ผวานโยบายทรัมป์ไม่ถึงฝัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 พฤษภาคม 2560 เวลา 08:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/495489

ผวานโยบายทรัมป์ไม่ถึงฝัน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

รัฐบาลสหรัฐยุคสมัยของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ กำลังสั่นคลอน หลังหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ เปิดเผยว่า ทรัมป์ขอให้ เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการ สำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) ระงับการสอบสวน ไมเคิล ฟลินน์ อดีตที่ปรึกษาความมั่นคงในกรณีเกี่ยวข้องรัสเซีย ก่อนที่ทรัมป์จะไล่โคมีย์ออกเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ก่อให้เกิดความกังวลว่าทรัมป์กำลังใช้อำนาจขัดขวางกระบวนการยุติธรรมจนอาจนำไปสู่การถอดถอนได้

“ถ้าหากมีการเปิดการสอบสวนพิเศษ หรือถ้าจะมีการพูดคุยเกี่ยวกับการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมของทรัมป์ว่าเป็นความผิดที่สมควรโดนถอดออกจากตำแหน่ง นั่นหมายความว่าเป็นการโบกมือลาแผนการปฏิรูปภาษี ประกันสุขภาพและการกระตุ้นทางการคลังสำหรับ 2017 นี้ได้เลย” แอนดี เบรนเนอร์ หัวหน้าฝ่ายตราสารหนี้ของเนชั่นแนล อลิอันซ์ ซีเคียวริตี้ส์ กล่าว

รอยเตอร์สรายงานว่า ข่าวอื้อฉาวที่แพร่สะพัดสร้างความกังวลให้กับสมาชิกพรรครีพับลิกัน และอาจส่งผลกระทบต่อการผลักดันกฎหมายต่างๆ เช่น การปรับลดภาษีนิติบุคคลและการยกเลิกกฎหมายประกันสุขภาพโอบามาแคร์ ที่ถือเป็นวาระสำคัญของพรรค โดยในประเด็นแรกนั้นยังอยู่ในขั้นเริ่มต้นของกระบวนการในสภาและเพิ่งเริ่มอภิปรายไปเมื่อวานนี้

มิตช์ แมคคอนเนลล์ ผู้นำเสียงข้างมากในวุฒิสภาจากรีพับลิกัน เปิดเผยว่า ความวุ่นวายน้อยลงในทำเนียบขาวเป็นปัจจัยจำเป็นอย่างยิ่งในการผลักดันกฎหมายที่ถือเป็นวาระสำคัญ สอดคล้องกับ ลินด์ซีย์ แกรห์ม วุฒิสมาชิกพรรครีพับลิกัน ระบุว่ากระบวนการผ่านร่างกฎหมายขณะนี้กำลังโดนขัดขวางท่ามกลางความวุ่นวายในฝ่ายบริหาร

ตลาดทุนโลกสะดุ้งแรง

ตลาดทุนทั่วโลกเผชิญกับความผันผวนอย่างรุนแรง หลังเกิดคาดการณ์ว่าทรัมป์อาจจะต้องเผชิญกับการลงมติถอดถอนจากการเปิดเผยในครั้งนี้ โดยบลูมเบิร์ก รายงานว่า ดัชนีวัดความผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่การทำประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษ เมื่อเดือน มิ.ย. 2016 ที่ผ่านมา ก่อนตลาดหุ้นสหรัฐจะปิดตัวแดนลบทำสถิติแย่ที่สุดตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงก่อนการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.

ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ร่วงลงไปถึง 1.78% หรือ 372.82 จุด ขณะที่ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงไป 1.82% เมื่อวันที่ 17 พ.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐร่วงลงต่ำสุดในรอบกว่า 6 เดือน สวนทางสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำที่ปรับขึ้นในรอบวันมากที่สุด ตั้งแต่การทำประชามติของอังกฤษมาถึงราว 2%

ด้าน ลาร์รี แมคโดนัลด์ หัวหน้านักกลยุทธ์ของเอซีจี อนาไลติกส์ เปิดเผยว่า ความเสี่ยงที่ทรัมป์จะไม่สามารถทำตามนโยบายได้ จะเป็นปัญหาต่อธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่ต้องการขึ้นดอกเบี้ยด้วย โดยความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.นี้ลดลงจาก 80% ในช่วงก่อนหน้าการเกิดความกังวลต่อสถานะความเป็นประธานาธิบดีทรัมป์เหลือเพียง 60% เมื่อวานนี้

ความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นสหรัฐเป็นปัจจัยหนึ่งที่ฉุดดัชนีเอ็มเอสซีไอ เอเชีย-แปซิฟิก ร่วงลงไป 0.9% มากที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 6 เม.ย. ระหว่างการซื้อขายเมื่อวันที่ 18 พ.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ไบรอน เวียน รองประธานฝ่ายจัดการความมั่นคงของแบล็กสโตน บริษัทจัดการลงทุน เปิดเผยว่า ตลาดหุ้นสหรัฐยังมีความน่าดึงดูดอยู่โดยมีผลประกอบการของบริษัทเป็นตัวนำ ซึ่งจากการคำนวณของอาร์บีซี แคปปิตอล มาร์เก็ต พบว่ามากกว่า 3 ใน 4 ของบริษัทในเอสแอนด์พี 500 มีผลประกอบการมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และผลกำไรต่อหุ้นของบริษัทเหล่านั้นปรับขึ้นราว 15.2%

เรียกความเชื่อมั่นกลับคืน

รัฐบาลของทรัมป์พยายามจะเรียกความเชื่อมั่นกลับคืน โดยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐประกาศแต่งตั้ง โรเบิร์ต มูลเลอร์ อดีตผู้อำนวยการเอฟบีไอ ขึ้นเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ซึ่งมีหน้าที่คล้ายกับอัยการ เพื่อสอบกรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งเมื่อปี 2016 ที่ผ่านมา โดยทรัมป์ ระบุว่า มูลเลอร์จะเป็นผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับการแทรกแซงของรัสเซีย และเปิดทางให้ทรัมป์ได้เดินหน้าจัดการเรื่องปฏิรูปภาษีอย่างเต็มตัว

“การตัดสินใจตั้งแต่ที่ปรึกษาพิเศษไม่ใช่เพื่อหาว่ามีการกระทำผิดจริงหรือจะมีการฟ้องร้องทางอาญาหรือไม่ ผมไม่มีความตั้งใจอย่างนั้น แต่ผมคิดว่าที่ปรึกษาพิเศษมีความจำเป็นเพื่อให้ชาวอเมริกันได้มั่นใจอย่างเต็มที่ต่อผลลัพธ์หลังการสอบสวน” รอด โรเซนสไตน์ รัฐมนตรีช่วยกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ กล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการตรวจสอบและปฏิรูปรัฐบาลของสภาผู้แทนราษฎร เปิดการสอบสวนกรณีทรัมป์ไล่โคมีย์ออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการเอฟบีไอ โดยเรียกโคมีย์เข้าให้ปากคำต่อกรณีที่ทรัมป์ขอให้ระงับการสอบสวนฟลินน์ในวันที่ 24 พ.ค.ที่จะถึงนี้ ซึ่งโคมีย์ได้บันทึกการสนทนาดังกล่าวเอาไว้ทั้งหมด

ขณะเดียวกันทรัมป์ได้ออกมาปฏิเสธความเกี่ยวเนื่องกับทางรัสเซีย

“อย่างที่ผมพูดมาหลายรอบแล้ว การสอบสวนจะยืนยันในสิ่งที่เรารู้กันอยู่แล้ว นั่นคือไม่มีความร่วมมือระหว่างทีมหาเสียงของผลกับรัฐบาลประเทศอื่น” ทรัมป์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม รอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวเกี่ยวข้องว่า ฟลินน์และที่ปรึกษาแคมเปญเลือกตั้งหลายรายของทรัมป์ ติดต่อกับเจ้าหน้าที่รัสเซียและบุคคลอื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับรัฐบาลรัสเซียอย่างน้อย 18 ครั้ง ในช่วง 7 เดือนสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อปี2016

แหล่งข่าว 3 รายระบุว่า การติดต่อ 6 ครั้งที่ยังไม่มีการเปิดเผยก่อนหน้านี้ เป็นการโทรศัพท์พูดคุยระหว่าง เซอร์เก คิสลีอัค เอกอัครราชทูตรัสเซียประจำสหรัฐ และที่ปรึกษาหลายรายของทรัมป์ที่รวมถึงฟลินน์ โดยการติดต่อระหว่าวฟลินน์และคิสลีอัคเพิ่มขึ้นหลังวันที่ 8 พ.ย. เนื่องจากทั้งคู่พยายามสร้างช่องทางการติดต่อหลังบ้านระหว่างทรัมป์และประธานาธิบดีวลาดิมีร์ปูติน ของรัสเซีย

 

จีนลุยดัน’ไห่หนาน’ ขึ้นแท่นเมดิคอลฮับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 พฤษภาคม 2560 เวลา 07:26 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/493335

จีนลุยดัน'ไห่หนาน' ขึ้นแท่นเมดิคอลฮับ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ไห่หนานมณฑลขนาดเล็กที่สุดทางตอนใต้ของจีนและเป็นหนึ่งมณฑลใน 18 มณฑลหลัก ภายใต้แผนยุทธศาสตร์ “1 แถบ 1 เส้นทาง” (One Belt One Road : OBOR) กำลังได้รับการผลักดันจากรัฐบาลจีน ให้กลายเป็นศูนย์กลางด้านการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์แห่งใหม่ ตอบรับดีมานด์ของผู้ป่วยชาวจีน

บลูมเบิร์กรายงานว่า จุดมุ่งหมายในการสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์แห่งใหม่ คือเพื่อดึงดูดผู้ป่วยชาวจีนฐานะร่ำรวย ซึ่งในปัจจุบันต่างหลั่งไหลไปใช้บริการดังกล่าวในต่างประเทศ ให้กลับมาใช้บริการทางการแพทย์ในจีนแทน

ซีทริปเว็บไซต์รวบรวมข้อมูลการท่องเที่ยวจีน คาดการณ์ว่าชาวจีนราว 5 แสนคน เดินทางไปยังต่างประเทศเพื่อใช้บริการทางการแพทย์เมื่อปีที่ผ่านมา เนื่องจากโรงพยาบาลหลายแห่งในจีนไม่สามารถรองรับผู้ป่วยกลุ่มดังกล่าวได้ ขณะที่ประชากรจีนหลายล้านคนกำลังจะเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งและโรคหัวใจ ด้วยเหตุนี้ชาวจีนที่มีฐานะจึงเลือกไปตรวจสุขภาพประจำปีที่ญี่ปุ่น หรือตรวจภาวะความผิดปกติทางพันธุกรรมที่สหรัฐ

ทั้งนี้ มณฑลไห่หนานมีชื่อเสียงโด่งดังจากการมีภูมิประเทศอบอุ่นแบบเขตร้อน และมีรีสอร์ทริมชายหาดจำนวนมาก จนได้ชื่อว่าเป็นเกาะฮาวายของจีน โดยรัฐบาลท้องถิ่นของไห่หนานวางแผนเปลี่ยนพื้นที่การเกษตรกว่า 1,600 เอเคอร์ ในมณฑลแห่งนี้กลายเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์มานับตั้งแต่ปี 2013 และเขตโรงพยาบาลโซนแรกจะเริ่มเปิดบริการในฤดูร้อนปี 2017 นี้

รัฐบาลท้องถิ่น เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจเข้ามาลงทุนในพื้นที่แล้วถึง 2.3 หมื่นล้านหยวน (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ใน 27 โครงการพัฒนา ครอบคลุมทั้งการสร้างโรงพยาบาลไปจนถึงคลินิกศัลยกรรมความงาม ขณะที่โครงการอีกหลายสิบโครงการกำลังรอการอนุมัติจากรัฐบาล

มุ่งยกเครื่องการรักษา

ในการสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์นั้น รัฐบาลท้องถิ่นของไห่หนานจำเป็นต้องนำเข้าเทคโนโลยีล้ำสมัยในการรักษาโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง ซึ่งเริ่มมีการใช้กันในต่างประเทศเข้ามาในจีน อย่างไรก็ดี เทคโนโลยีการแพทย์ดังกล่าวยังไม่ได้รับอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของจีน

ขณะเดียวกันไห่หนานได้เริ่มนำเข้าตัวยาใหม่ๆ จากต่างประเทศมาใช้รักษาผู้ป่วยแล้ว โดยในช่วงแรกนั้นศูนย์สุขภาพเฉิงเม่ย อินเตอร์เนชั่นแนล ในไห่หนาน เริ่มนำเข้า “คีย์ทรูดา” ยารักษาโรคมะเร็งของเมอร์ค บริษัทเภสัชกรรมจากสหรัฐ จำนวน 24 ขวด เพื่อใช้รักษาผู้ป่วย 6 คน โดยในขณะนี้รัฐบาลจีนอนุญาตให้นำเข้าตัวยาดังกล่าวจากต่างประเทศได้ในปริมาณจำกัด เพื่อใช้ในศูนย์การท่องเที่ยวเชิงการแพทย์เท่านั้น และไม่อนุญาตให้มีการขยายการจัดจำหน่าย

อย่างไรก็ดี บลูมเบิร์กรายงานว่า หน่วยงานอาหารและยาของจีนกำลังพยายามปฏิรูประบบการอนุมัติการนำเข้ายามาจำหน่ายในจีน โดยมุ่งลดความล่าช้าในการดำเนินงานและอาจช่วยให้นำเข้ายาใหม่ดังกล่าวมาจำหน่ายในปริมาณมากขึ้น โดยหากความพยายามดังกล่าวสำเร็จ ไห่หนานอาจต้องหาจุดขายอื่นๆ มาทดแทนเรื่องตัวยาใหม่

ความท้าทายยังรออยู่

แม้ไห่หนานตั้งเป้าดึงดูดผู้บริโภคมาใช้บริการศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์กว่า 1 ล้านคน/ปี ภายในปี 2025 แต่การดำเนินดังกล่าวไม่ได้เกิดขึ้นอย่างง่ายดาย เนื่องจากศูนย์การแพทย์ไห่หนานตั้งอยู่ในเขตห่างไกล และยังมีปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ในประเทศ

“ในการสร้างศูนย์บริการการแพทย์ที่มีประสิทธิภาพนั้น จำเป็นต้องดึงดูดบุคลากรที่มีความสามารถมาทำงานและอาศัยอยู่ในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้แม้แต่ในหลายเมืองใหญ่ของจีนยังขาดแคลนแพทย์ฝีมือดี” เฉินโป๋ เจ้าหน้าที่อาวุโสจากบริษัทที่ปรึกษาแมคเคนซีย์ กล่าวพร้อมเสริมว่าการขาดแคลนบุคลากรคุณภาพจะทำให้การดึงดูดผู้บริโภคมาใช้บริการเป็นเรื่องยาก

บลูมเบิร์กรายงานว่า ศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ในไห่หนานยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี โดยโรงพยาบาลราวครึ่งหนึ่งยังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ขณะที่โรงพยาบาลที่สร้างเสร็จแล้วยังไม่มีอุปกรณ์การแพทย์ แม้รัฐบาลท้องถิ่นระบุว่า โรงพยาบาล 5 แห่งเริ่มทดลองเปิดให้บริการภายในสิ้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาก็ตาม

ด้าน เอเวอร์แกรนด์ บริษัทให้บริการทางการแพทย์จากกว่างโจว เปิดเผยว่า กำลังวางแผนลงทุน 5,000 ล้านหยวน (ราว 2.5 หมื่นล้านบาท) เพื่อสร้างโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งโดยเฉพาะ ขณะที่โรงพยาบาลบริกแฮมจากสหรัฐ ซึ่งคอยให้คำปรึกษากับเอเวอร์แกรนด์ ระบุว่าจะยังคงให้ความช่วยเหลือเอเวอร์แกรนด์ในการพัฒนาโปรแกรมการรักษาโรคและฝึกอบรมพนักงานต่อไป

ขณะเดียวกัน หลี่เพ่ยจวน นักวิเคราะห์จากฟอร์เวิร์ด อินดัสตรีส์ อินสติติวท์ สถาบันวิจัยในจีน ระบุว่า สภาพแวดล้อมอันสวยงามของไห่หนานเป็นปัจจัยหนุนการสร้างศูนย์กลางการท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ แต่ท้ายที่สุดแล้วคุณภาพการบริการมาตรฐานด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมถึงค่ารักษาพยาบาลจะเป็นตัวชี้วัดความสำเร็จ

 

‘100’วันแรก‘ทรัมป์’ นโยบายขายฝันไปไม่ถึงครึ่ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 เมษายน 2560 เวลา 09:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/492229

‘100’วันแรก‘ทรัมป์’ นโยบายขายฝันไปไม่ถึงครึ่ง

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ จะทำงานครบรอบ 100 วัน ในฐานะประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ ในวันที่ 29 เม.ย.ที่จะถึงนี้ โดยทรัมป์เปิดเผยแผนการปฏิรูปภาษีครั้งใหญ่ไม่กี่วันก่อนหน้านั้น แต่แผนการดังกล่าวยังคงเต็มไปด้วยคำถาม เนื่องจากขาดรายละเอียดในส่วนที่สำคัญโดยเฉพาะการจัดการกับงบประมาณขาดดุล

สตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังสหรัฐ เปิดเผยแผนปฏิรูปภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ ซึ่งมีจุดมุ่งหมายเพื่อผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจและสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน รวมถึงทำให้ระบบภาษีมีความซับซ้อนน้อยลง

แผนการณ์ดังกล่าวประกอบไปด้วยภาษีสำหรับบุคคลธรรมดา โดยปรับลดภาษีรายได้สุทธิจาก 7 ช่วง ระหว่าง 10-39.6% เหลือ 3 ช่วง ได้แก่ 10% 25% และ 35% ส่วนสำหรับภาคธุรกิจ ทรัมป์จะลดภาษีนิติบุคคลจาก 35% เหลือ 15% และเสนอจะใช้ระบบภาษีที่เก็บในเขตแดน ซึ่งจะเก็บภาษีเฉพาะรายได้ที่อยู่ในสหรัฐและไม่นับรายได้จากต่างประเทศ โดยรายได้จากต่างแดนของบริษัทใหญ่นั้น มนูชินเสนอจะเก็บภาษีในรูปแบบครั้งเดียวจบแต่ยังไม่มีการเปิดเผยรายละเอียด

มนูชิน เปิดเผยว่า รัฐบาลต้องการให้เศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวให้ได้มากกว่า 3% ซึ่งเป็นระดับที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ปี 2005 หลังเศรษฐกิจสหรัฐโตอยู่ที่ราว 2% นับตั้งแต่เศรษฐกิจถดถอยช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008-2009 โดยการปรับลดภาษีจะช่วยกระตุ้นให้ภาคธุรกิจลงทุนเพิ่มในสินทรัพย์ถาวร และยังช่วยให้เอกชนสหรัฐไม่ออกไปดำเนินกิจการนอกประเทศที่มีอัตราภาษีถูกกว่า

อย่างไรก็ตาม แผนปฏิรูปภาษีดังกล่าวยังขาดรายละเอียด โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวกับการจัดการเรื่องการขาดดุลงบประมาณที่พรรครีพับลิกันพยายามที่จะทำให้ปรับตัวลดลง โดย อลัน โคล นักเศรษฐศาสตร์ของแท็กซ์ ฟาวน์เดชั่น คาดการณ์ว่าการปรับลดภาษีนิติบุคคลเพียงอย่างเดียว จะทำให้รัฐบาลขาดรายได้ไปถึงราว 2 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 70 ล้านล้านบาท) ในอีก 10 ปีข้างหน้า หากคิดบนสมมติฐานว่าเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวมากถึง 2.8% ต่อปี

นอกจากนี้ แม้การปรับลดภาษีของทรัมป์จะทำให้เศรษฐกิจมีแนวโน้มขยายตัว แต่ อีธาน แฮร์ริส หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของแบงก์ออฟอเมริกา เมอร์ริล ลินช์ เปิดเผยว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีแนวโน้มจะขึ้นดอกเบี้ยตามให้สอดคล้องอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นตามเศรษฐกิจ โดยการขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวจะไปชะลอการขยายตัวของเศรษฐกิจในท้ายที่สุด

‘ชัตดาวน์’ ยังตามหลอน

แม้ทรัมป์จะถอนงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงตามแนวชายแดนเม็กซิโกไปแล้ว แต่ความเสี่ยงที่จะเกิดการชัตดาวน์ยังคงอยู่ โดยภาวะดังกล่าวคือการที่รัฐบาลระงับจ่ายงบให้หน่วยงานต่างๆ เนื่องจากรัฐสภายังไม่สามารถผ่านงบประมาณสำหรับตั้งแต่วันที่ 29 เม.ย.-30 ก.ย. ภายในสัปดาห์นี้ หลังทั้งสองพรรคยังตกลงกันไม่ได้ในหลายส่วน เช่น งบประมาณการสร้างกำแพงและงบประมาณประกันสุขภาพโอบามาแคร์

พรรครีพับลิกันจึงหาทางออกด้วยการพยายามขยายเวลาการเจรจางบประมาณดังกล่าวให้มากขึ้น โดยประกาศจะเปิดลงมติงบประมาณระยะสั้นเพียง 1 สัปดาห์ ซึ่งช่วยให้หน่วยงานรัฐยังคงทำงานไปได้จนถึงวันที่ 5 พ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาคาดจะผ่านงบประมาณระยะสั้นดังกล่าวในร่างงบประมาณระยะสั้นครอบคลุมถึงค่าใช้จ่ายตามระบบประกันสุขภาพโอบามาแคร์ ซึ่งช่วยจ่ายบางส่วนของประกันสุขภาพให้กับประชาชน โดยงบประมาณสำหรับการประกันสุขภาพเป็นหนึ่งในประเด็นที่สองพรรคใหญ่ของสหรัฐทั้งรีพับลิกันและเดโมแครตเห็นไม่ตรงกัน เช่นเดียวกับงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงของทรัมป์

สงครามการค้าระอุ

นับตั้งแต่ทรัมป์ขึ้นเป็นประธานาธิบดีมาได้ 99 วัน ประเทศคู่ค้าต่างจับตาสหรัฐอย่างใกล้ชิด โดยทรัมป์ได้ลงนามคำสั่งพิเศษให้สอบสวน 16 ประเทศคู่ค้าที่มีการค้าเกินดุลกับสหรัฐ ซึ่งรวมถึงไทยด้วย และยังสั่งให้กระทรวงพาณิชย์ไปสอบสวนสินค้านำเข้าเป็นรายชนิดว่ากระทบกับความมั่นคงของสหรัฐหรือไม่

ล่าสุด วิลเบอร์ รอสส์ รัฐมนตรีพาณิชย์ของสหรัฐ รับคำสั่งจากทรัมป์ให้เปิดสอบสวนอะลูมิเนียมความบริสุทธิ์สูง ที่สหรัฐนำเข้ามาเพื่อสร้างยานยนต์ทางการทหาร เช่น เครื่องบินทหารและยานพาหนะหุ้มเกราะว่ากระทบกับความมั่นคงหรือไม่ โดยหากพบความผิดปกติประธานาธิบดีมีอำนาจตามกฎหมายออกมาตรการจำกัดการนำเข้าได้

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวเกิดขึ้น หลังรอสส์ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์วอลสตรีทเจอร์นัลว่าสหรัฐเตรียมสอบสวนประเด็นดังกล่าวในหลายภาคอุตสาหกรรม อาทิ เซมิคอนดักเตอร์ การต่อเรือ และอะลูมิเนียม

นอกจากนี้ สหรัฐยังตั้งกำแพงภาษีระหว่าง 3-24.1% กับสินค้าประเภทไม้แปรรูปจากแคนาดา โดยให้เหตุผลว่าแคนาดาอุดหนุนสินค้าดังกล่าวอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งผู้ผลิตสหรัฐ ระบุว่า ค่าธรรมเนียมในการตัดไม้ในพื้นที่ของรัฐบาลแคนาดาต่ำกว่าราคาตลาดมาก

อย่างไรก็ตาม ทรัมป์สร้างความประหลาดใจในวันที่ 27 เม.ย.ที่ผ่านมา โดยยืนยันจะไม่ออกจากข้อตกลงเขตการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟต้า) เพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังมีกระแสข่าวว่าทรัมป์จะใช้คำสั่งพิเศษถอนสหรัฐออกจากนาฟต้า ซึ่งเป็นข้อตกลงระหว่างสหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก

 

ค้าปลีกมะกันสู้ไม่ไหว ทยอยปิดตัวทุบสถิติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 เมษายน 2560 เวลา 09:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/490024

ค้าปลีกมะกันสู้ไม่ไหว ทยอยปิดตัวทุบสถิติ

โดย…ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์

ค้าออนไลน์ หรืออี-คอมเมิร์ซ กำลังได้รับความนิยมและเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วในปัจจุบัน โดยภาคค้าปลีกแบบมีหน้าร้านต่างพยายามปรับตัวเพื่อแข่งขันกับการค้าออนไลน์ แต่ก็ใช่จะเป็นผู้รอดชีวิตในยุคเทคโนโลยีเสมอไป

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ค้าปลีกในสหรัฐทำสถิติการปิดตัวใหม่ไปแล้วในปีนี้ โดยธนาคารเครดิตสวิส เปิดเผยว่า จำนวนสาขาที่ประกาศปิดตัวในช่วงไตรมาสแรกของปี และ 1 สัปดาห์แรกของเดือน เม.ย. อยู่ที่ 2,880 แห่ง เมื่อเทียบกับของทั้งปี 2016 ที่อยู่ที่ 1,153 แห่ง
นอกจากนี้ คริสเตียน บัส นักวิเคราะห์ของเครดิตสวิส เปิดเผยว่า หากค้าปลีกยังปิดตัวในสัดส่วนเช่นเดียวกับทุกปี จะส่งผลให้จำนวนร้านค้าที่ปิดตัวในปีนี้สูงถึง 8,640 แห่ง มากกว่าสถิติเดิมในปี 2008 ที่ 6,200 แห่ง
รายล่าสุดที่ประกาศปิดตัวคือ รูว์21 (Rue21) ร้านเสื้อผ้าลำลองวัยรุ่น ประกาศเตรียมยื่นขอการคุ้มครองจากการล้มละลายตามกฎหมายฟื้นฟูกิจการจากศาลสหรัฐไปเมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา และอาจต้องปิดสาขา 1,000 แห่ง ตามหลังเพย์เลส ชูซอร์ส ค้าปลีกรองเท้า ซึ่งปิดสาขาที่ไม่ทำกำไรในสหรัฐและเปอร์โตริโกจำนวน 400 สาขา จากทั้งหมดราว 4,400 สาขา ใน 30 ประเทศ เพราะการแข่งขันที่สูงขึ้นจากอี-คอมเมิร์ซ
การปิดตัวของค้าปลีกกระทบกับการจ้างงานภายในสหรัฐ​ โดยจากข้อมูลของกระทรวงแรงงานสหรัฐ พบว่าในเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ภาคค้าปลีกปรับลดพนักงานมากถึง 3 หมื่นอัตรา ย่ำแย่ที่สุดตั้งแต่ปี 2009 ซึ่งเป็นช่วงหลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจโลก
“ทุกวันนี้ความสะดวกสบายคือ การนั่งใส่ชั้นในอยู่ในบ้านและเล่นโทรศัพท์มือถือหรือไอแพดเหตุผลสำหรับเดินทางไปห้างร้านและจำนวนการเดินทางไปยังห้างร้านจะแตกต่างจากแต่ก่อน” บัส กล่าว
ไม่อาจสู้ยักษ์

ค้าปลีกแบบมีหน้าร้านพยายามที่จะปรับตัวรับกับยุคอี-คอมเมิร์ซ และเข้าสู่ตลาดค้าออนไลน์มากขึ้น เช่น เมซีส์ ห้างค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐ​ เตรียมลดพนักงาน 6,200 อัตราในปีนี้ เพื่อประหยัดต้นทุน 550 ล้านเหรียญสหรัฐ​ (ราว 1.9 หมื่นล้านบาท) และจะลงทุนเพิ่มอีก 250 ล้านเหรียญสหรัฐ​ (ราว 8,750 ล้านบาท) ในธุรกิจดิจิทัล รวมถึงธุรกิจที่ยังทำกำไรในปัจจุบัน เช่น ห้างร้านในจีนและธุรกิจออฟ-ไพรส์

อย่างไรก็ตาม ในด้านการค้าออนไลน์นั้นกลับไม่สามารถสู้อเมซอนดอทคอม ค้าปลีกยักษ์ใหญ่ของสหรัฐได้ โดยจากข้อมูลของอี-มาร์เก็ตเตอร์ พบว่าในมูลค่ายอดค้าออนไลน์ทั้งหมดในสหรัฐ อเมซอนคว้าสัดส่วนไปมากถึง 53% มากกว่าค้าออนไลน์ทุกเจ้ารวมกัน ซึ่งอยู่ที่ 47%

“เป็นคำถามที่อุตสาหกรรมกำลังหาคำตอบ ผมไม่รู้ว่าจะมีห้างร้านกี่แห่งที่สามารถปรับตัวเองได้” โนเอล เฮอเบิร์ต นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก กล่าว

สำหรับเศรษฐกิจสหรัฐแล้ว ห้างร้านที่ย่ำแย่จะส่งผลกระทบมากกว่าประเทศอื่น โดย ริชาร์ด เฮย์น ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของเออร์บาน เอาต์ฟิตติ้ง ระบุว่า เป็นเพราะห้างร้านในสหรัฐมีสัดส่วนมากกว่าประเทศอื่นๆ

“พื้นที่ห้างร้านต่อหัวประชากรในสหรัฐสูงกว่าญี่ปุ่นหรือยุโรปถึง 6 เท่า และยังไม่ได้นับรวมค้าออนไลน์” เฮย์น กล่าว

สินค้าอุปโภค-บริโภคปรับตัวสู้

ผู้ผลิตสินค้าส่งให้ตามซูเปอร์มาร์เก็ตยักษ์ใหญ่ของโลกอย่าง “ยูนิลีเวอร์” เองก็จำเป็นต้องปรับตัวเพื่อรับมือกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป โดยล่าสุดยูนิลีเวอร์ได้จับมือกับ “ลาซาด้า” อี-คอมเมิร์ซชื่อดังของสิงคโปร์ ซึ่งอาลีบาบายักษ์ค้าออนไลน์จากแดนมังกรเป็นผู้สนับสนุน เพื่อผลักดันการจำหน่ายสินค้าอุปโภค-บริโภคทั่วไปที่ซื้อง่ายขายคล่อง (Fast-Moving Consumer Goods : FMCG) เช่น สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ผ่านช่องทางออนไลน์ในภูมิภาคอาเซียน

ก่อนหน้านี้ อาลีบาบาและยูนิลีเวอร์เคยทำข้อตกลงร่วมมือในรูปแบบที่คล้ายคลึงมาแล้วในปี 2015 ซึ่งเปิดโอกาสให้ยูนิลีเวอร์สามารถจำหน่ายสินค้าในจีนมากยิ่งขึ้น หลังยอดขายบริษัทร่วงลง 20% เมื่อปี 2014

หลังยูนิลีเวอร์ปฏิเสธข้อตกลงเข้าซื้อกิจการของคราฟต์ ไฮนซ์ บริษัทอาหารรายใหญ่อันดับ 5 ของโลกจากสหรัฐ มูลค่า 1.43 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5 ล้านล้านบาท) ยูนิลีเวอร์ถึงคราวปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ ด้วยการประกาศขายแบรนด์สเปรดทาขนมปังที่รู้จักกันดีอย่าง ฟลอร่า มาการีนชื่อดัง และมาร์ไมท์ สเปรดทางขนมปัง

การขายกิจการดังกล่าวคาดจะมีมูลค่าอยู่ที่ราว 6,000 ล้านเหรียญสหรัฐ​ (ราว 2.1 แสนล้านบาท) โดยการขายครั้งนี้เป็นการขายธุรกิจที่ยอดขายลดลงอย่างต่อเนื่อง หลังความกังวลด้านไขมันอิ่มตัวและอาหารแปรรูปกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ของผู้บริโภค ซึ่งยอดขายมาการีนทั่วสหราชอาณาจักรปรับลดลง 12% เมื่อปีที่แล้ว

 

‘เคเอฟซี’ปรับแผนใหญ่ เลิกซื้อไก่ใช้ยาปฏิชีวนะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 เมษายน 2560 เวลา 07:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/489351

‘เคเอฟซี’ปรับแผนใหญ่ เลิกซื้อไก่ใช้ยาปฏิชีวนะ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

“เคเอฟซี” ซึ่งเป็นร้านฟาสต์ฟู้ดชื่อดังในเครือของบริษัท ยัม แบรนด์ส อิงค์ ได้กลายเป็นเชนร้านฟาสต์ฟู้ดไก่ใหญ่สุดรายที่ 2 ในสหรัฐ ที่ประกาศแผนเตรียมยกเลิกการซื้อไก่ที่ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งหมด โดยให้เวลาซัพพลายเออร์จนถึงสิ้นปี 2018 เพื่อปรับตัวยุติการใช้ยาปฏิชีวนะในไก่ ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาแบคทีเรียดื้อยาปฏิชีวนะ (ซูเปอร์บั๊ก) ที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ต่อมนุษย์ในปัจจุบัน

ทิศทางของเคเอฟซีมีขึ้นหลังจากที่ร้าน “ชิคฟิลเล” ซึ่งเป็นเครือร้านฟาสต์ฟู้ดไก่ชื่อดังในสหรัฐได้ประกาศตั้งแต่ปี 2014 ว่าจะเลิกรับซื้อเนื้อไก่ที่ใช้ยาปฏิชีวนะทั้งหมดภายในสิ้นปี 2019 เช่นเดียวกับร้าน “แมคโดนัลด์” ที่ประกาศไม่ใช้ไก่มียาปฏิชีวนะในร้าน 1.4 หมื่นแห่งทั่วสหรัฐไปเมื่อปีที่แล้ว และส่งผลให้อุตสาหกรรมผู้ประกอบกิจการเนื้อไก่ต้องเร่งปรับตัว

รอยเตอร์ส ระบุว่า ยาปฏิชีวนะที่ใช้ต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ในมนุษย์ทุกวันนี้ถูกขายไปเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมเนื้อและปศุสัตว์ถึงราว 70% ขณะที่บรรดานักวิจัยทางการแพทย์กังวลว่าการใช้ยาปฏิชีวนะดังกล่าวในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการใช้ยาต้านเชื้อในมนุษย์

“เราตระหนักว่าเรื่องนี้กำลังเป็นความกังวลต่อสุขภาพของสาธารณชนมากขึ้น และเป็นเรื่องที่สำคัญต่อลูกค้าจำนวนมากของเรา ซึ่งเราจำเป็นต้องดำเนินการเพื่อแสดงให้เห็นว่าแบรนด์ของเรามีการใส่ใจและปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์” เควิน ฮอคแมน ประธานเคเอฟซี สหรัฐ กล่าว

ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวจะปรับใช้เฉพาะในร้านเคเอฟซีราว 4,200 สาขาในสหรัฐเท่านั้น ซึ่งครอบคลุมถึงฟาร์มไก่ราว 2,000 แห่งในประเทศ และยังไม่มีนโยบายขยายไปในต่างประเทศ

สหรัฐหันตื่นตัวไก่ปลอดยา

หลังจากที่เผชิญการรณรงค์และแรงกดดันจากบรรดานักเคลื่อนไหวและผู้บริโภคมากขึ้น บรรดาบริษัทอาหารรายใหญ่และร้านอาหารในสหรัฐได้ยอมรับการจำกัดวงการใช้ยาปฏิชีวนะในเนื้อสัตว์กันมากขึ้น

เมื่อเดือนที่ผ่านมา บริษัท ไทสัน ฟู้ดส์ ได้ให้คำมั่นว่าจะไม่ใช้ยาปฏิชีวนะในผลิตภัณฑ์เนื้อไก่อีก หลังจากที่เคยประกาศจะจำกัดการใช้ยาในไก่ต้มสุกไปแล้วก่อนหน้านี้ และยังมีแผนที่จะลดการใช้ยาในเนื้อสัตว์อื่นๆ อาทิ เนื้อหมู เนื้อวัว และเนื้อไก่งวงด้วย เพียงแต่ยังไม่กำหนดช่วงเวลาที่ชัดเจน ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่าท่าทีของผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ที่สุดในประเทศครั้งนี้ คือหลักฐานที่บ่งชี้ถึงเทรนด์การปรับตัวของบริษัทขนาดใหญ่

“เราลดการใช้ยาปฏิชีวนะของคนในสัตว์ เพราะถือเป็นความรับผิดชอบต่อการรักษาสมดุลระหว่างความกังวลเรื่องสุขภาพของคนทั่วโลกกับสวัสดิภาพของสัตว์” โฆษกของไทสัน ฟู้ดส์ กล่าวกับเอเอฟพี

ทั้งนี้ บรรดานักวิทยาศาสตร์หลายฝ่ายต่างเชื่อว่า การใช้ยาปฏิชีวนะที่มากเกินไปในอุตสาหกรรมเนื้อสัตว์เป็นส่วนหนึ่งของปัญหาการดื้อยาในคนปัจจุบันนี้ ไม่ว่าจะเป็นยาที่รักษาโรคปอดบวม การติดเชื้อ และโรคอื่นๆ ซึ่งมีรายงานพบการดื้อยาถึงขั้นเสียชีวิตมากขึ้น เพราะยาปฏิชีวนะที่แรงที่สุดกลับใช้ไม่ได้ผลในผู้ป่วยบางราย

การปรับตัวของอุตสาหกรรมอาหารในสหรัฐ ยังมีขึ้นหลังจากที่ที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นจีเอ) ออกมติในการประชุมเมื่อเดือน ก.ย. 2016 โดยให้คำมั่นว่า ประชาคมโลกจะร่วมมือกันเพื่อต่อสู้กับปัญหาการดื้อยาดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันมีบริษัทในอุตสาหกรรมเนื้อไก่กว่า 42% แล้วที่ให้คำมั่นว่าจะลดการใช้ยาลง

อย่างไรก็ดี เอเอฟพี ระบุว่า ปริมาณเนื้อไก่ที่ปลอดจากการใช้ยาปฏิชีวนะในสหรัฐยังมีสัดส่วนเพียงประมาณ 40-50% เท่านั้น โดยบางบริษัทยังปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือในเรื่องนี้ อาทิ บริษัท แซนเดอร์สัน ฟาร์ม ซึ่งเป็นอีกหนึ่งผู้ผลิตเนื้อไก่รายใหญ่ในสหรัฐ ขณะที่จำนวนเนื้อสัตว์ปลอดยาปฏิชีวนะยังมีจำนวนน้อยลงไปอีกในกลุ่มเนื้อหมูและเนื้อวัว

“ทุกวันนี้ผู้บริโภคและหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่างเรียกร้องเรื่องเนื้อสัตว์ปลอดยากันมากขึ้น ทว่าก็ยังดูเป็นเพียงกระแสหรือเป็นเทรนด์ในระยะยาวที่ยังต้องจับตาดูกันต่อไปมากกว่า” เซน อักบารี นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมอาหารจากมอร์นิ่งสตาร์ กล่าว

 

อี-เพย์เมนต์บุกเอเชีย จับเทรนด์ตลาดเกิดใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 เมษายน 2560 เวลา 07:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/488910

อี-เพย์เมนต์บุกเอเชีย จับเทรนด์ตลาดเกิดใหม่

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ตลาดดิจิทัลเพย์เมนต์หรือการชำระเงินในรูปแบบดิจิทัลต่างๆ กำลังเข้ามาขยายตัวในตลาดเอเชียแปซิฟิก เช่น อินเดีย อินโดนีเซีย และจีน หลังความนิยมการชำระเงินออนไลน์ในภูมิภาคดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น

วอตส์แอพ แอพพลิเคชั่นแชตชื่อดังของเฟซบุ๊ก อิงค์ วางแผนเข้าตีตลาดการชำระเงินออนไลน์ในอินเดีย ซึ่งนับเป็นตลาดต่างประเทศที่แรกของวอตส์แอพ และกลายเป็นการแข่งโดยตรงกับ “เพย์ทีเอ็ม” แพลตฟอร์มดิจิทัลเพย์เมนต์ที่ได้รับการสนับสนุนโดยอาลีบาบายักษ์ใหญ่อี-คอมเมิร์ซจากจีน

อินเดียนับเป็นตลาดด้านดิจิทัลเพย์เมนต์ที่เติบโตอย่างรวดเร็ว โดยประชาชนนิยมการชำระเงินในรูปแบบดังกล่าวมากขึ้น หลังรัฐบาลอินเดียประกาศยกเลิกใช้ธนบัตร 500 และ 1,000 รูปี เมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา จนทำให้เงินสดขาดแคลน

หนึ่งในผู้ให้บริการที่เริ่มเข้าไปในตลาดอินเดีย คือ ทรูคอลเลอร์ สตาร์ทอัพจากสวีเดน โดยทรูคอลเลอร์จับมือกับไอซีไอซีไอแบงก์ เพื่อให้บริการการชำระ

เงินผ่านโทรศัพท์มือถือ หลังทรูคอลเลอร์เป็นที่นิยมอย่างมากในอินเดียและมีผู้ใช้มากกว่า 150 ล้านคนในอินเดีย เทียบกับทั่วโลกที่ 250 ล้านคน ทั้งนี้ ทีแรกทรูคอลเลอร์เข้าไปในอินเดียในฐานะผู้ให้บริการยืนยันตัวตนผ่านหมายเลขโทรศัพท์และตรวจสแปม

เพย์พัลปรับกลยุทธ์

เพย์พัลผู้ให้บริการชำระเงินออนไลน์รายใหญ่ของโลกขยายความเป็นหุ้นส่วนกับวีซ่าผู้ให้บริการบัตรเครดิตรายใหญ่ไปยังเอเชียแปซิฟิก นอกเหนือจากสหรัฐ​ โดยความเป็นหุ้นส่วนดังกล่าวจะช่วยให้ร้านค้าปลีกรายย่อยซึ่งรับชำระบัตรเครดิตของวีซ่าสามารถรับชำระเงินผ่านเพย์พัลได้ ขณะที่ผู้ใช้บัญชีเพย์พัลก็สามารถใส่เงินจากบัญชีเพย์พัลเข้าในบัญชีของวีซ่าที่ชื่อ วีซ่าไดเรกต์ ได้

ดังนั้น ความเป็นหุ้นส่วนดังกล่าวจะช่วยให้ธนาคารที่ออกบัตรวีซ่ามีทางเลือกให้กับลูกค้ามากขึ้น ด้วยการเสนอการชำระเงินผ่านเพย์พัลและยังกระตุ้นให้ร้านค้าปลีกรายย่อยหันมาเปิดรับเพย์พัลมากขึ้น แม้ในปัจจุบันมีผู้ใช้เพย์พัลในเอเชียแปซิฟิกมากถึง 200 ล้านคน แต่เพย์พัลประสบปัญหาการร้องเรียนจากลูกค้าที่ไม่สามารถใช้เพย์พัลได้เต็มที่จากความไม่แพร่หลาย

จิม มาแก็ต หัวหน้าฝ่ายชำระเงิน ผลิตภัณฑ์ และวิศวกรรมของเพย์พัล กล่าวว่า เพย์พัลกำลังพยายามเพิ่มฐานลูกค้าในตลาดเกิดใหม่อย่างอินเดียและอินโดนีเซีย ซึ่งในปัจจุบันแม้ประชากรจำนวนมากยังไม่สามารถเข้าถึงบริการของธนาคาร แต่สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตบนโทรศัพท์มือถือ โดย 1 ใน 3 ของธุรกรรมทั้งหมดของเพย์พัลเป็นการชำระเงินด้วยโทรศัพท์มือถือ

สำหรับอินโดนีเซียปัญหาการเข้าถึงธนาคารส่งผลให้บริการชำระเงินผ่านจุดบริการชำระเงินต่างๆ กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยแกร็บผู้ให้บริการไรด์-แชริ่ง ตกลงเข้าซื้อ คูโด สตาร์ทอัพด้านบริการชำระเงินในรูปแบบดังกล่าว ซึ่งสำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า มูลค่าการเข้าซื้อดังกล่าวอยู่ที่ 100 ล้านเหรียญสหรัฐ​ (ราว 3,500 ล้านบาท)

กังวลความปลอดภัย

จีนเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับดิจิทัลเพย์เมนต์ โดยมียอดชำระเงินออนไลน์เพิ่มขึ้นจาก 12 ล้านล้านหยวน (ราว 60 ล้านล้านบาท) ในปี 2015 เป็น 19 ล้านล้านหยวน (ราว 95 ล้านล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว ขณะที่จากข้อมูลของบิ๊กดาต้า รีเสิร์ชในกรุงปักกิ่ง พบว่ายอดชำระเงินผ่านทางโทรศัพท์มือถือปรับขึ้นถึง 200% ส่งผลให้จีนกลายเป็นประเทศหนึ่งที่มุ่งหน้าเข้าสู่สังคมไร้เงินสด

อย่างไรก็ตาม ความกังวลด้านความปลอดภัยเริ่มเพิ่มมากขึ้นในจีน หลังประสบกรณีหลอกลวงหลายครั้ง โดยหนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ รายงานว่า ล่าสุดเกิดกรณีเกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงคิวอาร์โค้ด ที่แฝงด้วยไวรัสและขโมยข้อมูลของผู้ใช้บริการ ทั้งข้อมูลในสมาร์ทโฟนและบัญชีธนาคาร ซึ่งในมณฑลกวางตุ้งมีการขโมยเงินด้วยวิธีดังกล่าวมากถึง 90 ล้านหยวน

หลิวชิงเฟิง ประธานของไอฟลายเท็ค ผู้ให้บริการคลาวด์เซอร์วิส เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน 23% ของไวรัสโทรจันมาจากคิวอาร์โค้ดซึ่งยากต่อการตรวจจับ เนื่องจากผู้ใช้ไม่สามารถแยกแยะของจริงและของปลอมด้วยตาเปล่า

 

‘ลาซาด้า’ผนึก‘ยูนิลีเวอร์’ รุกสินค้าผู้บริโภคอาเซียน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

31 มีนาคม 2560 เวลา 07:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/487767

‘ลาซาด้า’ผนึก‘ยูนิลีเวอร์’ รุกสินค้าผู้บริโภคอาเซียน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ลาซาด้า อี-คอมเมิร์ซชื่อดังของสิงคโปร์ ซึ่งอาลีบาบา ยักษ์อี-คอมเมิร์ซรายใหญ่จากจีนซื้อกิจการไปเมื่อปีที่ผ่านมา จับมือเป็นพันธมิตรครั้งใหม่กับยูนิลีเวอร์ บริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคสัญชาติอังกฤษ เพื่อผลักดันการจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปที่ซื้อง่ายขายคล่อง (เอฟเอ็มซีจี) เช่น สบู่ แชมพู ยาสีฟัน ผ่านช่องทางออนไลน์ในภูมิภาคอาเซียน

ซีเอ็นบีซี รายงานว่า ทั้งสองบริษัทจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิดในด้านซัพพลายเชน การตลาด การแลกเปลี่ยนข้อมูล การจำหน่ายสินค้าบนสื่อโซเชียล รวมถึงการพัฒนาความสามารถบุคลากร เพื่อขยายธุรกิจในภูมิภาค

“เป้าหมายบริษัทคือการแสวงหาหนทางที่ดีกว่าในการจับตลาดชนชั้นกลางทั่วเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วและสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มนี้โดยตรง” แม็กซิมิเลียน บิตต์เนอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของลาซาด้า กรุ๊ป กล่าว

ทั้งนี้ ตลาดสินค้าเอฟเอ็มซีจีนในอาเซียน คาดว่าจะขยายตัวแตะ 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.6 แสนล้านบาท) ภายในปี 2020 ขณะที่หน่วยธุรกิจนี้ของลาซาด้าปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่งเช่นกัน โดยขยายตัวถึง 181% ในปี 2016 จากปีก่อนหน้านี้ เติบโตสูงสุดเมื่อเทียบกับสินค้าประเภทอื่นๆ โดยในปัจจุบัน ลาซาด้าขายสินค้าทั้งหมด 39 ล้านรายการในอาเซียน ครอบคลุมตั้งแต่อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ เครื่องใช้ภายในบ้าน และสินค้าแฟชั่น

รอยเตอร์ส รายงานว่า ยูนิลีเวอร์เป็นบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอิทธิพลในอาเซียน โดยที่ผ่านมา ยอดขายสัดส่วนกว่าครึ่งหนึ่งของบริษัทมาจากกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ ขณะที่การจำหน่ายสินค้าในตลาดอื่นๆ เช่น สหรัฐ จีน และอินเดีย มีสัญญาณปรับตัวขึ้นเช่นกัน

ด้าน ปิแอร์ ลุยกี ซิจิสมอนดี ประธานยูนิลีเวอร์ประจำเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และออสเตรเลีย กล่าวว่า การเป็นพันธมิตรกับลาซาด้าจะช่วยเพิ่มยอดขายสินค้าออนไลน์ให้บริษัทถึง 3 เท่า เมื่อเทียบกับช่วงปี 2015-2016 พร้อมเสริมว่า ยอดขายสินค้าออนไลน์ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือนในปี 2016

“เทรนด์ผู้บริโภคกำลังเปลี่ยนสู่การซื้อสินค้าออนไลน์ ความร่วมมือครั้งนี้จึงน่าตื่นเต้นมาก” ซิจิสมอนดี กล่าว และระบุว่า ข้อมูลจากลาซาด้าจะช่วยให้ยูนิลีเวอร์เข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคได้ดีขึ้น และช่วยในการทำการตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าออนไลน์

ก่อนหน้านี้ อาลีบาบาและยูนิลีเวอร์เคยทำข้อตกลงร่วมมือในรูปแบบที่คล้ายคลึงมาแล้วในปี 2015 ซึ่งเปิดโอกาสให้ยูนิลีเวอร์สามารถจำหน่ายสินค้าในจีนมากยิ่งขึ้น หลังยอดขายบริษัทร่วงลง 20% เมื่อปี 2014

เทรนด์ซื้อของใช้ออนไลน์โต

ฟรอสต์ แอนด์ ซัลลิแวน บริษัทวิจัยตลาด เปิดเผยว่า การซื้อขายสินค้าออนไลน์คิดเป็นเพียง 2.5% จากสัดส่วนการค้าปลีกทั้งหมดในอาเซียน ซึ่งนับว่ายังไม่ได้ขยายตัวอย่างเต็มที่เมื่อเทียบกับการซื้อของออนไลน์ในจีน ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนกว่า 12%

ด้าน ไอจีดี บริษัทวิจัยตลาดค้าปลีก คาดการณ์ว่า การซื้อสินค้าอุปโภคบริโภคออนไลน์จะเติบโตอย่างโดดเด่นในปีนี้ เนื่องจากการขยายตัวของชนชั้นกลางในอาเซียน ผู้คนใช้สมาร์ทโฟนเพิ่มขึ้น และการเปิดตัวระบบการชำระเงินออนไลน์ใหม่ๆ พร้อมระบุว่า บริษัทค้าปลีกรายแรกๆ ที่รุกเข้าไปในภาคส่วนดังกล่าวเพื่อขยายช่องทางจำหน่ายสินค้า โดยเฉพาะในหลายเมืองใหญ่ทั่วภูมิภาคจะได้เปรียบกว่าคู่แข่งรายอื่นๆ

ขณะเดียวกัน ไอจีดี ยังระบุว่า สิงคโปร์เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ซึ่งการซื้อขายสินค้าอุปโภคบริโภคออนไลน์กำลังขยายตัวต่อเนื่อง โดยเมื่อสิ้นปี 2016 สัดส่วนการซื้อขายสินค้าดังกล่าวออนไลน์คิดเป็น 1.2% อยู่ที่ 130 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ราว 3,208 ล้านบาท) ของตลาดสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งหมด และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่สัดส่วน 4% คิดเป็น 500 ล้านเหรียญสิงคโปร์ (ราว 1.23 หมื่นล้านบาท)

นิก ไมล์ส หัวหน้าหน่วยธุรกิจประจำเอเชีย-แปซิฟิก ของไอจีดี เปิดเผยว่า เทรนด์ผู้บริโภคดังกล่าวทำให้บริษัทค้าปลีกต้องหาทางเพิ่มความสะดวกในการจัดส่งสินค้าให้มากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการส่งด่วนหรือการตั้งจุดรับและกระจายสินค้าทั่วอาเซียน

อย่างไรก็ดี ระบบโลจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานในอาเซียนนั้นยังมีไม่มากพอ เมื่อพิจารณาจากดัชนีวัดการพัฒนาด้านโลจิสติกส์ปี 2016 ที่ผ่านมาของธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ซึ่งระบุว่า กลุ่มประเทศอาเซียนเกือบทั้งหมดยกเว้นสิงคโปร์มีคะแนนด้านโลจิสติกส์ลดลง ซึ่งจะส่งผลให้ความพยายามเพิ่มความรวดเร็วในการส่งสินค้าของบรรดาบริษัทค้าปลีกอาจยังทำได้ไม่เต็มที่

 

โลกรับมือความเกลียดชัง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มีนาคม 2560 เวลา 08:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/486832

โลกรับมือความเกลียดชัง

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

กระแสความหวาดกลัวต่อผู้นับถือศาสนาอิสลาม หรืออิสลามโฟเบียกำลังมาแรงในยุโรป สังเกตได้จากการเลือกตั้งในภูมิภาค บรรดาผู้สมัครซึ่งมีแนวคิดขวาจัดและต่อต้านอิสลามกำลังมาแรง โดยเฉพาะในฝรั่งเศสที่ผลสำรวจล่าสุดพบว่า มารีน เลอ เปน จากพรรคเนชั่นแนลฟรอนต์ (เอฟเอ็น) มีคะแนนนำที่ 25% โดยหลายฝ่ายต่างหวาดกลัวว่ากรณีการโจมตีกรุงลอนดอนจะยิ่งจุดไฟความหวาดกลัวดังกล่าว

ตำรวจนครบาลอังกฤษ เปิดเผยชื่อผู้ก่อเหตุ คือ “คาลิด มาซูด” ชายสัญชาติอังกฤษ วัย 52 ปี อดีตผู้ต้องหาคดีครอบครองอาวุธหนักอย่างผิดกฎหมาย แต่ไม่เคยโดนข้อหาก่อการร้ายและไม่มีข่าวกรองใดบ่งชี้ว่ามาซูดจะก่อเหตุ แม้ก่อนหน้านี้หน่วยสืบราชการลับอังกฤษ (เอ็มไอไฟว์) เคยสอบสวนมาซูดครั้งหนึ่ง ด้วยความกังวลต่อพฤติกรรมรุนแรงตามแนวคิดสุดโต่ง

ผู้เชี่ยวชาญหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึงอายุของมาซูดที่มากผิดปกติสำหรับกลุ่มแนวคิดสุดโต่งอิสลามที่ก่อเหตุในลักษณะเดียวกัน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มวัยรุ่นถึงอายุราว 30 ปี โดยแม้เจ้าหน้าที่จะคาดการณ์ว่า มาซูดก่อเหตุเพียงลำพัง แต่เจ้าหน้าที่ได้รวบตัวผู้ต้องสงสัยเกี่ยวข้องเพิ่มอีก 2 ราย เป็น 10 ราย

ด้าน มาร์ก โรวลีย์ ผู้บัญชาการหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายตำรวจนครบาลอังกฤษ เปิดเผยว่า ชุมชนมุสลิมในอังกฤษต่างรู้สึกหวาดกลัวต่อการโต้กลับอย่างรุนแรงต่อชุมชนมุสลิม พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะร่วมมือกับผู้นำชุมชนต่างๆ เพื่อสร้างความปลอดภัย

หลังเกิดเหตุดังกล่าว เลอ เปน นักการเมืองฝรั่งเศสได้ใช้เหตุดังกล่าวเป็นตัวอย่างหนึ่งเพื่อเรียกร้องให้ฝรั่งเศสควบคุมชายแดนและปิดมัสยิดที่มีแนวโน้มสร้างแนวคิดสุดโต่ง โดยการเรียกร้องคล้ายกันดังกล่าวเกิดขึ้นในประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย ที่ พอลีน ฮันซัน วุฒิสภาจากควีนส์แลนด์ เรียกร้องให้มีการแบนมุสลิมจากเหตุก่อการร้ายในอังกฤษ

ขณะเดียวกัน แม้สภาผู้แทนราษฎรของแคนาดาผ่านญัตติเปิดทางให้รัฐบาลมีโครงการเพื่อต่อต้านความหวาดกลัวต่ออิสลาม และเรียกร้องให้รัฐบาลประณามอิสลามโฟเบีย การเหยียดเชื้อชาติ และการเลือกปฏิบัติทางศาสนา หลังมัสยิดและโบสถ์ชาวยิวตกเป็นเป้าโจมตีในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ทว่าผลสำรวจเปิดเผยว่า ชาวแคนาดาเพียง 29% เท่านั้นที่สนับสนุนให้ผ่านญัตติดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม นาวีด เมอร์ซา นักเรียนชาวมุสลิมในอังกฤษ ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า ได้รับกำลังใจอย่างท่วมท้นนับตั้งแต่เกิดเหตุดังกล่าว ซึ่งตำรวจระบุเป็นการก่อการร้ายที่เกี่ยวข้องกับอิสลาม โดยชุมชนมุสลิมในอังกฤษต่างร่วมประณามเหตุดังกล่าว ขณะที่ชาวมุสลิมในกรุงลอนดอนยังได้เปิดรับบริจาคเพื่อช่วยเหลือเหยื่อและครอบครัว ซึ่งได้รับเงินบริจาคมากกว่า 3,000 ปอนด์ (ราว 1.29 แสนบาท) ภายในชั่วโมงเดียวหลังเปิดรับบริจาคเมื่อวันที่ 22 มี.ค.

เร่งโครงการปรับทัศนคติยาก

หนังสือพิมพ์ เดอะ การ์เดี้ยน เปิดเผยว่า การก่อการร้ายในกรุงลอนดอนส่งผลให้โครงการปรับทัศนคติผู้มีแนวคิดสุดโต่งกลับมาได้รับความสนใจอีกครั้ง หลังความสนใจไปตกที่เบร็กซิต โดยไม่ใช่แค่เฉพาะผู้มีแนวคิดสุดโต่งอิสลามเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผู้มีแนวคิดขวาจัดและลัทธินีโอนาซีด้วยเช่นกัน ซึ่งมีผู้ที่เข้าร่วมโครงการ “ป้องกัน” (Prevent) ของกระทรวงมหาดไทยอังกฤษมากขึ้น ทำสถิติที่ 8,000 คน เมื่อเดือน เม.ย. 2016

ก่อนหน้านี้ เกิดเหตุมือปืนผู้มีแนวคิดขวาจัดบุกยิง โจ ค็อกซ์ สมาชิกผู้แทนราษฎรหญิงจากพรรคแรงงานเสียชีวิตเมื่อกลางปี 2016 ที่ผ่านมา ทว่าโครงการป้องกันของรัฐบาลกลับไม่ได้รับความนิยม เนื่องจากถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าละเมิดสิทธิมนุษยชน และเป็นการจัดการกับผู้ที่มีความเห็นต่างด้านนโยบายระหว่างประเทศของรัฐบาล เช่น คัดค้านการโจมตีกลุ่มก่อการร้ายในต่างแดน

“พวกเรามีโครงการที่ประสบความสำเร็จมากๆ ในการร่วมมือกับผู้คนเพื่อหยุดพวกเขา แต่คุณพูดถูก ที่ผ่านมาพวกเราต้องเรียนรู้อะไรอีกมาก เหนือสิ่งอื่นใดฉันต้องการให้ผู้คนตระหนักว่าพวกเราไม่ต้องการแค่โครงการเพื่อหยุดพวกเขา พวกเราต้องการโครงการที่สามารถเข้าถึงชุมชนได้รวดเร็ว เพื่อหยุดพวกเขาจากการกลายเป็นผู้มีแนวคิดสุดโต่ง” แอมเบอร์ รูดด์ รัฐมนตรีมหาดไทยอังกฤษ กล่าวกับบีซีซี

อังกฤษไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีโครงการลักษณะดังกล่าว ฝรั่งเศสและออสเตรเลียต่างมีโครงการดังกล่าวเช่นกัน แต่บางแห่งประสบกับความล้มเหลว

ฟาร์ฮัด โคสโรคาวาร์ นักสังคมวิทยา เปิดเผยกับสำนักข่าวฟรานซ์ 24 เมื่อเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า โครงการของฝรั่งเศสไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร เนื่องจากเปิดรับเฉพาะผู้สมัครใจที่เห็นตัวเองมีแนวคิดสุดโต่งเท่านั้น และโครงการดังกล่าวควรจับกลุ่มผู้ที่มีแนวโน้มกลายเป็นความเสี่ยงต่อสังคมด้วย  โดยโครงการในเดนมาร์กนับเป็นตัวอย่างได้ดี ซึ่งมีการให้คนหนุ่มสาวที่กลับจากอิรักและซีเรียเข้าร่วมโครงการด้วย

ขณะที่โรงเรียนมุสลิมหลายแห่งในซิดนีย์ของออสเตรเลียปฏิเสธที่จะสอนโครงการปรับเปลี่ยนทัศนคติลดความรุนแรง ที่รัฐบาลริเริ่มด้วยงบประมาณ 47 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,645 ล้านบาท) เนื่องจากยังไม่มีผลวิจัยหรือหลักฐานรองรับเพียงพอให้โรงเรียนสละเวลาบางส่วนเพื่อปรับทัศนคติลดความรุนแรงได้ ขณะที่ชุมชนมุสลิมในออสเตรเลียยังเห็นว่า โครงการดังกล่าวพัฒนาขึ้นมาโดยปราศจากการร่วมมือหรือปรึกษาโรงเรียนต่างๆ โดยเฉพาะโรงเรียนมุสลิม

ออสเตรเลียเป็นอีกหนึ่งประเทศที่กำลังเผชิญปัญหาแนวคิดรุนแรงจากคนรุ่นเยาว์ โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจออสเตรเลียได้ตั้งข้อหาเด็กชายวัย 16 ปี ที่ถูกจับกุมเมื่อปีที่แล้ว ในข้อหาวางแผนก่อเหตุกราดยิงและวางระเบิดในวันแอนแซก ซึ่งเป็นวันรำลึกทหารผ่านศึกของออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ในวันที่ 25 เม.ย.ของทุกปี ขณะที่ในปี 2015 เกิดเหตุเด็กชายวัย 15 ปี สังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจด้วยอาวุธปืนก่อนถูกวิสามัญ

 

ไล่ล่าก่อการร้ายอังกฤษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 มีนาคม 2560 เวลา 08:50 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/486622

ไล่ล่าก่อการร้ายอังกฤษ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

กรณีขับรถพุ่งชนผู้คนและใช้มีดแทงเจ้าหน้าที่ตำรวจหน้าอาคารรัฐสภาอังกฤษในย่านเวสต์มินสเตอร์ ใจกลางกรุงลอนดอน ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 4 ราย ซึ่งรวมถึงตัวผู้ก่อเหตุที่ถูกตำรวจวิสามัญในภายหลัง และบาดเจ็บอีกราว 29 รายนั้น กลายเป็นเหตุก่อการร้ายรอบใหม่และที่รุนแรงที่สุดในอังกฤษนับตั้งแต่ปี 2005 เป็นต้นมา และยังแสดงให้เห็นถึงรูปแบบการจู่โจมที่ยากจะป้องกันอีกด้วย

ล่าสุด เอพีรายงานว่า กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ออกมาอ้างความรับผิดชอบเหตุการณ์ดังกล่าว โดยระบุว่า นักสู้รายหนึ่งของกลุ่มเป็นผู้ก่อเหตุ

มาร์ก โรวลีย์ ผู้บัญชาการหน่วยต่อต้านการก่อการร้ายตำรวจนครบาลอังกฤษ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกปฏิบัติการบุกค้นที่พัก 6 แห่งทั่ว สหราชอาณาจักร และจับกุมผู้ต้องสงสัยเกี่ยวเนื่องจากเหตุดังกล่าวได้แล้ว 8 ราย โดยการก่อการร้ายในครั้งนี้เป็นการก่อการร้ายเพียงลำพัง ไม่ใช่เครือข่ายก่อการร้าย ทว่าได้รับแรงจูงใจจากการก่อการร้ายในต่างประเทศ

ทั้งนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวเริ่มต้นจากรถยนต์ยี่ห้อฮุนได ไอ40 สีเทาขับ พุ่งชนผู้ที่อยู่บนสะพานเวสต์มินสเตอร์มุ่งหน้าไปยังอาคารรัฐสภาที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ำเทมส์ ก่อนจะชนผู้คนที่อยู่บน ฟุตบาทและพุ่งเข้าใส่รั้วของอาคารรัฐสภา หลังจากนั้นคนร้ายเดินลงจากรถยนต์ ดังกล่าวและมุ่งไปทางประตูทางเข้า สังหารเจ้าหน้าที่ตำรวจผู้เฝ้าอยู่หน้าอาคารหนึ่งรายโดยการใช้มีดเล่มใหญ่แทง ก่อนจะถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงวิสามัญ

นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ เปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุเป็น ผู้มีสัญชาติอังกฤษ และทางหน่วยสืบราชการลับอังกฤษ (เอ็มไอไฟว์) เคยสอบสวนผู้ก่อเหตุคนดังกล่าวเมื่อหลายปีก่อน อย่างไรก็ตาม ผู้ก่อเหตุไม่ได้อยู่ในรายชื่อของหน่วยข่าวกรองในปัจจุบัน

นอกจากการตรวจค้นและจับกุม ซาดิก ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน ยังประกาศเพิ่มกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจตรวจตราความปลอดภัยเข้มข้นขึ้น ทั่วกรุงลอนดอน แม้อังกฤษจะยังคงระดับเตือนภัยการก่อการร้ายไว้ที่ระดับ 4 จากทั้งหมด 5 ระดับไม่เปลี่ยนแปลงก็ตาม และปิดบริเวณโดยรอบรัฐสภาอังกฤษ รวมถึงปิดบริการสถานีรถไฟใต้ดินเวสต์มินสเตอร์ชั่วคราว โดยเปิดให้บริการเฉพาะการเปลี่ยนสถานีเท่านั้น

ขณะเดียวกัน สกอตแลนด์เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยหลังการจู่โจมอาคารรัฐสภาอังกฤษ แม้จะยังไม่มีข่าวกรองเตรียมการก่อการร้ายในสกอตแลนด์ เอดินบะระ ขณะที่ยังเลื่อนการพูดคุยกรณีเตรียมเปิดประชามติแยกตัวออกเป็นอิสระรอบ 2 ออกไปจาก วันที่ 23 มี.ค.ที่ผ่านมา เป็นวันที่ 28 มี.ค.

สกัด ‘ก่อการร้ายทุนต่ำ’ ยาก

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ หนังสือพิมพ์เดอะการ์เดี้ยน สำนักข่าวรอยเตอร์ส และบีบีซี รายงานว่า การจู่โจมในครั้งนี้มีรูปแบบเดียวกับการขับรถบรรทุกพุ่งชนฝูงคนในเมืองนีซ ประเทศฝรั่งเศส เมื่อเดือน ก.ค. 2016 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 12 ราย และการขับรถพุ่งชนตลาดคริสต์มาสในกรุงเบอร์ลินเยอรมนี เมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 12 ราย โดยการก่อการร้ายดังกล่าวเป็นรูปแบบที่ดำเนินการได้ง่ายและมีต้นทุนต่ำ ทว่าป้องกันได้ยาก

“การโจมตีรูปนี้ ไม่ต้องการการ เตรียมการพิเศษ ต้นทุนจึงต่ำมาก และทุกคนก็สามารถทำได้” เซบาสเตียน ปีตราซานตา ผู้เชี่ยวชาญด้านก่อการร้ายจากพรรคสังคมนิยมในฝรั่งเศส เปิดเผยกับรอยเตอร์ส

คิม โฮเวลส์ อดีตประธานคณะกรรมการฝ่ายความมั่นคงและข่าวกรองของรัฐสภาอังกฤษ เปิดเผยว่า ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยข่าวกรองได้ทำหน้าที่เต็มที่เพื่อปกป้องกันเหตุก่อการร้ายแล้ว แต่การจะป้องกันการก่อการร้ายให้ได้ทั่งหมดเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ โดยหากทำพลาดแค่ครั้งเดียวหรือปล่อยให้คนร้ายหลุดรอดไปแค่คนเดียว ปัญหาก็จะตามมา

ก่อนหน้านี้ ตำรวจนครบาลอังกฤษเปิดเผยเมื่อปี 2016 ว่า หน่วยความมั่นคงและต่อต้านก่อการร้ายของอังกฤษสามารถสกัดเหตุก่อการร้ายได้ถึง 12 ครั้ง ในรอบ 2 ปีที่ผ่านมา โดยในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา หน่วยสืบราชการลับอังกฤษเอ็มไอไฟว์ ระบุว่า อังกฤษเผชิญกับภัยคุกคามด้านก่อการร้ายมาตลอด และมีแนวโน้มจะเกิดขึ้นจริง

ยกระดับความปลอดภัย

เจ้าหน้าที่ในหลายเมืองใหญ่ ทั่วโลกประกาศยกระดับการรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวดหลังเกิดเหตุ ดังกล่าว โดยตำรวจนิวยอร์ก สหรัฐ เพิ่มระดับการรักษาความปลอดภัยในบริเวณที่มีความเกี่ยวข้องกับอังกฤษ ทั้งสถานกงสุลในนิวยอร์ก และสำนักงานปฏิบัติการอังกฤษในสหประชาชาติ (ยูเอ็น) รวมถึงศาลกลางและสถานีรถไฟแกรนด์เซ็นทรัล ขณะที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิสหรัฐ ระบุว่า กำลังร่วมมือกับอังกฤษอย่างใกล้ชิดเพื่อสนับสนุนการสืบสวนเหตุการณ์ดังกล่าว

ด้านอิตาลีจะยกระดับมาตรการรักษาความปลอดภัย โดยเฉพาะในกรุงโรม รวมถึงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ เนื่องจากเป็นสถานที่จัดงานฉลองครบรอบ 60 ปี สหภาพยุโรป (อียู) ในวันที่ 25 มี.ค.ที่จะถึงนี้ ขณะที่ออสเตรเลียก็จะเพิ่มการรักษาความปลอดภัย เนื่องจากมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในออสเตรเลียด้วยเช่นกัน

ยุโรปผวารอบใหม่

เหตุสะเทือนขวัญในกรุงลอนดอน ทำให้ความหวาดกลัวภัยก่อการร้ายในยุโรปกลับมาอีกครั้ง และอาจช่วยหนุนพรรคการเมืองฝ่ายขวาจัด ซึ่งมีนโยบายต่อต้านผู้อพยพ ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น โดย มารีน เลอ เปน ตัวแทนชิงตำแหน่งประธานาธิบดีฝรั่งเศสจากพรรคเนชั่นแนลฟรอนต์ (เอฟเอ็น) เรียกร้องให้ฝรั่งเศสควบคุมพรมแดน

ทั้งนี้ ในผลการสำรวจล่าสุดจากสถานีโทรทัศน์ บีเอฟเอ็มทีวี พบว่า ในการเลือกตั้งรอบแรกเดือน เม.ย. เลอ เปน จะมีคะแนน 25% น้อยกว่า เอ็มมานูเอล มาครอง ผู้สมัครอิสระ คู่แข่งชิงตำแหน่งเพียง 1% เท่านั้น

ขณะเดียวกัน เว็บไซต์ข่าว ดอยช์ เวลล์ รายงานอ้างหน่วยข่าวกรองเยอรมนีว่า กลุ่มนักเคลื่อนไหวขวาจัด ชื่อ ไอเดนทิทาเรียน มูฟเมนต์ (ไอบีดี) ในประเทศ เริ่มทำกิจกรรมเคลื่อนไหวในลักษณะลัทธิสุดโต่งมากยิ่งขึ้น เช่น การยั่วยุบรรดาพรรคการเมือง ก่อความปั่นป่วนตามมัสยิด และศูนย์พักพิงผู้อพยพ

ผู้นำโลกร่วมเคียงข้างอังกฤษ

ผู้นำทั่วโลกต่างประณามการก่อเหตุครั้งนี้และแสดงความเสียใจต่ออังกฤษ นำโดย ประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประธานาธิบดี เรเซป เตยิป เออร์โดกัน ของตุรกี ขณะที่นายกรัฐมนตรี อังเกลา แมร์เกิล ของเยอรมนี ยืนยันจะยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับอังกฤษร่วมต่อต้านการก่อการร้าย ส่วนประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ของฝรั่งเศส ระบุว่าเข้าใจถึงความเจ็บปวดของอังกฤษดีหลังฝรั่งเศสเผชิญกับการก่อการร้ายมาแล้วหลายครั้ง

ขณะเดียวกัน สถานเอกอัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอน เปิดเผยว่า ไม่มีคนไทยได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว และขอให้ผู้ที่อยู่ในกรุงลอนดอนติดตามความคืบหน้าจากทางการสหราชอาณาจักรอย่างใกล้ชิด พร้อมหลีกเลี่ยงการเดินทางไปยังบริเวณที่เกิดเหตุ รวมถึงหากพบความผิดปกติให้แจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือหน่วยงานต่อต้านก่อการร้ายในสหราชอาณาจักร

ทั้งนี้ สถานที่สำคัญต่างๆ ทั่วโลกแสดงความไว้อาลัยด้วยการใช้ลูกเล่นที่ไฟประดับอาคาร เช่น หอไอเฟลในกรุงปารีสของฝรั่งเศส ดับไฟมืดเพื่อแสดงความอาลัย ขณะที่อาคารศาลากลางที่จัตุรัสเทลอาวีฟ ในอิสลาเอล เปลี่ยนสีเป็นรูปธงชาติของสหราชอาณาจักร

 

เร่งตั้งรับเฟด เอเชียแห่ขึ้นดอกเบี้ย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 มีนาคม 2560 เวลา 07:37 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/485576

เร่งตั้งรับเฟด เอเชียแห่ขึ้นดอกเบี้ย

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ลงมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็นครั้งแรกในปี 2017 เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐกำลังมีทิศทางการขยายตัวที่แข็งแกร่ง ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาเหมาะสมในการขึ้นดอกเบี้ย บรรดาธนาคารกลางทั่วโลกเริ่มเคลื่อนไหวและปรับเปลี่ยนทิศทางนโยบายการเงินเช่นกัน

ในวันที่ 16 มี.ค. ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยธุรกรรมซื้อคืนระยะสั้น (Repo) 7 วัน 14 วัน และ 28 วัน ขึ้นเป็นประเภทละ 0.10% หลังปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไปเมื่อเดือน ก.พ. พร้อมขึ้นดอกเบี้ยกลไกกู้ยืมระยะกลาง (MLF) ทั้งระยะ 6 เดือน และ 1 ปี ขึ้น 0.10% ไปอยู่ที่ 3.05% และ 3.2% ตามลำดับ ขณะที่แหล่งข่าวยังระบุว่า จีนยังขึ้นดอกเบี้ยกลไกกู้ยืมระยะสั้น (SLF) ระยะข้ามคืน 0.2% เป็น 3.3% ด้วย

บลูมเบิร์กรายงานว่า อัตราเงินเฟ้อของผู้ผลิตจีนที่ฟื้นตัวขึ้นมาเมื่อไม่นานนี้ และขยายตัวแตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2008 ทำให้พีบีโอซีสามารถปรับให้อัตราดอกเบี้ยเหล่านี้มีความยืดหยุ่นขึ้น เพื่อควบคุมหนี้สินภาคเอกชนที่อยู่ในระดับสูง ฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์ และป้องกันความเสี่ยงทางการเงินอื่นๆ

แม้ตลาดคาดการณ์ว่าพีบีโอซีจะปรับขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าว เมื่อพิจารณาจากเศรษฐกิจจีนที่ขยายตัวแข็งแกร่งในขณะนี้ และจากการปรับขึ้นดอกเบี้ยของเฟด แต่พีบีโอซี ระบุว่า การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวไม่ใช่การปรับเปลี่ยนดอกเบี้ยนโยบาย ตามที่ โจว เสี่ยวฉวน ผู้ว่าการพีบีโอซี เปิดเผยก่อนหน้าว่า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของจีนและสหรัฐไม่ได้นำไปสู่คาดการณ์ว่าจีนจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย และอัตราดอกเบี้ยควรจะสะท้อนสภาพเศรษฐกิจภายในประเทศ

เรย์มอนด์ เหยือง หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายจีน จากธนาคารเอเอ็นแซด กล่าวว่า พีบีโอซีจำเป็นต้องเลือกช่วงเวลาในการดำเนินนโยบายการเงินให้สอดคล้องกับธนาคารกลางใหญ่ๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะกับเฟด เนื่องจากจีนไม่สามารถใช้กลไกการบริหารงานในประเทศเพื่อควบคุมเงินทุนไหลออกไปได้ตลอด

“ความเคลื่อนไหวของพีบีโอซีวันนี้ ถือเป็นการเตรียมการล่วงหน้า เพื่อสร้างเสถียรภาพให้อัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวน อีกทั้งเป็นสัญญาณว่า จีนจะเริ่มใช้กลไกด้านดอกเบี้ยมากำกับดูแลนโยบายการเงิน และเพิ่มอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวเงินทุนข้ามพรมแดน” เหยือง กล่าว

แบงก์ชาติโลกตั้งรับเฟด

ธนาคารกลางฮ่องกงปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยกู้ยืมข้ามคืนที่ธนาคารกลางปล่อยให้ธนาคารพาณิชย์ 0.25% อยู่ที่ 1.25% หลังเฟดขึ้นดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราการแลกเปลี่ยนของฮ่องกงเป็นระบบที่ผูกกับค่าเงินเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ ธนาคารกลางฮ่องกงมีแบบแผนในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยกำหนดให้ปรับขึ้นสูงกว่ากรอบการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดที่ 0.50%

ด้านธนาคารกลาง 3 แห่งในแถบตะวันออกกลาง ในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คูเวต และบาห์เรน ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เนื่องจากระบบอัตราแลกเปลี่ยนของประเทศ ผูกกับค่าเงินเหรียญสหรัฐเช่นกัน จากการเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันซึ่งมีการซื้อขายในสกุลเงินเหรียญสหรัฐ

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศไม่ปรับเปลี่ยนนโยบายการเงิน ประกอบด้วย การคงเป้าหมายผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปีที่ราว 0% และการคงอัตราดอกเบี้ยติดลบที่ 0.1% โดยฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการ บีโอเจ เปิดเผยว่า การใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินเชิงรุกต่อไปจะช่วยให้บีโอเจบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อที่ 2% ขณะที่เศรษฐกิจญี่ปุ่นเริ่มมีการฟื้นตัวในระดับปานกลาง

บีโอเจระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคคาดว่าจะปรับขึ้นแตะ 2% แม้นักเศรษฐศาสตร์หลายรายมองว่า อัตราเงินเฟ้อญี่ปุ่นปรับขึ้นเนื่องจากราคาน้ำมันโลกเพิ่ม และจากค่าเงินเยนอ่อนค่า มากกว่าจะมาจากการขยายตัวของดีมานด์ภายในประเทศก็ตาม  บีโอเจยังเสริมว่า ทิศทางของเศรษฐกิจสหรัฐและผลกระทบจากนโยบายการเงินของเฟดต่อตลาดเงินโลก เป็นความเสี่ยงหนึ่งที่จะส่งผลต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น และต้องจับตาดูต่อไป

ในวันเดียวกัน ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) มีมติ 8-1 ในที่ประชุมนโยบายการเงิน คงอัตราดอกเบี้ยที่ 0.25% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมคงวงเงินซื้อคืนพันธบัตรที่ 4.35 แสนล้านปอนด์ (ราว 18 ล้านล้านบาท) ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับผลกระทบจากการถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษ หรือเบร็กซิต