ผ่างบอเมริกาเฟิร์สต์ ทุ่มกลาโหมเต็มสูบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 มีนาคม 2560 เวลา 07:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/485575

ผ่างบอเมริกาเฟิร์สต์ ทุ่มกลาโหมเต็มสูบ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

รัฐบาลประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐ ประกาศร่างงบประมาณปี 2018 ในชื่อ “อเมริกา เฟิร์สต์ : พิมพ์เขียวงบประมาณเพื่อทำให้อเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง” แล้วเมื่อวันที่ 16 มี.ค. ซึ่งมีกระทรวงและหน่วยงานกลางสำคัญถึงราว 19 แห่งที่ถูกลดงบประมาณลงครั้งใหญ่ เพื่อนำงบไปเพิ่มให้กับ 4 กระทรวงด้านความมั่นคง ท่ามกลางการจับตาว่าร่างงบประมาณฉบับนี้อาจไม่สามารถผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสได้โดยง่าย เนื่องจากสมาชิกพรรครีพับลิกันบางส่วนเองไม่เห็นด้วย

ในบรรดาหน่วยงานที่ถูกหั่นงบประมาณลงอย่างหนัก คือ “สำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อม” (อีพีเอ) ซึ่งนอกจากถูกลดงบประมาณลงถึง 31.4% เมื่อเทียบกับปีก่อน หรือ 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.1 หมื่นล้านบาท) พร้อมแผนลดการจ้างงานลงถึง 3,200 อัตรา และต้องยกเลิกโครงการต่างๆ ออกไป

อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบเป็นตัวเงินแล้ว หน่วยงานที่ถูกหั่นงบประมาณลงมากที่สุดกลับเป็น “กระทรวงสาธารณสุข” ซึ่งถูกลดงบลงถึง 1.26 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.4 แสนล้านบาท) หรือลดลง 16.2% จากปีก่อนหน้า ซึ่งในจำนวนนี้เกือบครึ่งหนึ่งเป็นการลดในส่วนของสำนักงานสาธารณสุขแห่งชาติ ซึ่งเป็นฝ่ายวิจัยที่สำคัญของสหรัฐ และจะยิ่งเพิ่มความลำบากให้กลุ่มนักวิทยาศาสตร์และนักวิจัยในแขนงนี้

ขณะที่ “กระทรวงต่างประเทศสหรัฐ” และ “องค์กรเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศของสหรัฐ” (ยูเสด) ถูกลดงบประมาณลง 28% หรือ 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) โดยส่วนใหญ่เป็นงบด้านความช่วยเหลือต่างประเทศ รวมถึงงบสนับสนุนหน่วยงานขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น สหประชาชาติ (ยูเอ็น) และธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์)

รอยเตอร์สระบุว่าร่างงบประมาณปี 2018 ฉบับนี้ซึ่งจะต้องเริ่มมีผลในวันที่ 1 ต.ค. คาดว่าจะนำไปสู่การต่อสู้กันอย่างหนักในสภาคองเกรสหลายเดือนหลังจากนี้ แม้ว่าปัจจุบันพรรครีพับลิกันจะครองเสียงข้างมากทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและรัฐสภา แต่คาดว่าจะมี สส.และ สว.รีพับลิกันสายกลางบางส่วนที่ไม่เห็นด้วยในบางเรื่อง อาทิ การยกเลิกโครงการน้ำสะอาด การอุดหนุนราคาเชื้อเพลิงในครัวเรือน และโครงการฝึกอบรมงาน

มิค มัลเวนีย์ ผู้อำนวยการฝ่ายงบประมาณของทำเนียบขาวสหรัฐ กล่าวถึงงบฉบับอเมริกา เฟิร์สต์ครั้งนี้ ว่า ทรัมป์ต้องการเพิ่มงบให้กับฝ่ายกลาโหมมากขึ้น รวมถึงการป้องกันชายแดน การบังคับใช้กฎหมาย และโรงเรียนทางเลือก โดยไม่ต้องการสร้างภาระการขาดดุลงบประมาณมากเกินไป โดยรัฐบาลพร้อมที่จะพูดคุยกับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องต่อไป

ทั้งนี้ ภายใต้แนวทางที่ทรัมป์เปิดเผยก่อนหน้านี้ว่าจะเพิ่มงบด้านกลาโหม 5.4 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.89 ล้านล้านบาท) นั้น จากร่างงบประมาณล่าสุดพบว่า กระทรวงกลาโหม (เพนตากอน) จะเป็นหน่วยงานที่ได้งบเพิ่มมากที่สุด 10% หรือ 5.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.8 ล้านล้านบาท) ซึ่งในจำนวนนี้ 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7 หมื่นล้านบาท) จะเพิ่มให้หน่วยงานด้านอาวุธนิวเคลียร์

ด้านสำนักงานกิจการทหารผ่านศึกจะได้รับงบเพิ่ม 5.9% หรือ 4,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.54 แสนล้านบาท) ขณะที่กระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิได้เพิ่ม 6.8% หรือ 2,800 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.8 หมื่นล้านบาท) และหน่วยงานดูแลเรื่องโรงเรียนทางเลือก จะได้เพิ่ม 1,400 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.9 หมื่นล้านบาท) แม้ว่ากระทรวงศึกษาธิการจะถูกลดงบประมาณลงก็ตาม

 

ญี่ปุ่นเริ่มศุกร์พรีเมียมแห่กลับบ้านไม่ใช้จ่าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 08:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/482577

ญี่ปุ่นเริ่มศุกร์พรีเมียมแห่กลับบ้านไม่ใช้จ่าย

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ญี่ปุ่นเริ่มใช้มาตรการ “ศุกร์พรีเมียม” ครั้งแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 24 ก.พ.ที่ผ่านมา โดยจะให้พนักงานได้เลิกงานเร็วกว่าปกติ 2 ชั่วโมง ในเวลา 15.00 น. ทุกวันศุกร์สุดท้ายของเดือน เพื่อให้พนักงานได้มีเวลาผ่อนคลาย ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหา “คาโรชิ” หรือทำงานมากจนเสียชีวิตอันเป็นวัฒนธรรมของญี่ปุ่น รวมถึงยังเป็นการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจญี่ปุ่น

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานอ้างข้อมูลของเอสเอ็มบีซี นิกโก ซีเคียว ริตี้ส์ อิงค์ คาดการณ์ว่า วันศุกร์พรีเมียมจะช่วยเพิ่มการใช้จ่ายได้ราวปีละ 6.35 หมื่นล้านเยน (ราว 1.9 หมื่นล้านบาท) ขณะที่เจแปนไทมส์ รายงานอ้างข้อมูลของมิซูโฮ รีเสิร์ช ว่า นโยบายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมได้ 5-6 แสนล้านเยน (ราว 1.5-1.8 แสนล้านบาท) หากภาคธุรกิจจำนวนมาก เข้าร่วมโครงการดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม รายงานดังกล่าวระบุว่า หากภาคเอกชนไม่เข้าร่วมโครงการมากเท่าที่คาดการณ์ไว้ ผล กระทบต่อเศรษฐกิจจะลดลงเหลือแค่ 2-3 แสนล้านเยน (ราว 6-9 หมื่นล้านบาท) เท่านั้น

หน่วยงานสภาโครงการศุกร์พรีเมียม ภายใต้รัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยผลสำรวจเอกชนและองค์กรราว 1,600 แห่ง พบว่า 76.4% เต็มใจที่จะเข้าร่วม โครงการดังกล่าว และเมื่อวันที่ 22 ก.พ. ที่ผ่านมา บริษัท 2,342 แห่ง ตอบรับการร่วมสนับสนุนโครงการและใช้โลโก้ทางการของโครงการศุกร์พรีเมียม

อย่างไรก็ตาม การสำรวจจาก บริษัท อิทเทจ อิงค์ พบว่า พนักงาน ที่ร่วมทำแบบสอบถามเพียง 2.5% เท่านั้น ระบุว่า บริษัทจะเริ่มโครงการศุกร์พรีเมียมในวันศุกร์นี้ สอดคล้องกับผลสำรวจของคัลเจอร์ คอนวีเนียนซ์ คลับ เจ้าของร้านซึทาญ่า พบว่า มีเพียง 3.4% จากพนักงาน 1,603 คนเท่านั้น ที่ระบุว่า บริษัทมีการจัดโครงการดังกล่าว

“ฉันไม่ได้ยินเรื่องอะไรเลยเกี่ยวกับวันศุกร์พรีเมียมในที่ทำงานของฉัน ฉันสงสัยว่าสถานการณ์แบบนี้คงเกิดขึ้นกับบริษัทใหญ่อื่นๆ ของญี่ปุ่น แม้การจะเปลี่ยนแนวคิดการทำงานของคนไม่ใช่เรื่องแย่ แต่ก็จำเป็นต้องใช้เวลา” อายาโกะ เซระ นักกลยุทธ์การตลาดจากธนาคาร ซูมิโตโม มิตซุย ทรัสต์ ในกรุงโตเกียว กล่าว

ประชาชนไม่ร่วมใช้สอย

จากผลสำรวจของอาซาฮี กรุ๊ป ผู้ผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เปิดเผยว่า ประชาชนญี่ปุ่นเพียง 37% เท่านั้น ที่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าวของรัฐบาล ในขณะที่อีก 48% ยังไม่ตัดสิน และอีก 15.2% ไม่เห็นด้วย ซึ่งมีเหตุผลแตกต่างกันออกไป เช่น พนักงาน พาร์ตไทม์ไม่ต้องการลดเวลาการ ทำงาน เนื่องจากจะทำให้รายได้ลดลงตามไปด้วย ในขณะที่แม่บ้านชาว ญี่ปุ่นไม่ต้องการให้สามีกลับบ้านเร็ว เพราะเป็นการลดเวลาที่จะได้อยู่กับ ตัวเองไป

นอกจากนี้ ผลสำรวจของคัลเจอร์ คอนวีเนียนซ์ คลับ ยังพบอีกด้วยว่า ชาวญี่ปุ่นจำนวนมากเกือบ 60% ต้องการตรงดิ่งกลับบ้านเพื่อพักผ่อนหลังเลิกงาน มากกว่าผู้ที่จะออกไปจับจ่ายใช้สอยซึ่งอยู่ที่สัดส่วนกว่า 35% ตามมาด้วยการไปชมภาพยนตร์ที่ 20% แม้หนึ่ง ในจุดประสงค์ของนโยบายดังกล่าว จะเป็นการกระตุ้นการใช้จ่ายก็ตาม

“ผมไม่เห็นรู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย ซึ่งเป็นความคิดที่ดีนะ แต่รัฐบาลควรโฆษณามากกว่านี้ และดึงดูดความสนใจสาธารณชนให้มากขึ้น ไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย!” ทากาฮิโระ ฮาเซกาวะ พนักงานธนาคาร วัย 37 ปี กล่าวกับบลูมเบิร์ก

กระนั้น ภาคเอกชนบางส่วนมีการตอบรับโครงการรัฐบาลแม้จะมีเงื่อนไขบ้าง เช่น ไดวะ เฮ้าส์ บริษัทก่อสร้าง ที่ให้พนักงานเลิกเร็วตามโครงการศุกร์พรีเมียมในทุกๆ เดือนต่อไป แต่พนักงานจำเป็นต้องตอกบัตรเข้าทำงานเร็วขึ้นในช่วงเช้า ขณะที่อูเซ็น คอร์ป ธุรกิจด้านดนตรี อนุญาตให้พนักงานเลิกงานได้เร็วขึ้นในเวลา 15.00 น. และยังได้รับเงินเดือนเต็มจำนวน แต่ไม่อนุญาตดังกล่าวในเดือนหน้า

ขณะเดียวกัน ภาคธุรกิจบางส่วนมีการออกโปรโมชั่นเพื่อหนุนการใช้จ่าย เช่น ออล นิปปอน แอร์เวย์ ให้ส่วนลด 1 หมื่นเยน สำหรับลูกค้า 1,000 ราย ที่จะมีการเดินทางภายในประเทศใน วันศุกร์ หรืออเมซอน เจแปน นำเสนอสินค้ามากกว่า 5 แสนรายการ ที่ใช้ในวันหยุด และเปิดให้ผู้ไม่ใช่สมาชิกได้รับชมละครญี่ปุ่นผ่านบริการวิดีโอสตรีมของอเมซอนได้ฟรี 3 วัน โดยเริ่มต้นเมื่อวานนี้

ภาพ เอเอฟพี

 

จับทายาทซัมซุงเสี่ยงก่อภาวะสุญญากาศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 08:03 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/481448

จับทายาทซัมซุงเสี่ยงก่อภาวะสุญญากาศ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ศาลกลางประจำกรุงโซลของเกาหลีใต้อนุมัติหมายจับ อีแจยอง รองประธานบริษัท ซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ วัย 48 ปี บุตรชายของอีคุนฮี ประธานและ ผู้ก่อตั้งบริษัท ซัมซุง เมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ข้อหาข้อคอร์รัปชั่นและติดสินบน โดยอีแจยองถือเป็นผู้บริหารระดับสูงคนแรกในประวัติศาสตร์ 79 ปี ของซัมซุง ที่ถูกจับกุมตัวเนื่องจากพัวพันกับคดีอาญา

สำนักข่าวยอนฮับรายงานว่า การขอออกหมายจับดังกล่าวเกิดขึ้นเป็นครั้งที่ 2 โดยอัยการได้ตั้งข้อหาเพิ่มกับอีแจยอง ประกอบด้วย การปกปิดการกระทำผิดทางอาญาและฝ่าฝืนกฎหมายการถ่ายโอนทรัพย์สินในต่างประเทศ โดยอัยการสงสัยว่าเงินบริจาค 4.3 หมื่นล้านวอน (ราว 1,300 ล้านบาท) ให้กับมูลนิธิ 2 แห่ง ในเยอรมนีของชเวซุนซิล คนสนิทประธานาธิบดี ปาร์กกึนเฮ ใช้ติดสินบนให้รัฐบาลสนับสนุนการควบรวมธุรกิจภายในของซัมซุงเมื่อปี 2015 ปูทางให้อีแจยองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารอย่างราบรื่น

ก่อนหน้านี้ อัยการเกาหลีใต้ได้ ยื่นขอหมายจับเมื่อเดือน ม.ค. ใน ข้อหาติดสินบน ยักยอกเงิน และให้การเป็นพยานเท็จกรณีข่าวอื้อฉาวของประธานาธิบดี ปาร์กกึนเฮ แต่ถูกศาลปฏิเสธเนื่องจากยังมีหลักฐานไม่เพียงพอ โดยการสอบสวนอีแจยองเริ่มต้นขึ้นครั้งแรกเมื่อวันที่ 12 ม.ค. และครั้งที่ 2 ราว 15 ชั่วโมง เมื่อวันที่ 13 ก.พ.

ขณะนี้อีแจยองถูกควบคุมตัวไว้ที่ทัณฑสถานกรุงโซล โดยอัยการมีเวลาราว 20 วัน ในการยื่นฟ้อง ซึ่งหลังยื่นฟ้องแล้วศาลต้องตัดสินคดีดังกล่าวภายใน 3 เดือน อย่างไรก็ดี รอยเตอร์สรายงานอ้างโฆษกของซัมซุงว่า ทางบริษัทยังไม่ตัดสินใจว่าจะดำเนินการสู้คดีหรือยื่นหลักทรัพย์เพื่อขอประกันตัวอีแจยอง

ทั้งนี้ อีแจยองขึ้นมาบริหารซัมซุงนับตั้งแต่ อีคุนฮี ประธานซัมซุง ล้มป่วยด้วยโรคหัวใจในปี 2014 และผลักดันการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ขึ้นในบริษัท เช่น การแสวงหาหน่วยธุรกิจใหม่ๆ เพื่อขับเคลื่อนการขยายตัว ของซัมซุงด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัท ต่างชาติหลายสิบแห่ง ได้แก่ บริษัท ลูปเพย์ อิงค์ ที่ทำธุรกิจโมบายวอลเล็ต บริษัท วิฟ แล็ป ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) และบริษัท ฮาร์มาน อินเตอร์เนชั่นนัล ซึ่งพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยี นอกจากนี้ อีแจยองยังผลักดันการปรับปรุงระเบียบทางการเงินในบริษัท และได้ร่วมคลี่ คลายความขัดแย้งกับบริษัทคู่แข่งอย่างแอปเปิ้ล อิงค์ กรณีการฟ้องร้องเรื่องสิทธิบัตร

หวั่นซัมซุงเกิดสุญญากาศ

แม้การจับกุมตัวอีแจยองไม่มี แนวโน้มกระทบการดำเนินงานทั่วไป แต่จะส่งผลให้การตัดสินใจสำคัญๆ ด้านกลยุทธ์หยุดชะงัก โดยทำให้ซัมซุงยังไม่สามารถเปิดเผยแผนการและ เป้าหมายทางธุรกิจในปีนี้ ขณะที่ พยายามหาทางปรับโครงสร้างบริษัทและฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค หลัง ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากกรณีแบตเตอรี่สมาร์ทโฟน รุ่นกาแล็คซี่ โน้ต 7 ติดไฟลุกไหม้ ทำให้ต้องเสียค่า ใช้จ่ายจำนวนมากในการเก็บคืนและบั่นทอนชื่อเสียงของบริษัท อีกทั้ง ซัมซุงยังเผชิญแรงกดดันมากยิ่งขึ้น เนื่องจากบริษัทใกล้เปิดตัวสมาร์ทโฟนกาแล็คซี่ เอส 8 รุ่นใหม่ ที่คาดว่าจะวางจำหน่ายปลายเดือน ก.พ.นี้

นอกจากนี้ สถานการณ์ดังกล่าวยังกระทบการดำเนินงานด้านทรัพยากรบุคคล โดยนับตั้งแต่เกิดข่าวอื้อฉาวขึ้น ซัมซุงต้องเลื่อนการปรับเปลี่ยนบุคลากรประจำปีออกไป จากตามปกติที่ต้องมีการดำเนินการดังกล่าวใน เดือน ธ.ค.

“การปล่อยให้เกิดภาวะสุญญากาศในการบริหารงานของซัมซุง ซึ่งถือเป็นตัวแทนของธุรกิจเกาหลีใต้จะสร้างความไม่แน่นอนขึ้นและบั่นทอนความเชื่อมั่นของทั่วโลก รวมถึงสร้างภาระใหญ่กดดันเศรษฐกิจภายในประเทศที่กำลังชะงักงันอยู่ในขณะนี้” สมาพันธ์นายจ้างเกาหลีใต้ ระบุ

จับตาผู้บริหาร 3 ตัวเต็ง

การจับกุมตัวอีแจยองส่งผลให้หลายฝ่ายเริ่มจับตา 3 ผู้บริหารซัมซุงที่จะขึ้นมามีบทบาทสำคัญในบริษัท มากขึ้น โดย “ชเวจีซุง” ประธานหน่วยกลยุทธ์ของซัมซุง รวมถึงเป็นผู้คอยให้คำปรึกษาและวางแผนให้อีแจยองก้าวเข้ามาบริหารซัมซุงแทนบิดา คาดว่าจะเป็นตัวเลือกแรกที่อาจมานั่งแท่นบริหารงานระหว่างที่อีแจยองถูกควบคุมตัว

ขณะเดียวกัน “ควอนโอฮยอน” รองประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของซัมซุง อิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้หลักให้บริษัทมีแนวโน้มขึ้นมานั่งแท่นบริหารเช่นกัน เนื่องจากมีประสบการณ์นำพาบริษัทผ่านช่วงวิกฤตสมาร์ทโฟนกาแล็คซี่ โน้ต 7 มาได้

สำหรับตัวเต็งรายสุดท้ายคือ “อีบูจิน” น้องสาวของอีแจยองและดำรงตำแหน่งผู้บริหารชิลลาโฮเทล โรงแรมและบริษัทจำหน่ายสินค้า ปลอดภาษีรายใหญ่ อย่างไรก็ดี นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า อีบูจินไม่มีแนวโน้มขึ้นมาแทนที่ตำแหน่งพี่ชาย เนื่องจากยังไม่มีประสบการณ์บริหารมากพอ ไม่ได้ถือหุ้นใหญ่ในบริษัท ซัมซุง และเป็นเรื่องยากที่ผู้หญิงจะก้าวเข้ามามีบทบาทควบคุมธุรกิจขนาดใหญ่ของครอบครัว

 

หวั่นฟองสบู่ตลาดหุ้นโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 07:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/481291

หวั่นฟองสบู่ตลาดหุ้นโลก

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่เคลื่อนไหว ในแดนบวกช่วงที่ผ่านมานี้ เนื่องจากได้รับปัจจัยบวกจากนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และข้อมูลเศรษฐกิจที่ขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง ได้ช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นอื่นๆ ทั่วโลกปิดทำนิวไฮเช่นกัน

ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา โดยนโยบายเศรษฐกิจของผู้นำสหรัฐคาดว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจภายในประเทศขยายตัว ขณะที่เศรษฐกิจทั่วโลก เช่น เศรษฐกิจจีน ญี่ปุ่น และประเทศยูโรโซนส่งสัญญาณฟื้นตัวด้วยเช่นกัน

เมื่อวันที่ 15 ก.พ.ที่ผ่านมา กระทรวงแรงงานสหรัฐ เปิดเผยว่า ดัชนีราคาผู้บริโภค (ซีพีไอ) เพิ่มขึ้น 0.6% เมื่อเดือน ม.ค. เทียบรายเดือน หลังปรับขึ้น 0.3% ในเดือน ธ.ค.ขยายตัวมากที่สุดในรอบกว่า 4 ปี อีกทั้งเมื่อเทียบรายปี ซีพีไอปรับตัวขึ้น 2.5% ในเดือน ม.ค. จากที่ขยายตัว 2.1% เมื่อเดือน ธ.ค. ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2012 เนื่องจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์และราคาเชื้อเพลิงปรับตัวเพิ่มขึ้น 7.8% คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของดัชนี

ในวันเดียวกัน กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกเพิ่มขึ้น 0.4% ในเดือน ม.ค. โดยได้แรงหนุนจากการซื้อเครื่องใช้และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงการที่ภาคครัวเรือนจับจ่ายใช้สอยนอกบ้านมากยิ่งขึ้น

ข้อมูลดังกล่าวประกอบการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ของ เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ระหว่างแถลงต่อคณะกรรมาธิการเศรษฐกิจร่วมของสภาคองเกรสเมื่อวันที่ 14-15 ก.พ.ที่ผ่านมา ส่งผลให้เมื่อคืนวันที่ 15 ก.พ. ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวขึ้น 107.45 จุด ปิดที่ 20,611.86 จุด เช่นเดียวกับดัชนีเอสแอนด์พี 500 ที่เพิ่มขึ้น 0.5% ปิดที่ 2,349.25 จุด ซึ่งเป็นการปิดตลาดที่ระดับนิวไฮ ล่าสุดของทั้งสองดัชนี โดยดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปิดในแดนบวกติดต่อกัน 7 วันทำการ

นอกเหนือจากตลาดหุ้นสหรัฐแล้ว ดัชนีสต็อกซ์ ยุโรป 600 ปรับขึ้น 0.3% แตะระดับสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2015 ระหว่างการซื้อขายเมื่อคืนวันที่ 15 ก.พ.

ทิศทางบวกดังกล่าวยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงวันที่ 16 ก.พ. โดยดัชนีฟุตซี ออล-เวิลด์ อินเด็กซ์ ซึ่งมีสัดส่วนหุ้นสหรัฐอยู่ในดัชนีถึง 50% พุ่งขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2015 โดยดัชนีดังกล่าวปรับขึ้นมาแล้ว 8.1% นับตั้งแต่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง ขณะที่ดัชนีเอ็มเอสซีไอ เอเชีย-แปซิฟิก ซึ่งไม่รวมตลาดหุ้นญี่ปุ่น ปรับขึ้น 0.2% แตะระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 ปีระหว่างการซื้อขายด้วยเช่นกัน

วิตกฟองสบู่ตลาดหุ้น

แม้เศรษฐกิจโลกที่มีแนวโน้มปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะเศรษฐกิจสหรัฐ จะช่วยหนุนตลาดหุ้นทั่วโลกเคลื่อนไหวแดนบวกอย่างต่อเนื่อง แต่นักวิเคราะห์จำนวนมากมองว่าทิศทางดังกล่าวอาจก่อให้เกิดภาวะฟองสบู่ขึ้นในตลาดหุ้น

“ไม่มีสินทรัพย์ราคาถูกอีกต่อไป และสินทรัพย์เสี่ยงจำนวนมากกำลังมีราคาแพงขึ้นอย่างสุดขีด” เดวิด โรเซนเบิร์ก นักกลยุทธ์จากบริษัทบริหารจัดการความมั่งคั่ง กลัสกิน เชฟฟ์ ในแคนาดากล่าว พร้อมเสริมว่า มูลค่าของตลาดหุ้นในขณะนี้อยู่เหนือค่าเฉลี่ยในช่วงที่ผ่านมา

ด้าน อเล็ก หว่อง ผู้อำนวยการบริษัทให้บริการทางการเงิน แอมเพิล ไฟแนนซ์ กรุ๊ป ในฮ่องกง เปิดเผยว่า เมื่อพิจารณาจากมุมมองเชิงเทคนิค ตลาดหุ้นจำนวนมากมีมูลค่าสูงเกินจริงเล็กน้อย หลังทำนิวไฮติดต่อกันในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยหว่องยกตัวอย่างดัชนีเอ็มเอสซีไอ เอเชีย นอกตลาดหุ้นญี่ปุ่น มีการซื้อขายมากเกินไปสูงที่สุดในขณะนี้นับตั้งแต่ปี 2015 และมองว่าขณะนี้นักลงทุนจำนวนมากกำลังเก็งกำไรในตลาดหุ้น

รอยเตอร์สเปิดเผยว่า สถานการณ์ดังกล่าวเริ่มเกิดขึ้นในตลาดอัตราแลกเปลี่ยน โดยค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับตัวลง เนื่องจากนักลงทุนเข้าไปซื้อขายเก็งกำไร

รายงานระบุว่า ดัชนีดอลลาร์ อินเด็กซ์ ที่วัดการเคลื่อนไหวของค่าเงินเหรียญสหรัฐเทียบกับ 6 สกุลเงินหลักทั่วโลก ปรับตัวลงแตะระดับ 100.92 จุด ระหว่างการซื้อขายในวันที่ 16 ก.พ. หลังพุ่งขึ้นแตะ 101.76 จุด ซึ่งสูงสุดในรอบ 1 เดือนเมื่อวันก่อนหน้านี้

“ยอดค้าปลีกสหรัฐที่ขยายตัวดูเหมือนได้แรงหนุนจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น มากกว่าจะมาจากการบริโภคที่แท้จริงปรับตัวขึ้น และนักลงทุนฉวยโอกาสเก็งกำไรค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อยู่ในช่วงขาขึ้น” ชิน คาโดตะ นักกลยุทธ์ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนจากธนาคารบาร์เคลย์ กล่าว

 

ภาษีสหรัฐสะท้านเอเชีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 07:08 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/479029

ภาษีสหรัฐสะท้านเอเชีย

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

พรรครีพับลิกันซึ่งครองเสียงส่วนใหญ่ในสภาคองเกรส เสนอแผนการจัด เก็บภาษีพรมแดนจำแนกตามถิ่นที่มา (Border Tax Adjustment) โดยจะเก็บภาษีกับบริษัทสหรัฐที่นำเข้าสินค้าหรือวัสดุจากต่างชาติมาผลิตหรือขาย แต่จะไม่เก็บภาษีหากส่งออกสินค้าหรือ วัสดุใดๆ เปรียบเทียบโดยง่ายเหมือนสินค้าที่มาจากต่างประเทศต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาอีก เพื่อเป็นการช่วยให้เอกชนสหรัฐนำเข้าสินค้าต่างชาติน้อยลงและหันมาผลิตในประเทศมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม การขึ้นภาษีของทรัมป์จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อประเทศในเอเชีย

โรบิน วินเกลอร์ และจอร์จ ซาราเวลอส นักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารดอยช์แบงก์ คาดการณ์ว่า หากมีการใช้ภาษีดังกล่าวจริง โดยมีการเก็บภาษีนำเข้า 20% นอกจากจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงที่สุดต่อเม็กซิโก ตามมาด้วยแคนาดาแล้ว ประเทศผู้ผลิตเอเชียอย่าง เวียดนาม มาเลเซีย และไทย ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย หลังสินค้าจากต่างชาติจะมีราคาแพงขึ้นตามภาษี ซึ่งส่งผลให้สินค้าที่ผู้บริโภคอ่อนไหวต่อการขึ้นราคา ได้รับผลกระทบหนัก

รายงานระบุว่า ผลกระทบต่อการค้าสุทธิเมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวม (จีดีพี) ของเม็กซิโกจะสูงถึง 6.5% ตามมาด้วยเวียดนามและแคนาดาที่ราว 4.5% ส่วนมาเลเซียได้รับผลกระทบมากกว่า 2.5% ขณะที่ไทยและไต้หวันจะได้รับผลกระทบราว 1.5%

“ในมุมมองของเรา ผลกระทบจากการขึ้นภาษีจะรุนแรงมาก พวกเราคาดว่าภาษีปรับตามถิ่นที่อยู่จะเป็นหนึ่ง ในความเสี่ยงให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐ แข็งค่าขึ้นในช่วงปีหน้า” วินเกลอร์และ ซาราเวลอส ระบุในรายงาน โดยแม้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นจะช่วยเพิ่มศักยภาพการส่งออกของประเทศที่ได้รับผลกระทบและลดข้อได้เปรียบของผู้ส่งออกสหรัฐ แต่มาตรการดังกล่าวจะกระทบกับความสัมพันธ์ทางการค้าแบบทวิภาคีได้

ความเสี่ยงเอเชียสะพัด

แม้จากการคำนวณของดอยช์แบงก์ สิงคโปร์จะได้รับผลกระทบต่อการค้าสุทธิน้อยกว่า 1.5% แต่จากการประเมินของธนาคารโนมูระแล้ว สิงคโปร์กลับเผชิญปัจจัยเสี่ยงสูงมากที่สุดในเอเชีย (ไม่รวมญี่ปุ่น) ถึง 5 ประการ อาทิ 1.นโยบายเศรษฐกิจทรัมป์ในด้านการปกป้องการค้า เช่น การขึ้นภาษี 2.การให้แรงจูงใจให้บริษัทสหรัฐส่งเงินกลับประเทศมากขึ้น 3.นโยบายกระตุ้นทางการคลังของทรัมป์ ซึ่งเพิ่มแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยยังทำให้สิงคโปร์เสี่ยงในด้านอัตราแลกเปลี่ยนที่เหรียญสหรัฐมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้น ซึ่งนับเป็นปัจจัยที่ 4 โดยโนมูระคาดการณ์ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐจะแข็งค่าขึ้นถึง 130 เยน/เหรียญสหรัฐ จาก ระดับ 112 เยน/เหรียญสหรัฐในปัจจุบัน และอยู่ที่ 0.95 ยูโร/เหรียญสหรัฐ ภายในสิ้นปี 2017 ขณะที่สิงคโปร์ยังเสี่ยง ในด้านการเผชิญหน้าทางนโยบาย ต่างประเทศ

ขณะเดียวกัน ไทยและอินเดียเป็นประเทศที่เผชิญปัจจัยเสี่ยงสูงน้อยที่สุดในเอเชีย โดยไทยเผชิญความเสี่ยงสูงในด้านเดียว คือ นโยบายปกป้องการค้าและสงครามการค้า ขณะที่อินเดียเผชิญกับความเสี่ยงในด้านการเข้มงวดนโยบายผู้อพยพ โดยชาวอินเดียมีการใช้วีซ่าแรงงานมีทักษะ H-1B ซึ่งทรัมป์ต้องการปราบปราม การเข้าทำงานในสหรัฐคิดเป็นสัดส่วนมากที่สุด 70%

ด้านจีนเผชิญความเสี่ยงด้วยกัน 3 ประการ ได้แก่ การแข็งค่าขึ้นของเหรียญสหรัฐ นโยบายปกป้องการค้าและสงครามการค้า รวมถึงการเผชิญหน้าด้านนโยบายต่างประเทศที่มีแนวโน้มเพิ่มความตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์

ไอเอ็มเอฟเตือนความผันผวน

มิตซึฮิโระ ฟุรุซาวะ รองกรรมการผู้จัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจเอเชียในระยะสั้นจะยังคงแนวโน้มความแข็งแกร่งไว้ได้ แต่เศรษฐกิจเอเชียก็ยังต้องเผชิญความเสี่ยงหลายประการ โดยความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทรัมป์จะก่อให้เกิดความผันผวนทางการเงินในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้

ทั้งนี้ นักลงทุนเริ่มแสดงความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของทรัมป์ โดยดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐปรับลงไปแตะจุดต่ำสุดตั้งแต่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา ระหว่างการซื้อขายของเมื่อวันที่ 2 ก.พ.ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับตัวลดลงจากระดับ 20,000 จุด ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา หลังทรัมป์มีคำสั่งพิเศษคุมเข้มผู้อพยพและผู้ลี้ภัย

ขณะเดียวกัน แม้ไอเอ็มเอฟจะปรับขึ้นคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐในรายงานประจำเดือน ม.ค.จาก 2.2% เป็น 2.3% สำหรับปี 2017 นี้ และปรับขึ้นของปี 2018 จาก 2.1% เป็น 2.5% แต่ฟุรุซาวะ ระบุว่า ความไม่แน่นอนด้านนโยบายของทรัมป์ส่งผลให้แนวโน้มดังกล่าวผันผวนตามไปด้วย

 

เปิดแฟ้มคดี ‘โรลส์-รอยซ์’ ฉาวสะท้านอังกฤษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 มกราคม 2560 เวลา 07:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/476649

เปิดแฟ้มคดี 'โรลส์-รอยซ์' ฉาวสะท้านอังกฤษ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

อังกฤษสอบสวนโรลส์-รอยซ์ พัวพันคดีติดสินบนใน 7 ประเทศ หลังบริษัทประกาศจ่ายค่ายอมความรวม 671 ล้านปอนด์ (ราว 2.8 หมื่นล้านบาท) ให้กับหน่วยงานใน 3 ประเทศ

บริษัท โรลส์-รอยซ์ ผู้ผลิตยานยนต์และเครื่องยนต์อากาศยาน เป็นบริษัทซึ่งโดดเด่นและโด่งดังจากเกาะอังกฤษ ด้วยการสามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจาก 2,800 ล้านปอนด์ (ราว 1.2 แสนล้านบาท) ในปี 1987 เป็น 7.6 หมื่นล้านปอนด์ (ราว 3.2 ล้านล้านบาท) เมื่อปีที่แล้ว ทว่ายอดขายดังกล่าวกลับได้มาอย่างไม่โปร่งใส และนำไปสู่การสืบสวนของสำนักงานสืบสวนการฉ้อฉลรุนแรงของสหราชอาณาจักร (เอสเอฟโอ) ในปี 2012

การสืบสวนดังกล่าวย้อนหลังไปจนถึงปี 1989 พบว่าโรลส์-รอยซ์มีการจ้างคนกลางเพื่อช่วยเหลือในการซื้อขายเครื่องยนต์ ซึ่งนำไปสู่การติดสินบนใน 7 ประเทศ เช่น ไทย จีน อินเดีย มาเลเซีย และอินโดนีเซีย และสร้างรายได้ให้กับโรลส์-รอยซ์เป็นจำนวนเงิน 250 ล้านปอนด์ (ราว 1 หมื่นล้านบาท) จนกระทั่งเมื่อวันที่ 18 ม.ค.ที่ผ่านมา โรลส์-รอยซ์ประกาศจ่ายค่ายอมความรวม 671 ล้านปอนด์ (ราว 2.8 หมื่นล้านบาท) ให้กับหน่วยงานใน 3 ประเทศ คือ อังกฤษ สหรัฐ และบราซิล ซึ่งต่างมีการ สอบสวนโรลส์-รอยซ์ด้วยเช่นกัน

“กรณีของโรลส์-รอยซ์แสดงให้เห็นถึงการละเมิดกฎหมายอาญาอย่างร้ายแรงในส่วนของการติดสินบนและคอร์รัปชั่น” เซอร์ ไบรอัน เลฟซัน ผู้พิพากษาและผู้อนุมัติให้ปรับโรลส์-รอยซ์ กล่าวว่า จากการสอบสวนพบหลักฐานที่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทมีส่วนรู้เห็นและยังอยู่ภายใต้การควบคุมของบริษัท

อย่างไรก็ตาม การตัดสินใจปรับเงินเพื่อเป็นค่ายอมความแทนการดำเนินคดี เรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากหลายฝ่าย โดย เลฟซัน เปิดเผยสาเหตุที่ไม่มีการดำเนินคดีกับโรลส์-รอยซ์ ว่าผู้ผลิตเครื่องยนต์อากาศยานดังกล่าวเป็นผู้แจ้งความผิดปกติให้กับเอสเอฟโอในทีแรก และยังใช้งบประมาณ 120 ล้านปอนด์ (ราว 5,148 ล้านบาท) ในการสอบสวนภายใน รวมถึงยังให้ความร่วมมืออย่างดีและปรับเปลี่ยนองค์กรหลังพบความผิดปกติ

“โรลส์-รอยซ์ไม่ใช่บริษัทเดิมที่เคยเป็น” เลฟซัน กล่าว

ขณะเดียวกันผู้พิพากษาคนดังกล่าว ยังระบุว่า การดำเนินคดีทางอาญากับโรลส์-รอยซ์นั้นรุนแรงจนเกินไป ด้วยเหตุผลทางเศรษฐกิจที่โรลส์-รอยซ์ มีการจ้างงานมากถึง 5 หมื่นอัตรา ขณะที่การดำเนินคดีอาญาจะทำให้ทางเอสเอฟโอซึ่งเป็นหน่วยงานรัฐ ต้องสูญเสียงบประมาณมหาศาลเพิ่มขึ้นอีก จากเดิมที่มีการใช้งบประมาณไปแล้ว 13 ล้านปอนด์ (ราว 557 ล้านบาท) มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ของเอสเอฟโอ

อย่างไรก็ตาม เลฟซัน ระบุว่า อาจจะมีการดำเนินคดีทางอาญาเป็นรายบุคคล โดยพนักงาน 38 คนของ โรลส์-รอยซ์ พบมีความผิดในการสอบสวนที่ผ่านมา ซึ่ง 6 คนในจำนวนดังกล่าวถูกไล่ออกและอีก 11 คน ออกจากบริษัทระหว่างที่มีการสืบสวน

หลังกลายเป็นเรื่องอื้อฉาว แบร์รี การ์ดิเนอร์ รัฐมนตรีเงาด้านการค้าระหว่างประเทศของพรรคแรงงาน พรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ เรียกร้องให้ปลดยศอัศวินของเซอร์ จอห์น โรส อดีตประธานบริหาร (ซีอีโอ) ของโรลส์-รอยซ์ ตั้งแต่ปี 1996-2011 ออก หลังขาดคุณสมบัติจากเหตุอื้อฉาวดังกล่าว ขณะที่ยังเรียกร้องให้ดำเนินคดีอาญาเป็นรายบุคคลอีกด้วย

การสอบสวนของอังกฤษ

ไทย : จ้างคนกลางมากกว่า 36 ล้านเหรียญสหรัฐ นำไปสู่การติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐและพนักงานการบินไทย เพื่อขายเครื่องยนต์ 3 ครั้ง ระหว่างปี 1991-2005
อินโดนีเซีย : ให้เงินจำนวน 2.25 ล้านเหรียญสหรัฐ  พร้อมรถยนต์แก่คนกลาง ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อเอื้อต่อการขายเครื่องยนต์
จีน : จ่ายเงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับผู้บริหารรายหนึ่งของไชน่า อีสเทิร์น แอร์ไลน์ส เพื่อขายเครื่องยนต์
มาเลเซีย : จ่ายเงิน 3.2 ล้านเหรียญสหรัฐ ให้กับผู้บริหารของแอร์เอเชีย เพื่อบริการซ่อมบำรุงเครื่องบินของโรลส์-รอยซ์
อินเดีย : ใช้คนกลางเพื่อให้ได้สัญญาด้านความมั่นคงของรัฐบาลอินเดียและติดสินบนกับเจาหน้าที่สรรพากรหลังรัฐบาลอินเดียขอรายชื่อคนกลางของโรลส์-รอยซ์
รัสเซีย : ติดสินบนเพื่อชนะสัญญาโครงการก๊าซ “พอร์โทวายา” ของก๊าซพรอม รัฐวิสาหกิจน้ำมันรัสเซีย
ไนจีเรีย : โรลส์-รอยซ์จ้างงานเอกชนไนจีเรีย ที่ต่อมาติดสินบนเจ้าพนักงานเพื่อให้ได้สัญญาโครงการพลังงาน 2 โครงการ

การสอบสวนของสหรัฐ

ไทย : โรลส์-รอยซ์ และโรลส์-รอยซ์ เอ็นเนอร์จี ซิสเต็ม ว่าจ้างคนกลางซึ่งนำไปสู่การติดสินบนเจ้าหน้าที่ใน ปตท. มากกว่า 11 ล้านเหรียญสหรัฐ ในช่วงปี 2003-2013
บราซิล : จ้างงานคนกลาง 9.32 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่ง 1.6 ล้านเหรียญสหรัฐ กลายเป็นเงินติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐบราซิล เพื่อให้ได้สัญญากับปิโตรบาส รัฐวิสาหกิจน้ำมันบราซิล
คาซัคสถาน : จ่าย “ค่าคอมมิชชั่น” 5.44 ล้านเหรียญสหรัฐ กับเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อให้ได้สัญญาพลังงานลมในปี 2009 รวมถึงขายวัสดุและการบริการในปี 2012
อาเซอร์ไบจาน : ปี 2000-2009 โรลส์-รอยซ์ เอ็นเนอร์จี ซิสเต็ม จ่าย “ค่าคอมมิชชั่น” 7.8 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อชนะสัญญาขายกังหันลม ซึ่งทำเงินได้ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ
อิรัก : ติดสินบนระหว่างปี 2006-2009 เพื่อขายกังหัน รวมถึงให้รอดพ้นจากการถูกแบล็กลิสต์
อังโกลา : จ่ายเงิน 1.2 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็น “ค่าคอมมิชชั่น” เพื่อโครงการที่สร้างรายได้ให้ 30 ล้านเหรียญสหรัฐ

ภาพ เอเอฟพี

 

ญี่ปุ่นเร่งปรับทัศนคติ ลด‘คาโรชิ’โหมงานจนตาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 มกราคม 2560 เวลา 07:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/475729

ญี่ปุ่นเร่งปรับทัศนคติ ลด‘คาโรชิ’โหมงานจนตาย

โดย…ชญานิศ ส่งเสริมสวัสดิ์

ญี่ปุ่นเป็นชาติที่ขึ้นชื่อว่าขยันทำงานหนักมากที่สุดชาติหนึ่งในโลก จนบางครั้งก็มากเกินไปจนเกิดเหตุการณ์โศกนาฏกรรม เช่น การฆ่าตัวตายของพนักงานสาวบริษัท เดนท์สุ เอเยนซีโฆษณาที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น หลังต้องทำงานล่วงเวลามากกว่า 100 ชั่วโมง/เดือน ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นบ่อยครั้งในประเทศที่มีวัฒนธรรมการทำงานหนักอย่างแดนอาทิตย์อุทัย นำไปสู่ความพยายามปฏิรูปลดชั่วโมงการทำงานของประชาชน

“ญี่ปุ่นมีปัญหาที่ฝังรากลึกในด้านการทำงาน ไม่ใช่เพียงแค่เดนท์สุเท่านั้น แต่บริษัทอื่นๆ ด้วย” ฮิโรชิ คาวาฮิโตะ ทนายที่ปรึกษาครอบครัวของพนักงานสาวแห่งเดนท์สุ กล่าว

หนังสือพิมพ์ไฟแนนซ์เชียลไทมส์ ระบุว่า ที่ญี่ปุ่นมีศัพท์คำว่า “คาโรชิ” หรือโรคทำงานหนักจนถึงขั้นเสียชีวิต โดยชาวญี่ปุ่นที่เสียชีวิตจากภาวะดังกล่าวอาจสูงถึงมากกว่า 200 คนในแต่ละปี ท่ามกลางวัฒนธรรมญี่ปุ่นที่รับมาตั้งแต่สมัยสร้างชาติในช่วงปี 1980 หลังภาวะสงคราม และต้องการผลักดันประเทศ มาจนถึงในยุคที่ญี่ปุ่นเผชิญกับภาวะเงินฝืดมาตลอด 2 ทศวรรษ ซึ่งชาวญี่ปุ่นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อปกป้องหน้าที่การงานเอาไว้

ญี่ปุ่นปฏิรูปชั่วโมงทำงาน

รัฐบาลญี่ปุ่นลดการจำกัดเวลาการทำงานล่วงเวลาลงจากเดิมที่อนุญาตให้ไม่เกิน 100 ชั่วโมง/เดือน เหลือ 80 ชั่วโมง/เดือน หากบริษัทรายใดฝ่าฝืนจะต้องรายงานกับกระทรวงสาธารณสุข แรงงาน และสวัสดิการของญี่ปุ่น

นอกจากนี้ รัฐบาลญี่ปุ่นจะเริ่มใช้โครงการ “ศุกร์พรีเมียม” เริ่มต้นในวันที่ 24 ก.พ.นี้ โดยจะให้พนักงานได้เลิกงานในช่วง 15.00 น. ซึ่งเร็วกว่าเวลาเลิกงานปกติ 2 ชั่วโมง ในช่วงวันศุกร์สุดท้ายของเดือน เพื่อให้พนักงานได้มีเวลาผ่อนคลาย ขณะที่ภาคเอกชนหลายแห่งเริ่มขยับเพื่อรับนโยบายของรัฐบาล

บลูมเบิร์ก ยกตัวอย่างซันโตรีโฮลดิงส์ ผู้ผลิตเบียร์ชื่อดังที่ขยายโครงการอนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานจากบ้าน เช่นเดียวกับยาฮู เจแปนที่อนุญาตให้พนักงานทำงานจากบ้านได้ 5 ครั้ง/เดือน และพิจารณาเพิ่มวันหยุดเป็น 3 วัน/สัปดาห์ ภายในปี 2020 ขณะที่เจแปน โพสต์ อินชัวรันส์ จะปิดไฟอาคารสำนักงานเพื่อให้พนักงานทุกคนกลับบ้านให้หมดในเวลา 19.30 น.

หนทางยังอีกยาวไกล

แม้สังคมจะตื่นตัวกับเรื่องนี้มากขึ้น ทว่าเป้าหมายการลดชั่วโมงการทำงานของญี่ปุ่นยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก โดยเฉพาะในเรื่องวัฒนธรรมและแนวคิดที่ฝังรากลึกมายาวนาน โดยสมาพันธ์ธุรกิจญี่ปุ่น เปิดเผยว่า มีเอกชนเพียง 1,300 แห่งเท่านั้นที่ลงทะเบียนในโครงการรณรงค์ “ศุกร์พรีเมียม” เมื่อเทียบกับจำนวนบริษัทมากกว่า 2.5 ล้านแห่งทั่วญี่ปุ่น

“ญี่ปุ่นยังเป็นประเทศที่คิดว่าการทำงานหลายชั่วโมงเป็นความถูกต้อง แต่พวกเราต้องมุ่งให้ความสนใจในการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานในชั่วโมงที่จำกัดเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต” คาซึนาริ ทามากิ ทนายผู้เชี่ยวชาญคดีความ“คาโรชิ” เปิดเผยกับสำนักข่าวเกียวโด

อย่างไรก็ตาม โยชิฮิเดะ ซูงะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังพยายามเปลี่ยนแนวคิดของภาคเอกชน และเร่งภาคเอกชนให้ยืดหยุ่นมากขึ้น และญี่ปุ่นจำเป็นต้องยุติการทำงานหนักหลายชั่วโมงต่อวัน เพื่อให้สามารถสร้างสมดุลได้ระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิต ท่ามกลางจำนวนประชากรที่ลดลงต่อเนื่อง

“ญี่ปุ่นต้องยุติบรรทัดฐานการทำงานยาวนาน เพื่อให้ผู้คนสามารถบาลานซ์การใช้ชีวิตในหลายสิ่งอย่างการเลี้ยงดูบุตรหลาน และดูแลผู้สูงอายุ” ซูงะ กล่าว

สอดรับนโยบายอาเบะ

การลดชั่วโมงทำงานมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มเวลาในการสันทนาการ ซึ่งรวมถึงการจับจ่ายใช้สอยเช่นกัน โดยโทชิฮิโระ นากาฮามะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของไดอิจิ ไลฟ์ รีเสิร์ช ในกรุงโตเกียว คาดการณ์ว่า หากพนักงานมีเวลามากขึ้นจาก “ศุกร์พรีเมียม” จะช่วยให้การจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น 1.24 แสนล้านเยน (ราว 3.7 หมื่นล้านบาท) ในทุกศุกร์สุดท้ายของทุกเดือน

ความพยายามลดชั่วโมงการทำงานของประชาชนลง ยังสอดรับกับศรดอกที่สามในนโยบาย “อาเบะโนมิกส์” หรือนโยบายเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ประกอบไปด้วยการใช้การเงินและการคลังกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึงการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ ซึ่งต้องเร่งให้ทันก่อนที่ญี่ปุ่นจะมีปัญหาตลาดแรงงานไปมากกว่านี้ หลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมากกว่าชาติใดในโลก

โนมูระ ระบุว่า แม้จะทำให้ผลผลิตของพนักงานลดลง แต่ก็จะช่วยให้ศักยภาพการผลิตปรับตัวดีขึ้นในอนาคต รวมถึงยังเป็นส่วนเสริมช่วยให้อัตราการเกิดปรับขึ้นอีกด้วย หลังญี่ปุ่นประสบปัญหาประชากรเกิดใหม่ลดลง

ทั้งนี้ นิกเกอิบิซิเนสเดลี เปิดเผยว่า เมื่อเทียบกับสถิติของญี่ปุ่นเมื่อปี 1949 ที่มีจำนวนเด็กเกิดใหม่ถึงเกือบ 2.7 ล้านคน จำนวนเด็กเกิดใหม่ในปี 2016 ที่ผ่านมา อาจลดลงต่ำกว่า 1 ล้านคนเป็นครั้งแรก โดยคาดว่าอยู่ที่ระหว่าง 9.8-9.9 แสนคนเท่านั้น

ภาพ เอเอฟพี

 

มหาอำนาจจ่อตึงเครียด จับตาความสัมพันธ์รัสเซีย-จีน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 มกราคม 2560 เวลา 08:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/475379

มหาอำนาจจ่อตึงเครียด จับตาความสัมพันธ์รัสเซีย-จีน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ยอมรับเป็นครั้งแรกว่ารัสเซียอยู่เบื้องหลังการแฮ็กอีเมลพรรคเดโมแครต เพื่อแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา พร้อมปฏิเสธความเกี่ยวข้องต่างๆ กับรัสเซียระหว่างการแถลงข่าวครั้งแรกนับตั้งแต่ชนะการเลือกตั้ง เมื่อคืนวันที่ 11 ม.ค. ก่อนจะสาบานตนรับตำแหน่งในวันที่ 20 ม.ค.

ก่อนหน้านี้ทรัมป์เคยให้คำมั่นว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซียระหว่างปฏิบัติหน้าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ท่ามกลางกระแสคัดค้านจากสมาชิกพรรครีพับลิกัน แม้ทรัมป์ยังแสดงความไม่มั่นใจว่าจะสามารถกระชับความสัมพันธ์กับประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน แห่งรัสเซียได้ แต่ก็ให้คำมั่นว่าการโจมตีทางไซเบอร์ดังกล่าวจะไม่เกิด ขึ้นอีก

“ผมคิดว่าคงเป็นรัสเซีย แต่ปูตินไม่ควรทำเช่นนั้น และจะไม่ดำเนินการดังกล่าวในอนาคต รัสเซียจะเคารพสหรัฐมากยิ่งขึ้น เมื่อผมทำหน้าที่ ผู้นำประเทศ” ทรัมป์ กล่าวพร้อมเสริมว่า นอกจากรัสเซียแล้ว จีนและประเทศอื่นๆ ก็มีเป้าหมายโจมตีสหรัฐทางไซเบอร์เช่นกัน

ขณะแถลงข่าว ทรัมป์ยังกล่าวโจมตีสื่อสหรัฐเกี่ยวกับการเผยแพร่รายงานที่ไม่เป็นความจริงว่า ที่ปรึกษาใกล้ชิดของทรัมป์ติดต่อกับรัสเซียระหว่างหาเสียงเลือกตั้ง และรัสเซียมีข้อมูลลับของทรัมป์ ทั้งข้อมูลทางการเงินและข้อมูลส่วนตัว โดยทรัมป์มุ่งโจมตีเว็บไซต์ข่าวบัซฟีดและสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ซึ่งเผยรายงานดังกล่าว

ทั้งนี้ หลังการเผยแพร่รายงานดังกล่าว ทรัมป์ได้ออกมาทวีตตอบโต้โดยระบุว่า รายงานดังกล่าวเป็นข่าวปลอมและการล่าแม่มด ขณะที่ ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย เปิดเผยหลังทรัมป์ ทวีตไม่นานว่า รัสเซียไม่มีข้อมูลลับใดๆ เกี่ยวกับทรัมป์ และรายงานข่าวดังกล่าวเป็นเรื่องไร้สาระและปลอมแปลงขึ้นมาทั้งหมด

ย้ำจุดยืนขึ้นภาษีนำเข้าสินค้า

ทรัมป์ยังยืนยันว่าจะขึ้นภาษีนำ เข้าสินค้าจากบริษัทสหรัฐที่ไปตั้ง โรงงานผลิตนอกประเทศ และส่ง สินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศ เพื่อกระตุ้นให้บริษัทสหรัฐย้ายฐานการผลิตกลับมา

“รัฐจะเก็บภาษีศุลกากรจำนวนมหาศาลจากบริษัทสหรัฐที่ย้ายฐานการผลิตไปนอกประเทศ บริษัทเหล่านี้จะดิ้นไม่หลุดหลังดำเนินการดังกล่าว คุณมีสถานที่มากมายให้ย้ายไปตั้งโรงงาน ตราบใดที่ยังอยู่ภายในสหรัฐ” ทรัมป์ กล่าว

ทั้งนี้ คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้นหลังทรัมป์ทวีตโจมตีบริษัท เจนเนอรัล มอเตอร์ (จีเอ็ม) กรณีไปผลิตรถรุ่น เชฟวี ครูซ ในเม็กซิโก แล้วส่งกลับมาขายในสหรัฐ โดยไม่เสียภาษีเมื่อวันที่ 3 ม.ค.ที่ผ่านมา

เล็งเข้มนโยบายรัสเซีย-จีน

ทางด้าน เร็กซ์ ทิลเลอร์สัน ว่าที่รัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐ ได้เข้าแสดงวิสัยทัศน์และตอบคำถามคณะกรรมาธิการวิเทศสัมพันธ์ของวุฒิสภา เมื่อวันที่ 11-12 ม.ค. เพื่อรับรองการเข้ารับตำแหน่งดังกล่าว

ทั้งนี้ คำถามส่วนใหญ่เกี่ยวข้อง กับประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างสหรัฐและรัสเซีย ซึ่งทิลเลอร์สันส่งสัญญาณเผชิญหน้ากับรัสเซียมากยิ่งขึ้น โดยระบุว่ารัสเซียเป็นอันตรายต่อ สหรัฐจากกรณีการแฮ็กอีเมล แม้ ทิลเลอร์สันยังไม่แสดงท่าทีว่าจะใช้มาตรการคว่ำบาตรรัสเซียเพิ่มเติม แต่กำลังพิจารณาใช้มาตรการ ลงโทษแบบใหม่ต่อรัสเซียจากการ เข้าแทรกแซงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

ทิลเลอร์สัน ยังเสริมว่า ความเป็นผู้นำที่ไม่เด็ดขาดของสหรัฐในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัสเซียกล้ารุกคืบเข้าไปผนวกดินแดนไครเมียเมื่อปี 2014 รวมถึงประเด็นการเข้าไปมีส่วนในสงคราม กลางเมืองในซีเรีย

นอกเหนือจากรัสเซียแล้ว ทิลเลอร์สันยังเตรียมเผชิญหน้ากับจีนมากยิ่งขึ้น โดยกล่าวว่าควรปิดกั้นไม่ให้จีนเข้าไปในเกาะเทียมที่จีนสร้างขึ้นในพื้นที่พิพาทบริเวณทะเลจีนใต้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวมีความคล้ายคลึงกับการที่รัสเซียผนวกไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของประเทศ

“เราต้องส่งสัญญาณที่ชัดเจนให้จีนรู้ว่า ต้องหยุดการก่อสร้างในพื้นที่พิพาท และจีนไม่ควรมีสิทธิเข้าไปในบริเวณดังกล่าว” ทิลเลอร์สัน ระบุโดยไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการสกัดจีนเข้าไปในพื้นที่

ภาพ เอเอฟพี

 

‘ทรัมป์’เอาจริงฉุดธุรกิจโลกเสี่ยง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 มกราคม 2560 เวลา 08:03 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/475375

'ทรัมป์'เอาจริงฉุดธุรกิจโลกเสี่ยง

 โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ภาคธุรกิจทั้งในและนอกสหรัฐเผชิญความเสี่ยงมากขึ้น หลังนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังคงส่งสัญญาณเก็บภาษีนำเข้าสินค้า ส่งผลให้เอกชนต้องปรับการลงทุนใหม่และเตรียมแผนรับมือ

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังคงส่งสัญญาณจะเก็บภาษีนำเข้าต่อบริษัทที่ตั้งโรงงานในเม็กซิโกซึ่งมีค่าแรงถูกกว่า พร้อมใช้ทวิตเตอร์กล่าวโจมตีผู้ผลิตต่างๆ ที่มีแผนลงทุนในเม็กซิโก ไม่เว้นแม้แต่ผู้ผลิตรถยนต์ญี่ปุ่นอย่างโตโยต้า มอเตอร์ ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ต้องปรับแผนการลงทุนใหม่ และทำให้ทรัมป์กลายเป็นความเสี่ยงใหม่ต่อภาคธุรกิจ

รอยเตอร์สรายงานอ้างบรรดา นายธนาคารรายใหญ่ในวอลสตรีท ว่าบรรดาเอกชนสหรัฐบางแห่งกำลังพิจารณาระงับการควบรวมกิจการที่อาจส่งผลให้เกิดการปรับลดพนักงานในสหรัฐ หรือลดการผลิตในสหรัฐและเพิ่มกำลังผลิตในต่างประเทศ เนื่องจากกังวลต่อการโจมตีจากทรัมป์ ขณะที่บริษัทบางแห่งซึ่งมีฐานการผลิตใน ต่างประเทศ เคยเลย์ออฟพนักงาน หรือขึ้นราคาสินค้าในสหรัฐ ต่างก็วิตกว่าตนเองอาจตกเป็นเป้าหมายต่อไปของว่าที่ผู้นำสหรัฐ

การโจมตีผ่านทวิตเตอร์ของทรัมป์ไม่ได้สร้างความหวั่นเกรงให้กับภาคการผลิตเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภาคส่วน อื่นๆ ด้วย โดยรอยเตอร์ส ระบุว่า ไวท์ เมาท์เทนส์ อินซัวรันส์ กรุ๊ป ผู้ให้บริการการเงินซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในรัฐ นิวแฮมป์เชอร์ ของสหรัฐ กำลังพิจารณาจะขายกิจการเพื่อเลี่ยงภาษี แต่เมื่อทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา การควบรวมกิจการดังกล่าวเป็นอันล้มเหลวไป

รอยเตอร์ส ระบุว่า ยังมีบริษัทประกันอีกสองแห่งที่ต้องล้มเลิกการควบรวมกิจการไปด้วยเหตุผลในลักษณะเดียวกัน

ขณะที่บางบริษัทจำเป็นต้องรีบเตรียมแผนสำรองโดยด่วนจากนโยบายที่ไม่เป็นมิตรกับจีนนัก โดยทรัมป์มุ่งจะขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน ส่งผล ให้ภาคธุรกิจต้องชะงักการดำเนินการ เช่น เจมส์ ปาร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของฟิตบิต อิงค์ ผู้ผลิตอุปกรณ์สวมใส่ทางกีฬา เปิดเผยว่า ได้สั่งให้การผลิตที่สำคัญทุกส่วน ซึ่งมีปฏิบัติการอยู่ในจีนให้เตรียมแผนสำรองเผื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน

“ไม่ว่าจะเจอต้นทุนเพิ่มขึ้นหรือเตรียมการเพื่อย้ายฐานการผลิตออกจากจีน บริษัทกำลังพิจารณาสิ่งเหล่านั้นอยู่” ปาร์ก กล่าว

ธุรกิจปรับแผนเอาใจผู้นำ

นับตั้งแต่การเลือกตั้งในเดือน พ.ย. ทรัมป์ได้ใช้ทวิตเตอร์วิพากษ์วิจารณ์ผู้ผลิตรถยนต์ เช่น ฟอร์ด มอเตอร์ และเจนเนอรัล มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์จากสหรัฐ รวมถึงโตโยต้า มอเตอร์ ผู้ผลิตรถยนต์จากญี่ปุ่น หรือผู้ผลิตอื่นๆ เช่น เร็กซ์นอร์ด และยูไนเต็ด เทค เจ้าของผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศแคเรียร์ ที่มีแผนลงทุนการผลิตในเม็กซิโก หรือแม้กระทั่งโจมตี โบอิง คอร์ป ผู้ผลิตอากาศยานรายใหญ่ที่สุดในประเทศ ในเรื่องการลงทุนโครงการอาวุธ

การเปิดเผยของทรัมป์นำมาสู่การปรับแผนการลงทุนเพื่อรับกับนโยบาย เช่น ฟอร์ด มอเตอร์ ที่ยกเลิกแผนการสร้างโรงงานที่เม็กซิโกมูลค่า 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.7 หมื่นล้านบาท) หรือแคเรียร์ที่ตกลงจะไม่เลิก จ้างงานที่สหรัฐ 2,100 อัตรา

รอยเตอร์สอ้างที่ปรึกษาด้านความสัมพันธ์กับรัฐบาลว่าได้รับโทรศัพท์หลายสายจากภาคเอกชน โดยภาคเอกชนต่างต้องการความช่วยเหลือให้ช่วยตรวจสอบประเด็นที่ทรัมป์อาจจะไม่พอใจ เพื่อเลี่ยงการโดนว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐโจมตี ซึ่งมีหลายเรื่องที่สุ่มเสี่ยง เช่น การจ้างเอาต์ซอร์สเพื่อการผลิต หรือการขึ้นราคาสินค้า

“พวกซีอีโอต่างกำลังคุยกับบอร์ดเพื่อทำความเข้าใจกันว่า บริษัทจะต้องมีภาพลักษณ์ที่เข้าข้างสหรัฐ ถ้าหากมีอะไรที่หลุดกรอบ เช่น แผนการเลย์ออฟ หรือการย้ายฐานการผลิต พวกเขาจะต้องไม่ปล่อยให้เกิดสิ่งเหล่านั้นขึ้น” หนึ่งในผู้บริหารซึ่งติดในรายชื่อ 500 ผู้บริหารเด่นของนิตยสารฟอร์จูนเปิดเผยกับรอยเตอร์ส

ต่างชาติตบเท้าหาทรัมป์

บริษัท เฟียต ไครสเลอร์ ออโตโมบิลส์ (เอฟซีเอ) ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติอิตาลี-สหรัฐ เตรียมลงทุน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.57 หมื่นล้านบาท) เพื่อสร้างงาน  2,000 อัตรา ขณะที่ อาลีบาบา อี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีนให้สัญญาช่วยสนับสนุนธุรกิจรายย่อยของสหรัฐเพื่อสร้างงานให้ได้ 1 ล้านอัตราใน 5 ปี หลัง แจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้งอาลีบาบาพบปะกับทรัมป์

ด้านโตโยต้าประกาศแผนลงทุน 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.57 แสนล้านบาท) ในอีก 5 ปีข้างหน้า เพียงไม่กี่วันหลังจากทรัมป์โจมตีโตโยต้า ซึ่งวางแผนจะเพิ่มการผลิตโรงงานในเม็กซิโก และขู่จะขึ้นภาษีนำเข้า ก่อนที่ อาคิโอะ โตโยดะ ประธานของโตโยต้า เดินทางไปพบกับ ไมค์ เพนซ์ ว่าที่รองประธานาธิบดีของทรัมป์ ทั้งนี้ ไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับการพูดคุยระหว่างโตโยดะกับเพนซ์ และโตโยดะยังไม่มีแผนจะพบกับว่าที่ประธานาธิบดี

“คุณไม่อยากเผชิญกับประธานาธิบดีคนนี้หรอก โดยเฉพาะกับคนที่ร้องป่าวตลอดเวลา” หนึ่งในผู้บริหารซึ่งติดในรายชื่อ 500 ผู้บริหารเด่นของนิตยสารฟอร์จูน กล่าว

 

2016 ปีแห่งความเซอร์ไพรส์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 ธันวาคม 2559 เวลา 10:16 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/472987

2016 ปีแห่งความเซอร์ไพรส์

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ปี 2016 เกือบจะเป็นปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ผู้หญิงครองโลก แต่แล้วก็เกิดเหตุการณ์พลิกผันหลายต่อหลายครั้ง จนอาจเรียกได้ว่าปีนี้เป็นปีแห่งการนอกเหนือความคาดหมายอย่างแท้จริง โดยเฉพาะด้านการเมือง ในขณะที่การก่อการร้ายยังคงเขย่าขวัญอย่างต่อเนื่องในยุโรป ส่วนอเมริกาใต้ไปจนถึงเอเชียก็ต้องต่อสู้กับการระบาดของเชื้อไวรัสซิกา และยังมีอีกหลายเรื่องราวที่เกิดขึ้นจนมีผลต่อเนื่อง หรืออาจจบลงอย่างรวดเร็วจนคนทั่วโลกหลงลืมไปแล้ว ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์ขอประมวลเรื่องราวทั่วโลกให้ติดตามดังนี้

1.ก่อการร้ายสะท้านยุโรป

นับตั้งแต่กลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ก่อวินาศกรรมโจมตีกรุงปารีส เมื่อปลายปี 2015 ที่ผ่านมา การเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายก็ได้กลายเป็นหนึ่งในวาระสำคัญของทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรป กระนั้นก็ยังคงเกิดเหตุโจมตีสะเทือนขวัญขึ้นหลายครั้ง ไล่ตั้งแต่สนามบินในกรุงบรัสเซลส์ เบลเยียม เมื่อเดือน มี.ค. เมืองนีซ ฝรั่งเศส นครอิสตันบูล ตุรกี เมืองมิวนิก เยอรมนี จนกระทั่งถึงช่วงพีกของปีในช่วงเข้าสู่เทศกาลคริสต์มาส ที่กรุงเบอร์ลิน ซึ่งเป็นการก่อเหตุในลักษณะโลนวูล์ฟ หรือการลงมือเพียงลำพังหรือไม่กี่คน ทำให้ยากต่อการแก้ไขปัญหานี้ได้อย่างแท้จริง

2.ปานามา เปเปอร์ส ไล่บี้หนีภาษี

แวดวงธุรกิจโลกต้องเผชิญเรื่องเขย่าขวัญอีกครั้ง เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา กับการเปิดโปงรายชื่อธุรกิจและบุคคลนับล้านรายชื่อที่เข้าข่ายการเลี่ยงภาษี ด้วยการไปจดทะเบียนตั้งบริษัทในประเทศปลอดภาษีทั้งหลาย อาทิ ปานามาและบรรดาประเทศหมู่เกาะในทะเลแคริบเบียน นับเป็นการเปิดโปงครั้งใหญ๋ที่สุดนับตั้งแต่กรณีวิกิลีกส์ ผู้นำบางประเทศ เช่น นายกรัฐมนตรีของไอซ์แลนด์ต้องลาออกและนำไปสู่การตื่นตัวของภาครัฐทั่วโลกที่ร่วมกันหาทางปิดช่องการเลี่ยงภาษี ตั้งแต่การไล่บี้กับประเทศต้นทาง เช่น ปานามา ไปจนถึงการออกกฎหมายในประเทศตนเอง

ไนเจล ฟาราจ ผู้น&<048662;ำพรรคฝ่ายค้านอังกฤษขณะนั้นฉลองชัยหลังชนะการประชามติ

3.ทะเลจีนใต้ร้อนระอุ

ภายหลังศาลอนุญาโตตุลาการของสหประชาชาติว่าด้วยอนุสัญญากฎหมายทะเลระหว่างประเทศ มีคำตัดสินเมื่อวันที่ 12 ก.ค. ว่าการอ้างสิทธิของจีนในทะเลจีนใต้จาก “สิทธิทางประวัติศาสตร์” ไม่มีพื้นฐานทางกฎหมาย ได้ก่อให้เกิดความตึงเครียดระหว่างประเทศที่อ้างสิทธิในพื้นที่ทะเลจีนใต้แทบจะในทันที คำตัดสินของศาลเป็นข้อพิสูจน์อย่างดีว่าระบบการเมืองที่ชาติมหาอำนาจเป็นผู้สร้างขึ้นภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จะยังสามารถนำมาใช้กับโลกปัจจุบันที่มีความหลากหลายได้หรือไม่ จีนมีท่าทีแข็งกร้าวต่อแรงกดดันของทุกฝ่ายซึ่งรวมถึงสหรัฐและยุโรป ที่ต้องการเข้ามาร่วมไกล่เกลี่ยเรื่องนี้ ขณะที่ความสัมพันธ์ระหว่างอาเซียน-จีน ยังตึงเครียดไปด้วยจนกระทั่งผู้นำคนใหม่ของฟิลิปปินส์เข้ามา

4.ดูเตอร์เตเปลี่ยนสมดุลเอเชีย

กลายเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลกหลังจาก โรดริโก ดูเตอร์เต อดีตนายกเทศมนตรีจากเมืองดาเวา วัย 71 ปี ที่ถูกขนานนามว่าเป็น โดนัลด์ ทรัมป์ แห่งเอเชีย ได้รับชัยชนะอย่างท่วมท้นในการเลือกตั้งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ ด้วยเป็นคนที่มีบุคลิกโผงผาง วาจาดุดัน เล่นมุขทางเพศแบบไร้รสนิยม และคำสัญญาที่จะล้างบางอาชญากร เพียงแค่ 6 เดือนหลังเข้ารับตำแหน่ง สงครามกวาดล้างยาเสพติดของดูเตอร์เตทำให้มีผู้เสียชีวิตแล้วกว่า 5,000 คน สะเทือนไปถึงความสัมพันธ์กับมหามิตรเก่าอย่างสหรัฐ ที่วิพากษ์วิจารณ์นโยบายนี้ จนดูเตอร์เตประกาศปรับสมดุลขั้วอำนาจหันไปหาจีนแทน ส่งผลให้จีนที่เพลี่ยงพล้ำจากกรณีทะเลจีนใต้ก่อนหน้านี้กลับมาอีกครั้ง และทำให้นโยบายปักหมุดเอเชียของสหรัฐเริ่มสะดุดลง

ผู้คนร่วมไว้อาลัยต่อเหตุก่อการร้ายใน

5.เบร็กซิตหักทุกปากกาเซียน

กลายเป็นเหตุการณ์พลิกล็อกที่ช็อกคนทั่วโลกเมื่อย่างเข้าสู่ครึ่งหลังของปี 2016 เมื่อสหราชอาณาจักรที่นำโดยอังกฤษลงประชามติออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต การตัดสินใจดังกล่าวสร้างความผันผวนในตลาดทุนโลกอย่างหนัก ค่าเงินปอนด์อ่อนค่าต่ำสุดในรอบ 31 ปี เดวิด คาเมรอน ต้องลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และเปิดทางให้ เทเรซา เมย์ เป็นผู้นำอังกฤษออกจากมรสุมนี้ แม้หลังจากฝุ่นตลบไปแล้วสถานการณ์จะไม่ได้เลวร้ายอย่างที่คาดคิด ตรงกันข้ามค่าเงินที่อ่อนค่าลงช่วยกระตุ้นการค้าและการท่องเที่ยวได้มาก ทว่าต้องจับตากันต่อไปในปี 2017 ซึ่งอังกฤษประกาศจะเริ่มต้นกระบวนการเจรจาออกจากอียูภายในเดือน มี.ค.ที่จะถึงนี้

6.รัฐประหารล่มในตุรกี

ความพยายามก่อรัฐประการโค่นล้มรัฐบาลของประธานาธิบดี เรเซบ เตยิบ เออร์โดอาน ของกองทัพตุรกีในกรุงอังการา คืนวันที่ 15 ก.ค. ต้องพบกับความล้มเหลว เมื่อเออร์โดอานซึ่งอยู่ระหว่างการพักร้อนรีบเดินทางไปปักหลักต่อสู้ที่นครอิสตันบูล และเรียกร้องให้ประชาชนร่วมกันลุกขึ้นต่อต้าน รัฐประหารจบสิ้นลงในวันต่อมา มีผู้เสียชีวิต 265 คน เออร์โดอานกล่าวหาว่าเป็นฝีมือของ เฟตุลเลาะห์ กูเลน อดีตผู้นำทางศาสนาซึ่งลี้ภัยอยู่ในสหรัฐ และนำไปสู่การกวาดล้างขั้วอำนาจฝ่ายตรงข้ามครั้งใหญ่ ทั้งในกองทัพและหน่วยงานราชการจนถึงปัจจุบัน ซึ่งมีการจับกุมแล้วนับหมื่นคน และมีผู้ถูกพักงานหรือถูกไล่ออกจากราชการอย่างน้อย 1.2 แสนคนทั่วประเทศ

รัฐประหารล่มในตุรกี

 

7.ไวรัสซิการะบาดหนัก

โรคติดเชื้อไวรัสซิกาซึ่งมียุงลายบ้านเป็นพาหะนำโรค พบการระบาดในบราซิลตั้งแต่เดือน พ.ค. 2015 และแพร่กระจายไปยังประเทศอื่นๆ ในแถบละตินอเมริกา อเมริกากลาง และกลุ่มประเทศในแคริเบียน ก่อนที่ไวรัสตัวนี้จะลุกลามถึงเอเชียในเวลาต่อมา องค์การอนามัยโลกได้ประกาศเป็นภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 1 ก.พ. ทว่าการตื่นตัวรับมือกับซิกามากที่สุดในปีนี้คือช่วงที่บราซิลเป็นเจ้าภาพมหกรรมกีฬาโอลิมปิกในเดือน ส.ค. นักกีฬาบางรายปฏิเสธที่จะเข้าร่วมเนื่องจากกลัวเชื้อไวรัสตัวนี้ เพราะแม้จะไม่ถึงกับทำให้เสียชีวิตในผู้ใหญ่ แต่ไวรัสตัวนี้มีผลข้างเคียงกับหญิงตั้งครรภ์ ทำให้ทารกที่เกิดมาอาจมีภาวะสมองเล็ก หรือมีภาวะแทรกซ้อนระหว่างการตั้งครรภ์ได้

8.ชัยชนะทรัมป์เขย่าโลก

ถือเป็นเซอร์ไพรส์ใหญ่ส่งท้ายปี 2016 กับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐเมื่อวันที่ 8 พ.ย. ซึ่งชัยชนะตกเป็นของ โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีฝีปากจัดตัวแทนพรรครีพับลิกัน ที่คว้าคะแนนคณะผู้แทนเลือกตั้ง (Electoral vote) ได้มากกว่า 2 ใน 3 ในขณะที่คู่แข่งอย่าง ฮิลลารี คลินตัน ทำผลงานได้ที่สุดเพียงเสียงลงคะแนนดิบของประชาชน (Popular Vote) ชัยชนะดังกล่าวก่อให้เกิดการประท้วงตามเมืองใหญ่ทั่วสหรัฐ และเกิดความกังวลเรื่องการเหยียดผิว-ผู้อพยพขึ้นในประเทศ ขณะที่ทั่วโลกต่างก็กังวลไม่น้อยกับผลกระทบทางด้านนโยบายที่จะตามมา อาทิ การกีดกันทางการค้า การยกเลิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) การลดความสนใจนอกบ้านเพื่อมุ่งเรื่องในบ้านเป็นหลัก และการเบนเข็มจากพลังงานทางเลือกรวมถึงความตกลงเรื่องโลกร้อน หันกลับไปมุ่งพลังงานรูปแบบเก่าที่ก่อให้เกิดมลภาวะมากกว่าแทน

ชาวซีเรียกลับเข้าสู่อเลปโปที่เหลือเพียงซากปรักหักพังหลังรัฐบาลบุกยึดคืนจากกบฏ

9.Post-Truth : อารมณ์เหนือเหตุผล

พจนานุกรมของออกซฟอร์ดอธิบายความหมายโดยนัยของคำว่า “Post-Truth” คือเรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ความจริงไม่สำคัญเท่ากับอารมณ์รับรู้และความเชื่อส่วนบุคคล คำนี้ถูกยกมาใช้กันอย่างแพร่หลายในช่วงการลงประชามติเบร็กซิต และการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เห็นได้จากแคมเปญหาเสียงในช่วงเวลาดังกล่าวจะเจือด้วยอารมณ์มากกว่ายกความจริงมาเพื่อโน้มน้าวผู้ลงคะแนนเสียงให้สนับสนุนตน

10.สงครามกลางเมืองซีเรีย

สงครามกลางเมืองซีเรียระหว่างฝ่ายรัฐบาลประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด และกลุ่มกบฏฝ่ายต่อต้านที่ยืดเยื้อมานานกว่า 5 ปี เริ่มมีความกระจ่างมากขึ้นในวันนี้ เมื่อฝ่ายรัฐบาลที่มีประเทศรัสเซียให้การสนับสนุน สามารถยึดคืนเมืองอเลปโป เมืองใหญ่อันดับ 2 ของซีเรีย และเป็นหนึ่งในเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในโลกกลับมาได้ ในขณะที่ฝ่ายกบฏยอมที่จะอพยพออกไป กระนั้นก็ตามการปิดฉากในอเลปโปก็ต้องแลกมาด้วยซากปรักหักพังของเมืองที่ล่มสลายไปแล้ว สหประชาชาติ (ยูเอ็น) เคยคาดการณ์เมื่อเดือน เม.ย. ว่ามีผู้เสียชีวิตจากสงครามกลางเมืองซีเรียแล้วกว่า 4 แสนคน ขณะที่การปิดฉากในอเลปโปยังเป็นแค่การยุติเบื้องต้น การแก้แค้นของฝ่ายต่อต้านยังคงเกิดขึ้นตามมา และจบลงด้วยโศกนาฏกรรมส่งท้ายปีกับการสังหารเอกอัครราชทูตรัสเซียประจำตุรกี ทำให้สถานการณ์ซีเรียยังคงเป็นอีกหนึ่งปัญหาเรื้อรังที่ยังต้องจับตามองกันต่อไปในปี 2017 นี้