรใช้มาตรการทางการคลังในการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะประเทศที่ยังมีช่องทางสำหรับการกระตุ้นด้วยนโยบายทางการคลัง อีกทั้งยังมั่นใจว่า จีนจะสามารถรักษาเสถียรภาพเงินหยวนให้อยู่ในระดับสมดุลได้อย่างแน่นอน

“เราไม่สามารพึ่งนโยบายทางการเงินได้เพียงอย่างเดียว ควรให้นโยบายทางการคลังมีบทบาทร่วมด้วย” จูกวงเหยา กล่าว

ขณะเดียวกัน เฉิงซ่งเชง เจ้าหน้าที่ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) เขียนบทความลงเว็บไซต์
อีโคโนมิก เดลีย์ ว่า จีนมีความสามารถที่จะใช้งบประมาณขาดดุลได้ถึง 4% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) โดยไม่กระทบต่อสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อจีดีพี เมื่อเทียบกับ 1.5% ต่อ
จีดีพีในปี 2015 ในขณะที่รัฐบาลกำลังพิจารณาปรับลดอัตราภาษีนิติบุคคล

ด้าน อี้กัง รองผู้ว่าการพีบีโอซี ระบุว่า พีบีโอซีจะปล่อยให้ค่าเงินหยวนมีความยืดหยุ่นมากขึ้น ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินหยวนจะกำหนดโดยเทียบกับสกุลเงินในตะกร้าค่าเงิน ทั้งปอนด์ ยูโร และเยน ไม่เพียงเฉพาะสกุลเงินเหรียญสหรัฐเท่านั้น พร้อมยืนยันว่า แรงซื้อในจีนยังคงแข็งแกร่ง และผู้กำหนดนโยบายจะรักษาสมดุลระหว่างการปฏิรูปและการสร้างเสถียรภาพ

มูดี้ส์หั่นเครดิตบราซิล

มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือชื่อดัง ปรับลดความน่าเชื่อถือของบราซิล 2 ระดับจาก Baa3 สู่ระดับ Ba2 ซึ่งเป็นระดับสูงสุดอันดับ 2 ของระดับจังก์ หรือระดับที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ พร้อมปรับภาพรวมเป็นลบ ซึ่งมีความเสี่ยงจะถูกปรับลดความน่าเชื่อถืออีกในอนาคต

มูดี้ส์ ระบุว่า ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หนี้ภาครัฐของบราซิลเพิ่มขึ้นกว่า 3 เท่า อยู่ที่ 66% และมีแนวโน้มที่หนี้จะเพิ่มขึ้นอีกเกินกว่า 80% ของจีดีพี ซึ่งสะท้อนว่า สภาวะด้านหนี้สินของบราซิลจะแย่ลงอีก ประกอบกับพันธบัตรท้องถิ่นบราซิลมีอัตราผลตอบแทนที่สูง โดยผลตอบแทนพันธบัตรท้องถิ่น 25 ปี แตะ 16.7% ในเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา สูงที่สุดในรอบ 9 ปี ซึ่งยิ่งยากต่อการชำระหนี้

 

วิกฤตในกรีซ… บทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 10:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/415684

วิกฤตในกรีซ... บทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม!

โดย…ไพรัช วรปาณิ กรรมการอัยการ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์อันน่าพรั่นพรึงเป็นข่าวดังไปทั่วโลก นั่นคือเกิดการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในประเทศกรีซ มีการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างผู้ประท้วงที่สวมหน้ากากมีกำลังอาวุธกับตำรวจ วุ่นวายทั่วประเทศ ผู้คนแทบทุกอาชีพจำนวนมากพากันออกเดินขบวนคัดค้านนโยบายการตัดลดเงินสวัสดิการ เบี้ยเลี้ยงชีพ เงินบำเหน็จบำนาญ ซึ่งมาตรการบีบคั้นของเจ้าหนี้ต่างชาติอันมี อียู ไอเอ็มเอฟ และอีซีบี

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว ก็เคยมีการเดินขบวนประท้วงต่อต้านกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจและมาตรการรัดเข็มขัดของเจ้าหนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นก็เกิดความบอบช้ำเสียหายให้แก่ประเทศมาแล้ว แต่ยังไม่รุนแรงเท่าครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งนับเป็นการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์

หลังจาก อเล็กซิส ไซปราส ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกรีซไม่นาน ได้ดำเนินนโยบาย “รัดเข็มขัด” อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกับการจับจ่ายงบประมาณ ต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติตามที่เจ้าหนี้กำหนด จำต้องแก้ไขกฎระเบียบการจ่ายเงินสวัสดิการทุกชนิด ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ ตลอดจนเบี้ยเลี้ยงชีพคนชราและสวัสดิการต่างๆ ลง ประมาณ 15% และอัตราขั้นต่ำจะได้รับเพียง 360 ยูโรเท่านั้น มาตรการดังกล่าวทำให้ประชาชนไม่พอใจ จึงพากันออกมาเดินขบวนประท้วงอย่างรุนแรงจนเกิดปะทะกันบาดเจ็บล้มตายวุ่นวายไปทั่วกรุงเอเธนส์และปริมณฑล

การเดินขบวนครั้งใหญนี้เป็นครั้งที่สามในรอบไม่กี่เดือน และมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจการเมืองประเทศกรีซ เช่น การบิน รถไฟ เรือเมล์ ฯลฯ ต้องหยุดบริการทั้งหมด ทำให้เศรษฐกิจซึ่งย่ำแย่อยู่แล้วย่อยยับลงไปอีกอย่างสุดคณานับ

ปรากฏการณ์ประท้วงใหญ่ในครั้งนี้ จึงเป็นโจทย์หนักของนายกรัฐมนตรีไซปราส ในการหาทางแก้ไข ซึ่งจากการประเมินผลของตำรวจรายงานว่ามีประชาชนหลายแสนคนเข้าร่วมประท้วงอย่างเหนียวแน่น เฉพาะในที่รอบๆ กลางกรุงเอเธนส์ มีถึงประมาณ 4-5 หมื่นคน โดยฝ่ายประท้วงได้สวมหน้ากากใช้สิ่งของจุดไฟขว้างใส่ตำรวจอย่างไม่เกรงกลัว ระหว่างปะทะแม้ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสกัดก็ไม่อาจยับยั้งการบุกของผู้คนได้

ตามโรงพยาบาลต้องระดมเรียกร้องขอเภสัชภัณฑ์เป็นการด่วน ในเมืองปริมณฑลก็มีทั้งนักกฎหมาย วิศวกร เภสัชกร รวมกระทั่งคนทำความสะอาดก็เข้าร่วมขบวนการประท้วงด้วย ทำให้การคมนาคมหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีพนักงานคนใดไปทำงาน

พิจารณาสาเหตุใหญ่ที่เกิดการประท้วงครั้งนี้ เนื่องมาจากผลพวงการที่ไซปราส ผู้นำฝ่ายซ้าย ประกาศใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เปลี่ยนแปลงระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีพของคนชราและบำเหน็จบำนาญ อันเป็นผลกระทบต่อปากท้องโดยตรง ปากท้องของประชนถ้าหิวเมื่อใดเป็นสิ่งที่น่าห่วงจริงๆ

ผู้เขียนได้ศึกษาค้นหาสาเหตุแห่งความวุ่นวายของประเทศในเชิงวิชาการ จึงได้พบเห็นความสำคัญของการบริหารเงินที่ผิดพลาด นั่นคือต้นเหตุแห่งการล่มสลายของกรีซ ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนการเงินการคลังเกิดปัญหาตามที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้

มาบัดเดี๋ยวนี้ แม้ไซปราสจะออกมาประกาศเตือนว่า หากไม่ดำเนินการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ การเงินการคลังตามที่เจ้าหนี้ต่างชาติแนะนำโดยเร็วไวแล้ว ในอีกไม่ช้าประเทศชาติจะไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญหรือสวัสดิการทุกชนิด

แต่ทว่าฝ่ายสหภาพแรงงานได้โต้แย้งว่า แผนการปฏิรูปของรัฐบาลในขณะนี้ แม้จะอ้างว่าทำตามมาตรการกดดัน และเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธของเจ้าหนี้ต่างๆ ก็ตาม แต่สุดท้าย ของสุดท้าย แผนรัฐบาลดังกล่าวก็จะกลายเป็นเหตุรุนแรง นำพาประชาชนทั้งประเทศกรีซเข้าสู่ความหายนะหรือนรกแห่งความยากจนในที่สุด

น่าจับตา เมื่อเกิดการประท้วงใหญ่ดังนี้แล้ว แผนการปฏิรูปจะสามารถผ่านการพิจารณาลงมติของสภาหรือไม่? ยังไม่อาจคาดเดา แต่ถ้าดูจากจำนวนเสียงสมาชิกของนายกฯ ไซปราส จะเห็นได้ว่ามากกว่าเสียงของฝ่ายค้านไม่มากนัก หากมีสมาชิกฝ่ายรัฐบาลกลับลำตามที่ประชาชนเรียกร้องก็เป็นไปใด้

โดยที่ผู้เขียนเคยเป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการเงินการคลัง สภาผู้แทนราษฎร และเคยบริหารสถาบันการเงินเอกชนมาก่อน จึงมองว่าประเทศกรีซอาจจะต้องพบกับวิกฤตทางการเงินและความรุนแรงต่อต้านจากประชาชนไปอีกนาน สาเหตุใหญ่ก็มาจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดในอดีตที่ไม่รัดกุมกับการบริหารงบประมาณ ทำให้ “Constitution” ของประเทศบอบช้ำมาก ยากแก่การเยียวยา ซึ่งเปรียบได้จากการบริหารบริษัทเอกชน ถ้าหากผู้บริหารละเลยในเรื่องของรายรับรายจ่ายอันไม่สมดุล โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหาร “Cash Flow” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นต้นเหตุทำให้บริษัท “รุ่ง” หรือ “ล่ม” อยู่ที่จุดนี้เอง! เช่นเดียวกับการบริหารประเทศ ฉันใดก็ฉันนั้น!?

ดร.สมัคร เจียมบุรเศรษฐ์ อดีตประธานกรรมการ Asia Australia Commercial Bank และรองประธานกรรมการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล กล่าวถึงหลักการบริหารเงินไว้ว่า “รัฐบาลจะต้องสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ ความสมดุลของรายได้ ความสมดุลในการกระจายรายได้ให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึง เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ประชาชนมีสันติสุข ประเทศชาติมั่นคง

ในการแก้ไขประเทศนั้น จะต้องใช้การบริหารแผนใหม่ที่มีระบบที่ดี มีแผนงาน มีความเจริญที่ต่อเนื่องแน่นอน มีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนสำหรับอนาคต เพื่อให้เกิดการประสานงานเท่าที่ควร

เศรษฐกิจเสมือนเป็นโครงสร้างของร่างกาย และเงินเป็นสายเลือดของชีวิต ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างของชนชั้น เลือดไม่อาจไปช่วยหล่อเลี้ยงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายนั้นก็เน่า เงินไม่กระจายไปในที่ของภูมิภาค จังหวัดนั้น อำเภอนั้นก็จะอดตาย รัฐบาลที่ดีจึงต้องมีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง และให้มีการหมุนเวียนให้มากท่ี่สุด เพราะเงินหนึ่งบาทไม่เคยหายไปจากประเทศไทย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหาร”

การเกิดการประท้วงอันรุนแรงในกรีซ จึงสรุปได้ว่ามาจากเหตุปัจจัยที่รัฐบาลดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาด ทำให้ “ตูดขาด” ต้องอาศัยผู้อื่นมาช่วยปะให้ จนกลายเป็นเบี้ยล่างเจ้าหนี้อย่างน่าเวทนา

ดังนั้น ปรากฏการณ์ประเทศกรีซในครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้นำประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย จงอย่าได้ประมาท และใช้จ่ายเงินไปก่อน และการหวังเงินบ่อหน้า ควรระมัดระวังกับการจับจ่ายงบประมาณอย่างสุขุมรอบคอบ วิกฤตในประเทศกรีซจึงเป็นบทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล

 

วิกฤตในกรีซ… บทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม!

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 กุมภาพันธ์ 2559 เวลา 10:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/415684

วิกฤตในกรีซ... บทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม!

โดย…ไพรัช วรปาณิ กรรมการอัยการ

เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์อันน่าพรั่นพรึงเป็นข่าวดังไปทั่วโลก นั่นคือเกิดการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่และรุนแรงที่สุดในประเทศกรีซ มีการต่อสู้อย่างดุเดือดระหว่างผู้ประท้วงที่สวมหน้ากากมีกำลังอาวุธกับตำรวจ วุ่นวายทั่วประเทศ ผู้คนแทบทุกอาชีพจำนวนมากพากันออกเดินขบวนคัดค้านนโยบายการตัดลดเงินสวัสดิการ เบี้ยเลี้ยงชีพ เงินบำเหน็จบำนาญ ซึ่งมาตรการบีบคั้นของเจ้าหนี้ต่างชาติอันมี อียู ไอเอ็มเอฟ และอีซีบี

ก่อนหน้านี้เมื่อเดือน มิ.ย.ปีที่แล้ว ก็เคยมีการเดินขบวนประท้วงต่อต้านกฎหมายฟื้นฟูเศรษฐกิจและมาตรการรัดเข็มขัดของเจ้าหนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในครั้งนั้นก็เกิดความบอบช้ำเสียหายให้แก่ประเทศมาแล้ว แต่ยังไม่รุนแรงเท่าครั้งล่าสุดนี้ ซึ่งนับเป็นการเดินขบวนประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดเป็นประวัติการณ์

หลังจาก อเล็กซิส ไซปราส ได้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกรีซไม่นาน ได้ดำเนินนโยบาย “รัดเข็มขัด” อย่างเข้มงวด โดยเฉพาะกับการจับจ่ายงบประมาณ ต้องตกอยู่ภายใต้อาณัติตามที่เจ้าหนี้กำหนด จำต้องแก้ไขกฎระเบียบการจ่ายเงินสวัสดิการทุกชนิด ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญ ตลอดจนเบี้ยเลี้ยงชีพคนชราและสวัสดิการต่างๆ ลง ประมาณ 15% และอัตราขั้นต่ำจะได้รับเพียง 360 ยูโรเท่านั้น มาตรการดังกล่าวทำให้ประชาชนไม่พอใจ จึงพากันออกมาเดินขบวนประท้วงอย่างรุนแรงจนเกิดปะทะกันบาดเจ็บล้มตายวุ่นวายไปทั่วกรุงเอเธนส์และปริมณฑล

การเดินขบวนครั้งใหญนี้เป็นครั้งที่สามในรอบไม่กี่เดือน และมีผลกระทบอย่างมหาศาลต่อเศรษฐกิจการเมืองประเทศกรีซ เช่น การบิน รถไฟ เรือเมล์ ฯลฯ ต้องหยุดบริการทั้งหมด ทำให้เศรษฐกิจซึ่งย่ำแย่อยู่แล้วย่อยยับลงไปอีกอย่างสุดคณานับ

ปรากฏการณ์ประท้วงใหญ่ในครั้งนี้ จึงเป็นโจทย์หนักของนายกรัฐมนตรีไซปราส ในการหาทางแก้ไข ซึ่งจากการประเมินผลของตำรวจรายงานว่ามีประชาชนหลายแสนคนเข้าร่วมประท้วงอย่างเหนียวแน่น เฉพาะในที่รอบๆ กลางกรุงเอเธนส์ มีถึงประมาณ 4-5 หมื่นคน โดยฝ่ายประท้วงได้สวมหน้ากากใช้สิ่งของจุดไฟขว้างใส่ตำรวจอย่างไม่เกรงกลัว ระหว่างปะทะแม้ตำรวจใช้แก๊สน้ำตาสกัดก็ไม่อาจยับยั้งการบุกของผู้คนได้

ตามโรงพยาบาลต้องระดมเรียกร้องขอเภสัชภัณฑ์เป็นการด่วน ในเมืองปริมณฑลก็มีทั้งนักกฎหมาย วิศวกร เภสัชกร รวมกระทั่งคนทำความสะอาดก็เข้าร่วมขบวนการประท้วงด้วย ทำให้การคมนาคมหยุดชะงักโดยสิ้นเชิง เนื่องจากไม่มีพนักงานคนใดไปทำงาน

พิจารณาสาเหตุใหญ่ที่เกิดการประท้วงครั้งนี้ เนื่องมาจากผลพวงการที่ไซปราส ผู้นำฝ่ายซ้าย ประกาศใช้นโยบายปฏิรูปเศรษฐกิจ เปลี่ยนแปลงระบบการจ่ายเบี้ยเลี้ยงชีพของคนชราและบำเหน็จบำนาญ อันเป็นผลกระทบต่อปากท้องโดยตรง ปากท้องของประชนถ้าหิวเมื่อใดเป็นสิ่งที่น่าห่วงจริงๆ

ผู้เขียนได้ศึกษาค้นหาสาเหตุแห่งความวุ่นวายของประเทศในเชิงวิชาการ จึงได้พบเห็นความสำคัญของการบริหารเงินที่ผิดพลาด นั่นคือต้นเหตุแห่งการล่มสลายของกรีซ ที่ใช้จ่ายฟุ่มเฟือยจนการเงินการคลังเกิดปัญหาตามที่เป็นข่าวมาก่อนหน้านี้

มาบัดเดี๋ยวนี้ แม้ไซปราสจะออกมาประกาศเตือนว่า หากไม่ดำเนินการปฏิรูประบบเศรษฐกิจ การเงินการคลังตามที่เจ้าหนี้ต่างชาติแนะนำโดยเร็วไวแล้ว ในอีกไม่ช้าประเทศชาติจะไม่มีแม้กระทั่งความสามารถในการจ่ายเงินบำเหน็จบำนาญหรือสวัสดิการทุกชนิด

แต่ทว่าฝ่ายสหภาพแรงงานได้โต้แย้งว่า แผนการปฏิรูปของรัฐบาลในขณะนี้ แม้จะอ้างว่าทำตามมาตรการกดดัน และเป็นคำสั่งที่ไม่อาจปฏิเสธของเจ้าหนี้ต่างๆ ก็ตาม แต่สุดท้าย ของสุดท้าย แผนรัฐบาลดังกล่าวก็จะกลายเป็นเหตุรุนแรง นำพาประชาชนทั้งประเทศกรีซเข้าสู่ความหายนะหรือนรกแห่งความยากจนในที่สุด

น่าจับตา เมื่อเกิดการประท้วงใหญ่ดังนี้แล้ว แผนการปฏิรูปจะสามารถผ่านการพิจารณาลงมติของสภาหรือไม่? ยังไม่อาจคาดเดา แต่ถ้าดูจากจำนวนเสียงสมาชิกของนายกฯ ไซปราส จะเห็นได้ว่ามากกว่าเสียงของฝ่ายค้านไม่มากนัก หากมีสมาชิกฝ่ายรัฐบาลกลับลำตามที่ประชาชนเรียกร้องก็เป็นไปใด้

โดยที่ผู้เขียนเคยเป็นที่ปรึกษาประจำคณะกรรมาธิการการเงินการคลัง สภาผู้แทนราษฎร และเคยบริหารสถาบันการเงินเอกชนมาก่อน จึงมองว่าประเทศกรีซอาจจะต้องพบกับวิกฤตทางการเงินและความรุนแรงต่อต้านจากประชาชนไปอีกนาน สาเหตุใหญ่ก็มาจากการบริหารประเทศที่ผิดพลาดในอดีตที่ไม่รัดกุมกับการบริหารงบประมาณ ทำให้ “Constitution” ของประเทศบอบช้ำมาก ยากแก่การเยียวยา ซึ่งเปรียบได้จากการบริหารบริษัทเอกชน ถ้าหากผู้บริหารละเลยในเรื่องของรายรับรายจ่ายอันไม่สมดุล โดยเฉพาะในเรื่องของการบริหาร “Cash Flow” เป็นเรื่องสำคัญที่สุด เพราะเป็นต้นเหตุทำให้บริษัท “รุ่ง” หรือ “ล่ม” อยู่ที่จุดนี้เอง! เช่นเดียวกับการบริหารประเทศ ฉันใดก็ฉันนั้น!?

ดร.สมัคร เจียมบุรเศรษฐ์ อดีตประธานกรรมการ Asia Australia Commercial Bank และรองประธานกรรมการ บริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ธนพล กล่าวถึงหลักการบริหารเงินไว้ว่า “รัฐบาลจะต้องสร้างความสมดุลทางเศรษฐกิจ ความสมดุลของรายได้ ความสมดุลในการกระจายรายได้ให้มีประสิทธิภาพและทั่วถึง เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ประชาชนมีสันติสุข ประเทศชาติมั่นคง

ในการแก้ไขประเทศนั้น จะต้องใช้การบริหารแผนใหม่ที่มีระบบที่ดี มีแผนงาน มีความเจริญที่ต่อเนื่องแน่นอน มีทิศทางและเป้าหมายที่ชัดเจน มีการวางแผนสำหรับอนาคต เพื่อให้เกิดการประสานงานเท่าที่ควร

เศรษฐกิจเสมือนเป็นโครงสร้างของร่างกาย และเงินเป็นสายเลือดของชีวิต ประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างของชนชั้น เลือดไม่อาจไปช่วยหล่อเลี้ยงส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายนั้นก็เน่า เงินไม่กระจายไปในที่ของภูมิภาค จังหวัดนั้น อำเภอนั้นก็จะอดตาย รัฐบาลที่ดีจึงต้องมีการกระจายรายได้อย่างทั่วถึง และให้มีการหมุนเวียนให้มากท่ี่สุด เพราะเงินหนึ่งบาทไม่เคยหายไปจากประเทศไทย ทั้งหมดขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้บริหาร”

การเกิดการประท้วงอันรุนแรงในกรีซ จึงสรุปได้ว่ามาจากเหตุปัจจัยที่รัฐบาลดำเนินนโยบายการเงินผิดพลาด ทำให้ “ตูดขาด” ต้องอาศัยผู้อื่นมาช่วยปะให้ จนกลายเป็นเบี้ยล่างเจ้าหนี้อย่างน่าเวทนา

ดังนั้น ปรากฏการณ์ประเทศกรีซในครั้งนี้ จึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์เตือนใจผู้นำประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย จงอย่าได้ประมาท และใช้จ่ายเงินไปก่อน และการหวังเงินบ่อหน้า ควรระมัดระวังกับการจับจ่ายงบประมาณอย่างสุขุมรอบคอบ วิกฤตในประเทศกรีซจึงเป็นบทเรียนที่ไม่ควรมองข้าม สำหรับผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์อันยาวไกล