ผู้นำใหม่ลั่นยกเครื่องฟิลิปปินส์ เร่งกระจายอำนาจ-ขจัดความยากจน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 พฤษภาคม 2559 เวลา 08:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/431183

ผู้นำใหม่ลั่นยกเครื่องฟิลิปปินส์ เร่งกระจายอำนาจ-ขจัดความยากจน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

โรดริโก ดูเตอร์เต วัย 71 ปี ผู้สมัครฝีปากกล้าและอดีตผู้ว่าเมืองดาเวา คว้าตำแหน่งประธานาธิบดีฟิลิปปินส์ตามความคาดหมาย หลังการเลือกวันที่ 9 พ.ค.ที่ผ่านมา ด้วยคะแนนเสียงมากกว่า 15.5 ล้านเสียง ตามด้วย มานูเอล ร็อกซาส ผู้สมัครที่ประธานาธิบดี เบนิญโญ อาคิโน หนุนหลังที่ 9.3 ล้านเสียง ขณะที่ เกรซ โพ ได้ไปทั่งหมด 8.6 ล้านเสียง จากคะแนนเสียงที่นับแล้วมากกว่า 90% จาก 5.4 ล้านเสียง

หลังจากที่ดูเดอร์เตได้รับชัยชนะ ค่าเงิน เปโซแข็งค่าขึ้นเทียบเหรียญสหรัฐ 0.4% เป็น 46.89 เปโซ/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 11.48 น. ตามเวลาท้องถิ่น กรุงมะนิลา และแข็งค่าขึ้นมาแล้ว 1% นับตั้งแต่จุดต่ำสุดในวันที่ 6 พ.ค.ขณะที่ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ขึ้นมากกว่า 1% หลังจากตกไปสู่จุดต่าสุดในรอบ 2 เดือน เมื่อวันที่ 6 พ.ค.ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม สมิธ ฉัว หัวหน้านักลงทุนของแบงก์ออฟเดอะฟิลิปปินส์ไอแลนด์ ธนาคารจัดการการลงทุนที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า ตลาดจะกลับมาผันผวนอีกครั้งหลังจากที่นักลงทุนต่างคุ้นชินกับดูเดอร์เตแล้ว แต่ขณะนี้นักลงทุนยังให้เวลาและจะจับตามองก้าวต่อไปของดูเดอร์เตซึ่งได้รับความนิยมอย่างมาก

“ช่วงต่อไปจะเป็นช่วงฮันนีมูน นักลงทุนจะยังให้โอกาสดูเตอร์เตก่อนสักพักในช่วงที่นโยบายเศรษฐกิจยังไม่ชัดเจนพอ เนื่องจากเห็นได้ชัดว่าดูเตอร์เตได้รับความนิยมมาก นักลงทุนต่างสนใจที่จะรอดูว่าเขาจะทำอย่างไรต่อไปกับความนิยมอันแข็งแกร่งนี้ และจะทำอย่างไรในการสร้างสันติภาพกับพรรคอื่นและบริหารรัฐบาล” ฉัว กล่าว

จับตาโครงสร้างพื้นฐาน-การลงทุนต่างชาติ

ในช่วงที่ประธานาธิบดี เบนิญโญ อาคิโน ครองตำแหน่งระหว่างปี 2010-2016 เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ขยายตัวเฉลี่ย 6.2% ซึ่งมากที่สุดนับตั้งแต่ช่วงปี 1970 และยังทำให้ฟิลิปปินส์หลุดพ้นจากสถานะคนป่วยแห่งเอเชีย และได้รับการชื่นชมจากธนาคารโลก (เวิลด์แบงก์) ว่าเป็นเสือตัวใหม่แห่งเอเชีย

อาคิโนชูนโยบายการปฏิรูปเศรษฐกิจ ลดความเหลื่อมล้ำ และการดึงต่างชาติเข้ามาลงทุน อย่างไรก็ตาม แอสโตร เดล คาสติโล กรรมการผู้จัดการ เฟิสต์ เกรด โฮลดิ้งส์ บริษัทด้านการลงทุนในฟิลิปปินส์ เปิดเผยว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจและการจ้างงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างน้อย 4 ล้านอัตรา ในสมัยอาคิโน ไม่ไปด้วยกันกับการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน โดยแม้ยอดขายรถยนต์ที่สูงสุดทำสถิติ ขณะที่ถนนไม่เพียงพอ

สอดคล้องกับ จอห์น ฟอร์บส์ ที่ปรึกษาอาวุโสหอการค้าอเมริกันในฟิลิปปินส์ เปิดเผย กับบลูมเบิร์กว่า ความท้าทายแรกของอดีตผู้ว่าเมืองดาเวาคือเรื่องการสร้างโครงสร้างพื้นฐาน เพราะการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ตามมาด้วยความต้องการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน สนามบิน และท่าเรือ

ทั้งนี้ อาคิโนพยายามผลักดันโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานมูลค่า 6,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4,500 ล้านบาท) ก่อนที่จะหมดวาระ และล้มเหลวไปในเดือน มี.ค.

จากรายงานของสำนักข่าวบีบีซี ประชาชนในฟิลิปปินส์ให้เหตุผลที่เลือกดูเดอร์เตว่าไม่ได้รับประโยชน์จากเศรษฐกิจที่ขยายตัวเลย เช่น ประชาชนบางคนต้องเดินทางราว 2 ชั่วโมง เพื่อไปทำงาน กลับอีก 2 ชั่วโมง และได้รับรายได้แค่เพียงพอต่อการเลี้ยงชีพและครอบครัวโดยไม่มีเงินเก็บ

แม้การขยายตัวทางเศรษฐกิจจะไปได้อย่างดี แต่ฟิลิปปินส์ยังเผชิญปัญหาความยากจน โดยประชากรถึง 1 ใน 4 ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประชากรยากจน

ก่อนหน้านี้ ดูเตอร์เต เปิดเผยว่า จะแต่งตั้งให้ คาร์ลอส โดมิงกูส์ เจ้าของโรงแรมมาร์โค โปโล และเพื่อนสนิทในวัยเยาว์ ขึ้นเป็นรัฐมนตรีคลัง หรือรัฐมนตรีคมนาคม ในขณะเดียวกันว่าที่ประธานาธิบดียังวางแผนที่แก้ไขให้ต่างชาติสามารถถือหุ้นได้มากกกว่าข้อจำกัดเดิมที่ 40% เพื่อที่จะดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ ควบคู่ไปกับการประสานงานกับประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อผลักดันการส่งออก

โบนิฟาซิโอ ตัน ประธานหอการค้าเมืองดาเวา เปิดเผยว่า ดูเตอร์เตทำงานได้ดีในการผลักดันให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ดีแก่การลงทุนในเมืองดาเวา

“ดูเตอร์เตทำอย่างที่เขาพูด อาจจะเป็นคนเจ้าอารมณ์ไปหน่อยตอนที่พูด ตอนที่โมโห และบางครั้งก็ใช้คำพูดไม่เหมาะสม แต่วิธีการพูดของเขาไม่ได้แสดงให้เห็นความสามารถของ เจ้าหน้าที่รัฐที่แท้จริง” ตัน กล่าว

เตรียมแก้ รธน.กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น

ปีเตอร์ ลาวินา โฆษกของว่าที่ประธานาธิบดีฟิลิปปินส์คนใหม่ เปิดเผยว่า ดูเตอร์เตเตรียมผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อกระจายอำนาจจากรัฐบาลไปสู่ท้องถิ่นมากขึ้น โดยจะใช้รูปแบบการปกครองในลักษณะเดียวกับสหรัฐที่แต่ละเขตก็จะมีอำนาจในการปกครองท้องถิ่นมากขึ้น เนื่องจากรัฐบาลกลางในกรุงมะนิลานั้นเต็มไปด้วยการฉ้อโกงและไม่สนปัญหาท้องถิ่น

ในขณะเดียวกัน ลาวินา ระบุว่า ดูเดอร์เตจะผลักดันให้การเจรจากับกลุ่มกบฏทางตอนใต้ของประเทศ เช่นเดียวกับผลักดันให้เกิดการพูดคุยพหุภาคีในประเด็นข้อพิพาททะเลจีนใต้ขึ้น

ทางด้านการเลือกตั้งรองประธานาธิบดี  เฟอร์ดินานด์ บองบอง มาร์กอส ผู้สมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดีของฟิลิปปินส์ และลูกชายเพียงคนเดียวของอดีตประธานาธิบดี  เฟอร์ดินานด์ มาร์กอส ยังคงตามหลัง เลนี่ โรเบรโด ผู้สมัครอิสระด้วยคะแนน 1.36 ล้านเสียง ต่อ 1.34 ล้านเสียง

 

‘ทรัมป์’แรงฉุดไม่อยู่ จ่อขึ้นแท่นตัวแทนพรรค

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 พฤษภาคม 2559 เวลา 07:38 …. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/430185

‘ทรัมป์’แรงฉุดไม่อยู่ จ่อขึ้นแท่นตัวแทนพรรค

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

 

แนวโน้มที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครชิงตำแหน่งตัวแทนพรรครีพับลิกันสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ จะเป็นตัวแทนพรรคเพิ่มสูงขึ้นเกินจะต้านทาน หลังคว้าชัยชนะในรัฐอินเดียนาอย่างขาดลอย ส่งผลให้ เท็ด ครูซ คู่แข่งคนสำคัญภายในพรรคประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันทันทีที่ผลการเลือกตั้งออกมา

ความพ่ายแพ้ของครูซในรัฐอินเดียนาถือว่าเหนือความคาดหมาย เนื่องจากครูซมีฐานเสียงในรัฐนี้อยู่พอสมควร อีกทั้งการประกาศถอนตัวออกจากการแข่งขันหลังต่อสู้โจมตีกันมาอย่างยาวนาน ก็สร้างความตกตะลึงให้กับทุกฝ่าย และถือเป็นการปูทางให้ทรัมป์เป็นตัวแทนพรรคโดยปริยาย แม้จะยังไม่ได้รับคะแนนเสียงผู้แทนมากเพียงพอตามเกณฑ์เป็นตัวแทนของพรรคที่ 1,237 คะแนนเสียงก็ตาม

นอกจากนี้ การต่อสู้ภายในพรรคยังสะท้อนถึงความขัดแย้งที่รุนแรงภายในตลอดช่วงของการหาเสียงเลือกตั้ง ซึ่งรุนแรงกว่าการชิงตัวแทนพรรคเพื่อสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐครั้งที่ผ่านมา

ยิ่งไปกว่านั้น การกวาดชัยชนะของทรัมป์ในหลายรัฐ ยังสะท้อนกระแสความเบื่อหน่ายของกลุ่มคนทำงานที่มีต่อความคิดของชนชั้นนำในพรรค

สิ่งที่จะเป็นอุปสรรคสำคัญสำหรับทรัมป์ต่อจากนี้ เหลือเพียงการต่อสู้กับกลุ่มผู้ต่อต้านภายในพรรค โดยทุกฝ่ายต่างจับตาไปที่การประชุมคณะกรรมการของพรรคที่จะมีขึ้นที่เมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอ ในเดือน ก.ค.นี้

ล่าสุด เร็นซ์ พรีบัส ประธานคณะกรรมการพรรครีพับลิกัน ซึ่งมีประเด็นโต้แย้งกับทรัมป์มาตลอด ก็ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าทรัมป์มีแนวโน้มเป็นตัวแทนพรรคสู้ศึกเลือกตั้งประธานาธิบดี ในเดือน พ.ย.นี้ หลังการถอนตัวออกไปของครูซ

พร้อมเรียกร้องให้สมาชิกพรรคร่วมมือกันเพื่อมุ่งต่อสู้กับ ฮิลลารี คลินตัน ตัวเต็งผู้สมัครเป็นตัวแทนของพรรคเดโมแครต หลังจากเสียงภายในพรรคแตกออกเป็นสองฝ่าย ตั้งแต่ที่เริ่มการหาเสียงเลือกตั้ง เนื่องจากบรรดาสมาชิกกลุ่มอำนาจเก่าในพรรคต่างไม่พอใจทรัมป์ ซึ่งเป็นผู้สมัครคนนอก

ในการกล่าวปราศรัยหลังคว้าชัยชนะ ทรัมป์ได้กล่าวโจมตีคลินตันว่าไม่มีความเข้าใจในเรื่องการค้า และวิจารณ์ความเสียหายของสหรัฐจากการลงนามในข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ (นาฟตา) ในสมัยที่ บิล คลินตัน เป็นประธานาธิบดี โดยทรัมป์มีแนวนโยบายที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการค้าเสรี

นอกจากนี้ ทรัมป์ยังได้วิจารณ์นโยบายต่างประเทศสมัยคลินตันเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ ซึ่งสนับสนุนสหรัฐร่วมสงครามอิรักและเพิ่ิมบทบาทของสหรัฐในเวทีโลก

สวนทางกับแนวนโยบายของทรัมป์ที่เน้นสนับสนุนผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ และการจ้างงานให้กับคนในประเทศ ทำให้ทรัมป์ได้ใจบรรดาชนชั้นแรงงานที่เป็นฐานเสียงหลังอย่างเหนียวแน่น

คลินตันมุ่งหน้าสู้ศึกใหญ่

ในวันเดียวกัน เบอร์นี แซนเดอร์ส ผู้สมัครชิงตัวแทนพรรคเดโมแครต ก็คว้าชัยในการเลือกตั้งขั้นต้นที่รัฐอินเดียนา ทำให้ได้คะแนนเสียงผู้แทนเพิ่ม 39 เสียง ขณะที่คลินตันได้เพิ่ม 29 เสียง

อย่างไรก็ตาม คะแนนเสียงผู้แทนและคะแนนเสียงผู้แทนพิเศษของคลินตันยังทิ้งห่างจากแซนเดอร์สอยู่มาก จากความพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งขั้นต้นรัฐใหญ่ๆ ที่ผ่านมาหลายรัฐ

สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น ระบุว่า หากแซนเดอร์สต้องการเป็นตัวแทนพรรคชิงศึกประธานาธิบดี แซนเดอร์สต้องโน้มน้าวบรรดาผู้แทนพิเศษในพรรคให้ย้ายข้างมาสนับสนุนแซนเดอร์ส ในการประชุมคณะกรรมการพรรควันที่ 25-28 ก.ค. ที่รัฐฟิลาเดลเฟีย ซึ่งค่อนข้างเป็นไปได้ยาก เนื่องจากบรรดาผู้แทนส่วนใหญ่มีความสัมพันธ์อันดีต่อคลินตัน

สอดคล้องกับเหตุผลที่คลินตันไม่ให้ความสำคัญกับการหาเสียงในรัฐอินเดียนามากนัก เพราะนอกจากจะเป็นรัฐที่แซนเดอร์สมีฐานเสียงอยู่แล้ว คะแนนที่นำโด่งของคลินตันทำให้ทีมหาเสียงมุ่งความสำคัญไปที่การสร้างความเป็นหนึ่งเดียวในพรรค และการแข่งขันกับพรรครีพับลิกันมากกว่า

นอกจากนี้ ที่ปรึกษาของคลินตันยังดูเหมือนได้ลดความสำคัญในการหาเสียงเลือกตั้งรัฐที่เหลือในช่วงที่ผ่านมา โดยมองว่ามีความเป็นไปได้ยากมากที่แซนเดอร์สจะตีตื้นคะแนนเสียงผู้แทนขึ้นมาได้มากพอที่จะก่อให้เกิดการพลิกโผในขั้นสุดท้าย

อย่างไรก็ตาม แซนเดอร์ส ระบุ แม้ทีมหาเสียงของคลินตันคิดว่าการหาเสียงเลือกผู้แทนจบลงแล้ว แต่่ผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งยังคงมาลงคะแนนอยู่และไม่ได้คิดเช่นนั้น อย่างเช่นที่เกิดขึ้นในรัฐอินเดียนา

พรรคเดโมแครตจะเลือกตั้งขั้นต้นครั้งใหญในรัฐแคลิฟอร์เนีย, มอนทานา, นิวเจอร์ซีย์, นิวเม็กซิโก, นอร์ท ดาโกตา และเซาท์ ดาโกตา ในวันที่ 7 มิ.ย. ซึ่งมีสัดส่วนคะแนนเสียงผู้แทน 694 เสียง

ส่วนพรรครีพับลิกันจะจัดขึ้นในวันเดียวกัน 5 รัฐ ยกเว้น นอร์ท ดาโกตา ซึ่งมีสัดส่วนคะแนนเสียงผู้แทน 303 เสียง

ประชุมใหญ่ชี้ชะตาตัวแทนพรรค

-จะมีการแต่งตั้งตัวแทนพรรคอย่างเป็นทางการเพื่อชิงเก้าปี้ประะานาธิบดีและรองประธานาธิบดดีสหรัฐ

-พรรครีพับลิกัน:จัดขึ้นที่นัฐโอไฮโอ วันที่ 18-21 ก.ค.โดยกลุ่มผู้แทนของพรรคทั้งหมด2,472คน และกลุ่มตัวแทนทางเลือก (Alternative delegates) 2,302 คน จะลงคะแนนเลือกตัวแทนพรรค ซึ่งต้องมีคะแนนเสียงผู้แทนถึงเกณฑ์ที่1,237 เสียง

-พรรคเดโมแครต:จัดที่รัฐเพนซิลเวเนียวันที่ 25-28 ก.ค. โดยผู้ที่จะเป็นตันแทนพรรคจะต้องมีคะแนนเสียงอย่างน้อย 2,383 เสียงจากผู้แทนทั้งหมด 4,765 คน

-หากไม่มีผู้สมัครรายใดมีคะแนนเสีนงผู้แทนถึงเกณฑ์ทางพรรคจะเปิดให้ผู้แทนสามารถเปลี่ยนคะแนนเสียงไปสนับสนุนอีกฝ่ายในพรรคได้

 

ค้าปลีกระส่ำสวนทางอี-คอมเมิร์ซ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 เมษายน 2559 เวลา 07:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/429414

ค้าปลีกระส่ำสวนทางอี-คอมเมิร์ซ

โดย…นรินรัตน์ พรหมพิทักษ์

กระแสการขายกิจการเพื่อเลี่ยงการปิดกิจการและปลดพนักงาน 1.1 หมื่นอัตราทั่วประเทศของ บีเอชเอส ห้างสรรพสินค้าชั้นนำของอังกฤษ อาจเป็นสัญญาณหนึ่งที่บ่งชี้ถึงช่วงขาลงของห้างค้าปลีก ท่ามกลางการขยายตัวที่พุ่งแรงของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ

นอกเหนือจากบีเอชเอสแล้ว ทิศทางของ วอลมาร์ท อิงค์ บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐดูจะไม่สดใสนักเช่นกัน โดยบริษัทคาดการณ์ว่าผลกำไรในปีนี้มีแนวโน้มปรับลดลงถึง 12% เนื่องจากยอดขายในร้านค้าปลีกทั่วสหรัฐชะลอตัว และได้รับแรงกดดันจากยอดขายที่อ่อนแรงในต่างประเทศ

เช่นเดียวกับ เซียร์ส โฮลดิ้งส์ บริษัทค้าปลีกรายใหญ่ของสหรัฐ ที่ประกาศแผนปิดร้านจำหน่ายสินค้าจำนวน 78 แห่ง ประกอบด้วย ร้านเคมาร์ท 68 แห่ง ในช่วงฤดูร้อนปีนี้ และบรรดาห้างค้าปลีกรายอื่นๆ อย่าง เจซีเพนนีย์ เปิดเผยว่า จะปิดร้านค้าจำนวน 70 แห่ง ในสหรัฐ ขณะที่ มาซีส์ วางแผนหยุดดำเนินงานห้างร้าน 40 แห่ง ในเดือนก่อนหน้านี้

กรีน สตรีท แอดไวเซอร์ส บริษัทวิจัยจากสหรัฐ เปิดเผยว่า ร้านค้าปลีกทั่วสหรัฐจำเป็นต้องปิดร้านสาขาราว 800 แห่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 1 ใน 5 ของพื้นที่ร้านสรรพสินค้าในสหรัฐ เพื่อดันให้ยอดขายของบริษัทกลับสู่ระดับเทียบเท่ากับเมื่อ 10 ปีก่อนหน้านี้ โดย เซียร์สฯ อาจต้องปิดร้านราว 300 แห่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราวครึ่งหนึ่งของจำนวนร้านในปัจจุบัน เจซีเพนนีย์ อาจต้องยุติการดำเนินงานในร้านค้าราว 320 แห่ง (คิดเป็นสัดส่วนราว 25%) และ มาซีส์ อาจต้องปิดร้านสาขาจำนวน 70 แห่ง หรือ 9% จากจำนวนสาขาทั้งหมด

ข่าวการปิดสาขาของบริษัทค้าปลีกยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ส่งผลต่อเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่เปิดให้เช่าพื้นที่ด้วยเช่นกัน เนื่องจากไม่สามารถหาธุรกิจค้าปลีกรายใหญ่พอกันมาเช่าพื้นที่ดังกล่าวแทน โดย กรีน สตรีทฯ ระบุว่า การปิดสาขาร้านค้าปลีกอาจทำให้ห้างสรรพสินค้าหลายแห่งในสหรัฐต้องปิดกิจการ เนื่องจากร้านค้าปลีกดังกล่าวเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลักของห้าง

ขณะที่เจ้าของห้างสรรพสินค้าบางส่วนเริ่มแทนที่ร้านค้าปลีกด้วยโรงภาพยนตร์ ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายสินค้าราคาถูกอย่าง ทีเจแมกซ์ รอสส์สโตร์ และมาร์แชลส์

อย่างไรก็ดี ช่วงขาลงของห้างสรรพสินค้าไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานนี้ เนื่องจาก วอลสตรีท เจอร์นัล รายงานว่า ยอดขายของห้างสรรพสินค้าต่อตารางฟุตร่วงลง 24% แตะที่ 165 เหรียญสหรัฐ (ราว 5,775 บาท) นับตั้งแต่ปี 2549

ทั้งนี้ นักวิเคราะห์จากธนาคาร เครดิต สวิส เปิดเผยว่า ภาคธุรกิจค้าปลีกลดจำนวนพนักงานกว่า 2.4 หมื่นอัตราแล้ว ในปี 2559 และกำลังพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2553 ซึ่งบลูมเบิร์กระบุว่า มีการลดจำนวนพนักงานในธุรกิจค้าปลีกลงราว 3 หมื่นอัตรา

เครดิต สวิส ยังคาดการณ์โดยอ้างอิงจากข้อมูลของบลูมเบิร์ก ว่า อาจมีการปลดพนักงานจำนวนมากถึง 3.7 หมื่นอัตรา ในปี 2559 ขณะที่นักวิเคราะห์หลายรายมองว่าตัวเลขดังกล่าวอาจสูงกว่าคาดการณ์ เนื่องจากบริษัทค้าปลีกจำนวนมากยื่นล้มละลายเมื่อไม่นานนี้

สวนทางกับธุรกิจอี-คอมเมิร์ซที่ดูจะมีอนาคตที่สดใส จากตัวอย่างความสำเร็จของ เถาเป่า แพลตฟอร์ม อี-คอมเมิร์ซ ของอาลีบาบา ที่คาดว่าครองตลาดผู้บริโภคในจีนไปกว่า 90% ส่วนเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อนหน้านี้ อาลีบาบาได้เดินหน้าขยายธุรกิจอี-คอมเมิร์ซของบริษัทต่อด้วยการประกาศลงทุน 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 หมื่นล้านบาท) ในลาซาด้า แพลตฟอร์มซื้อขายออนไลน์ชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ช่วยหนุนธุรกิจอี-คอมเมิร์ซมาจากจำนวนผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่กำลังปรับตัวขึ้น โดยเจฟเฟอรีส์ กรุ๊ป เปิดเผยว่า อินโดนีเซียซึ่งเป็นประเทศขนาดใหญ่ที่สุดในภูมิภาค มียอดใช้งานเว็บไซต์บนมือถือสูงถึง 70% สอดคล้องกับข้อมูลของกูเกิลคาดการณ์ว่า ยอดการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ราว 30% มาจากสมาร์ทโฟน

ขณะเดียวกัน อะเมซอน เจ้าของแพลตฟอร์มอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ ได้สร้างความประหลาดใจให้บรรดานักวิเคราะห์ จากการเปิดเผยว่า ผลกำไรของบริษัทปรับตัวขึ้นติดต่อกันเป็นไตรมาส 4 แตะที่ 513 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.7 หมื่นล้านบาท) ในไตรมาสแรกของปี 2559 หลังบริษัทขาดทุนสุทธิอย่างหนักที่ 57 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,995 ล้านบาท) ในช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว

รอยเตอร์สรายงานว่า ผลกำไรของอะเมซอนยังสูงกว่าคาดการณ์นักวิเคราะห์ถึง 2 เท่า ที่ 272.6 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 9,541 ล้านบาท) โดยได้แรงหนุนจากธุรกิจคลาวด์ที่มีชื่อว่า อะเมซอนเว็บเซอร์วิส (เอดับเบิ้ลยูเอส) และธุรกิจค้าปลีกหลักของบริษัท โดยอัตรากำไรจากการดำเนินงานของธุรกิจค้าปลีกอะเมซอนอยู่ที่ 3.6% ในไตรมาสแรกของปี 2559

อีมาเกอเตอร์ บริษัทวิจัยตลาดดิจิทัล เปิดเผยว่า ยอดค้าปลีกออนไลน์ในสหรัฐของอะเมซอน ปี 2559 คาดว่าจะขยายตัว 8% จากยอดค้าปลีกทั้งหมด แตะ 3.85 แสนล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 13 ล้านบาท)

แม้แนวโน้มทางธุรกิจของร้านค้าปลีกทั่วโลกจะดูไม่สดใสนัก แต่อนาคตของธุรกิจอี-คอมเมิร์ซกลับเด่นชัดขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งสามารถสะท้อนพฤติกรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไปได้
เป็นอย่างดี

 

อากาศโลกเพี้ยนหนักเอเชียแล้งปะทะเอพริลสโนว์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 เมษายน 2559 เวลา 08:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/428982

อากาศโลกเพี้ยนหนักเอเชียแล้งปะทะเอพริลสโนว์

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

สภาพอากาศโลกเข้าขั้นปั่นป่วนอย่างหนักจากปรากฏการณ์เอลนินโญ เมื่อเวียดนามต้องเจอวิกฤตภัยแล้งหนักสุดในรอบ 90 ปี เช่นเดียวกับกัมพูชาที่แห้งแล้งหนักสุดรอบ 50 ปี สวนทางกับกรุงลอนดอน อังกฤษ ที่สร้างความงงงวยด้วย เอพริล สโนว์ หรือหิมะตกปลายเดือน เม.ย.

จากภาวะภัยแล้งหนัก ส่งผลให้รัฐบาลเวียดนามต้องร้องขอเงินช่วยเหลือฉุกเฉินมูลค่า 48.5 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,706 ล้านบาท) จากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) และประชาคมโลก เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้งทางตอนกลางและตอนใต้ของประเทศอย่างหนัก ส่งผลกระทบต่อประชาชนกว่า 2 ล้านคน ขาดแคลนน้ำ และประชาชนกว่า 1.1 ล้านคน ขาดแคลนอาหาร

นอกจากนี้ ปัญหาภัยแล้งยังส่งผลกระทบต่อที่ดินทางการเกษตรกว่า 4 แสนเฮกตาร์ที่ไม่สามารถเพาะทำการเพาะปลูกได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ และอีก 2.59 หมื่นเฮกตาร์ที่ไม่สามารถทำการเกษตรได้เลย

กาวดึ๊กฟาส รัฐมนตรีเกษตรและการพัฒนาชนบท ระบุว่า เป็นครั้งแรกของเวียดนามที่ต้องร้องขอเงิน ช่วยเหลือฉุกเฉินเพื่อนำมาแก้วิกฤตที่เกิดขึ้น โดยได้รับการบริจาคแล้วราว 7.34 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 258 ล้านบาท) จากยูเอ็น สหรัฐ และนิวซีแลนด์

นอกจากนี้ กาวดึ๊กฟาส ยังคาดหวังให้รัฐบาลจีนปล่อยน้ำมากขึ้นระหว่างวันที่ 21 เม.ย.-31 พ.ค. ราว 1,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ซึ่งคาดว่าอาจใช้เวลาราว 20 วันที่น้ำจะไหลลงมาถึงเวียดนาม

ด้านรอยเตอร์ส รายงานว่า กัมพูชากำลังเผชิญวิกฤตภัยแล้งรุนแรงที่สุดในรอบ 50 ปี ส่งผลให้ 18 จาก 25 จังหวัดขาดแคลนน้ำและสิ่งจำเป็นอื่นๆ อย่างหนัก แต่ยังไม่มีรายงานผู้เสียชีวิต

ด้านนายกรัฐมนตรี ฮุนเซน เรียกร้องให้ทุกภาคส่วน อาทิ กองทัพ ภาคประชาสังคม หน่วยงานกาชาด และพรรคการเมือง ระดมกำลังช่วยเหลือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง และขอความร่วมมือประชาชนในการประหยัดน้ำ พร้อมระบุว่า รัฐบาลจะเป็นผู้จัดสรรน้ำแก่ประชาชนในพื้นที่ขาดแคลน อย่างไรก็ดี กัมพูชาจะยังไม่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แม้คาดการณ์ว่าฝนจะยังคงทิ้งช่วงจนกว่าจะถึงเดือน มิ.ย.

ผลกระทบจากปรากฏการณ์เอลนินโญ ยังคงทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นในหลายพื้นที่ ล่าสุด สตีเฟน  โอเบรียน หัวหน้าสำนักงานเพื่อการประสานงานด้านกิจการมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (โอซีเอชเอ) เรียกร้องให้รัฐบาล องค์กร และหน่วยงานในแต่ละภูมิภาค เพิ่มความพยายามแก้ปัญหาจากเอลนินโญ

“มีประชากรทั่วโลกกว่า 60 ล้านคน โดยเฉพาะในประเทศที่ยากจน ได้รับผลกระทบจากภาวะภัยแล้ง  น้ำท่วม และสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างหนักจากเอลนินโญ” โอเบรียน ระบุ

นอกจากนี้ โอเบรียนกล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมา กองทุนรับมือสถานการณ์ฉุกเฉินกลาง (ซีอีอาร์เอฟ) ระดมเงินช่วยเหลือแล้วกว่า 115 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 4,045 ล้านบาท) เพื่อบรรเทาสถานการณ์ จากทั้งหมด 3,600 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.26 แสนล้านบาท) ที่สำรองไว้เพื่อรับมือวิกฤตทางธรรมชาติในอนาคต

ทั้งนี้ ราจิฟ บิสวา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของบริษัทวิจัยด้านเศรษฐกิจ ไอเอชเอส โกลบอล  อินไซต์ คาดการณ์ว่า เอลนินโญจะยังดำเนินต่อไปในไตรมาส 2 ซึ่งจะทำให้ผลผลิตข้าว น้ำมันปาล์ม และน้ำตาล ลดลง พร้อมคาดการณ์ว่า ผลกระทบจาก เอลนินโญจะทำให้ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะมาเลเซีย ไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 แสนล้านบาท) และอาจเพิ่มขึ้นหากเอลนินโญ ลากยาวกว่าไตรมาส 2

แม้หลายประเทศในเอเชียจะเผชิญกับวิกฤตภัยแล้งอย่างหนัก ทว่ากรุงลอนดอน อังกฤษ กลับเผชิญหิมะตกปลายเดือน เม.ย. หรือเอพริลสโนว์ ส่งผลให้อุณหภูมิลดลงทันที 20 องศาเซลเซียสภายใน 24 ชั่วโมง อยู่ที่ราว 8 องศาเซลเซียสเมื่อเวลา 11.20 น. วันที่ 27 เม.ย. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงลอนดอน และคาดว่าจะตกต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์

กรมอุตุนิยมวิทยาของอังกฤษ ระบุว่า หิมะที่ตกช่วงปลายเดือน เม.ย. ไม่ใช่เรื่องปกติ ซึ่งเป็นผลของสภาพอากาศที่ผันผวนจากอากาศที่หนาวเย็นในแถบขั้วโลกเหนือที่พาความชื้นมาด้วย และคาดการณ์ว่า ยุโรปอาจเผชิญกับสภาพอากาศผันผวนรุนแรงครั้งแรกในรอบ 100 ปี

 

“วันเอ็มดีบี” เบี้ยวหนี้สะท้านชื่อเสียงมาเลเซียสะเทือน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 เมษายน 2559 เวลา 08:30 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/428740

"วันเอ็มดีบี" เบี้ยวหนี้สะท้านชื่อเสียงมาเลเซียสะเทือน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

มาเลเซียต้องเผชิญกับปัญหารอบใหม่ที่เสี่ยงกระทบต่อชื่อเสียงประเทศอีกครั้ง เมื่อกองทุนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติมาเลเซีย (วันเอ็มดีบี) ประกาศชะลอการชำระดอกเบี้ย 50 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1,750 ล้านบาท) จากพันธบัตรวงเงิน 1,750 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6.1 หมื่นล้านบาท) ที่มีกำหนดชำระในวันที่ 25 เม.ย. ซึ่งนับเป็นการผิดนัดชำระหนี้เป็นครั้งแรก และยังทำให้เกิดความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ก้อนอื่นๆ ตามมาด้วย

ภาวะดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่วันเอ็มดีบีไม่สามารถตกลงข้อกำหนดการชำระหนี้ร่วมกับอินเตอร์เนชั่นแนล ปิโตรเลียม อินเวสต์เมนต์ โค (ไอพี ไอซี) กองทุนของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (ยูเออี) ซึ่งเป็นผู้ร่วมค้ำประกันพันธบัตรของวันเอ็มดีบีที่จะครบกำหนดไถ่ถอนในปี 2022 ได้

การผิดนัดชำระหนี้ครั้งนี้ส่งผลให้ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง (ซีดีเอส) อายุ 5 ปี ปรับตัวขึ้นทันทีสูงสุดในรอบ 7 สัปดาห์ แตะระดับ 1.65% จากการเปิดเผยของผู้ให้ข้อมูลซีเอ็มเอ โดยมีความเสี่ยงสูงขึ้นที่วันเอ็มดีบีจะผิดนัดชำระหนี้ก้อนอื่นตามมา จากตราสารหนี้วงเงินทั้งหมด 7,400 ล้านริงกิต (ราว 6.68 หมื่นล้านบาท)

ทั้งนี้ วันเอ็มดีบีตกเป็นเป้าการสืบสวนกรณีการทุจริตและการฟอกเงินจากนานาชาติ โดยคณะกรรมาธิการรัฐสภามาเลเซีย ระบุว่า พบการทาธุรกรรมทางการเงินที่ผิดปกติของกองทุน มูลค่าอย่างน้อย 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.4 แสนล้านบาท) ขณะที่ทางวันเอ็มดีบีได้ปฏิเสธข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง

รายงานจากคณะกรรมาธิการรัฐสภามาเลเซีย ระบุว่า วันเอ็มดีบีได้ชำระเงินไปทั้งสิ้น 3,500  ล้านเหรียญสหรัฐ (1.2 แสนล้านบาท) ไปให้บริษัท อันบาร์ อินเวสเมนต์ พีเจเอส ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในหมู่เกาะบริติช เวอร์จิ้น ขณะที่ไอพีไอซีออกมาโต้ว่าบริษัทดังกล่าวไม่ได้เป็นบริษัทของไอพีไอซี และไอพีไอซีไม่ได้รับการชำระเงินใดจากบริษัทในบริติช เวอร์จิ้นตามที่มีการกล่าวอ้าง

วันเอ็มดีบี-ไอพีไอซี โต้แย้งไม่จบ

ทั้งนี้ วันเอ็มดีบีกำลังเผชิญข้อพิพาทเรื่องหนี้สินกับไอพีไอซีภายใต้ข้อตกลงเมื่อเดือน พ.ค.ปีที่แล้ว โดยไอพีไอซีระบุว่าจะจ่ายดอกเบี้ยหุ้นกู้ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 แสนล้านบาท) ที่ไอพีไอซีค้าประกันให้อยู่ อย่างไรก็ดี ไอพีไอซีเปิดเผยในเดือน เม.ย.ว่า วันเอ็มดีบีได้ผิดนัดชำระหนี้แล้วภายใต้ข้อตกลงดังกล่าว เนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินมูลค่ากว่า 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (3.5 หมื่นล้านบาท)

“วันเอ็มดีบีจำเป็นต้องระงับการชำระหนี้สิน และจะแสวงหาแนวทางแก้ปัญหาและการพึ่งพาทางกฎหมาย จนกว่าไอพีไอซีจะยอมรับว่าได้บรรลุตามข้อกำหนดทั้งหมดแล้ว” วันเอ็มดีบี กล่าว

ริงกิต-ตลาดหุ้นร่วงกราว

บลูมเบิร์กรายงานว่า ค่าเงินริงกิตของมาเลเซียร่วงติดกันเป็นวันที่ 4 ซึ่งร่วงยาวนานสุดนับตั้งแต่วันที่ 2 พ.ย.ปีที่แล้ว โดยปรับลง 0.9% แตะ 3.9420 ริงกิต/เหรียญสหรัฐ ณ เวลา 13.00 น.ของวันที่  26 เม.ย. ร่วงหนักสุดตั้งแต่วันที่ 19 ก.พ. ส่วนดัชนีตลาดหุ้นมาเลเซียปรับตัวลดลง 0.7% ปรับลงมากที่สุดในรอบ 2 เดือน

จอฟฟรีย์ อึ้ง ผู้อำนวยการบริษัทจัดการการลงทุนฟอร์เตรส แคปปิตอล แอสเซท แมเนจเมนต์ ในกัวลาลัมเปอร์ มองว่า กรณีวันเอ็มดีบีส่งผลให้มุมมองความน่าเชื่อถือของรัฐบาลมาเลเซียมีความไม่แน่นอน และแสดงถึงความเสี่ยงด้านเครดิตในสายตานักลงทุนต่างชาติ

ด้าน เรย์มอนด์ เจีย หัวหน้าฝ’ยวิเคราะห์ สินเชื่อภูมิภาคเอเชียจากชโรเดอร์ อินเวสต์เมนต์ แมเนจเมนต์ กล่าวว่า ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการผิดนัดชำระหนี้ของวันเอ็มดีบี อาจจะยังก่อให้เกิดความรู้สึกเชิงลบต่อหนี้สินภาคธนาคารและภาคธุรกิจของมาเลเซีย

อย่างไรก็ดี สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (เอสแอนด์พี) ระบุว่าการผิดนัดชำระหนี้ของวันเอ็มดีบีไม่ส่งผล ต่อมุมมองความน่าเชื่อถือของมาเลเซียที่ระดับ A-  เช่นเดียวกับมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิสที่มองว่า วันเอ็มดีบีไม่สร้างผลกระทบใด เนื่องจากไอพีไอซี ค้ำประกันอยู่

ภาพ…เอเอฟพี

 

รถยนต์โลกไม่หยุดฉาว’มิตซูบิชิ’อ่วมหนักรอบ 2

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 เมษายน 2559 เวลา 09:17 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/427909

รถยนต์โลกไม่หยุดฉาว'มิตซูบิชิ'อ่วมหนักรอบ 2

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

มาตรฐานยานยนต์โลกเป็นปัญหาขึ้นมาอีกครั้ง หลัง มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่น ยอมรับว่ามีการโกงผลทดสอบประสิทธิภาพการประหยัดน้ำมันจริง แม้ประเด็นดังกล่าวจะไม่เกี่ยวกับความปลอดภัย แต่การปลอมแปลงข้อมูลเรื่องการประหยัดน้ำมันก็ถือเป็นเรื่องใหญ่สำหรับประเทศแห่งอุตสาหกรรมยานยนต์อย่างญี่ปุ่น ที่ไม่เพียงจะกระทบต่อชื่อเสียงบริษัทเท่านั้น แต่รวมถึง ชื่อเสียงประเทศด้วย

ก่อนหน้านี้ในปี 2000 มิตซูบิชิปกปิดข้อบกพร่องระบบความปลอดภัยรถยนต์ ถัดมาอีก 4 ปี ตรวจพบปัญหาการทำงานของเบรก คลัตช์ และถังน้ำมัน นาไปสู่การเรียกคืนรถยนต์ครั้งใหญ่ในญี่ปุ่น และส่งผลให้ มิตซูบิชิ มอเตอร์ส ต้องแยกตัวออกมาจากบริษัทแม่อย่าง มิตซูบิชิ กรุ๊ป และใช้เวลาหลายปีในการฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค

ปีเตอร์ บอร์ดแมน กรรมการผู้จัดการของ เทรดวินด์ส โกลบอล อินเวสเตอร์ ระบุว่า เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นกับมิตซูบิชิจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงินของ มิตซูบิชิอย่างหนัก รวมถึงการฟื้นความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยเฉพาะในตลาดหลักอย่างญี่ปุ่น

กรณีดังกล่าวของมิตซูบิชิถือเป็นครั้งแรกของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่โกงการทดสอบดังกล่าว ส่งผลให้หุ้น มิตซูบิชิร่วงลงทันที 15% และร่วงต่อเนื่องในวันที่ 21 เม.ย. อีก 20% จนต้องระงับการซื้อขายชั่วคราว สูญเสียมูลค่าทางการตลาดกว่า 2,500 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 8.75 หมื่นล้านบาท) หลังกระทรวงที่ดิน โครงสร้างพื้นฐาน คมนาคม และการท่องเที่ยวของญี่ปุ่นบุกตรวจค้นสำนักงานใหญ่ในเมืองนาโกยา และอาจมีการเรียกเก็บภาษีย้อนหลังด้วย

“เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อความเชื่อมั่นผู้บริโภค และไม่สามารยอมความกันได้” โยชิฮิเดะ ซูกะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ่น กล่าวย้ำ

อากิระ คิชิโมโตะ นักกลยุทธ์ยานยนต์ของเจพีมอร์แกน คาดการณ์ว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจมากกว่า 450 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.57 หมื่นล้านบาท) ซึ่งรวมถึงการจ่ายค่าชดเชยความเสียหาย ต้นทุนในการเปลี่ยนอุปกรณ์ และค่าชดเชยให้กับนิสสัน อีกทั้งการระงับการผลิตรถจะส่งผลดีต่อค่ายรถคู่แข่งอย่าง ซูซูกิ และไดฮัทสุ

ด้าน โคอิชิ ซูกิโมโตะ นักวิเคราะห์ของธนาคารโตเกียว มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ ระบุว่า มิตซูบิชิ มอเตอร์ส อาจต้องขายสินทรัพย์ในหน่วยธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจหลัก หรือเพิ่มทุน เนื่องจากกรณีดังกล่าวจะกระทบต่อรายได้ของมิตซูบิชิ มอเตอร์ส อย่างมาก

ก่อนหน้านี้ในปี 2015 “โฟล์คสวาเกน” ผู้ผลิตรถยนต์สัญชาติเยอรมัน เผชิญปัญหาอื้อฉาวจากการโกงการทดสอบมลพิษ ด้วยการติดตั้งซอฟต์แวร์ในเครื่องยนต์ดีเซล กระทบรถยนต์กว่า 11 ล้านคันทั่วโลก

ล่าสุดบลูมเบิร์กรายงานอ้างแหล่งข่าว ระบุว่า โฟล์คสวาเกนเตรียมซื้อคืนรถยนต์ในสหรัฐราว 6 แสนคัน และสำรองเงินอย่างน้อย 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 แสนล้านบาท)

เช่นเดียวกับ “ฮุนได” และ “เกีย” ผู้ผลิตรถยนต์จากเกาหลีใต้ ที่ปกปิดข้อมูลประสิทธิภาพการประหยัดพลังงานในรถยนต์ที่ขายในสหรัฐ ส่งผลให้ต้องเสีย ค่าปรับถึง 350 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.2 หมื่น ล้านบาท)

นอกจากนี้ มาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์ยังรวมถึงปัญหาของถุงลมนิรภัยยี่ห้อ “ทากาตะ” หลังมีการตรวจพบสารแอมโมเนียมไนเตรท ซึ่งเป็นส่วนผสมในการผลิตระเบิด ทำให้ชิ้นส่วนพลาสติกหรือโลหะกระเด็นออกมาขณะที่ถุงลมพองตัว ทำให้มีผู้บาดเจ็บกว่า 100 ราย และเสียชีวิตถึง 10 ราย

กรณีดังกล่าว ส่งผลให้ค่ายรถทั่วโลก อาทิ เฟียต ไครสเลอร์ ฮอนด้า โตโยต้า นิสสัน ฟอร์ด ออดี้ มาสด้า ซาบ โฟล์คสวาเกน บีเอ็มดับเบิลยู และเดมเลอร์ ต่างเรียกคืนรถยนต์เป็นการด่วนกว่า 35 ล้านคัน มากที่สุดในประวัติศาสตร์ และอาจมีเรียกคืนรถที่ใช้ถุงลมทากาตะมากถึง 70-90 ล้านคัน

สำหรับค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ’นอย่าง โตโยต้า ก็เคยประสบปัญหามาตรฐานความปลอดภัยยานยนต์เช่นกัน โดยในปี 2010 อะกิโกะ โทะโยะดะ ประธานโตโยต้า ต้องขึ้นแถลงแสดงความเสียใจต่อสภาคองเกรสของสหรัฐ กรณีคันเร่งค้าง ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุหลายสิบครั้งในปี 2009 และมีการเรียกคืนรถกว่า 8 ล้านคันทั่วโลก

 

แผ่นดินไหวสะเทือนเศรษฐกิจ”อาเบะ”ยันขึ้นภาษีตามแผน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 เมษายน 2559 เวลา 09:20 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/427252

แผ่นดินไหวสะเทือนเศรษฐกิจ"อาเบะ"ยันขึ้นภาษีตามแผน

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

แผ่นดินไหว 2 ครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมาทางตอนใต้ของประเทศญี่ปุ’น ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิต 42 ราย บาดเจ็บอีกกว่า 1,000 ราย และผู้คนอีกมากกว่า 1.1 แสนรายยังไร้ที่อยู่ ขณะที่เที่ยวบินไปยังสนามบินคุมาโมโตถูกยกเลิกทั้งหมด และรถไฟความเร็วสูงยังระงับการให้บริการ ขณะเดียวกันถนนและทางหลวงหลายแห่งได้รับความเสียหาย โดยเจ้าหน้าที่ได้ส่งเฮลิคอปเตอร์เข้าแจกจ่ายอาหารให้กับประชาชน

แผ่นดินไหวดังกล่าวสะเทือนต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจของญี่ปุ่น ซึ่งดิ้นรนเพื่อหนีจากการตกเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย และทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทางตอนใต้ของญี่ป่นเมื่อวันที่ 16 เม.ย.ที่ผ่านมา อาจจะเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้นายกรัฐมนตรี ชินโสะ อาเบะ ของญี่ปุ่น ใช้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมและเลื่อนการปรับใช้นโยบายขึ้นภาษีขาย ซึ่งทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นเข้าสู่ภาวะถดถอยมาแล้วในปี 2014

นายกฯ ของญี่ปุ่น ออกมายืนยันเมื่อวันที่ 18 เม.ย.ที่ผ่านมาว่า ยังคงดำเนินการตามแผนการขึ้นภาษีในปี 2017 แน่นอน

“ตามที่เคยได้กล่าวไปก่อนหน้าในส่วนของภาษีขายจะเป็นไปตามแผนการเดิม และไม่มี การเปลี่ยนแปลงในจุดยืนพื้นฐาน นอกจากจะมีเหตุการณ์รุนแรงเทียบเท่ากับการล้มลงของเลห์แมน บราเธอร์ส หรือมีภัยพิบัติครั้งใหญ่” อาเบะ กล่าว

ก่อนหน้านี้ นักเศรษฐศาสตร์ต่างคาดการณ์ว่า อาเบะจะพิจารณาเลื่อนการขึ้นภาษีซึ่งตามแผนคือในเดือน เม.ย. 2017 เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันที่ภาคการบริโภคอ่อนแอ ค่าแรงยังคงไม่แน่นอน รวมทั้งค่าเงินเยนที่แข็งค่าขึ้น ส่งผลทางลบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจของญี่ป’น และสถานการณ์ยิ่งย่ำแย่เมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ

ทั้งนี้ รัฐบาลวางแผนขึ้นภาษีขายเป็น 10% จากเดิมที่ 8% ในเดือน เม.ย. 2017 เพื่อแก้ปัญหาทางการคลังและลดระดับหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้นสูง รวมถึงเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับประกันสังคม ซึ่งหลายฝ่ายคาดการณ์ว่า อาเบะจะแถลงผลการตัดสินใจเกี่ยวกับมาตรการขึ้นภาษีในระหว่างการประชุมสมาชิกกลุ่มชาติมหาอำนาจทางด้านอุตสาหกรรมทั้ง 7 (จี7) ที่ญี่ป’นเป็นเจ้าภาพ วันที่ 26-27 พ.ค.นี้

โรเบิร์ต ฟิลด์แมน นักเศรษฐศาสตร์จากหน่วยวิจัยมอร์แกน สแตนเลย์ ระบุก่อนหน้านี้ว่า เหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกาะคิวชู ก่อให้เกิดผลกระทบทางลบต่อพฤติกรรมของผู้บริโภค และจิตวิทยาทางธุรกิจ ซึ่งน่าจะเป็นเหตุผลที่ เหมาะสมสำหรับการเลื่อนใช้มาตรการการขึ้นภาษีการบริโภค

ออกงบช่วยเหลือท่ามกลางท่องเที่ยวฟุบ

สำนักงานสำรวจธรณีวิทยาสหรัฐ (ยูเอสจีเอส) ประเมินว่า มีความเป็นไปได้ 72% ที่ความเสียหายทางเศรษฐกิจที่เกิดจากภัยพิบัติจะมี มูลค่ามากกว่า 1 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.5 แสนล้านบาท) โดย โยชิฮิเดะ ซูกะ โฆษกรัฐบาลญี่ปุ’น ระบุว่า รัฐบาลจะช่วยเหลือธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากภัยพิบัติอย่างเต็มความสามารถ โดยอาจจะดึงเงินจากงบประมาณสำรองมูลค่า 3.5 แสนล้านเยน (ราว 1.05 แสนล้านบาท)

ด้าน ฮิเดโอ ฮายากาวะ อดีตกรรมการบริหารของธนาคารกลางญี่ป’น (บีโอเจ) ระบุว่า เหตุภัยพิบัติครั้งนี้ไม่น่าจะก่อให้เกิดการยุบสภา เนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบยังได้รับความเสียหายและมีปัญหาวุ่นวายหลายอย่างที่จะต้องจัดการ รวมทั้งทำให้รัฐบาลต้องเร่งเพิ่มงบประมาณ

ขณะที่ ฮารูมิ อาริมะ นักวิเคราะห์ด้านการเมือง ระบุว่า รัฐบาลจะต้องเพิ่มงบประมาณก้อนใหญ่เพื่อช่วยฟื้นฟูเหตุแผ่นดินไหว รวมทั้งเพื่อหามาตรการรับมือที่ดีขึ้นกว่าเดิม

เหตุการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทำให้ความเชื่อมั่นของภาคธุรกิจในจังหวัดคุมาโมโตลดลง โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมการท่องเที่ยว โดยข้อมูลของบีโอเจ ชี้ให้เห็นว่า มูลค่าความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้อาจจะขยายตัว เกิน 7,000 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2.45 แสนล้านบาท)

แผ่นดินไหวเขย่าผู้ผลิต

บรรดานักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่า เหตุการณ์ภัยพิบัติดังกล่าวจะทำให้ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือน เม.ย. ลดลง 1% รวมทั้งกระทบต่ออุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็นส่วนสำคัญในภาคการบริโภค ขณะที่โรงงานของผู้ผลิตรายใหญ่อย่าง โตโยต้า โซนี่ และฮอนด้า ยังคงปิดทำการ

ขณะเดียวกัน โคอิชิ ซูกิโมโตะ นักวิเคราะห์จาก มิตซูบิชิ ยูเอฟเจ มอร์แกน สแตนเลย์ ในโตเกียว คาดการณ์ว่า ผลกำไรในไตรมาสปัจจุบันของ โตโยต้า มอเตอร์ อาจจะลดลงถึง 3 หมื่นล้านเยน (ราว 9,700 ล้านบาท) เนื่องจากต้องหยุดการผลิตเพราะไม่สามารถขนส่งวัตถุดิบจากโรงงานทางภาคใต้ได้

ขณะที่นักวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ โฮลดิ้งส์ ระบุว่า แม้จะยังไม่ทราบระดับความเสียหายที่แน่ชัด แต่ส่วนที่ได้รับความ เสียหายมากที่สุดน่าจะเป็นส่วนของการขนส่งสินค้าในอุตสาหกรรมรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์

นิกเกอิปรับตัวลง 3.40% และปิดตลาดที่ 16275.95 จุด ขณะที่ดัชนีโทปิกซ์ในกรุงโตเกียว ปิดตัวลดลง 3% อยู่ที่ 1,320.15 จุด นำโดย นิสสัน และฮอนด้า ลดลงมากกว่า 5% ในการซื้อขายช่วงเช้า ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นเล็กน้อยในช่วงบ่าย โดยหุ้นในเกือบทุกอุตสาหกรรมลดลง หลังปรับตัวเพิ่มขึ้นมาสูงสุดในรอบ 2 เดือนเมื่อสัปดาห์ก่อนหน้า เช่นเดียวกับหุ้นกลุ่มธุรกิจประกันและสาธารณูปโภค รวมทั้งบริษัทผลิตพลังงานนิวเคลียร์ ก็ลดลงเช่นกัน

นอกจากนี้ ค่าเงินเยน ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย แข็งค่าขึ้นอยู่ที่ 108.23 เยน/เหรียญสหรัฐ เมื่อเวลา 16.55 ตามเวลาท้องถิ่นในกรุงโตเกียว

 

จีนไฟเขียวจีเอ็มโอข้าวโพด ผลักดันอุตสาหกรรมเกษตร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 เมษายน 2559 เวลา 07:55 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/426683

จีนไฟเขียวจีเอ็มโอข้าวโพด ผลักดันอุตสาหกรรมเกษตร

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

กระทรวงเกษตรจีนเตรียมพัฒนาและผลักดันพืชดัดแปลงพันธุกรรม (จีเอ็มโอ) ตามแผนพัฒนา 5 ปี ฉบับที่ 13 ของจีนสำหรับปี 2016-2020 โดยเตรียมอนุญาตให้ปลูกข้าวโพดและพืชอื่นๆ ดัดแปลงพันธุกรรมต้านแมลงเพื่อการค้าได้เป็นครั้งแรก หลังจากในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา มีเพียงฝ้าย ซึ่งอนุญาตให้ปลูกสำหรับทำการค้าในปี 1996 และมะละกอต้านไวรัส ซึ่งอนุญาตในปี 2006 เพียง 2 ชนิดเท่านั้นที่ปลูกอย่างแพร่หลาย

นอกจากนี้ กระทรวงเกษตรจีนยังอนุญาตให้นำเข้าถั่วเหลือง ข้าวโพด และกากองุ่นจีเอ็มโอ ในฐานะวัตถุดิบและส่วนประกอบสำหรับกระบวนการถนอมอาหารได้

ขณะเดียวกัน จีนยังพยายามปราบปรามการปลูกพืชจีเอ็มโออย่างผิดกฎหมาย เช่น การปราบปรามข้าวจีเอ็มโอในมณฑลหูเป่ย์ ทางตอนกลางของจีน ซึ่งมูลนิธิกรีนพีซ องค์กรไม่แสวงผลกำไรพิทักษ์สิ่งแวดล้อม เปิดเผยว่า มีการปลูกข้าวจีเอ็มโอผิดกฎหมายในปริมาณมากที่มณฑลดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีการปลูกข้าวโพดจีเอ็มโออย่างผิดกฎหมายในมณฑลเหลียวหนิง ทางตะวันออกเฉียงเหนือของจีน อีกด้วย

เหลียวสีหยวน เจ้าหน้าที่อาวุโสกระทรวงเกษตรจีน กล่าวว่า จีนพยายามสร้างสมดุลระหว่างการปราบปรามพืชจีเอ็มโอผิดกฎหมายและการพัฒนาจีเอ็มโอ โดยเมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา จีนจัดการข้าวโพดจีเอ็มโอผิดกฎหมายไปแล้วทั้งหมด 73 เฮกเตอร์ในหลายพื้นที่ อย่างไรก็ตาม จีนเป็นประเทศเกษตรกรรม จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าว

“ในแผนพัฒนา 5 ปี พวกเราจะผลักดันการพัฒนาอุตสาหกรรมของผลิตภัณฑ์หลักๆ ซึ่งรวมถึงผ้าฝ้ายและข้าวโพดต้านแมลง” เหลียวสีหยวน กล่าว

อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่อาวุโสคนดังกล่าว ระบุว่า จีนจะยังไม่ปลูกข้าวจีเอ็มโอเป็นอุตสาหกรรมในระยะสั้นนี้

ก่อนหน้านี้ สำนักข่าวรอยเตอร์ส รายงานว่า ประชาชนจีนราว 400 คน เขียนจดหมายต่อต้านการควบรวมกิจการระหว่างไชน่า เนชั่นแนล เคมิคอล คอร์ป (เคมไชน่า) รัฐวิสาหกิจยักษ์ใหญ่ของจีน และซินเจนตา บริษัทผลิตภัณฑ์เคมีเกษตรของสวิตเซอร์แลนด์ มูลค่า 4.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 1.5 ล้านล้านบาท) เนื่องจากกังวลต่อการปลูกพืชจีเอ็มโอ ซึ่งซินเจนตาเป็นผู้สนับสนุน จะกระทบต่อสุขภาพของประชาชนและสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ การประท้วงดังกล่าวยังแสดงความกังวลว่า การควบรวมกิจการดังกล่าวจะทำให้จีนจะสูญเสียความสามารถในการควบคุมเทคโนโลยีจีเอ็มโออีกด้วย

ทั้งนี้ องค์กรบริการระหว่างประเทศเพื่อการประยุกต์และจัดหาเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร (ไอเอสเอเอเอ) องค์กรไม่แสวงผลกำไรซึ่งสนับสนุนการปลูกพืชจีเอ็มโอ เปิดเผยว่า การปลูกพืชจีเอ็มโอในปี 2015 ปรับตัวลดลง 2.2 ล้านเฮกเตอร์ จากปี 2014 ที่อยู่ที่ 181.5 ล้านเฮกเตอร์ ซึ่งเป็นการปรับลดลงครั้งแรกในรอบ 20 ปี

ไอเอสเอเอเอ ระบุว่า การปรับลดดังกล่าวเป็นผลมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง ทั้งในข้าวโพดและฝ้าย โดยเมื่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น จะทำให้การผลิตพืชจีเอ็มโอฟื้นตัวตามไปด้วย นอกจากนี้ ในบางพื้นที่เช่นแอฟริกาใต้ยังประสบกับภัยแล้งซึ่งกระทบการปลูกพืชจีเอ็มโอ

จีนคุมที่ดินลดถ่านหิน-เหล็ก

จีนพยายามปรับลดปริมาณการผลิตเกินในอุตสาหกรรมถ่านหินและเหล็กตามแผนพัฒนา 5 ปี ฉบับที่ 13 โดยล่าสุด กระทรวงที่ดินและทรัพยากรจีน เปิดเผยว่า จะไม่มีการอนุมัติที่ดินใหม่สำหรับการทำเหมืองถ่านหินในอีก 3 ปีข้างหน้า และจะขยายการบังคับใช้กฎหมาย รวมถึงเพิ่มบทลงโทษต่อผู้ที่ฝ่าฝืน

จีนพยายามปรับลดถ่านหินให้ได้ทั้งหมด 9% และเหล็กอีก 13% ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยสมาคมจัดจำหน่ายและขนส่งถ่านหินจีน ในกรุงปักกิ่ง คาดการณ์ว่า การผลิตถ่านหินของจีนจะอยู่ที่ 3,700 ล้านตันในปี 2016 หรือล้นความต้องการของตลาดมากถึง 20%

ขณะที่สถาบันวิจัยและวางแผนอุตสาหกรรมหลอมโลหะจีน คาดการณ์ว่า การผลิตเหล็กในปีนี้จะปรับตัวลดลงเป็น 781 ล้านตัน จากปี 2015 ที่การผลิตพุ่งขึ้นไปทำสถิติที่ 1,200 ล้านตัน ในขณะที่ความต้องการจะอยู่ที่ 770 ล้านตัน สำหรับปี 2016 นี้

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 19 เม.ย.ที่ผ่านมา จีนประกาศให้อุตสาหกรรมที่มีการผลิตเกิน ซึ่งหมายรวมตั้งแต่ถ่านหิน เหล็ก ไปจนถึงไม้จิ้มฟันเป็นอุตสาหกรรมที่อยู่ในรายการจำกัดการลงทุน (Negative List) เช่นเดียวกัน ภาคส่วนพลังงาน เภสัชภัณฑ์ และรถยนต์ ร่วมกับโครงการสร้างทางรถไฟและโรงกลั่นน้ำมันที่ถูกทิ้งร้าง รวมถึงโรงงานผลิตกระป๋องเบียร์ซึ่งมีขนาดเล็กมากเกินไป

แลร์รี หู นักเศรษฐศาสตร์จีนจากแมคไควรี ซีเคียวริตี้ส์ ในฮ่องกง เปิดเผยว่า เศรษฐกิจที่มีแนวโน้มจะปรับตัวดีขึ้นจะช่วยให้รัฐบาลจีนผลักดันการปฏิรูปต่อไปได้ ทั้งด้านการปรับลดกำลังการผลิตส่วนเกินและภาระหนี้สิน

ทั้งนี้ จีนมีกำหนดการเปิดเผยตัวเลขการขยายตัวทางเศรษฐกิจไตรมาสแรก วันที่ 15 เม.ย.นี้โดยจากผลสำรวจนักเศรษฐศาสตร์ 64 คน ของรอยเตอร์ส คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจจีนจะขยายตัว 6.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งต่ำที่สุดนับตั้งแต่ปี 2009 และปรับลงจากไตรมาส 4 ปี 2015 ที่ 6.8%

 

‘ปานามาเปเปอร์ส’สะเทือนเลือกตั้งสหรัฐ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 เมษายน 2559 เวลา 09:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/425486

'ปานามาเปเปอร์ส'สะเทือนเลือกตั้งสหรัฐ

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

การเปิดเผยรายงานโดยเครือข่ายผู้สื่อข่าวสืบสวนสอบสวนนานาชาติ (ไอซีไอเจ) ซึ่งสะท้อน ให้เห็นถึงความพยายามหลีกเลี่ยงภาษีของนักธุรกิจ นักการเมืองและคนดังจากทั่วโลก ผ่านการตั้งบริษัทในต่างประเทศที่เป็นแหล่งหลีกเลี่ยงภาษี  ด้วยความช่วยเหลือของสำนักงานกฎหมาย มอสแซ็ค ฟอนเซกา ได้ส่งผลกระทบอย่างสำคัญในการแข่งขันของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐด้วย เช่นกัน แม้จะยังไม่ปรากฏรายชื่อของคนดังของสหรัฐในเอกสารดังกล่าว

ผู้เชี่ยวชาญและผู้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งในสหรัฐระบุว่า หลังเอกสารดังกล่าวถูกเปิดเผย ชาวอเมริกันได้ส่งสัญญาณสะท้อนความไม่พอใจอย่างมากต่อการหลบเลี่ยงภาษีของกลุ่มผู้มีอิทธิพลและผู้มั่งคั่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สนับสนุน เบอร์นี แซนเดอร์ส ผู้สมัครชิงตำแหน่งตัวแทนของพรรคเดโมแครต ขณะที่กลุ่มผู้สนับสนุน โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้สมัครเป็นตัวแทนของพรรครีพับลิกัน เรียกร้องให้มีการยกเครื่องระบบภายในทั้งหมดเพื่อจัดการกับการเลี่ยงภาษี

ชาร์ลส์ โพสเทล ศาสตราจารย์ภาควิชาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยซานฟรานซิสโก สเตท ระบุว่า การเปิดเผยเอกสารดังกล่าวช่วยกระตุ้นฐานเสียงของแซนเดอร์สได้

ด้าน รานา โฟรูฮาร์ ผู้ช่วยบรรณาธิการของ นิตยสารไทม์ ระบุว่า ชาวอเมริกันต่างรู้ดีว่าทุนนิยมโลกทำงานเอื้อผลประโยชน์ให้กับชนชั้นนำเพียง 1% ของโลกเท่านั้น ซึ่งการนำเรื่องที่รู้กันอยู่นี้มาสร้างเป็นประเด็น จะทำให้ แซนเดอร์ส และ ทรัมป์ ได้รับความนิยม และเอกสารที่ถูกเปิดเผยดังกล่าว ก็เป็นสิ่ง ที่ตอกย้ำความจริงนี้มากยิ่งขึ้น

การเปิดเผยเอกสารดังกล่าว ก่อให้เกิดความ ไม่พอใจต่อกลุ่มชนชั้นนำทั่วโลก และทำให้ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งล้วนต้องให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นนี้  ซึ่งดูเหมือนว่า ฮิลลารี คลินตัน ผู้สมัครเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตจะได้รับแรงกดดันมากที่สุด เนื่องจาก คลินตันเป็นเสมือนตัวแทนของชนชั้นนำในประเทศ ขณะที่คู่แข่งสำคัญอย่างแซนเดอร์ส เป็นตัวแทนของขั้วตรงข้าม

นอกจากนี้ เอกสารดังกล่าวยังทำให้หลายฝ่ายย้อนกลับไปพิจารณาเรื่องข้อตกลงการค้าเสรี (เอฟทีเอ) ระหว่างสหรัฐ และปานามา ที่ได้รับการสนับสนุนและผลักดันจากกลุ่มชนชั้นนำภายในพรรค โดยก่อนหน้านี้ แซนเดอร์ส ได้เคยกล่าวคัดค้านการลงนามในข้อตกลงดังกล่าว เมื่อปี 2011 โดยระบุว่า ปานามาเป็นสถานที่ซึ่งผู้นำทั่วโลกและกลุ่มผู้มั่งคั่งในสหรัฐสามารถ หลีกเลี่ยงภาษีได้ และกลายเป็นที่หลบซ่อนเงินสด ในต่างประเทศ และข้อตกลงเอฟทีเอจะยิ่งทำให้ปัญหานี้แย่ลง

อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวบรรลุผลและถูกประกาศใช้ในที่สุดจากการสนับสนุนของ ประธานาธิบดี บารัก โอบามา และ ฮิลลารี ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้น

ทั้งนี้ ในการเลือกตั้งขั้นต้นแบบไพรมารีที่รัฐวิสคอนซิน เมื่อวันที่ 5 เม.ย. แซนเดอร์ส คว้าชัยชนะเหนือฮิลลารี ด้วยคะแนน 56.5% ต่อ 43.1% ทำให้ คลินตันมีคะแนนเสียงของคณะผู้แทนสะสมอยู่ที่ 1,743 เสียง ขณะที่แซนเดอร์สตีตื้นขึ้นที่ 1,056 เสียง โดย ผู้ที่จะเป็นตัวแทนพรรคเดโมแครตจะต้องได้รับคะแนนเสียงผู้แทน 2,383 เสียง โดยผลสำรวจพบว่า แซนเดอร์สยังคงดึงดูดผู้ที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงได้มาก

แซนเดอร์ส เน้นย้ำความสำคัญเรื่องความเท่าเทียมและการสนับสนุนชนชั้นกลางหลังคว้าชัยดังกล่าว รวมทั้งกล่าวถึงกรณีเอกสารปานามา ว่า การหลีกเลี่ยงภาษีโดยกลุ่มคนรวยเป็นสิ่งที่กังวลมาตลอด ซึ่งทำให้ แซนเดอร์ส คัดค้านข้อตกลงเอฟทีเอระหว่างปานามากับสหรัฐ ในปี 2011

ทางฝั่งของพรรครีพับลิกัน เท็ด ครูซ สามารถเอาชนะ ทรัมป์ ด้วยคะแนน 48.3% ต่อ 35.1% โดย  ครูซ ระบุว่า สามารถดึงดูดคะแนนเสียงของผู้ที่ต่อต้านทรัมป์ ได้มากขึ้น ก่อให้เกิดกระแสเข้าข้างฝั่งครูซมากขึ้น และทำให้ครูซมีคะแนนเสียงผู้แทนตีตื้นขึ้นมาที่ 514 เสียง เมื่อเทียบกับทรัมป์ที่ 740 เสียง

 

เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย สัญญาณเศรษฐกิจโลกย่ำแย่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มีนาคม 2559 เวลา 09:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/world/422217

เฟดชะลอขึ้นดอกเบี้ย สัญญาณเศรษฐกิจโลกย่ำแย่

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

คณะกรรมการนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เอฟโอเอ็มซี) มีมติ 9 ต่อ 1 เสียง ประกาศคงอัตราดอกเบี้ยเอาไว้ที่ 0.25-0.5% พร้อมปรับลดคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย ณ สิ้นปี 2016 อยู่ที่ 0.875% ซึ่งหมายความว่า หากเฟดขึ้นอัตราดอกเบี้ยครั้งละ 0.25% จะขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้อีกเพียง 2 ครั้งเท่านั้น

นอกจากนี้ เฟดยังคาดการณ์การขึ้นอัตราดอกเบี้ยเฉลี่ยให้ถึง 1.875% ภายในสิ้นปี 2017 เมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิมที่ 2.375% และคาดการณ์ให้ถึง 3% ภายในปี 2018 ลดลงจาก 3.25% ขณะที่ในระยะยาวคาดการณ์เอาไว้ที่ 3.25% ลดลงจาก 3.5%

เจเน็ต เยลเลน ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) และประธานเอฟโอเอ็มซี กล่าวว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนไม่ใช่เรื่องน่าตกใจ แม้จีนและเม็กซิโกจะได้รับผลกระทบจากราคาน้ำมันถูก อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลง เฟดจึงควรที่จะชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ย เพื่อที่จะได้บรรลุเป้าหมายของเฟด

จอน ฟอสต์ อดีตที่ปรึกษาของเยลเลน กล่าวว่า ความกังวลต่อเศรษฐกิจโลกภายในที่ประชุมเฟด คือ ความกังวลต่อค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่าขึ้น จากการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายอย่างเข้มข้นจากประเทศอื่น โดยจะมีผลให้อัตราเงินเฟ้อสหรัฐยังคงโตต่ำและกระทบกับการส่งออก ประกอบกับความกังวลเศรษฐกิจโลกที่ขาดแรงขับเคลื่อนใหญ่

“จากวิกฤตเศรษฐกิจต่างๆ พวกเราเรียนรู้ว่าโลกเปราะบางมาก ในเวลาแบบนี้คุณไม่อยากที่จะเสี่ยงหกล้มแรง เพราะทั่วโลกมีตัวเลือกนโยบายที่แข็งแกร่งพอจะกระตุ้นเศรษฐกิจน้อย” ฟอสต์ กล่าว

ซื้อเวลาตลาดเกิดใหม่

ด้าน ไมเคิล อาโรน หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนจากสเตต สตรีท โกลบอล แอดไวเซอร์ บริษัทที่ปรึกษาในบอสตัน เปิดเผยว่า การชะลอการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อตลาดเกิดใหม่ที่กำลังย่ำแย่จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ถูกและหุ้นกู้ของภาคเอกชนในสกุลของเหรียญสหรัฐแข็งค่าขึ้น โดยการชะลอการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดจะช่วยซื้อเวลาให้แก่ตลาดเกิดใหม่ ในการหามาตรการทั้งการคลังและนโยบายเชิงโครงสร้างในการกระตุ้นเศรษฐกิจ

สถาบันการเงินระหว่างประเทศ (ไอไอเอฟ) เปิดเผยว่า ปริมาณหนี้สุทธิของตลาดเกิดใหม่กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยหนี้สุทธิทั้งจากภาครัฐ ครัวเรือน และภาคการเงิน รวมถึงหุ้นกู้ของภาคเอกชนในตลาดเกิดใหม่ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 1.6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 56 ล้านล้านบาท) เป็น 62 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 2,170 ล้านล้านบาท) เมื่อปี 2015 หรือคิดเป็น 210% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ตลาดเกิดใหม่

สวนทางกับหนี้ของตลาดพัฒนาแล้วที่ปรับตัวลดลงราว 12 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 420 ล้านล้านบาท) อยู่ที่ 175 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 6,125 ล้านล้านบาท)

ทั้งนี้ นับตั้งแต่ต้นปี 2016 ถึงกลางเดือน ก.พ.ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นสหรัฐปรับลดลงกว่า 10% ก่อนจะเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้ทั้งปีนี้ ปรับลดลงเหลือเพียง 1.4% เท่านั้น ขณะที่ค่าเงินเหรียญสหรัฐที่แข็งค่ากระทบกับการส่งออกของสหรัฐและการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ก็เริ่มอ่อนค่าลง โดยนับตั้งแต่ 31 ธ.ค. 2015 ค่าเงินเหรียญสหรัฐอ่อนค่าลงราว 1.3% เทียบตะกร้าค่าเงิน

อินโดฯ เดินเครื่องลดดอกเบี้ยรอบที่ 3

ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (บีไอ) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยจาก 7% เป็น 6.75% เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัวที่สุดในรอบ 6 ปี เมื่อปี 2015 ที่ผ่านมา ซึ่งโตที่ 4.79% และเป็นการปรับลดดอกเบี้ยติดต่อกันเป็นเดือนที่ 3 พร้อมปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ที่ฝากไว้กับบีไอ เป็น 4.75% และอัตราดอกเบี้ยธนาคารพาณิชย์กู้ยืมบีไอ เป็น 7.25% ท่ามกลางเสียงเรียกร้องของประธานาธิบดี โจโก วิโดโด ของอินโดนีเซีย ที่ให้มีการลดต้นทุนการกู้ยืมแก่ภาคเอกชน

อย่างไรก็ตาม เนติซิส เอเชีย ผู้ให้บริการทางการเงินในฮ่องกง กล่าวว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสร้างความเสี่ยงให้เกิดภาวะเงินทุนไหลออกจากอินโดนีเซีย มากกว่าตลาดเกิดใหม่ประเทศอื่น เนื่องจากเป็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยรวดเร็วมากเกินไป และยังเพิ่มโอกาสให้เกิดหนี้เสียในขณะที่รัฐบาลพยายามเพิ่มรายได้รัฐ เพื่อใช้กับการลงทุนภาครัฐ

ขณะเดียวกันคณะกรรมการเงินของรัฐสภาอินโดนีเซีย ผ่านกฎหมายรับมือกับวิกฤตการณ์เงิน โดยระบุคุณสมบัติของธนาคารที่สำคัญอย่างน้อย 20 แห่ง ในการขอรับเงินช่วยเหลือ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวได้รับการนำเสนอมาตั้งแต่หลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 ตามความกังวลต่อการล้มลงของภาคธนาคาร

พีบีโอซีลดค่ากลางเงินหยวน

ธนาคารกลางจีน (พีบีโอซี) ปรับอัตราอ้างอิงค่าเงินหยวนลง 0.32% เป็น 6.4961 เหรียญสหรัฐ/หยวน อย่างไรก็ตาม ทอมมี เซียะ นักเศรษฐศาสตร์โอซีบีซีในสิงคโปร์ ระบุว่า การอ่อนค่าดังกล่าวน้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้ เมื่อเทียบกับเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าลงไป 1.1% ในดัชนีเหรียญสหรัฐของบลูมเบิร์ก ภายหลังการเปิดเผยนโยบายของเฟดเมื่อวันที่ 17 มี.ค.

“ค่ากลางลดลงน้อยกว่าที่คาดไว้ เมื่อพิจารณาการอ่อนค่าของค่าเงินเหรียญสหรัฐตลอดทั้งคืน แสดงให้เห็นว่า ค่ากลางเงินหยวนยังคงไม่เป็นไปตามตลาดทั้งหมด” เซียะ กล่าว

นอกจากนี้ จากดัชนีค่าเงินหยวนของบลูมเบิร์ก ซึ่งจีนใช้เพื่อพิจารณาค่าเงินเทียบกับค่าเงินหลัก 13 สกุล ปรับตัวลงมาอยู่ที่ 98.3 จุด อ่อนค่าที่สุดนับตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2014 โดย เซียะ ระบุว่า จีนอาจจะเข้าช่วยสนับสนุนค่าเงินหยวน ถ้าหากดัชนีดังกล่าวร่วงลงไปต่ำกว่า 98 จุด ซึ่งเป็นจุดที่ส่งสัญญาณเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวและค่าเงินหยวนจะอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว