โลกรุกยึดทรัพย์ ‘วันเอ็มดีบี’ กองทุนฉาวเขย่ามาเลเซีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 กรกฎาคม 2559 เวลา 09:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/444187

โลกรุกยึดทรัพย์ 'วันเอ็มดีบี' กองทุนฉาวเขย่ามาเลเซีย

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

กองทุนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย (วันเอ็มดีบี) ได้ชื่อว่าเป็นกองทุนที่มีเรื่องทุจริตอื้อฉาวอย่างไม่หยุดหย่อน ล่าสุดธนาคารกลางสิงคโปร์ (เอ็มเอเอส) ได้ประกาศยึดทรัพย์ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทุนดังกล่าว และเข้าข่ายความผิดฐานฟอกเงิน รวมกว่า 176.82 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,192 ล้านบาท)

แถลงการณ์ของเอ็มเอเอส ระบุว่า ครึ่งหนึ่งของทรัพย์สินที่ประกาศยึด มีความเกี่ยวข้อง กับ โจโลว์ นักธุรกิจและเพื่อนสนิทของครอบครัวนายกรัฐมนตรี นาจิบ ราซัค ของมาเลเซีย โดยก่อนหน้านี้ หน่วยกู้คืนสินทรัพย์จากการฉ้อราษฎร์บังหลวงภายใต้กระทรวงยุติธรรมสหรัฐ ประกาศยึดทรัพย์ รีซา อาซิส ลูกเลี้ยงราซัค โจโลว์ และกาเดม อัล กูไบซี อดีตผู้อำนวยการจัดการของ อินเตอร์เนชันแนล ปิโตรเลียม อินเวสต์เมนต์ โค  (ไอพีไอซี) กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) เป็นมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท)

นอกจากนี้ การสืบสวนยังพบว่า ธนาคารดีบีเอส ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ธนาคารยูบีเอส และธนาคารฟอลคอน ที่มีสาขาในสิงคโปร์ อาจมีส่วนเกี่ยวข้องในการฟอกเงินของกองทุนวันเอ็มดีบี จากความล่าช้าในการป้องกัน และขั้นตอนตรวจสอบการทำธุรกรรมทางการเงินก็อ่อนแออีกด้วย

“อย่างไรก็ดี การตรวจสอบของเอ็มเอเอส ไม่พบความบกพร่องในวงกว้าง และไม่พบพฤติกรรมทุจริตของพนักงานธนาคารทั้ง 3 แห่ง ไม่เหมือนกับกรณีของธนาคารบีเอสไอ” แถลงการณ์ของ เอ็มเอเอส ระบุ

ทั้งนี้ แบงก์ชาติสิงคโปร์ร่วมกับสำนักงานอัยการสูงสุด และกรมกิจการการค้าสิงคโปร์  เปิดเผยว่า การเคลื่อนย้ายของเงินทุนที่อยู่ระหว่างการสอบสวนยังเชื่อมโยงไปถึงบริษัท กู๊ด สตาร์  ลิมิเต็ด ในสาธารณรัฐเซเชลส์ บริษัท อาบาร์ อินเวสต์เมนต์ พีเจเอส ลิมิเต็ด ทั้งในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน และสาธารณรัฐเซเชลส์ และบริษัท  ทานอร์ ไฟแนนซ์ คอร์ป ในหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน

“มาตรการที่เหมาะสมจะถูกนำมาใช้เพื่อป้องกันการละเมิดกฎหมายของสิงคโปร์” แถลงการณ์ของเอ็มเอเอส ระบุ

“โกลด์แมน แซคส์” ยันบริสุทธิ์

รอยเตอร์ส รายงานว่า โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจรายใหญ่ในสหรัฐ ช่วยกองทุนวันเอ็มดีบี ระดมทุนกว่า 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.27 แสนล้านบาท) ผ่านการออกหุ้นกู้ 3 ครั้ง ในปี 2012 และ 2013 เพื่อนำไปลงทุนโครงการพลังงานแลอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจของมาเลเซีย

หุ้นกู้ครั้งแรกออกในเดือน พ.ค. 2012 ภายใต้โครงการแมกโนเลีย สามารถระดมทุนได้กว่า 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.12 หมื่นล้านบาท) หุ้น กู้ครั้งที่สองออกในเดือน ต.ค.ปีเดียวกัน ภายใต้ โครงการแม็กซิมัส ระดมทุนได้อีก 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยการออกหุ้นกู้ทั้ง 2 ครั้ง เกี่ยวข้องกับกองทุนไอพีไอซี ซึ่งกระทรวงยุติธรรมสหรัฐ  ระบุว่า เงินที่ได้จากการระดมทุนในปี 2012 กว่า 1,300 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.55 หมื่นล้านบาท)  ถูกนำไปใช้อย่างไม่เหมาะสม และถูกโอนไปยังบัญชีธนาคารในสวิตเซอร์แลนด์และสิงคโปร์

ส่วนหุ้นกู้ครั้งที่ 3 ออกในปี 2013 ภายใต้โครงการคาตาไลซ์ ระดมทุนได้กว่า 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.05 แสนล้านบาท) โดยเงินจำนวนกว่า 1,260 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.41 หมื่นล้านบาท) ถูกโอนไปยังบัญชีของบริษัทนอกอาณาเขตที่มีแค่ชื่อบังหน้า (เชลล์ คอมพานี)

ยิ่งไปกว่านั้น กระทรวงยุติธรรมสหรัฐยัง พบว่า เงินมูลค่ากว่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ  (ราว 8.75 หมื่นล้านบาท) ที่ได้จากการระดมทุนผ่านการออกหุ้นกู้ดังกล่าว ถูกเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกองทุนวันเอ็มดีบี เครือญาติ และมิตรสหาย นำไปใช้อย่างไม่เหมาะสม อาทิ ซื้ออสังหาริมทรัพย์หรูหราในมหานครนิวยอร์ก และกรุงลอนดอน อังกฤษ  ซื้อผลงานศิลปะ เช่น ภาพวาดของวินเซนต์ แวน โก๊ะ และโกลด โมเนต์ นำไปเล่นพนันในเมืองลาสเวกัส รัฐเนวาดา ซื้อเครื่องบินเจ็ตส่วนตัว และเป็นทุนสร้างภาพยนตร์เรื่อง เดอะ วูลฟ์ ออฟ วอลสตรีท ที่ลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ แสดงนำ

ด้านโฆษกวาณิชธนกิจชื่อดัง ระบุว่า โกลด์แมน แซคส์ ช่วยกองทุนวันเอ็มดีบีระดมทุนในฐานะกองทุนความมั่งคั่งของมาเลเซีย ที่ออกแบบ มาเพื่อนำเงินไปลงทุนกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และโกลด์แมน แซคส์ ไม่มีส่วนรู้เห็นกับการนำเงินไปใช้ที่ไม่ตรงกับความต้องการของกองทุน

มาเลย์ไม่สั่งฟ้องวันเอ็มดีบี

แม้หลายประเทศจะเดินหน้ากดดันเรื่องนี้อย่างหนัก ทว่า โมฮาเหม็ด อะพันดี อัยการมาเลเซีย  ระบุว่าจะยังไม่มีการสั่งฟ้องปัจเจกบุคคลหรือ หน่วยงานใดๆ ที่ต้องสงสัยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับ กรณีทุจริตกองทุนวันเอ็มดีบี เนื่องจากยังไม่มีหลักฐานเพียงพอ พร้อมแสดงความกังวลต่อการกล่าวหา ผู้นำมาเลเซียด้วย

ขณะที่สำนักโฆษกนายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า รัฐบาลมาเลเซียจะให้ความร่วมมือในการสืบสวนบริษัทท้องถิ่นและประชาชนมาเลเซียที่ต้องสงสัยว่ามีความเชื่อมโยงกับกองทุนฉาวอย่างเต็มที่  โดยราซัคยืนยันว่า หากพบการกระทำผิดจริง บุคคลหรือบริษัทนั้นๆ จะถูกลงโทษตามกฎหมายโดยไม่มีข้อยกเว้น

ด้าน มหาเธร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เรียกร้องให้ชาวมาเลเซียเดินขบวนประท้วงอย่างสันติเพื่อกดดันให้ราซัคลาออกจากตำแหน่ง และกดดันให้มีการทำประชามติต่อผู้นำมาเลเซีย กรณีเรื่องอื้อฉาวของกองทุนวันเอ็มดีบี

ภาพเอเอฟพี

 

“ทรัมป์”ฉลุยลุยศึกผู้นำมะกัน จับตาล้างบางพลพรรคโอบามา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:20 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/443957

"ทรัมป์"ฉลุยลุยศึกผู้นำมะกัน จับตาล้างบางพลพรรคโอบามา

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

คณะกรรมการพรรครีพับลิกันมีมติเสียงข้างมากเลือก โดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีฝีปากกล้าวัย 70 ปี เป็นตัวแทนพรรคเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐปี 2016 ที่จะมีขึ้นในวันที่ 8 พ.ย.นี้ อย่างเป็นทางการด้วยคะแนน 1,725 เสียง มากกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 1,237 เสียง

ขณะเดียวกัน ไมค์ เพนซ์ ผู้ว่าการรัฐอินเดียนา วัย 57 ปี ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนชิงตำแหน่งรองผู้นำสหรัฐในนามของพรรครีพับลิกัน ซึ่งเป็นไปตามความต้องการของทรัมป์ก่อนหน้านี้ ที่วางตัวให้เพนซ์เป็นคู่หูคนสำคัญลุยศึกใหญ่ปลายปี

ทั้งนี้ ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะคว้าชัยมาให้ได้เพื่อนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ เช่น การสร้างงาน ความแข็งแกร่งของกองทัพ การคุมเข้มชายแดน และการฟื้นฟูระบบกฎหมายและการบังคับใช้ พร้อมย้ำว่าสหรัฐต้องมาก่อน ตามคำหาเสียงของทรัมป์ว่า จะทำให้สหรัฐกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง

ด้าน ฮิลลารี คลินตัน คู่แข่งคนสำคัญจากพรรคเดโมแครต ทวีตข้อความว่า พลเมืองสหรัฐต้องร่วมมือกันขัดขวางไม่ให้ทรัมป์เป็นผู้นำสหรัฐ

ขณะที่ผลสำรวจของรอยเตอร์ส เปิดเผยว่า ระยะห่างคะแนนความนิยมของทรัมป์เทียบกับ ฮิลลารีปรับตัวขึ้นจาก 15% ในสัปดาห์ก่อนหน้า มาอยู่ที่ 7% โดย 43% ของผู้ตอบแบบสอบถาม จะลงคะแนนเสียงให้ฮิลลารีเมื่อเทียบกับ 36% จะลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์

เตรียมกวาดล้างขั้วอำนาจเก่า

รอยเตอร์ส รายงานอ้างคำพูดของ คริส  คริสตี้ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์และหัวหน้าคณะทำงานของทรัมป์ กล่าวระหว่างการประชุมส่วนตัวกับ ผู้บริจาคของพรรค ว่า หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ มีความเป็นไปได้สูงที่ทรัมป์จะกำจัด เจ้าหน้าที่รัฐที่มาจากการแต่งตั้งทางการเมืองสมัยประธานาธิบดีบารัก โอบามา และอาจมีการเสนอกฎหมายใหม่ให้ไล่พนักงานรัฐออกง่ายขึ้น

คริสตี้ ระบุว่า ทีมที่ปรึกษาของทรัมป์กังวล โอบามาจะโอนคณะทำงานที่ได้รับการแต่งตั้งทางการเมืองไปเป็นข้าราชการ ซึ่งมีกฎหมายคุ้มครองการจ้างงานที่เข้มงวดกว่า คือทำให้ไล่ออกได้ยากขึ้น และอาจส่งผลให้คณะทำงานของโอบามายังสามารถทำงานได้ภายใต้รัฐบาลจากพรรครีพับลิกัน

“การโอนคณะทำงานทางการเมืองมาเป็นข้าราชการ เพื่อรักษาฐานอำนาจเดิมไว้ ดังนั้นทรัมป์จึงต้องกำจัดคนเหล่านี้ เหมือนในอดีตที่อดีตประธานาธิบดี จอร์จ บุช กำจัดคนของ บิล คลินตัน ออกจากทำเนียบขาว” คริสตี้ ระบุ

นอกจากนี้ ผู้ว่าการรัฐนิวเจอร์ซีย์ ยังเสนอให้ทรัปม์เร่งแก้ไขกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับข้าราชการพลเรือน เพื่อให้ง่ายต่อการขับไล่คณะทำงานเก่าของรัฐบาลชุดก่อน อีกทั้งยังเสนอให้เปลี่ยนตัว ผู้อำนวยการสำนักงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐ  (อีพีเอ) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ข้อกฎหมาย และระเบียบต่างๆ ด้านสิ่งแวดล้อม เพื่อให้สะดวก ต่อการทำงานของรัฐบาลจากพรรครีพับลิกันในการฟื้นฟูอุตสาหกรรมน้ำมันและถ่านหินของสหรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น คริสตี้ยังเสริมด้วยว่า คณะทำงานของทรัมป์ต้องการให้มีนักธุรกิจทำงานในคณะรัฐบาลด้วย แต่เป็นการทำงานพาร์ตไทม์เท่านั้น โดยไม่ต้องลาออกจากงานประจำ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของทรัมป์ที่จะบริหารประเทศด้วยประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจ

 

อังกฤษปรับทัพลุยเบร็กซิต เจรจาอียูหวัง‘หย่ากันด้วยดี’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:41 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/443086

อังกฤษปรับทัพลุยเบร็กซิต เจรจาอียูหวัง‘หย่ากันด้วยดี’

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

งานแรกของนายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษ ผู้นำหญิงคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ของอังกฤษ คือการปรับคณะรัฐมนตรีขนานใหญ่เพื่อตอบรับการเดินหน้าเพื่อถอนตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต โดยมีการแต่งตั้ง เดวิด เดวิส วัย 67 ปี ผู้รณรงค์ให้อังกฤษถอนตัวจาก
อียูมาอย่างยาวนาน ขึ้นเป็นรัฐมนตรีฝ่ายถอนตัวจากอียูเพื่อเป็นหัวหน้าทีมเจรจากับอียู พร้อมด้วยการเลือกแกนนำรณรงค์เบร็กซิตอย่าง บอริส จอห์นสัน วัย 52 ปี ขึ้นเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ

อย่างไรก็ตาม การแต่งตั้งจอห์นสันขึ้นรับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศได้รับผลตอบรับจากนานาชาติไม่ดีนัก โดย ฌอง-มาร์ก อัยโรลต์ รัฐมนตรีต่างประเทศฝรั่งเศส ระบุว่า จอห์นสันโกหกต่อชาวอังกฤษหลายอย่างในระหว่างการหาเสียงก่อนการทำประชามติ และตอนนี้จอห์นสันก็มีชนักติดหลัง

“ผมต้องการคนทำงานที่ผมสามารถเจรจาด้วยได้และมีความชัดเจน น่าเชื่อถือ และวางใจได้” อัยโรลต์ กล่าว

ขณะเดียวกัน เลียม ฟ็อกซ์ วัย 52 ปี อดีตรัฐมนตรีกลาโหมและผู้สนับสนุนเบร็กซิต ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีการค้าต่างประเทศ หลังจากที่ลงท้าชิงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและพ่ายแพ้ไปในรอบแรกการลงคะแนนเสียงของพรรคอนุรักษนิยม และ แอมเบอร์ รูดด์ วัย 52 ปี ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนให้อยู่กับอียูและอดีตเลขานุการส่วนตัวของออส บอร์น ได้รับตำแหน่งรัฐมนตรีมหาดไทยแทนเทเรซา เมย์ ที่ได้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ขณะที่ ไมเคิล ฟัลลอน วัย 64 ปี ขึ้นนั่งกลาโหม

ว่าที่ขุนคลังเร่งเจรจาการค้าอียูใหม่

เทเรซา เมย์ เลือก ฟิลิป แฮมมอนด์ อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศ วัย 60 ปี ขึ้นมานั่งตำแหน่งรัฐมนตรีคลังแทน จอร์จ ออสบอร์น โดยแฮมมอนด์เป็นผู้ไม่เห็นด้วยต่อการให้อียูอยู่ต่อไปในอียู หากอียูยังไม่มีการปฏิรูป อย่างไรก็ตาม แฮมมอนด์เป็นฝ่ายรณรงค์ให้อังกฤษอยู่กับอียูต่อไป

นอกจากนี้ แฮมมอนด์ ซึ่งจบการศึกษาด้านปรัชญา การเมือง และเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยออกซฟอร์ด ยังมีแนวคิดการคลังแบบรัดเข็มขัด ส่งผลให้มีแนวโน้มที่แฮมมอนด์อาจเสนอปรับลดรายจ่ายและขึ้นภาษี อย่างไรก็ตาม สำนักข่าวบีบีซี ระบุว่า เมย์สามารถระงับการขึ้นภาษีหรือการปรับลดการใช้จ่ายที่มากเกินไปได้

แฮมมอนด์ เปิดเผยว่า อังกฤษควรออกจากตลาดร่วมของอียูหลังตัดสินใจถอนตัว โดยอังกฤษจะต้องเจรจากับอียูใหม่เพื่อขอเข้าสู่ตลาดเดียวในฐานะประเทศนอกสมาชิกและคู่ค้า ไม่ใช่ในฐานะสมาชิกอียู

“ผมต้องการเห็นการเจรจาเพื่อเข้าตลาดเดียวเพื่อเอกชนของอังกฤษ และเพื่อเราจะสามารถขายสินค้าและบริการของเราสู่ตลาดสหภาพยุโรป และยินดีที่จะบริโภคสินค้าและบริการจากสหภาพยุโรปอย่างที่เราเป็นมาเช่นเดียวกัน” รัฐมนตรีคลังคนใหม่ กล่าว

ก่อนหน้านี้ เดวิส เปิดเผยว่า ผลการเจรจาที่เป็นไปได้มากที่สุด คือ การสามารถเข้าถึงตลาดอียูในรูปแบบปลอดกำแพงภาษี เนื่องจากหากอังกฤษไม่ต้องการที่จะควบคุมการไหลเข้าออกของผู้อพยพ อียูก็พร้อมหันมาเจรจาเรื่องดังกล่าวกับอังกฤษเพื่อรักษาผลประโยชน์ โดยการเตรียมการเพื่อให้อังกฤษเข้าถึงตลาดรวมของอียูต่อไปเป็นประเด็นที่ต้องใช้เวลาในการจัดการก่อนการประกาศมาตรา 50 ซึ่งควรเสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้

บีโออีเซอร์ไพรส์ ‘ไม่ลดดอกเบี้ย’

ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) มีมติ 8-1 เสียง คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 0.5% ผิดจากคาดการณ์ผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ของรอยเตอร์สที่คาดว่าจะลดเหลือ 0.25% พร้อมส่งสัญญาณใช้นโยบายผ่อนคลายการเงินเพิ่มเติมในเดือน ส.ค.ที่จะถึงนี้ โดยไม่ได้ให้รายละเอียดมาตรการแต่อย่างใด

บีโออี ระบุว่า เมื่อประเมินผลกระทบจากเบร็กซิตแล้ว พบว่าตลาดทุนยังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และควรที่จะลดผลกระทบจากเบร็กซิต มากกว่าที่จะขยายให้ผลกระทบนั้นใหญ่ขึ้น โดยค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงราว 6% นับตั้งแต่เบร็กซิตจะช่วยให้อัตราเงินเฟ้อขยายตัวขึ้น ซึ่งอัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ค. อยู่ที่ 0.3% เมื่อเทียบกับเป้าหมายของบีโออีที่ 2%

ภายหลังการเปิดเผยดังกล่าว ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นไปทันที 1.3% อยู่ที่ 1.3321 ปอนด์/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 12.15 น. ตามเวลากรุงลอนดอนของวันที่ 14 ก.ค.ที่ผ่านมา

อียูเสนอนโยบายรับผู้อพยพ

คณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (อีซี) เสนอแผนการเพื่อรับมือกับปัญหาผู้อพยพจากประเทศนอกสมาชิก ซึ่งมีจำนวนสูงถึง 1.3 ล้านคน เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา โดยมีการเสนอให้เงินแก่ประเทศที่รับผู้อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานด้วยความเต็มใจ 1 หมื่นยูโรต่อผู้อพยพ 1 คน หลังจากในโควตาปัจจุบัน 1.6 แสนคน มีผู้อพยพได้รับประโยชน์จากโครงการย้ายถิ่นฐานเพียง 3,056 คนเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีการเสนอให้ปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ผู้อพยพทั่วประเทศสมาชิกและปรับสวัสดิการช่วยเหลือผู้อพยพให้อยู่ในระดับเดียวกัน รวมถึงตั้งกฎร่วมกันในเรื่องการให้สัญชาติแก่ผู้อพยพ วีซ่า การเข้าถึงงาน โรงเรียน สวัสดิการและสาธารณสุข

อย่างไรก็ตาม สมาชิกจากยุโรปตะวันออก เช่น สโลวาเกียและออสเตรีย ไม่เห็นด้วยต่อข้อเสนอดังกล่าว โดยออสเตรียระบุว่า ตลาดงานออสเตรียไม่เพียงพอรองรับผู้ลี้ภัย หากมีการให้ใบอนุญาตทำงานแก่ผู้ลี้ภัยเหล่านั้น

 

พิพาททะเลเดือด แล่นเรือรบ-ขู่ตั้งเขตป้องกันภัย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:53 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/442869

พิพาททะเลเดือด แล่นเรือรบ-ขู่ตั้งเขตป้องกันภัย

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ความตึงเครียดเรื่องทะเลจีนใต้ได้ปะทุขึ้นต่อเนื่อง หลังจากที่ผลการพิพากษาของศาลอนุญาโตตุลาการที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 12 ก.ค. ปฏิเสธการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีน โดยล่าสุดจีนประกาศย้ำจุดยืนจะใช้ทุกมาตรการเพื่อปกป้องอธิปไตยเหนือทะเลจีนใต้อีกครั้ง หลังยืนยันไปก่อนหน้าว่าไม่รับคำตัดสินของศาล

หลิวเจิ้นหมิง ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศจีน ส่งสัญญานเตือนว่า จีนมีสิทธิติดตั้งเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (เอดีไอแซด) ซึ่งเป็นการแสดงเขตอธิปไตยเหนือทะเลจีนใต้ หากประเมินว่าผลประโยชน์และความมั่นคงของจีนในทะเลจีนใต้กำลังเผชิญกับภัยคุกคาม

สอดคล้องกับเจ้าหน้าที่สหรัฐได้แสดงความกังวลก่อนหน้านี้ว่า จีนอาจจะประกาศเอดีไอแซด ซึ่งจะทำให้อากาศยานที่เข้ามาต้องเปิดสัญญาณวิทยุให้เจ้าหน้าที่จีนสอบถามรายละเอียดการเดินทางทั้งหมด และหากมีการฝ่าฝืน จีนจะบังคับให้ลงจอด ขับไล่ออก หรือยิงให้ตก หลังจีนเคยประกาศเขต ดังกล่าวเมื่อครั้งที่พิพาทดินแดนทะเลจีนตะวันออกกับญี่ปุ่นในปี 2013 ก่อให้เกิดความตึงเครียดทางทหารอย่างรุนแรง อีกทั้งยังมีความกังวลว่าจีน อาจจะเพิ่มการสร้างปราการป้องกันเกาะเทียม

อย่างไรก็ดี เจิ้นหมิง เสริมว่า จีนยังคาดหวังว่าจะร่วมเจรจาทวิภาคีกับรัฐบาลชุดใหม่ของฟิลิปปินส์ ซึ่งแสดงท่าทีเป็นมิตรกับจีนมากขึ้น  ทว่าแรงกดดันภายในประเทศหลังศาลตัดสินเป็นประโยชน์ให้ฟิลิปปินส์อาจจะกดดันให้ประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ต้องแสดงท่าทีแข็งกร้าวขึ้น

ชุ่ยเทียนข่าย เอกอัครราชทูตจีนประจำสหรัฐ กล่าวว่า ผลจากคำตัดสินของศาลจะยิ่งทำให้ปัญหาทะเลจีนใต้รุนแรงขึ้นจนอาจจะนำไปสู่การเผชิญหน้าได้ นอกจากนี้ยังตำหนิว่า นโยบายหวนกลับสู่เอเชียของสหรัฐกระตุ้นให้เกิดความตึงเครียด ในภูมิภาคตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา และบ่อนทำลายแรงจูงใจของรัฐต่างๆ ที่จะเข้าร่วมเจรจาและหารือกันแก้ปัญหาพื้นที่พิพาท

ขณะที่ประธานาธิบดี ไช่อิงเหวิน ของไต้หวัน ก็ประกาศไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลที่พิพากษาให้เกาะไทปิงหรือเกาะอบาอิตู ซึ่งเป็นเกาะขนาดใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะสแปรตลีย์ที่ไต้หวันอ้างสิทธิ อยู่ มีสถานภาพในทางกฎหมายเป็นเพียงก้อนหิน เป็นผลให้น้ำหนักการอ้างสิทธิของไต้หวันเหนือน่านน้ำโดยรอบเกาะแห่งนี้ลดลง โดยกล่าวว่า คำตัดสินดังกล่าวเป็นการคุกคามสิทธิของไต้หวัน

ล่าสุด ไต้หวันได้ส่งเรือรบฟริเกตไปประจำการในทะเลจีนใต้ โดยระบุว่า เพื่อปกป้องอาณาเขตทางทะเลของไต้หวัน ส่วนกระทรวงกลาโหมไต้หวันยืนยันจะปกป้องอาณาเขตและอำนาจอธิปไตย และจะไม่เปลี่ยนแปลงการอ้างสิทธิในน่านน้ำนี้

สหรัฐ-เอเชียร่วมกดดัน

จอห์น เคอร์บี โฆษกกระทรวงต่างประเทศ สหรัฐ แถลงกดดันให้จีนยอมรับในคำตัดสิน ดังกล่าว โดยระบุว่า ทั่วโลกกำลังจับตามองว่า จีนจะดำเนินการสมกับเป็นมหาอำนาจของโลกตามที่ตนเองประกาศเอาไว้หรือไม่ ขณะที่รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ ชัค ฮาเกล กล่าวกับซีเอ็นบีซี ว่า นับตั้งแต่ที่จีนลงนามในอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ก็เท่ากับจีนได้ยอมจำนนต่อการอ้างสิทธิในทะเลจีนใต้แล้ว

ทั้งนี้ หลังจากประกาศรับผลการตัดสิน ของศาล หน่วยลาดตระเวนชายฝั่งของฟิลิปปินส์ได้ร่วมมือกับญี่ปุ่น ซ้อมกู้ภัยและพยาบาลในสถานการณ์จำลอง ในบริเวณชายฝั่งมะนิลาเบย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในความร่วมมือปรับปรุงความมั่นคงทางทะเล

ฟลอริน เทอร์นัล ฮิลเบย์ หนึ่งในทนายความของฟิลิปปินส์ ระบุว่า ยังไม่กำหนดแน่ชัดว่าจะดำเนินการตามผลการตัดสินดังกล่าวอย่างไรและเมื่อไร ซึ่งอาจจะใช้เวลาสักระยะในการเว้นช่วง

นอกจากนี้ ทางการเวียดนามซึ่งกระทบกับจีนในเรื่องทะเลจีนใต้เช่นเดียวกัน ก็แถลงรับผลการตัดสินของศาล พร้อมเรียกร้องให้แก้ปัญหาโดยใช้วิธีทางการทูตและกฎหมาย แทนที่การใช้กำลัง ขณะที่ทางการญี่ปุ่นแถลงเรียกร้องให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายปฏิบัติตามคำตัดสินของศาล

อมาร์จิต สิงห์ ที่ปรึกษาความเสี่ยงอาวุโสของบริษัทวิจัย ไอเอชเอส คาดการณ์ว่า ผลที่ออกมาจะจำกัดจุดยืนในการต่อรองกรณีพิพาทดินแดนทางทะเลกับประเทศอื่นๆ อย่างไรก็ตามมีความเป็นไปได้ว่าจีนจะมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่รุนแรงหลังจากนี้

คาบสมุทรเกาหลีระอุ

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่กระทรวงกลาโหมเกาหลีใต้ก็ได้ประกาศจะติดตั้งระบบป้องกัน ขีปนาวุธ ทีเอชเอเอดี ของสหรัฐ ไว้ที่เมืองซองจู ทางตอนใต้ของประเทศ ซึ่งสามารถคุ้มกันพื้นที่ราว 2 ใน 3 ของเกาหลีใต้ให้ปลอดภัยจากการโจมตีของเกาหลีเหนือ โดยคาดว่าการติดตั้งจะเสร็จสมบูรณ์ในสิ้นปีหน้า ก่อให้เกิดความกังวลในบรรดาผู้อยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งได้รวมตัวประท้วงให้รัฐบาลยกเลิกการติดตั้ง

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐและเกาหลีใต้ได้ร่วมออกประกาศดังกล่าว ระบุว่า จำเป็นต้องติดตั้งระบบ ทีเอชเอเอดี เพื่อให้รับมือกับภัยคุกคามทางทหารจากเกาหลีเหนือได้ดีขึ้น โดยเมื่อวันที่ 11 ก.ค. ที่ผ่านมา ทางการเกาหลีเหนือออกมาขู่ว่า จะออกมาตรการตอบโต้ทันทีที่ทางการประกาศที่ตั้งของทีเอชเอเอดี

ขณะที่จีนและรัสเซียก็ออกมาคัดค้านการ ติดตั้งระบบดังกล่างอย่างรุนแรงมาตลอด โดยทั้งสองฝ่ายเชื่อว่า ระบบดังกล่าวเป็นส่วนที่สหรัฐใช้ติดตามการดำเนินการขีปนาวุธในจีนและรัสเซีย ขณะที่ชาวเกาหลีใต้หลายฝ่ายกังวลว่า จีนซึ่งเป็นคู่ค้ารายใหญ่สุดอาจจะออกมาตรการแก้แค้นทางเศรษฐกิจ หลังการติดตั้งขีปนาวุธ

บรรยายใต้ภาพ :ไช่อิงเหวินเยือนเรือรบฟริเกต /ภาพ เอเอฟพี

 

มังกรพ่ายอ้างสิทธิพิพาททะเล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:18 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/442640

มังกรพ่ายอ้างสิทธิพิพาททะเล

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

นับตั้งแต่ที่ฟิลิปปินส์ยื่นคำร้องต่อศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ เพื่อคัดค้านการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่มากกว่า 85% ในทะเลจีนใต้ของจีน เมื่อปี 2013 ซึ่งทับซ้อนกับการอ้างกรรมสิทธิ์ บางส่วนในทะเลเดียวกันของ ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย เวียดนาม และไต้หวัน ล่าสุด ศาลอนุญาโตตุลาการมีคำตัดสินปฏิเสธการอ้างอำนาจของจีนในบริเวณดังกล่าว

“ศาลขอตัดสินว่า จีนไม่มีอำนาจตามกฎหมายในการอ้างกรรมสิทธิ์และทรัพยากรเหนือพื้นที่พิพาททะเลจีนใต้ตามแผนที่เส้นประ 9 เส้น” แถลงการณ์ของศาลอนุญาโตตุลาการ ระบุ พร้อมย้ำว่า การสร้างสิ่งปลูกสร้างและเกาะเทียมของจีนในเขตเศรษฐกิจพิเศษจำเพาะ (อีอีแซด) ของฟิลิปปินส์เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และการทำประมงเกินขีดจำกัดและการสร้างเกาะเทียมบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ ยังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล ซึ่งเป็น การกระทำที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

ยิ่งไปกว่านั้น การอ้างกรรมสิทธิ์ของจีนยังเป็นการคุกคามอำนาจอธิปไตยในเขตอีอีแซดของฟิลิปปินส์ ซึ่งการสร้างเกาะเทียมและการกำหนดขอบเขตทำการประมงของเรือประมงจีน เป็นการแทรกแซงเขตประมงและเขตสำรวจทรัพยากรปิโตรเลียมของฟิลิปปินส์

เปอร์เฟคโต ยาเซย์ รัฐมนตรีต่างประเทศของฟิลิปปินส์ ประกาศน้อมรับคำตัดสินของศาลระหว่างประเทศ ขณะที่ ฟูมิโอะ คิชิดะ รัฐมนตรีต่างประเทศของญี่ปุ่น ระบุว่า คำตัดสินของศาลถือเป็นที่สุดและมีผลผูกพันตามกฎหมาย ซึ่งคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายควรปฏิบัติตามคำตัดสินดังกล่าว โดยญี่ปุ่นจะยึดถือต่อหลักการทางกฎหมายและแนวทางสันติภาพเป็นสำคัญ ไม่ใช่การบีบบังคับให้ทำตาม

“ฟิลิปปินส์ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า เราเคารพคำตัดสินดังกล่าวในฐานะที่เป็นก้าวสำคัญในการแก้ปัญหาพิพาทในเขตทะเลจีนใต้” ยาเซย์ กล่าว

อย่างไรก็ดี แม้คำตัดสินของศาลจะมีผล ผูกพันทางกฎหมาย แต่ศาลอนุญาโตตุลาการกลับ ไม่มีอำนาจในการบังคับคู่กรณีทั้ง 2 ฝ่ายให้ปฏิบัติตาม ดังนั้น ท่าทีต่างๆ ของจีนยังคงคลุมเครือ ท่ามกลางการจับต่อมองว่า จีนจะตอบโต้อย่างไร และจะชะลอหรือยุติการสร้างสิ่งปลูกสร้างในเขตพิพาทหรือไม่

จีนยันคำตัดสินไร้ประโยชน์

ทางการจีนปฏิเสธที่จะส่งตัวแทนเข้ารับฟังการตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการ โดยกระทรวง ต่างประเทศจีน ชี้ว่า จีนมีอำนาจอธิปไตยเหนือ หมู่เกาะต่างๆ ในเขตทะเลจีนใต้ ทั้งหมู่เกาะสแปรตลีย์และพาราเซล อีกทั้งมีการบันทึกทางประวัติศาสตร์ว่า ชาวจีนเข้าถึงหมู่เกาะต่างๆ ตั้งแต่ 2,000 ปีก่อน

“อย่างที่ได้แจ้งให้ทราบก่อนหน้านี้ว่า มีหลายประเทศที่เห็นด้วยกับรัฐบาลจีนต่อกรณีการอ้างสิทธิเหนือเขตทะเลจีนใต้ และอำนาจของศาลอนุญาโตตุลาการก็ไม่ชอบด้วยกฎหมาย” ลู่กัง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีน กล่าว พร้อมย้ำว่า จีนจะยึดแนวทางตามอำนาจและบทบัญญัติของกฎหมายระหว่างประเทศ และอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (ยูเอ็นซีแอลโอเอส)

ขณะที่กระทรวงกลาโหมจีน ยืนยันว่า คำตัดสินของศาลไม่กระทบต่ออำนาจอธิปไตยของจีน พร้อมระบุว่า กองทัพจีนจะยืนหยัดปกป้องอำนาจอธิปไตยของประเทศ ความมั่นคง รวมถึงผลประโยชน์และสิทธิทางทะเลของจีน ควบคู่ไปกับการรักษาสันติภาพและเสถียรภาพของภูมิภาค ตลอดจนจัดการ ภัยคุกคามและความท้าทายต่างๆ

ด้านสำนักข่าวซินหัว กระบอกเสียงของรัฐบาลจีน ระบุว่า ศาลจะไม่มีอำนาจในการตัดสินคดี และคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการมีขึ้นตามคำร้องของรัฐบาลฟิลิปปินส์ชุดก่อน ดังนั้นคำตัดสิน ดังกล่าวจึงไม่มีประโยชน์และไม่มีผลทางกฎหมาย เช่นเดียวกับทางการไต้หวันที่ปฏิเสธคำตัดสิน

ญี่ปุ่น-ฟิลิปปินส์ผนึกกำลังต้านจีน

รัฐบาลฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า กองกำลังรักษาความปลอดภัยชายฝั่งของญี่ปุ่น (เจซีจี) และกองกำลังรักษาความปลอดภัยชายฝั่งของฟิลิปปินส์ (พีซีจี) จะฝึกซ้อมรบทางทะเลในวันที่ 13 ก.ค. บริเวณ อ่าวมะนิลา เพื่อยกระดับการเฝ้าระวังโจรสลัด เพิ่มศักยภาพในการป้องกันชายฝั่ง และกระชับความสัมพันธ์ร่วมกันระหว่างญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์

พีซีจี ระบุว่า ปฏิบัติการซ้อมรบดังกล่าว จะดำเนินการต่อหน้าหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของทั้ง 2 ประเทศ เช่นเดียวกับตัวแทนจากสหรัฐและออสเตรเลียที่เข้าร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดยไม่มีเจตนาคุกคามจีน แต่มุ่งเน้นไปที่การจัดการโจรสลัดมากกว่าประเด็นข้อพิพาทในทะเลจีนใต้

ด้านกระทรวงกลาโหมญี่ปุ่น ระบุว่า กองทัพจะจับตาท่าทีของกองทัพจีนในเขตทะเลจีน ตะวันออก หลังเรือตรวจการณ์ของกองทัพจีน แล่นเฉียดอาณาเขตทางทะเลของหมู่เกาะเซนกากุ หรือเตียวหยู เป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 8 มิ.ย.ที่ผ่านมา และกรณีเครื่องบินเจ็ตของจีน 2 ลำ บินขัดขวางเครื่องบินลาดตระเวนอาร์ซี-135 ของสหรัฐ ใน น่านฟ้าสากลบริเวณทะเลจีนตะวันออก ในระยะ ที่ไม่ปลอดภัยและอาจเป็นอันตราย

คาดการณ์ท่าทีตอบสนองต่อคำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการ

จีน – แม้คำตัดสินของศาลอนุญาโตตุลาการจะมีผลผูกพันตามกฎหมาย ทว่าอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (ยูเอ็นซีแอลโอเอส)  ปี 1982 กลับไม่มีอำนาจในการบังคับคู่กรณีให้ปฏิบัติตามคำตัดสิน หากจีนยังยืนกรานปฏิเสธคำตัดสินดังกล่าว และมีแนวโน้มที่ทางการจีน จะเดินหน้าก่อสร้างสิ่งปลูกสร้างทั้งทางทหารและพลเรือนบนเขตพิพาท ต่อไป รวมถึงเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (เอดีไอแซด) เพื่อป้องกันการคุกคามจากกองทัพสหรัฐในบริเวณดังกล่าว

อย่างไรก็ดี ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ไอซีเจ) มีมติรับคดีกรรมสิทธิ์ทับซ้อนในทะเลจีนใต้เข้าสู่การพิจารณาในเดือน ต.ค. 2015 ตามคำร้องของรัฐบาลฟิลิปปินส์ โดยคำตัดสินของไอซีเจสามารถบังคับคู่กรณีให้ปฏิบัติตามคำตัดสินได้ เนื่องจากไอซีเจอยู่ภายใต้อำนาจของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (ยูเอ็นเอสซี) ซึ่งจีนเป็นสมาชิกถาวร

สหรัฐ – กองทัพสหรัฐอาจเพิ่มปฏิบัติการทางทหารมากขึ้นตามหลักเสรีภาพในการสำรวจทางทะเลและน่านฟ้า รวมถึงการเพิ่มความช่วยเหลือทางการทหารให้กับประเทศในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความตึงเครียดในภูมิภาค

ประเทศอื่น – ประเทศอื่นที่อ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำพิพาทเช่นเดียวกับจีน โดยเฉพาะเวียดนามที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากมีแนวโน้มที่ประเทศเหล่านี้จะแสดงท่าทีขัดขืนต่อจีนมากขึ้น ส่วนสิงคโปร์ยืนยัน ไม่เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

 

จับตาศาลระหว่างประเทศชี้คดีทะเลจีนใต้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 กรกฎาคม 2559 เวลา 09:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/442469

จับตาศาลระหว่างประเทศชี้คดีทะเลจีนใต้

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ในวันที่ 12 ก.ค.นี้ ศาลอนุญาโตตุลาการถาวรที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ จะอ่านคำพิพากษา กรณีที่ฟิลิปปินส์ยื่นเรื่องคำร้องต่อศาลคัดค้านการอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่มากกว่า 80% ในทะเลจีนใต้ ของจีนเมื่อปี 2013 ซึ่งทับซ้อนกับการอ้างกรรมสิทธิ์บางส่วนในทะเลเดียวกันของ ฟิลิปปินส์ บรูไน มาเลเซีย เวียดนาม และไต้หวัน

ในการยื่นคำร้องดังกล่าว ฟิลิปปินส์กล่าวหาว่า พฤติกรรมของจีนในทะเลจีนใต้ขัดต่ออนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (ยูเอสซีแอลโอเอส) ปี ค.ศ. 1982 ซึ่งทั้งจีนและฟิลิปปินส์ได้ให้สัตยาบันไว้ อย่างไรก็ตาม จีนประกาศเสมอมาว่า จะไม่ยอมรับคำตัดสินของศาล ทั้งนี้ แม้ว่าคำตัดสินของศาลจะมีผลผูกพันทางกฎหมาย แต่ศาลไม่มีกลไกในการบังคับใช้กฎหมายดังกล่าว

ขณะเดียวกัน จีนก็ได้ซ้อมรบเป็นเวลา 7 วันก่อนการตัดสิน ตั้งแต่วันที่ 5-11 ก.ค. เป็นต้นมา ขณะที่เจ้าหน้าที่ทางการทูตระดับสูงของจีนระบุว่า จะไม่มีการเจรจาประเด็นทะเลจีนใต้ ในการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย-ยุโรป (อาเซม) ในมองโกเลีย ที่จะมีขึ้นวันที่ 14 ก.ค.นี้

“ประเด็นทะเลจีนใต้ เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมที่จะนำมาเจรจากันในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซม และไม่ควรนำเรื่องเสรีภาพในการเดินเรือมาอ้างเพื่อยกเรื่องทะเลจีนใต้มาเป็นประเด็นในการประชุม” กงจวนยู ผู้ช่วยรัฐมนตรีต่างประเทศของจีน ระบุ

สวนทางกับ เจ้าหน้าที่ทูตจากประเทศอื่นๆ ที่ประจำอยู่ในกรุงปักกิ่งผู้มีส่วนร่วมในการจัดการประชุม ระบุว่า ประเด็นเรื่องทะเลจีนใต้ เป็นประเด็นที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการประชุมดังกล่าว

บททดสอบเอกภาพอาเซียน

แม้หลายฝ่ายจะคาดหวังให้ ประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) ซึ่งมีสมาชิก 4 ประเทศที่อ้างกรรมสิทธิ์ทับซ้อน ออกแถลงการณ์สนับสนุนคำตัดสินของศาล ซึ่งเป็นไปตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เห็นแย้งว่า ประเด็นพิพาททะเลจีนใต้ จะกลายเป็นสิ่งสะท้อนความแตกแยกในการดำเนินนโยบายของอาเซียน และคาดว่าท่าทีของอาเซียนหลังคำพิพากษาไม่น่าจะแตกต่างไปจากในปัจจุบัน

ริชาร์ด เฮย์ดาเรียน นักวิเคราะห์ด้านการเมือง ระบุว่า ไม่คาดหวังมติร่วมของอาเซียนในประเด็นนี้ โดยเมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา กัมพูชาได้ออกมาวิจารณ์ว่าอนุญาโตตุลาการเป็นการสมคบคิดทางการเมืองและมีท่าทีต่อต้านคำตัดสินของศาล

ทั้งนี้ กัมพูชาและลาว เป็นสองชาติอาเซียนที่มีเศรษฐกิจพึ่งพาอย่างมากอยู่กับการค้าและความช่วยเหลือจากจีน และคาดว่าเป็นผู้มีส่วนสำคัญให้ยกเลิกแถลงการณ์ร่วมแสดงความกังวลเกี่ยวกับการดำเนินการในทะเลจีนใต้ของอาเซียน เมื่อเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา

นักวิเคราะห์หลายฝ่ายประเมินว่า คาดว่า สมาชิกบางราย เช่น สิงคโปร์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และเวียดนาม อาจจะออกแถลงการณ์เป็นของ ตัวเอง

ตังเสี่ยวมุน ประธานศูนย์อาเซียนศึกษาของสถาบันวิจัย อิเซียส ยูโซฟ อิชัค ในสิงคโปร์ ระบุว่า รัฐมนตรีต่างประเทศอาเซียนอาจจะจัดการประชุมระดับสูงเพื่อหารือประเด็นดังกล่าวตามมาในภายหลัง ซึ่งปฏิกิริยาต่อคำตัดสินนี้จะกลายเป็นตัวบ่งชี้เอกภาพของอาเซียน แต่ก็ไม่น่าจะสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรมากนัก

แนวทางตอบโต้หากคำพิพากษาของศาลออกมาไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อจีน

การตอบโต้ในระดับเบา

กลุ่มชาตินิยมในจีนอาจจะเรียกร้องอธิปไตยของประเทศ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศจีนอาจออกแถลงการณ์ปฏิเสธการยอมรับคำตัดสินของศาล ต่อมารัฐบาลจีนอาจจะยกข้อสนับสนุนของประเทศอื่นๆ อีก 60 ประเทศมายืนยันร่วมสนับสนุนการอ้างกรรมสิทธิ์ของจีน ขณะที่ในทางการทูต จีนอาจจะร่วมการเจรจากับโดยตรงกับประธานาธิบดี โรดริโก ดูเตอร์เต ของฟิลิปปินส์ ที่มีท่าทีต้องการกระชับความสัมพันธ์กับจีนมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาจีนมีท่าทีผ่อนปรนมาอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ได้ยุติการคุกคามชาวประมงฟิลิปปินส์ที่เข้ามาใกล้พื้นที่ รวมทั้งได้ระงับการประจำการทหารในส่วนแนวปะการังและแนวหินโสโครกที่จีนเอาพื้นดินไปถม ในบริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์

การตอบโต้ในระดับกลาง

จีนอาจจะประกาศเขตแสดงตนเพื่อการป้องกันภัยทางอากาศ (เอดีไอแซด) ซึ่งทำให้เครื่องบินพาณิชย์และเครื่องบินรบจะต้องแสดงแผนเที่ยวบินกับทางการจีน รวมทั้งอาจจะยกระดับการลาดตระเวนของตำรวจลาดตระเวนชายฝั่งและทหารเรือ ซึ่งนำไปสู่การคุกคามชาวประมงฟิลิปปินส์ นอกจากนี้จีนยังอาจจะยกเลิกการลงนามในอนุสัญญายูเอสซีแอลโอเอส

ทั้งนี้ พฤติกรรมเหล่านี้อาจจะทำให้ประเทศอื่นๆ ที่เข้ามามีส่วนได้ส่วนเสียร่วมมือกันยกระดับการลาดตระเวนทางทหาร โดยเฉพาะจากสหรัฐที่ตั้งตนเป็นตำรวจรักษาเสรีภาพในการเดินเรือ หลังรัฐมนตรีความมั่นคงฝรั่งเศสเรียกร้องให้ชาติยุโรปร่วมลาดตระเวนน่านน้ำเอเชีย เมื่อเดือนที่แล้ว

การตอบโต้ระดับรุนแรง

จีนอาจจะแสดงแสนยานุภาพทางทหาร จากขีปนาวุธที่ติดตั้งในแนวหินโสโครกซึ่งสามารถโจมตีไดถึงกรุงมะนิลาหรือฐานทัพสหรัฐในฟิลิปปินส์ โดยจีนมีโครงสร้างพื้นฐานในเกาะเทียมสนับสนุนปฏิบัติการทางทหาร

ปฏิกิริยานี้จะทำให้สหรัฐ  ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก หลัง แอชตัน คาร์เตอร์ รัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐ กล่าวเมื่อเดือน มิ.ย.ว่า จะตอบโต้หากจีนสร้างสิ่งปลูกสร้างในแนวหินโสโครกเพิ่มโดยไม่มีเหตุผลเหมาะสมหลังจากนี้

จีนจำเป็นต้องทำตามคำตัดสินหรือไม่

รัฐบาลจีนได้ประกาศก่อนหน้าแล้วว่า ไม่ยอมรับและจะไม่ทำตามผลตัดสินของศาล โดยคำตัดสินของศาลมีผลผูกพันแต่ไม่มีอำนาจในการบังคับต่อคู่กรณี ซึ่งหลายฝ่ายก็คาดการณ์ว่า จีนจะไม่ยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างบนเกาะเทียมแม้จะมีคำสั่งศาลออกมา

อย่างไรก็ตาม คำตัดสินอาจจะเพิ่มความชอบธรรมของสหรัฐในการดำเนินการลาดตระเวนชายฝั่ง รวมทั้งหาแนวร่วมพันธมิตรสนับสนุนหน่วยลาดตระเวนเดิมที่มีอยู่ เพื่อต่อต้านพฤติกรรมจีน

ภาพ เอพี

 

คอลเซ็นเตอร์ฟิลิปปินส์ปรับทัพ รับวัน‘หุ่นยนต์’แย่งงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/440783

คอลเซ็นเตอร์ฟิลิปปินส์ปรับทัพ รับวัน‘หุ่นยนต์’แย่งงาน

โดย…นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

ฟิลิปปินส์นับเป็นประเทศที่ประชากรจำนวนมากสามารถสื่อสารภาษาอังกฤษได้ และมีอัตราค่าแรงที่ไม่สูงมากนัก บริษัทตะวันตกหลายแห่งที่ต้องการลดต้นทุนค่าใช้จ่าย จึงหันมาว่าจ้างชาวฟิลิปปินส์ให้ทำงานบริการข้อมูลลูกค้าทางโทรศัพท์ หรือคอลเซ็นเตอร์ โดยวอลสตรีท เจอร์นัล ระบุว่า ในปัจจุบันชาวฟิลิปปินส์ที่ทำงานคอลเซ็นเตอร์มีจำนวนมากถึง 1.2 ล้านคน

ทว่าในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้ ระบบอัตโนมัติ (Automation) หรือการใช้หุ่นยนต์ทำงาน อาจเข้ามาทำงานแทนที่พนักงานคอลเซ็นเตอร์ในฟิลิปปินส์ให้ได้เห็นกันแล้ว

แม้ว่าปัจจุบันนี้ หุ่นยนต์ยังไม่ฉลาดพอที่จะทำหน้าที่ตอบคำถามหรือให้คำแนะนำแทนพนักงานคอลเซ็นเตอร์ได้โดยสมบูรณ์ แต่ เบเนดิกต์ เฮอร์นันเดส กรรมการบริหารสมาคมการจัดการบริหารระบบธุรกิจและไอทีในฟิลิปปินส์ แสดงความเชื่อมั่นว่า ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า หุ่นยนต์จะสามารถทำหน้าที่ให้บริการลูกค้าแทนมนุษย์ได้

ตัวอย่างความเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ในขณะนี้ คือที่ประเทศ “อินเดีย” ซึ่งเป็นประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่สามารถพูดภาษาอังกฤษได้เช่นเดียวกับฟิลิปปินส์ และเป็นแหล่งรวมพนักงานเอาต์ซอร์ส ที่ทำงานด้านบริการเทคโนโลยีสารสนเทศ โดยก่อนหน้านี้บริษัทต่างๆ ต้องจ้างวิศวกรจำนวนหลายสิบคนเพื่อดูแลระบบเครือข่ายของบริษัท แต่ในปัจจุบัน การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการควบคุมเครือข่าย ทำให้บริษัทสามารถลดการจ้างพนักงานลง

ปัจจุบัน อุตสาหกรรมเอาต์ซอร์สซิ่งของฟิลิปปินส์สร้างรายได้ให้ประเทศ 2.13 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.47 แสนล้านบาท) ในปี 2015 โดยธุรกิจคอลเซ็นเตอร์คิดเป็นสัดส่วน
ถึง 62%

หากระบบอัตโนมัติเข้ามาทำงานแทนที่พนักงานคอลเซ็นเตอร์ได้เมื่อใด ประชากรฟิลิปปินส์รุ่นใหม่ที่กำลังก้าวเข้ามาทำงานธุรกิจดังกล่าวจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน ดังนั้นแนวโน้มความอยู่รอดของภาคอุตสาหกรรมจึงมีความสำคัญอย่างมาก

ผู้เชี่ยวชาญในแวดวงอุตสาหกรรมเอาต์ซอร์สซิ่งหลายรายของฟิลิปปินส์ ต่างเชื่อว่า จำเป็นต้องมีการยกระดับภาคอุตสาหกรรมเอาต์ซอร์สซิ่ง โดยขยับขยายการดำเนินงานออกไปนอกเหนือจากบริการคอลเซ็นเตอร์มากขึ้น เช่น การบริหารจัดการบริการสุขภาพ การทำแอนิเมชั่น หรือการพัฒนาเกม โดยอนาคตของภาคอุตสาหกรรมขึ้นอยู่กับการกำหนดนโยบายการศึกษา เพื่อสร้างแรงงานที่มีทักษะซับซ้อนและสามารถทำงานได้หลากหลายมากกว่าเดิม ซึ่งจะนำไปสู่การพัฒนาภาคอุตสาหกรรมต่อไป เมื่อพนักงานมีทักษะต่างๆ มากพอ จะสามารถหันไปทำงานอย่างอื่นได้นอกจากการบริการข้อมูลลูกค้าทางโทรศัพท์

ทาสก์อัส บริษัทเอาต์ซอร์สซิ่งสหรัฐรายใหญ่ที่มีสำนักงานในฟิลิปปินส์ มองว่า “นวัตกรรม” คือกุญแจสำคัญในการอยู่รอด โดยบริษัทนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการทำงานมากขึ้น เช่น ให้พนักงานบริการลูกค้าผ่านการแชตออนไลน์ และเน้นที่การดูแลคอนเทนต์บนเว็บไซต์ของบริษัทแทน ซึ่งทำให้พนักงานที่ทำหน้าที่รับโทรศัพท์อย่างเดียวมีสัดส่วนน้อยลง

ทาสก์อัส เสริมว่า เมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ งานเอาต์ซอร์สซิ่งของฟิลิปปินส์เกือบ 100% เป็นการทำงานผ่านโทรศัพท์ แต่ในปัจจุบันตัวเลขดังกล่าวลดลงมาอยู่ที่เพียง 60% และมีแนวโน้มลดลงเรื่อยๆ

“ธุรกิจเอาต์ซอร์สซิ่งของฟิลิปปินส์สามารถขยายตัวต่อไปได้ แต่ภาคอุตสาหกรรมก็ต้องการแรงงานที่มีทักษะและความรู้มากขึ้น คำถามคือฟิลิปปินส์จะผลิตแรงงานกลุ่มดังกล่าวได้มากพอหรือไม่” ไบรซ์ แมดด็อก กรรมการบริหารบริษัททาสก์อัส กล่าว

แม้ว่าระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติมีแนวโน้มทำให้พนักงานคอลเซ็นเตอร์จำนวนมากของฟิลิปปินส์ต้องตกงานในอนาคต แต่เมื่อมองอีกมุมหนึ่ง นั่นไม่ใช่ข่าวร้ายเสียทีเดียว

เบเกอร์ แอนด์ แมคเคนซี บริษัทกฎหมายจากสหรัฐ ที่ว่าจ้างพนักงานเอาต์ซอร์สในฟิลิปปินส์กว่า 900 คน ระบุว่า การนำระบบอัตโนมัติมาใช้ในการทำงานคอลเซ็นเตอร์ เป็นโอกาสสำหรับชาวฟิลิปปินส์มากกว่าจะเป็นภัยคุกคาม

แกเบรียล พาร์โด กรรมการบริหารฝ่ายเอาต์ซอสซิ่งของบริษัท มองว่า ระบบอัตโนมัติช่วยให้พนักงานในฟิลิปปินส์ได้เปลี่ยนไปทำงานอื่นที่มีความท้าทาย และสร้างรายได้มากยิ่งขึ้น เช่น การบริหารพอร์ตทรัพย์สินทางปัญญาของลูกค้า แต่ฟิลิปปินส์ต้องเร่งพัฒนาทักษะของประชากรรุ่นเยาว์เพื่อแข่งขันกับคู่แข่งหน้าใหม่อย่างอินโดนีเซียและเวียดนาม ที่กำลังเดินหน้ายกระดับอุตสาหกรรมเอาต์ซอร์สซิ่งของประเทศเช่นกัน

 

‘ปราบเลี่ยงภาษี-อังกฤษป่วน’ฉุดควบรวมกิจการทั่วโลกทรุด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 กรกฎาคม 2559 เวลา 08:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/440604

'ปราบเลี่ยงภาษี-อังกฤษป่วน'ฉุดควบรวมกิจการทั่วโลกทรุด

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หลังจากที่เครือข่ายผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (ไอซีไอเจ) เปิดเผยเอกสารปานามา เปเปอร์ส เรื่องความพยายามเลี่ยงภาษีทั่วโลกครั้งใหญ่ในเดือน เม.ย.ที่ผ่านมา ได้นำไปสู่การคุมเข้มดูแลการเข้าซื้อและควบรวมกิจการ (เอ็มแอนด์เอ) ซึ่งเป็นหนึ่งในการเลี่ยงภาษีของธุรกิจในหลายประเทศมากขึ้น

ข้อมูลจากทอมสัน รอยเตอร์ส พบว่า การควบรวมกิจการในไตรมาส 2 ปีนี้ มีมูลค่าอยู่ที่ 8.39 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 29 ล้านล้านบาท) ปรับตัวลดลงถึง 32.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบของการคุมเข้มการเลี่ยงภาษี และข้อตกลงบางรายการยังเสี่ยงกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ ทว่าตัวเลขดังกล่าวยังดีขึ้นจากช่วงไตรมาสแรก 14.2%

ทั้งนี้ ปี 2015 ได้ชื่อว่าเป็นปีแห่งการควบรวมกิจการ โดยข้อมูลของดีลโลจิค สถาบันทางการเงินในสหรัฐ เปิดเผยว่า ในปีที่แล้วมีจำนวนธุรกิจที่ตัดสินใจควบรวมกิจการราว 112 ราย มูลค่าทั่วโลกราว 4.7 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 168 ล้านล้านบาท)

ทว่าในปี 2016 ตัวเลขการควบรวมกิจการปรับตัวลง เนื่องจากมีการยกเลิกข้อตกลงเอ็มแอนด์เอต่างๆ มากขึ้น เช่นกรณีของ ไฟเซอร์ ผู้ผลิตยารายใหญ่ของสหรัฐ ที่ต้องยกเลิกการควบรวมกิจการกับ อัลเลอร์แกน บริษัทยาจากไอร์แลนด์ มูลค่า 1.6 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.6 ล้านล้านบาท) หลังกระทรวงการคลังสหรัฐออกกฎใหม่ป้องกันไม่ให้บริษัทหลบเลี่ยงภาษี ด้วยการเข้าไปซื้อหรือควบรวมกิจการกับบริษัทในประเทศที่มีอัตราภาษีต่ำกว่า

นอกจากนี้ ยังรวมถึงข้อตกลงของ ไบเออร์  เอจี บริษัทยาและเคมีภัณฑ์ยักษ์ใหญ่ในเยอรมนี ที่เสนอซื้อ มอนซานโต บริษัทสินค้าเกษตรรายใหญ่ของสหรัฐ ในวงเงิน 6.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.2 ล้านล้านบาท) หรือราคาต่อหุ้นที่ 122 เหรียญสหรัฐ (ราว 4,348 บาท) และจ่ายเป็นเงินสดทั้งหมด ทว่ามอนซานโตกลับปฏิเสธข้อเสนอดังกล่าว พร้อมเรียกร้องให้ไบเออร์เพิ่มมูลค่าการเข้าซื้อ

จากการที่รัฐบาลทั่วโลกเริ่มตื่นตัวตรวจสอบ ปราบปราม และกวาดล้างการเลี่ยงภาษี ส่งผลให้บรรดาผู้บริหารของบริษัทเอกชนต้องคิดทบทวนหลายครั้งก่อนที่จะยื่นข้อตกลงควบรวมกิจการ ซึ่งเมื่อตัดสินใจดำเนินการแล้ว ข้อตกลงดังกล่าวจะถูกจับตามองจากรัฐบาลของประเทศนั้นๆ ทันที

แกรี่ พอสเตอร์แนค หัวหน้าฝ่ายเอ็มแอนด์เอของธนาคารบาร์เคลย์ ระบุว่า ภาคธุรกิจเริ่มลังเลที่จะเผชิญหน้ากับกฎระเบียบและการตรวจสอบทางภาษี หากมีการควบรวมกิจการหรือทำธุรกรรมทางเงินในรูปแบบเดียวกับปีก่อนหน้า

ยิ่งไปกว่านั้น ผลจากการลงประชามติถอนตัวออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษ หรือ เบร็กซิต เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. ยังส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นในการยื่นหรือตอบรับข้อเสนอควบรวมกิจการ โดยข้อตกลงเอ็มแอนด์เอในสหราชอาณาจักรปรับ ตัวลง 85% ในไตรมาส 2 เมื่อเทียบรายปี ขณะที่ เอ็มแอนด์เอในยุโรปปรับตัวลง 41% ในไตรมาสเดียวกัน อยู่ที่ 1.47 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 5.16 ล้านล้านบาท) เช่นเดียวกับเอ็มแอนด์เอในสหรัฐที่ลดลง 23% อยู่ที่ 4.21 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 14.78 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ)

เอเดรียน มี่ หัวหน้าร่วมฝ่ายเอ็มแอนด์เอของแบงก์ ออฟ อเมริกา ระบุว่า เบร็กซิตอาจส่งผล กระทบต่อการควบรวมกิจการในอนาคต เนื่องจากจะยิ่งเพิ่มความผันผวนในตลาดและส่งผลกระทบด้านลบต่อเศรษฐกิจโลกในภาพรวม อีกทั้งอนาคตที่ยังไม่แน่นอนของอังกฤษว่าจะอยู่หรือไปจากอียู ยังส่งผล กระทบต่อการตัดสินใจควบรวมกิจการตลอดทั้งปีนี้ด้วย

อย่างไรก็ดี แมธ แมคเคลอร์ หัวหน้าร่วมฝ่ายเอ็มแอนด์เอของโกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจ รายใหญ่ในสหรัฐ ระบุว่า ยังเป็นการเร็วเกินไปที่จะตัดสินว่า เบร็กซิตส่งผลให้การควบควมกิจการทั่วโลกปรับตัวลง เนื่องจากปัจจัยด้านบวกต่อการควบรวมกิจการยังคงมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นความต้องการขยายกิจการผ่านเอ็มแอนด์เอ โอกาสในการพัฒนาผลตอบแทนผ่านการทำงานร่วมกัน และต้นทุนในการกู้ยืมอยู่ในระดับต่ำ ส่งผลดีต่อการกู้ยืมเงินเพื่อเข้าซื้อกิจการ

100 ชาติผนึกกำ ลังจัดการเลี่ยงภาษี

องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) เปิดเผยว่า ขณะนี้มีประเทศกว่า 100 ประเทศร่วมมือต่อต้านการเลี่ยงภาษี หลังมีการเปิดเผยเอกสารปานามา เปเปอร์ส โดย ทาโร อาโสะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น กล่าวระหว่างการประชุมโออีซีดี ซึ่งจัดขึ้นที่ญี่ปุ่น ว่า 46 ประเทศเห็นชอบให้มีการเพิ่มความเข้มงวดกฎระเบียบทางภาษีระหว่างประเทศ เพื่อป้องกันการเลี่ยงภาษีของบรรษัทข้ามชาติ 35 ประเทศและฮ่องกงเข้าร่วมแผนงานปราบปรามการเลี่ยงภาษีแบบใหม่ และอีก 22 ประเทศเข้าร่วมการประชุม ซึ่งคาดว่าจะร่วมมือกับโออีซีดีภายในสิ้นปีนี้

ปาสคาล แซงต์-อามองส์ ผู้อำนวยการด้านนโยบายภาษีและการบริหารของโออีซีดี ระบุว่า ความร่วมมือดังกล่าวถือเป็นการเปลี่ยนโฉมหน้าความร่วมมือด้านภาษีระหว่างประเทศครั้งใหญ่ จากที่มีแต่ประเทศสมาชิกโออีซีดีและกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 20 ประเทศ (จี20) เข้าร่วม ทว่าในปีนี้ ฮ่องกงและสิงคโปร์ได้เข้าร่วมแผนงานด้วย นอกจากนี้ ที่ประชุมยังเห็นชอบให้มีการวางมาตรการสำหรับประเทศที่ไม่สามารถปราบการเลี่ยงภาษีได้ โดยจะให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีระหว่าง 100 ประเทศที่เข้าร่วม เริ่มต้นปี 2017 โดยประเทศที่จะเข้าร่วมต้องยินยอมให้มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลทางภาษีหากมีการร้องขอ

ทั้งนี้ โออีซีดีคาดการณ์ว่า รายได้ที่สูญหายไปจากการเลี่ยงภาษีอาจอยู่ที่ 1-2.4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ/ปี (ราว 3.5-8.4 ล้านล้านบาท)

ภาพเอเอฟพี

 

“เบร็กซิต”ฉุดปอนด์ถูก โลกแห่ช็อปอังกฤษ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 มิถุนายน 2559 เวลา 08:11 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/440380

"เบร็กซิต"ฉุดปอนด์ถูก โลกแห่ช็อปอังกฤษ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ค่าเงินปอนด์ร่วงลงอย่างรุนแรงกว่า 10% ไปแตะระดับเดียวกับปี 1985 เมื่อเทียบกับค่าเงินเหรียญสหรัฐ หลังจากสหราชอาณาจักรตัดสินใจออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต และค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงนี้เอง ได้กลายเป็นปัจจัยดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนและสหรัฐให้เข้าไปท่องเที่ยวและกว้านซื้อสินค้า ตลอดจนอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษกันอย่างคับคั่ง

เว็บไซต์การท่องเที่ยวซีทริป ดอท คอม เปิดเผยว่า ยอดค้นหาโปรแกรมท่องเที่ยวอังกฤษของชาวจีนพุ่งขึ้นมาก หลังคาดการณ์การท่องเที่ยวอังกฤษจะถูกลงถึง 1 ใน 3 ในช่วงฤดูร้อนนี้ หรือช่วงเดือน มิ.ย-ส.ค. พร้อมโปรโมทการท่องเที่ยวอังกฤษด้วยคำเชิญชวน “ซื้อ ซื้อ ซื้อ” เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนเป็นนักช็อปรายใหญ่ของโลก

“ผมไม่แปลกใจเลยที่จะเห็นนักท่องเที่ยวชาวจีนและตะวันออกกลางเข้ามาเที่ยวในสหราชอาณาจักร ในขณะที่มูลค่าการจับจ่ายใช้สอยเพิ่มขึ้น ผู้คนมาท่องเที่ยวเพื่อจะได้ส่วนลด 5-10% 10-20%” เอดูอาร์ด เมย์ลัน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของ เอช. โมเซอร์ แอนด์ ซี ผู้ผลิตนาฬิกาสัญชาติสวิตเซอร์แลนด์

ในขณะเดียวกัน ทราเวลซู เว็บไซต์ค้นหาที่พักและสถานที่ท่องเที่ยวของชาวอเมริกัน เปิดเผยว่า ยอดชาวอเมริกันที่ค้นหาการท่องเที่ยวในอังกฤษระหว่างวันที่ 24-27 มิ.ย. ได้เพิ่มขึ้นถึง 35.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

ภาคการท่องเที่ยวอังกฤษนับเป็นรายได้ใหญ่ที่สุดของประเทศ ด้วยมูลค่าปีละ 1.21 แสนล้านปอนด์ (ราว 4.2 ล้านล้านบาท) และคิดเป็น 7.1% ของขนาดเศรษฐกิจอังกฤษ และนอกจากค่าเงินปอนด์จะช่วยการท่องเที่ยวแล้ว ยังช่วยให้สินค้าของอังกฤษได้รับความนิยมมากขึ้นด้วย โดย หลิวอี้เชียง เศรษฐีชาวจีนประมูลซื้อภาพจากศิลปินชาวอังกฤษด้วยราคา 52.2 ล้านปอนด์ (ราว 2,411 ล้านบาท) แพงที่สุดในงานประมูลเมื่อวันที่ 28 มิ.ย.ที่ผ่านมา

นอกจากนี้ หนังสือพิมพ์เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ ระบุว่า ชาวจีนยังเข้าไปซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ เนื่องจากค่าเงินปอนด์ที่ถูกลงนั้นเสมือนได้ส่วนลด 10% โดยจากผลสำรวจผู้เชี่ยวชาญชาวจีน 411 คน พบ 46% เชื่อแรงซื้อในอังกฤษจะปรับตัวเพิ่มขึ้นหลังจากเบร็กซิต เมื่อเทียบกับ 25% ที่ไม่เห็นด้วย

แบรนด์เนมแดนผู้ดีได้ประโยชน์

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า นักท่องเที่ยวไปเที่ยวอังกฤษจำนวนมากขึ้นจะเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนอังกฤษ เช่น เบอร์เบอรี่ กรุ๊ป แบรนด์แฟชั่นขนาดใหญ่ของอังกฤษและมัลเบอร์รี่ กรุ๊ป บริษัทด้านสินค้าแฟชั่น ซึ่งกำลังประสบกับแรงซื้อหดตัวและสถานการณ์ความไม่สงบจากภัยก่อการร้ายที่ฉุดภาคท่องเที่ยว

จอห์น กาย นักวิเคราะห์จากเมนเฟิร์ส แบงก์ คาดการณ์ว่า ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลง 10% จะช่วยเพิ่มรายได้ให้เบอร์เบอรี่ 90 ล้านปอนด์ (ราว 4,158 ล้านบาท) ทั้งนี้ บลูมเบิร์ก ระบุว่า อังกฤษเป็นตลาดสินค้าฟุ่มเฟือยใหญ่อันดับ 6 ของโลกที่มูลค่า 1.55 หมื่นล้านยูโร (ราว 5.95 แสนล้านบาท)

นอกจากนี้ มิเชล หม่า นักวิเคราะห์ของบลูมเบิร์ก ยังระบุอีกด้วยว่า นักท่องเที่ยวจีนหากเปลี่ยนจุดหมายการท่องเที่ยวจากญี่ปุ่นมายังสหราชอาณาจักรและยุโรป จะช่วยให้นักช็อปสามารถประหยัดเงินได้มากถึง 40% เนื่องจากค่าเงินปอนด์ที่อ่อนค่าลงเทียบกับหยวนนี่เอง ขณะที่ในปีที่แล้ว ชาวจีนมีการเดินทางไปยังอังกฤษมากขึ้น 46% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ญี่ปุ่นเสียหายค่าเงินเยนแข็ง

บลูมเบิร์ก ระบุว่า หากนักท่องเที่ยวจีนเห็นค่าเงินปอนด์ถูกและหันมาท่องเที่ยวอังกฤษแทน จะส่งผลกระทบกับแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมในปัจจุบันของชาวจีน โดยเฉพาะญี่ปุ่น ซึ่งแม้จำนวนนักท่องเที่ยวจีนจะเริ่มชะลอตัวลงจากค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นตลอดปี 2016 นี้ แต่เมื่อเดือนพ.ค.ที่ผ่านมา ยอดนักท่องเที่ยวจีนที่เข้าไปเที่ยวญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น 31% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน

นอกจากนี้ ญี่ปุ่นเองก็ประสบกับค่าเงินเยนแข็งค่าหลังจากเบร็กซิต โดยฟื้นตัวลงจากระดับ 99 เยน/เหรียญสหรัฐ หรือแข็งค่าที่สุดในรอบ 2 ปีครึ่ง เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขึ้นมาอยู่ที่ราว 102 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อวันที่ 29 มิ.ย.ที่ผ่านมา และทำให้ความดึงดูดเพื่อเข้าไปท่องเที่ยวญี่ปุ่นปรับตัวลดลง

โยโกะ ยามาซากิ ผู้จัดการทั่วไปฝ่ายวางแผนของลาอ็อกซ์ ผู้ดำเนินการร้านค้าปลอดภาษีของญี่ปุ่น กล่าวว่า ถ้าค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นไม่มีแนวโน้มที่จะยุติลง จะทำให้ผู้คนยกเลิกการมาท่องเที่ยวญี่ปุ่น และเข้าไปท่องเที่ยวประเทศอื่น โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะซื้อสินค้าราคาแพงน้อยลง เช่น หินปะการังสีแดงที่มีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านเยน (ราว 3 ล้านบาท)

ผู้ประกอบการอังกฤษรอดูระยะยาว

จิม ฟอร์เวิร์ด ประธานบริหารของเอชเอฟ ฮอลิเดย์ บริษัทไกด์ทัวร์สัญชาติอังกฤษ เปิดเผยว่า ค่าเงินปอนด์ยังคงเป็นปัจจัยสำคัญสำหรับสถานการณ์ของการท่องเที่ยวอังกฤษในอนาคต โดยที่ผ่านมา การเคลื่อนไหวของค่าเงินส่งผลต่อจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งในและนอกประเทศเพียงเล็กน้อย แต่มักจะได้รับผลหากค่าเงินเคลื่อนไหวในระยะยาวมากกว่า

นอกจากนี้ สำนักข่าวบีบีซี ระบุว่า อุตสาหกรรมท่องเที่ยวอังกฤษย่อมได้รับผลกระทบจากการจำนวนนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจที่ลดลงหลังเบร็กซิต ซึ่งกลุ่มนักธุรกิจนี้เป็นกลุ่มสำคัญต่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวอังกฤษมากกว่านักท่องเที่ยวที่มาพักผ่อนทั่วไป

สตีเฟน บรูมี หัวหน้าที่ปรึกษาภาคการโรงแรมจากไพร้ซวอเตอร์เฮาส์คูเปอร์ส เปิดเผยว่า ธุรกิจโรงแรมต้องการจำนวนนักท่องเที่ยวทั่วไปเพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า เพื่อทดแทนนักท่องเที่ยวเชิงธุรกิจที่เสียไป โดยโรงแรมมักได้รายได้จากนักธุรกิจมากกว่าที่จะเป็นนักท่องเที่ยวทั่วไป

 

ว่าที่นายกฯอังกฤษยันไม่ออกตลาดร่วมอียู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 มิถุนายน 2559 เวลา 08:50 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/439886

ว่าที่นายกฯอังกฤษยันไม่ออกตลาดร่วมอียู

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หลังจากที่ผลการลงประชามติประกาศออกมาอย่างเป็นทางการให้อังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (อียู) หรือเบร็กซิต เป็นฝ่ายชนะ ทุกสายตาต่างจับจ้องไปที่ บอริส จอห์นสัน ตัวเต็งผู้ที่จะเข้ารับตำแหน่งแทนนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน และผู้นำโครงการรณรงค์ออกจากสหภาพยุโรป ซึ่งได้ออกมายืนยันว่า อังกฤษจะไม่หันหลังให้กับยุโรปอย่างสิ้นเชิง โดยอังกฤษจะรักษาการเข้าถึงตลาดร่วมของอียูไว้

จอห์นสัน ระบุว่า หลังจากนี้อังกฤษจะมีความสัมพันธ์ในรูปแบบพันธมิตรทางการค้ากับอียู แทนที่ความสัมพันธ์ในระบบสหพันธรัฐแบบเดิม และเศรษฐกิจของอังกฤษจะยังสามารถขยายตัวได้จากข้อตกลงการค้าต่างๆ แม้จะอยู่นอกอียูแล้ว นอกจากนี้ยังยืนยันว่าเศรษฐกิจยังอยู่ในระดับที่ดี จากการดำเนินการของรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ได้ลดการใช้จ่ายภาครัฐลงไปจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม แม้จะยังไม่ได้ระบุถึงรายละเอียดในเชิงนโยบาย แต่จอห์นสันส่งสัญญาณว่า จะยกเลิกการเคลื่อนไหวเสรีแรงงาน โดยระบุว่า รัฐบาลจะต้องปรับใช้นโยบายการรับผู้อพยพให้สอดคล้องกับความต้องการภาคธุรกิจและอุตสาหกรรม

ขณะที่ จอร์จ ออสบอร์น รัฐมนตรีคลังอังกฤษ ออกแถลงการณ์ครั้งแรกตั้งแต่เบร็กซิต เพื่อยืนยันกับตลาดถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจอังกฤษ โดยระบุว่า อังกฤษพร้อมปรับนโยบายเศรษฐกิจให้เข้ากับสถานการณ์หลังจากนี้ โดยได้ส่งสัญญาณว่าจะไม่มีการเรียกเก็บงบประมาณฉุกเฉินอย่างกะทันหัน อย่างไรก็ดี การดำเนินนโยบายเศรษฐกิจใหม่อาจเกิดขึ้นหลังนายกรัฐมนตรีคนใหม่เข้าดำรงตำแหน่งในเดือน ต.ค.นี้

ด้าน คริสติน ลาการ์ด ผู้อำนวยการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) เตือนให้อังกฤษและอียูเร่งสร้างความชัดเจนเกี่ยวกับสถานะของอังกฤษ หลังการลงประชามติออกจากการเป็นสมาชิกอียู โดยขอบเขตของผลกระทบดังกล่าวขึ้นอยู่กับระดับความชัดเจนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ใหม่ทางเศรษฐกิจ การค้า และการเมือง

ลาการ์ด เสริมว่า แรงเทขายในตลาดหุ้นและเงินปอนด์เป็นความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันกะทันหัน แต่ไม่น่าวิตก เนื่องจากธนาคารกลางต่างๆ เตรียมตัวพร้อมรับสถานการณ์แล้ว โดยได้เตรียมเสริมสภาพคล่องในตลาด ทำให้ตลาดยังคงเคลื่อนไหวได้ดีกว่าในระดับวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 อยู่มาก อย่างไรก็ดี ท่าทีของอังกฤษและ อียูในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ จะเป็นตัวบ่งชี้ทิศทางความเสี่ยงในตลาดต่อไป โดยยังมีแนวโน้มเกิดความผันผวนทางเศรษฐกิจโลกต่อ และเศรษฐกิจอังกฤษและอียูจะได้รับผลกระทบอย่างแน่นอน

ธนาคารกลางเตรียมรับมือ

ด้านผู้ว่าการธนาคารกลางเกาหลีใต้ (บีโอเค) ที่ยืนยันจะรักษาสภาพคล่องในตลาดให้เพียงพอ โดยระบุว่า ตลาดเริ่มปรับตัวผันผวนน้อยลงจากเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. และการเคลื่อนไหวในตลาดยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ เช่นเดียวกับธนาคารกลางอินโดนีเซีย เปิดเผยว่า ผู้ว่าการธนาคารกลาง 30 แห่งทั่วโลก เตรียมพร้อมรักษาเสถียรภาพของตลาดทุนและทำงานร่วมกันอย่างใกล้ชิด เพื่อสนับสนุนมาตรการของบีโออี

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ก็ได้ออกคำสั่งให้บีโอเจรับรองเสถียรภาพของตลาดทุน และร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับกลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 ชาติ (จี7)  เพื่อออกนโยบายตอบสนองอย่างรวดเร็วและเหมาะกับสถานการณ์ หลังรัฐบาลและธนาคารกลางได้ร่วมประชุมมาตรการฉุกเฉินรับมือเบร็กซิต

แหล่งข่าวที่ใกล้ชิดกับรัฐบาลญี่ปุ่น เปิดเผยกับสำนักข่าวรอยเตอร์สว่า รัฐบาลกำลังพิจารณาออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในปีนี้ โดยอาจจะมีมูลค่ามากกว่า 10 ล้านล้านเยน (ราว 3.47 ล้านล้านบาท) เพื่อรับมือกับเบร็กซิต อย่างไรก็ดี คาสึโอะ โมมา อดีตฝ่ายบริหารของบีโอเจ ระบุว่า มีความเป็นไปได้ที่บีโอเจจะไม่ออกมาตรการกระตุ้น หากความวุ่นวายในตลาดจากเบร็กซิตเกิดขึ้นเพียงชั่วคราว อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ที่บีโอเจจะเข้าแทรกแซงตลาด เพื่อจัดการกับค่าเงินเยนที่แข็งค่าอย่างหนัก

ทั้งนี้ ค่าเงินเยนปรับตัวอยู่ที่ 101.78 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 07.08 น. ในตลาดลอนดอน เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา หลังแข็งค่าขึ้นมากที่สุดตั้งแต่ปี 1973 แตะระดับ 99 เยน/เหรียญสหรัฐ ในระหว่างการซื้อขายเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้านนักกลยุทธ์และนักลงทุนจากเอชเอสบีซี ซิตี้ กรุ๊ป และจีซีไอ แอสเซท แมเนจเมนต์ มองว่าค่าเงินเยนยังมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นอีก โดยอาจเพิ่มขึ้นแตะระดับ 95 เยน/เหรียญสหรัฐ ในสิ้นปีนี้

ขณะที่ค่าเงินปอนด์ฟื้นตัวขึ้นมาจากระดับต่าสุดในรอบ 31 ปี ขึ้นมาอยู่ที่ 1.3455 เหรียญสหรัฐ/ปอนด์ ในตลาดเอเชีย เมื่อวันที่ 27 มิ.ย.ที่ผ่านมา เช่นเดียวกับสกุลเงินยูโร และตลาดหุ้นยุโรปที่ปรับตัวลดลง ด้านดัชนีฟุตซี 100 ในกรุงลอนดอน ลดลง 1.1% และดัชนีสต๊อกซ์ ยุโรป 600 ลดลง 2% เมื่อเวลา 15.23 น. ตามเวลาในไทย

ด้านตลาดหุ้นเอเชียส่วนใหญ่ฟื้นตัวขึ้นจากระดับต่ำสุดตั้งแต่เดือน ส.ค.ปีที่แล้ว เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยดัชนีเอ็มเอสซีไอ เอเชีย แปซิฟิก ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเวลา 16.27 น. ตามเวลาฮ่องกง ขณะที่ดัชนีโทปิกซ์ปิดตลาดเพิ่มขึ้น 1.8% ส่วนดัชนีเซี่ยงไฮ้คอมโพสิต ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.5% หลังเครดิตสวิสและซิตี้กรุ๊ป แนะนำนักลงทุนซื้อหุ้นจีนหลังการเทขายในสัปดาห์ที่แล้ว

โรเจอร์สแนะเก็งดอลลาร์แทนทอง

ด้านบลูมเบิร์ก เปิดเผยว่า ราคาทองคำงวดส่งมอบทันทีปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.9% อยู่ที่ 1,327.62 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เมื่อเวลา 07.20 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงลอนดอน หลังขึ้นไปแตะระดับสูงสุดตั้งแต่เดือน มี.ค. 2014 อยู่ที่ 1,358.54 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ เมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา โดยผลสำรวจความคิดเห็นนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ราคาทองคำอาจจะเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,424 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ ในสิ้นปีนี้

อย่างไรก็ดี จิม โรเจอร์ส นักลงทุนชื่อดัง แนะนักลงทุนเก็งกำไรเงินเหรียญสหรัฐแทนทองคำ หลังเบร็กซิตสร้างความผันผวนในตลาดทุนและดันราคาทองพุ่งขึ้นอยู่ในระดับสูง โดยคาดการณ์ว่าราคาทองคำจะปรับตัวลดลงจากระดับปัจจุบันภายในสิ้นปีนี้ สวนทางกับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่คาดการณ์ว่า ราคาทองคำจะปรับตัวเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยมากกว่า 7% จากระดับปัจจุบัน