‘เฟด’ สะเทือนโลก มุ่งขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า 3 ครั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 ธันวาคม 2559 เวลา 07:09 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/470484

‘เฟด’ สะเทือนโลก มุ่งขึ้นดอกเบี้ยปีหน้า 3 ครั้ง

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ขึ้นอัตราดอกเบี้ยจาก 0.25-0.50% เป็น 0.50-0.75% ตามคาดหมาย และยังปรับแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2017 โดยค่ากลางคาดการณ์ของคณะกรรมการนโยบายการเงินเฟด (เอฟโอเอ็มซี) อยู่ที่ระหว่าง 1.25-1.50% ปรับขึ้นจากคาดการณ์เดือน ก.ย.ที่ 0.50-0.75% หรือหากขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จะมีการขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 3 ครั้งในปีหน้า

นอกจากนี้ เฟดยังขึ้นคาดการณ์สำหรับปี 2018 และ 2019 เช่นกัน โดยค่ากลางแนวโน้มจากเอฟโอเอ็มซีอยู่ที่ 2-2.25% ในปี 2018 หรือหมายถึงการขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จำนวน 3 ครั้ง ขณะที่ของปี 2019 อยู่ที่ 2.75-3% ซึ่งหมายถึงการขึ้นดอกเบี้ยประมาณ 2 ครั้ง

เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการเฟด เปิดเผยว่า การขึ้นดอกเบี้ยดังกล่าวรองรับเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งและการจ้างงานที่กลับมาอยู่ในระดับก่อนเศรษฐกิจถดถอยในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ดังนั้น จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้นโยบายการคลังในการกระตุ้นให้การจ้างงานกลับมาเต็มอัตรา

การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นท่ามกลางการคาดการณ์ว่า นโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เช่น การปรับลดภาษีและการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งถือเป็นมาตรการทางการคลัง จะส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐปรับสูงขึ้น

“ฉันไม่อยากคาดการณ์ไปก่อนจนกว่าจะได้รับข้อมูลที่ชัดเจน และจนกว่าจะมีแนวโน้มที่สิ่งเหล่านั้นจะกระทบต่อเศรษฐกิจ” เยลเลน กล่าว

เยลเลน ระบุว่า แม้สมาชิกเอฟโอเอ็มซีบางส่วนจะเห็นด้วยต่อการนำมาตรการดังกล่าวมาคำนวณอัตราเงินเฟ้อ แต่เฟดไม่ได้มีการปรับขึ้นคาดการณ์เงินเฟ้อหลัก ซึ่งไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน โดยยังคงไว้อยู่ที่ 1.8% ในปี 2017 และ 2% ในปี 2018 โดยการลงทุนจากภาครัฐถือเป็นหนึ่งในปัจจัยเล็กๆ ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ และทำให้เฟดต้องขึ้นคาดการณ์ขึ้นดอกเบี้ย

ภายหลังการเปิดเผยของเฟด ราคาทองคำปรับลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ 3 ก.พ. ขณะที่เมื่อวานนี้ ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นเทียบสกุลเงินหลักในตะกร้าค่าเงินใกล้จุดสูงสุดในรอบ 14 ปี โดยแตะ 117 เยน/เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกในรอบ 10 เดือน และยังแตะระดับ 1.0468 เหรียญสหรัฐ/ยูโร เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2015 ซึ่งหลายฝ่ายกำลังจับตาว่าค่าเงินยูโรอาจอ่อนค่าลงไปแตะระดับ 1 เหรียญสหรัฐ/ยูโร เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2002

ด้านตลาดหุ้นเอเชีย นอกจากตลาดหุ้นโตเกียวที่ปิดบวกได้ 0.10% จากปัจจัยค่าเงินเยนแล้ว ตลาดหุ้นสำคัญๆ ส่วนใหญ่ในเอเชียต่างปิดตลาดในแดนลบ โดยดัชนีเอ็มเอสซีไอเอเชีย-แปซิฟิก นอกญี่ปุ่นปรับลดลง 1.2% ตามหลังดัชนีอุตสาหกรรมดาวโจนส์และเอสแอนด์พี 500 ที่ปิดตัวแดนลบ เนื่องจากตลาดประหลาดใจต่อคาดการณ์ดอกเบี้ยปีหน้าของเฟดที่จะปรับขึ้น 3 ครั้ง

แบงก์ชาติโลกตั้งรับเฟด

หลังการประกาศขึ้นดอกเบี้ยของเฟดเพียงไม่กี่นาที ประเทศที่มีการผูกค่าเงินเอาไว้กับเหรียญสหรัฐ อย่างประเทศกลุ่มอ่าวอาหรับ เช่น ซาอุดิอาระเบีย ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ธนาคารพาณิชย์ฝากไว้กับธนาคารกลาง 0.25% เป็น 0.75% ด้านคูเวตขึ้นในอัตราเท่ากันเป็น 2.50% เช่นเดียวกับบาห์เรน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) และกาตาร์ ที่มีความเคลื่อนไหวในลักษณะดังกล่าว ขณะที่ประเทศอื่น เช่น โอมาน อาจมีความเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันตามมาภายหลัง

ขณะเดียวกัน คณะกรรมการการเงินฮ่องกง (เอชเคเอ็มเอ) ก็ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 0.25% เป็น 1% ตามหลังเฟดเช่นเดียวกัน โดยนอร์แมน ฉาน ทัค-ลัม ประธานบริหารเอชเคเอ็มเอ ออกโรงเตือนว่า การขึ้นดอกเบี้ยที่จะตามมาอีกหลายครั้งในปีหน้า จะส่งผลให้เกิดภาวะทุนไหลออกจากฮ่องกง หลังได้รับเงินทุนไหลเข้ามาตั้งแต่วิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ราว 1.3 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.5 ล้านล้านบาท) ทั้งนี้ ดัชนีฮั่งเส็งของฮ่องกงปิดการซื้อขายเมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ระดับต่ำสุดในรอบ 4 เดือน

ด้านธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ตั้งค่ากลางเงินหยวนเอาไว้ที่ 6.9289 หยวน/เหรียญสหรัฐ ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2008 หลังค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 14 ปี ขณะที่ตลาดหุ้นจีนปิดการซื้อขายต่ำสุดในรอบ 1 เดือน

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานอ้างเทรดเดอร์จากธนาคารในเซี่ยงไฮ้ ระบุว่า ธนาคารรัฐวิสาหกิจรายใหญ่ของจีน ต่างเทขายค่าเงินเหรียญสหรัฐที่ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนออนชอร์เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมา เพื่อช่วยพยุงค่าเงินหยวนไม่ให้อ่อนค่าลงมากเกินไปนัก หลังก่อนหน้านี้มีรายงานว่า ธนาคารรัฐวิสาหกิจจีนมีการนำเสนอสภาพคล่องในสกุลเหรียญสหรัฐในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา จากค่าเงินหยวนที่อ่อนค่าลงไปแล้วมากกว่า 7% ในรอบ 1 ปี

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (บีโอเค) คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.25% เพื่อช่วยเศรษฐกิจที่เผชิญความไม่แน่นอนทางการเมือง ซึ่งจะกดดันการใช้นโยบายของรัฐบาลและการลงทุนของภาคเอกชน ส่งผลให้เกิดความกังวลว่า บีโอเคไม่สามารถตัดสินใจได้ระหว่างการขึ้นดอกเบี้ยตามเฟดเพื่อป้องกันเงินทุนไหลออก กับการคงหรือลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อช่วยเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม อีจูยอล ผู้ว่าการบีโอเค ระบุว่า เฟดไม่ใช่ปัจจัยเดียวที่บีโอเคใช้ในการตัดสินใจ แต่จะต้องดูเศรษฐกิจภาพรวมด้วย

 

การเมืองมาเลเซียปั่นป่วนจุดประกายขัดแย้งเชื้อชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 ธันวาคม 2559 เวลา 08:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/469199

การเมืองมาเลเซียปั่นป่วนจุดประกายขัดแย้งเชื้อชาติ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ความขัดแย้งทางการเมืองของมาเลเซียเกิดจากข่าวอื้อฉาวจากกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย (วันเอ็มดีบี) ส่งผลให้เกิดการเดินขบวนประท้วงเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ของมาเลเซียลงจากตำแหน่ง ขณะที่นาจิบซึ่งปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา  ออกเดินขบวนร่วมกับชาวมุสลิมหลายพันคนเพื่อเรียกร้องการยุติความรุนแรงต่อชาวโรฮีนจาในเมียนมาเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งหลายฝ่ายมองว่านาจิบกำลังเล่นเกมทางชาติพันธุ์ และอาจก่อเป็นความขัดแย้งทางเชื้อชาติ

มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีวัย 91 ปี เปิดเผยกับสำนักข่าวเอเอฟพี ว่า จะเดินหน้ากดดันนาจิบต่อไป เนื่องจากการอยู่ในอำนาจต่อไปของนาจิบเป็นตัวการทำลายประเทศ เนื่องจากความวุ่นวายไม่เปิดทางให้กับการแก้ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น

นอกจากนี้ อดีตนายกรัฐมนตรียังระบุอีกด้วยว่า นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันมีการจุดประเด็นด้านชาติพันธุ์ด้วยการดึงฐานเสียงชาวมาเลเซียเชื้อชาติมาเลย์และนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งจะสร้างความขัดแย้งทางชาติพันธุ์กับชาวมาเลเซียเชื้อสายจีน โดยมาเลเซียจะจัดการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2018

ก่อนหน้านี้ หนังสือพิมพ์เซาท์ ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ เปิดเผยว่า นาจิบเปิดเผยก่อนหน้านี้ต่อหน้าพรรคอัมโน ระบุว่า การเลือกตั้งครั้งหน้าจะเป็นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดระหว่างพรรค อัมโน พรรครัฐบาล และพันธมิตร  ซึ่งสนับสนุนชาวมาเลเซียเชื้อสาย มาเลย์กับพรรคฝ่ายค้าน นำโดยพรรคกิจประชาธิปไตย (ดีเอพี) ซึ่งนาจิบระบุว่า เป็นพรรคที่ส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซียเชื้อชาติจีน และมีการต่อต้านชาวมุสลิม รวมถึงชาวมาเลเซียเชื้อสายมาเลย์

“ถ้าประเทศนี้ตกอยู่ในมือของดีเอพี ซึ่งมีแนวคิดเสรีนิยมสุดโต่งและแนวคิดไม่เชื่อในศาสนา จะส่งผลให้สิทธิและเอกสิทธิ์ของชาวมาเลเซีย ซึ่งอัมโนปกป้องมาโดยตลอด ต้องหายไป” นาจิบ กล่าว

ด้าน สิวามุรุกัน ปานเตียน ผู้เชี่ยวชาญด้านรัฐศาสตร์มหาวิทยาลัยยูนิเวอร์ซิตี ออฟ ไซแอนซ์ ในมาเลเซีย กล่าวว่า นาจิบพยายามดึงความภักดีและการอยู่ในโอวาทขึ้นมาเพื่อรวบรวมพรรคให้เป็นหนึ่งเดียว และเพื่อต่อสู้กับฝ่ายดีเอพี รวมถึงกำจัดอิทธิพลของมหาเธร์ ซึ่งเคยเป็นหัวหน้าพรรคอัมโน นาจิบพยายามดึงความกลัวทางเชื้อชาติเพื่อรวบรวมพรรคอัมโนอีกครั้ง

เมียนมาแบนทำงานในมาเลย์

สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างแถลงการณ์ของกระทรวงตรวจคนเข้าเมืองของเมียนมา ว่า เมื่อวันที่ 6 ธ.ค. ที่ผ่านมา ทางการเมียนมาได้ระงับ การออกใบอนุญาตสำหรับชาวเมียนมาที่ต้องการไปทำงานในมาเลเซียตั้งแต่ วันที่ 6 ธ.ค.เป็นต้นไป เนื่องจากสถานการณ์ภายในมาเลเซีย

ก่อนหน้านี้ นาจิบ เรียกความขัดแย้งภายในเมียนมากับชาวโรฮีนจาเป็นการกระทำฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ระหว่างการเดินขบวนเรียกร้องการยุติความรุนแรงต่อชาวโรฮีนจาเมื่อวันที่ 4 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยนาจิบเรียกร้องให้องค์กรนานาชาติอย่างศาลอาญาระหว่างประเทศ (ไอซีซี) และองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) เข้าแทรกแซงปัญหาดังกล่าว รวมถึงรัฐบาลมาเลเซียยังเรียกร้องให้ชาติสมาชิกอาเซียน พิจารณาถอดความเป็นสมาชิกของเมียนมาอีกด้วย

เอเอฟพี รายงานว่า ผู้รอดชีวิต จากความขัดแย้งในรัฐยะไข่เปิดเผยสถานการณ์ภายในว่ามีการข่มขืน ทรมาน และฆาตกรรมชาวโรฮีนจา โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ชาวโรฮีนจาราว 5.6 หมื่นคน หลบหนีออกจากเมียนมาล่องเรือมายังฝั่งมาเลเซีย

จีนโดดช่วยอุ้มวันเอ็มดีบี

หนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า รัฐวิสาหกิจจากจีนเตรียมเป็นผู้จ่ายค่ายอมความให้กับวันเอ็มดีบี ในการยุติความขัดแย้งกับกองทุนอินเตอร์เนชันแนล ปิโตรเลียม อินเวสต์เมนต์ โค (ไอพีไอซี) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสหรัฐอาหรับ เอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเรียกร้องค่าเสีย หายราว 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.2 แสนล้านบาท)

เมื่อเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ไอพีไอซี ระบุว่า วันเอ็มดีบีไม่ชำระหนี้กว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) ที่มีกำหนดชำระตั้งแต่ปีก่อน และยังเป็นผู้จ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้แทนวันเอ็มดีบีเมื่อเดือน พ.ค. เป็นเงิน 52.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,824 ล้านบาท) ในฐานะ ผู้ค้ำประกันหุ้นกู้ซึ่งมีกำหนดไถ่ถอน  ปี 2022 ก่อนที่ไอพีไอซีจะยื่นฟ้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศแห่งลอนดอนในเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

ไฟแนนเชียลไทมส์ ระบุว่า ที่ผ่านมา จีนกลายเป็นแหล่งเงินทุนสำคัญสำหรับวันเอ็มดีบี โดยรัฐวิสาหกิจจากจีนเข้าซื้อสินทรัพย์ ซึ่งหมายรวมถึงธุรกิจพลังงานของวันเอ็มดีบี โดยนาจิบ เปิดเผยว่า การเข้าซื้อของจีนช่วยให้ วันเอ็มดีบีลดหนี้ได้ถึง 4.04 หมื่นล้าน ริงกิต (ราว 3.3 แสนล้าบาท) ท่ามกลางความสัมพันธ์ระหว่างสองชาติที่แน่นแฟ้นขึ้น ขณะที่สหรัฐเข้าสอบสวนกองทุน ดังกล่าว และพบว่ามีความผิดปกติของการเคลื่อนย้ายเงินทุน 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.22 แสนล้านบาท)

ขณะเดียวกัน รอยเตอร์ส รายงานอ้างเอกสารฟ้องคดีของศาลสหรัฐ พบว่า ครอบครัวของโจโลว์ นักธุรกิจและเพื่อนสนิทของครอบครัวนาจิบ ซึ่งถูกสหรัฐสั่งยึดทรัพย์ 650 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.2 หมื่นล้านบาท) ยื่นฟ้องศาลในหมู่เกาะเคย์แมนและในนิวซีแลนด์ เพื่อโยกย้ายทรัพย์สิน เช่น อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินอื่นๆ จากทรัสตี้เก่าในสวิตเซอร์แลนด์ ไปยังทรัสตี้ใหม่ และจะทำให้การขึ้นให้การต่อศาลเลื่อนจากวันที่ 12 ธ.ค. ไปจนถึง 23 ม.ค.ปีหน้า

 

ตลาดเงินเอเชียปั่นป่วน แบงก์ชาติจับตาหวั่นเงินไหลออก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 พฤศจิกายน 2559 เวลา 08:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/467191

ตลาดเงินเอเชียปั่นป่วน แบงก์ชาติจับตาหวั่นเงินไหลออก

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ค่าเงินเอเชียหลายสกุลร่วงต่ำสุดในรอบ 7 ปี หลังธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.ในแถลงการณ์ ผลประชุมเดือนก่อนหน้านี้ ด้านหลายแบงก์ชาติเอเชียจับตาตลาดเงิน หวั่นเงินไหลออกมากยิ่งขึ้น

บลูมเบิร์ก รายงานว่า สกุลเงินต่างๆ ของกลุ่มประเทศเอเชียร่วงต่ำสุดในรอบ 7 ปี ระหว่างการซื้อขายในวันที่ 24 พ.ย. หลังจากที่ผลการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เมื่อวันที่ 1-2 พ.ย. ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงินสนับสนุนให้มีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้ โดยบางรายระบุว่าเฟดควรดำเนินการดังกล่าวในการประชุมเดือน ธ.ค. เนื่องจากมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ซึ่งการส่งสัญญาณดังกล่าวของเฟดทำให้ธนาคารกลางต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย อาจชะลอการใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงิน ด้วยความวิตกว่า อัตราดอกเบี้ยสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น จะกระตุ้นให้เงินไหลออกจากภูมิภาคมากยิ่งขึ้น

รายงานระบุว่า ดัชนีค่าเงินเอเชียเทียบค่าเงินเหรียญสหรัฐ ที่จัดทำโดยบลูมเบิร์กและธนาคารเจพี มอร์แกน ร่วงแตะ 103.32 จุด ต่ำสุดนับตั้งแต่เดือน มี.ค. 2009 โดยค่าเงินเปโซของฟิลิปปินส์ ปรับลงแตะ 50 เปโซ/เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินทั่วโลกเมื่อปี 2008

ในวันเดียวกัน ค่าเงินหยวนออฟชอร์ของจีน อ่อนค่าลง 0.5% แตะ 6.9530 หยวน/เหรียญสหรัฐ ร่วงหนักทุบสถิติในรอบ 8 ปีครั้งใหม่ เช่นเดียวกับค่าเงินรูปี อินเดียที่ปรับลงแตะ 68.8650 รูปี/เหรียญสหรัฐ ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ ด้านค่าเงินวอน เกาหลีใต้ ค่าเงินริงกิต มาเลเซีย และค่าเงินรูเปียห์ อินโดนีเซีย ปรับตัวลงกว่า 0.3% ระหว่างการซื้อขายในวันดังกล่าว โดยนักวิเคราะห์คาดว่า ค่าเงิน ริงกิตมีแนวโน้มปรับลงแตะระดับต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 1998 ภายในสัปดาห์นี้

ทั้งนี้ ในช่วงเดือน พ.ย.ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลงไปแล้ว 2.9% ขณะที่ค่าเงิน ริงกิตร่วงหนักสุดในบรรดาสกุลเงินเอเชียที่ 5.9% ด้านค่าเงินรูเปียห์ และค่าเงินหยวน ร่วงลงมาแล้ว 3.8% และ 2.1% ตามลำดับ

โทรุ นิชิฮามะ นักเศรษฐศาสตร์ฝ่ายกลุ่มประเทศตลาดเกิดใหม่ จากสถาบันวิจัยไดอิจิ รีเสิร์ช อินสติติวท์ ในญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ค่าเงินที่ปรับตัวลงทำให้การใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางกลุ่มประเทศเอเชียกลายเป็นเรื่องยากขึ้น เนื่องจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ลดลง เพิ่มความวิตกเกี่ยวกับแรงกดดันเงินเฟ้อ และอาจกระตุ้นให้เงินไหลออกจากภูมิภาคมากขึ้น โดยธนาคารกลางส่วนใหญ่ในเอเชียคาดว่าจะคงนโยบายการเงินไว้ตามเดิมไปอีกระยะหนึ่ง

แบงก์ชาติเอเชียสกัดเงินอ่อน

รอยเตอร์ส รายงานอ้างเทรดเดอร์ว่า ค่าเงินรูปีที่ปรับลงอย่างหนัก ส่งผลให้ธนาคารกลางอินเดีย (อาร์บีไอ) ดำเนินการแทรกแซงด้วยการอัดฉีดเงิน 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.7 หมื่นล้านบาท) เข้าไปในตลาดเงินเพื่อสกัดการอ่อนค่า แต่ก็ไม่ได้ผลมากนักเพราะเงินรูปีปรับขึ้นมาเพียงเล็กน้อยอยู่ที่ 68.82 รูปี/เหรียญสหรัฐ ระหว่างการซื้อขายช่วงบ่าย โดยอาร์บีไอ เปิดเผยว่า การแทรกแซงดังกล่าวเป็นเพียงการควบคุมความผันผวนในตลาดเงินชั่วคราว และจะหามาตรการที่เหมาะสมจัดการกับการอ่อนค่าดังกล่าวต่อไป แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดชัดเจน ขณะที่รอยเตอร์สรายงานว่า ธนาคารรัฐวิสาหกิจหลายแห่งในประเทศได้เทขายเงินเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงค่าเงิน

ขณะเดียวกัน ธนาคารรัฐวิสาหกิจจีนหลายแห่ง เทขายค่าเงินเหรียญสหรัฐขณะที่ค่าเงินหยวนออฟชอร์ปรับตัวลงไปทะลุระดับ 6.9 หยวน/เหรียญสหรัฐ เพื่อไม่ให้เงินหยวนปรับตัวลงเร็วเกินไป โดยบลูมเบิร์กรายงานอ้างเทรดเดอร์รายหนึ่งในเซี่ยงไฮ้ว่า เงินหยวนมีแนวโน้มอ่อนค่าลงต่อเนื่องจนไปแตะระดับ 7 หยวน/เหรียญสหรัฐ ภายในสิ้นปีนี้ ซึ่งนับตั้งแต่ต้นปี 2016 ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงไปแล้วกว่า 6% เมื่อเทียบค่าเงินเหรียญสหรัฐ

ด้านธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ยังคงปรับลดค่ากลางเงินหยวนลงมาอีกอยู่ที่ 6.9085 หยวน/เหรียญสหรัฐ จากระดับ 6.8904 หยวน/เหรียญสหรัฐ ในการซื้อขายก่อนหน้านี้

นอกจากนี้ รอยเตอร์สรายงานอ้างเทรดเดอร์ว่า ค่าเงินเอเชียที่ปรับลงอย่างหนักเมื่อเทียบค่าเงินเหรียญสหรัฐ อาจทำให้อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ มีการแทรกแซงเพื่อพยุงค่าเงินเช่นกันในวันที่ 24 พ.ย.เพื่อสกัดไม่ให้ค่าเงินอ่อนค่าลงไปมากกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางมาเลเซียประกาศคงอัตราดอกเบี้ยที่ 3% เมื่อ วันที่ 23 พ.ย. และส่งสัญญาณว่าจะใช้นโยบายปกป้องค่าเงินริงกิต มากกว่าการกระตุ้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมถึงยอมรับว่าได้เข้ามาแทรกแซงค่าเงินในช่วงก่อนหน้านี้ ด้านธนาคารกลางอินโดนีเซียเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ไม่มีแนวโน้มใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลาย และได้เทขายเงินเหรียญสหรัฐเพื่อพยุงค่าเงินไปในช่วงเดือนนี้

จีนยันลุยข้อตกลงการค้า

แม้ว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ ได้ประกาศให้คำมั่นถอนตัวออกจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก  (ทีพีพี) ไปแล้ว แต่กระทรวงพาณิชย์จีนยืนยันว่าจีนจะผลักดันความตกลง หุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค  (อาร์เซ็ป) ต่อไป ไม่ว่าทิศทางข้อตกลงทีพีพีจะมีความชัดเจนหรือไม่ก็ตาม

เฉิน ตันหยาง โฆษกกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า จีนตั้งเป้าเดินหน้าเจรจาอาร์เซ็ปกับกลุ่มประเทศอาเซียนให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ เพื่อสร้างเขตการค้าเสรีที่ครอบคลุมและเปิดกว้างมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เปิดเผยในการประชุมกลุ่มความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า จะดำเนินการเปิดกว้างทางเศรษฐกิจมากยิ่งขึ้น

ขณะเดียวกัน จาง เซียงเฉิน ผู้แทนการค้าจากจีน เปิดเผยว่า จีนจะยื่นเรื่องปกป้องสิทธิทางการค้าของจีนต่อองค์การการค้าโลก (ดับเบิ้ลยูทีโอ) หากทรัมป์เดินหน้าตั้งภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน 45% เพื่อกีดกันสินค้าราคาถูกจากจีน ตามที่เคยระบุไว้ก่อนหน้านี้

 

เฟดกดดันลงทุนโลกจ่อขึ้นดอกเบี้ย ธ.ค.นี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 พฤศจิกายน 2559 เวลา 06:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/466956

เฟดกดดันลงทุนโลกจ่อขึ้นดอกเบี้ย ธ.ค.นี้

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่าตลาดคาดความน่าจะเป็นที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังการประชุมวันที่ 13-14 ธ.ค.นี้ อยู่ที่ 100% ท่ามกลางคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อภายหลัง โดนัลด์ ทรัมป์ วัย 70 ปี สามารถคว้าตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐมาได้เมื่อวันที่ 8 พ.ย. ขณะที่  เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการเฟด ส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ยในเร็วๆ นี้

การคาดการณ์ว่าเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยยังส่งผลให้นักลงทุนเข้าไปเก็งกำไรในตลาดอัตราแลกเปลี่ยนล่วงหน้ายูโร-เหรียญสหรัฐสูงสุดทำสถิติใหม่ โดย เฉิงเฉิน นักกลยุทธ์ค่าเงินของทีดี ซีเคียวริตีส์ เปิดเผยข้อมูลอ้างคณะกรรมการซื้อขายโภคภัณฑ์ล่วงหน้าสหรัฐ ว่าในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมามีการเข้าเก็งกำไรระยะสั้นในตลาดค่าเงินยูโรเหรียญสหรัฐซื้อขายล่วงหน้าอยู่ที่ 2.1 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 73 ล้านล้านบาท) ทำลายสถิติเก่าเมื่อปี 2014

นับตั้งแต่ทรัมป์ได้รับเลือกเป็นประธานาธิบดี ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นและดัชนีดาวโจนส์ปรับขึ้นไปปิดตัวเหนือระดับ 19,000 จุด ได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ เมื่อวันที่ 22 พ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐยังแข็งค่าสูงสุดในรอบ 13 ปีครึ่ง สวนทางกับราคาพันธบัตรที่ปรับตัวลดลงอย่างรุนแรงทั่วโลกพร้อมกับผลตอบแทนจูงใจที่พุ่งขึ้น เช่น ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ 2 ปี ปรับขึ้นปิดสูงสุดเมื่อปี 2010 ขณะที่พันธบัตร 5 ปี แตะจุดสูงสุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2015

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวยังเกิดขึ้นกับพันธบัตรในเอเชียและยุโรป เช่น ผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของญี่ปุ่นและพันธบัตร 10 ปีของเยอรมนีที่ปรับตัวขึ้นจากแดนลบ อย่างไรก็ตาม วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานว่าการปรับตัวขึ้นของพันธบัตรจะส่งผลต่อการลงทุนอสังหาริมทรัพย์ทั่วโลก

ตลาดอสังหาฯ ผวาเงินออก

วอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่าในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนเข้ามาลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์ เพราะได้รับผลตอบแทนที่สูงกว่าพันธบัตรที่มี ผลตอบแทนตกต่ำ อย่างไรก็ตามจากผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวขึ้น เป็น ผลให้นักลงทุนจะหันกลับไปลงทุนยังพันธบัตรรัฐบาลที่น่าลงทุนมากกว่า โดยแม้นักวิเคราะห์จะยังไม่คาดการณ์ไปถึงราคาอสังหาริมทรัพย์ที่ร่วงลง แต่บรรดานักวิเคราะห์และนักลงทุนอสังหาริมทรัพย์เริ่มกังวลจะเกิดภาวะดังกล่าว

คริส เทย์เลอร์ หัวหน้าฝ่ายอสังหา ริมทรัพย์ของแอร์เมส อินเวสต์เมนต์ แมนเนจเมนต์ บริษัทลงทุนสินทรัพย์ในกรุงลอนดอน เปิดเผยว่า ปัจจัยเสี่ยงในตลาดอสังหาริมทรัพย์เป็นผลจากการใช้นโยบายดอกเบี้ยต่ำเป็นระยะเวลานาน ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยตลาด

อย่างไรก็ตาม คุชแมน แอนด์ เวคฟิลด์ โบรเกอร์อสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า แม้ราคาอสังหาริมทรัพย์จะปรับตัวสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา แต่แรงซื้อยังคงปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากความต่างระหว่างผลตอบแทนพันธบัตรและอสังหาริมทรัพย์ยังสูงอยู่ โดยผลตอบแทนอสังหาริมทรัพย์อยู่ที่ 4.5% ในยูโรโซน เทียบกับ ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปีอยู่ใกล้เคียงแดนลบ

ดอลลาร์แข็งดันหนี้เอเชียพุ่ง

ในช่วงที่ผ่านมาภาคเอกชนในเอเชียมีการก่อหนี้สกุลเงินเหรียญสหรัฐมากขึ้นในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยต่ำ และค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น จะสร้างความปวดหัวให้กับเอเชีย เนื่องจากทำให้ต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้น โดยจากข้อมูลของ ดีลโลจิก เอเชียมีการออกตราสารหนี้มากถึง 1.1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 38 ล้านล้านบาท) ในปี 2016 นี้ เมื่อเทียบกับ 2.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9 ล้านล้านบาท)

ต้นทุนในการกู้ยืมสูงขึ้นส่งผลให้ภาคเอกชนต้องนำรายได้ที่ได้จากการลงทุนไปชำระหนี้มากขึ้นแทนการลงทุนเพื่อสร้างการขยายตัว เช่น สร้างโรงงานหรือเพิ่มโครงสร้างพื้นฐาน และจะ เป็นปัจจัยกดดันเศรษฐกิจเอเชียในภาพรวม โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ  (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเอเชียจะโตเพียง 5.3% ในปีนี้ เมื่อเทียบกับ 5.4% เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา และระบุว่าเอเชียมีการออกตราสารหนี้เพิ่มเพื่อนำมาชำระหนี้ตราสารหนี้เก่า

ก่อนหน้านี้ คันทรี การ์เดน โฮลดิ้งส์ บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในจีน ตัดสินใจฃยกเลิกการขายหุ้นกู้สกุลเงินเหรียญสหรัฐ 10 ปี โดยระบุว่าเป็นผลมาจากภาวะตลาดที่ยังไม่แน่นอน เช่นเดียวกับคานาราแบงก์ ธนาคารรัฐของอินเดีย ที่เลื่อนการขายหุ้นกู้มูลค่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.7 หมื่นล้านบาท) ออกไป

จีนขู่โต้กลับทรัมป์ตั้งกำแพงภาษี

เพนนี พริทซ์เกอร์ รัฐมนตรีพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่จีนได้เตือนมายังสหรัฐแล้วว่าอาจมีมาตรการตอบโต้หากสหรัฐตั้งกำแพงภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนจริง ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายของทรัมป์ โดยหากจีนตอบโต้จริงจะส่งผลเสียต่อเศรษฐกิจและการจ้างงานกับสหรัฐ

นอกจากนี้ พริทซ์เกอร์ ยังเปิดเผยอีกด้วยว่าการที่ทรัมป์มุ่งหมายจะยกเลิกความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) จะเปิดโอกาสให้จีนผลักดันข้อตกลงการค้าเสรีของ ตัวเอง และส่งผลกระทบต่ออิทธิพลด้านเศรษฐกิจของสหรัฐต่อเอเชียและต่อโลก

ด้าน เอดูอาร์โด เฟอร์เรย์รอส รัฐมนตรีพาณิชย์เปรู กล่าวว่า การ ให้คำมั่นจะยกเลิกทีพีพีของทรัมป์ ไม่ได้ทำให้ข้อตกลงดังกล่าวล้มเหลวไป และสมาชิกทีพีพีควรตกลงกันเปลี่ยนเงื่อนไขในข้อตกลงดังกล่าว ซึ่งเดิมจะมีผลหากเมื่อสหรัฐให้สัตยาบันเท่านั้น โดยนอกจากเงื่อนไขดังกล่าวแล้วสมาชิกยังสามารถเปลี่ยนเงื่อนไขเดิมอื่นๆ ซึ่งไม่พอใจได้

ขณะเดียวกันเปรูลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู) การค้าเสรีทวิภาคีกับจีน เพื่อยกระดับการค้าเสรีดังกล่าว ซึ่งมีผลบังคับใช้มาตั้งแต่ปี 2010 และทำให้การส่งออกจากเปรูไปจีนเพิ่มขึ้นไปแล้วราว 9%

 

“ทรัมป์”ย้ำจุดยืนล้ม “ทีพีพี” ดันนโยบายเน้นสร้างงานมะกัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 พฤศจิกายน 2559 เวลา 06:37 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/466733

"ทรัมป์"ย้ำจุดยืนล้ม "ทีพีพี" ดันนโยบายเน้นสร้างงานมะกัน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ เปิดเผยแผนการ 100 วันแรกหลังเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 ม.ค. 2017 โดยจะมุ่งเน้นไปที่การสร้างงานและผลประโยชน์ของชาวอเมริกันเป็นสำคัญ

นโยบายอันดับแรกที่ประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่จะทำ คือ การถอนตัวจากความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรี 12 ชาติ รวมสหรัฐและเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากข้อตกลงดังกล่าวจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจสหรัฐ โดย ทรัมป์ ระบุว่า จะเจรจาข้อตกลงการค้าทวิภาคีที่มีความยุติธรรม รวมถึงสร้างงานและอุตสาหกรรมให้ชาวอเมริกัน

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้าง ความกังวลให้กับประเทศสมาชิกทีพีพีอย่างญี่ปุ่น ซึ่งสภาผู้แทนราษฎรของญี่ปุ่นลงมติให้สัตยาบันในข้อตกลง ดังกล่าวไปเมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยนายกรัฐมนตรีชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น กล่าวภายหลังการให้คำมั่นของทรัมป์ว่า ทีพีพีจะไร้ความหมายเมื่อสหรัฐไม่เข้าร่วม

“มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจาใหม่อีกครั้ง เพราะทีพีพีเมื่อปราศจากสหรัฐแล้ว จะสร้างความล้มเหลวให้กับสมดุลด้านผลประโยชน์” อาเบะ กล่าว

ไม่ใช่เพียงแต่ข้อตกลงทีพีพีเท่านั้น ทรัมป์ยังวางแผนจะเจรจาข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ระหว่างสหรัฐ แคนาดา และเม็กซิโก ใหม่ เพื่อให้ได้ประโยชน์กับแรงงานชาวสหรัฐมากขึ้น ขณะที่สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า บรรดานักวิชาการและเจ้าหน้าที่รัฐของแคนาดาและเม็กซิโกเตรียมข้อ เรียกร้องมากมายสำหรับการเจรจาใหม่ ซึ่งยากที่จะได้รับการยอมรับจากสหรัฐ

นอกจากการยกเลิกทีพีพีแล้ว ทรัมป์ยังจะยกเลิกการควบคุมอุตสาหกรรมการผลิตพลังงานของสหรัฐ ซึ่งมีการบังคับใช้ในสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามาที่มีความต้องการลดภาวะ การเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ เพื่อให้อุตสาหกรรมดังกล่าวสามารถกลับมาจ้างงานได้เพิ่มขึ้นหลายล้าน รวมถึง จะพิจารณาสอบสวนการละเมิดวีซ่า ของชาวต่างชาติที่ส่งผลให้แย่งงาน ชาวอเมริกันอีกด้วย

ทั้งนี้ เคลเยนน์ คอนเวย์ ที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์ เปิดเผยว่า ทรัมป์ได้เลือกตำแหน่งรัฐมนตรีที่สำคัญไว้แล้ว 2 ตำแหน่ง รวมถึงตำแหน่งที่ปรึกษาทำเนียบขาวอีก 3 ตำแหน่ง เพียงแต่ยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ

“อาจจะประกาศในสัปดาห์นี้ หรืออาจจะมาในวันนี้ แต่พวกเราไม่เร่งรีบ ที่จะประกาศรายชื่อต่อสาธารณะ” คอนเวย์ กล่าว

คุมเข้มวีซ่า H-1B สะเทือนธุรกิจ

ทรัมป์ให้สัญญาจะให้แนวทางกับกระทรวงแรงงานในการสอบสวนการละเมิดโครงการวีซ่าสำหรับแรงงานชาวต่างชาติ โดยด้านเจฟฟ์ เซสชันส์ ว่าที่รัฐมนตรียุติธรรมในรัฐบาลของทรัมป์ ซึ่งวิพากษ์วิจารณ์โครงการวีซ่าดังกล่าวมาโดยตลอด เปิดเผยว่า จะคุมเข้มโครงการวีซ่าสำหรับภาคส่วนเทคโนโลยี H-1B ซึ่งเป็นวีซ่าสำหรับแรงงานชาวต่างชาติทักษะสูง

“ตำแหน่งงานของแรงงานชาวสหรัฐหลายพันโดนแทนที่ด้วยชาวต่างชาติ” เซสชันส์ กล่าว

การคุมเข้มดังกล่าวสร้างความกังวลให้กับซิลิคอนวัลเลย์ ดินแดนแห่งเทคโนโลยีของสหรัฐ ซึ่งมีการขอให้ขยายโครงการดังกล่าวมาโดยตลอด โดยโครงการ ดังกล่าวมีการรับแรงงานต่างชาติเข้ามาทำงานในสหรัฐเฉลี่ยปีละ 8.5 หมื่นอัตรา

ขณะที่ก่อนหน้านี้ไฟแนนเชียล ไทมส์ อ้างข้อมูลจากศูนย์บริการด้านการเข้าเมืองและสัญชาติอเมริกัน ระบุว่า ปัจจุบันชาวอินเดียเป็นผู้เข้ามาทำงานในสหรัฐผ่านวีซ่า H-1B มากที่สุด คิดเป็นราว 70% ของทั้งหมด ขณะที่สัญชาติจีน อยู่ที่ราว 10% และอื่นๆ อีกราว 20% นอกจากนี้รายงานยังระบุด้วยว่า เกือบครึ่งของสตาร์ทอัพในสหรัฐที่มีมูลค่า มากกว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) จะมีผู้ร่วม ก่อตั้งเป็นชาวต่างชาติอย่างน้อย 1 คน

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า บรรดาภาคเทคโนโลยีมีการจ้างงานต่างชาติด้วยวีซ่า H-1B โดยทาทา คอนซัลแทนซี เซอร์วิสเซส บริษัทให้บริการเทคโนโลยีและที่ปรึกษา เป็นอันดับ 1 ที่มีการจ้างงานต่างชาติด้วยวีซ่าประเภทดังกล่าวมากที่สุด 8,333 อัตรา ส่วน อเมซอน ค้าออนไลน์รายใหญ่จ้างงานทั้งหมด 826 อัตรา คิดเป็นอันดับ 12 ของประเทศ ตามมาด้วยกูเกิลและไมโครซอฟท์ที่อยู่ที่อันดับ 14 และ 15 ตามลำดับ ขณะที่เฟซบุ๊กอยู่อันดับที่ 24 และแอปเปิ้ลอยู่อันดับที่ 34

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า ปีเตอร์ เทียล ผู้ร่วมก่อตั้งบริการชำระเงินออนไลน์เพย์พัล และหนึ่งในทีมเปลี่ยนผ่านของทรัมป์ เดินหน้าพบปะบรรดาผู้บริหารใน ซิลิคอนวัลเลย์ เพื่อขอให้ผู้ประกอบการเหล่านั้นช่วยให้คำแนะนำกับว่าที่ประธานาธิบดี หรือแม้กระทั่งเข้าร่วมเป็นหนึ่งในคณะรัฐมนตรี

แหล่งข่าวระบุว่า ยังไม่แน่ชัดว่ามีผู้บริหารคนใดตกลงเข้าร่วมกับเทียลบ้าง ขณะที่บางส่วนไม่ให้ความร่วมมือ เพราะไม่พอใจนโยบายทรัมป์ซึ่งอาจสร้างความแตกแยก และการให้ความร่วมมือกับทรัมป์จะยิ่งเป็นการกดดันบรรยากาศในการทำธุรกิจและสังคม

ภาพ เอเอฟพี

 

ทุนหนีเอเชียลงดอลลาร์ หลัง”ทรัมป์”คว้าประธานาธิบดี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 พฤศจิกายน 2559 เวลา 08:02 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/465520

ทุนหนีเอเชียลงดอลลาร์ หลัง"ทรัมป์"คว้าประธานาธิบดี

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หลังชัยชนะของ โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรครีพับลิกัน เมื่อวันที่ 8 พ.ย.ที่ผ่านมา ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องจนเกือบแตะจุดสูงสุดในรอบ 14 ปี เมื่อวันที่ 15 พ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ค่าเงินและตลาดหุ้นของเอเชียปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะเกาหลีใต้ ไต้หวัน และอินโดนีเซีย ซึ่งมีเงินไหลเข้ามหาศาลในปีนี้หลังช่วงการทำประชามติออกจากสหภาพยุโรป  (อียู) ของอังกฤษเมื่อเดือน มิ.ย.

แม้ความตื่นตระหนกหลังทรัมป์ได้รับเลือกตั้งอย่างเหนือความคาดหมายจะผ่อนคลายลงไปบ้างแล้ว โดยดัชนี เอ็มเอสซีไอเอเชียแปซิฟิกไม่รวมญี่ปุ่นเคลื่อนไหวไม่เปลี่ยนแปลงเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่วันที่ทรัมป์ได้รับชัยชนะ ดัชนีดังกล่าวปรับลดลงไปแล้วเกือบ 5%

ความเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันยังเกิดกับค่าเงินเอเชีย โดยดัชนีค่าเงินเอเชียของเจพีมอร์แกนและบลูมเบิร์กปรับตัวลดลงไปแตะจุดต่ำสุดรอบ 7 ปี นำโดยค่าเงินริงกิตของมาเลเซียและค่าเงินวอนของเกาหลีใต้ที่อ่อนค่าไป 2.8% แสดงให้เห็นถึงค่าเงินเอเชียที่ไหลออกอย่างต่อเนื่อง

ไม่ใช่แค่ค่าเงินเอเชียเท่านั้น ค่าเงินยูโรยังอ่อนค่าลงไปแตะจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2015 เมื่อวันที่ 14 พ.ย.ที่ผ่านมา อยู่ที่ราว 1.07 เหรียญสหรัฐ/ยูโร โดยดอยช์แบงก์คาดการณ์ว่าค่าเงินดังกล่าวอาจลดลงไปเหลือ 1 เหรียญสหรัฐ/ยูโรภายในปีหน้า สอดคล้องกับข้อมูลจากบลูมเบิร์ก ระบุว่า บรรดาเทรดเดอร์ให้ความน่าจะเป็นจากเหตุดังกล่าว 45% จากนโยบายการทุ่มงบประมาณและการลดภาษีจะช่วยผลักดันอัตราเงินเฟ้อและทำให้อัตราการขึ้นดอกเบี้ยธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เร็วขึ้น

“ตลาดกำลังพูดถึงว่าบรรดานักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์ทั้งการขึ้นอัตราดอกเบี้ยและแนวโน้มที่อาจจะมีการขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วขึ้น หรือความเป็นไปได้ที่จะมีการใช้นโยบายกระตุ้นทางการคลังขนานใหญ่ พวกเราเห็นว่าการผสมผสานนี้จะยังคงเป็นกำลังขับเคลื่อนให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น” ธนาคารบราวน์ บราเธอร์ส  ฮาร์ริแมน ในสหรัฐ กล่าว

ผลตอบแทนบอนด์พุ่งไม่หยุด

“ค่าเงินเอเชียที่อ่อนค่าลงเป็นผล มาจากผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่ปรับเพิ่มขึ้น โดยผลตอบแทนที่ปรับเพิ่มขึ้นจะสร้างการไหลของเงินทุนทางลบในภูมิภาคเอเชีย และมากไปกว่านั้นคือความไม่แน่นอนเกี่ยวกับนโยบายต่างประเทศของทรัมป์และรัฐบาลของทรัมป์ต่อเอเชีย โดยเฉพาะจีน” คุนก๋อ หัวหน้านักวิจัยธนาคารเอเอ็นแซดในสิงคโปร์ กล่าว

ผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปี ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง 0.41% ในช่วงการซื้อขาย 3 วันก่อนหน้าวันที่ 15 พ.ย. ซึ่งเป็นอัตราการพุ่งขึ้นเร็วที่สุดในรอบมากกว่า 7 ปี ขณะที่พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นอายุ 10 ปี ปรับตัวขึ้นแตะ 0% เป็นครั้งแรกหลังอยู่ในแดนลบมาเกือบ 8 สัปดาห์ ด้านพันธบัตรรัฐบาลเยอรมนี 10 ปี ลดลงเล็กน้อยเมื่อวานนี้ หลังขึ้นมาติดต่อกันตลอด 5 วันทำการ ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนสูงสวนทางกับราคาพันธบัตรที่ปรับลดลงไป

จากข้อมูลของไฟแนนซ์เชียลไทมส์ พบว่าการเทขายพันธบัตรทั่วโลกรวมกันรวมเป็นมูลค่าสูงถึง 1-1.5 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 35-52 ล้านล้านบาท)

“พ่อมดการเงิน” ทิ้งทองคำ

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า  โซรอส ฟันด์ แมนเนจเมนต์ บริษัทลงทุนของจอร์จ โซรอส นักลงทุนชื่อดังขายหุ้นทั้งหมด 30.4 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,050 ล้านบาท) ในโกลด์ แชร์ เอสพีดีอาร์ กองทุนอีทีเอฟที่ลงทุนในทองคำ เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.ที่ผ่านมา และในเวลาเดียวกัน โซรอส ฟันด์ หันไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงกว่า เช่น กองทุนเพื่อการลงทุนตลาดหลักทรัพย์ญี่ปุ่นและจีนรวม 58 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2030 ล้านบาท) และกองทุนลงทุนตลาดเกิดใหม่อีก 91.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3216 ล้านบาท)

ความเคลื่อนไหวของโซรอสเกิดขึ้นหลังจากราคาทองคำปรับขึ้น 25% ในช่วงครึ่งปีแรกของปีนี้ ซึ่งเป็นช่วงที่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและความไม่แน่นอนจากการทำประชามติของอังกฤษเมื่อเดือน มิ.ย. ส่งผลให้นักลงทุนลงทุนในสินทรัพย์ปลอดภัย อย่างไรก็ตาม  ในไตรมาส 3 ที่ผ่านมาราคาทองคำ ปรับลงไป 0.3%

ราคาทองคำยังปรับลงไปแตะจุดต่าสุดในรอบ 5 เดือนเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการปรับลดลงมากที่สุดในรอบ 3 ปี หลังแนวโน้มที่เฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยเทรเดอร์คาดความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.นี้สูงถึง 92%

เอเชียส่อแววหนีมะกันซบจีน

นโยบายปกป้องการค้าของทรัมป์นอกจากจะทำให้อัตราเงินเฟ้อพุ่งขึ้นแล้ว ยังสร้างความกังวลให้กับชาติเอเชีย อีกด้วย โดยหนังสือพิมพ์วอลสตรีท  เจอร์นัล รายงานว่า ชาติเอเชียต่างเปลี่ยนมาให้ความสนใจกับข้อตกลงการค้าระดับภูมิภาคที่จีนเป็นผู้นำอย่างความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (อาร์เซ็ป) แทนความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (ทีพีพี)

มุสตาฟา โมฮัมเหม็ด รัฐมนตรีการค้ามาเลเซีย เปิดเผยว่า จะให้ความสนใจกับการเจรจาอาร์เซ็ป ในขณะที่ชาติสมาชิกทีพีพีสามารถพูดคุยกันเกี่ยวกับสถานะของข้อตกลงดังกล่าวได้ในการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ที่เปรู ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ย.นี้ ซึ่งคาดจะได้ความชัดเจนเพิ่มขึ้น

ด้านจีน ระบุว่า จะสนับสนุนการค้าเสรีที่จีนเป็นผู้นำในระหว่างการประชุมดังกล่าว ขณะเดียวกันญี่ปุ่น ระบุว่าอาจจะมีการพิจารณาเจรจาข้อตกลงทีพีพีใหม่โดยปราศจากสหรัฐ แม้นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่นจะยังคงหวังว่าข้อตกลงดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้

 

อเมริกาแตกแยกหนักประท้วงเดือด ‘ไม่เอาทรัมป์’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 พฤศจิกายน 2559 เวลา 08:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/464694

อเมริกาแตกแยกหนักประท้วงเดือด 'ไม่เอาทรัมป์'

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกันชนะเลือกตั้งขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐคนที่ 45 ชาวอเมริกันหลายพันคนในหลายเมืองใหญ่ซึ่งเป็นฐานเสียงของพรรคเดโมแครต ได้ออกมาชุมนุมประท้วงทันทีและต่อเนื่องจนถึงวันที่ 9 พ.ย. เนื่องจากไม่ยอมรับในตัวทรัมป์ที่มีแนวนโยบายเหยียดชาติพันธุ์ ต่อต้านมุสลิม และนโยบายการปิดรับผู้อพยพ ซึ่งรวมถึงการสร้างกำแพงชายแดนเม็กซิโก จนกลายเป็นกระแสความวิตกว่าสหรัฐกำลังเผชิญความแตกแยกครั้งใหญ่ที่ยากต่อการสมานรอยร้าว

รอยเตอร์ส รายงานว่า ผู้ประท้วงหลายพันคนเดินทางไปยังอาคารทรัมป์ทาวเวอร์ นครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นสถานที่จัดเวทีประกาศชัยชนะของทรัมป์ โดยผู้ประท้วงถือป้ายแสดงความไม่พอใจและตะโกน “(ทรัมป์) ไม่ใช่ประธานาธิบดีของเรา” ขณะที่ในเมืองโอ๊กแลนด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้ประท้วงราว 6,000 คน ปิดการจราจรและขว้างสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ รวมถึงเผาถังขยะใจกลางสี่แยก ทุบกระจกห้างร้าน และจุดพลุไฟ

นอกจากนี้ การประท้วงยังเกิดขึ้นในนครชิคาโก เมืองพอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน และเมืองซีแอตเติล รัฐวอชิงตัน ซึ่งมีรายงานว่ามีผู้ถูกยิง 5 ราย ใกล้กับการประท้วงในซีแอตเติล แต่ตำรวจระบุว่าไม่เกี่ยวกับการประท้วงต่อต้านทรัมป์

ผลจากการเลือกตั้ง “เดือด”

สื่อในสหรัฐและทั่วโลกต่างขนานนามการเลือกตั้งครั้งนี้ว่า เป็นการเลือกตั้ง ที่สกปรกที่สุด หยาบคายที่สุด ตอกย้าภาพลักษณ์ด้านลบของอีกฝ่าย และเป็นการรณรงค์หาเสียงที่ก่อให้เกิดการแตกแยกรุนแรงมากที่สุดครั้งหนึ่ง โดย โทมัส ฟรายด์แมน คอลัมนิสต์ของนิวยอร์กไทมส์ เปิดเผยในคืนวันเลือกตั้งว่า สหรัฐกำลังแตกแยกจากการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้งที่แบ่งแยกชาวอเมริกัน และมีการปะทะกันอย่างรุนแรง

ทรัมป์ได้ชูนโยบายที่ก่อให้เกิดความหวาดกลัวในช่วงเวลาเกือบ 2 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวอเมริกันหันไปมองในจุดที่แย่ที่สุดของกันและกัน รวมถึงยังชูนโยบายในลักษณะประชานิยม ขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรค เดโมแครต คว้าตำแหน่งตัวแทนพรรคเหนือคู่แข่ง เบอร์นี แซนเดอร์ส ซึ่งมีนโยบายในลักษณะสังคมนิยมมาได้ แต่สุดท้ายชาวอเมริกันก็เลือกให้ทรัมป์เป็นคนพาประเทศเดินหน้าต่อไป

แม้ผลคะแนนของคณะผู้เลือกตั้ง จะให้ทรัมป์เป็นผู้คว้าชัยในศึกครั้งนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาคะแนนป๊อปปูลาร์ โหวต ฮิลลารีกลับเหนือทรัมป์อยู่ที่ราว 1.5 แสนเสียง โดยจำนวนที่ห่างกันเล็กน้อยดังกล่าวเมื่อเทียบกับตัวเลขผู้ใช้สิทธิทั้งหมดมากกว่า 118 ล้านคนแล้ว แสดงให้เห็นทัศนคติที่แตกออกเป็นสองฝั่งในปริมาณใกล้เคียงกันอย่างเห็นได้ชัด

ในผลเอ็กซิตโพลของนิวยอร์กไทมส์ พบว่าผู้ชายจะเลือกทรัมป์มากกว่าฮิลลารีที่ 50% ต่อ 41% ขณะที่ผู้หญิงจะชื่นชอบฮิลลารีมากกว่าที่ 54% โดยการแตกแยกยังพบในช่วงอายุของคนด้วยเช่นกัน โดยในกลุ่มผู้มีอายุน้อยกว่า 30 ปี ฮิลลารีนาทรัมป์ถึง 20% ขณะที่กลุ่มอายุมากกว่า 65 ปี โน้มเอียงไปทางทรัมป์มากกว่า

นอกจากนี้ กลุ่มชาวผิวขาวเกือบ 60% เลือกทรัมป์ โดยกลุ่มประชากรดังกล่าวคิดเป็นถึง 70% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ขณะที่กลุ่มชาวผิวดำ 88% เลือกฮิลลารี เช่นเดียวกับกลุ่มคนส่วนใหญ่ของชาวฮิสแปนิกและเอเชียที่ 66% นิยมฮิลลารีมากกว่า

 

โอบามากรุยทางถ่ายอำนาจสันติ

“พวกเราไม่ใช่เดโมแครต พวกเราไม่ใช่รีพับลิกัน พวกเราคือชาวอเมริกันตั้งแต่แรก พวกเราเป็นผู้รักชาติ พวกเราต้องการสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับประเทศของเรา” ประธานาธิบดี บารัก โอบามา กล่าว ขณะที่เหล่าเจ้าหน้าที่ต่างหลั่งน้ำตาท่ามกลางความกังวลว่า สิ่งที่รัฐบาลโอบามาทำมาตลอด 8 ปี จะกลายเป็นการสูญเปล่า

อย่างไรก็ตาม โอบามาเชิญทรัมป์ไปยังทำเนียบขาว เมื่อวันที่ 10 พ.ย.ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 11.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 23.00 น. ตามเวลาไทยของเมื่อวานนี้ และนับเป็นก้าวแรกสำหรับการเปลี่ยนถ่ายอำนาจอย่างสันติ ก่อนทรัมป์จะเข้าสาบานตนเป็นประธานาธิบดีในวันที่ 20 ม.ค. 2017 โดยระบุว่าจะตามรอยการโอนอำนาจอย่างสันติเช่นสมัยอดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช จากพรรครีพับลิกัน ที่ส่งไม้ต่อให้กับโอบามาในปี 2008

ความพยายามถ่ายโอนอำนาจอย่างสันติสอดคล้องกับสุนทรพจน์ประกาศยอมรับความพ่ายแพ้ของฮิลลารี ที่ขอให้ผู้สนับสนุนเปิดใจรับและให้โอกาสกับทรัมป์ได้นำประเทศ ขณะที่ จอห์น แคร์รี รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐ สั่งให้เจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศร่วมมือกับทรัมป์อย่างเต็มที่

โลกรับมือ อาฟเตอร์ช็อกทรัมปี์

ญี่ปุ่น : เอเอฟพี รายงานอ้างเจ้าหน้าที่กระทรวงต่างประเทศญี่ปุ่น ว่า นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ มีกำหนดการเยือนนครนิวยอร์กในวันที่ 17 พ.ย.นี้ เพื่อพบทรัมป์ หลังโทรศัพท์คุยกันในคืนวันเลือกตั้งเป็นเวลา 20 นาที โดยการพูดคุยดังกล่าวอาเบะและทรัมป์ยืนยันความร่วมมือใกล้ชิดระหว่างทั้งสองชาติ รวมถึงเน้นย้ำความสำคัญของการเป็นพันธมิตรเพื่อปกป้องสันติภาพและเสถียรภาพในเอเชียแปซิฟิก

ด้านเอกชนญี่ปุ่นกังวลไม่แพ้กัน เช่น การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากเม็กซิโก 35% จะส่งผล กระทบต่อผู้ผลิตญี่ปุ่นที่วางแผนขยายศักยภาพการผลิตในโรงงานเม็กซิโกอย่างโตโยต้า ผู้ผลิตยานยนต์สัญชาติญี่ปุ่น ขณะที่ฮอนด้าเตรียมจะส่งออกรถยนต์รุ่น HR-V ที่ผลิตในเม็กซิโกให้กับผู้บริโภคสหรัฐที่นิยมรถรุ่นดังกล่าว ส่วนยอดขายรถยนต์นิสสันในสหรัฐจำนวน 1 ใน 4 เป็นรถยนต์ที่ผลิตในเม็กซิโก

เกาหลีใต้ : ทรัมป์โจมตีการค้าเสรีกับเกาหลีใต้ที่สหรัฐทำข้อตกลงในปี 2012 ว่า ขณะที่เกาหลีใต้ได้ส่งออกมากขึ้นๆ ชาวอเมริกันกลับสูญเสียงาน อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีพาณิชย์เกาหลีใต้ยังคงยืนยันว่า ข้อตกลงดังกล่าวยังคงมีผลอยู่ พร้อมกับตอกย้ำความสำคัญของความสัมพันธ์ทางการค้า

ด้านบรรดานักวิเคราะห์ คาดการณ์ว่า ฮุนได มอเตอร์ และบริษัทลูกอย่างเกีย มอเตอร์ จะประสบความยากลำบากหากทรัมป์ทำตามจริงอย่างที่พูด เนื่องจากทั้งสองบริษัทมีการพึ่งพาการส่งออกไปยังสหรัฐ

แม้แถลงการณ์จากทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ระบุว่า ทรัมป์ให้สัญญาว่าจะยังคงความเป็นพันธมิตรอันแข็งแกร่งระหว่างกัน และต่อต้านภัยคุกคามจากเกาหลีเหนือ แต่กระทรวงต่างประเทศเกาหลีใต้จัดตั้งทีมพิเศษขึ้นดูแลนโยบายต่างประเทศหากสหรัฐมีการเปลี่ยนแปลงนโยบายไป

จีน : ค่าเงินหยวนร่วงแตะจุดต่ำสุดในรอบ 6 ปี จากความกังวลว่าทรัมป์จะขึ้นกำแพงภาษีสินค้านำเข้าจากจีน โดยสำนักข่าวซินหัว กระบอกเสียงของรัฐบาลจีน เรียกร้องให้ทรัมป์ยังคงสถานะระหว่างประเทศเช่นเดิม

ด้านอาลีบาบา อี-คอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีนอาจจะประสบความยากลำบากจากการไม่สามารถส่งสินค้าไปขายยังสหรัฐได้ และจะทำให้การส่งแรงงานชาวจีนที่มีศักยภาพมากในการเข้าไปทำงานในสหรัฐจะทำได้ยากขึ้นจากนโยบายการต่อต้านผู้อพยพของทรัมป์ ซึ่งอาจไม่ขยายวีซ่าสำหรับผู้มีทักษะแรงงานพิเศษ

“ความสัมพันธ์ทางบวกระหว่างสหรัฐและจีนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับโลก พวกเราเชื่อว่า อาลีบาบากำลังทำในส่วนของเราเพื่อช่วยเหลือธุรกิจสหรัฐ ทั้งขนาดใหญ่และย่อม ในการเข้าถึงตลาดจีน และสร้างงานให้กับชาวอเมริกัน รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ” อาลีบาบา กล่าวในแถลงการณ์

ตะวันออกกลาง : สมเด็จพระราชาธิบดี ซัลมาน บิน อับดุลอาซิซ อัล ซาอูด แห่งซาอุดิอาระเบีย ทรงแสดงความหวังว่าสหรัฐจะช่วยสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพในตะวันออกกลางและทั่วโลก หลังความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดิอาระเบียและสหรัฐถดถอยลงไปในสมัยรัฐบาลโอบามา เนื่องจากซาอุดิอาระเบียไม่พอใจที่โอบามาไม่เต็มใจช่วยเหลือจัดการสงครามกลางเมืองในซีเรีย และกังวลที่โอบามาผูกสัมพันธ์กับอิหร่านที่ถือเป็นคู่แข่งของซาอุดิอาระเบียมากขึ้น

ในระหว่างการหาเสียง ทรัมป์ยืนยันตลอดว่าจะกำจัดกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) แต่ไม่มีการเปิดเผยแผนการที่เป็นรูปธรรม โดยที่ผ่านมาสหรัฐเข้าช่วยอิรักและซีเรียในการจัดการกับไอเอส และยังหนุนกลุ่มกบฏในการขับไล่ประธานาธิบดี บาชาร์ อัล-อัสซาด ของซีเรียอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ทรัมป์แสดงออกว่าพร้อมจะจับมือกับรัสเซีย ซึ่งประธานาธิบดี วลาดิมีร์ ปูติน ของรัสเซีย หนุนหลังอัสซาดอยู่

ยุโรป : ฌอง-โคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) เรียกร้องให้ทรัมป์แสดงความชัดเจนด้านนโยบายทั้งการค้าและความสัมพันธ์กับองค์กรสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) รวมถึงเรื่องข้อตกลงสภาพอากาศ ซึ่งต่างเป็นประเด็นที่ทรัมป์ปฏิเสธไม่เอาทั้งหมด

ขณะเดียวกัน การขึ้นมาของทรัมป์ยังก่อให้เกิดผลทางการเมือง โดย วูลฟ์กัง ชอยเบิล รัฐมนตรีคลังเยอรมนี เตือนกลุ่มชาตินิยมจะผงาดขึ้นมาเป็นการเมืองกระแสหลักเช่นเดียวกับทรัมป์ หลังจากการถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษทำให้ยุโรปช็อกมา แล้ว โดยเบร็กซิตมีความคล้ายคลึงกับทรัมป์ในด้านความหวาดกลัวต่อการเปิดประตูรับ ผู้อพยพและสินค้าจากต่างชาติ

อียูเชิญทรัมป์มาร่วมประชุมกับกลุ่มอียูให้เร็วที่สุดทันทีที่ว่าง เพื่อพูดคุยในประเด็นการจัดการไอเอส ข้อพิพาทยูเครน และข้อตกลงการค้าเสรีอียู-สหรัฐที่เต็มไปด้วยปัญหา

จีนได้ทีดันเอฟทีเอ เอเชีย-แปซิฟิก

หลี่เป่าตง รัฐมนตรีช่วยต่างประเทศจีน แถลงก่อนที่ประธานาธิบดี สีจิ้นผิง จะเดินทางไปร่วมการประชุมสุดยอดผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (เอเปก) ที่เปรู ระหว่างวันที่ 19-20 พ.ย.นี้ว่า ผู้นำจีนจะแสวงหาความร่วมมือเพื่อสนับสนุนข้อตกลงเขตการค้าเสรีเอเชียแปซิฟิก (เอฟทีเอเอพี) ระหว่างการประชุม และย้าว่าภูมิภาคนี้จำเป็นต้องมีเอฟทีเอโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยท่าทีดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ และคาดว่าจะกระทบต่อเอฟทีเอตามที่หาเสียงไว้ โดยเฉพาะความตกลงหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (ทีพีพี)

“การปกป้องการค้าและการลงทุนกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น และเอเชียแปซิฟิกก็ไม่มีโมเมนตัมที่มากพอสำหรับการเติบโตภายในภูมิภาค อีกทั้งยังเผชิญแรงกดดันจากการปฏิรูป จีนเชื่อว่าเราควรมีแผนการทำงานใหม่และเป็นรูปธรรม เพื่อตอบรับกับความคาดหวังของภาคอุตสาหกรรม ช่วยหนุนโมเมนตัม และนำไปสู่ข้อตกลงเอฟทีเอในเอเชียแปซิฟิกตั้งแต่เนิ่นๆ” หลี่ กล่าว

ทั้งนี้ หลังเสร็จสิ้นการประชุมที่เปรู สีจะเดินทางเยือนเอกวาดอร์เป็นประเทศต่อไป ซึ่งทั้งสองประเทศนี้ต่างก็เป็นประเทศภาคีสมาชิกในทีพีพี ที่กำลังเสี่ยงจะถูกยกเลิก

คาดเฟดยังขึ้นดอกเบี้ย ธ.ค.นี้

รอยเตอร์สเปิดเผยผลสำรวจความเห็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำ 62 คน ซึ่ง 85% เห็นตรงกันว่าธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) จะประกาศขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบสุดท้ายของปีนี้ในเดือน ธ.ค.ตามที่เคยคาดการณ์ไว้ โดยชัยชนะของทรัมป์จะไม่เป็นปัจจัยลบให้เฟดเลื่อนออกไป เนื่องจากเงื่อนไขทางเศรษฐกิจของสหรัฐมีความพร้อมมากพอ สอดคล้องกับที่วิลเลียม ดัดลีย์ ประธานเฟดสาขานิวยอร์ก ส่งสัญญาณว่าเฟดน่าจะยังขึ้นดอกเบี้ยได้ตามแผนเดิม

อย่างไรก็ตาม หลังประกาศผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ นักวิเคราะห์บางรายก็เริ่มลดความเป็นไปได้ของการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ลงเช่นกัน โดยซีเอ็มอี กรุ๊ป เฟ็ดวอทช์ ระบุว่า แนวโน้มที่เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ธ.ค.ลดลง 5% จากวันอังคารที่ผ่านมา อยู่ที่ 71.5%

ขณะที่สแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) ประกาศยังคงอันดับเครดิตเรตติ้งของสหรัฐที่ระดับ AA +/A-1+ หลังทราบผลการเลือกตั้งประธานาธิบดี เนื่องจากชัยชนะของทรัมป์และการที่พรรครีพับลิกันสามารถครองที่นั่งได้ทั้งในสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภานั้น จะเป็นปัจจัยสนับสนุนการดำเนินนโยบายต่างๆ ของทรัมป์ แม้จะยังคงมีความไม่แน่นอนในนโยบายอยู่ก็ตาม

 

ศึกชี้ชะตาอนาคตพญาอินทรี ทรัมป์-ฮิลลารีสูสีจนหยดสุดท้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 พฤศจิกายน 2559 เวลา 10:08 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/464066

ศึกชี้ชะตาอนาคตพญาอินทรี ทรัมป์-ฮิลลารีสูสีจนหยดสุดท้าย

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐล่วงหน้าจบลงไปแล้ว ซึ่งมีผู้ไปใช้สิทธิก่อนมากถึงราว 42 ล้านคน ก่อนการเปิดคูหาจริงในวันนี้ โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า กลุ่มฮิสแปนิกหรือชาวละตินอเมริกาออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเฉพาะในรัฐฟลอริดาที่เป็นรัฐที่มีการแข่งขันสูงสุดและสำคัญมากที่สุดในขณะนี้ เนื่องจากมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้งเป็นเดิมพันมากถึง 29 เสียง

ทีมหาเสียงของฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ประเมินว่า กลุ่มฮิสแปนิกออกไปใช้สิทธิเพิ่มขึ้นในรัฐฟลอริดามากถึง 139% เมื่อเทียบกับการเลือกตั้งในปี 2012 โดยกลุ่มดังกล่าวนับเป็นฐานเสียงของฮิลลารี

อย่างไรก็ตาม หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ระบุว่า แม้กลุ่มฮิสแปนิกจะออกไปใช้เสียงเพิ่มขึ้น แต่กลุ่มชาวผิวดำ ซึ่งเป็นฐานเสียงของฮิลลารีเช่นกัน กลับมีแนวโน้มไปใช้สิทธิล่วงหน้าน้อยลงเมื่อเทียบกับปี 2012 และในทางกลับกัน กลุ่มชาวผิวขาวออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากขึ้นในเวลาเดียวกัน ซึ่งอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่ากลุ่มฮิสแปนิกเสียอีก

วอชิงตันโพสต์ พบว่า จำนวนชาวผิวขาวที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้ามากขึ้นทั้งรัฐฟลอริดา รวมถึงแอริโซนาและนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งต่างเป็นรัฐที่มีการแข่งขันสูงด้วยคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 11 และ 15 เสียง ตามลำดับ ขณะที่กลุ่มชาวผิวดำออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าลดลงในรัฐโคโลราโด เนวาดา และนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งก็ต่างเป็นรัฐที่มีการแข่งขันสูง โดยรัฐโคโลราโดและเนวาดาต่างเป็นรัฐที่มีแนวโน้มเอียงไปพรรคเดโมแครตในระดับปานกลางและมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 9 และ 6 เสียงตามลำดับ

แม้ลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าจะไม่ได้ชี้ชัดแนวโน้มการเลือกตั้งในครั้งนี้ได้ทั้งหมด เนื่องจากการเลือกตั้งครั้งนี้สูสีมาก อย่างไรก็ตาม ลักษณะทางประชากรศาสตร์ก็ส่งอิทธิพลต่อการเลือกตั้งมาโดยตลอด

แซม โปโตลิกชิโอ ผู้เชี่ยวชาญจากคณะนโยบายสาธารณะ มหาวิทยาลัยจอร์จทาวน์ ยกตัวอย่างว่า หากฐานเสียงของฮิลลารี ซึ่งประกอบด้วยฮิสแปนิก คนรุ่นใหม่อายุระหว่าง 18-34 ปี ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน ชาวผิวดำ และผู้มีการศึกษา ออกไปใช้สิทธิน้อยกว่าฐานเสียงของทรัมป์ เช่น ชาวผิวขาวที่ไม่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญา จะส่งผลให้ทรัมป์มีแนวโน้มชนะมากขึ้น

นอกจากนี้ ฐานเสียงของฮิลลารี เช่น ผู้หญิงที่ไม่ได้แต่งงาน ยังมีขนาดน้อยกว่าสมัยของประธานาธิบดี บารัก โอบามา ที่ราว 36% ต่อ 25% อีกด้วย ขณะที่กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เป็นฐานเสียงขนาดใหญ่ของโอบามา ยังไม่นิยมผู้สมัครทั้งคู่ และอาจหันไปเลือกพรรคอื่น เช่น แกรี จอห์นสัน จากพรรคเสรีนิยม และจิลล์ สเตน จากพรรคกรีน

สวิงสเตท” ระอุ

“รัฐที่สำคัญที่สุดคือฟลอริดาและนอร์ทแคโรไลนา ถ้าฮิลลารีชนะทั้งคู่ ตำแหน่งประธานาธิบดีจะไปอยู่ในมือเธอ แต่ถ้าเธอแพ้ทั้งคู่ ผมคิดว่าเธอจะแพ้การเลือกตั้งครั้งนี้” จอห์น คริสโตเฟอร์ แกรนท์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเลือกตั้งจากมหาวิทยาลัยเมอร์เซอร์ กล่าว

การเปิดเผยดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของรัฐฟลอริดา ซึ่งเป็นรัฐที่มีการแข่งขันสูงและยังไม่เอนไปข้างใดข้างหนึ่งอย่างเห็นได้ชัดหรือสวิงสเตท โดยโพลของซีบีเอส พบว่า ทรัมป์และฮิลลารีมีคะแนนเท่ากันที่ 45% ในรัฐดังกล่าว ขณะที่เว็บไซต์ข่าวสารแวดวงการเมือง ไฟว์เธอร์ตี้เอท ประเมินว่า ทรัมป์จะชนะในรัฐฟลอริดาอย่างฉิวเฉียด 0.1% เท่านั้น

สำนักข่าวเอพี รายงานว่า ในปี 2012 โอบามาเฉือนเอาชนะ มิตต์ รอมนีย์ จากรีพับลิกันไปเพียง 0.7% เท่านั้น โดยในบางพื้นที่ของฟลอริดา เช่น เมืองดูวัล เป็นพื้นที่ซึ่งประชากรส่วนใหญ่เป็นคนผิวขาวและคาดว่าทรัมป์จะชนะเสียงในส่วนนี้อย่างฉิวเฉียดเหมือนสมัยจอร์จ ดับเบิลยู. บุช เมื่อปี 2004 และมิตต์ในปี 2012 อย่างไรก็ตาม ในฮิลส์โบโรมีประชากรชาวฮิสแปนิกเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งเป็นประโยชน์แก่ฮิลลารี

นอกจากรัฐฟลอริดาแล้ว ในผลสำรวจของรอยเตอร์ส/อิปซอส พบว่าในรัฐมิชิแกน ซึ่งมีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 16 เสียง ทั้งคู่มีคะแนนความนิยมเท่ากันที่ 43% ต่อ 43% ขณะที่ด้านนอร์ทแคโรไลนา ซึ่งมีคะแนนเสียงคณะเลือกตั้งเป็นเดิมพัน 15 เสียงนั้น ทรัมป์นำอยู่เล็กน้อยเพียง 1% เท่านั้น ตรงกันข้ามกับรัฐไอโอวา ที่มีคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 6 เสียง ฮิลลารีนำอยู่ 1%

ในรัฐนอร์ทแคโรไลนา ผู้ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งล่วงหน้าเพิ่มขึ้น 15% จากปี 2012 อยู่ที่ 3.1 ล้านคน โดยแบ่งเป็นผู้ลงทะเบียนสนับสนุนเดโมแครต 9.89 แสนคน และรีพับลิกัน 8.08 แสนคน

ขณะที่ในรัฐที่ยังคงไม่โน้มเอียงมากนักแต่ค่อนไปทางเดโมแครตจากผลสำรวจของรอยเตอร์ส/อิปซอส ประกอบไปด้วยรัฐเพนซิลวาเนียที่มีคะแนนเสียงผู้เลือกตั้ง 20 เสียง และนิวแฮมป์เชอร์ที่มีคะแนนเสียงผู้เลือกตั้ง 4 เสียง โดยฮิลลารีนำอยู่ราว 4% ส่วนด้านรัฐที่ค่อนไปทางรีพับลิกันอย่างเซาท์แคโรไลนา ซึ่งมีคะแนนเสียงผู้เลือกตั้ง 9 เสียง ทรัมป์นำอยู่ 5%

ทั้งนี้ รอยเตอร์ส/อิปซอส ประเมินความนิยมนับถึงวันที่ 3 พ.ย. พบว่า ฮิลลารีได้รับคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง 251 เสียง ขณะที่ทรัมป์ได้ไป 185 เสียง

ตบเท้าเข้าโต๊ะพนันทุบสถิติ

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า เงินที่ไหลเข้าสู่โต๊ะพนันของเบ็ตแฟร์ เว็บไซต์พนัน เพื่อเดิมพันว่าใครจะเป็นได้เป็นประธานาธิบดีสูงถึง 130 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4,450 ล้านบาท) นับถึงวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยบรรดานักพนันต่างคิดว่าฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้งคิดเป็นสัดส่วนถึง 83%

ปริมาณเม็ดเงินดังกล่าวมากกว่าครั้งการเดิมพันสมัยการลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ 159 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5,565 ล้านบาท) เสียอีก และเพิ่มมากกว่าการเลือกตั้งประธานาธิบดีปี 2012 ที่เพียง 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,750 ล้านบาท) เท่านั้น

 

สื่อสิ่งพิมพ์ไม่พ้นวิกฤต เร่งปรับตัวระลอกใหม่สู่ยุคดิจิทัล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 พฤศจิกายน 2559 เวลา 14:38 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/463732

สื่อสิ่งพิมพ์ไม่พ้นวิกฤต เร่งปรับตัวระลอกใหม่สู่ยุคดิจิทัล

โดย…อักษราภัค ลาภานันต์

ตลอดช่วงที่ผ่านมาธุรกิจหนังสือพิมพ์จะพยายามปรับตัวอย่างมาก โดยล่าสุดหนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล จะปรับลดพนักงานในแผนกเกรทเทอร์ นิวยอร์ก และพนักงาน 19 คน จากสมาคมสื่อสิ่งพิมพ์ระหว่างประเทศ (ไอเอพีอี) เพื่อลดต้นทุนค่าใช้จ่าย หลังรายได้จากการโฆษณาในหนังสือพิมพ์ลดลง และจะเปิดตัวหนังสือพิมพ์รูปแบบใหม่ในวันที่ 14 พ.ย. ซึ่งมีการยุบรวมเนื้อหาบางส่วน

อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์ด้านการตลาดและประชาสัมพันธ์ยังมองว่า วงการหนังสือพิมพ์จะยังคงเจอความท้าทายอีกมากหลังจากนี้ ทั้งยอดขายโฆษณาซึ่งถือเป็นรายได้หลักของสิ่งพิมพ์ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการเปลี่ยนแปลงในเชิงประชากรและความท้าทายจากเทคโนโลยี ล้วนเป็นปัจจัยกดดันให้สำนักพิมพ์หลายแห่งทั่วโลกต้องลดค่าใช้จ่ายเพิ่ม ขณะเดียวกันก็เร่งปรับเปลี่ยนผลิตภัณฑ์สื่อทั้งที่เป็น
สิ่งพิมพ์และในระบบดิจัทัล

กรุ๊ปเอ็ม บริษัทลงทุนด้านสื่อที่ใหญ่ที่สุดในโลก คาดการณ์ว่ายอดโฆษณาในสื่อสิ่งพิมพ์ทั่วโลกมีแนวโน้มลดลง 8.7% อยู่ที่ 5.26 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.84 ล้านล้านบาท) ในปีนี้ ซึ่งเป็นการลดลงมากที่สุดตั้งแต่ยุคเศรษฐกิจถดถอย ที่การใช้จ่ายดังกล่าวลดลง 13.7% ในปี 2009

นอกจากนี้ แนวโน้มยอดขายโฆษณาในสิ่งพิมพ์ที่ลดลงนี้ จะฉุดให้ยอดใช้จ่ายในตลาดโฆษณาโดยรวมเติบโตเพียง 4% ในปีนี้อยู่ที่ 5.29 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 18.5 ล้านล้านบาท) แม้ยอดการโฆษณาในสื่อดิจิทัลจะเพิ่มขึ้น 14%

ขณะที่ในปัจจุบันสำนักพิมพ์หลักรายใหญ่เกือบทุกแห่งในสหรัฐและอังกฤษต่างเร่งเพิ่มรายได้จากช่องทางสื่อออนไลน์ เพื่อนำมาพยุงยอดขายส่วนที่ร่วงลงจากสื่อดั้งเดิม รวมทั้งมีการปรับเปลี่ยน
รูปแบบสื่อและเนื้อหา

เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ผลิตหนังสือพิมพ์หลายแห่งได้ส่งสัญญาณลดค่าใช้จ่ายเพิ่มเพื่อรับมือกับยอดขายที่ตกต่ำยิ่งกว่าที่คาดการณ์ไว้ อาทิ นิวยอร์กไทมส์ สื่อยักษ์ใหญ่ในสหรัฐ และนิวส์ คอร์ป บริษัทผู้ผลิต วอลสตรีท เจอร์นัล เตรียมปรับลดพนักงานเพิ่ม ขณะที่ เดอะ การ์เดียน สื่ออังกฤษ และเดลีเมล หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ในอังกฤษ เพิ่งจะปรับลดพนักงานไปเมื่อไม่นานมานี้

ก่อนหน้านี้ นิวยอร์กไทมส์ ในเครือเดอะ ไทมส์ ระบุว่า อาจจะลดขนาดธุรกิจส่วนห้องข่าวลงในต้นปีหน้าและหันไปเน้นระบบดิจิทัล โดยได้ตั้ง อาร์เธอร์ ซัลส์เบอเกอร์ นักข่าวชาวอเมริกัน ขึ้นเป็นผู้ดูแลการเปลี่ยนผ่านห้องข่าวไปสู่ระบบดิจิทัลเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

ทั้งนี้ เดอะ ไทมส์ กำลังดำเนินตามยุทธศาสตร์เพิ่มรายได้จากสื่อดิจิทัลในปี 2020 โดยได้เปลี่ยนทรัพยากรหลายอย่างไปเน้นพัฒนาระบบออนไลน์ รวมถึงปรับปรุงหลายส่วนของหนังสือพิมพ์ เช่น หน่วยเมโทร หรือคอลัมน์เกี่ยวกับประเด็นท้องถิ่นในแต่ละเมืองในสหรัฐ

ส่วน เดลีเมล แอนด์ เจอเนอรัล ทรัสต์ เจ้าของเดลีเมล ได้ลดพนักงานจำนวน 400 อัตรา เมื่อเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา ด้าน การ์เดียน มีเดีย กรุ๊ป ผู้ตีพิมพ์ เดอะ การ์เดียน และ ดิออบเซอร์เวอร์ ปรับลดพนักงานแล้ว 250 อัตราเมื่อต้นปี

“วงการหนังสือพิมพ์อยู่ในช่วงที่ลำบากอย่างมากในขณะนี้ โดยรายรับจากสิ่งพิมพ์ในอังกฤษปรับตัวลดลงหนักขึ้นตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา” สตีเฟน เดนทิท หัวหน้าเจ้าหน้าที่การเงินของเดลีเมล ระบุ

นอกจากนี้ สำนักพิมพ์หลายแห่งค่อยๆ ลด หรือเลิกขายโฆษณาประเภทราคาถูก และหันไปพัฒนาการโฆษณารูปแบบใหม่ที่สามารถทำเงินได้มากกว่า เช่น เนทีฟแอดส์ ซึ่งเป็นการโฆษณาบนโทรศัพท์มือถือ การโฆษณาผ่านวิดีโอคลิป และการใช้ระบบเทคโนโลยีเสมือนจริงมาใช้ในการโฆษณา เพื่อกระตุ้นรายได้จากสื่อดิจิทัล

อย่างไรก็ดี รายรับจากการขายโฆษณาดิจิทัลก็ยังเติบโตไม่ทันยอดขายร่วงลงอย่างรวดเร็วของหน่วยสิ่งพิมพ์ ส่วนหนึ่งเพราะการโฆษณาผ่านสิ่งพิมพ์มีราคาแพง

เดวิด เมอร์ฟี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ โนวัส มีเดีย บริษัทที่ปรึกษาด้านการตลาด ระบุว่า เมื่อพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนด้านสื่อแล้ว สิ่งพิมพ์กลับไม่ได้มีประสิทธิภาพมากนัก เมื่อเทียบกับสื่ออื่นๆ

นอกจากนี้ รายงานของวอลสตรีท เจอร์นัล เปิดเผยว่า แม้จะมีความก้าวหน้าในการปรับธุรกิจสิ่งพิมพ์ แต่ยังมีความท้าทายอีกมากรออยู่ข้างหน้า เช่น อิทธิพลของเฟซบุ๊กและกูเกิลในตลาดดิจิทัล ขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์สื่อออนไลน์ก็ยังสามารถทำเงินได้ยาก

จอห์น ริดดิ้ง ซีอีโอของไฟแนนเชียลไทมส์ สื่อเนื้อหาหนักของอังกฤษ ระบุว่า การโฆษณาผ่านสิ่งพิมพ์ลดลงอย่างรุนแรงตลอดปีนี้ เป็นการผลักให้สื่อต้องปรับโครงสร้างไปสู่โลกดิจิทัล โทรศัพท์มือถือ และแพลตฟอร์มอื่นๆ เช่น เฟซบุ๊กและกูเกิล

ทั้งนี้ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา บรรดานักการตลาดต่างหันหนีออกจากการใช้ช่องทางหนังสือพิมพ์จากหลายเหตุผล ได้แก่ วงจรชีวิตของหนังสือพิมพ์สั้น กลุ่มผู้อ่านหนังสือพิมพ์เริ่มแก่และคนรุ่นใหม่ไม่อ่านหนังสือพิมพ์ ขณะที่บริษัทการทำตลาดหลายแห่งก็เริ่มหันไปทุ่มงบพัฒนาระบบดิจิทัลของตัวเอง

นอกจากนี้ การหันไปใช้ข้อมูลเชิงวิเคราะห์เข้ามาในกระบวนการวางแผนสื่อมากขึ้นในกลุ่มธุรกิจค้าปลีก และธุรกิจรายใหญ่ก็กระทบต่อยอดโฆษณาในสิ่งพิมพ์ ยิ่งไปกว่านั้นบรรดาธุรกิจประชาสัมพันธ์และโฆษณาต่างหันไปแข่งขันพัฒนาวิดีโอออนไลน์อย่างดุเดือด เช่นเดียวกับธุรกิจค้าปลีก การบริการทางการเงิน และสื่อสารโทรคมนาคม ต่างลดการทำการตลาดผ่านสิ่งพิมพ์

อย่างไรก็ตาม ไม่เพียงแต่หนังสือพิมพ์เท่านั้นที่ได้รับผลกระทบเช่นนี้ กรุ๊ปเอ็ม ประเมินว่า นิตยสารที่วางจำหน่ายทั่วโลกก็มีรายรับจากการขายโฆษณาที่คาดว่าจะลดลง 2.9% ในปีนี้เช่นกัน

ด้าน จอห์น เจเนดิส นักวิเคราะห์จากเจฟเฟอรีส์ แอนด์ โค วาณิชธนกิจในสหรัฐ มองว่าในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ วงการหนังสือพิมพ์จะเผชิญกับความยากลำบากมากยิ่งขึ้น โดยคาดว่ายอดขายโฆษณาสิ่งพิมพ์ของนิวยอร์กไทมส์จะลดลง 17% จากเดิมที่คาดจะลดลง 14% ขณะที่คาดว่ากานเน็ต เจ้าของยูเอสเอทูเดย์ จะมีรายรับรวมทั้งจากสิ่งพิมพ์และดิจิทัลลดลง 12.5% และลดลง 7% ในนิวส์ คอร์ป

 

ศึกชิงเก้าอี้ผู้นำมะกันสูสีจัด4รัฐสมรภูมิแข่งขันเดือด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 พฤศจิกายน 2559 เวลา 06:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/463539

ศึกชิงเก้าอี้ผู้นำมะกันสูสีจัด4รัฐสมรภูมิแข่งขันเดือด

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ใกล้เข้าไปอีกก้าวสำหรับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย.นี้ และการแข่งขันระหว่างฮิลลารี คลินตัน ตัวแทนจากพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวแทนจากพรรครีพับลิกัน กำลังเข้มข้นทุกขณะ โดยจากผลสำรวจของซีเอ็นเอ็น/โออาร์ซี พบว่าในรัฐที่กำลังมีการแข่งขันอย่างสูสี 4 รัฐ ได้แก่ เพนซิลวาเนีย ฟลอริดา แอริโซนา และเนวาดา ซึ่งทรัมป์มีคะแนนนิยมมากขึ้นในรัฐดังกล่าว

ฮิลลารีนำทรัมป์ในรัฐฟลอริดา ซึ่งมีการแข่งขันที่สูสีที่สุดเป็นประวัติการณ์ อย่างไรก็ตาม แม้ในรัฐเพนซิลวาเนีย รัฐฐานเสียงของเดโมแครต ฮิลลารีจะยังคงนำทรัมป์อยู่ 4% ในหมู่ผู้มีแนวโน้มไปเลือกตั้ง แต่คะแนนนิยมลดลงจากช่วงเดือน ต.ค. ที่นำอยู่ถึงเกือบ 10% ขณะที่ทรัมป์มีคะแนนนำในรัฐที่มีแนวโน้มค่อนไปทางรีพับลิกันอย่างแอริโซนา และยังคงนำในรัฐเนวาดาอยู่ 6% ซึ่งเพิ่มขึ้นมาจากกลางเดือน ต.ค. ที่นำเพียง 2%

ผลสำรวจดังกล่าวจัดทำระหว่างวันที่ 27 ต.ค.-1 พ.ย. ซึ่งเป็นช่วงหลัง เจมส์ โคมีย์ ผู้อำนวยการสำนักงานสอบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) เปิดเผยกับสภาคองเกรส เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ว่า เอฟบีไอจะตรวจสอบประเด็นการใช้อีเมลส่วนตัวของฮิลลารีระหว่างการดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศอีกครั้ง ส่งผลกระทบกับการหาเสียงของตัวแทนจากเดโมแครต

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก เปิดเผยอ้างผลโพลนับถึงวันที่ 1 พ.ย. พบว่าความนิยมของฮิลลารีจากทุกลักษณะทางประชากรศาสตร์ลดลงทุกด้าน ยกเว้นกลุ่มชาวผิวขาวที่มีการศึกษาและชาวผิวดำ โดยเฉลี่ยลดลง 2.5% ซึ่งกลุ่มอิสระที่ไม่ยึดติดกับพรรคใดพรรคหนึ่งลดลงมาที่สุดถึง 5.5% ขณะที่แนวโน้มคะแนนความนิยมจากกลุ่มผู้เลือกอิสระโน้มเอียงกลับมาทางทรัมป์มากกว่า หลังทรัมป์สูญเสียความนิยมดังกล่าวให้ฮิลลารีตั้งแต่การดีเบตนัดที่ 2

ขณะเดียวกัน สำนักข่าวเอพีรายงานว่า ในช่วงระหว่างวันที่ 23-29 ต.ค.ที่ผ่านมา ทีมหาเสียงฮิลลารีทุ่มโฆษณาทางโทรทัศน์และทางวิทยุมากกว่า 318 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.1 หมื่นล้านบาท) เทียบกับทรัมป์ที่ราว 69.9 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2,446 ล้านบาท) ซึ่งจำนวนโฆษณาของฮิลลารีมีมากกว่าทรัมป์ในวันที่ 28-29 ต.ค.ที่ผ่านมา รวมกัน 4,417 ชิ้น โดยรัฐที่มีการแข่งขันสูงอย่างฟลอริดา ฮิลลารีใช้จ่ายเพื่อโฆษณา 10 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 350 ล้านบาท) มากกว่าทรัมป์ถึง 2 เท่า

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ระบุว่า จากการเก็บผลสำรวจความนิยมในระดับนานาชาติ ทั้งจากบรรดาสำนักข่าวในประเทศอย่างเอบีซี/วอชิงตันโพสต์ รวมถึงสถาบันวิจัยนอกประเทศ เช่น ยูกอฟจากอังกฤษ พบว่าโดยเฉลี่ยฮิลลารียังนำทรัมป์อยู่ 5.2% ขณะที่คาดการณ์แนวโน้มที่ฮิลลารีจะคว้าคะแนนคณะผู้เลือกตั้ง 270 เสียง ของเว็บไซต์ข่าวสารแวดวงการเมืองไฟฟ์เทอร์ตี้เอกธ์ยังอยู่ที่ 71%

อีเมล-วิกิลีกส์หลอนฮิลลารี

เอฟบีไอปิดคดีการใช้อีเมลเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวของฮิลลารีไปเมื่อเดือน ก.ค. โดยไม่มีการตั้งข้อหาใดๆ กับตัวแทนพรรคเดโมแครต อย่างไรก็ตาม ผู้อำนวยการเอฟบีไอเปิดเผยเมื่อวันที่ 28 ต.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะกลับมาสอบสวนเรื่องดังกล่าวใหม่อีกครั้ง ภายหลังได้หลักฐานเพิ่มเติมมาจากการสอบคดีอื่น ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดกับฮิลลารี และบ่งชี้ฮิลลารีอาจมีการส่งอีเมลลับทางราชการที่ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอีก

การทบทวนคดีอีกรอบของเอฟบีไอเริ่มมาจากข่าวอื้อฉาวของ แอนโธนี วีเนอร์ อดีต สส.พรรคเดโมแครต และสามีของ “ฮูมา อาเบดิน” ผู้ช่วยคนสนิทของฮิลลารี ซึ่งพบว่าวีเนอร์ส่งข้อความอนาจารให้เด็กสาวอายุ 15 ปี ทำให้เอฟบีไอยึดเครื่องคอมพิวเตอร์ของวีเนอร์ไปตรวจสอบ ทว่าเครื่องดังกล่าวเป็นคอมพิวเตอร์ที่อาเบดินเคยใช้งานร่วมกับสามีด้วย ทำให้เอฟบีไอต้องกลับมาตรวจสอบคดีอีเมลของฮิลลารีอีกครั้งไปพร้อมกันด้วยว่า มีอีเมลที่ควรเป็นความลับทางราชการหรือไม่

ทั้งนี้ การใช้อีเมลเซิร์ฟเวอร์ส่วนตัวเป็นการกระทำที่ขัดต่อระเบียบข้อปฏิบัติของกระทรวงต่างประเทศสหรัฐ โดยข้อปฏิบัติกำหนดให้ต้องใช้อีเมลของรัฐและส่งคืนอีเมลทั้งหมดให้กับรัฐภายหลังจากพ้นตำแหน่งกระทรวงต่างประเทศไป

นอกจากนี้ ฮิลลารียังเผชิญข่าวฉาวจากการเปิดเผยของวิกิลีกส์อย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุด วิกิลีกส์ เปิดเผยว่า ทีมหาเสียงของฮิลลารีพยายามเปลี่ยนแปลงระดับผู้นำของคณะกรรมการพรรคเดโมแครต เพื่อช่วยเพิ่มแนวโน้มให้ฮิลลารีได้เป็นประธานาธิบดี ซึ่งมีตัวเลือกคือการบีบหรือลดอำนาจของเดบบี วาสเซอร์มัน ชูลท์ส อดีตประธานคณะกรรมการดังกล่าวชูลท์ส ลาออกจากตำแหน่งเมื่อเดือน ก.ค. หลังวิกิลีกส์พบมีการขัดขวางเบอร์นี แซนเดอร์ส ผู้สมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรค ได้ตำแหน่งดังกล่าวไป ก่อนที่ ดอนนา บราซิล ผู้ประกาศข่าวของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นขึ้นรับตำแหน่งแทน โดยบราซิลถูกไล่ออกจากซีเอ็นเอ็น หลังวิกิลีกส์เปิดเผยว่าบราซิลส่งคำถามที่ใช้ในการดีเบตรอบคัดตัวแทนพรรคไปให้ฮิลลารีก่อนการดีเบต

ทรัมป์เอฟเฟกต์ป่วนตลาดยาว

ดัชนีความผันผวนวิกซ์ ซึ่งวัดความผันผวนในดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับขึ้น 50% ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่เอสแอนด์พี 500 ปรับตัวร่วงต่อเนื่อง7 วัน นับถึงวันที่ 2 พ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นช่วงยาวนานที่สุดนับตั้งแต่ปี 2011 เช่นเดียวกับดัชนียูโรสต็อกซ์ 600 ที่ลดลงติดต่อกันมากที่สุดในรอบ 2 ปี ขณะที่ดัชนีเอ็มเอสซีไอตลาดเกิดใหม่ลดลง 1.2% เมื่อวานนี้

“มากกว่าอะไรทั้งหมด พวกเราเห็นความผสมผสานระหว่างความไม่แน่นอนและการขาดแรงจูงใจจะทำอะไรก่อนการเลือกตั้ง ผู้คนกำลังลดความเสี่ยงในการลงทุน และบางคนก็เลือกจะนั่งมองอยู่ข้างๆ” ยูเซฟ อับบาซี นักกลยุทธ์จากโจนส์เทรดิง อินสติติวชันนัล เซอร์วิส บริษัทโบรกเกอร์ในสหรัฐ กล่าว

ขณะเดียวกันนักวิเคราะห์ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าฮิลลารีจะสามารถชนะทรัมป์ได้ 100% นับตั้งแต่การออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษ หรือเบร็กซิตอย่างไม่คาดฝัน โดย บรูซ บิตเติลส์ นักกลยุทธ์ของแบร์ด เปิดเผยว่า หากทรัมป์คว้าชัยในการเลือกตั้งตลาดมีแนวโน้มจะร่วงลงไปอย่างมากเช่นเดียวกับครั้งเบร็กซิต ก่อนที่จะฟื้นตัวขึ้นมา

“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับความคาดหวังเดโมแครตจะชนะสร้างตลาดได้มากแค่ไหน ถ้าหากเป็นไปในลักษณะนั้น ผมพูดได้เลยว่า หากรีพับลิกันชนะจะหมายถึงตลาดร่วงลงอย่างรุนแรง แต่ก็จะดีดกลับขึ้นมามากเช่นกันภายหลัง” บิตเติลส์ กล่าว