ทรัมป์เมินรับผลแพ้ชนะ งัดแผนโกงเลือกตั้งยื้อเกม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 ตุลาคม 2559 เวลา 07:19 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/461256

ทรัมป์เมินรับผลแพ้ชนะ งัดแผนโกงเลือกตั้งยื้อเกม

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ รายงานว่า โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีจากพรรครีพับลิกันเริ่มต้นการดีเบต ครั้งสุดท้ายระหว่างตัวแทนพรรคกับ ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครจากเดโมแครตได้อย่างดี และเป็นการดีเบตที่ดีที่สุดในบรรดาการโต้วาทีทั้งหมด 3 ครั้ง อย่างไรก็ตาม ทรัมป์กลับพลาดในตอนจบด้วยการกล่าวหาการเลือกตั้งมีการล็อกผลเอาไว้ และไม่ระบุว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งหรือไม่

“ผมจะบอกกับคุณตอนนั้น ผมจะปล่อยให้คุณลุ้นไปก่อน” ทรัมป์ตอบคำถามของ คริส วอลเลซ ผู้ดำเนินรายการ ซึ่งถามว่าจะยอมรับผลการเลือกตั้งหรือไม่ หากพ่ายแพ้ลง

ก่อนหน้านี้ ทรัมป์ ระบุว่า การเลือกตั้งครั้งนี้มีการโกงเกิดขึ้น และผู้สนับสนุน ทรัมป์ทุกคนควรตรวจสอบที่คูหา เลือกตั้งนั้นดำเนินการไปอย่างยุติธรรมหรือไม่ สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มนักเคลื่อนไหวด้านสิทธิในการออกเสียงเลือกตั้งให้ออกมาแสดงความเห็นระบุว่า การกล่าวหาดังกล่าวขาดหลักฐานและเต็มไปด้วยการข่มขู่ ซึ่งจะทำให้ผู้คนไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า แม้การกล่าวหาของทรัมป์จะทำให้ผู้มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้งที่สนับสนุนพรรคเดโมเครตไม่ออกไปใช้สิทธิในวันที่ 8 พ.ย.นี้ แต่ฐานเสียงของทรัมป์ไม่เพียงพอที่จะชนะการเลือกตั้ง โดยจากการศึกษาพบว่า หากชายชาวอเมริกันผิวขาว ซึ่งเป็นฐานเสียงของรีพับลิกันออกไปใช้สิทธิเลือกตั้งมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ และชนกลุ่มน้อย ซึ่งเป็นฐานเสียงของเดโมเครตออกไปใช้สิทธิน้อยกว่าคาด ความน่าจะเป็นที่ฮิลลารีจะชนะการเลือกตั้งยังคงมากอยู่ที่ 82%

ผลสำรวจของสำนักข่าวซีเอ็นเอ็น/โออาร์ซี พบว่า ฮิลลารีมีชัยในการดีเบตครั้งนี้ด้วยคะแนนความนิยม 52% ต่อ 39% ขณะที่ตลาดตอบรับชัยชนะของ ฮิลลารี โดยค่าเงินเปโซเม็กซิกันแข็งค่าขึ้นแตะสูงสุดรอบ 6 สัปดาห์ ขณะที่ดัชนีนิกเกอิ 225 ของญี่ปุ่นพุ่งแตะเกือบจุดสูงสุดรอบ 6 เดือน เมื่อวันที่ 20 ต.ค. ที่ผ่านมา

ศึกโต้วาทีนัดสุดท้ายดุเดือด

การดีเบตเริ่มด้วยประเด็นการ แต่งตั้งผู้พิพากษาศาลฎีกาคนใหม่ แทน แอนโทนิน สกาเลีย ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ วันที่ 13 ก.พ. โดยด้าน ฮิลลารี ระบุว่า ต้องการให้ผู้พิพากษาคนใหม่เป็นผู้ที่สนับสนุนประชาชนทุกกลุ่ม ทั้งสตรี และผู้มีความหลากหลายทางเพศ และควรสนับสนุน มอร์ริก การ์แลนด์ ซึ่งประธานาธิบดี บารัก โอบามา เป็นผู้เสนอชื่อ

ขณะที่ ทรัมป์ ระบุว่า ต้องการ ผู้พิพากษาซึ่งตีความรัฐธรรมนูญอย่างที่บรรพบุรุษเคยตั้งเอาไว้ และสนับสนุนสิทธิการครอบครองอาวุธปืนของ ชาวอเมริกัน ซึ่งฮิลลารีระบุว่า แม้จะสนับสนุนสิทธิดังกล่าวแต่ก็ควรมีการควบคุมด้วย เช่น การตรวจสอบภูมิหลังของผู้ซื้อ

ในประเด็นด้านการอพยพเข้าเมือง ทรัมป์ยังคงย้ำจุดยืนการคุมเข้มชายแดนเพื่อป้องกันอาชญากรรมและกลุ่มลัทธิแนวคิดสุดโต่งเข้ามาในประเทศ ขณะที่ฮิลลารีชูประเด็นการปฏิรูปกระบวนการรับคนเข้าเมือง และทำให้ผู้ที่หลบเข้าเมืองผิดกฎหมายกลายเป็นแรงงานที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทรัมป์โจมตีว่าเป็นการละเมิดสิทธิผู้ที่ทำถูกต้องตาม กระบวนการตั้งแต่แรก

ในด้านการค้า ทรัมป์ ระบุว่า การค้าเสรีส่งผลให้สินค้าจากประเทศอื่น ไหลเข้ามาในสหรัฐจนทำให้มีผู้ต้อง สูญเสียงานและธุรกิจล้มไป จึงจำเป็นต้องมีการเจรจาการค้าเสรีเสียใหม่ โดยแผนการลดภาษีของทรัมป์จะทำให้ภาคธุรกิจนำเงินที่มากขึ้นไปจ้างงานประชาชนมากขึ้น

ขณะที่ ฮิลลารี ระบุว่า จะขึ้นภาษีผู้มีรายได้มากกว่า 2.5 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 8.7 ล้านบาท) เพื่อนำภาษี เหล่านั้นไปลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการศึกษาโดยไม่ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้น และยังคงย้ำจุดยืนต่อต้านหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจเอเชียแปซิฟิก (ทีพีพี) รวมถึงต่อต้านการทุ่มตลาดเหล็กจากจีนอีกด้วย

โกงเลือกตั้งระดับชาติทำได้ยาก

เอ็ดเวิร์ด บี. โฟเลย์ เปิดเผยในหนังสือ Ballot Battles : The History of Disputed Elections in the United States พบการโกงการเลือกตั้ง เช่น

-ปี 1792 แอนโธนี เวย์น ได้รับเลือกตั้งตำแหน่งสภาผู้แทนราษฎร รัฐจอร์เจีย เขต 1 ก่อนตรวจสอบพบการโกงการเลือกตั้ง จนต้องจัดการเลือกตั้งใหม่

– ปี 1960 พบ จอห์น เอฟ. เคนเนดี อาจโกงการเลือกตั้งในอิลลินอยส์และเทกซัสจนได้รับชัยชนะ แต่ ริชาร์ด นิกสัน คู่แข่งรู้ดีว่ายากจะชนะรัฐดังกล่าว จึงไม่มีการนับคะแนนใหม่

– ปี 1948 ผลคะแนนของ ลินดอน จอห์นสัน ผู้สมัครชิงตำแหน่งวุฒิสภา รัฐเทกซัส ชนะการเลือกตั้งขั้นต้นไปเพียง 87 คะแนน หลังมีการเพิ่มคะแนนเสียงอย่างปริศนาไป 200 คะแนน

ทว่า โฟเลย์ ระบุว่า การโกงการเลือกตั้งระดับประเทศเกิดขึ้นได้ยาก เนื่องจากสหรัฐปกครองในรูปแบบกระจายอำนาจ และการจัดการเลือกตั้งขึ้นอยู่กับแต่ละรัฐ ดังนั้นยิ่งการเลือกตั้งระดับชาติมากเท่าไร ผู้มีอำนาจก็ยากที่จะควบคุมผลการเลือกตั้งที่มาจากแต่ละท้องถิ่นยากมากขึ้นเท่านั้น

ในการเลือกตั้งระดับประธานาธิบดียังไม่มีการโกงเกิดขึ้น แต่เคยมีปัญหาบางประการเกิดขึ้นมาแล้ว เช่น ในปี 2000 อดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิลยู. บุช และอัล กอร์ คู่แข่งมีคะแนนสูสีกันมาก โดยรัฐฟลอริดากลายเป็นรัฐที่จะชี้ชะตาผู้ชนะ ทว่าคะแนนหลังนับมีความใกล้เคียงมากจนฟลอริดาตัดสินใจนับใหม่ แต่ศาลสูงสุดสหรัฐสั่งระงับการนับใหม่ดังกล่าวทันที

นอกจากนี้ กอร์ยังมีคะแนน เสียงประชาชนมากกว่าบุช ซึ่งมีคะแนนเสียงคณะเลือกตั้งมากกว่า อย่างไรก็ตามบุชได้ตำแหน่งประธานาธิบดีไป

 

ลอว์สันดึงวัยรุ่นเวียดนาม รับมือญี่ปุ่นขาดแรงงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 กันยายน 2559 เวลา 09:04 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/456369

ลอว์สันดึงวัยรุ่นเวียดนาม รับมือญี่ปุ่นขาดแรงงาน

โดย…อักษราภัค ลาภานันต์

การทำงานพาร์ตไทม์ที่ร้านสะดวกซื้อ ถือได้ว่าเป็นวัฒนธรรม อย่างหนึ่งที่วัยรุ่นและนักศึกษามหาวิทยาลัยในญี่ปุ่นส่วนใหญ่ต้องเคยมีประสบการณ์ เป็นที่มาให้ ลอว์สัน กลุ่มธุรกิจร้านค้าปลีกจัดตั้งศูนย์การฝึกอบรมพนักงาน เพื่อรับสมัครวัยรุ่นเหล่านี้เข้ามาเรียนรู้วิธีการบริการลูกค้า ก่อนที่จะกระจายตัวไปทำงานในสาขาต่างๆ ทั่วประเทศ

อย่างไรก็ดี ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ ลอว์สันได้ขยายไปสู่โครงการรับสมัครวัยรุ่นชาวเวียดนาม มีการตั้งศูนย์ฝึกอบรมที่กรุงฮานอยและโฮจิมินห์ ไม่ใช่เพียงแค่ในกรุงโตเกียวเท่านั้นอีกต่อไป เพื่อดึงดูดพนักงานใหม่จากกลุ่มผู้ที่กำลังจะเข้ามาเรียนต่อในญี่ปุ่น เพื่อรับมือกับการเข้าสู่ภาวะขาดแคลนแรงงานอย่างหนักในประเทศ

ลอว์สันตั้งเป้าหมายฝึกอบรมนักศึกษาชาวเวียดนาม 100 ราย ในช่วงปีแรกของโครงการ และจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นในอนาคต โดยเป็นโครงการสำหรับนักศึกษาที่จะมาเรียนต่อในญี่ปุ่นเท่านั้น และบริษัทจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องการศึกษา ค่าใช้จ่ายอื่น รวมทั้งวีซ่าของว่าที่นักศึกษาเหล่านี้

“เป้าหมายของบริษัทคือช่วยให้ผู้ที่กำลังจะเข้ามาศึกษาต่อสามารถหางาน พาร์ตไทม์ที่ร้านลอว์สันได้ง่ายขึ้นระหว่างที่อยู่ในญี่ปุ่น โดยผู้ที่จะรับเข้ามาทำงานนั้นจะต้องมีพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นอยู่บ้าง” ประกาศของลอว์สัน ระบุ

นอกจากนี้ ลอว์สัน เสริมว่า โครงการดังกล่าวเป็นหนึ่งในวิธีการรับมือกับภาวะขาดแคลนแรงงานที่มีแนวโน้มจะรุนแรงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประชากรวัยทำงานของญี่ปุ่นปรับตัวลดลงราว 1 ล้านคน ในแต่ละปี ส่วนอัตราการว่างงานก็ลดลงอยู่ที่เพียง 3%

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุมาแล้วตั้งแต่ปี 2010 เป็นผลให้ตลาดแรงงานในปัจจุบันตึงตัวอย่างรุนแรง จากปริมาณแรงงานที่ลดลง ขณะที่มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ก็ยิ่งทำให้ความต้องการแรงงานขยายตัวขึ้น

โครงการดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า นโยบายเศรษฐกิจของอาเบะ หรือที่เรียกว่า อาเบะโนมิกส์ ส่งผลให้เกิดการขยายตัวอย่างรวดเร็วของผู้อพยพเข้ามาอยู่ในญี่ปุ่นระยะสั้น ภายใต้วีซ่าสำหรับแรงงานจากประเทศที่ยากจนกว่า

ไฟแนนเชียลไทมส์ เปิดเผยว่า ตั้งแต่ที่อาเบะเข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศเมื่อปลายปี 2012 มีจำนวนชาวต่างชาติที่เข้ามาอาศัยในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 10% หรือเพิ่มขึ้นมา 2.2 ล้านคน โดยในจำนวนนี้มีจำนวนผู้เข้ามาฝึกงานทางเทคนิค ซึ่งเพิ่มขึ้น 27% และเมื่อพิจารณาเพียงจำนวนนักศึกษาต่างชาติที่เข้ามา พบว่าเพิ่มขึ้น 36% ในช่วงเวลาดังกล่าว โดยแรงงานต่างชาติได้เข้ามาทำงาน 10-15% ของจำนวนงานใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นภายใต้อาเบะโนมิกส์

ทั้งนี้ ญี่ปุ่นได้ออกวีซ่าสำหรับผู้ที่จะเข้ามาฝึกงานทางเทคนิค ซึ่งอนุญาตให้แรงงานจากประเทศกำลังพัฒนาสามารถเข้ามาฝึกงานในบริษัทเทคโนโลยีระดับสูงได้สูงสุดถึง 3 ปี กลายเป็นหนึ่งในผู้อพยพประเภทหลักที่ญี่ปุ่นรับเข้ามา โดยมีจำนวนเพิ่มขึ้นเป็น 1.92 แสนราย จาก 4.11 หมื่นราย ตั้งแต่ที่เริ่มยุคอาเบะโนมิกส์

กระนั้นทางการญี่ปุ่นก็ยังมีนโยบายควบคุมผู้อพยพถาวรอย่างเข้มงวด ซึ่งอาจจะถือว่าเป็นอีกหนึ่งมาตรการที่บรรดาบริษัทญี่ปุ่นใช้เพื่อควบคุมไม่ให้ค่าแรงเพิ่มขึ้นมากเกินไป

มิตซูฮิโระ ฟูกาโอะ ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเคโอ ระบุว่า มีการเข้ามาของแรงงานที่เน้นราคาถูก โดยอำพรางเข้ามาภายใต้วีซ่าสำหรับ ผู้ฝึกงานทางเทคนิค โดยเกือบครึ่งของ ผู้ที่เข้ามาด้วยวีซ่าดังกล่าวมาจากจีน แต่ในขณะนี้จำนวนแรงงานจากเวียดนามก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก โดยเพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่า จากเมื่อปี 2012 ยิ่งสะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเกี่ยวโยงกับประเทศที่กำลังมีเศรษฐกิจขยายตัวอย่างรวดเร็ว

อย่างไรก็ตาม แม้ผู้อพยพระยะสั้นเหล่านี้จะช่วยลดแรงกดดันจากตลาดแรงงาน แต่บรรดาภาคธุรกิจก็ยัง ไม่พอใจกับระดับแรงงานผู้อพยพระยะยาว ซึ่งยังมีจำนวนน้อย โดยหวังว่าจะเข้ามาช่วยลดผลกระทบทางเศรษฐกิจจากจำนวนประชากรที่ลดลงเรื่อยๆ

ประเด็นดังกล่าวยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในทางการเมือง แม้อาเบะจะมีท่าทีผ่อนคลายมาตรการรับแรงงานมีฝีมือเข้ามาเป็นผู้อพยพถาวรหรือระยะยาวบ้าง แต่ก็มีผู้เข้ามาด้วยวีซ่าดังกล่าวก็ยังมีจำนวนน้อย

ด้าน ฟูกาโอะ เสริมว่า สถานการณ์ขาดแคลนอย่างหนักขนาดนี้ โดยเฉพาะในภาคพยาบาลหรือการดูแลผู้ป่วยก็อาจเกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคต โดยมองว่าแรงต้านผู้อพยพกำลังค่อยๆ ลดลง

ล่าสุด มาซาฮิโกะ ชิบายามะ สมาชิกพรรคเสรีประชาธิปไตยของญี่ปุ่น เปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า รัฐบาลกำลังวางแผนรับแรงงานต่างชาติเพิ่มเป็น 2 เท่า สอดคล้องกับที่ ยาสุโตชิ นิชิมูระ ที่ปรึกษาของ อาเบะ และอดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเศรษฐกิจ ระบุว่า รัฐบาลเตรียมผ่านร่างกฎหมายขยายระยะเวลาให้แรงงานต่างชาติสามารถทำงานในประเทศได้ถึง 5 ปี จากในปัจจุบันที่ 3 ปี พร้อมทั้งพิจารณาเพิ่มประเภทวีซ่าใหม่ สำหรับแรงงานที่เข้ามาทำงานในญี่ปุ่นโดยเฉพาะ โดยกำลังหารือเพื่อเพิ่มจำนวนแรงงานในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีจากอินเดียและเวียดนาม

 

เฟดเสียงแตกทิศทางดอกเบี้ย เอเชียรับมือเงินแข็งค่าถึงสิ้นปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 กันยายน 2559 เวลา 07:08 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/456196

เฟดเสียงแตกทิศทางดอกเบี้ย เอเชียรับมือเงินแข็งค่าถึงสิ้นปี

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

คณะกรรมการนโยบายการเงินธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.25-0.50% ระหว่างการประชุมเมื่อวันที่ 20-21 ก.ย.ที่ผ่านมา ตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ พร้อมส่งสัญญาณลดการขึ้นดอกเบี้ยจาก 2 ครั้ง เหลือ 1 ครั้ง ในปี 2016  และลดสัญญาณการขึ้นดอกเบี้ยในปีหน้าจาก 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้งเช่นเดียวกัน

ทว่าเอฟโอเอ็มซีกลับเสียงแตกมากที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2014 ในการวางทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะยาว เนื่องจากมีกรรมการถึง 3 คน จากทั้งหมด 17 คน เสนอให้เลื่อนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ออกไปก่อน

ในการเปิดเผยทิศทางอัตราดอกเบี้ยระยะยาว (ด็อต พล็อต) หรือการคาดการณ์ดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ณ สิ้นปี โดยกรรมการ 17 คน ซึ่งจะมีการรายงานออกมา 4 ครั้ง/ปีนั้น กรรมการเสียงส่วนใหญ่ 10 คน เห็นชอบอัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2016 ที่ 0.5-0.75% หรือเท่ากับจะมีการขึ้นดอกเบี้ย 0.25% เพียง 1 ครั้งในปีนี้ ต่างจากด็อต พล็อตครั้งก่อนหน้าในเดือน มิ.ย. ซึ่งเสียงส่วนใหญ่ในขณะนั้นยังสนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 0.5% ขณะที่สำนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างระบุว่าน่าจะเป็นในเดือน ธ.ค. เนื่องจากการประชุมในเดือน พ.ย. ยังคาบเกี่ยวกับช่วงการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ

อย่างไรก็ตาม เป็นที่น่าสังเกตว่ามีกรรมการถึง 3 คน ที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ คือ เอสเธอร์ จอร์จ ประธานเฟดสาขาแคนซัส ซิตี้ ลอเร็ตตา เมสเตอร์ ประธานเฟดสาขาคลีฟแลนด์ และเอริค โรเซนเกรน ประธานเฟดสาขาบอสตัน แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐจะปรับตัวดีขึ้นก็ตาม

“จากการที่มีกรรมการถึง 3 คน เห็นต่างค้านการขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ ตลาดจึงปรับความเป็นไปได้ในการขึ้นดอกเบี้ยเดือน ธ.ค.ไปอยู่ที่เพียง 63% จากคาดการณ์เดิมที่ 58%” นักวิเคราะห์จาก
ดีบีเอส กล่าว

เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการเฟด กล่าวว่า ผลการประชุมรอบล่าสุดนี้ไม่ได้เป็นเครื่องบ่งชี้ว่าเฟดขาดความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจสหรัฐ เพียงแต่เศรษฐกิจสหรัฐยังสามารถขยายตัวได้มากกว่านี้ พร้อมย้ำว่าทิศทางการขยายตัวที่ดีและตลาดแรงงานที่ปรับตัวดีขึ้น จะทำให้เฟดต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยตามมาเพื่อกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อ และควบคุมให้เศรษฐกิจเติบโตอย่างร้อนแรงเกินไป

“คณะกรรมการเห็นว่าแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเฟดฟันส์เรตมีความเป็นไปได้มากขึ้น ทว่ายังต้องการรอดูข้อมูลที่ชัดเจนมากขึ้นอีกระยะหนึ่งก่อน ถึงการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องว่าจะนำไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้หรือไม่” แถลงการณ์ของเฟด ระบุ

ทั้งนี้ ในรายงานด็อต พล็อต อัตราดอกเบี้ย ณ สิ้นปี 2017-2019 กรรมการเสียงส่วนใหญ่ยังเห็นชอบให้ขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 2 ครั้ง ในปี 2017 ไปอยู่ที่ 1-1.5% และขึ้นอัตราดอกเบี้ยปี 2018 ไปอยู่ที่ 1.5-2%

ดอลลาร์ร่วงแรง หุ้นเอเชียขยับต่อ

ขณะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ปรับตัวอ่อนค่าลงจนแตะระดับต่ำสุดในรอบ 4 สัปดาห์ หรือต่ำสุดตั้งแต่วันที่ 26 ส.ค. หรือ 100.10 เยน/เหรียญสหรัฐ ก่อนจะขยับขึ้นมาปิดที่ 100.25 เยน/เหรียญสหรัฐ

เฮง คุน โฮว์ นักยุทธศาสตร์การลงทุนอัตราแลกเปลี่ยนของธนาคารเครดิตสวิส กล่าวว่า นโยบายของบีโอเจ ที่เพิ่งประกาศออกมาก่อนหน้าเฟด อาจจะไม่สามารถช่วยป้องกันค่าเงินเยนไม่ให้แข็งค่าขึ้นอีกได้ เนื่องจากตลาดไม่เชื่อว่านโยบายดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นอัตราเงินเฟ้อ 2% ตามที่ตั้งเป้าหมายเอาไว้ได้ และญี่ปุ่นยังเผชิญภาวะดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลอีกด้วย

ขณะที่ แจสลีน เหยียว นักยุทธศาสตร์ตลาดทุนโลกของเจพีมอร์แกน แอสเซท แมนเนจเมนต์ กล่าวว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐมีแนวโน้มจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องไปจนถึงปลายปีนี้ และอาจอ่อนค่าลงไปยิ่งกว่าระดับ 99.55 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเดือน ส.ค.ที่ผ่านมา

ทั้งนี้ ดัชนีค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงมาแตะระดับ 95.373 เมื่อเทียบกับตะกร้าสกุลเงินหลัก 6 สกุล ขณะที่ค่าเงินยูโรแข็งค่าขึ้น 0.2% อยู่ที่ 1.1202 เหรียญสหรัฐ/ยูโร

ตลาดหุ้นฝั่งเอเชียเมื่อวันที่ 22 ก.ย. ปรับตัวขึ้นถ้วนหน้าต่อเนื่องจากการประกาศผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ในวันก่อนหน้า โดยดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดฮ่องกง ปิดบวก 0.38% อยู่ที่ 23.759.80 จุด ดัชนีเซี่ยงไฮ้ คอมโพสิต ปิดบวก 0.56% อยู่ที่ 3,042.69 จุด และดัชนีคอมโพสิต เกาหลีใต้ ปิดบวก 0.67% อยู่ที่ 2,049.70 จุด ขณะที่ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดตลาดเนื่องในวันหยุดราชการ

ด้านราคาทองคำงวดส่งมอบทันทีปรับตัวลง 0.3% อยู่ที่ 1,332.70 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ตามเวลาในไทย เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหลังราคาทองปรับขึ้นรับผลการประชุมของเฟดก่อนหน้านี้ ขณะที่สัญญาณทองคำล่วงหน้าในสหรัฐปรับขึ้น 0.4% อยู่ที่ 1,337.30 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์

ภาพเอเอฟพี

 

ฮิลลารี-ทรัมป์เปิดศึก ชูความมั่นคงต้านก่อการร้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 กันยายน 2559 เวลา 08:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/455711

ฮิลลารี-ทรัมป์เปิดศึก ชูความมั่นคงต้านก่อการร้าย

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

เหตุก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในสหรัฐอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่ถึงสัปดาห์ที่ผ่านมา กลายเป็นการเปิดเวทีให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ ทั้ง ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต และ โดนัลด์ ทรัมป์ จากพรรครีพับลิกัน ยกเรื่องความมั่นคงและนโยบายต่างประเทศมาเรียกคะแนนเสียงอีกครั้ง หลังช่วงสัปดาห์ก่อนหน้าทั้งสื่อและฝ่ายการเมืองต่างปลุกปั่นประเด็นเรื่อง ส่วนตัว อย่างอาการป่วยหรือเรื่องความ น่าเชื่อถือ

แทบจะทันทีหลังเกิดเหตุระเบิดที่นิวยอร์ก ทรัมป์ออกมาเรียกร้องให้มีมาตรการด้านความมั่นคงที่เข้มงวดขึ้นและเฝ้าระวังผู้คนที่มาจากประเทศมุสลิม รวมถึงได้เชื่อมโยงการควบคุมผู้อพยพเป็นความมั่นคงของสหรัฐโดยตรง

ต่อมาอีกไม่กี่วัน ผู้สมัครฝีปากกล้าจากรีพับลิกัน กล่าวโจมตีการบริหาร ของฮิลลารี และประธานาธิบดี บารัก โอบามา ในเรื่องสงครามอิรักและการรับผู้อพยพเข้ามาเป็นอันตรายในสหรัฐ ซึ่งก็อาจจะเติมเชื้อความหวาดกลัวในหมู่ชาวอเมริกันในขณะนี้ได้

ส่วนฮิลลารี ก็จับความหวาดกลัวของประชาชนขึ้นมาในอีกทางหนึ่ง โดยโจมตีว่า ทรัมป์กระตุ้นให้คนมุสลิม ต่อต้านและต้องการก่อสงครามกับชาติตะวันตก ซึ่งทำให้กลุ่มก่อการร้ายสามารถระดมคนเข้าร่วมได้มากขึ้น

เหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเวลาก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอีก 7 สัปดาห์หลังจากนี้ อาจจะส่งแรงกระเพื่อมประเด็นเรื่องของความมั่นคงและความปลอดภัยมากกว่าในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา โดยหลายฝ่ายคาดว่าจะเป็นประเด็นหลักในเวทีอภิปรายระหว่างผู้สมัครทั้งสองอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่ลองไอซ์แลนด์ ในวันที่ 26 ก.ย.นี้

ทุกฝ่ายจะหันมาสนใจต่อนโยบายและวิธีรับมือแผนก่อการร้ายที่เกิดขึ้น ในแผ่นดินสหรัฐ ซึ่งอาจกลายเป็นส่วน เรียกคะแนนผู้ที่ยังลังเลหรือดึงฐานเสียง จากอีกฝ่ายได้ อีกทั้งจะสร้างมุมมองของ ผู้ลงคะแนนต่อพรรคต้นสังกัด

นิวยอร์กไทมส์ ระบุว่า ฮิลลารีมีแนวโน้มได้ประโยชน์จากกระแสดังกล่าวมากกว่าผู้สมัครพรรคเดโมแครตที่ผ่านมา เนื่องจากผลสำรวจความเห็นชี้ว่า ชาวอเมริกันเชื่อมั่นในฮิลลารีต่อประเด็นดังกล่าวสูงกว่าทรัมป์มาก ทำให้ฮิลลารียินดียกเรื่องนี้ขึ้นมา ดึงโมเมนตัมที่เสียไปกับข่าวปัญหาสุขภาพก่อนหน้า

นอกจากนี้ จากประสบการณ์ของ ฮิลลารี ก็สะท้อนนโยบายการทหารได้เป็นรูปธรรมมากกว่า โดยเคยเรียกร้องเขตห้ามบินในซีเรีย เพิ่มกำลังทหาร และเรียกร้องบริษัทเทคโนโลยีร่วมมือต่อต้านการก่อการร้าย ซึ่งยิ่งได้เปรียบกว่าทรัมป์ ที่ประชาชนยังคลางแคลงใจถึงความสามารถเป็นผู้นำกองทัพ ทั้งนี้ ทรัมป์เคยแสดงตัวต่อต้านองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้)

จากเหตุผลข้างต้นตอกย้ำว่า ไม่ว่าผู้ลงคะแนนจะไม่ยอมรับฮิลลารีในเรื่องความโปร่งใสมากเพียงใด แต่ก็มีความสามารถเป็นผู้จัดการนโยบายต่างประเทศและภัยคุกคามได้ดีกว่าทรัมป์

อีวาน แมคมูลิน อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรอง ระบุว่า ชาวอเมริกันจะพิจารณาคุณสมบัติ ประสบการณ์ ซึ่งทั้งสองยังไม่ได้มีคุณสมบัติที่เหมาะสมทั้งหมด แต่ทรัมป์ไม่มีคุณสมบัติข้อใดเลย

ตั้งข้อหาตัวการวางระเบิด

เจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งข้อหา 5 ข้อ ซึ่งรวมถึงพยายามฆ่าและครอบครองอาวุธผิดกฎหมาย กับอาเม็ด ข่าน ราฮามี อายุ 28 ปี พลเมืองสหรัฐเชื้อสายอัฟกานิสถาน หลังปะทะกันที่นิวเจอร์ซีย์ระหว่างปฏิบัติการจับกุม ทำให้มีตำรวจบาดเจ็บ 1 ราย เมื่อคืนวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา และกำลังอยู่ระหว่างการสอบสวนถึงแรงจูงใจและผู้ที่อาจจะมีส่วนช่วยก่อเหตุ

ซีเอ็นเอ็นรายงานอ้างแหล่งข่าว ระบุว่า ราฮามีเกี่ยวข้องโดยตรงกับ เหตุระเบิดที่นิวยอร์กและสวนซีไซด์ ในนิวเจอร์ซีย์ รวมทั้งเจ้าหน้าที่เชื่อว่า มีส่วนเกี่ยวข้องกับระเบิด 5 ชิ้นที่พบที่สถานีรถไฟเอลิซาเบธ นอกจากนี้ผู้ต้องสงสัยยังอยู่ในรายชื่อเฝ้าระวังของสหรัฐอยู่แล้ว ด้านผู้เชี่ยวชาญวัตถุระเบิดเชื่อว่า ราฮามีได้รับการฝึกติดตั้งอาวุธแสวงเครื่องที่สลับซับซ้อน

นิวยอร์กไทมส์ เปิดเผยอ้างคนรู้จักกับราฮามี ระบุว่า ผู้ต้องสงสัยมีพฤติกรรมแปลกไปและอุทิศตัวต่อศาสนาอย่างมาก หลังเดินทางกลับจากอัฟกานิสถาน ด้านแหล่งข่าวจากทางการระบุว่า ราฮามีเคยเดินทางไปบริเวณศูนย์กลางของกลุ่ม ตาลีบันในปากีสถานเป็นเวลานาน 3 เดือน ในปี 2011 และอีกหลายครั้ง ก่อนจะกลับมาอยู่สหรัฐในปี 2014

นอกจากนี้ ราฮามีและครอบครัวยังมีความขัดแย้งกับเพื่อนบ้านและเจ้าหน้าที่ตำรวจในเอลิซาเบธหลายครั้ง โดยเมื่อปี 2011 ครอบครัวของราฮามีได้ยื่นฟ้องสำนักงานตำรวจในพื้นที่ว่าถูกข่มขู่จากเรื่องศาสนา

ภาพ เอเอฟพี

 

‘แชโบล’อ่วมหนัก ปูทางรัฐเข้ายกเครื่อง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 กันยายน 2559 เวลา 09:16 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/452301

‘แชโบล’อ่วมหนัก ปูทางรัฐเข้ายกเครื่อง

โดย…นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

การล้มของฮันจิน ชิปปิ้ง บริษัทขนส่งรายใหญ่ที่สุดของเกาหลีใต้ และเป็นอันดับ 7 ของโลก นอกจากจะสร้างความสั่นสะเทือนให้กับภาคอุตสาหกรรมขนส่งแล้ว ยังเป็นการทำลายแนวคิดว่า “บริษัทใหญ่ไม่มีวันล้มได้” ของเกาหลีใต้ โดย ฮันจิน ชิปปิ้ง มีจำนวนเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ราว 98 ลำ และดำเนินการขนส่งสินค้าตามเส้นทางการค้าทั่วโลก 70 เส้นทาง

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ฮันจิน ชิปปิ้ง ได้ยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์จากศาลล้มละลาย หลังธนาคารของรัฐ โคเรีย ดีเวลลอปเมนต์ แบงก์ (เคดีบี) ผู้ให้สินเชื่อหลักของฮันจิน ปฏิเสธการอนุมัติเงินกู้ เนื่องจากแผนการปรับโครงสร้างยังไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะชดเชยการขาดทุนได้ โดยเคดีบี ระบุว่า ไม่มีทางเป็นไปได้ที่บริษัทจะหาเงินสด 1.3 ล้านล้านวอน (ราว 4 หมื่นล้านบาท) จนถึงปีหน้าเพื่อชำระหนี้สินสะสม ค่าต้นทุนการดำเนินงาน และค่าเช่าเรือที่มีเจ้าของเป็นคนต่างชาติได้ และฮันจินต้องมีสภาพคล่องระยะสั้นอย่างน้อย 1 ล้านล้านวอน (ราว 3.09 หมื่นล้านบาท)

แผนปรับโครงสร้างล่าสุดของฮันจิน มีมูลค่าสูงสุดแค่เพียง 5 แสนล้านวอน (ราว 1.5 หมื่นล้านบาท) ผ่านการขายสินทรัพย์และรับเงินจากโคเรียนแอร์ ขณะที่เคดีบี มองว่า ฮันจินต้องระดมทุนอย่างน้อย 7 แสนล้านวอน (ราว 2.1 หมื่นล้านบาท)

“แผนการของฮันจินยังไม่สามารถระดมทุนได้มากพอ และยังไม่สามารถช่วยให้บริษัทกลับสู่สภาวะที่เหมาะสมได้” อีดองจอล ประธานเคดีบี กล่าว

เมื่อสิ้นปี 2015 บริษัทมีหนี้สินอยู่ที่ 6.6 ล้านล้านวอน (ราว 2 แสนล้านบาท) และมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นเกือบ 850%

ก่อนหน้านี้ ฮันจิน ชิปปิ้ง ยื่นแผนปฏิรูปโครงสร้างบริษัทเพื่อขอผ่อนผันชำระหนี้และขอเงินช่วยเหลือจากเคดีบีมาแล้ว 1 ครั้งเมื่อปลายเดือน เม.ย. ที่ประกอบด้วย การเสนอขายสำนักงานในเมืองปูซานและกรุงลอนดอน เรือขนส่งสินค้าขนาดใหญ่ของบริษัท และเครื่องหมายการค้าต่างๆ เพื่อระดมเงิน 4.11 แสนล้านวอน (ราว 1.2 หมื่นล้านบาท) แต่เคดีบีปฏิเสธแผนดังกล่าว โดยระบุว่าแผนการยังไม่ดีพอ

เปิดทางรัฐปรับโครงสร้าง ‘แชโบล’

ฮันจิน ชิปปิ้ง เป็นบริษัทย่อยแห่งหนึ่งของฮันจิน กรุ๊ป หนึ่งในกลุ่มธุรกิจครอบครัวขนาดยักษ์ หรือแชโบล ของเกาหลีใต้

ทั้งนี้ รัฐบาลเกาหลีใต้ให้ความสำคัญกับบริษัท แชโบล มาโดยตลอด เพราะเป็นกลไกสำคัญขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยสำนักข่าวฮัฟฟิงตันโพสต์ ระบุว่า กิจกรรมทางเศรษฐกิจของเกาหลีใต้ราว 70% ดำเนินการโดยกลุ่ม แชโบล

แม้แชโบลมีบทบาทสำคัญมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ แต่ประชาชนส่วนใหญ่กลับไม่พอใจกลุ่มบริษัทดังกล่าว เนื่องจากมองว่าเป็นการผูกขาด ส่งผลให้บรรดาผู้ประกอบธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) แทบไม่สามารถแข่งขันด้วยได้ โดยความไม่พอใจดังกล่าวยิ่งเพิ่มสูงขึ้นจากข่าวการทุจริตของบรรดาผู้บริหารแชโบลหลายแห่ง

ความล้มเหลวในการบริหารงานของฮันจิน ชิปปิ้ง จนบริษัทมีหนี้สินมหาศาล อาจทำให้รัฐบาลเกาหลีใต้ฉุกคิดว่าถึงเวลาที่ต้องเริ่มเข้ามาจัดการกับกลุ่ม แชโบล โดยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศว่าจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อป้องกันผลกระทบจากการล้มของฮันจิน ชิปปิ้ง ทั้งต่อตลาดเงินและการส่งออกสินค้าของประเทศ

“เราระบุอย่างชัดเจนเมื่อเดือน มิ.ย. ว่า ธนาคารของรัฐจะไม่ให้การสนับสนุนทางการเงินกับบริษัทต่างๆ ที่ต้องการปรับโครงสร้าง หากบริษัทดังกล่าวไม่สามารถแก้ไขปัญหาการขาดสภาพคล่องของธุรกิจได้” ยูอิลโฮ รัฐมนตรีคลังของเกาหลีใต้ กล่าว

นอกจากนี้ การที่เคดีบี ซึ่งเป็นธนาคารรัฐ ปฏิเสธการอนุมัติเงินกู้บ่งชี้ว่า รัฐบาลต้องการจัดการปัญหาของฮันจินอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริหารของบริษัท ฮันจิน ชิปปิ้ง ได้ประชุมกันเกี่ยวกับการยื่นขอพิทักษ์ทรัพย์ แต่ โชยังโฮ ที่เป็นประธานฮันจิน กรุ๊ป กลับไม่เข้าร่วม โดยเดือน เม.ย. โชยังโฮมีข่าวโดนสอบสวนจากหน่วยงานกำกับดูแลทางการเงินของเกาหลีใต้ เพราะไม่สามารถอธิบายสาเหตุการขาดทุนอย่างหนักของฮันจิน ชิปปิ้ง

การไม่เข้าร่วมประชุมดังกล่าวของชอยังโฮ บ่งชี้ว่าบริษัทแม่มีแนวโน้มทิ้งฮันจิน ชิปปิ้ง และยิ่งทำให้ความพยายามผลักดันของรัฐบาลเกาหลีใต้เพื่อให้ฮุนได บริษัทขนส่งเบอร์ 2 ของประเทศ เข้ามาซื้อสินทรัพย์เพื่อควบรวมกิจการของฮันจิน ชิปปิ้ง มีความเป็นไปได้มากยิ่งขึ้น

ก่อนหน้านี้ ฮุนได เมอร์แชนท์ มารีน เคยประสบปัญหาไม่สามารถชำระหนี้ได้เช่นกัน และขอการผ่อนผันภาระหนี้สินจากเคดีบี แต่ ฮุนจองอึน ประธานบริษัท ฮุนได กรุ๊ป ได้ใช้เงินส่วนตัว 3 หมื่นล้านวอน (ราว 928 ล้านบาท) อัดฉีดสภาพคล่องของบริษัท ส่งผลให้เคดีบียอมผ่อนผันหนี้ให้ทางบริษัท

ในปัจจุบัน เคดีบีเป็นเจ้าของบริษัท ฮุนได เมอร์แชนท์ มารีน ชั่วคราว และตั้งเป้าหมายเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของบริษัทในเวลาต่อไป

ด้วยเหตุนี้ นักวิเคราะห์จึงมองว่า หากชอยังโฮช่วยเหลือฮันจิน ชิปปิ้ง เช่นเดียวกับกรณีที่ฮุนไดยอมช่วยเหลือฮุนได เมอร์แชนท์ มารีน เคดีบีน่าจะยอมอนุมัติแผนปรับโครงสร้างบริษัทของฮันจิน ซึ่งจะช่วยพยุงธุรกิจของฮันจิน ชิปปิ้ง ในเวลาต่อไป

สำนักข่าวโคเรีย เฮอรัล คาดการณ์ว่า หากรัฐบาลผลักดันให้ฮุนไดเข้ามาซื้อสินทรัพย์ของฮันจิน ชิปปิ้งได้ ทางรัฐจะสามารถดำเนินการปฏิรูปโครงสร้างบริษัทได้อย่างเต็มรูปแบบ หลังจากที่เมื่อเดือน มิ.ย. รัฐบาลเกาหลีใต้ประกาศแผนยกเครื่องอุตสาหกรรมต่อเรือและขนส่งทางทะเล วงเงิน 11 ล้านล้านวอน (ราว 3.4 หมื่นล้านบาท)

 

ลุ้นเจรจาสันติภาพเมียนมา เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 กันยายน 2559 เวลา 06:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/451788

ลุ้นเจรจาสันติภาพเมียนมา เปิดหน้าประวัติศาสตร์ใหม่

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

เมื่อวันที่ 31 ส.ค.ที่ผ่านมา เป็นจุดเริ่มต้นสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในเมียนมาอีกครั้ง โดยตัวแทนจาก 17 ชนกลุ่มน้อย เข้าร่วมการเจรจาสันติภาพ หรือการเจรจาปางโหลงศตวรรษที่ 21 ร่วมกับรัฐบาลและตัวแทนกองทัพ ที่กรุงเนย์ปิดอว์ เพื่อหวังปูทางไปสู่การยุติความขัดแย้งที่ดำเนินมาตั้งแต่ประกาศเอกราชในปี 1947

การประชุมจะจัดขึ้นเป็นเวลา 5 วัน โดย อองซานซูจี รัฐมนตรีกระทรวงต่างประเทศและที่ปรึกษาแห่งรัฐ เป็นประธานเปิดงาน ท่ามกลางสายตาชาวโลกที่จับตาดูอนาคตของประเทศภายใต้รัฐบาลพลเรือนครั้งแรก โดยเฉพาะจีน สหรัฐ และประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งถือเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียรายใหญ่

ซูจี กล่าวเปิดการประชุมว่า ความเป็นเอกภาพถือเป็นสิ่งสำคัญที่สุดต่ออนาคตของเมียนมา และหากไม่มีความปรองดองก็ไม่สามารถเดินหน้าได้อย่างประเทศเพื่อนบ้านและทั่วโลก

ทั้งนี้ ชนกลุ่มน้อยเกือบทุกกลุ่มได้รับเชิญให้เข้าร่วม ยกเว้น 3 กลุ่มซึ่งยังต่อสู้กับรัฐบาลที่ไม่ได้รับการเชิญ เพราะไม่มีท่าทีเห็นด้วยกับเงื่อนไข โดยชน
กลุ่มน้อยส่วนใหญ่ตอบรับคำเชิญ นอกจากนี้ ภาคประชาสังคมและตัวแทนจากนานาชาติ เช่น บันคีมุน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) ก็เข้า
ร่วมด้วย

ขณะที่นักวิเคราะห์มองว่า การประชุมดังกล่าวเป็นจุดเริ่มต้นก่อนการต่อรองข้อตกลงสันติภาพถาวรซึ่งอาจใช้เวลาหลายปี อย่างไรก็ดี รัฐบาลเมียนมาหวังว่าอย่างน้อยผลการเจรจานี้ น่าจะนำไปสู่การเจรจาข้อตกลงหยุดยิงเพื่อแลกกับการเพิ่มอำนาจปกครองตนเองให้รัฐบาลชนกลุ่มน้อย

ด้าน โจนาห์ ฟิชเชอร์ ผู้สื่อข่าวสายเมียนมาของบีบีซี ระบุว่า รัฐบาลให้คำมั่นที่ค่อนข้างกำกวมในเรื่องจะผลักดันให้เกิดสหพันธรัฐเมียนมาที่มีการกระจายอำนาจและทรัพยากรมากขึ้น เพื่อดึงกลุ่มชนกลุ่มน้อยติดอาวุธมาร่วม อย่างไรก็ดี กลุ่มทหารซึ่งครองที่นั่ง 25% ในรัฐสภา อาจคัดค้านการเคลื่อนไหวกระจายอำนาจใหชนกลุ่มน้อย ขณะที่ซูจีก็ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าต้องการให้มีการกระจายอำนาจในระดับไหน

ทั้งนี้ รัฐบาลทหารก่อนหน้าได้บรรลุข้อตกลงสงบศึกกับชนกลุ่มน้อยบางกลุ่ม แต่ยังไม่เคยร่วมหาข้อตกลงระดับชาติในลักษณะนี้มาก่อน

แหล่งผลประโยชน์นานาชาติ

นิวยอร์กไทมส์ เปิดเผยว่า จีนพยายามที่จะยุติการต่อสู้ที่ยืดเยื้อของชนกลุ่มน้อยตามชายแดนระหว่างเมียนมาและจีน แม้ก่อนหน้านี้จะเคยสนับสนุนกลุ่มเหล่านั้นก็ตาม เนื่องจากปัญหาความรุนแรงในเมียนมา ส่งผลให้การลักลอบค้าไม้และหยกผิดกฎหมายดำเนินต่อไป ยิ่งไปกว่านั้น ความขัดแย้งดังกล่าวยังขัดขวางการค้าถูกกฎหมายระหว่างชายแดนจีนทางใต้และเมียนมา

อีกทั้งจีนยังวางแผนสร้างทางรถไฟและถนนที่เชื่อมต่อตอนเหนือของเมียนมาไปยังอ่าวเบงกอล ซึ่งจะเป็นเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซ และกระตุ้นการค้ากับภูมิภาคตะวันออกกลางโดยไม่ต้องผ่านทะเลจีนใต้ แต่แผนการดังกล่าวเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อความขัดแย้งยุติลง

ขณะเดียวกันบรรดาธุรกิจสหรัฐล้วนต้องการเข้ามาลงทุนหลังกระทรวงการคลังสหรัฐยกเลิกการคว่ำบาตร แต่ยังกังวลปัญหาความขัดแย้ง ส่วนญี่ปุ่นก็มองเห็นเมียนมาเป็นปลายทางการลงทุนที่สำคัญในอนาคต และได้ให้เงินช่วยเหลือในการพัฒนาจำนวนมาก

ด้าน ถั่นมินท์อู นักประวัติศาสตร์เมียนมาจากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ระบุว่า ความสำเร็จในเมียนมาเป็นบททดสอบยูเอ็น ที่เข้ามาผลักดันการเปลี่ยนผ่านประชาธิปไตยและพยายามยุติความขัดแย้งในเมียนมา โดยความท้าทายของยูเอ็นหลังจากนี้คือ ต้องผลักดันให้เมียนมาเดินหน้าในด้านความเท่าเทียมของพลเมือง และปัญหาการเอารัดเอาเปรียบชนกลุ่มน้อย อันนำไปสู่ปัญหาผู้อพยพในประเทศเพื่อนบ้าน

 

ทุนก่อการร้ายไหลเข้า หวั่นไอเอสบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 สิงหาคม 2559 เวลา 08:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/448327

ทุนก่อการร้ายไหลเข้า หวั่นไอเอสบุกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

รายงานประเมินความเสี่ยงภูมิภาค ซึ่งเปิดเผยในการประชุมตัวแทนความมั่นคงจาก 23 ประเทศ ที่เกาะบาหลี อินโดนีเซีย เมื่อวันที่ 10 ส.ค.ที่ผ่านมา ระบุว่า มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนของกลุ่มก่อการร้ายจากต่างประเทศไหลเข้ามาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) เกือบ 1 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 34.81 ล้านบาท) ในช่วงปี 2014-2015

“จำนวนเงินทุนที่มาจากกลุ่มก่อการร้าย แม้จะไม่ได้เป็นปริมาณมาก แต่ก็ถือว่าเป็นความเสี่ยงสำคัญต่อความมั่นคงของภูมิภาค โดยอาเซียนเผชิญความเสี่ยงที่สุดจากการเคลื่อนย้ายเงินทุนข้ามชายแดนเข้ามาและกระจายไปทั่วภูมิภาคเพื่อสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรง” รายงานดังกล่าว ระบุ

นอกจากนี้ ภูมิศาสตร์ของอาเซียนที่มีชายแดนทางน้ำและทางบกใกล้ชิดกัน ยังทำให้กลุ่มแนวคิดสุดโต่งและเครือข่ายก่อการร้ายที่อยู่ในแต่ละส่วนสามารถส่งเงินข้ามชายแดนได้ง่าย ขณะที่หลายประเทศเผชิญปัญหาการลักลอบขนเงินที่เจ้าหน้าที่ยังจัดการไม่ได้อยู่แล้วเป็นทุนเดิม

ขณะเดียวกัน รายงานดังกล่าวยังเรียกร้องให้เจ้าหน้าที่แต่ละประเทศเพิ่มความร่วมมือด้านข่าวกรองมากยิ่งขึ้น รวมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งในกรอบภูมิภาค โดยเน้นให้
ความสำคัญไปที่การอุดช่องทางการเงินของกลุ่มก่อการร้าย โดยในขณะนี้ภาคสถาบันการเงินส่วนใหญ่ยังไม่สามารถแยกแยะธุรกรรมของกลุ่มก่อการร้ายออกจากธุรกรรมทั่วไปได้อย่างชัดเจน เนื่องจากกลุ่มก่อการร้ายโอนเงินครั้งละปริมาณไม่มาก

สก็อต สจ๊วต รองประธานฝ่ายวิเคราะห์กลยุทธ์ของสแตรทีจิก ฟอร์แคสติ้ง อิงค์ (สแตรทฟอร์) สำนักข่าวและบริษัทคลังสมองสัญชาติสหรัฐ ระบุว่า ตั้งแต่เหตุก่อการร้ายที่เกาะบาหลี เมื่อปี 2002 ซึ่งทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 200 ราย ถือเป็นจุดชนวนภัยก่อการร้ายครั้งสำคัญในภูมิภาคและพัฒนาไปสู่กลุ่มก่อการร้ายเล็กๆ เป็นเครือข่ายที่ก่อเหตุสร้างความเสียหายระดับเล็กกว่า และใช้อุปกรณ์ที่ผลิตได้เองและอาวุธที่หาได้ง่ายกว่าซึ่งน่ากังวลมาก

“คนเหล่านี้สามารถขยายการถ่ายทอดและฝึกสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในการก่อเหตุขนาดย่อมเหล่านี้มีค่าใช้จ่ายน้อย แต่การติดตามระงับช่องทางการเงินจะช่วยยับยั้งภัยเหล่านี้ได้ และหากยังปล่อยให้เงินทุนนี้ไหลเวียนอย่างเสรี จะยิ่งเป็นการเปิดช่องไปสู่การระดมและฝึกสมาชิก รวมทั้งจ่ายสินบนเจ้าหน้าที่และสรรหาวัตถุดิบผลิตอาวุธ ใช้สร้างที่หลบภัยและอื่นๆ” สจ๊วต กล่าว

ขณะที่หน่วยข่าวกรองอินโดนีเซีย ประเมินว่า มีแหล่งเงินทุนจากต่างชาติโอนเข้ามาเพื่อสนับสนุนทางการเงินให้กลุ่มก่อการร้ายในประเทศจำนวนมากกว่า 7.63 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 26.57 ล้านบาท) ในช่วงปี 2014-2015 โดยเมื่อเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อินโดนีเซียและออสเตรเลียได้ร่วมปฏิบัติการสืบสวนพบการทำธุรกรรมต้องสงสัยก่อการร้าย โอนเงินราว 3.84 แสนเหรียญสหรัฐ (ราว 13.3 ล้านบาท) จากออสเตรเลียมายังอินโดนีเซีย เพื่อสนับสนุนการสรรหาคนเข้าร่วมเครือข่าย

อากัส ซานโตโซ ประธานหน่วยข่าวกรองอินโดนีเซีย แสดงความกังวลกลุ่มไอเอสอาจขยายเข้ามาก่อเหตุในอาเซียน พร้อมทั้งระบุว่ามีหลายวิธีที่กลุ่มก่อการร้ายต่างชาติส่งเงินเข้ามาในอาเซียน เช่น ผ่านเข้ามากับกลุ่มแรงงานผู้อพยพจากมาเลเซีย สิงคโปร์ และประเทศตะวันออกกลาง หรือโอนเข้ามาโดยตรงจากประเทศอื่นๆ

ส่วน ไมเคิล คีแนน รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมของออสเตรเลีย กล่าวถึงความกังวลเกี่ยวกับการก่อการร้ายที่เกิดขึ้นทั่วโลกหลายครั้งในช่วงที่ผ่านมาว่า การก่อเหตุรุนแรงหลายครั้งมาจากบุคคลทั่วไปที่ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม และถูกทำให้กลายเป็นกลุ่มแนวคิดหัวรุนแรงอย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น

คีแนน เสริมว่า กลุ่มก่อการร้ายขนาดใหญ่อยู่ได้ด้วยเครือข่ายและการให้ความช่วยเหลือของอาชญากรและเจ้าหน้าที่ทางการเองที่ทุจริตทั้งที่อยู่ภายในและนอกประเทศที่ก่อเหตุ

ทั้งนี้ ในการประชุมดังกล่าวมีมติร่วมให้แต่ละประเทศเน้นการควบคุมชายแดนเพื่อยับยั้งการเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อการร้าย โดยเฉพาะการโยกย้ายสินค้า อาวุธ และเงินทุน

ขณะที่รัฐมนตรีมหาดไทยของสิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย ได้ประชุมนอกรอบและมีมติความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนข้อมูลเชิงชีวภาพ เช่น ลายนิ้วมือของผู้ต้องสงสัยก่อการร้าย รวมทั้งความร่วมมือในการปรับพฤติกรรมของผู้เข้าร่วมลัทธิสุดโต่ง โดยทั้งสามประเทศยกให้การต่อสู้การก่อการร้ายเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของฝ่ายความมั่นคง พร้อมทั้งเตรียมผลักดันความร่วมมือภูมิภาคอย่างเป็นระบบ

ล่าสุดเจ้าหน้าที่ทหารฟิลิปปินส์ ออกแถลงการณ์ระบุว่า ให้ความสำคัญอย่างสูงสุดกับการเฝ้าระวังภัยก่อการร้ายจากกลุ่มไอเอส โดยกังวลว่าจะเกิดเหตุโจมตีในระหว่างการประกวดมิสยูนิเวิร์สที่จะจัดขึ้นที่กรุงมะนิลาในปี 2017 หลังมีคลิปวิดีโอระบุเป็นภาษาอาหรับว่า ให้สร้างระเบิดถล่มมิสยูนิเวิร์ส โดยแม้ทางการจะยืนยันว่าไม่มีสมาชิกกลุ่มไอเอสอยู่ในประเทศ แต่มีความเสี่ยงจากกลุ่มก่อการร้ายท้องถิ่นอาบูเซย์ยาฟที่อ้างตนเกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอส

 

ญี่ปุ่นเบนเข็มลุยกระตุ้นคลัง ตลาดทุนกังขาให้ฟีดแบ็กลบ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 สิงหาคม 2559 เวลา 08:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/446350

ญี่ปุ่นเบนเข็มลุยกระตุ้นคลัง ตลาดทุนกังขาให้ฟีดแบ็กลบ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

คณะรัฐมนตรีญี่ปุ่นภายใต้นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ผ่านแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงินรวม 28 ล้านล้านเยน (ราว 9.58 ล้านล้านเยน) ออกมาตามความคาดหมายเมื่อ วันที่ 2 ส.ค. ซึ่งถือเป็นมาตรการกระตุ้นที่มีวงเงินรวมสูงสุดนับตั้งแต่มาตรการสู้วิกฤตเศรษฐกิจโลกที่ออกมาในเดือน เม.ย. 2009 วงเงิน 1.5 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.2 ล้านล้านบาท)

ภายใต้แผนการครั้งนี้ จะเป็นการผ่านงบประมาณรายจ่ายพิเศษ 4.6 ล้านล้านเยน (ราว 1.57 ล้านล้านบาท) ในปีงบประมาณปัจจุบัน และ ส่วนที่เหลือจะทยอยออกในปีงบประมาณ 2017 ซึ่งผู้นำญี่ปุ่นคาดว่าจะสามารถผลักดันการขยายตัวของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ในปีหน้าได้ราว 1.4%

มาตรการดังกล่าวจะกระจายตั้งแต่การ ช่วยเหลือระยะสั้น เช่น การให้เงินผู้มีรายได้ต่ำ  22 ล้านคน คนละ 1.5 หมื่นเยน (ราว 5,131 บาท) รวม 3.3 แสนล้านเยน (ราว 1.13 แสนล้านบาท) ไปจนถึงโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และการรองรับสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งนับเป็นการเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่อง หลังจากรัฐบาลประกาศเลื่อนแผนการขึ้นภาษีขาย 10% ออกไปอีก 2 ปีครึ่ง จากกำหนดเดิมที่จะเริ่มในปีงบประมาณ 2017

อย่างไรก็ตาม บรรดานักวิเคราะห์และตลาดทุนในญี่ปุ่นกลับตอบรับมาตรการครั้งนี้ในเชิงลบ โดยเฉพาะค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นสวนทางความคาดหมายไปแตะระดับ 102 เยน/เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ต้นเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ขณะที่ดัชนีนิกเกอิ 225 ปิดตลาดลดลง 244.32 จุด หรือ 1.47% มาอยู่ที่ 16,391.45 จุด เนื่องจากนักลงทุนมองว่ารัฐบาลใช้งบกระตุ้นที่แท้จริงน้อยเกินไป

มาร์เซล ธีลเลียนท์ นักเศรษฐศาสตร์จาก บริษัท แคปิตอล อีโคโนมิกส์ กล่าวว่า รัฐบาลญี่ปุ่นใช้วิธีการเดิมๆ เหมือนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในวงเงินรวมก้อนใหญ่ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในวงกว้าง ทว่าในรายละเอียดกลับเป็นงบประมาณทางการคลัง ที่ใช้จริงเพียงเล็กน้อย และคาดว่าจะสามารถกระตุ้นจีดีพีในปีหน้าจริงได้เพียง 0.8% เท่านั้น

ภายใต้แผนการดังกล่าว ยังเป็นส่วนของฅความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (พีพีพี) และโครงการอื่นๆ ที่ไม่ได้อยู่บนงบประมาณ รายจ่ายของรัฐโดยตรง จึงอาจไม่ช่วยผลักดันการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะสั้นได้มากนัก

บลูมเบิร์ก อินเทลลิเจนซ์ คาดการณ์ว่า งบประมาณกระตุ้นทางการคลัง 13.6 ล้านล้านเยน (ราว 4.65 ล้านล้านบาท) ซึ่งจะประเดิมผ่านใน ปีนี้ไม่ถึงครึ่ง และจะทยอยออกมาในปีงบประมาณหน้า ควบคู่ไปกับโครงการเงินกู้ที่เป็นแผนระยะยาวต่อเนื่องหลายปี จะช่วยให้จีดีพีในระยะสั้นปี 2016 นี้ ขยายตัวเพิ่มขึ้นได้เพียง 0.1% และจะเพิ่มขึ้นได้อีก 0.25% ในปีหน้า ขณะที่ก่อนหน้านี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ระบุว่า จะขยายตัวได้ 0.3% ในปีนี้ และ 0.1% ในปีหน้า

โคยะ มิยามาเอะ นักเศรษฐศาสตร์อาวุโส ของบริษัทหลักทรัพย์ เอสเอ็มบีซี นิกโก ซีเคียว ริตี้ส์ กล่าวว่า มาตรการครั้งนี้จะเพิ่มการเติบโตของ จีดีพีได้ 0.4% ในปีนี้ และอีก 0.4% ในปีหน้า

“ในขณะที่ผลของมาตรการนี้น่าจะเห็นได้ ในช่วงปีงบประมาณ 2017 ญี่ปุ่นก็อาจต้องเผชิญกับภาวะหน้าผาการคลัง หรือการขาดช่วงความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ดังนั้น รัฐบาลอาจต้องพึ่งมาตรการกระตุ้นขนาดใหญ่เช่นนี้อีกครั้งก่อนการเลือกตั้งทั่วไปในปี 2018 ซึ่งอาจทำให้ญี่ปุ่นไม่สามารถทำงบเกินดุลได้ตามเป้าหมายภายในปี 2020” มิยามาเอะ กล่าวกับรอยเตอร์ส

ทั้งนี้ การใช้มาตรการการคลังมีขึ้นหลังจาก ที่ประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ประกาศมาตรการผ่อนคลายทางการเงินน้อยเกินกว่าที่หลายฝ่ายคาดหวัง โดยไม่มีทั้งการขยายวงเงินซื้อสินทรัพย์เพิ่มเติม จากปัจจุบันที่ 80 ล้านล้านเยน/ปี และไม่มีการใช้อัตราดอกเบี้ยติดลบเพิ่มเติมจากปัจจุบันที่ลบ 0.1% และบีโอเจยังส่งสัญญาณเตรียมทบทวนมาตรการการเงินในการประชุมเดือน ก.ย.นี้ ส่งผลให้หลายฝ่ายวิตกว่า ญี่ปุ่นใช้มาตรการกระตุ้นทางการเงินจนถึงลิมิตแล้ว

นอกจากนี้ การเตรียมแต่งตั้ง โทชิฮิโระ นิไคอิ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านการลงทุนภาครัฐขึ้นเป็นเลขาธิการพรรคแอลดีพี ยังทำให้ตลาดเชื่อว่าญี่ปุ่นกำลังถึงทางตันในการใช้มาตรการทางการเงิน และต้องเบนเข็มไปใช้มาตรการทางคลังมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจ ได้ปฏิเสธความกังวลของตลาดว่า การทบทวนมาตรการในเดือนหน้า จะไม่ใช่การลดขนาดมาตรการกระตุ้นทางการเงิน

แผนกระตุ้นศก. 28 ล้านล้านเยน

3.3 แสนล้านเยน : แจกเงินผู้มีรายได้ต่ำ 22 ล้านคน คนละ 1.5 หมื่นเยน สำหรับบุคคลรายได้ต่ำกว่า 1 ล้านเยน/ปี (3.42 แสนบาท)
3.5 ล้านล้านเยน : ใช้ในการรับมือสังคมผู้สูงอายุ ซึ่งรวมถึงการพัฒนาหุ่นยนต์ดูแล ผู้สูงอายุ และสนับสนุนการเพิ่มจำนวนประชากร
10.7 ล้านล้านเยน : ลงทุนโครงสร้าง พื้นฐานทั่วประเทศ เพื่อสนับสนุนภาคการ ท่องเที่ยว เช่น ปรับปรุงโครงข่ายรถไฟความเร็วสูง และขยายท่าเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่
10.9 ล้านล้านเยน : บรรเทาผลกระทบฅต่อธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ทั่วประเทศจากกรณีเบร็กซิต
3 ล้านล้านเยน : ฟื้นฟูและบรรเทาผล กระทบจากภัยพิบัติแผ่นดินไหว เดือน เม.ย. 2016 และสึนามิเมื่อปี 2011

 

เฟดรอท่าไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินเอเชียแข็งค่ากดดันบีโอเจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/445477

เฟดรอท่าไม่ขึ้นดอกเบี้ย เงินเอเชียแข็งค่ากดดันบีโอเจ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้หลังการประชุมวันที่ 26-27 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยไม่มีการส่งสัญญาณระยะเวลาในการขึ้นดอกเบี้ยที่แน่ชัด ส่งผลให้เงินทุนไหลเข้าเอเชีย โดยเฉพาะตลาดเกิดใหม่และสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างค่าเงินเยนจนแข็งค่าขึ้น ซึ่งกดดันให้ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ดำเนินมาตรการเพิ่มเติม

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (เอฟโอเอ็มซี) นำโดยเจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการเฟด มีมติ 9 ต่อ 1 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 0.25-0.50% หลังการประชุมเมื่อวันที่ 26-27 ก.ค.ที่ผ่านมา โดยเฟดระบุในแถลงการณ์ ว่า การจ้างงานในเดือน มิ.ย. ฟื้นตัวขึ้นจากจุดต่ำสุดรอบ 5 ปี เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา พร้อมด้วยการใช้จ่ายครัวเรือนที่แข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การลงทุนภาคเอกชนยังคงอ่อนแอและอัตราเงินเฟ้อยังคงต่ำกว่าเป้าหมายที่เฟดตั้งไว้ที่ 2% เนื่องจากราคาน้ำมันถูก

“ความเสี่ยงในระยะสั้นปรับตัวลดลงไปแล้ว” เฟดระบุในแถลงการณ์ พร้อมระบุอีกด้วยว่าจะจับตาการเคลื่อนไหวของตลาดทุนและเศรษฐกิจโลกอย่างใกล้ชิด

ด้าน แคธี โจนส์ หัวหน้านักกลยุทธ์จากชาร์ลส์ ชวาบ บริษัทโบรกเกอร์สัญชาติอเมริกัน เปิดเผยว่า มีแนวโน้มที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ตามเฟดไม่อยากจะให้สัญญาณที่ผูกมัดตัวเองในอนาคต และเฟดก็มีความมั่นใจในการขึ้นดอกเบี้ยมากขึ้นเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม แม้เฟดจะระบุความเสี่ยงในระยะสั้นปรับตัวลงไป แต่ถ้อยแถลงดังกล่าวไม่ได้ระบุระยะเวลาที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ย และแม้เฟดจะเปิดกว้างในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ แต่การขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมครั้งถัดไปในเดือน ก.ย. ก็ยังไม่มีความแน่ชัด โดยตลาดคาดการณ์ว่าน่าจะเป็นเพราะเฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. ที่ 26% ขณะที่ความน่าจะเป็นที่เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้ลดลงจาก 49% ก่อนเฟดเปิดเผยแถลงการณ์เป็น 45%

ทุนไหลเข้าเอเชียดันค่าเงินแข็งค่า

ภายหลังการเปิดเผยของเฟด ดัชนีค่าเงินตลาดเกิดใหม่เอ็มเอสซีไอปรับตัวขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ นำโดยค่าเงินวอนที่แข็งค่าขึ้นไปแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ขณะที่ด้านธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ปรับค่ากลางอ้างอิงค่าเงินหยวนให้แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 6.6597 หยวน/เหรียญสหรัฐ ซึ่งแข็งค่าที่สุดนับตั้งแต่วันที่ 5 ก.ค.ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นไปอยู่ในระดับ 104 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ในการซื้อขายที่ตลาดโตเกียว เมื่อเทียบกับระดับ 105 เยน/เหรียญสหรัฐ ของเมื่อวันที่ 27 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นช่วงหลังนายกรัฐมนตรี  ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น เปิดเผยโครงการ งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 28 ล้านล้านเยน  (ราว 8.4 ล้านล้านบาท) ส่งผลให้ดัชนีนิกเกอิ ปิดตลาดวันที่ 28 ก.ค.ที่ผ่านมา ในแดนลบ 1.13%

นอกจากนี้ ค่าเงินที่แข็งค่าขึ้นดังกล่าวแสดง ให้เห็นถึงเงินทุนที่ไหลเข้ามาในเอเชีย สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ไอไอเอฟ) เปิดเผยว่า เงินทุนไหลเข้าตลาดเกิดใหม่เกือบ 2.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.75 แสนล้านบาท) ในเดือน ก.ค.  ปรับตัวขึ้นจาก 1.33 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.65 แสนล้านบาท) เมื่อเดือน มิ.ย. โดยตลาด เกิดใหม่ในเอเชียมีการดึงดูดเงินทุนมากที่สุดที่ 1.91 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.68 แสนล้านบาท)  ในเดือน ก.ค.

ตลาดกดดันบีโอเจกระตุ้นเพิ่ม

ซิตี้แบงก์เปิดเผยผลสำรวจลูกค้าและสถาบันการเงิน พบว่า 80% คาดค่าเยนจะแข็งค่าขึ้นเทียบเหรียญสหรัฐมากกว่า 3% หากบีโอเจยังคงมาตรการในวันที่ 28 ก.ค.นี้ และไม่ส่งสัญญาณใดๆ ในการ กระตุ้นเพิ่มหลังการประชุมเดือน ก.ย. ในขณะที่ มากกว่า 30% คาดการณ์ว่าค่าเงินเยนจะอ่อนค่าลงมากกว่า 4%

โนบุเทรุ อิชิฮาระ รัฐมนตรีเศรษฐกิจญี่ปุ่น เปิดเผยภายหลังอาเบะประกาศงบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 28 ล้านล้านเยน (ราว 8.4 ล้านล้านบาท) ซึ่งมากกว่าที่ตลาดคาดการณ์เอาไว้ที่ 20 ล้านล้านเยน (ราว 6 ล้านล้านบาท) ว่า บีโอเจและฮารุฮิโกะ คุโรดะ ผู้ว่าการบีโอเจ ควรตัดสินใจให้สอดคล้องกับการประกาศของอาเบะ

“ผมคิดว่าคนของบีโอเจจะนำมาตรการนี้ไปพิจารณาและตัดสินใจอย่างเหมาะสม ผมคิดว่าคุโรดะเข้าใจดีว่าโลกกำลังจับตามองเราอยู่” อิชิฮาระ กล่าว

สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ ทาโร อาโสะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า บีโอเจควรพยายามอย่างเต็มความสามารถเพื่อผลักดันอัตราเงินเฟ้อให้ถึงเป้าหมายที่บีโอเจตั้งไว้ที่ 2% โดยสำนักข่าวรอยเตอร์ส ระบุว่า อาโสะกำลังกดดันให้บีโอเจผ่อนคลายนโยบายการเงินมากขึ้น

ด้าน คริส เวสตัน นักกลยุทธ์ของไอจี กรุ๊ป บริษัทเทรดเดอร์ สัญชาติอังกฤษ เปิดเผยว่า แม้จะยังไม่มีความชัดเจน มาตรการกระตุ้นดังกล่าวจะมีขนาดเท่าที่จะกระตุ้นภายในปี 2016 นี้ และการใช้มาตรการกระตุ้นทางการคลังต้องใช้เวลากว่าจะเห็นผลทางเศรษฐกิจ ดังนั้นจะไม่สามารถช่วยฟื้นความคาดหวังอัตราเงินเฟ้อได้ทันที

“ในทางทฤษฎี ถ้ารัฐบาลของอาเบะจะเล่น ใหญ่แล้วละก็ บีโอเจก็ควรเล่นใหญ่ด้วยเช่นกัน”  เวสตัน กล่าว

 

เยอรมนีตื่นภัยก่อการร้ายจี้ปรับนโยบายรับผู้อพยพ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/445258

เยอรมนีตื่นภัยก่อการร้ายจี้ปรับนโยบายรับผู้อพยพ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

สถานการณ์การก่อการร้ายในทวีปยุโรปกลับมาปะทุอีกครั้งทั้งในฝรั่งเศสที่เจอเหตุโจมตี 2 ครั้ง ในรอบ 2 สัปดาห์ และเยอรมนีที่เกิดเหตุโจมตี 4 ครั้ง ในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์

ฮอสต์ ซีโฮเฟอร์ ผู้ว่าการแคว้นบาวาเรียของเยอรมนี เรียกร้องให้รัฐบาลเยอรมนีทำความเข้าใจประเด็นความมั่นคงและนโยบายการเปิดรับผู้อพยพกับประชาชน พร้อมระบุว่า ประชาชนชาวเยอรมันอยู่ในภาวะที่หวาดกลัวต่อภัยก่อการร้าย โดยเฉพาะจากกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) ถือเป็น ความท้าทายอย่างหนึ่งของแคว้นบาวาเรียและเยอรมนีในการป้องกันประเทศ

“ทุกการโจมตีและทุกเหตุก่อการร้ายยิ่งรุนแรงขึ้น การโจมตีของกลุ่มไอเอสกระทบต่อเยอรมนี และประชาชนต้องการให้รัฐบาลยืนหยัดต่อสู้อย่างกล้าหาญ” ซีโฮเฟอร์ ระบุ

ทั้งนี้ ในระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์ เกิดเหตุโจมตีในเยอรมนีถึง 4 ครั้ง ซึ่งเกิดในพื้นที่แคว้น บาวาเรียถึง 3 ครั้ง โดยเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 ก.ค. คือ เหตุชายอายุ 17 ปี ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัยจากอัฟกานิสถานใช้มีดและขวานบุกทำร้ายผู้โดยสารบนรถไฟที่เมืองเวิร์ซบูร์ก ทำให้มีผู้บาดเจ็บสาหัส 3 ราย ก่อนเจ้าตัวจะถูกเจ้าหน้าที่ยิงเสียชีวิต และพบธงสัญลักษณ์ของกลุ่มไอเอสในที่เกิดเหตุ

ถัดมาในวันที่ 22 ก.ค. เกิดเหตุชายวัย 18 ปี ถือสัญชาติเยอรมนีและอิหร่าน กราดยิงในเมือง มิวนิก เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 9 ราย บาดเจ็บ 27 ราย โดยตำรวจเชื่อว่าคนร้ายก่อเหตุเพียงลำพัง (โลนวูล์ฟ) และได้รับแรงบันดาลใจจากเหตุกราดยิงที่นอร์เวย์เมื่อปี 2011 ไม่เกี่ยวกับกลุ่มไอเอส

ต่อมาในวันที่ 24 ก.ค. เกิดเหตุผู้อพยพชาวซีเรียฆ่าหญิงชาวโปแลนด์ด้วยมีดสปาร์ต้า ในเมืองรอยท์ลิงเงน รัฐบาเดน-เวิร์ทเทมแบร์ก โดยพยานในที่เกิดเหตุระบุว่าผู้ก่อเหตุตะโกนคำว่า “อาลาบู อักการ์” หรือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ก่อนลงมือ และในวันเดียวกันเกิดเหตุผู้อพยพชาวซีเรียระเบิดฆ่าตัวตายที่บาร์แห่งหนึ่งในเมืองอันสบาค มีผู้บาดเจ็บ 15 ราย โดย โมฮัมหมัด ดี ผู้ก่อเหตุถูกปฏิเสธสถานะการขอลี้ภัยและมีประวัติเคยเข้ารับการบำบัดทางจิต

โจอาคิม เฮอร์มัน รัฐมนตรีมหาดไทยแคว้นบาวาเรีย ระบุว่า โมฮัมหมัด ดี ครอบครองสาร ประกอบระเบิดจำนวนมากพอที่จะทำระเบิดอีกลูก ก่อให้เกิดคำถามว่าชายคนดังกล่าวได้รับเงินสนับสนุนจากแหล่งใด เพราะคนร้ายยังอาศัยอยู่ในที่พัก ผู้อพยพที่รัฐบาลจัดหาให้

หวั่นนโยบายรับผู้อพยพทำก่อการร้ายพุ่ง

จากเหตุโจมตีโดยฝีมือของผู้อพยพชาวอัฟกานิสถานและซีเรีย นำไปสู่การวิพากษ์วิจารณ์นโยบายการเปิดรับผู้อพยพของนายกรัฐมนตรี  อังเกลา แมร์เกิล ของเยอรมนี ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการโจมตีลักษณะโลนวูล์ฟมากขึ้นในยุโรป แม้จะมีการคุมเข้มการรับผู้อพยพก็ตาม จนเกิดเป็นกระแสโจมตีนโยบายดังกล่าวด้วยแฮชแท็ก #Merkelsommer หรือฤดูร้อนของแมร์เกิล ในสังคมออนไลน์

แฟรงก์ แดคเคอร์ ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยบอนน์ ระบุว่า ประชาชนส่วนใหญ่มองว่า การก่อเหตุของผู้อพยพที่เกิดขึ้นมีความเชื่อมโยงกับนโยบายการเปิดรับผู้อพยพของ แมร์เกิล แม้เยอรมนีจะไม่ได้เผชิญเหตุก่อการร้ายจากฝีมือของกลุ่มไอเอสโดยตรงเหมือนในฝรั่งเศสและเบลเยียม แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้ขัดขวางแผนโจมตีหลายครั้ง

เช่นเดียวกับพรรคทางเลือกเยอรมนี (เอเอฟดี) ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายขวาที่ต่อต้านการรับผู้อพยพ ระบุว่า แมร์เกิลต้องรับผิดชอบต่อผลพวงจากนโยบายการเปิดรับผู้อพยพ ซึ่งทำให้ผู้อพยพชาวมุสลิม ที่อายุน้อย ไร้การศึกษา และมีแนวคิดสุดโต่ง ทะลักเข้าสู่เยอรมนีกว่า 1 ล้านคน แม้แมร์เกิลจะยืนยันว่า การรับผู้อพยพเข้าประเทศจะช่วยให้เยอรมนีปลอดภัยจากการก่อการร้ายในระยะยาว

อย่างไรก็ดี เว็บไซต์ข่าวดิ อินดีเพนเดนท์  ระบุว่า นโยบายเปิดรับผู้อพยพของแมร์เกิลไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงการก่อการร้ายในประเทศ เนื่องจากผู้ก่อเหตุที่เป็นผู้อพยพ 3 รายล่าสุด เดินทางเข้าประเทศก่อนที่แมร์เกิลจะบังคับใช้นโยบายดังกล่าว

นอกจากนี้ การเปิดรับผู้อพยพจะช่วยปกป้องเยอรมนีจากการก่อการร้าย มากกว่าการเผชิญหน้ากับเหตุโจมตีต่างๆ เนื่องจากนโยบายดังกล่าวทำให้เยอรมนีกลายเป็นที่พึ่งแห่งใหม่ของผู้ที่ได้รับผล กระทบจากสงคราม ซึ่งแตกต่างจากฝรั่งเศสและเบลเยียมที่ประกาศว่าจะต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายอย่างเต็มที่ส่งผลให้เหตุโจมตีใน 2 ประเทศดังกล่าวเพิ่มขึ้นและรุนแรงขึ้น

ยกตัวอย่างเหตุก่อการร้ายล่าสุดที่ชายมุสลิม 2 ราย ใช้อาวุธดาบสังหาร ฌัก ฮาเมล บาทหลวงวัย 86 ปี ก่อนทำการฆ่าปาดคอบาทหลวงอย่างโหดเหี้ยม หลังจับตัวบาทหลวง แม่ชี และชาวคริสต์ รวม 5 ราย เป็นตัวประกัน ในโบสถ์แซงต์ เอเตียน ดู รูฟเรย์ ที่เมืองรูอ็อง ทางตอนเหนือของฝรั่งเศส ซึ่งผู้ก่อเหตุอยู่ในบัญชีเฝ้าระวังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ

ด้านกลุ่มสังเกตการณ์ ไซต์ อินเทลลิเจนซ์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า กลุ่มไอเอสส่งข้อความผ่าน แอพพลิเคชั่น เทเลแกรม ระบุว่า เตรียมโจมตีก รุงลอนดอน อังกฤษ รวมถึงกรุงวอชิงตันและมหานครนิวยอร์ก สหรัฐ เป็นแห่งต่อไป โดย เจ้าหน้าที่ตำรวจอังกฤษสั่งคุมเข้มความปลอดภัยศาสนสถานทุกแห่งในอังกฤษ เช่น โบสถ์ วัด และมัสยิด ขณะที่กรมตำรวจเยอรมนีเตรียมกระจายกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพิ่ม เพื่อเฝ้าระวังเหตุโจมตีที่อาจจะเกิดขึ้น