ศก.โลกวุ่นยาวหลัง‘เบร็กซิต’ แบงก์ชาติผนึกกำลังรับผันผวน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มิถุนายน 2559 เวลา 07:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/439446

ศก.โลกวุ่นยาวหลัง‘เบร็กซิต’ แบงก์ชาติผนึกกำลังรับผันผวน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ตลาดเงินและตลาดทุนทั่วโลกต่างเผชิญความผันผวนอย่างหนักเมื่อวันที่ 24 มิ.ย.ที่ผ่านมา ภายหลัง ฝ่ายสนับสนุนให้อังกฤษออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) หรือ “เบร็กซิต” ได้รับชัยชนะในการทำประชามติครั้งประวัติศาสตร์เมื่อวันที่ 23 มิ.ย. โดยตลาดหุ้นทั่วยุโรปเปิดตลาดดิ่งลงอย่างรุนแรงมากกว่า 7% ตามหลังตลาดหุ้นทั่วเอเชียมุ่งสู่แดนลบกันถ้วนหน้าไปก่อนหน้านี้แล้ว

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานว่า ดัชนีนิกเกอิ 225 ตลาดหุ้นโตเกียว ร่วงลงไปราว 8% ก่อนปิดตลาดลดลง 7.92% หรือ 1,286.33 จุด อยู่ที่ 14,952.02 ต่ำที่สุดตั้งแต่หลังแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในญี่ปุ่นเมื่อปี 2011 หลังความวิตกต่อเบร็กซิตทำให้ค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นไปหลุดระดับ 100 เยน/เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2013

ขณะที่ค่าเงินปอนด์กำลังอ่อนค่าลงอย่างรุนแรงที่สุดในรอบ 31 ปี โดยเป็นผลมาจากเบร็กซิตและลดค่าไปมากกว่าในปี 1985 ด้านค่าเงินอื่นๆ ทั่วโลกก็ประสบความผันผวนไม่แพ้กัน โดยค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรง อยู่ในระดับต่ำกว่า 100 เยน/เหรียญสหรัฐ เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 2013 ส่งผลให้ดัชนีนิกเกอิปิดตลาดแดนลบ

นายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน อำลาตำแหน่ง

 

จอห์น วู้ดส์ หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายลงทุนในเอเชีย-แปซิฟิก ธนาคารเครดิตสวิส เปิดเผยว่า เบร็กซิตเป็นตัวเปลี่ยนสถานการณ์และจะเป็นปัจจัยที่ทำให้ธนาคารกลางทั่วโลกต้องผ่อนคลายมาตรการทางการเงินเพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น

ธนาคารกลางเคลื่อนไหวรับเบร็กซิต

ธนาคารกลางอังกฤษ (บีโออี) ยืนยันจะเริ่มดำเนินแผนการฉุกเฉิน รวมถึงทำงานร่วมกับกระทรวงการคลังอังกฤษและธนาคารกลางประเทศอื่นอย่างใกล้ชิด เพื่อสร้างเสถียรภาพทางการเงินและการคลัง ก่อนประกาศเตรียมอัดฉีดสภาพคล่อง 2.5 แสนล้านปอนด์ (ราว 12 ล้านล้านบาท) เช่นเดียวกับธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ที่ออกมาส่งสัญญาณพร้อมจะอัดฉีดสภาพคล่องทันทีหากมีความจำเป็น

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสวิตเซอร์แลนด์ เปิดเผยว่า เตรียมเข้าแทรกแซงตลาดค่าเงินหลังค่าเงินฟรังก์สวิส ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรงจากความกังวลเบร็กซิต โดยแข็งค่าขึ้นไป 1.06 ฟรังก์/ยูโร เมื่อเวลา 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น หรือ 12.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เมื่อเทียบกับก่อนหน้านั้น 7 ชั่วโมง ที่ซื้อขายอยู่ที่ 1.10 ฟรังก์สวิส/ยูโร

ด้านธนาคารกลางสิงคโปร์ เปิดเผยว่า เตรียมจะควบคุมความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนค่าเงินเหรียญสิงคโปร์ และจะเตรียมอัดฉีดสภาพคล่องให้แก่ระบบธนาคารหากมีความจำเป็น แม้ในขณะนี้สภาพคล่องของภาคธนาคารจะยังคงอยู่ในเกณฑ์ดี

นอกจากธนาคารกลางในแต่ละประเทศแล้ว รอยเตอร์สยังรายงานว่า หน่วยงานด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศ อาทิ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำ 7 ประเทศ (จี7) ยังได้เรียกประชุมฉุกเฉินรัฐมนตรีช่วยการคลังของทั้ง 7 ชาติ ในเวลา18.30 น. ตามเวลาประเทศไทยเมื่อวานนี้ ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือเพิ่มเติมรับมือความผันผวนจากสถานการณ์เบร็กซิต

ฝ่ายสนับสนุนอียูผิดหวังต่อผลที่ออกมา

 

ขณะที่สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำระดับโลกทั้ง 3 แห่ง พร้อมใจกันแสดงความเห็นในด้านลบ โดย ฟิทช์ เรทติ้งส์ ระบุว่า เกือบทุกภาคส่วนในอังกฤษมีมุมมองความน่าเชื่อถือเป็นลบ เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจในระยะปานกลางของอังกฤษอ่อนแอลง รวมถึงความไม่แน่นอนด้านการลงทุนและการเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งจะส่งผลเชิงลบปานกลางต่ออันดับเครดิตประเทศของอังกฤษ โดยฟิทช์จะปรับทบทวนในอีกไม่นานนี้

ด้าน บริษัท สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ส มองว่ามุมมองความน่าเชื่อถือของอังกฤษที่ระดับ AAA ไม่มีความสมเหตุสมผล หลังจากการลงประชามติออกจากอียู ขณะที่ มูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส เปิดเผยว่า เบร็กซิตเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อเรตติ้งของอังกฤษ เนื่องจากจะทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นเวลานาน ซึ่งกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจและตลาดทุน

บีโอเจพร้อมกระตุ้นหลังเยนทะลุ 100

ค่าเงินเยนถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยแข็งค่าขึ้นอย่างรุนแรงในระดับที่ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ปี 2013 จนนายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ และทาโร อาโสะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น ต้องออกแถลงการณ์เพื่อปลอบขวัญตลาด แสดงความกังวลต่อค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น

ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) เปิดเผยแถลงการณ์ว่า เตรียมพร้อมอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อรับมือกับตลาดที่ผันผวนอย่างรุนแรง ซึ่งหมายรวมถึงการเตรียมการสวอปค่าเงินระหว่างธนาคารกลางของ 6 ชาติประเทศพัฒนาแล้ว ซึ่งหมายรวมถึงสกุลเงินเหรียญสหรัฐ ยูโร ปอนด์ของอังกฤษ ฟรังก์สวิส และเหรียญแคนาดา

สำนักข่าวซีเอ็นบีซี ระบุว่า ระดับค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นไปอยู่ระดับต่ำกว่า 100 เยน/เหรียญสหรัฐ นั้น แข็งค่ายิ่งกว่าระดับ 121 เยน/เหรียญสหรัฐ ก่อนหน้าที่บีโอเจจะตัดสินใจประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลงติดลบเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 ม.ค.ที่ผ่านมา

ทาคุจิ โอคุโบ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์บริษัทที่ปรึกษา เจแปน แมโคร แอดไวเซอร์ส เปิดเผยว่า แม้ญี่ปุ่นจะถูกนานาชาติกดดันในเรื่องการเข้าแทรกแซงค่าเงิน แต่เบร็กซิตจะช่วยให้ญี่ปุ่นมีข้ออ้างในการจัดการค่าเงินเยนที่แข็งค่าเกินไป และสามารถอ้างได้ว่าเป็นการปลอบขวัญตลาดที่
ตระหนกหลังเบร็กซิต

“แม้การเข้าแทรกแซงครั้งนี้จะไม่ได้รับผลสะท้อนกลับจากนานาชาติ แต่ญี่ปุ่นไม่มีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะแก้ไขการแข็งค่าของค่าเงินในครั้งนี้” ทาคุจิ กล่าว

จับตานโยบายเฟดครึ่งปีหลัง

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)ได้ยื้อการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน มิ.ย.นี้เอาไว้ โดยเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะความเสี่ยงในการแยกตัวของอังกฤษจะทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินปอนด์และยูโร

มันซูร์ โมฮี-อุดดิน นักกลยุทธ์จากธนาคารอาร์บีเอสในสิงคโปร์ คาดการณ์ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐจะแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินอื่นๆ ทั่วโลก จากแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลาง ทำให้เฟดต้องพิจารณาผลกระทบของอังกฤษ และอาจทำให้ไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยในเดือน ก.ค.

โรเบอร์โต เพอร์ลี หุ้นส่วนของคอร์เนอร์สโตน มาโคร บริษัทวิจัยข้อมูลด้านการลงทุน และอดีตเจ้าหน้าที่เฟด กล่าวว่า การตัดสินใจของเฟดขึ้นอยู่กับว่าสถานการณ์มีความรุนแรงมากแค่ไหน และจะดำเนินไปนานเท่าไร ปัญหาในขณะนี้คือยังมีสิ่งมากมายที่ไม่สามารถคาดเดาได้

 

‘เบร็กซิต’สะเทือนโลก อังกฤษจะ ‘อยู่’หรือ’ไป’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 มิถุนายน 2559 เวลา 08:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/439219

'เบร็กซิต'สะเทือนโลก อังกฤษจะ 'อยู่'หรือ'ไป'

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

การทำประชามติแยกตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษได้ผ่านพ้นไปแล้ว และผลสุดท้ายอย่างเป็นทางการจะเปิดเผยในวันนี้เวลา 07.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นอังกฤษ หรือเวลา 13.00 น. ตามเวลาไทย ท่ามกลางความวิตกของผู้คนทั่วโลกและตลาดทุนที่ระส่ำระสาย เช่นเดียวกับอนาคตข้างหน้าของทั้งอังกฤษและอียู

“ออกก็คือออก” ฌอง โคลด จุงเกอร์ ประธานคณะกรรมการยุโรป (อีซี) กล่าวเป็นการปฏิเสธจะไม่มีการพูดคุยเพื่อขอให้อังกฤษอยู่กับอียู ต่อไป หากประชาชนอังกฤษส่วนใหญ่ตัดสินใจออกจากสหภาพ หรือ “เบร็กซิต”

ก่อนหน้าที่ประชาชนชาวอังกฤษจะเข้าคูหาเพื่อทำประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ผลสำรวจจาก 3 สถาบัน ชี้ว่า ฝ่ายสนับสนุนให้อยู่กับสหภาพยุโรปต่อขึ้นนำ โดยผลสำรวจของหนังสือพิมพ์เอเวนนิงสแตนดาร์ด พบว่า ฝ่าย “อยู่” ขึ้นนำฝ่าย “ออก” อยู่ 52% ต่อ 48% เช่นเดียวกับผลสำรวจของคอมเรส บริษัทวิจัยตลาด พบว่า ฝ่ายอยู่นำที่ 48% ต่อ 42% ขณะที่ผลสำรวจของยูโกฟ พบว่า ฝ่ายอยู่ขึ้นนำที่ 51% ต่อ 49% เมื่อเทียบกับผลสำรวจเมื่อวันที่ 21 มิ.ย. ที่ฝ่ายออกขึ้นนำ 44% ต่อ 42%

สำนักข่าวเกียวโด รายงานอ้างแหล่งข่าวว่า กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมชั้นนำทั้ง 7 ชาติ (จี7) เตรียมออกแถลงการณ์ทันทีที่ทราบผลอย่างเป็นทางการ เพื่อลดความกังวลและอาการตื่นตระหนกของตลาด ถ้าหากผลที่ออกมาเป็นอังกฤษออกจากอียู หรือถ้าหากคะแนนของทั้ง 2 ฝ่ายใกล้กันมากแม้ฝ่ายอยู่จะเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ

ด้าน หนังสือพิมพ์ไบลด์ของเยอรมนี รายงานอ้าง มอริทส์ เครเมอร์ หัวหน้าฝ่ายการจัดอันดับเรตติ้งของสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ส (เอสแอนด์พี) ว่า เอสแอนด์พี อาจลดความน่าเชื่อถือของอังกฤษที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ AAA หากอังกฤษออกจาก อียู เนื่องจากเบร็กซิตจะทำให้ยากต่อการคาดการณ์สถานการณ์ทางการเมือง ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลจากการขาดแผนการที่ชัดเจนหลังเบร็กซิต

สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ เครเมอร์ ระบุว่า หากอังกฤษออกจากอียูอาจทำให้ถูกลดอันดับความน่าเชื่อถือลงได้ เนื่องจากความสัมพันธ์ระหว่างยุโรปจะสั่นคลอน ทั้งในด้านการเมือง การเงิน และการค้า

ทั้งนี้ คณะกรรมการการเลือกตั้งอังกฤษ  คาดการณ์ว่า จะมีผู้ออกมาใช้สิทธิลงประชามติครั้งนี้มากกว่า 46.49 ล้านคน ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของอังกฤษในการทำประชามติทั่วประเทศครั้งที่ 3 ของแดนผู้ดี

ไอเอ็มเอฟเตือนดอลลาร์แข็ง

กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) ออกโรงเตือนว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐเสี่ยงจะ แข็งค่าขึ้นมากกว่าเดิมหลังการทำประชามติของอังกฤษ โดยปัจจุบันค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งมากกว่าที่สภาพเศรษฐกิจสหรัฐรับได้ถึง 10-20% ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้ไอเอ็มเอฟปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐจาก 2.4% เหลือ 2.2% สำหรับปี 2016 นี้

นอกจากนี้ ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้นยังมีแนวโน้มจะสร้างความผันผวนในเศรษฐกิจประเทศอื่นทั่วโลก และฉุดการลงทุนของภาคเอกชน ซึ่งจะกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจในไตรมาสหน้า

ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้นนับจากสิ้นเดือน พ.ค.ที่อยู่ที่เหนือ 111 เยน/เหรียญสหรัฐ มาอยู่ที่ 104.62 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 10.44 น. ตามเวลาฮ่องกงของเมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ขณะที่ข้อมูลของเจฟเฟอรีส์ ธนาคารเพื่อการลงทุนสัญชาติอเมริกัน ระบุว่า เบร็กซิต จะก่อให้เกิดการถอนทุนจากตลาดหลักทรัพย์อังกฤษเพียงอย่างเดียวมากถึง 4,310 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.5 แสนล้านบาท) ในช่วง 8 สัปดาห์หลังการทำประชามติ

ด้านโนมูระ สถาบันการเงินจากญี่ปุ่น คาดการณ์ว่า ค่าเงินเหรียญสหรัฐมีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นได้ถึง 4% เมื่อเทียบกับค่าเงินเยน ถ้าหากฝ่ายออกจากอียูได้รับชัยชนะ ขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยอื่นๆ เช่น ค่าเงินเยนก็มีแนวโน้มจะแข็งค่าขึ้นเทียบกับปอนด์ของอังกฤษมากถึงเกือบ 14%

อย่างไรก็ตาม ด้าน เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เฟดจะไม่มีการจัดการประชุมนัดพิเศษในวันที่ 24-25 มิ.ย.นี้ เพื่อหามาตรการรับมือกับเบร็กซิต แม้การออกจากอียูของอังกฤษจะเป็นปัจจัยเสี่ยง และจะต้องจับตาอย่างใกล้ชิด

ประเทศอื่นเตรียมเอาอย่างอังกฤษ

ผลสำรวจของยูโกฟ พบว่า ชาวสวีเดนจำนวน 69% ต้องการให้สวีเดนออกจากอียูด้วยเช่นกันภายหลังยุคเบร็กซิต เช่นเดียวกับ 66% ของชาวเดนมาร์ก และ 57% ของชาวนอร์เวย์ ก็มีความคิดเห็นไปในทิศทางเดียวกัน

เปาโล ดาร์เดเนลลี อาจารย์อาวุโสในด้านการเมืองเปรียบเทียบและผู้อำนวยการศูนย์ศึกษารัฐ มหาวิทยาลัยเคนท์ ในอังกฤษ เปิดเผยกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า ผลกระทบจากการทำประชามติของอังกฤษจะทำให้ประเทศอื่นในยุโรปเอาอย่าง และยังสร้างความสงสัยต่ออียูให้เกิดขึ้นกับประชาชนของประเทศอื่นๆ ในยุโรป อย่างไรก็ตาม การ ตัดสินใจออกจากอียูจะไม่เป็นไปในทันทีทันใด

ดาร์เดเนลลี ระบุว่า เดนมาร์ก สวีเดน และไอร์แลนด์ จะต้องพบกับสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับการออกจากอียูของอังกฤษ โดยแม้ทั้ง 3 ประเทศดังกล่าวจะเป็นสมาชิกอียู แต่ก็ไม่ได้เป็นสมาชิกยูโรโซน รวมถึงยังมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอังกฤษมากกว่า ขณะที่ด้านเยอรมนี สมาชิกหลักของอียู จะต้องเสียพันธมิตรด้านการปฏิรูปเศรษฐกิจ ศักยภาพการแข่งขัน การค้าเสรี และอื่นๆ อย่างสหราชอาณาจักรไป

“ผลสุดท้ายอียูจะมีศักยภาพการแข่งขันลดลง และปกป้องผลประโยชน์ของตัวเองมากขึ้น” ดาร์เดเนลลี กล่าว

ด้าน คาร์สเตน นิกเกิล นักวิเคราะห์ความเสี่ยงทางการเมือง จากเทเนโอ อินเทลลิเจนซ์ บริษัทที่ปรึกษาในสหรัฐ เปิดเผยว่า ไม่ว่าอังกฤษจะตัดสินใจอยู่หรือไปจากอียู แต่ในภาพกว้าง ยุโรปก็เต็มไปด้วยฝ่ายที่ต่อต้านอียูและพรรคการเมืองชาตินิยม แสดงให้เห็นว่า ยุคสมัยของการรวมตัวกันอย่างแนบแน่นได้จบลงแล้ว

“คุณกำลังอยู่ในสถานการณ์ที่ผู้คนมีบทสนทนาที่ว่า ‘เราไม่ต้องการใช้ภาษีเพื่อช่วยยุโรปทางตอนใต้ ซึ่งไม่สามารถปฏิรูปเศรษฐกิจของตัวเองได้’ ดังนั้น ผมจึงคิดว่านั่นแหละ เป็นปัญหา” นิกเกิล กล่าว

ด้านประเทศที่พยายามเจรจาเพื่อขอเข้าร่วมเป็นสมาชิกอียูมาโดยตลอดอย่างตุรกีนั้น ประธา นาธิบดี เรเซฟ เตยิป เออร์โดกัน ของตุรกี  เปิดเผยว่า ตุรกีสามารถจัดทำประชามติในรูปแบบเดียวกับอังกฤษได้ เพื่อสอบถามความคิดเห็นประชาชนจะให้ตุรกีเดินหน้าเจรจาเพื่อขอเป็นสมาชิกอียูต่อไปหรือไม่

“ยุโรปไม่ต้องการพวกเรา เพราะประชากรส่วนใหญ่ของพวกเราเป็นชาวมุสลิมพวกเรารู้ในข้อนั้น แต่พวกเราก็พยายามจะแสดงความจริงใจ” เออร์โดกัน กล่าว

การค้า-เศรษฐกิจ
ออก
– อังกฤษสามารถต่อรองสถานภาพความสัมพันธ์กับอียูในรูปแบบใหม่  และรักษาข้อตกลงทางการค้าเดิมกับ คู่ค้าได้
– อังกฤษอาจจะยังเป็นส่วนหนึ่งของตลาดร่วม ในรูปแบบเดียวกับนอร์เวย์ ซึ่งจะเป็นผลให้นโยบายด้านภาษีและการเข้าถึงตลาดเป็นเหมือนเดิม
– อังกฤษอาจจะลดค่าใช้จ่ายสัปดาห์ละหลายร้อยล้านปอนด์ที่ต้องส่งให้อียู

อยู่
– อังกฤษไม่ต้องเสียเวลาเริ่มต่อรองสถานภาพทางการค้าใหม่ ซึ่งใช้เวลาหลายปี และมีต้นทุนต่ำกว่าออกจากอียู
– อังกฤษสามารถเข้าถึงตลาดอียู ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ได้มากกว่า
– ธุรกิจขนาดใหญ่สัญชาติญี่ปุ่น อินเดีย และจีน อาจจะย้ายออกจากอังกฤษหากอังกฤษออกจากอียู

นโยบายผู้อพยพ
ออก
– อังกฤษต้องเจรจากับอียูใหม่เรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานเสรี ซึ่งอาจใช้ข้อตกลงเดิมได้อยู่ แต่ฝ่ายเบร็กซิตต้องการเปลี่ยนไปใช้ระบบเดียวกับในแคนาดาและออสเตรเลีย ที่เลือกรับเฉพาะผู้อพยพที่มีทักษะการศึกษา ภาษา และอายุ
– อังกฤษสามารถจำกัดจำนวนผู้อพยพ และออกแบบระบบที่มีประสิทธิภาพเข้ากับสภาพแวดล้อมในประเทศได้มากขึ้น

อยู่
– อังกฤษต้องรับพลเมืองสัญชาติอียูทั้งหมด ที่จะย้ายถิ่นฐานเข้ามา
– อังกฤษมีแนวโน้มรับผู้อพยพเพิ่มขึ้นทุกปี ตามระบบของอียูที่เผชิญวิกฤตผู้อพยพ
** ตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 แรงงานจำนวนมากจากกลุ่มยูโรโซน เข้ามาหางานในอังกฤษ โดยในปี 2015 อังกฤษรับแรงงานอพยพถึง 3.33 แสนคน ซึ่งกระทบต่อแรงงานและค่าแรงในประเทศ

ความมั่นคง
ออก
– อังกฤษควบคุมการเคลื่อนย้ายคนข้ามพรมแดนและป้องกันการก่อการร้ายได้เข้มงวดขึ้น
– หน่วยข่าวกรองอังกฤษเป็นผู้ให้ข้อมูลต่อยูโรโพลมากสุด ดังนั้นการถอนตัวจึงไม่ส่งผลมากนัก
– ความร่วมมือทางทหารในอียู เป็นความร่วมมือระหว่างรัฐ การออกจากอียู จึงส่งผลน้อย
– อียูอาจจะเรียกร้องให้อังกฤษส่งทหารเข้าร่วมกองทัพอียูเพิ่ม

อยู่
-อังกฤษยังเข้าถึงฐานข้อมูลความมั่นคงร่วมของสำนักงานตำรวจยุโรป (ยูโรโพล) ซึ่งใช้ปราบปรามอาชญากรรมในปัจจุบันได้ ในฐานะผู้ร่วมปฏิบัติการ และมีอำนาจตัดสินใจสูง
** ยูโรโพล คือหน่วยบังคับใช้กฎหมายจากความร่วมมือของเจ้าหน้าที่หลายรัฐของอียู ที่จัดการข่าวกรองด้านอาชญากรรม ต่อต้านอาชญากรรมและการก่อการร้าย ครอบคลุมหน่วยตรวจคนเข้าเมือง ตำรวจชายแดน

ภาพ เอเอฟพี

 

ทั่วโลกนั่งไม่ติดชี้ชะตา”เบร็กซิต”วันนี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 มิถุนายน 2559 เวลา 08:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/438978

ทั่วโลกนั่งไม่ติดชี้ชะตา"เบร็กซิต"วันนี้

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

วันชี้ขาดอนาคตของอังกฤษและสหภาพ ยุโรป (อียู) เปิดฉากขึ้นแล้ว ในการทาประชามติลงคะแนนเสียงว่าจะอยู่หรือไปจากอียูในวันนี้ โดยการรณรงค์หาเสียงของทั้งสองฝ่ายเป็นไปด้วยความคึกคักและดุเดือด ซึ่งนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ผู้เป็น หัวหอกสนับสนุนฝ่าย “อยู่” กับอียู ระบุว่ายังไม่สามารถคาดการณ์ผลการทำประชามติได้ เพราะการต่อสู้เป็นไปอย่างสูสี

จากผลสำรวจล่าสุดของวอท ยูเค ทิงค์ องค์กรเพื่อเผยแพร่มูลอียูและข้อมูลเกี่ยวกับการทำประชามติดังกล่าว พบว่าฝ่าย “อยู่” นำในผลสำรวจ 51% ต่อ 49% ขณะที่ผลสำรวจของไอจี/เซอร์เวชั่น ของ บริษัทเทรดดิ้งการเงินไอจี กรุ๊ป ระบุว่า ฝ่าย “อยู่” ก็ยังคงนำในผลสำรวจอยู่ที่ 45% ต่อ 44% เช่นกัน อย่างไรก็ตามผลสำรวจยูโกฟ พบว่าฝ่าย “ออก” นำอยู่ที่ 44% ต่อ 42%

บอริส จอห์นสัน อดีตนายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน หัวหอกของกลุ่มสนับสนุนฝ่ายออกจากอียู เปิดเผยว่า ฝ่ายสนับสนุนให้อยู่กับอียูต่อไปกำลังโกหก เช่น ประเด็นความเข้มแข็งของกองทัพอียู ที่ฝ่าย “อยู่” อ้างอังกฤษเป็นกองกำลังที่สำคัญขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต้) รวมถึงเรียกร้องให้วันประชามติในวันนี้ เป็นวันประกาศอิสรภาพของอังกฤษ

“พวกเขาบอกเราว่าพวกเราทำอย่างนี้ไม่ได้ แต่เราจะบอกว่าเราสามารถทำได้ พวกเขาจะ บอกเราว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากก้มหัวให้กับบรัสเซลส์ แต่เราจะบอกพวกเขาว่าพวกเขาดูถูกประเทศนี้เกินไป” จอห์นสัน กล่าว

บลูมเบิร์ก ระบุว่า ประเด็นสำคัญสำหรับกลุ่ม “ออก” คือการทวงคืนอำนาจในการควบคุม โดยอดีตนายกเทศมนตรีคนดังกล่าว ระบุว่า ชาวยุโรปในอียูอพยพเข้ามาอยู่ในอังกฤษมากถึง 1.84 แสนคน และ 7.7 หมื่นคนจากจำนวนดังกล่าว  ย้ายถิ่นฐานเข้ามาโดยปราศจากงานรองรับ

ซาดิค ข่าน นายกเทศมนตรีกรุงลอนดอน  ผู้สนับสนุนการอยู่กับอียู ระบุว่า การยกประเด็น ผู้อพยพของจอห์นสันเป็นการสร้างกระแส ความเกลียดชังต่อผู้อพยพ ในขณะที่การอยู่ กับอียูต่อไปจะง่ายต่อการทำงานร่วมกันเพื่อ จัดการปัญหาต่างๆ เช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญหาผู้อพยพลี้ภัย และการต่อสู้กับการก่อการร้าย

อีซีบีเตรียมพร้อมรับทุกสถานการณ์

มาริโอ ดรากี ผู้ว่าการธนาคารกลางยุโรป  (อีซีบี) เปิดเผยว่า อีซีบีเตรียมพร้อมมาตรการฉุกเฉินที่จำเป็นเพื่อรับมือกับความวุ่นวายใน ตลาดทุกรูปแบบที่เป็นไปได้ ทั้งการเพิ่มสภาพคล่องและการคงเสถียรภาพตลาด หลังความวุ่นวาย ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะกระทบกับภาพรวมของ ยูโรโซน

อย่างไรก็ตาม บลูมเบิร์กเปิดเผยอ้างแหล่งข่าวจากรัฐบาลฝรั่งเศสและเยอรมนี พบว่าทั้งสองชาติยังคงไม่มีแผนสำรองสำหรับการรองรับเบร็กซิตและไม่มีแผนการจะเปิดเผยใดๆ ในวันที่ 24 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งเป็นวันที่ผลของการทำประชามติจะออกมาอย่างเป็นทางการ

เอ็นริโก เล็ตตา อดีตนายกรัฐมนตรีอิตาลี  ระบุว่า ทั้งเยอรมนีและฝรั่งเศสต่างมีวาระสำคัญอันดับแรกที่แตกต่างกัน โดยเยอรมนีจะเน้นไปที่การรับมือกับผู้ลี้ภัย แต่ฝรั่งเศสจะเน้นไปที่เศรษฐกิจ จึงอาจทำให้อียูไม่มีแผนการใดๆ ออกมารับมือหลังเบร็กซิต เพราะความเห็นที่ขัดแย้งกันดังกล่าว

ขณะเดียวกัน เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยระหว่างการขึ้นอภิปรายนโยบายกับสภาคองเกรสว่า กังวลว่าเบร็กซิตจะกระทบต่อเศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยเมื่อวันที่ 14-15 มิ.ย. ที่ผ่านมา และย้ำด้วยว่าการขึ้นดอกเบี้ยขึ้นอยู่กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวในระดับปานกลาง ความเข้มแข็งของตลาดแรงงาน และอัตราเงินเฟ้อที่ควรจะมุ่งขึ้นไปยังเป้าหมายที่ 2% โดยตัวเลขจ้างงานเดือน พ.ค.ที่ต่ำที่สุดในรอบ 5 ปีนั้น ไม่ควรที่จะนำมาเป็นประเด็นมากเกินไป เนื่องจากการจ้างงานเดือนอื่นๆ ยังอยู่ในเกณฑ์ดี

รอยเตอร์ส ระบุว่า จากคำกล่าวของเยลเลนทำให้เฟดอาจไม่ขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมเดือน ก.ค. เนื่องจากก่อนถึงวันประชุมเฟดในวันที่ 26-27 ก.ค. จะมีรายงานการจ้างงานประจำเดือนออกมาแค่ครั้งเดียวเท่านั้น

ธุรกิจเอเชียไม่เอาเบร็กซิต

หนังสือพิมพ์วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานว่า บรรดาบริษัทเอกชนในเอเชีย เช่น ต้าเหลียน วันดา กรุ๊ป บริษัทบันเทิงและอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ของจีน ซึ่งลงทุนในซันซีเกอร์ อินเตอร์เนชันนัล ผู้สร้างเรือยอชต์สัญชาติอังกฤษ ออกโรงเตือนก่อนหน้านี้ว่าธุรกิจจีนอาจย้ายออกจากสหราชอาณาจักร หากอังกฤษออกจากอียูเช่นเดียวกับ หลี่กาชิง เศรษฐีจากฮ่องกงเจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และเป็นผู้ลงทุนรายใหญ่ในอังกฤษ เปิดเผยว่าอาจจะลดการลงทุนในอังกฤษลง

ขณะเดียวกัน ทาทากรุ๊ป จากอินเดีย ซึ่งมีการจ้างงานในอังกฤษถึง 6.9 หมื่นอัตรา และเป็นเจ้าของแบรนด์รถยนต์จากัวร์ แลนด์โรเวอร์ ออกโรงเตือนให้ชาวอังกฤษพิจารณาให้ถี่ถ้วน และหากอังกฤษออกจากอียูจะทำให้การขายชิ้นส่วนรถยนต์และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ในตลาดขนาดใหญ่อย่างอียูยากขึ้น โดยยุโรปเป็นตลาดขนาดใหญ่ของจากัวร์ แลนด์โรเวอร์ คิดเป็นถึง 1 ใน 4

ก่อนหน้านี้ สมาคมธุรกิจญี่ปุ่น เปิดเผยว่า  เอกชนญี่ปุ่นมากกว่า 1,000 แห่ง ลงทุนในอังกฤษปีละมากกว่า 1 ล้านล้านเยน (ราว 3 แสนล้านบาท) เช่น ฟูจิตสึ บริษัทระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ และคลาวด์ ที่จ้างงานในอังกฤษมากกว่า 1.4 หมื่นอัตรา ระบุว่า เบร็กซิตอาจทำให้ลูกค้าย้ายออกจากอังกฤษและทำให้ความต้องการลงทุนในสหราชอาณาจักรลดลง

 

นานาชาติดันสื่ออาเซียน ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มิถุนายน 2559 เวลา 09:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/438156

นานาชาติดันสื่ออาเซียน ส่งเสริมสิทธิมนุษยชน

โดย…อักษราภัค ลาภานันต์

ความพยายามของประเทศกลุ่มอาเซียนที่จะผลักดันส่งเสริมและพัฒนาสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนคือ การจัดตั้งคณะกรรมาธิการระหว่างรัฐบาลอาเซียนว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (เอไอซีเอชอาร์) ขึ้นมาเป็นหน่วยงานหนึ่งของอาเซียนเพื่อปรับปรุงสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนในภูมิภาคโดยเฉพาะ

เอไอซีเอชอาร์เข้ามามีบทบาทอย่างสำคัญในการจัดแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนข้อเสนอแนะจากผู้เชี่ยวชาญในองค์กรระหว่างประเทศ รวมทั้งได้ส่งข้อเสนอไปยังรัฐบาลประเทศสมาชิกต่างๆ โดยเมื่อปี 2012 เอไอซีเอชอาร์ ได้ร่างปฏิญญาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนในอาเซียนขึ้น และประเทศสมาชิกต่างมีมติรับและปฏิญญาดังกล่าว ในการประชุมอาเซียนที่กรุงพนมเปญ เมื่อเดือน พ.ย. 2012

เมื่อเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา เอไอซีเอชอาร์ได้จัดงานฟอรั่มในประเด็นเรื่องบทบาทของสื่อในการส่งเสริมและปกป้องสิทธิมนุษยชน ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย เพื่อหาผลสรุปจากบรรดาผู้เชี่ยวชาญที่จะนำไปสู่การเสนอรัฐบาลอาเซียนปรับปรุงระบบกฎหมาย สภาพแวดล้อม และพฤติกรรมของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดให้เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ขณะเดียวกัน หลายฝ่ายเห็นว่าสื่อมวลชนในอาเซียนต้องเรียนรู้เพิ่มศักยภาพและความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้นเพื่อให้สิ่งที่ออกไปสู่สาธารณะเป็นไปอย่างเหมาะสม และจะไม่ยิ่งไปซ้ำเติมความแบ่งแยกในสังคม โดยจะมีการร่างคู่มือสำหรับการดำเนินการที่ถูกต้อง เช่นการใช้คำพูดที่อาจก่อให้เกิดความแบ่งแยกในบรรดาคนกลุ่มน้อยและคนพิการ

 

ลุ๊ก แวนเดอบอน หัวหน้าตัวแทนคณะทูตของสหภาพยุโรป (อียู) ประจำกรุงกัวลาลัมเปอร์ ระบุว่า ทางอียูซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสนับสนุนการจัดฟอรั่มครั้งนี้ต้องการที่จะผลักดันความหลากหลายและเสรีภาพของสื่อมวลชนในประชาคมเพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเรียกร้องให้ประเทศอาเซียนปรับสภาพแวดล้อมให้เกิดการเคลื่อนย้ายของข้อมูลข่าวสารทั้งออนไลน์และออฟไลน์ได้อย่างเสรี และการผลักดันแก้ไขปัญหาความรุนแรงบนอินเทอร์เน็ต

จากการเคลื่อนย้ายข้อมูลอย่างเสรี จะทำให้สื่อมวลชนต้องรับผิดชอบเป็นผู้เปิดเผยการใช้อำนาจของรัฐบาล และสอดส่องการทุจริตนักการเมือง รวมทั้งตั้งคำถามถึงการกระทำที่เป็นการข่มขู่สื่อสาธารณะที่รับรู้ข้อมูลข่าวสาร รวมทั้งจำกัดการเข้าถึงข้อมูล

ด้าน ลอเรน เมลลาน เจ้าหน้าที่สำนักงานข้าหลวงใหญ่เพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งสหประชาชาติ (โอเอชซีเอชอาร์) ประจำภูมิภาคอาเซียน ระบุว่า อาเซียนต้องร่วมปรับปรุงการรายงานของสื่อมวลชนในประเด็นสิทธิมนุษยชนให้ดียิ่งขึ้น โดยผลักดันให้สื่อมวลชนรายงานประเด็นดังกล่าวมากขึ้น

ในปัจจุบัน สื่อมวลชนโดยส่วนใหญ่ในอาเซียนยังไม่มีความรู้มากพอในประเด็นดังกล่าว ดังนั้นทางอาเซียนได้ร่วมกับยูเนสโกเริ่มโครงการฝึกสอนสื่อมวลชนในจาการ์ตาเมื่อเดือนก่อนหน้า และคาดว่าจะดำเนินการต่อไปในไทยเพื่อให้สื่อมวลชนมีความรู้ดีขึ้นในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง

 

ลิมมิงกุ๊ก ที่ปรึกษาด้านการสื่อสารและข้อมูลของยูเนสโก ได้กล่าวเรียกร้องให้มีการรับรองความปลอดภัยของสื่อมวลชนเมื่อรายงานประเด็นเรื่องสิทธิมนุษยชน โดยพยายามผลักดันให้มีมาตรฐานของอาเซียนเช่นเดียวกับมาตรฐานระดับสากล

นอกจากนี้ ยังระบุว่า อาเซียนควรจะมีข้อบังคับให้เกิดการสืบสวนอย่างทันที หากเกิดกรณีการทำร้ายสื่อมวลชน เนื่องจากหลายครั้งที่สื่อมวลชนไม่รายงานประเด็นสิทธิมนุษยชน ส่วนใหญ่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมและแรงกดดันต่างๆ โดยกุ๊กเสนอว่า อาเซียนควรเน้นการรายงานอาชญากรรมและการถูกทำร้ายร่างกายที่เกิดขึ้นกับสื่อมวลชนในภูมิภาค เป็นกลไกในการตรวจสอบการถูกคุกคาม ทั้งจากทางออนไลน์และออฟไลน์

ขณะที่กระแสนักข่าวพลเมือง การรายงานข่าวรูปแบบใหม่ที่ขยายตัวพร้อมๆ กับสื่อสังคมออนไลน์ ทำให้ประชาชนทั่วไปมีบทบาทในการส่งเสริมข้อเรียกร้องต่างๆ ในด้านสิทธิมนุษยชนมากยิ่งขึ้น และเปิดพื้นที่การเสนอประเด็นที่สื่อกระแสหลักไม่ได้เสนอ ก่อให้โอกาสและปัญหาขึ้นมาพร้อมกัน

กายาที เวนกิสเตนวารัน อดีตกรรมการผู้บริหารของสมาพันธ์สื่อมวลชนแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (ซีป้า) ระบุว่า แม้จะมีการขยายตัวของเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วยให้สื่อมวลชนเข้าถึงและรายงานประเด็นในระดับชุมชนและภูมิภาคมากขึ้น ซึ่งทำให้ปัญหาในระดับท้องถิ่นกลายเป็นประเด็นขึ้นมา รวมทั้งยังเป็นส่วนที่สร้างการถกเถียงทางการเมืองและปัญหาสังคมขึ้นมา และยังสร้างกระแสของการแบ่งปันข้อมูลการสืบสวนสอบสวน

อย่างไรก็ดี ปัญหาด้านสิทธิมนุษยชนหลายอย่างที่เกิดขึ้นในอาเซียนยังถูกลดความสำคัญ และมีการละเว้นการลงโทษ การดำเนินคดี เมื่อเกิดความรุนแรงและการข่มขู่คุกคาม ทั้งที่เกิดขึ้นกับสื่อมวลชนและกลุ่มผู้อ่อนไหวในสังคม

เวนกิสเตนวารัน ยังเสนอเพิ่มเติมว่า ในเอเอชอาร์ดีควรจะเพิ่มเติมข้อความว่าสื่อควรจะมีสิทธิในการแสดงออกโดยไม่มีข้อกีดขวางใด เพื่อให้สอดคล้องกับสิทธิที่บัญญัติไว้ในมาตรา 19 ของปฏิญญาสากล

นอกจากนี้ ยังได้เสนอให้อาเซียนร่วมตั้งองค์กรในด้านการเข้าถึงข้อมูลของสื่อและสาธารณชน รวมทั้งเอไอซีเอชอาร์ควรจะเริ่มต้นออกแถลงการณ์รับมติของยูเอ็น ในเรื่องความปลอดภัยของสื่อมวลชน และประณามการเพิกเฉยต่อกรณีการฆาตกรรมที่เกิดขึ้นกับผู้ที่ทำงานในวงการสื่อ ซึ่งครอบคลุมถึงนักข่าวพลเมือง นอกจากนั้นยังสนับสนุนให้มีการถกเถียงในประเด็นการเมือง และประเด็นอ่อนไหวเรื่องเพศภาวะได้อย่างแพร่หลาย

 

อังกฤษอาลัย ’โจ ค็อกซ์’ สะเทือนทิศทางเบร็กซิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มิถุนายน 2559 เวลา 08:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/438145

อังกฤษอาลัย ’โจ ค็อกซ์’ สะเทือนทิศทางเบร็กซิต

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

เกิดเหตุสะเทือนขวัญทั่วโลกขึ้นอีกครั้ง เมื่อมือปืนบุกยิง โจ ค็อกซ์ สมาชิกรัฐสภาจากพรรคฝ่ายค้านของอังกฤษ เสียชีวิตในวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา ทำให้โครงการรณรงค์การลงประชามติออกจากสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษที่จะจัดขึ้นในวันที่ 23 มิ.ย. ต้องยุติลงชั่วคราวทั้งสองฝ่าย ด้านนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า เหตุการณ์สลดครั้งนี้อาจจะส่งผลทางจิตวิทยาของชาวอังกฤษและเปลี่ยนทิศทางของผลการลงประชามติด้วยเช่นกัน

ค็อกซ์ สมาชิกรัฐสภาดาวรุ่งของพรรคแรงงาน วัย 41 ปี เป็นผู้มีบทบาทอย่างโดดเด่นในการเรียกร้องให้อังกฤษอยู่ในอียูและเป็นผู้รณรงค์สิทธิมนุษยชนของผู้อพยพจากซีเรีย ถูกยิง 3 ครั้งและถูกแทงจนเสียชีวิต เมื่อช่วงเวลาประมาณ 13.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นที่ถนนในเมืองบริสตอล ทางตอนเหนือของอังกฤษ ระหว่างเตรียมเข้าสำนักงานในเขตเวสต์ยอร์กเชียร์ ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้เป็นการฆาตกรรมสมาชิกรัฐสภาครั้งแรกตั้งแต่ปี 1990

ล่าสุด เจ้าหน้าที่ตำรวจเขตเวสต์ยอร์กเชียร์ เปิดเผยว่าได้จับกุม โทมัส แมร์ ชายผู้ต้องสงสัย อายุ 52 ปี พร้อมอาวุธปืน โดยยังไม่ระบุแรงจูงใจที่ชัดเจน ขณะที่ผู้เห็นเหตุการณ์รายหนึ่งระบุว่า เห็นชายคนดังกล่าวดักรอและหยิบอาวุธปืนขึ้นยิง

หนังสือพิมพ์เดอะ การ์เดียน รายงานอ้างพยานผู้เห็นเหตุการณ์ระบุว่า ผู้ก่อเหตุตะโกนว่า “อังกฤษมาก่อน (บริติช เฟิสต์)” ซึ่งเป็นชื่อกลุ่มรณรงค์ต่อต้านการรับผู้อพยพและต่อต้านการเป็นสมาชิกอียู ขณะที่เว็บไซต์ข่าว ดิ อินดิเพนเดนท์ รายงานว่า แมร์ เป็นสมาชิกกลุ่มสปริงบุ๊กคลับ เป็นองค์กรอนุรักษนิยมสุดขั้วที่ปกป้องอุดมการณ์ชาตินิยมผิวขาวในกรุงลอนดอน และได้ร่วมรณรงค์ให้อังกฤษออกจากอียูมานานหลายปี

ด้านนายกรัฐมนตรี เดวิด คาเมรอน ของอังกฤษ ยกเลิกการเดินทางร่วมโครงการรณรงค์ให้อังกฤษอยู่ในอียู พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์สูญเสียครั้งสำคัญ โดยกลุ่มรณรงค์ทั้งสองฝ่ายได้ยุติกิจกรรมทั้งหมดเป็นวันที่ 2

นักวิเคราะห์จำนวนหนึ่งระบุว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอาจจะเพิ่มเสียงสนับสนุนโครงการอยู่ในอียู ซึ่งการคาดการณ์ดังกล่าวทำให้ค่าเงินปอนด์แข็งค่าขึ้นต่อเหรียญสหรัฐ 0.1% อยู่ที่ 1.4218 เหรียญสหรัฐ/ปอนด์ เมื่อเวลา 14.52 น. ที่นิวยอร์ก หลังลดลงไปแตะระดับต่ำสุดในรอบ 2 เดือน เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา จากผลสำรวจความคิดเห็นของบริษัทวิจัยตลาดทั้ง 5 แห่งพบว่า ฝ่ายโหวตสนับสนุนอียูมีคะแนนนิยมตามฝ่ายออกจากอียู สร้างความกังวลเศรษฐกิจต่อบรรดานักลงทุนทั่วโลกตลอดสัปดาห์ที่แล้ว

เช่นเดียวกับราคาทองคำก็ปรับตัวลดลงจากระดับสูงสุดในรอบเกือบ 2 ปี หลังบรรดาเทรดเดอร์ คาดว่าเหตุการณ์ดังกล่าวเปลี่ยนทิศทางผลลงประชามติ ทำให้ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยลดลง โดยราคาทองคำงวดส่งมอบทันทีลดลง 0.4% อยู่ที่ 1,286.20 เหรียญสหรัฐ/ออนซ์ นอกจากนี้ยังมีกระแสข่าวลือเกิดขึ้นว่าอาจจะมีการเลื่อนวันลงประชามติออกไป

โจ มานิมโบ นักวิเคราะห์หน่วยวิจัยของเวสเทิร์น ยูเนียน ระบุว่า ค่าเงินปอนด์ที่ปรับตัวขึ้นเป็นผลมาจากข่าวโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับค็อกซ์ ซึ่งเป็นผู้รณรงค์ในฝ่ายโหวตอยู่ในอียูอย่างแข็งขัน จึงเป็นไปได้ว่าอาจจะสร้างความเห็นใจและสนับสนุนฝ่ายให้อังกฤษโหวตอยู่ในอียู

ทั้งนี้ ตั้งแต่โครงการรณรงค์ต่อต้านการก่อการร้ายในไอร์แลนด์เหนือยุติลง เมื่อช่วงปี 1997 เหตุการณ์โจมตีสมาชิกรัฐสภาในอังกฤษเกิดขึ้นน้อยครั้งมาก ขณะที่กฎหมายควบคุมอาวุธปืนก็ถูกบังคับใช้อย่างเข้มงวด โดยเหตุการณ์ฆาตกรรมสมาชิกรัฐสภาอังกฤษครั้งสุดท้ายเกิดขึ้นเมื่อปี 1990

“เหตุโศกนาฏกรรมมักก่อให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวในหมู่ประชาชนที่แตกแยกได้ ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ว่า เหตุการณ์นี้อาจจะเปลี่ยนทิศทางความเชื่อมั่นของชาวอังกฤษให้มาสนับสนุนการอยู่ในอียูได้” มาเซน อิสซา นักกลยุทธ์อัตราแลกเปลี่ยนสกุลเงินต่างประเทศอาวุโสของธนาคารโตรอนโตโดมิเนียน กล่าว

 

หวั่นเบร็กซิตสะเทือนโลก นักลงทุนแห่ลี้ภัยซบบอนด์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 มิถุนายน 2559 เวลา 09:31 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/437500

หวั่นเบร็กซิตสะเทือนโลก นักลงทุนแห่ลี้ภัยซบบอนด์

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ส่งผลให้บรรดานักลงทุนต่างวิ่งเข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างพันธบัตร จนผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี ของเยอรมนี ร่วงลงติดลบครั้งแรกในประวัติศาสตร์ที่ระดับลบ 0.001% เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา ก่อนจะขยับขึ้นไปอยู่ที่ 0.002% เช่นเดียวกับพันธบัตรในเอเชีย

ล่าสุด ผลสำรวจของ บริษัทวิจัยตลาดรายใหญ่ 4 แห่ง คือ ยูโกฟ ไอซีเอ็ม โออาร์บี และ เดอะ ซัน พบว่า ชาวอังกฤษส่วนใหญ่ต้องการลงคะแนนเสียงออกจากอียู โดยในผลสำรวจของ ยูโกฟ พบว่า 46% ของชาวอังกฤษต้องการลงคะแนนเสียงออกจากอียู ขึ้นนำฝ่ายที่ต้องการอยู่ในอียูที่ 39% ในขณะที่ 11% ยังไม่ได้ตัดสินใจ และ 4% ตั้งใจจะไม่ไปใช้สิทธิ

อังเดร เดอ ซิลวา หัวหน้านักวิจัยตลาดเกิดใหม่ของธนาคารเอชเอสบีซี เปิดเผยว่า ความวิตกเกิดขึ้นก่อนหน้าการทำประชามติในวันที่ 23 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ซึ่งอาจสร้างความเสี่ยง แต่ตลาดเกิดใหม่มีศักยภาพในการรับความเสี่ยงดังกล่าวได้ ท่ามกลางนักลงทุนที่ต้องการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ในช่วง 10 วันแรกของเดือน มิ.ย. นักลงทุนต่างชาติเข้าไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น 16.5 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 4.1 หมื่นล้านบาท) เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.ที่เงินทุนไหลออกไปถึง 4.2 ล้านล้านรูเปียห์ (ราว 1 หมื่นล้านบาท) ท่ามกลางคาดการณ์ธนาคารกลางอินโดนีเซียจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในวันที่ 16 มิ.ย.ที่จะถึงนี้

ลุค สปาจิก ผู้จัดการกองทุนของแปซิฟิกอินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ คอมปะนี (พิมโค) เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยเหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวและอัตราเงินเฟ้อต่ำ ส่งผลให้พันธบัตรรัฐบาลมีความน่าดึงดูดในการลงทุน

ก่อนหน้านี้ ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (บีโอเค) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเป็น 1.25% ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ และใน 13 วันแรกของเดือน มิ.ย. เงินไหลเข้าพันธบัตรเกาหลีใต้แล้ว 1.1 ล้านล้านวอน (ราว 3 หมื่นล้านบาท) เมื่อเทียบกับเงินทุนไหลเข้าตลอดทั้งเดือน พ.ค.ที่ 8.88 แสนล้านวอน (ราว 2.6 หมื่นล้านบาท) โดยแม้ผลตอบแทนของพันธบัตรเกาหลีใต้จะต่ำในหมู่ประเทศกำลังพัฒนา แต่นับว่ายังสูงกว่าประเทศพัฒนาแล้วอย่างญี่ปุ่น

เยนแพงสุดเทียบยูโรรอบ 3 ปี

สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ค่าเงินเยน ซึ่งนับเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แข็งค่าที่สุดในรอบ 3 ปีเมื่อเทียบกับเงินยูโร ที่ 118.52 เยน/ยูโร จากความกังวลการทำประชามติของอังกฤษ ก่อนการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (บีโอเจ) ในวันที่ 15-16 มิ.ย.ที่จะถึงนี้ ในขณะที่ค่าเงินปอนด์สเตอร์ลิงอ่อนค่ามากที่สุดในรอบ 2 เดือนเมื่อเทียบกับค่าเงินยูโร

นอกจากนี้ ค่าเงินเยนยังคงแข็งค่าเทียบกับเหรียญสหรัฐ โดยอยู่ที่ 105.50 เยน/เหรียญสหรัฐ โดยค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้นจะกระทบกับรายได้ของอุตสาหกรรมส่งออก ส่งผลให้ดัชนีนิกเกอิ 225 ปิดตลาดในแดนลบต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ลดลง 1% หลุด 16,000 จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 1 เดือน เมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา และอาจทำให้บีโอเจต้องออกนโยบายเพื่อเข้าแทรกแซงค่าเงินอีกครั้ง

ทาโร อาโสะ รัฐมนตรีคลังญี่ปุ่น เปิดเผยว่า รัฐบาลญี่ปุ่นจะจัดการค่าเงินอย่างมีเสถียรภาพ ถ้าหากค่าเงินเยนแข็งค่าขึ้นมากเกินไปเมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐ และจะจับตาตลาดค่าเงินอย่างใกล้ชิด โดยในขณะนี้มีปัจจัยชั่วคราวที่ทำให้นักลงทุนหันมาเก็งค่าเงินเยน

ด้านค่าเงินหยวนอ่อนค่าลง 0.11% เป็น 6.5917 หยวน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 16.53 น. ตามเวลาท้องถิ่นจีน อ่อนค่าที่สุดในรอบ 5 ปี และลดลงต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2014 เมื่อเทียบกับตะกร้าค่าเงินอื่น เช่น เยนและยูโร จากความกังวลเรื่องการทำประชามติของอังกฤษ การชะลอตัวของเศรษฐกิจ และการตัดสินใจของเอ็มเอสซีไอ ในการตลาดหุ้นจีนเข้ามาคิดรวมในดัชนี ซึ่งจะเปิดเผยในเช้าวันนี้ตามเวลาฮ่องกง

ไอพีโอเตรียมรับนักลงทุนล่าผลตอบแทน

สำนักข่าวบลูมเบิร์ก รายงานกึ่งวิเคราะห์ว่า นักลงทุนพยายามมองหาการลงทุนที่ให้อัตราผลตอบแทนสูง และมีเป้าหมายป็นหุ้นเสนอขายครั้งแรก (ไอพีโอ) ที่กำลังจะออกในเร็วๆ นี้ เช่น ไลน์ แอพพลิเคชั่นแชตจากเกาหลีใต้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถเพิ่มทุนได้มากถึง 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) สำหรับการเข้าตลาดหลักทรัพย์ทั้งในกรุงโตเกียวและนิวยอร์กในเดือน ก.ค.ที่จะถึงนี้

ก่อนหน้านี้ ในไตรมาสแรก การจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์ชะลอตัวลงมากที่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 แต่ในไตรมาสถัดมาเริ่มเห็นการจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นมากกว่า 30% เช่น อัส ฟู้ด โฮลดิ้ง คอร์ป บริษัทจัดหาด้านอาหาร เข้าตลาดหุ้นด้วยหุ้นเสนอขายครั้งแรก 1,180 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4.1 หมื่นล้านบาท) หรือดอง เอเนอร์จี บริษัทพลังงานจากเดนมาร์ก ที่เพิ่มทุนได้ 2,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9.1 หมื่นล้านบาท)

ไบรอัน เรลล์ หัวหน้าฝ่ายตลาดทุนของธนาคารบาร์เคลย์ เปิดเผยว่า การเร่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ก่อนหน้านี้ เป็นผลมาจากความกังวลการทำประชามติของอังกฤษในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ ส่งผลให้เอกชนเร่งออกไอพีโอก่อนที่จะทำประชามติดังกล่าว แต่หากชาวอังกฤษเลือกที่จะอยู่ต่อ ก็จะส่งผลให้ความผันผวนในตลาดลดลง และทำให้สภาพแวดล้อมในอนาคตเหมาะกับการตัดสินใจเข้าตลาดหลักทรัพย์ต่อไป

ภาพ เอเอฟพี

 

สมุนไอเอสบุกแทงตำรวจเย้ยภาวะฉุกเฉินแดนน้ำหอม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 มิถุนายน 2559 เวลา 09:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/437496

สมุนไอเอสบุกแทงตำรวจเย้ยภาวะฉุกเฉินแดนน้ำหอม

โดย..ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

สำนักข่าวฟรานซ์ 24 รายงานว่า เกิดเหตุมือมีดที่อ้างตนสวามิภักดิ์ต่อกลุ่มติดอาวุธรัฐอิสลาม (ไอเอส) บุกแทงเจ้าหน้าที่ตำรวจฝรั่งเศสระดับผู้บังคับการ พร้อมภรรยา จนเสียชีวิตเมื่อวันที่ 14 มิ.ย.ที่ผ่านมา เวลา 12.45 น. ตามเวลาในไทย ถือเป็นการโจมตีที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มไอเอสครั้งแรกภายใต้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ที่ทางการฝรั่งเศสบังคับใช้มาตั้งแต่เกิดเหตุก่อการร้ายโจมตีกรุงปารีสเมื่อวันที่ 13 พ.ย.ปีที่แล้ว

รายงานดังกล่าวเปิดเผยว่า ผู้ก่อเหตุบุกเข้าแทง ฌอง-บัปติส ซัลแวง ผู้บังคับการตำรวจวัย 36 ปี ซ้ำหลายครั้งที่หน้าบ้านก่อนที่จะจับ เจสซิกา ซัลแวง ภรรยาและลูกชาย เป็นตัวประกันไว้ในบ้านที่แมกนองวิลล์ ในเขตชานเมืองของกรุงปารีส ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจพิเศษได้วิสามัญคนร้ายหลังจากที่การเจรจาล้มเหลว โดยเจ้าหน้าที่เข้าช่วยชีวิตลูกชายของเหยื่อไว้ได้ แต่พบภรรยาถูกฆาตกรรมภายในบ้าน

แหล่งข่าวที่เกี่ยวข้องกับการสืบสวนคดีระบุตัวตนของผู้ก่อเหตุชื่อ ลารอสซี อับบาลา อายุ 25 ปี ซึ่งมีประวัติเคยถูกจำคุกเมื่อปี 2013 ในข้อหาเกี่ยวข้องกับเครือข่ายจิฮัด ที่เกณฑ์คนไปร่วมต่อสู้กับกลุ่มก่อการร้ายในปากีสถาน

ด้านสื่อของกลุ่มไอเอสออกมาอ้างว่า การก่อเหตุดังกล่าวเป็นการโจมตีในนามของนักรบไอเอส หลังอ้างตนในวันก่อนหน้าว่าอยู่เบื้องหลังการก่อเหตุกราดยิงในไนต์คลับคนรักเพศเดียวกันที่รัฐฟลอริดา ในสหรัฐ เมื่อวันที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา

ขณะที่อัยการฝรั่งเศสได้เริ่มดำเนินการสืบสวนชุดต่อต้านการก่อการร้าย โดยพยานผู้เห็นเหตุการณ์ระบุกับเจ้าหน้าที่ว่า ชายผู้ก่อเหตุตะโกนว่า “อาลาบู อักการ์” หรือพระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ขณะแทงเหยื่อซ้าหลายครั้งที่หน้าบ้าน

ด้านประธานาธิบดี ฟรองซัวส์ ออลลองด์ ประณามการก่อเหตุอย่างรุนแรง พร้อมเรียกประชุมฉุกเฉินทันที หลังเกิดเหตุดังกล่าว ซึ่งเกิดขึ้นท่ามกลางมาตรการเฝ้าระวังการก่อการร้ายระดับสูงในขณะที่ฝรั่งเศสอยู่ระหว่างเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016 และยังอยู่ภายใต้การบังคับใช้สถานการณ์ฉุกเฉิน

ก่อนหน้านี้ แบร์นาด์ กาเซเนิฟ รัฐมนตรีมหาดไทย ระบุว่า ตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้จับกุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อเหตุโจมตีในฝรั่งเศสแล้วมากกว่า 100 ราย

โลกออนไลน์แพร่เชื้อแนวคิดสุดโต่ง

ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่สืบสวนกลางสหรัฐ (เอฟบีไอ) เปิดเผยว่า โอมาร์ มาทีน พลเมืองสหรัฐ ลูกชายของผู้อพยพจากอัฟกานิสถาน ผู้ก่อเหตุ กราดยิงไนต์คลับในออร์แลนโด สหรัฐ ทำให้มี ผู้เสียชีวิต 49 ราย และเป็นเหตุกราดยิงที่รุนแรงที่สุดในสหรัฐ ได้เคยแสดงความคิดเห็นผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์ก สนับสนุนกลุ่มแนวคิดอิสลามสุดโต่งหลายกลุ่ม รวมทั้งกลุ่มแนวร่วมในตะวันออกกลาง

เจมส์ คอมมีย์ กรรมการเอฟบีไอ ระบุว่า ทางเอฟบีไอค่อนข้างเชื่อว่าผู้ก่อเหตุได้รับอิทธิพลแนวคิดสุดโต่งผ่านทางอินเทอร์เน็ต หลังเจ้าหน้าที่ไม่พบหลักฐานบ่งชี้ความเชื่อมโยงระหว่างมาทีนและเครือข่ายกลุ่มไอเอสโดยตรง และไม่ได้เป็นการวางแผนโจมตีจากต่างแดน นอกจากการแสดงตนสวามิภักดิ์ต่อหัวหน้ากลุ่มไอเอส และกลุ่มแนวคิดอิสลามหลายกลุ่ม โดยก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดี บารัก โอบามา ระบุว่า มือปืนดังกล่าวน่าจะเป็นกลุ่มหัวรุนแรงจากในประเทศ

ด้านกลุ่มไอเอสได้ออกมากล่าวอ้างความรับผิดชอบต่อเหตุการณ์ดังกล่าวเมื่อวันที่ 13 มิ.ย.ที่ผ่านมา

เหตุการณ์ครั้งนี้เกิดขึ้นไม่นานหลังจากเหตุมือปืนกราดยิงที่ซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย เมื่อปลายปีที่แล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย สร้างความตื่นตระหนกต่อภัยก่อการร้ายที่เกิดขึ้นในประเทศ

แซอิด ชาฟีค ราห์มัน ชาวมุสลิมผู้ใกล้ชิดมาทีนระบุว่า ในฟลอริดามีมุสลิมเพียง 2% จากทั้งหมดเท่านั้น ที่มีแนวคิดรุนแรงและสุดโต่ง แต่ก็ดูเหมือนคนกลุ่มนี้เริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ จากอิทธิพลของอินเทอร์เน็ต อย่างไรก็ดี ราห์มันระบุว่า ครอบครัวของมาทีนค่อนข้างจะสนับสนุนแนวคิดแบบอเมริกันมาก ทำให้ไม่คาดคิดมาก่อนว่ามาทีนจะกลายเป็นผู้มีแนวคิดสุดโต่งได้

นอกจากนี้ เหตุการณ์ดังกล่าวยังทำให้การก่อการร้ายและนโยบายผู้อพยพกลายมาเป็นประเด็นสำคัญในศึกเลือกตั้งชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอีกครั้ง โดย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ตัวแทนพรรครีพับลิกัน ย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องทบทวนนโยบายผู้อพยพ พร้อมทั้งเรียกร้องให้เพิ่มมาตรการคุมเข้มมัสยิดในสหรัฐ ขณะที่ ฮิลลารี คลินตัน ว่าที่ตัวแทนพรรคเดโมแครต เรียกร้องให้เข้มงวดมาตรการควบคุมอาวุธปืน

ทั้งนี้ สหรัฐถือเป็นประเทศที่เกิดเหตุกราดยิงมากที่สุดในโลก สำนักข่าวซีเอ็นเอ็นเปิดเผยว่า ในระหว่างปี 1966-2012 เกิดเหตุกราดยิงครั้งใหญ่ในสหรัฐคิดเป็น 31% ของจำนวนครั้งที่เกิดขึ้นทั้งหมดทั่วโลก ซึ่งถือเป็นสัดส่วนมากที่สุดเมื่อเทียบกับจำนวนประชากรสหรัฐที่ถือเป็นเพียง 5% ของประชากรโลก

เหตุกราดยิงที่เกิดขึ้นครั้งใหญ่ในสหรัฐ

1.วันที่ 12 มิ.ย. 2016 พัลส์ ไนต์คลับ-ออร์แลนโด รัฐฟลอริดา ผู้เสียชีวิต 49 ราย (เกี่ยวกับกลุ่มไอเอส)
2.วันที่ 16 เม.ย. 2007 เวอร์จิเนียเทค ผู้เสียชีวิต 32 ราย
3.วันที่ 14 ธ.ค. 2012 โรงเรียนประถมแซนดีฮุค รัฐคอนเนกทิคัต ผู้เสียชีวิต 27 ราย
4.วันที่ 16 ต.ค. 1991 โรงอาหารลูบิส รัฐเทกซัส ผู้เสียชีวิต 23 ราย
5.วันที่ 18 ก.ค. 1984 ร้านแมคโดนัลด์ รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้เสียชีวิต 21 ราย
6.วันที่ 1 ส.ค. 1966 มหาวิทยาลัยเทกซัส รัฐเทกซัส ผู้เสียชีวิต 18 ราย
7.วันที่ 2 ธ.ค. 2015  ซานเบอร์นาดิโน รัฐแคลิฟอร์เนีย ผู้เสียชีวิต 14 ราย (เกี่ยวกับกลุ่มไอเอส)
8.วันที่ 20 ส.ค. 1986 ที่ทำการไปรษณีย์เอ็ดมอนด์ รัฐโอกลาโฮมา ผู้เสียชีวิต 14 ราย

 

ฮิลลารีเปิดศึกทรัมป์ท้าชนชิงเก้าอี้ผู้นำมะกัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 มิถุนายน 2559 เวลา 09:00 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/436418

ฮิลลารีเปิดศึกทรัมป์ท้าชนชิงเก้าอี้ผู้นำมะกัน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ ประกาศชัยชนะ พร้อมลั่นวาจาจะเป็นตัวแทนพรรคเพื่อสู้ศึกใหญ่ช่วงปลายปีนี้ และยังเป็นการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสหรัฐด้วยการเป็นผู้หญิงคนแรกในรอบ 240 ปี ที่ลงสู้ศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ

แม้จะยังไม่มีการประกาศผลการเลือกตั้งไพรมารีพร้อมกัน 6 รัฐ เมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา อย่างเป็นทางการ แต่ก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ฮิลลารี คว้าชัยในรัฐนิวเม็กซิโก นิวเจอร์ซีย์ เซาท์ดาโกตา และมีแนวโน้มจะชนะในแคลิฟอร์เนียด้วย

“เป็นเพราะพวกคุณที่นำพาเรามาถึงจุดสำคัญครั้งประวัติศาสตร์” ฮิลลารี กล่าวย้ำชัยชนะ พร้อมโน้มน้าวให้ผู้สนับสนุนของ เบอร์นี แซนเดอร์ส คู่แข่งชิงตัวแทนพรรค เข้าร่วมสู้ศึกครั้งนี้ด้วยกันในฐานะตัวแทนพรรคเดโมแครต

ด้าน แซนเดอร์ส ยืนยันว่าจะเดินหน้าสู้ศึกเลือกตั้งครั้งนี้ต่อไปโดยไม่ย่อท้อ พร้อมกล่าวขอบคุณผู้สนับสนุนที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งนี้ และย้ำว่าจะเดินหน้าต่อสู้เพื่อสังคม เศรษฐกิจ เชื้อชาติ และสิ่งแวดล้อมต่อไป

ทว่า เส้นทางสู้ศึกชิงเก้าอี้ผู้นำสหรัฐของฮิลลารี กลับไม่ได้สวยหรูอย่างที่หวังไว้ โดยเอเอฟพี ระบุว่า ฮิลลารีต้องเผชิญหน้ากับความท้าทายหลายอย่าง  โดยเฉพาะการสร้างความเป็นหนึ่งเดียวกันภายในพรรค และการดึงฐานเสียงของแซนเดอร์ส ที่ส่วนใหญ่เป็นคนรุ่นใหม่ให้หันกลับมาสนับสนุนฮิลลารี

แลร์รี ซาบาโต นักวิเคราะห์การเมืองจากมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย ระบุว่า ฮิลลารีไม่สามารถสู้ศึกใหญ่ได้เพียงลำพังด้วยฐานเสียงที่มีอยู่ แต่จำเป็นต้องมีฐานเสียงของแซนเดอร์สด้วย และแซนเดอร์สต้องสนับสนุนฮิลลารีอย่างเต็มที่

นอกจากนี้ ฮิลลารียังโดนโจมตีประเด็นเสื้อ แจ็กเกตของ จิออร์จิโอ อาร์มานี มูลค่ากว่า 1.24 หมื่นเหรียญสหรัฐ (ราว 4.39 แสนบาท) ที่ใส่ขณะกล่าวคำปราศรัยเมื่อเดือน เม.ย. ในประเด็นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและลดช่องว่างทาง รายได้ ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์ว่า เสื้อคลุมของฮิลลารี มีมูลค่ามากกว่ารายได้ของแรงงานบางรายทั้งปี

ทรัมป์ไฟลนเร่งหาคู่หูลุยศึกใหญ่

สำนักข่าวซินหัวระบุว่า ความท้าทายของ โดนัลด์ ทรัมป์ นักการเมืองปากกล้าจากพรรครีพับลิกัน  คือการเร่งหาผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี  เพื่อมาเป็นคู่หูสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ รวมถึงการบริหารประเทศหากทรัมป์ชนะเก้าอี้ผู้นำสหรัฐ

ดาเรล เวสท์ นักวิเคราะห์อาวุโสของสถาบันบรูกกิ้งส์ สถาบันคลังสมองที่เชี่ยวชาญด้านการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐ เปิดเผยว่า ความสัมพันธ์ระหว่างทรัมป์และสภาคองเกรสอยู่ในระดับอ่อนแอ ดังนั้นทรัมป์จึงต้องหาตัวประสานการทำงาน ระหว่างทรัมป์และประธานสภาคองเกรส

ทรัมป์ยังต้องเผชิญการต่อต้านจากกลุ่มละตินอเมริกาที่ไม่พอใจนโยบายของทรัมป์ ดังนั้นบุคคลที่จะมาเป็นคู่หูของทรัมป์จะต้องเอาชนะใจกลุ่มละตินอเมริกาให้ได้

แดน มาฮัฟฟี นักวิเคราะห์จากศูนย์ศึกษาด้านสภาคองเกรสและประธานาธิบดีสหรัฐ ระบุว่า สมาชิกในพรรครีพับลิกันจำนวนหนึ่งยังคงสนับสนุนทรัมป์ แม้จะกังวลกับนโยบายของทรัมป์บางประการ

ภาพ เอเอฟพี

อย่างไรก็ดี หลังจากที่ทรัมป์วิจารณ์การทำหน้าที่ของผู้พิพากษาเชื้อสายเม็กซิกัน-อเมริกัน ว่ามีอคติต่อตัวทรัมป์ ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก โดยพอล ไรอัน ประธานสภาคองเกรสจากพรรครีพับลิกัน ระบุว่า ข้อคิดเห็นดังกล่าวเป็น คำพูดที่เหยียดเชื้อชาติ และเชื้อชาติไม่ควรเป็นตัวกำหนดอาชีพหรือหน้าที่ แม้ก่อนหน้านี้ไรอัน สนับสนุนทรัมป์ก็ตาม

ขณะที่ มาร์ค เคิร์ก วุฒิสมาชิกรัฐอิลลินอยส์ ที่เคยสนับสนุนทรัมป์ กลับออกมายืนยันว่าจะไม่ลงคะแนนเสียงให้ทรัมป์เป็นตัวแทนพรรคสู้ศึกใหญ่ เนื่องจากทรัมป์ไม่มีคุณสมบัติที่เหมาะสมในการบริหารประเทศจากกรณีข้างต้น

ผลสำรวจล่าสุดของรอยเตอร์ส พบว่าคะแนนความนิยมของทรัมป์ตามหลังฮิลลารีอยู่ 34.7%  ต่อ 44.3% ขณะที่อีก 20.9% ระบุว่าจะไม่เลือกทั้งฮิลลารีและทรัมป์

 

เฟดขยักขึ้นดอกเบี้ยหวั่นความเสี่ยงเศรษฐกิจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 มิถุนายน 2559 เวลา 08:18 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/436192

เฟดขยักขึ้นดอกเบี้ยหวั่นความเสี่ยงเศรษฐกิจ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ส่งสัญญาณถึงทิศทางดอกเบี้ยระหว่างการกล่าวปาฐกถาที่สมาคมนโยบายต่างประเทศ เมืองฟิลาเดลเฟียว่า เฟดจะไม่รีบขึ้นอัตราดอกเบี้ยหากเศรษฐกิจสหรัฐยังเข้มแข็งไม่เพียงพอ โดย แม้จะเห็นว่าเฟดควรที่จะขึ้นดอกเบี้ยอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่เยลเลนก็ไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าจะสามารถขึ้นอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวเมื่อใด

การเปิดเผยดังกล่าวเกิดขึ้นหลังสหรัฐเปิดเผยตัวเลขการจ้างงานใหม่เดือน พ.ค. อยู่ที่ 3.8 หมื่นอัตรา น้อยที่สุดในรอบ 5 ปี โดยเยลเลน ระบุว่า แม้ตลาดการจ้างงานของสหรัฐยังคงเข้มแข็ง และการจ้างงานที่ออกมาต่ำกว่าคาดนั้นเป็นผลมาจากประชาชนได้งานมากขึ้นและมีผู้สมัครงานใหม่น้อยลง แต่เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความเสี่ยงจากไตรมาสแรกที่ขยายตัวเพียง 0.8% เท่านั้น

นอกจากนี้ ผู้ว่าการเฟดยังระบุด้วยว่า เศรษฐกิจสหรัฐยังคงมีความเสี่ยง 4 ประการ ได้แก่ 1.แรงซื้อในสหรัฐ ซึ่งแม้จะยังทำผลงานได้ดีอยู่ แต่การลงทุนในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง และ 2.สถานการณ์เศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัวลง โดยแม้ค่าเงินหยวนจะเคลื่อนไหวในระดับที่สามารถคาดการณ์ได้ แต่จีนยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการเปลี่ยนผ่านเศรษฐกิจไปพึ่งพาการบริโภคและแรงซื้อภายในประเทศ

นอกจากนี้ สถานการณ์เศรษฐกิจโลก ยังคงเผชิญความเสี่ยงการใช้นโยบายการเงินของบรรดาประเทศพัฒนาแล้ว เพื่อต่อสู้กับแรงซื้อและอัตราเงินเฟ้อหดตัว รวมถึงการลงประชามติการเป็นสมาชิกภาพสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 23 มิ.ย.นี้ อีกด้วย

3.เศรษฐกิจสหรัฐ ซึ่งแม้การจ้างงานจะยังคงแข็งแกร่ง แต่เศรษฐกิจกลับขยายตัวอย่างไม่น่าพอใจ รวมถึง 4.อัตราเงินเฟ้อ ซึ่งยังอยู่ต่ำกว่า เป้าหมายที่ 2% โดยเยลเลน ระบุว่า อัตราการขยายตัวอัตราเงินเฟ้อยังคงไม่แน่นอน ท่ามกลางราคาน้ำมันที่ยังฟื้นตัวไม่ถึงระดับที่เสียไป และค่าเงินเหรียญสหรัฐที่เคลื่อนไหวอย่างคาดการณ์ไม่ได้

“หรือข้อมูลการจ้างงานแสดงให้เห็นการจ้างงานที่ลดลง ในเดือน เม.ย.และ พ.ค. กลายเป็นข้อมูลชี้เศรษฐกิจชะลอตัว? หรือการจ้างงานกำลังขยับขึ้นในอัตราที่ดีเยี่ยมอย่างที่เป็นในต้นปีและ ในปี 2015 กัน? หรือข้อมูลอัตราว่างงานล่าสุดแสดงว่าเรากำลังจะกลับสู่การจ้างงานสมบูรณ์? หรือการขยายตัวของค่าแรงที่ลดลงเป็นสัญญาณของความย่ำแย่อีกอันหนึ่ง? ทีมของฉันและตัวฉันจะจัดการกับคำถามเหล่านี้และคำถามอื่นๆ ที่จะตามมา” เยลเลน กล่าว

หลังการเปิดเผยของเยลเลน ตลาดต่างคาดการณ์เฟดจะหันไปขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเดือน ก.ย. แทน โดยเนล ดัทต้า หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์จากเรเนซองส์ แมโคร รีเสิร์ช ในนิวยอร์ก ระบุว่า เฟดต้องการข้อมูลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ซึ่งจะต้องเป็นการขยายตัวที่ขยายต่อเนื่องไปไตรมาส 3 ด้วย

จับสัญญาณเฟดจากค่าเงินหยวน

โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจชื่อดังของ สหรัฐ เปิดเผยรายงานนำโดยเดวิด คอสติน นักวิจัย ของโกลด์แมน แซคส์ ว่า การจับตาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ ควรจะจับตาการเคลื่อนไหวของการตั้งค่ากลางแลกเปลี่ยนค่าเงินหยวนเทียบกับเหรียญสหรัฐของจีนด้วย โดยเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา เมื่อธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ตั้งค่ากลางแลกเปลี่ยนอ่อนค่าลง ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นของสหรัฐ โดยเฉพาะดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงอย่างรุนแรง ในหลายสัปดาห์ต่อมา

เมื่อดัชนีเอสแอนด์พี 500 ร่วงลงจะส่งผลให้เฟดตัดสินใจชะลออัตราการขึ้นดอกเบี้ยออกไป และเมื่อใดที่เฟดชะลอการขั้นดอกเบี้ยจะส่งผลให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลง และทำให้พีบีโอซีหันไปตั้งค่ากลางเงินหยวนแข็งค่าขึ้น กลายเป็นการส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นของสหรัฐ และทำให้เฟดพิจารณาขึ้นดอกเบี้ยอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม รายงานของโกลด์แมน แซคส์ ระบุว่า เมื่อเฟดตัดสินใจส่งสัญญาณขึ้นดอกเบี้ย จะทำให้ค่าเงินเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น และทำให้พีบีโอซีอ่อนค่าเงินหยวนอีกครั้ง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อดัชนีเอสแอนด์พี 500 และทำให้เฟดตัดสินใจชะลอการขึ้นดอกเบี้ย วนเวียนกลายเป็นวัฏจักรในช่วงที่ผ่านมา

นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ ยังคาดการณ์ว่า ค่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลง 3% ในอีก 12 เดือน ข้างหน้า ในขณะที่ ทอมมี เซียะ นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโอซีบีซีในสิงคโปร์ คาดการณ์ว่า ค่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลงไปเช่นกันจากการแข็งค่าขึ้นของเหรียญสหรัฐ และคาดการณ์เฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ย

ทั้งนี้ เซียะ ระบุกับสำนักข่าวซีเอ็นบีซีว่า จีนกำลังเดินหน้าปรับค่าเงินหยวนตามการเคลื่อนไหวของตลาดมากขึ้น นับตั้งแต่จีนเปิดเผยการคิดอัตราแลกเปลี่ยนใหม่ โดยเทียบกับสกุลเงิน 13 สกุล แม้จะยังคงผูกค่าเงินหยวนเอาไว้กับเหรียญสหรัฐเอาไว้ และการเคลื่อนไหวตามตลาดของค่าเงินหยวนทำให้สามารถคาดการณ์การเคลื่อนไหวของค่าเงินดังกล่าวได้ง่ายขึ้น

เซียะ ระบุว่า แม้ค่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลงแล้ว 2% เมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐตลอดเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา แต่ตลาดก็ยังคงไม่แสดงอาการตระหนกต่อการอ่อนค่าของค่าเงินดังกล่าว เนื่องจากการตั้งค่ากลางให้เป็นไปตามการเคลื่อนไหวของตลาดเป็นการสื่อสารกับตลาดได้อย่างดี และสร้างความสบายใจให้แก่นักลงทุน

สอดคล้องกับด้านธนาคารบราวน์ บราเธอร์ส ฮาร์ริแมน แอนด์ โค ในสหรัฐ เปิดเผยว่า ในปัจจุบัน นักลงทุนอ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวนน้อยลง และกระทบต่อตลาดหุ้นของสหรัฐน้อยลงด้วย

 

‘ฮิลลารี’ ลุ้นปิดฉาก ชิงตัวแทนพรรคลงสนามใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 มิถุนายน 2559 เวลา 08:11 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/436191

‘ฮิลลารี’ ลุ้นปิดฉาก ชิงตัวแทนพรรคลงสนามใหญ่

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

ศึกชิงตัวแทนพรรคเดโมแครตเริ่มดุเดือดมากยิ่งขึ้น เมื่อ ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครชิงตัวแทนพรรคเดโมแครตเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ สามารถคว้าชัยจากการเลือกตั้งไพรมารี ในเครือรัฐเปอร์โตริโก กวาดคะแนนเสียงผู้แทนและผู้แทนพิเศษได้อีก 68 เสียง ส่งผลให้จำนวนผู้แทนทั้งหมดล่าสุดอยู่ที่ 2,384 เสียง เกินเกณฑ์ขั้นต่ำที่ 2,383 เสียง

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ระบุว่า หากฮิลลารีได้เป็นตัวแทนพรรคชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีสหรัฐอย่างเป็นทางการ จะเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของสหรัฐด้วยการเป็นผู้หญิงคนแรกในรอบ 240 ปี ที่ลงสู้ศึกเลือกตั้งผู้นำสหรัฐ โดยล่าสุด แนนซี่ เพโลซี่ อดีตประธานสภาผู้แทนราษฎรหญิงคนแรกของสหรัฐ และผู้แทนพิเศษของพรรคเดโมแครต(ซูเปอร์เดลิเกต) ประกาศสนับสนุนฮิลลารีให้เป็นประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐ

อย่างไรก็ดี ร็อบบี้ มุก ผู้จัดการโครงการรณรงค์หาเสียงของคลินตัน ระบุว่า ฮิลลารียังไม่นิ่งนอนใจกับคะแนนเสียงผู้แทนที่เกินเกณฑ์ขั้นต่ำ จนกว่าการเลือกตั้งไพรมารีและการหยั่งเสียงแบบคอคัสจะสิ้นสุดลง โดยเฉพาะการเลือกตั้งไพรมารีพร้อมกัน 6 รัฐ ได้แก่ รัฐนิวเม็กซิโก มอนแทนา เซาท์ดาโกตา นอร์ทดาโกตา นิวเจอร์ซีย์ และแคลิฟอร์เนีย ในวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา

สำหรับคู่แข่งชิงตัวแทนพรรคอีกรายที่ยังสู้ไม่ยอมถอยอย่าง เบอร์นี แซนเดอร์ส ยังมั่นใจว่าจะสามารถคว้าชัยชนะจากการเลือกตั้งไพรมารีในรัฐแคลิฟอร์เนีย ซึ่งเป็นรัฐที่มีการจับตามองมากที่สุด เนื่องจากมีคะแนนผู้แทนถึง 475 เสียง โดยปัจจุบันแซนเดอร์สมีคะแนนเสียงผู้แทนทั้งหมดที่ 1,568 เสียง ซึ่งจำนวนเสียงผู้แทนอาจมีการพลิกโผหากผู้แทนพิเศษเปลี่ยนใจเทคะแนนให้แซนเดอร์สแทน

“จะไม่มีผู้สมัครชิงตัวแทนพรรคคนใดที่สามารถกล่าวได้อย่างเต็มภาคภูมิว่าเป็นตัวแทนพรรค จนกว่าจะถึงช่วงสุดท้ายของการคัดเลือกตัวแทนพรรค ซึ่งล้วนขึ้นอยู่กับคะแนนเสียงผู้แทนพิเศษเท่านั้น หรือกล่าวอีกแง่คือ การประชุมใหญ่ของพรรคเดโมแครตที่จะมีขึ้นในรัฐเพนซิลเวเนีย ระหว่างวันที่ 25-28 ก.ค. จะเป็นสนามตัดสินที่แท้จริงว่าใครจะเป็นตัวแทนพรรค” แซนเดอร์ส กล่าวย้ำ

แทด เดอวีน ที่ปรึกษาแซนเดอร์ส ระบุว่า ทีมรณรงค์ของแซนเดอร์สเชื่อมั่นว่า วุฒิสมาชิกจากรัฐเวอร์มอนต์รายนี้จะสามารถดึงคะแนนเสียงผู้แทนพิเศษให้ลงคะแนนให้กับแซนเดอร์สในการประชุมใหญ่ของพรรค เนื่องจากคะแนนความนิยมของแซนเดอร์สต่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ตัวเต็งตัวแทนพรรครีพับลิกัน อยู่ในระดับที่สูงกว่าคะแนนความนิยมของฮิลลารีต่อทรัมป์

ยิ่งไปกว่านั้น การใช้อีเมลส่วนตัวช่วงที่ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ถือเป็นประเด็นด่างพร้อยที่ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสมในการปฏิบัติหน้าที่

นอกจากนี้ ผลสำรวจของซีเอ็นเอ็นพบว่า พลเมืองผิวขาวที่มีสิทธิเลือกตั้งกว่า 76% เทคะแนนเสียงให้แซนเดอร์สมากกว่าฮิลลารี และวัยรุ่นสหรัฐเลือกที่จะลงคะแนนเสียงให้กับแซนเดอร์ส ตรงข้ามกับคนสูงวัยที่เลือกเทคะแนนให้ฮิลลารีมากกว่า

ขณะที่ทรัมป์เองก็ได้รับผลกระทบจากนโยบายต่อต้านชาวมุสลิมและผู้อพยพ ส่งผลให้พลเมืองเชื้อสายละตินอเมริกากว่า 77% เลือกที่จะหันหลังให้ทรัมป์ นำไปสู่เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า ทรัมป์ไม่สามารถเอาชนะคู่แข่งจากพรรคเดโมแครตได้เลย ไม่ว่าจะเป็นฮิลลารีหรือแซนเดอร์ส