“ทำสวนสนุกด้วยความสุข” วุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 พฤษภาคม 2560 เวลา 18:19 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/494374

"ทำสวนสนุกด้วยความสุข" วุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ

โดย…จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

การปลุกปั้นใครสักคนเพื่อฝากความหวังธุรกิจครอบครัวไว้ให้ช่วยดูแลไม่ใช่เรื่องง่าย ยิ่งถ้าธุรกิจนั้นเริ่มต้นอย่างล้มลุกคลุกคลาน แม้ในช่วงที่รุ่นทายาทเข้ามาช่วยดูแลแล้ว ก็ยังเป็นช่วงที่ธุรกิจมีหนี้อยู่มาก แต่สำหรับทายาทสวนสยาม แม้จะรู้ว่าสวนน้ำ สวนสนุกแห่งนี้ล้มลุกคลุกคลานมากแค่ไหน ก็พร้อมสู้เสมอเพื่อสานฝัน ไชยวัฒน์ เหลืองอมรเลิศ หรือคุณพ่อ ที่บุกเบิกสวนสยามมาด้วยความรัก

วุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามพาร์ค บางกอก ผู้บริหารสวนน้ำและสวนสนุก “สวนสยาม” เล่าให้ฟังว่า ตั้งแต่อายุ 13 ปี ทางบ้านก็ส่งให้ไปเรียนต่อที่อังกฤษที่โรงเรียนประจำ ถือว่าไปเรียนต่อในช่วงที่ยังอายุน้อย แต่นั่นก็เป็นข้อดี เพราะทำให้ได้เรียนรู้ที่จะอยู่กับคนที่เราไม่ชื่นชอบ เรียนรู้กับการต้องทำในสิ่งที่ไม่ได้อยากทำ เรียนรู้ที่จะมีความสุขกับสิ่งที่เราไม่ได้เลือก รวมถึงเรียนรู้กับการหาพื้นที่สำหรับการใช้ชีวิตของตัวเองในขณะที่สภาพแวดล้อมรอบตัวไม่มีความเป็นส่วนตัวเลย เนื่องจากเป็นโรงเรียนประจำ

สิ่งเหล่านี้ถือเป็นทักษะที่หากอาศัยอยู่ที่บ้านก็คงไม่มีทางเสาะหาได้ และยังเป็นประสบการณ์สำคัญที่ทำให้เป็นคนปรับตัวได้ดีกับสถานการณ์ต่างๆ รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะฮึดสู้ รู้ว่าช่วงไหนควรจะต้องถอย เมื่อไหร่ที่ควรรู้จักกับคำว่ายอม เมื่อไหร่ที่ควรยิ้ม และก็ได้นำแนวคิดในการเสริมสร้างประสบการณ์ชีวิตตั้งแต่เด็กนี้มาใช้กับลูกชายและลูกสาวเช่นกัน โดยไม่นานมานี้ก็เพิ่งส่งลูกชายคนโตไปเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่อายุ 13 ปี เท่ากับสมัยที่ตัวเองถูกส่งไปเรียนต่อต่างประเทศ พร้อมๆ กับการส่งลูกสาวคนเล็กเมื่ออายุได้ 11 ปี ไปเรียนต่อ และก็หวังว่าเมื่อกลับมาแล้ว จะได้มีโอกาสกลับมาช่วยกันดูแลสวนสยามเช่นเดียวกับตัวเอง

วุฒิชัย เล่าย้อนไปว่า เริ่มเข้ามาช่วยคุณพ่อดูแลสวนสยามช่วงที่ไทยกำลังเผชิญวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้งปี 2540 มาถึงวันนี้รวมเวลาช่วยงาน 20 ปีแล้ว ซึ่งการที่กลับมาช่วยสานต่อธุรกิจเป็นสิ่งที่เต็มใจทำ เพราะครอบครัวสอนมาตั้งแต่เด็กว่าต้องกลับมาทำสวนสยามต่อ ประกอบกับชีวิตเติบโตมาพร้อมสวนสยาม คุณพ่อพามาอยู่สวนสยามทุกเสาร์-อาทิตย์ ถ้าเป็นช่วงปิดภาคการศึกษาก็อยู่เช้าถึงเย็น ได้เห็นว่าสิ่งที่คุณพ่อทำคืออะไร แม้บางช่วงชีวิตอยากออกไปทำอย่างอื่นที่ได้เงินมาก แต่พอได้ดูแลสวนสยาม ทำแล้วมีความสุข จึงรู้สึกว่าสิ่งที่ทำไม่ต้องได้ผลตอบแทนสูงมาก แค่ทำให้สวนสยามเป็นทางเลือกให้กับลูกค้าที่มีทางเลือกน้อยได้ก็พอใจแล้ว

“ตอนเริ่มทำงานแรกๆ อย่าว่าแต่กำไร ในช่วงก่อนปรับโครงสร้างหนี้กับสถาบันการเงิน แค่เปิดให้บริการต้นปีก็เดาได้เลยว่าเงินจ่ายดอกเบี้ยยังไม่พอ ค่าน้ำ ค่าไฟ เงินเดือนลูกน้องจะหามาจากไหน แต่สุดท้ายก็กัดฟันสู้กันมาร่วมกับคุณพ่อ จนวันนี้มั่นคงระดับหนึ่งแล้ว แต่ก็คิดเสมอว่าจะไม่ทำให้สวนสยามกลับสู่สถานการณ์แบบนั้นอีก”

 

 

ที่ผ่านมายอมรับว่าก็มีคนมาเสนอซื้อที่ดินสวนสยามโดยให้ราคาสูงมาก ซึ่งถ้าครอบครัวอยากอยู่กันสบายๆ แค่ขายก็จบแล้ว เพราะแค่ขายก็ไม่ต้องเหนื่อยทั้งปี ดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารที่ได้จากการขายที่ดินก็อาจจะมากกว่ากำไรทั้งปีของสวนสยามด้วยซ้ำ แต่ที่ทางครอบครัวไม่เคยถอดใจขายสวนสยามเลยแม้วิกฤตจะมากแค่ไหนในช่วงก่อนนี้ ก็เพราะยังอยากทำสวนสยามต่อ เนื่องจากธุรกิจสวนสนุกและสวนน้ำเป็นหนึ่งในไม่กี่ธุรกิจที่เดินดูลูกค้าที่นำเงินมาให้เราแล้วลูกค้ามีความสุข ในขณะที่การทำบ้านจัดสรร เวลาส่งมอบบ้านกับลูกค้ายังมีติหลายๆ เรื่องกว่าจะได้ส่งมอบ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงรู้สึกว่าอยากทำธุรกิจสวนสยามต่อไป เพราะอยากทำธุรกิจที่ได้เห็นคนมีความสุข

วุฒิชัย กล่าวต่อไปว่า แม้เต็มใจมากกับการสานต่อสวนสยาม แต่สไตล์การทำงานก็คงเปลี่ยนไปจากรุ่นคุณพ่อ โดยคุณพ่อจะชอบทำโครงการขนาดใหญ่ แต่วุฒิชัยขอทำโครงการเล็กๆ ทีละนิด แต่ทำบ่อยดีกว่า เพราะไม่ต้องการลงทุนมากๆ ในคราวเดียว แต่อยากทดลองลงทุนทีละน้อย แบบไหนสำเร็จจึงขยายต่อ แบบไหนคิดว่าไม่ตอบโจทย์ก็ถอย ซึ่งเชื่อว่าวิธีนี้จะเจ็บตัวน้อยกว่า และสวนสยามใช้วิธีนี้ได้เนื่องจากเปิดมานานแล้ว ลงทุนเครื่องเล่นต่างๆ เป็นระยะได้ ไม่ต้องลงทุนคราวเดียว 100% แผนลงทุนหรือปรับปรุงส่วนต่างๆ ขยับให้เหมาะสมได้ตามสถานการณ์ว่าพร้อมทำเรื่องใดก่อน

สำหรับหลังจากนี้ก็จะขอเดินหน้าต่อไปในการทำ ให้สวนสยามเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่พ่อแม่พาลูกหลานมาเที่ยวได้ด้วยราคาจับต้องได้ เพราะทราบดีว่าการที่พ่อแม่เห็นสวนสนุกราคาเกินเอื้อมแล้วพาลูกไปไม่ได้เป็นความช้ำใจเพียงใด

สวนน้ำไทยแข่งขันได้ระดับภูมิภาค

ทุกวันนี้การลงทุนสวนน้ำใหม่ในไทยมีต่อเนื่อง แต่ผู้คร่ำหวอดทำสวนน้ำมานานอย่างสวนสยาม ยังไม่หวั่นไหวกับการแข่งขันที่สูงขึ้น พร้อมทั้งยังเชื่อมั่นในศักยภาพการแข่งขันของสวนน้ำไทยเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

วุฒิชัย เหลืองอมรเลิศ กับหมวกอีกใบในฐานะนายกสมาคมสวนสนุกและสวนพักผ่อนหย่อนใจ กล่าวว่า สวนสยามถูกใช้เป็นดัชนีวัดมาตรฐานสวนน้ำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนศักยภาพสวนน้ำไทยว่าได้รับการยอมรับในเวทีโลก ขณะที่เทคโนโลยีมีบทบาทใช้ในธุรกิจสวนน้ำมากขึ้นจริง แต่ก็ทำให้ได้เรียนรู้สัจธรรมว่า สิ่งสำคัญที่มนุษย์ต้องการจากสวนน้ำ คือการพักผ่อนหย่อนใจ หากผู้ประกอบการมองการลงทุนเรื่องอื่น เช่น เทคโนโลยีที่ไม่เกี่ยวกับพื้นฐานการพักผ่อนมาก่อน เน้นหารายได้เชิงธุรกิจเกินไปจะไม่ประสบความสำเร็จระยะยาว

 

 

“หลายคนต้องการกำไรสูงสุด ใจร้อน แต่ธุรกิจนี้ 2-3 ปีคืนทุนได้ยาก ถ้าสร้างใหม่ต้อง 7-10 ปี หากหวังกำไรเชิงพาณิชย์มากๆ คงไม่ตอบโจทย์ และถ้า 10 ปีไม่คืนทุนก็เหนื่อยแล้ว”

ทั้งนี้ คาดว่า 5-10 ปีจากนี้สวนน้ำในไทยคงมีมากขึ้นแถบหัวเมืองใหญ่ มีสวนน้ำขนาดกลางและขนาดเล็กแบบถาวรมาตรฐานมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องดีช่วยให้คนไทยเรียนรู้การใช้บริการ และเมื่อให้เทียบศักยภาพการลงทุนสวนน้ำในไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน ก็คิดว่าแต่ละประเทศมีศักยภาพต่างกัน ถ้าพิจารณาจากจำนวนประชากรมาก ไทย เมียนมา และเวียดนาม ก็อยู่ในกลุ่มนี้ คือมีประชากรมีกำลังซื้อมากพอใช้จ่าย แต่ยังเป็นกลุ่มที่ขาดการเรียนรู้เรื่องเที่ยวสวนน้ำ ไม่ถือว่าการใช้จ่ายเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่ต้องจ่าย ขณะที่ อินโดนีเซีย มาเลเซีย เรียนรู้การเที่ยวสวนน้ำมามาก จากการที่ในประเทศลงทุนสวนน้ำมากจนการแข่งขันสูง ส่วนกัมพูชา สปป.ลาว ที่ดินยังราคาไม่แพง มีโอกาสลงทุนได้ แต่ก็มีความยากเพราะประชากรน้อย

ท้ายนี้ วุฒิชัย ฝากข้อคิดไว้ว่า หากผู้ประกอบการในไทยร่วมด้วยช่วยกันสร้างสวนน้ำสวนสนุกที่มีมาตรฐานก็จะช่วยขยายฐานผู้ใช้บริการได้อีกมาก เพราะถ้าให้ประเมินจากสถานการณ์ปัจจุบัน คาดว่าแต่ละปีน่าจะมีผู้ใช้บริการสวนน้ำสวนสนุกในไทยทั้งชาวไทยและต่างชาติกว่า 10 ล้านคน ขณะที่ประชากรไทยมีกว่า 60 ล้านคน นักท่องเที่ยวต่างชาติอีกปีละกว่า 30 ล้านคน จึงยังมีพื้นที่อีกมากให้ไปขยายตลาดได้

เรียกว่าโอกาสลงทุนสวนน้ำสวนสนุกในไทยยังมีพร้อมสำหรับนักลงทุนที่ใจเย็น

 

“ปลงและปล่อยวางแล้ว” บทเรียนชีวิต “หญิงลี ศรีจุมพล”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 พฤษภาคม 2560 เวลา 19:25 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/493852

"ปลงและปล่อยวางแล้ว" บทเรียนชีวิต "หญิงลี ศรีจุมพล"

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

เพลงขอใจเธอแลกเบอร์โทรโด่งดังเป็นพลุแตกนำพาน้องร้องสาว “หญิงลี ศรีจุมพล” ก้าวขึ้นสู่แถวหน้าของวงการลูกทุ่งเมืองไทย

กราฟชีวิตพุ่งถึงขีดสุด คิวงานแน่นตลอดทั้งปีจนแทบไม่มีวันหยุดและมีรายรับมากกว่า 50 ล้านบาท

อย่างไรก็ตามสองปีผ่านมา เธอกำลังเผชิญหน้ากับช่วงเวลาที่ยากลำบาก รูปร่างหน้าตาเปลี่ยนแปลงไปจากสาวหน้าเรียวคม รูปร่างอ้อนแอ้นเซ็กซี่กลายเป็นแขนขาเล็กลีบซึ่งเป็นผลกระทบจากการใช้ร่างกายอย่างหนักประกอบกับภาวะอาการช็อคหลังเห็นภาพคุณแม่ประสบอุบัติเหตุต่อหน้าต่อตา

อะไรคือความเจ็บปวดและบทเรียนที่เธอได้รับในช่วงชีวิตครั้งนี้ หญิงลีพร้อมแล้วที่จะเปิดเผย…

งานหนัก เครียด นอนไม่หลับ ช็อคเรื่องคุณแม่

ความสำเร็จเบื้องหน้านั้นผ่านความทุ่มเท แรงกาย หยาดเหงื่อในแบบที่แฟนเพลงและคนภายนอกไม่มีทางรับรู้ วันแล้ววันเล่ากว่าจะเฉิดฉายกลายเป็นนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง

ร่างกายของเธอรับภาระหนักมาเนิ่นนานหลายสิบปีจนกระทั่งมาแสดงอาการในช่วงต้นปีที่ผ่านมา เริ่มจากหัวใจเต้นผิดปกติ มีอาการความดันโลหิตสูง ปลายประสาทอักเสบ แขนขาอ่อนแรงเล็กลีบ เเละถูกตรวจพบเจอโรคไทรอยด์ระยะเริ่มต้น

“มันสะสมมาเรื่อยๆ หลายๆ อย่าง ทั้งทำงานหนัก เครียด นอนไม่หลับจนต้องใช้ยา ไหนจะยารักษาเส้นเสียงที่ทั้งกินและฉีด สุดท้ายมีอาการช็อคจากอุบัติเหตุของแม่ร่วมด้วย”

ช่วงเดือนมีนาคมถึงต้นเมษายน สภาพร่างกายที่เธอเปิดเผยผ่านอินสตาแกรมล้วนแล้วแต่น่าเป็นห่วง ขาเล็กลีบเท่ากับขนาดโทรศัพท์ไอโฟน เธอเครียดมากเเละอยู่ในภาวะวิตกจริต ซึมเศร้า หวาดกลัวว่าเส้นทางชีวิตจะจบลง

“เครียดท้อ ความดันสูง หัวใจเต้นเร็ว ยิ่งเปิดอินเทอร์เน็ตหาความรู้ ทราบว่า กล้ามเนื้ออ่อนแรงมันมีผลกระทบ ทำให้หัวใจหยุดเต้นหรือล้มเหลวกระทันหันได้ รู้อย่างนี้ยิ่งเครียด ส่วนแขนขาก็เล็กลีบ คิดมากถ้าเดินไม่ได้จะทำงานยังไง จนกลายเป็นซึมเศร้า ความทุกข์รุมเร้าทั้งร่างกายและจิตใจ”

สุดท้ายหลังเข้ารับการตรวจเลือดและร่างกายอย่างละเอียด คุณหมอแจ้งว่าเธอมีอาการไทรอยด์ในระยะเริ่มต้นสามารถรักษาให้หายได้ ทำให้รู้สึกดีขึ้น คิดว่าเอาชนะได้ไม่ยากหากปฎิบัติตัวตามคำแนะนำของแพทย์อย่างมีวินัย พักผ่อนเพียงพอ รับประทานยาและอาหารอย่างเต็มที่โดยเฉพาะโปรตีนเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อที่เล็กลีบให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง

“การแจ้งของคุณหมอทำให้หญิงสบายใจ ปล่อยวาง ปรับอารมณ์และคิดสู้ต่อไป เริ่มกล้าโพสต์รูปไม่สวย เพื่อทำให้คนติดตามเห็นพัฒนาการบ่อยๆ หลังสงกรานต์พยายามกินอาหารอย่างหนักให้ร่างกายแข็งแรง เพราะก่อนหน้านั้นมีช่วงหนึ่งขาเล็กมากจนยืนแทบไม่อยู่ ตอนนี้หลุดพ้นจากวิกฤตแล้ว มีแนวโน้มดีขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใบหน้าก็กำลังศึกษาอยู่ว่าจะทำยังไงให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม”

ลูกทุ่งสาวชาวบุรีรัมย์บอกว่า ตอนนี้ทั้งร่างกายและหัวใจของเธอเข้มแข็งขึ้นมาก คุณแม่หายป่วยจากอุบัติเหตุ การงานผู้ใหญ่เข้าใจและบอกให้รักษาตัวอย่างเต็มที่ ไม่ต้องเครียดที่ไม่ได้ทำงาน

ตายไปก็เอาอะไรไปไม่ได้

ชื่อเสียงและเงินทองนั้นเมื่อหมดลมหายใจก็เอาไปไม่ได้ เป็นสัจธรรมของชีวิตมนุษย์ทุกคน

หญิงลี บอกว่า สิ่งที่ได้เรียนรู้จากการเจ็บป่วยคือ เงินไม่ทุกอย่าง ตายไปก็เอาไปไม่ได้ ไม่ว่าจะหาหรือสร้างมามากมายเพียงไรก็ต้องทิ้งไว้อยู่ดี  สิ่งที่เราควรทำก็คือเติมเต็มความสุขของตัวเองและมอบความสุขให้กับผู้อื่น ช่วยเหลือญาติพี่น้อง คนที่เรารัก เมื่อถึงวันลาจากจะไม่มีคำว่า “เสียดายที่ไม่ได้ทำ”

“เที่ยวบ้าง สนุกบ้าง เติมเต็มชีวิตคนรอบข้างไปด้วยกัน  ถ้าเรามีความสุข ชีวิตก็ดีทุกอย่าง วันนี้เงินทองเราเติมเต็มหมดแล้ว พยายามมอบความสุข ความรักให้กับคนใกล้ชิด ได้ไม่ต้องมาเสียดายโอกาสที่ได้ทำดีต่อกันเเละกัน วันนี้หญิงปลงและปล่อยว่าง ไม่คิดจะไปแข่งขันกับใคร ไม่ยึดติดว่าเราเลิศ เราดัง เราเพอร์เฟค คิดอย่างเดียวว่า ถ้าเราตายไปก็หายเงียบไปเลย นึกถึงแม่พุ่มพ่วง ท่านโด่งดังสุดขีด และล้มป่วยก่อนจะเสียชีวิต สุดท้ายความดังหรือเงินทอง มันก็ไปหมด เหลือเพียงแค่ชื่อเท่านั้น”

เธอ บอกว่า อนาคตจะคำนึงถึงความยืดหยุ่นในการใช้ชีวิตมากขึ้น ไม่จำเป็นต้องเหนื่อย เครียด อดหลับอดนอนเพื่อแลกกับเงินหรือชื่อเสียงอีกแล้ว

“พออาการดีขึ้นเรื่อยๆ บางทีก็คิดอยากทำโน่นทำนี่ แต่พอตั้งสติดีๆ นึกถึงความเหนื่อย เลยคิดว่าไม่ต้องทำอะไรมากมายแล้ว ไม่ต้องทำเยอะ ไม่ต้องเหนื่อยมาก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ต้องเวอร์ นึกเพียงแค่ว่าจะให้อะไรแก่คนที่เรารัก คิดถึงคนรอบข้างอย่างเดียว”

 

 

มีความสุขในทุกวันเพื่อคนที่เรารัก

ผู้หญิงคนนี้บอกว่า ไม่เคยเสียใจกับสิ่งที่ผ่านมาในชีวิตเพราะได้ทำทุกอย่างอย่างเต็มที่ มอบสิ่งดีๆ ให้กับพ่อแม่ ญาติพี่น้องตลอดจนเพื่อนฝูงคนใกล้ชิด หากวันหนึ่งต้องลาจากกันไปก็ไม่มีอะไรที่ต้องเสียดาย

“หญิงทำดีกับทุกคนมาตลอด ทุกสิ่งอย่างเราพยายามหาให้พ่อแม่ตั้งแต่เด็กแล้ว จะน้อยจะมากก็ทำและให้เต็มที่เมื่อเทียบกับสิ่งที่เรามี ตอนมีเงินมีทอง หญิงก็ทำทุกอย่างให้ลงตัว ซื้อไร่นาที่ทางให้แม่ ทำรีสอร์ท สร้างอาชีพให้ญาติพี่น้อง ทีมงานที่เคียงข้างกันมา เราทำดีกับทุกคนเสมอ มองย้อนกลับไป ไม่มีอะไรต้องติดค้าง”

สาววัย 34 ปีบอกว่าเธอผ่านช่วงเวลาสูงสุดในชีวิตมาแล้วกับเพลง “ขอใจเธอแลกเบอร์โทร” หาเงินได้มากกว่า 50 ล้านบาทภายในเวลาไม่กี่ปี วันนี้ไม่คิดจะแข่งขันกับใคร ขอเต็มที่กับทุกๆ วันและสามารถดูแลคนรักได้อย่างสม่ำเสมอ อนาคตขึ้นอยู่กับโอกาส บุญวาสนาและความเมตตาจากแฟนเพลง

“ยังไม่แน่ว่าหลังจากหายป่วยแล้ว หญิงลีจะกลับมาผงาดอีกหรือเปล่า ก็หวังว่าจะเป็นอย่างนั้น แต่เราเต็มที่กับปัจจุบันอยู่แล้ว มีความหวังอยู่เสมอว่าจะร้องเพลงให้ทุกคนฟัง ถ้าไม่ล้มหมอนนอนเสื่อ ร้องเพลงได้ก็จะร้องต่อไปเรื่อยๆ”

นักร้องลุกทุ่งชาวบุรีรัมย์ ทิ้งท้ายว่า ความสุขวันนี้ คือการไม่มีหนี้สิน สภาพร่างกายค่อยๆ ฟิ้นฟูกลับมาเดินเหินได้อีกครั้ง มีครอบครัวที่อบอุ่น มีคนรอบข้างไร้ทุกข์

“ดีใจที่ทุกคนเป็นห่วง สงสาร และบางคนอาจจะช็อครับไม่ได้กับภาพวันนี้และอยากได้หญิงลีคนเดิมกลับมา ฝากบอกว่า ไม่มีใครอยากเจ็บป่วยหรืออยากทำให้ตัวเองขี้เหร่ ขอบคุณทุกๆ แรงใจ หญิงเข้มแข็งและมีความเชื่อว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้ หญิงจะไม่ให้ทุกคนผิดหวัง”

ทั้งหมดนี้คือเสียงล่าสุดจากซุปตาร์นักร้องลูกทุ่งสาว หญิงลี นุชนาถ ศรีจุมพล ที่กำลังจะกลับมาเนื้อหอมอีกครั้ง

ร่างกายเริ่มกลับมาเเข็งเเรงอีกครั้ง

 

ไทยหนีไม่พ้นอเมริกา พันธมิตรในสงคราม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 พฤษภาคม 2560 เวลา 07:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/493606

ไทยหนีไม่พ้นอเมริกา พันธมิตรในสงคราม

โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

ต้องยอมรับสถานการณ์ทางการเมืองระหว่างประเทศค่อนข้างระอุพอสมควร ภายหลัง“โดนัลด์ ทรัมป์” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ส่งสัญญาณออกมาค่อนข้างแรงเพื่อเปิดสงครามกับคู่รักคู่แค้นอย่างเกาหลีเหนือ ยิ่งไปกว่านั้นได้พยายามส่งเทียบเชิญผู้นำหลายประเทศเข้าร่วมเป็นมหามิตรสำหรับสร้างความชอบธรรมในการทำสงครามในอนาคตอันใกล้

ไม่เว้นแม้แต่ประเทศเล็กๆ อย่างไทยกำลังเป็นหนึ่งในแขกรับเชิญของผู้นำสหรัฐที่ได้รับความสนใจเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อไม่นานมานี้มีข่าวออกมาว่าผู้นำสหรัฐโทรศัพท์ข้ามทวีปตรงมายัง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกรัฐมนตรี เพื่อหารือเป็นการส่วนตัว

ด้วยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายมองว่าประเทศไทยจะมีทิศทางอย่างไร ท่ามกลางเวทีการเมืองโลกที่รอวันปะทุ ในโอกาสนี้ “โพสต์ทูเดย์” ได้มีเวลาสนทนากับ “รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนันท์” อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เพื่อวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเกิดสงครามระหว่างสหรัฐ-เกาหลีเหนือขึ้นมา ประเทศไทยจะอยู่จุดไหนในแผนที่การเมืองระหว่างประเทศ

อาจารย์อรรถกฤต เริ่มต้นถึงการมองความเป็นไปได้ในการเกิดสงครามว่า “ก็มีแนวโน้มอยู่บ้างเหมือนกัน เพราะว่ามีการเรียกคุยกันแล้วว่าใครจะเป็นพันธมิตรกับประเทศไหน โดยทรัมป์มีการเชิญประธานาธิบดีไปคุย ซึ่งจริงๆ แล้ว ส่วนตัวคิดว่าเมื่อทรัมป์เป็นนักธุรกิจ ย่อมต้องสนใจเรื่องผลประโยชน์เป็นหลักของประเทศเขา และผลประโยชน์ที่ได้มาจากเกาหลีเหนือด้วย เพราะอย่าลืมว่าพวกกลุ่มธุรกิจก็มองทรัพยากรในเกาหลีเหนือเป็นธุรกิจเหมือนกัน

“ถ้าถามว่าทรัมป์อยากได้ไหม แน่นอนว่าอยากได้ เพราะสามารถเอาทรัพยากรมาใช้ประโยชน์ได้ ซึ่งในอนาคตเกาหลีเหนืออาจเปลี่ยนระบบการปกครอง ถ้าสามารถจัดการกลุ่มผู้นำของเกาหลีเหนือได้ ทุกอย่างก็จบ การปกครองก็เปลี่ยนจากคอมมิวนิสต์ที่ไม่เคยมองทุนนิยม มาเป็นการมองทุนนิยมมากขึ้น

“อย่าลืมว่าเกาหลีเหนือมีทรัพยากรค่อนข้างมาก เพราะอย่าลืมว่าเกาหลีเหนือยังมีเทคโนโลยีในการจัดการทรัพยากรน้อยอยู่ดังนั้นถ้าสหรัฐอเมริกาเข้าไป ย่อมสามารถทำอะไรได้มาก จึงอาจเรียกได้ว่าเป็นขุมทรัพย์”

นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์วิเคราะห์อีกว่า “เชื่อว่าสงคราม ถ้าเกิด ก็จะเกิดระยะสั้น โดยปกติสหรัฐอเมริกาจะดำเนินการรวดเร็วด้วยเทคโนโลยีที่ตัวเองมี โดยเฉพาะการติดตั้ง THAAD (Terminal High Altitude Area Defense System) หรือระบบป้องกันขีปนาวุธในประเทศเกาหลีใต้แล้ว แม้ว่าประชาชนในเกาหลีใต้จะไม่ยอม แต่สุดท้ายรัฐบาลก็ยอมให้ตั้งระบบดังกล่าวได้

“ทีมของทรัมป์เป็นกลุ่มทุนธุรกิจหมดเลย ไม่ได้เหมือนกับทีมของโอบามา ที่มองในเชิงอนุรักษนิยมมากกว่า อย่างเช่น นโยบายการเก็บภาษีธุรกิจของพรรครีพับลิกันของทรัมป์จะต่ำกว่าของพรรคเดโมแครตค่อนข้างมากในรอบ 20 ปีที่ผ่านมา ดังนั้นเมื่อกลุ่มธุรกิจเข้ามาบริหารอเมริกา ย่อมต้องมองเกาหลีเหนือในเรื่องทรัพยากรเป็นหลัก”

สำหรับการที่ทรัมป์คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์นั้น อาจารย์อรรถกฤต คิดว่า “พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยากให้เกิดสงครามอยู่แล้ว เพราะประเทศไทยด้วยสถานะทำไม่ได้อยู่แล้ว อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีก็น้อยมาก ดังนั้น ดีที่สุดของไทย คือ การดูสถานการณ์เป็นหลักว่าจะเกิดอะไรขึ้น แต่ก็พอเห็นแนวโน้มว่าไทยต้องเข้าข้างอเมริกาอยู่แล้ว

“เพราะถึงอย่างไร ถ้าเกิดสงครามขึ้นมาจริง อย่างไรเสียอเมริกาก็ชนะเกาหลีเหนือ 100% เพราะอเมริกามีอาวุธและเทคโนโลยีดีกว่า ขณะที่เกาหลีเหนือยังมีเทคโนโลยีที่ยังน้อยอยู่ เพราะที่ผ่านมาก็มีหลายครั้งที่การทดลองอาวุธก็ล้มเหลวเยอะ มันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายที่เกาหลีเหนือจะมาต่อรองกับอเมริกา”

อย่างไรก็ตาม แม้ท่าทีของไทยอาจจะผูกมิตรกับสหรัฐ แต่ในความคิดของนักวิชาการรายนี้ เห็นว่าจะไม่ส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนมากนัก เนื่องจากเวลานี้จีนเองก็พยายามไม่ต้องการมีปัญหากับสหรัฐเหมือนกัน เพื่อไม่ให้กระทบกับเศรษฐกิจของตัวเอง

“ถามว่าประเทศจีนก่อนหน้านี้ก็ดูเหมือนจะเข้าข้างเกาหลีเหนือ เช่น การขายอาวุธให้เกาหลีเหนือ แต่ตอนนี้จีนก็เริ่มกังวลแล้ว เพราะว่าอเมริกาใช้นโยบายเศรษฐกิจจะล้มจีน เพราะพรรครีพับลิกันต้องการให้อุตสาหกรรมโยกไปที่อเมริกา และดำเนินการลดภาษีในการลงทุน เพื่อลดการขาดดุล จีนกังวลเหมือนกันว่าถ้าย้ายไปหมด จะทำให้แรงงานในจีนอยู่กันอย่างไร

“ผู้นำของจีนมองสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างน่าเป็นห่วงเหมือนกัน แต่จีนก็มองเศรษฐกิจเป็นหลัก เพราะถ้าเศรษฐกิจไม่ดี ย่อมจะนำมาสู่การจลาจลในจีน ที่อาจมีความรุนแรงมาก ย่อมทำให้กลุ่มผู้คุมอำนาจในจีนก็ต้องมาคิดว่าจะปกครองได้ไหม หากเกิดปัญหาความรุนแรงในประเทศขึ้นมา ดังนั้นจีนย่อมต้องกังวลกับปัญหาในประเทศเป็นสำคัญ สรุป คือ จีนก็ต้องเอาตัวรอดเป็นหลัก ซึ่งจะเห็นได้ว่าจีนก็เริ่มถอยห่างจากเกาหลีเหนือเหมือนกัน

“การที่ไทยซื้อเรือดำน้ำจากจีนนั้น จีนเป็นหนึ่งในประเทศที่เป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงประมาณ 7-8% มาตลอด ไทยก็ยังต้องมีเศรษฐกิจในระดับหนึ่งเหมือนกัน อย่างเรื่องการส่งออก ขณะเดียวกันไทยก็ยังต้องพึ่งอเมริกา จึงคิดว่าไทยก็พยายามเข้าหาทั้งคู่เช่นกัน ไทยพยายามเป็นมิตรกับทั้งคู่ เพราะการเป็นมิตรกับทั้งสองประเทศมันก็ไม่ได้เสียหายอะไร เพื่อให้ไทยสามารถรักษาเสถียรภาพได้ในอนาคต

“กลุ่มประเทศทวีปยุโรปน่าจะอยู่กับอเมริกาเหมือนกัน เนื่องจากที่ผ่านมาอเมริกาคอยสนับสนุนข้อมูลเกี่ยวกับผู้ก่อการร้ายให้ประเทศแถบยุโรปพอสมควร ประกอบกับที่ผ่านมาก็ต่างเป็นพันธมิตรกันอยู่แล้ว เพราะมีการร่วมปฏิบัติการในการที่จะกำจัดกลุ่มก่อการร้ายมาตลอด และสนธิสัญญาต่างๆ ที่อเมริการ่วมกับยุโรปก็มีลักษณะต่อต้านเกาหลีเหนืออยู่แล้ว

“เช่นเดียวกับรัสเซีย ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะไปเข้ากับเกาหลีเหนือ เพราะถึงความสัมพันธ์ของสองประเทศมีอยู่บ้าง เช่น การซื้อขายอาวุธ แต่ไม่มีความสัมพันธ์ในลักษณะสนธิสัญญาเพื่อการสร้างความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจมีอยู่น้อย

“สถานการณ์ของเกาหลีเหนือก็ถือว่าขาดพันธมิตรพอสมควรเหมือนกัน เนื่องจากทุกประเทศก็มองเศรษฐกิจของตัวเองเป็นหลัก เพราะหากเศรษฐกิจพังเมื่อไหร่ ความขัดแย้งภายในประเทศเกิดขึ้นแน่นอน และจะตามมาด้วยการล้มของผู้นำ ดังนั้นแต่ละประเทศต้องการสร้างสมดุลทางอำนาจภายในประเทศของตัวเองเป็นสำคัญ

“ทุกอย่างมันลิงค์ (เชื่อมต่อ) กันหมดเลย เป็นเรื่องผลประโยชน์ทางการเมืองหมด ทุกคนในฐานะเพลเยอร์ (ผู้เล่น) ตามทฤษฎีเกม ทุกคนต้องการรักษาผลประโยชน์สูงสุดของตัวเอง ทุกคนใช้นโยบายทางการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลยุทธ์ในการเล่นเกมเพื่อให้ผลประโยชน์เกิดขึ้นกับตัวเอง แต่ละประเทศมองผลประโยชน์ของตัวเองเป็นหลักเพื่อให้อยู่ในตำแหน่งให้นานที่สุด” อาจารย์อรรถกฤต ระบุ

อาจารย์อรรถกฤต สรุปว่า “ประเทศไทยตอนนี้ ถ้ารัฐบาลชุดนี้จะอยู่ไม่รอดก็คือเรื่องเศรษฐกิจ ตอนนี้จึงมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจออกมา ซึ่งเป็นนโยบายการตลาดให้กับรัฐบาลเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาความขัดแย้งในประเทศ ถ้าถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะทำอย่างไรกับสถานการณ์อย่างนี้ คือ คงต้องเล่นตามเกมไป หมายความว่าถ้าประเทศผู้นำอย่างอเมริกาต้องการอะไร ก็ต้องเสนอตามที่ต้องการไป เพราะต้องยอมรับความเป็นมหาอำนาจของอเมริกา

“ประเทศไทยมีความสำคัญกับอเมริกาค่อนข้างมาก เพราะถ้าอเมริกาสามารถจับกลุ่มจำนวนประเทศในอาเซียนเกินครึ่งหนึ่ง อเมริกาก็จะสามารถมีฐานอำนาจในการทำอะไรได้อีกมาก โดยอเมริกาสามารถอ้างอิงจากประเทศในอาเซียนได้ ถึงแม้ไทยจะทำธุรกิจกับจีนมาก แต่เมื่อถึงเวลาเกิดสงครามจริง ไทยคงต้องเลือกอเมริกา”

 

กม.ยุคไดโนเสาร์ สร้างอาณาจักรความกลัว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 พฤษภาคม 2560 เวลา 07:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/492672

กม.ยุคไดโนเสาร์ สร้างอาณาจักรความกลัว

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม, พัชรศรี ปิ่นแก้ว

“ถ้าเขาออกกฎหมายมาตามร่างฯ นี้ สื่อก็จะจบในแง่ของบทบาทในเชิงสังคม และก็ไม่รู้จะมีสื่อทำไม เมื่อต้องให้สื่อกลายเป็นผู้ที่อยู่ในระเบียบวินัย ทำตามที่องค์กรภาครัฐต้องการเท่านั้น”

ความห่วงใยของ พิรงรอง รามสูต รองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และอาจารย์ประจำคณะนิเทศศาสตร์ ที่มองว่าร่าง พ.ร.บ.การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรม และมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชน มีจุดประสงค์ต้องการควบคุมสื่อ ซึ่งเท่าที่ดูไม่มีประเทศไหนในโลกให้สื่อต้องขึ้นทะเบียน มีใบประกอบวิชาชีพ นอกจากประเทศคอมมิวนิสต์อย่างจีน ที่สำคัญช่วงนี้ไม่ควรควบคุมและลดคุณค่าของสื่อ เพราะสื่อกำลังมีความหลากหลายสูงมาก

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว กระแทกไปยังรัฐบาลเพราะเชื่อว่าต้องการควบคุมการทำงานของสื่อมวลชนแบบเบ็ดเสร็จ โดยวันนี้ที่ประชุมสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะพิจารณารายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนปฏิรูปสื่อสารมวลชนที่เสนอร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวเพื่อให้เห็นชอบส่งต่อไปยังรัฐบาลเดินหน้าออกเป็นกฎหมาย

องค์กรวิชาชีพสื่อออกมาคัดค้านเพราะเห็นว่า เป็นการละเมิดสิทธิการรับรู้ของประชาชน และเปิดช่องให้อำนาจรัฐแทรกแซงการทำงานของสื่อ ทั้งยังมีบทลงโทษรุนแรงถึงขั้นจำคุกกับสื่อทุกประเภท

อาจารย์นิเทศศาสตร์จุฬาฯ กล่าวว่า รัฐบาลกำลังมองสื่อภายใต้ทัศนะการควบคุม และหากบังคับให้สื่อขึ้นทะเบียนก็จะทำให้ภาครัฐรู้รายชื่อว่ามีใครบ้างและกำลังทำอะไรสามารถที่จะสอดส่องได้ตลอด ขณะเดียวกัน สิ่งที่ไม่ควรคือการที่ร่างกฎหมายกำหนดว่าหากสื่อไม่ปฏิบัติตามจริยธรรมต่างๆ จะต้องเข้าสู่กระบวนการรับโทษ ซึ่งต่างกับการกำกับดูแลกันเองที่ไม่มีบทลงโทษ

พิรงรอง กล่าวว่า การกำกับดูแลกันเองตั้งแต่อดีตเป็นเรื่องของความสมัครใจที่เกิดจากสำนึกและจริยธรรม โดยไม่ต้องมีกฎหมายเข้ามาเกี่ยวข้องโทษอย่างมากที่สุด คือ เมื่อทำผิดก็ออกจากการเป็นสมาชิก หรือการเรียกปรับกันเอง รัฐบาลไม่ได้เข้ามาเกี่ยว แต่ขณะนี้รัฐบาลหรือ สปท.พยายามทำกฎหมายโดยรวมสองสิ่งมาไว้ด้วยกัน คือ กฎหมาย กับจริยธรรม และไม่แน่ใจว่า การให้มีสภาวิชาชีพสื่อนี้เป็นเพราะเห็นรูปแบบจาก กสทช.ที่กำกับดูแลได้เพียงด้านโทรทัศน์และวิทยุเท่านั้นหรือไม่ จึงจุดประกายว่า ถ้าต้องการมาคุมสื่อส่วนนี้อีกก็ต้องมีสภาวิชาชีพสื่อ ซึ่งไม่ใช่การให้กำกับดูแลกันเอง

พิรงรอง ย้ำว่า ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช่การปฏิรูปสื่อ แต่เป็นการกระทำที่ยิ่งกว่าการถอยหลังเข้าคลอง เพราะย้อนกลับไปในยุคของไดโนเสาร์ ทั้งนี้ การปฏิรูปสื่อยุค 4.0 คือ การทำอย่างไรให้เข้าถึงและการใช้ประโยชน์จากคลื่นความถี่อย่างกระจายกว้างขวางมากขึ้น เพราะจุดเริ่มเกิดขึ้นเมื่อปี 2535 การที่รัฐบาลทหารปิดกั้นสื่อ ทำให้ความจริงไม่ปรากฏเกิดสถานีไอทีวีขึ้นและมาในปัจจุบันที่มีสื่อหลากหลายมากขึ้น

“ยุคสมัยหนึ่งมีการเปลี่ยนแปลงที่เรียกว่าการกำกับดูแลสื่อ สุดท้ายก็พยายามจะปิดสื่อ แต่ไม่สามารถทำได้เพราะเป็นสิ่งที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญ 2540 จึงทำให้เห็นข้อจำกัดที่จะปิดสื่อไม่ได้ แต่สามารถเซ็นเซอร์เนื้อหาที่ไม่เหมาะสมได้ ต่อมาในยุคปัจจุบันความต้องการให้มีโครงสร้าง โดยมีคณะกรรมการรับเรื่องร้องเรียนมีช่องทางให้ประชาชนรู้ว่าต้องร้องเรียนสื่ออย่างไร รวมถึงกระบวนการเอาผิดกับสื่อ ความจริงเรื่องดังกล่าวในต่างประเทศเคยมีที่รัฐเข้าคุมสื่อแต่นานมากแล้ว เช่น ที่อังกฤษ สหรัฐ สุดท้ายรัฐบาลของเขาจะค่อยๆ สลายตัวไปเมื่อสื่อดูแลกันเองได้จนไม่ต้องมีกฎหมาย”

พิรงรอง กล่าวอีกว่า ในยุคอินเทอร์เน็ตปัจจุบันมีสื่อโซเชียลก็มีการกำกับดูแลกันเอง เพราะการนำเสนอผ่านออนไลน์ไม่ได้มีเพียงนักวิชาชีพสื่อ แต่ทุกคนสามารถเป็นสื่อเองได้หมด เว็บไซต์ต่างๆ จึงทำหน้าที่เป็นเพียงแพลตฟอร์มสื่อกลางการนำเสนอเนื้อหา เช่น Pantip Facebook แต่ช่องทางพวกนี้จะมีการออกแบบให้มีการแจ้งเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับเนื้อหา โดยคนที่เข้ามาเล่นเว็บนั้นจะเข้ามาช่วยกันกำกับดูแลกันเองได้และสามารถทำได้ดี โดยไม่ต้องพึ่งกฎหมาย หรือรัฐบาลเข้ามาเกี่ยวข้อง

“การให้สื่อต้องขึ้นทะเบียน รวมถึงการร้องเรียนจนถึงการตัดสินความผิดถูกของสื่อ ประเด็นอยู่ที่ว่าแล้วใครจะเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติตามร่างกฎหมายฉบับนี้ เมื่อมีตัวแทนรัฐบาลเข้ามา 2 คน แม้จะดูเป็นเสียงส่วนน้อย แต่ส่วนที่เหลือผู้แทนจากสภาวิชาชีพก็ไม่รู้ว่าจะมีเรื่องผลประโยชน์ด้วยหรือไม่ แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้นในโลกยุคนี้”

อย่างไรก็ตาม พิรงรอง ยอมรับว่า สื่อส่วนหนึ่งก็มีปัญหาที่สังคมวิจารณ์ แต่กรณีนี้ก็ไม่ควรจะเหมาเข่งออกกฎหมายมาคุมสื่อทั้งหมด ซึ่งสังคมชอบการเหมารวม เช่น สื่อถูกมองว่าเป็นผู้บิดเบือน เลือกข้างและเชื่อไม่ได้ และก็มีทั้งสื่อดีและไม่ดี ขัดต่อค่านิยมและจริยธรรมของสื่อเองทั้งนั้น ส่งผลให้สังคมเกิดความเสื่อมศรัทธา เพราะรู้สึกไม่น่าเชื่อถือ เมื่อมีกฎหมายออกมาว่าต้องมีการดูแลสื่อ สังคมก็จะรู้สึกว่ามีการควบคุมดีแล้ว

อาจารย์นิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เสนอทางออกว่า อยากให้เรื่องนี้หยุดลงไปก่อน แต่ควรเสริมทางกลไกทางสังคมให้แข็งแรง ให้ประชาชนรู้ทันสื่อ เพราะเป็นเรื่องการพัฒนาในระยะยาว

“ความคิดที่จะร่างกฎหมายนี้จึงเป็นที่น่าขำ เพราะไม่มีทางเข้าไปควบคุมความคิดของคนได้ในยุคสมัยนี้ เพราะความจริงเป็นสิ่งสำคัญสุด ท้ายที่สุดไม่มีอะไรเอาชนะความจริงได้ การตีทะเบียนจึงเป็นเรื่องที่ไม่ยุติธรรมกับสื่อที่ดี สิ่งสำคัญคือการทำให้เกิดบรรยากาศความกลัว และไม่ยุติธรรมทั้งการจะเข้ามาดูแล และการวินิจฉัยการตัดสินว่าผิดหรือถูก”พิรงรอง สรุปทิ้งท้าย

 

กกต.พร้อมปรับตัว รับกฎหมายลูกรัฐธรรมนูญใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 เมษายน 2560 เวลา 09:41 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/492593

กกต.พร้อมปรับตัว รับกฎหมายลูกรัฐธรรมนูญใหม่

โดย….ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

ภายหลังรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ประกาศใช้เป็นทางการ แน่นอนว่าถนนทุกสายจากนี้พุ่งเป้าไปยังการเลือกตั้ง แต่ก่อนถึงเวลานั้น กฎหมายลูก 4 ฉบับ โดยเฉพาะ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง ที่กำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อยู่ขณะนี้จะมีหน้าตาอย่างไร

สมชัย ศรีสุทธิยากร กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ด้านบริหารกลาง เปิดเผยผ่านโพสต์ทูเดย์ต่อประเด็นความเห็นต่างระหว่างกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) โดยเฉพาะกลไกการทำงาน ว่าจะมี กกต.จังหวัด หรือผู้ตรวจการเลือกตั้ง ซึ่งส่วนตัวคิดว่ากฎหมายลูกไม่ควรเขียนรายละเอียด น่าจะเป็นการดำเนินการภายในของ กกต.ที่อาจมีกลไกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งสองอย่างก็ได้

“แต่พอเขียนว่าไม่มีหรือต้องมี ทำให้รูปแบบการทำงานของ กกต.ถูกจำกัดด้วยรูปแบบ กรธ.เป็นฝ่ายเสนอ ซึ่งไม่เชื่อว่า กรธ.จะคิดรูปแบบหนึ่งขึ้นมามันจะดีที่สุดหรือเหมาะสมที่สุด เพราะในสถานการณ์หน้างานของการเลือกตั้งจริง กกต.ควรมีความคล่องตัวในการคิดกลไกอะไรก็ได้ เพื่อช่วยให้การเลือกตั้งเป็นไปโดยสุจริตและเที่ยงธรรม”

สมชัย อธิบายเหตุผล 1.ใช้คนนอกพื้นที่ต้องไม่เป็นข้าราชการประจำ ไม่เป็นสมาชิกพรรคการเมือง มีความเป็นกลาง และพร้อมปฏิบัติหน้าที่ในจังหวัดใดก็ได้เวลาประมาณ 2-3 เดือน โดยรับเพียงเบี้ยเลี้ยงการทำงาน ก็จะเกิดปัญหาตั้งแต่เริ่มต้นว่าจะหาใครมาทำหน้าที่ดังกล่าว

2.ความคุ้นเคยในจังหวัดที่จะต้องไปทำงาน ไม่รู้ในเชิงภูมิศาสตร์ ผู้คน และวัฒนธรรม หรือเรื่องของหัวคะแนน ผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ ก็จะเหมือนคนแปลกหน้าไปหาข่าว ไม่สามารถได้ข่าวที่เป็นประโยชน์ต่อการป้องปรามทุจริตการเลือกตั้ง

ทั้งนี้ สิ่งที่ กกต.เสนออยากให้มี กกต.จังหวัดนั้น ดัดแปลงจากของเดิม คือ มี กกต.จังหวัดแต่ให้รับเพียงเบี้ยประชุม และมาจากการสรรหาจากบุคคลหลากหลายอาชีพ ซึ่งเป็นข้อเสนอให้กับ กรธ.แต่ไม่ได้รับการพิจารณาดังนั้น สนช.และกรรมาธิการ สนช. ต้องชั่งน้ำหนักอะไรเป็นประโยชน์ต่อการจัดการเลือกตั้ง

ส่วนกรณีที่มีการวิพากษ์วิจารณ์ว่ากฎหมายใหม่ที่ออกมาทำให้คนเป็น กกต. 2-3 คน ต้องพ้นจากตำแหน่ง เนื่องจากคุณสมบัติผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระสูงขึ้นกว่าเดิม ในประเด็นนี้คนเตรียมงานมาเป็นเวลานานเข้าใจเกี่ยวกับระบบต่างๆ กับการเอาคนใหม่เข้ามา จะเป็นการเปลี่ยนม้ากลางศึก ทำให้การจัดการเลือกตั้งไม่มีประสิทธิผลหรือไม่

3.ในเรื่องหลักการออกกฎหมาย โดยหลักนิติธรรมจะไม่มีผลบังคับย้อนหลังในเชิงเป็นโทษกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง ส่วนผลกระทบที่เกิดขึ้นกับ กกต.โดยตรง คิดว่าไม่มากเท่ากับองค์กรอิสระอื่นถ้าใช้กติกานี้ ซึ่ง กกต.ที่กระทบแน่ๆ มีเพียงคนเดียว คือ ประวิช รัตนเพียร กกต.ด้านกิจการมีส่วนร่วม เพราะเคยดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการแผ่นดิน และพ้นจากการเมืองไม่ถึง 10 ปี ถ้าให้พ้นจากตำแหน่งดังกล่าวก็ไม่เป็นธรรม

“สิ่งที่ผมมองผลกระทบต่อ กกต.น้อยกว่าองค์กรอิสระอื่น อย่างตุลาการศาลรัฐธรรมนูญประมาณ 4-5 คน และกรรมการ ป.ป.ช. 7-8 คน ที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งผลที่เกิดขึ้นแปลว่าคนที่เคยทำงานมาเดิมถูกรอนสิทธิ ขาดความต่อเนื่อง เพราะเอาคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ คดีของ ป.ป.ช.และของศาลรัฐธรรมนูญ เมื่อกรรมการองค์กรอิสระดังกล่าวหากต้องพ้นตำแหน่งจะมีผลวันถัดไปทันที สมมติหากเกินกว่าครึ่งหนึ่งขององค์ประชุมแต่องค์กรนั้นๆ จะไม่สามารถจัดการประชุมได้นานถึงสองเดือนครึ่ง เท่ากับเกิดสุญญากาศ ซึ่งไม่น่าเป็นผลดี ดังนั้นขอให้ทาง สนช.ต้องช่วยดูว่าจะแก้ไขปัญหาต่างๆ เหล่านี้ได้อย่างไร”

ทั้งนี้ ยืนยันสิ่งที่พูดทั้งหมดไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ตัวเอง เพราะในรัฐธรรมนูญคุณสมบัติ กกต.มีข้อหนึ่งที่เขียนว่า หรือมีประสบการณ์การทำงานภาคประชาสังคมมาไม่น้อยกว่า 20 ปี เชื่อว่าจำนวนปีที่ทำงานในองค์กรภาคประชาสังคม อาทิ องค์กรกลางการเลือกตั้ง หรือพีเน็ต ซึ่งมีมาตั้งแต่ปี 2535 นับถึงปัจจุบันก็ 25 ปี น่าจะเพียงพอ

3สถานะของสำนักงาน กกต.นั้น อยากให้แยกออกมาเป็นกฎหมายอีกฉบับ เรียกว่า พ.ร.บ.สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง แต่การร่างของ กรธ.ไปรวมอยู่ที่เดียวกัน ทำให้ขึ้นอยู่กับการคงอยู่ของกรรมการการเลือกตั้ง จะทำให้ฝ่ายข้าราชการประจำเกิดความไม่มั่นคงต่อการทำงาน ต่างจาก ป.ป.ช.

กกต.ฝีปากกล้า ยอมรับว่า ถ้าออกมาในรูปแบบที่รู้สึกเป็นปัญหา ก็พร้อมปรับตัวตามและหาวิธีการรองรับ โดยขณะนี้ได้สั่งการให้สำนักงานเตรียมพร้อมรับทุกรูปแบบ อาทิ กลไกในการรองรับผู้ตรวจการเลือกตั้ง เพื่อให้การทำงานคู่ขนานไปกับสำนักงาน ซึ่งเรียกโมเดลนี้ว่าสามประสาน คือ สำนักงาน กกต.จังหวัด ผู้ตรวจการการเลือกตั้ง และองค์กรเอกชนในจังหวัด ต้องประสานงานและตรวจสอบกันและกัน

“เราเคยได้ยินเรื่องที่ว่าเจ้าหน้าที่ของ กกต.ไปเรียกรับผลประโยชน์จากนักการเมือง ฉะนั้นต้องมีผู้ตรวจการเลือกตั้งเข้าไปตรวจสอบคนของเราว่ามีเรื่องราวเหล่านี้จริงหรือไม่ หรือต้องมีองค์กรเอกชนเข้ามาตรวจสอบจริงหรือเปล่า เป็นต้น และผู้ตรวจเองไม่ใช่ไม่มีการตรวจสอบ เขาต้องถูกตรวจสอบโดยเราว่าลงไปพื้นที่แล้วทำตัวเหมือนผู้มีอิทธิพลในพื้นที่หรือไม่ ไปเรียกรับผลประโยชน์จากฝ่ายการเมืองในพื้นที่หรือเปล่า”

 

นอกจากนี้ สั่งให้เตรียมการในการเลือกตั้งโดยเฉพาะด้านบริหารจัดการเลือกตั้งต้องพร้อมทุกอย่าง เมื่อกฎหมายลูก 4 ฉบับเสร็จและประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตรงนั้นเป็นการนับหนึ่งเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งจริงๆ และต้องให้แล้วเสร็จภายใน 150 วัน ทว่าตรงนี้ยังมีการตีความแตกต่างกันอยู่ของนักกฎหมายในประเทศไทย ซึ่งแบ่งเป็น 2 แบบ

โดยแบบแรก เมื่อกฎหมาย 4 ฉบับเสร็จแล้วประกาศในราชกิจจานุเบกษา วันเลือกตั้งอยู่ 150 วัน จะเลือกถึงวันที่ 149 ก็ได้ แต่การตีความแบบสอง คือ แล้วเสร็จต้องประกาศผลได้ 95% ด้วย สมมติถ้าจะเอาแบบที่สองจะลากไปถึง 149-150 วันไม่ได้ ต้องใช้เวลาพิจารณาใบเหลือง ใบแดง เรื่องร้องคัดค้านการเลือกตั้ง ต้องทอนลงมาอาจจะเหลือเพียง 90 วัน เป็น 90 บวก 60 วันเลือกตั้ง ไม่ใช่ 145 วันบวก

“เมื่อถามฝ่ายร่างรัฐธรรมนูญ อาจารย์มีชัย ตอบว่า ตีความแบบแรก แต่ส่วนประกาศผลรอหลังจากนั้นอีกทีหนึ่ง บวกไปอีก คือ 150 บวก 60 วัน แต่สิ่งที่ กกต.คุยกันอยากเร่งรัดตัวเองสามารถทำแบบที่สองให้ได้ ต้องการทำให้เสร็จภายใน 90 วัน ถามว่าทำไมคิดในแนวทางที่สอง

คำตอบเพื่อให้เกิดความปลอดภัยว่าหลังจากการเลือกตั้งจะไม่มีใครไปร้องคัดค้านการเลือกตั้งเพราะผู้ชี้ขาดคือศาลรัฐธรรมนูญ หากขัดความรับผิดชอบตรงอยู่ที่ กกต. จะผิดทั้งอาญาและแพ่ง กกต.ต้องเพลย์เซฟ หาวิธีการที่ตัวเองไม่เดือดร้อนในอนาคต เป็นมุมมองทางกฎหมายที่แตกต่างกัน”

 

เบียร์สองขวดก่อนขี่รถ เปลี่ยนชีวิตที่สมบูรณ์สู่ “ความพิการ”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 เมษายน 2560 เวลา 19:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/491804

เบียร์สองขวดก่อนขี่รถ เปลี่ยนชีวิตที่สมบูรณ์สู่ “ความพิการ”

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

ต้นอ้อ-สรัล กุลสิงห์ ชายหนุ่มวัย 29 ปี จำอะไรไม่ได้เลย เเม้เเต่ความเจ็บปวด คาวเลือดและเเรงกระเเทกบนสะพานข้ามแยกดินแดง มุ่งหน้าอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ในวันที่ประสบอุบัติเหตุรถจักรยานยนต์คว่ำเมื่อสองปีก่อน

ชีวิตเปลี่ยนจากชายหนุ่มที่มีร่างกายสมบูรณ์สู่คนพิการแขนขวาใช้งานไม่ได้ตลอดชีวิต….

ในวันที่ตัวเลขอุบัติเหตุบนท้องถนนส่วนใหญ่เกิดจากจักรยานยนต์ สรัล พร้อมแล้วที่จะถ่ายทอดบทเรียนให้กับผู้ขับขี่ทุกคนฟัง

ชีวิตเปลี่ยนเพราะเบียร์สองขวด

สรัล สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงยีนส์ มาพร้อมกับจักรยานพับได้คันเล็กๆ สีเงิน แตกต่างเหลือเกินกับภาพชายหนุ่มเสื้อการ์ดดำ รองเท้าบู้ทสุดเท่เมื่อวันวาน แต่เขายังคงยิ้มแย้มแจ่มใสเมื่อต้องเอ่ยถึงเหตุการณ์อุบัติเหตุที่ไม่มีวันลืม

“ผมจำอะไรไม่ได้เลย เท่าที่เพื่อนเล่าให้ฟัง วันนั้นไปถ่ายรูปให้เพื่อนในงานแต่งงาน ระหว่างย้ายไปปาร์ตี้กันที่ร้านอื่น ผมทำผิดกฎหมายเลือกขึ้นสะพานข้ามแยกดินแดง จังหวะทำความเร็วเพื่อแซงรถแท็กซี่ รถเกิดแฉลบเสียหลักชนเข้ากับแบริเออร์ ผมกรามแตก ฟันแถบซ้ายหัก ลิ้นขาด หนังตาตก เส้นปราสาทแขนขวาขาด แต่เพื่อนที่ซ้อนมาด้วยกันแค่ถลอกเหมือนคนวิ่งหกล้ม ส่วนรถก็แค่กระจกหน้าหัก ตัวถังด้านขวาเป็นรอยนิดหน่อย ศูนย์คิดค่าซ่อมราวๆ 6,000 บาท”

สรัลมารู้ภายหลังว่า อุบัติเหตุครั้งนี้มีต้นตอมาจากแอลกอฮอล์ โดยโพสต์สุดท้ายในเฟซบุ๊กของเขาก่อนรถคว่ำ คือ ภาพเบียร์ 2 ขวดพร้อมข้อความประกอบว่า “เมาอีกแล้วว่ะ เมาได้ไงวะ” จากโพสต์ดังกล่าวทำให้เขาไม่เคยคิดโทษมอเตอร์ไซค์แม้แต่นิดเดียว ยกความผิดให้กับความประมาทของตัวเองล้วนๆ

“นอนที่โรงพยาบาลประมาณ 1 เดือนจำอะไรไม่ได้เลย จนมาเปิดเฟซบุ๊ก เห็นโพสต์สุดท้ายของตัวเองคือ ภาพเบียร์ 2 ขวด และผมบอกด้วยว่า เมา แต่ไม่รู้ว่าเมาจริงหรือเปล่า เพราะปกติเป็นคนดื่มบ้าง ดื่มได้ประมาณ 4 ขวดใหญ่ถึงจะเมา แต่ไม่สำคัญ บทเรียนคือ มันทำให้รู้ว่า แค่คุณดื่ม สติคุณก็ไม่สมบูรณ์อีกแล้ว ลองนึกดูว่าถ้าไม่ดื่ม ผมอาจจะไม่ตัดสินใจขึ้นสะพาน ไม่ตัดสินใจแซงรถแท็กซี่ก็ได้”

สภาพรถหลังจากประสบอุบัติเหตุ

สวมใส่หมวกกันน็อค ปฎิบัติตามกฎหมาย อย่ามักง่าย

นอกจากดื่มไม่ขับแล้ว เรื่องที่สรัลอยากถ่ายทอดก็คือ การสวมใส่อุปกรณ์ป้องกันอุบัติเหตุให้ครบครัน โดยเฉพาะอุปกรณ์พื้นฐานอย่างหมวกกันน็อค ซึ่งสำคัญมากและเป็นเหตุผลให้เจ้าตัวรอดจากความตาย

เขาแนะนำว่า ให้ลงทุนซื้อเลือกหมวกกันน็อคแบบเต็มใบที่มีมาตรฐาน ป้องกันร่างกายและรักษาชีวิตได้อย่างแท้จริง ขณะเดียวกันยังถือเป็นข้อกำหนดตามกฎหมายที่ทุกคนต้องปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด อย่ามักง่ายและคิดบนพื้นฐานของความประมาท

“ผมสูญเสียความทรงจำไปหลายอย่าง ช่วงแรกจำอะไรไม่ได้เลย ร่ายกายไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ เนื่องจากสมองกระทบกระเทือนอย่างหนัก ถ้าไม่มีหมวกกันน็อคก็คงตายไปแล้ว แต่ผมเรียนรู้ว่า เราไม่ควรใส่แบบเปิดคาง เพราะมันไม่ได้ป้องกันใบหน้าด้างล่างเพียงพอ ตอนกระแทกพื้น ตัวล็อคมันจะหัก ตัวปิดคางจะถูกเปิดออก และทำให้กรามของผมแตก ไม่ต้องพูดถึงหมวกแบบครึ่งใบเลย แบบนั้นหน้าผมเละไปแล้ว”

 

พิการแล้วได้เห็นหัวใจคน

หลังต่อสู้ทำกายภาพบำบัดมาเกือบ 2 ปี วันหนึ่งคุณหมอแจ้งว่า เขาจะไม่สามารถใช้งานแขนขวาได้อีกต่อไป ด้วยความที่ก่อนหน้านี้มีอาชีพเป็นช่างภาพและอยากทำงานต่อ ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดและเสียใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“เฮ้ย..เราจะถ่ายรูปยังไง แว๊บหนึ่งคิดว่า อย่างนี้ถ้าตายไปเลยง่ายกว่าปะ” สรัลระลึกถึงความคิดเมื่อครั้งได้ยินคุณหมอแจ้งข่าวร้าย

ทว่าผู้ชายคนนี้ไม่ใช่คนมองโลกในแง่ลบและจมปลักอยู่กับความดราม่า ไม่นานก็สลัดตัวออกจากความทุกข์ สิ่งแรกที่เขาเปลี่ยนแปลงคือ คติประจำตัวในการดำเนินชีวิตจากที่เคยคิดว่า ‘ยังไงก็ไม่ตาย’ เป็น ‘จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ อยากทำอะไร ทำเลย’ ขณะที่แขนด้านขวาก็ถูกจารึกข้อความผ่านรอยสักว่า I CAN BECAUSE I THINK I CAN ซึ่งแปลว่า ฉันทำได้ ก็เพราะฉันคิดว่าฉันทำได้

“คนถามว่าไม่ลำบากหรอ ไม่เครียดเหรอ ลำบากสิ ลำบากมากๆ ด้วย  เอาแค่ใส่เสื่อผ้ามันก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว แต่คิดมากไปจะมีอะไรดีขึ้น ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดราม่าไปแล้ว แขนผมจะหายหรอ ก็ไม่ สู้เอาเวลามาพัฒนา ทำตัวเองให้มีความสุขดีกว่าไหม อย่างที่บอกจะตายเมื่อไหร่ก็ไม่รู้”

ในฐานะผู้พิการ เขาได้รับสวัสดิการเป็นเงินช่วยเหลือจากสำนักงานประกันสังคม ได้นั่งรถเมล์ในราคาครึ่งเดียวของคนทั่วไป ได้นั่งรถไฟฟ้าฟรี ได้สัมผัสกับสิ่งอำนวยความสะดวกของผู้พิการที่แสนย่ำแย่ในเมืองไทย ขณะเดียวกันยังได้เรียนรู้ ‘หัวใจคน’ ที่พร้อมให้โอกาสและไม่รังเกียจคนพิการ โดยทุกวันนี้เขามีอาชีพเป็นช่างภาพอินทีเรียผู้ลั่นชัตเตอร์ด้วยมือข้างเดียว ทำงานให้กับบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง

“ตอนส่งใบสมัครไป ไม่รู้เขาอ่านหรือเปล่าว่าผมเป็นผู้พิการ เรียกไปสัมภาษณ์และให้ทดลองงาน  ผมถ่ายด้วยมือข้างเดียว ใช้นิ้วกลางกดชัตเตอร์ ครบ 3 เดือนผมทำได้ดีตามมาตรฐานที่เขากำหนด ถึงวันนี้ก็เกือบ 1 ปีที่แล้ว ขอบคุณที่เขาเลือกคนจากความสามารถและผลงาน ถ้าเป็นบริษัททั่วไปใน 100 คนอาจมีคนพิการ 1 คน แต่บริษัทของผมมีไม่ถึง 10 คน แต่เขายอมให้มีคนพิการเป็นหนึ่งในนั้น”

เช่นกันกับเรื่องความรัก สรัลเจอผู้หญิงที่ให้โอกาสและเห็นว่า หัวใจสำคัญของความเป็นมนุษย์อยู่ที่นิสัย การกระทำและผลงานมากกว่าสิ่งที่ปรากฏผ่านทางร่างกาย โดยท้ายที่สุดนี้เขาย้ำว่า สิ่งที่อยากให้ทุกคนเรียนรู้ก็คือ ความประมาท การดื่มแล้วขับ รวมถึงการรู้จักยอมรับความจริงและเดินหน้าต่อไป ไม่ใช่ต้องการความสงสารจากผู้คน

ทั้งหมดนี้คือบทเรียนชีวิตจากชายหนุ่มผู้เคยประมาทและดื่มแอลกอฮอล์ก่อนขับขี่

ชมผลงานการถ่ายภาพของเขาที่ http://tonorkorpai.wixsite.com/portfolio

 

 

 

ปฏิรูป “ชาติไทยพัฒนา” หมดยุคทุบโต๊ะสั่ง-เน้นสร้างทีมทำงาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 เมษายน 2560 เวลา 10:29 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/491499

ปฏิรูป "ชาติไทยพัฒนา" หมดยุคทุบโต๊ะสั่ง-เน้นสร้างทีมทำงาน

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด และ ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

พรรคชาติไทยพัฒนา คือ หนึ่งในพรรคการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดของไทย ที่ผ่านมาพรรคการเมืองนี้ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน ทั้งการถูกยุบพรรค ไปจนถึงการสูญเสียหัวเรืออย่าง “บรรหาร ศิลปอาชา” อดีตนายกรัฐมนตรี

นับตั้งแต่การจากไปของมังกรการเมือง ทำให้เกิดคำถามมาตลอดเวลา พรรคการเมืองนี้จะเดินหน้าไปอย่างไร เพราะปฏิเสธไม่ได้ว่าพรรคชาติไทยพัฒนาที่สามารถยืนตระหง่านในทางการเมืองได้อย่างสง่างาม เพราะบุรุษที่ชื่อ  “บรรหาร”

มาวันนี้ความเคลื่อนไหวของพรรคการเมืองนี้เริ่มปรากฏขึ้นอีกครั้ง ภายหลังเริ่มมีการพูดถึงหัวหน้าคนใหม่ โดยมีชื่อ “วราวุธ ศิลปอาชา” ลูกชายคนเดียวของบรรหาร เป็นตัวเต็งคนสำคัญ เพื่อเป็นแม่ทัพของพรรคในการลงสนามเลือกตั้งในอนาคต

“ตอนนี้หัวหน้าพรรคจะเป็นใคร ยังไม่มีใครรู้ เพราะต้องรอให้ทางผู้ใหญ่ในพรรคพิจารณา ซึ่งอาจจะเป็นได้ทั้งคนรุ่นใหม่หรือรุ่นเก่า เพราะคิดว่าสมาชิกพรรคทุกคนพร้อมทำงาน ไม่ว่าจะอยู่ในตำแหน่งใด”

“นี่ไม่ใช่มรดกทางการเมือง เพราะพรรคนี้สร้างมาจากสมาชิกทุกคนที่ช่วยท่านบรรหารสร้างขึ้นจนเป็นเหมือนบ้าน แต่หากถามว่าตัวจะต้องดิ้นรนไปเป็นหัวหน้าพรรคนั้นคงไม่ใช่”

“เพราะส่วนตัวมองว่า คำว่า หัวหน้าพรรค ไม่มีความหมาย เพราะตำแหน่งที่ใหญ่และภูมิใจที่สุดในชีวิตที่เคยได้รับมาตั้งแต่เกิด คือ ตำแหน่งลูกนายบรรหาร เป็นตำแหน่งที่ไม่มีใครสามารถปลดตนเองได้ ฉะนั้นในพรรคนี้ไม่ว่าจะอยู่ด้วยตำแหน่งอะไร ก็พร้อมช่วยให้พรรคหรือบ้านหลังนี้เติบใหญ่ไปข้างหน้า” วราวุธ กล่าวเปิดใจกับโพสต์ทูเดย์

วราวุธ เปิดเผยถึงการทำงานของพรรคว่า ขณะนี้ผู้ใหญ่ในพรรคยังมีอยู่หลายคนพร้อมที่จะช่วยเหลือเพื่ออยากเห็นการก้าวหน้าของพรรคชาติไทยพัฒนา ในขณะที่มีคนรุ่นใหม่เสริมเข้ามา ซึ่งตอนนี้สมาชิกในพรรคเป็นการผสมกันระหว่างสมาชิกรุ่นเก่ากับคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลงของพรรคและก้าวไปข้างหน้า

“แต่สิ่งหนึ่งที่มั่นใจและกล้าพูดเต็มปากว่า ในยุคสมัยที่คนเพียงคนเดียวอย่างท่านบรรหาร สามารถทุบโต๊ะและชี้ว่าจะเอาอย่างนี้โดยทุกคนยอมฟัง คงจะไม่มีอีกแล้ว สมัยก่อนที่ทุกคนในพรรคเห็นด้วยกับการตัดสินใจของท่าน เพราะมาจากพื้นฐานจากประสบการณ์และทำงานการเมืองอย่างยาวนานของท่าน หากแม้บางครั้งเกิดข้อผิดพลาด แต่ด้วยศักยภาพและบารมีคุณพ่อ ก็สามารถแก้ไขสถานการณ์ได้”

เมื่อพรรคชาติไทยพัฒนาไม่ได้มีผู้นำสูงสุดเหมือนในอดีต ทำให้ทายาทการเมืองของครอบครัวศิลปอาชา มีความตั้งใจว่าพรรคจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างด้วยการทำให้เป็นองค์กรทางการเมือง และต้องพยายามรักษาฐานที่มั่นของตัวเอง พร้อมหาช่องทางขยับขยายโอกาสทางการเมืองของพรรคในอนาคต

“วันนี้พรรคชาติไทยพัฒนา จึงพยายามเป็นองค์กรทางการเมืองที่มีความมั่นคง และให้ทุกฝ่ายนำความคิดเห็นไปหารือในที่ประชุมพรรคและนำมตินั้นมาขับเคลื่อนพรรคไปข้างหน้า”

“หากถามว่าอยากทำงานในพื้นที่กรุงเทพมหานครหรือไม่ พรรคก็อยากเข้ามา แต่ที่ผ่านมายังไม่เคยได้รับโอกาส จึงอาจจะพยายามทำกิจกรรมโครงการให้คนกรุงเทพฯ ไม่ใช่เป็นการทำเพราะอยากจะได้ สส. แต่ถ้าสามารถสลัดความคิดที่พรรคต้องการปักธงในพื้นที่กรุงเทพฯ เปลี่ยนเป็นพยายามคิดที่ว่า ขณะนี้สมาชิกในพรรคอยู่ทั้งพื้นที่กรุงเทพฯ และสุพรรณบุรี และส่วนตัวอยากทำให้สังคมในกรุงเทพฯ มีความเชื่อมโยงและมีกิจกรรมร่วมกันในชุมชน เหมือนสังคมในต่างจังหวัดที่ทุกบ้านสามารถไปมาหาสู่กันได้ง่าย

“แต่ถึงอย่างไรฐานที่มั่นของพรรคชาติไทยพัฒนายังคงต้องยึด จ.สุพรรณบุรี เป็นหลัก เพราะหากจะคิดทำอะไรก็ต้องมีฐานเสียงก่อน และคิดว่าวันที่พ่อบรรหารไม่อยู่ก็อย่าเพิ่งไปขยายพื้นที่ และทำให้ที่มีอยู่รอดแข็งแรงปลอดภัยก่อน ไม่ใช่ให้คนมองว่าพรรคชาติไทยพัฒนาเป็นขนมเค้กที่รอวันแบ่ง แค่นั้นผมก็ว่าสำเร็จแล้ว”

เหนืออื่นใด วราวุธ บอกว่า การทำงานของพรรคในอนาคตจะต้องเน้นการทำงานเป็นทีม ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญมากที่สุด

“วันที่พรรคชาติไทยพัฒนาไม่มีท่านบรรหาร แน่นอนว่าความแข็งแกร่งของพรรคทำอย่างไรก็คงไม่เหมือนก่อน เพราะมังกรการเมืองอย่างท่านไม่มีอีกแล้ว ดังนั้นสิ่งที่กำลังทำตอนนี้คือต้องพยายามเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและวัฒนธรรมของพรรคจากทำคนเดียว ต้องทำงานเป็นทีมไปไหนไปด้วยกันทั้งทีม ไม่มีใครนำใคร เพื่อให้พรรคเข้มแข็งและไม่มีจุดอ่อน”

“ขณะนี้คนรุ่นใหม่และผู้ใหญ่ภายในพรรคก็กำลังทำงานเพื่อหาจุดอ่อนและจุดแข็ง โดยนำเปรียบเทียบกับพรรคอื่น เพื่อนำมาปรับปรุงและใช้กำหนดและเตรียมทิศทางนโยบายการเดินหน้าของพรรคไปเสนอต่อสังคมในการเลือกตั้งครั้งหน้า”

การสนทนานอกจากพูดคุยกันเรื่องภายในพรรคแล้ว แต่ยังมาถึงการมองภาพการเมืองหลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้

“การเมืองหลังจากนี้ ส่วนตัวมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครสามารถคาดการณ์ได้ เพราะการเมืองทุกวันนี้หากคุณพ่อยังอยู่ หรือผู้รู้ทางการเมืองก็บอกไม่ได้เช่นกันว่าจะมีทิศทางอย่างไร แต่โดยส่วนตัวอยากเห็นการเมืองที่สามารถนำพาให้ประเทศไทยเดินไปข้างหน้า หลุดพ้นจากบ่วงที่ติดอยู่ และไปสู้กับหลายประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นการเมืองในระบบใหม่ ที่ไม่เคยเจอ หรือรูปแบบอื่น ซึ่งผมไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร แต่ขออย่างเดียว อยากให้เป็นสิ่งที่นำพาประเทศไทยออกจากหลุมในปัจจุบันเพื่อสามารถก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้”

วราวุธ คิดว่า การแก้ไขปัญหาของประเทศในเวลานี้ คือ ต้องวางรากฐานเกี่ยวกับการพัฒนาคน เพราะถ้าทำตรงนี้ได้ก็จะทำให้ลดความเหลื่อมล้ำและช่วยแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

“ต้องพัฒนาพื้นฐานทางการศึกษาของคนให้มีความเท่าเทียมกัน ซึ่งเป็นปัญหาระยะยาว แต่วันนี้สิ่งที่น่ากลัวที่สุดในประเทศตลอดระยะเวลา 12 ปีที่ผ่านมา คือ เยาวชนของชาติไม่ได้รับการพัฒนาศักยภาพเท่าที่ควร จนทำให้เยาวชนของไทยอยู่อันดับที่ 57 จาก 77 ประเทศ ในการจัดอันดับความรู้ความสามารถของเยาวชน”

“แม้แต่ประเทศเวียดนาม ยังมีอันดับสูงกว่าไทยอยู่อันดับ 8 ดังนั้นถ้าเป็นเช่นนี้ เชื่อว่าอีกไม่เกินหนึ่งทศวรรษประเทศเวียดนามจะมีบุคลากรที่มีพื้นฐานความคิดมากกว่าไทย ฉะนั้นเราต้องมองว่าประเทศไทยจะแก้ไขปัญหาด้านบุคลากรได้อย่างไร นอกเหนือจากการที่รัฐบาลกำลังเร่งแก้ปัญหาเรื่องการเมือง”

สุดท้าย การสร้างความปรองดอง วราวุธคิดว่า ทุกฝ่ายต้องยอมรับซึ่งกันและกัน ไม่ใช่ไปบอกว่าใครเป็นพระเอก ใครเป็นผู้ร้าย และที่สำคัญทุกฝ่ายต้องยอมรับกติกาเพื่อให้ประเทศเดินหน้า

“ดังนั้นจากปัญหาความขัดแย้งและความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นในประเทศที่ผ่านมา ขณะนี้ยังไม่สายเกินไปถ้าทุกคนพร้อมเดินหน้าไปด้วยกัน ไม่เช่นนั้นประเทศก็จะติดกับดักอยู่อย่างนี้และการจะพาประเทศก้าวไปข้างหน้า ต้องก้าวข้ามอุปสรรคปัญหาที่มีอยู่ ไปข้างหน้าให้ได้แม้ไม่ใช่เรื่องง่าย”

“เพียงแต่ว่าอย่าเพิ่งตั้งธงว่าใครเป็นผู้ร้าย หรือพระเอก แต่ทุกฝ่ายควรมานั่งทำงานด้วยกันและร่างกติกาให้ทุกฝ่ายยอมรับ และเมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว ทุกคนจะต้องยอมรับผลของการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น และเดินหน้าต่อไป เพราะถ้าการเมืองเหมือนที่ผ่านมา โดยถือผลประโยชน์ของตนเองเป็นใหญ่และไม่ยอมรับกติกา ย่อมจะไม่เป็นผลดีกับสังคม”

“สิ่งที่ผมอยากจะเห็นการเมืองในอนาคต คือทุกคนเคารพกติกาที่มีอยู่ จบคือจบ และพร้อมรับฟังทุกเสียง เหมือนเช่นการเมืองเมื่อ 30-40 ปีที่แล้ว ที่พรรคร่วมรัฐบาลและฝ่ายค้านถ้อยทีถ้อยอาศัยกันมากกว่านี้ ไม่ใช่ไล่บี้กันให้ตายไปข้าง หากเป็นอย่างนี้การเมืองไทยจะไม่เกิดการพัฒนา”วราวุธ ทิ้งท้าย

 

“ผมมองท้องฟ้าไม่ได้อีกแล้ว” คำสารภาพทั้งน้ำตาของพ่อนรต.โดดร่มเสียชีวิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 เมษายน 2560 เวลา 19:22 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/490859

"ผมมองท้องฟ้าไม่ได้อีกแล้ว" คำสารภาพทั้งน้ำตาของพ่อนรต.โดดร่มเสียชีวิต

เรื่อง…วรรณโชค ไชยสะอาด

31 มี.ค.2557 เกิดเหตุสลดระหว่างการฝึกหลักสูตรกระโดดร่มประจำปี ณ ค่ายนเรศวร อ.ชะอำ จ.เพชรบุรี เมื่อนักเรียนนายร้อยตำรวจหนุ่มอนาคตไกล “ชยากร พุทธชัยยงค์” พุ่งตัวออกจากเฮลิคอปเตอร์ตามแบบฉบับวิธีที่เรียนมา แต่ร่มกลับไม่กาง ร่างของเขาลอยละลิ่วจากความสูง 1,200 ฟุตลงสู่พื้นดินเสียชีวิตคาที่

ปิดฉากเส้นทางความฝันที่จะเป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ในวัย 19 ปี

“เฮ้ย…เฮ้ย…เฮ้ย….ผมใช้กล้องส่องทางไกล มองเห็นร่างเด็กลอย ลิ่ว ลิ่ว ลิ่ว ลงมาด้วยความเร็ว ผมคิดว่าเด็กตายแน่ โดยไม่รู้ว่าเป็นของลูกตัวเอง”

สาทร พุทธชัยยงค์ รำลึกถึงวันที่สูญเสียลูกชายคนเดียวไปอย่างไม่มีวันกลับ

วันนี้ผ่านมา 3 ปีแล้วกระบวนการยุติธรรมยังเดินไม่สุดทาง คดียังไม่คืบหน้าไปไหน เสียลูกชาย แถมยังถูกภรรยาฟ้องหย่า

สิ้นสุดความอบอุ่นของครอบครัว

สาทร พุทธชัยยงค์ รับราชการเป็นคุณครูมากว่า 35 ปี สอนวิชาคณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1-3 โรงเรียนวัดดีบอน ต.บ้านฆ้อง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ภายหลังสูญเสียลูกชายได้ไม่นาน ภรรยาที่อยู่กินร่วมกันกว่ายี่สิบปีก็ขอแยกทางด้วยปัญหาภายในครอบครัว ปัจจุบันบ้านที่เคยอยู่พร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูกถูกแทนที่ด้วยความเงียบเหงา

“เราอยู่กันเป็นครอบครัวมีพ่อแม่ลูก เป็นชีวิตที่ผมชอบนะ มันอบอุ่น เราเป็นครู ภรรยาเป็นพยาบาล โย่เรียนหนังสือ จนกระทั่งสอบติดเตรียมทหาร เรียนนายร้อยตำรวจ ผมพอใจกับครอบครัวตัวเองมาก แต่พอมันเกิดเหตุการณ์ขึ้น ประกอบกับภายหลังภรรยามาหย่าร้างกัน มันเป็นความรู้สึกที่แย่ แย่ แย่ จากกิจกรรมที่เราทำกันเป็นครอบครัว วันนี้ไม่มีอะไรที่อยากทำ เช้าไปสอนหนังสือ ตกเย็นก็กลับบ้าน ใช้ชีวิตในบ้านหลังนี้คนเดียว จริงๆ จิตใจผมรับไม่ได้หรอกกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ แต่ถ้าจะให้เปลี่ยนแปลงบรรยากาศบ้านหลังนี้ไป ผมก็ไม่เปลี่ยน”

แม้ความเศร้ายังเกาะกุมหัวใจ แต่เขาไม่คิดจะปรับเปลี่ยน ทุกอย่างในบ้านยังคงเดิม ภาพถ่ายลูกชายถูกติดไว้รอบบ้าน ถ้วยรางวัล เกียรติบัตรจำนวนมากถูกวางไว้ในตำแหน่งเดิมเหมือนเมื่อ 3 ปีก่อน

เขายอมเสียน้ำตาเพื่อให้ได้อยู่ในที่ที่เคยอบอุ่นเหมือนวันวาน แม้จะถูกญาติพี่น้องชวนให้ไปอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่สะดวกใจที่จะตอบรับ

“ผมแคร์ความรู้สึกลูก แม้เขาจะไม่อยู่ ไม่อยากให้เขารู้สึกว่าพอโย่ไม่อยู่ ป๊าก็เอารูปโย่ลงหมดเลย ผมแคร์ความรู้สึก แต่ขณะเดียวกัน เราเองก็แย่เหมือนกัน” สาทรบอกทั้งน้ำตา

เวลาในการเยียวยาหัวใจของแต่ละคนนั้นไม่เท่ากัน บางคนสั้น บางคนยาวนาน สำหรับพ่อคนนี้ นับตั้งแต่ 31 มี.ค. 2557 ไม่มีวันไหนที่รู้สึกแตกต่างกัน ทุกครั้งที่เห็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับลูกชาย เขามักจะร้องไห้ออกมาเสมอ

“ไม่มีวันไหนต่างกัน เป็นความรู้สึกแย่ สูญเสียโย่เป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดในชีวิต วันก่อนผมไปยื่นหมายให้กับร้อยตำรวจโทท่านหนึ่ง เป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจรุ่นเดียวกับโย่เพื่อให้เขามาเป็นพยานให้ ขากลับถึงบ้าน ผมนั่งร้องไห้ เพราะคิดถึงโย่ เห็นเพื่อนเขาอยู่ในเครื่องแบบที่โย่ใฝ่ฝัน กำลังทำงานบริการประชาชน แต่ลูกเราไม่อยู่แล้ว หรือเวลาออกไปร้านอาหารเจอตัวเลข 69 ซึ่งเป็นรุ่นของโย่ ผมก็เบือนหน้าหนีเลย

“ทุกวันนี้ผมมองฟ้าไม่ได้แล้ว เห็นแล้วร้องไห้ คิดถึงวันนั้น วันที่ผมตั้งใจไปให้กำลังใจเขา นั่งถือกล้องส่องทางไกลที่เพิ่งซื้อมาไปดูเขากระโดดร่ม แต่ภาพที่เห็นกลับกลายเป็นภาพของลูกออกจากเครื่องบินแล้วลอยลิ่วๆลงมาข้างล่าง ตอนนี้แหงนหน้ามองฟ้ามันจินตนาการไปเองเลยว่า เขากำลังหล่นลงมา เวลาขับรถไปไหน ผมต้องเอาที่บังตาลง ใส่หมวกแก๊ปให้มันเห็นเฉพาะถนน”

 

 

โยโย่วัย 2 ขวบ เมื่อครั้งคุณพ่อพาไปวิ่งครั้งเเรก

อยู่รอดได้เพราะน้ำใจของชาวบ้านและรสพระธรรม

ด้วยภาวะความเศร้า เหงา เครียดที่เกิดขึ้น นำไปสู่การคิดฆ่าตัวตาย ครั้งแรกเกิดขึ้นหลังสูญเสียลูกชายได้ไม่ถึงเดือน วันนั้นสาทรนั่งซึมบนเก้าอี้ไม้ตัวยาว กวาดสายตามองไปยังภาพถ่ายของครอบครัวที่ติดอยู่บนฝาผนัง

“เห็นแล้วคิดถึงเขามาก อยากจะไปอยู่กับเขา ก็เลยคิดสั้น เดินไปหยิบปืนพกมา แต่บังเอิญโทรศัพท์ดังขึ้น เป็นเพื่อนของโย่โทรมา เรารับโทรศัพท์แล้วเผลอหลุดร้องไห้ เพื่อนเขารีบถามว่าป๊าเป็นอะไร ป๊าเป็นอะไร อยู่บ้านหรือเปล่า สุดท้ายก็พากันมาหา 5-6 คน เจอสภาพคนกำลังนั่งร้องไห้ มีปืนพกวางอยู่ข้างตัว พวกเขาก็ร้องไห้กัน บอกว่าป๊าอย่าทำอย่างนี้นะ อย่าทำ มันไม่ดี”

ผ่านมาได้เพียงสัปดาห์กว่า สาทรเฉียดใกล้ความตายอีกครั้ง

“มันไม่ไหวจริงๆ หยิบปืนแล้ว แต่ดวงคงไม่ถึงฆาต มีเพื่อนสนิทโย่ตั้งแต่สมัยอนุบาลมาตะโกนเรียกหน้าบ้าน ก็เลยไปเปิดประตูให้เขา เขาเห็นเราร้องไห้ บอกป๊าเอาอีกแล้ว ป๊าเอาอีกแล้ว เลยโทรหาญาติพี่น้องผม จนพี่ชายมาเอาปืนไปเก็บ”

หลังจากวันนั้นสาทรไม่คิดฆ่าตัวตายอีกเลย พยายามจัดการความคิดตัวเองให้เดินหน้าต่อไป โดยสิ่งสำคัญที่ดึงเขาออกจากความเจ็บปวดได้บ้างคือ พลังใจจากชาวบ้านในพื้นที่และลูกศิษย์ ตลอดจนความสงบของจิตที่ได้รับจากธรรมะ หลังตัดสินใจบวชถึง 2 ครั้งในรอบ 3 ปี

“ผมรู้ว่าเอาชนะความเครียดและความรู้สึกคิดถึงไม่ได้ ถ้าเครียดขึ้นมาจริงๆ ร้องไห้ก็ต้องปล่อยมันร้องไป คิดอะไรก็ปล่อยให้มันคิดไป ไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่าปล่อยมันไป ได้แต่คิดว่าเมื่อชีวิตต้องเดินไป มันก็ต้องไป ถ้าเดินไปแล้วสะดุดเจออะไรก็เผชิญหน้ามัน”

 

สภาพจิตใจในช่วงแรกหลังเสร็จสิ้นงานศพ ถูกซ้ำเติมความเจ็บปวดด้วยการจากลาของภรรยา เขาไม่อาจทนอยู่บ้านหลังนี้ได้ หอบผ้าผ่อนมากินนอนที่โรงเรียนโดยมีลูกศิษย์เป็นเพื่อนคลายทุกข์

“ผมนอนบ้านไม่ได้ ไม่ไหว ต้องมานอนโรงเรียน เด็กๆ บอกว่า คุณครูครับให้ผมนอนเป็นเพื่อนนะครับ เราก็ปฎิเสธ ไม่เอาๆ ขอบใจมาก ที่จะมาอยู่เป็นเพื่อน แต่หนูยังเด็ก เกิดอะไรขึ้นแล้วครูรับผิดชอบไม่ไหว แต่พอถึงตอนเย็นแม่เขากลับจูงมือลูกมาเองเลย บอกไม่เป็นไรครู ไม่ต้องรับผิดชอบอะไร เดี๋ยวฉันให้มันกินข้าวอาบน้ำอาบท่าแล้วจะให้มันมานอนด้วย”

อีกเรื่องน่าเศร้าและน่าเห็นใจตลอด 3 ปีที่ผ่านมา คือ เขาคิดว่าตัวเองผิดพลาดที่ตัดสินใจปล่อยให้ลูกเข้าไปเรียนโรงเรียนเตรียมทหารและนายร้อยตำรวจ โดยทุกเช้าหลังจากตื่นนอน สาทรจะเดินไปที่รูปของลูกชายแล้วพูดว่า ‘โย่ครับ ป๊าขอโทษครับ’

“ผมทำได้แค่ขอโทษเขาทุกเช้า ผมรู้สึกผิดที่อนุญาตให้เขาไปเรียน ในฐานะคนเป็นพ่อหากปฎิเสธ ทุกอย่างคงไม่เป็นแบบวันนี้”

 

3 ปีคดีไม่คืบ สังคมต้องได้รับบทเรียน

จากการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ พบว่า ความสูญเสียครั้งนี้มีต้นเหตุมาจากปัญหาการซ่อมบำรุงสายสลิงที่ไม่เป็นไปตามมาตรฐาน สลิงมีการหลุดออกจากท่อปรับแรงตึง จึงไม่สามารถยึดสลิงไว้ได้ ทำให้การกระตุกร่มไม่ทำงาน กระทั่งนำไปสู่ความตายของนักเรียนนายร้อยตำรวจ 2 นาย และบาดเจ็บอีก 3 นาย

ต่อมาพนักงานสอบสวนได้แจ้งข้อกล่าวหา กระทำการโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตายกับผู้ถูกกล่าวหา 11 ราย แบ่งเป็นผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของบริษัทอุตสาหกรรมการบินจำกัด  7 ราย  ซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดซื้อสลิงมีการอนุมัติจ่ายเงินในการจัดซื้อสลิงที่นำมาเปลี่ยน เจ้าหน้าที่ของบริษัท การบินไทย (มหาชน) จำกัด  1 คน ผู้จัดซ่อมอากาศยานตำรวจ รู้เห็นการนำสลิงดัดแปลงที่เกิดเหตุมาติดตั้งบนเครื่องบิน และเจ้าหน้าที่จากกองบินตำรวจ  3 นาย เป็นผู้ติดตามการซ่อม รู้เห็นในการเปลี่ยนสลิงที่ใช้ในวันเกิดเหตุ

คดีเกิดขึ้นมาแล้ว 3 ปี ผมไม่เข้าใจว่ากระบวนการยุติธรรมไปเสียเวลาตรงไหน ตอนนี้เพิ่งเสร็จสมบูรณ์ในชั้นพนักงานสอบสวน และส่งให้อัยการอย่างสมบูรณ์เมื่อปลายเดือนก.พ. ที่ผ่านมา ส่วนในคดีแพ่ง เนื่องจากผมมีความประสงค์จะให้มีการดำเนินการให้คดีอาญาด้วย เลยเป็นประเด็นที่ทำให้เราไม่สามารถไกล่เกลี่ยให้ลงตัวได้”

สาเหตุที่สาทรยังต่อสู้ในกระบวนการยุติธรรมไม่ใช่เพื่อลูกชายอีกแล้ว แต่ต้องการให้บทเรียน สร้างบรรทัดฐานให้กับสังคมและประเทศชาติ งานนี้ต้องมีคนรับผิดชอบเพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตระหนัก

“ด้วยความสัตย์จริง ตอนนี้เรายังไม่รู้ว่าใครผิดใครถูก คดียังไปไม่ถึงศาล เพิ่งถึงอัยการ เรียนตรงๆ ว่าไม่เคยคิดอาฆาตแค้นหรือไม่ให้อภัยใคร ผมเคยโดนข่มขู่เอาชีวิตและให้หยุดซะ ผมหวาดกลัวบ้างแต่ไม่เคยคิดจะหยุด ผมสู้เพราะคดีนี้ได้ส่งถึงมือ ปปช. (คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ) มีการชี้มูลเรื่องทุจริตและให้พนักงานสอบสวนพิจารณาในประเด็นนี้ด้วย ถ้าผมไม่ดำเนินคดีอาญา คนพวกนี้จะคุ้นเคยกับการประมาท การทุจริต เอาแต่ทำลวกๆ ง่ายๆ ที่สำคัญถ้าประมาทและทุจริตสามารถจบลงได้โดยไม่ได้รับโทษแบบที่สังคมไทยชอบเรียกว่า เคลียร์กันได้ ความตระหนักในสิ่งผิดมันจะไม่เกิด เมื่อไม่เกิด ความสูญเสียแบบนี้ก็จะเกิดขึ้นอีก”

ความตั้งใจครั้งสำคัญของสาทรเมื่อได้รับความยุติธรรมก็คือ การเขียนหนังสือชื่อ “ดาวครึ่งดวง” บอกเล่าประวัติ อุดมการณ์ กระทั่งวันจากไปของลูกชาย พร้อมกับนำเงินที่ได้รับในคดีทางแพ่งไปก่อสร้างโครงการบางอย่างที่ทำให้คนไทยตระหนักในความเลวร้ายของการทุจริต ขณะที่เป้าหมายสุดท้ายในชีวิตคือการสละทางโลก เดินหน้าเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์จนกระทั่งหมดลมหายใจ

“ผมคิดจนตกผลึกแล้ว ถ้าเรื่องราวต่างๆ มันจบลง การบวชเป็นพระอยู่ในร่มกาสาวพัสตร์ ศึกษาธรรมะน่าจะเป็นอะไรที่ใช่ที่สุด”

 

 

 

บ้านที่ไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

 

ยุคใหม่การเมืองโปร่งใส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 เมษายน 2560 เวลา 07:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/490304

ยุคใหม่การเมืองโปร่งใส

โดย…ปริญญา ชูเลขา

หลังรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ประกาศใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 6 เม.ย.ที่ผ่านมา ภารกิจสำคัญของ “ปกรณ์ นิลประพันธ์” รองเลขาธิการกฤษฎีกาในฐานะเลขานุการกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) คือ ร่างกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญ 10 ฉบับ ซึ่งต้องทำให้เสร็จภายใน 240 วัน

ปกรณ์ บอกว่า ตอนนี้เสร็จแล้ว 2 ฉบับ จะเร่งเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) พิจารณา คือร่าง พ.ร.บ.พรรคการเมือง กับ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) พร้อมทยอยออกกฎหมายลูกบรรดาองค์กรอิสระต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้ง เพราะต้องการให้มีการจัดกิจกรรมทางการเมืองจะได้มาเริ่มนับหนึ่งสู่เส้นทางประชาธิปไตย ทุกอย่างจะได้เริ่มต้นใหม่

ทั้งนี้ ประชาชนจะได้กลับมาสนใจการเมืองกันมากขึ้น สิ่งที่จะได้เห็นคือ พรรคการเมืองเป็นสถาบันสมาชิกพรรคมีส่วนร่วมในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ เช่น สนับสนุนเงินบำรุงพรรค การมีส่วนร่วมคัดเลือกผู้สมัคร หรือผู้บริหาร รวมถึงกำหนดนโยบาย ที่สำคัญเน้นที่พรรคต้องมีอุดมการณ์ทางการเมืองในการรวมกลุ่มที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาประกาศจะดำเนินการตามแนวทางนี้

“อย่าลืมว่าปัญหาความขัดแย้งที่ผ่านมา เพราะเรายึดติดกับรูปแบบมากกว่าเนื้อหา เราต้องการเข้าถึงเนื้อหา หรือประชาธิปไตยแบบเนื้อหาจริงๆ พรรคไม่ใช่ใครมีตังค์จะตั้งพรรคได้ แต่ต้องมีอุดมการณ์เดียวกัน มีการถ่วงดุล และตรวจสอบภายในพรรค เช่น คัดผู้สมัคร หรือผู้บริหาร ต้องตอบโจทย์สมาชิกให้ได้ ไม่ใช่ปล่อยให้ใครคนเดียวเป็นใหญ่ในพรรค จะสั่งอะไรก็ได้”ปกรณ์ กล่าว

ปกรณ์ กล่าวว่า กฎหมาย กกต.ที่จะมาดูแลการเลือกตั้งใหญ่และท้องถิ่น หรือประชามติ เดิมการทำงานของ กกต.จะรอให้มีผู้ร้องกล่าวหาร้องเรียนก่อน แต่ต่อไปนี้จะต้องทำงานเชิงรุก คือ ข้อมูลเบาะแสไม่ว่าจะเข้ามาทางไหนก็ตาม กกต.ต้องไปไล่ตรวจสอบ และคุ้มครองผู้ให้ข้อมูล หรือพยาน เพราะฉะนั้นจะเปลี่ยนเป็นอะไรเข้าหู กกต.ที่เห็นว่าผิดปกติ กกต.ต้องส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบทันที และไม่มีอีกแล้วการแจกใบแดง หรือใบเหลือง

อย่างไรก็ตาม การตัดสิทธิทางการเมืองจะให้อำนาจศาลเป็นผู้พิจารณา ถ้าใครทำผิด อาจจะสั่งให้ยุติการเลือกตั้งชั่วคราวได้ ภายใน 2 เดือนก่อนประกาศผล ซึ่ง กกต.ทำได้ก่อน หรือหลัง เลือกตั้ง นับแต่มี พ.ร.ฎ.เลือกตั้ง ใครมีพฤติกรรมผิดปกติ สามารถระงับผู้สมัครคนนั้นได้ พอเลือกตั้งไปแล้ว ไปเจอความผิด ก็สามารถส่งฟ้องศาลได้

“กรธ.มีเวลา 240 วัน จะใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะไม่ยื้อเวลาให้ยาวที่สุดแน่นอน เพราะกฎหมายทำยาก ต้องรับฟังความคิดเห็นอีกมากมายไม่ใช่เรื่องง่ายๆ กรธ.ทำเท่านี้ อะไรเสร็จก็ส่ง สนช.ทันที ไม่รู้จะยื้อไปทำไม เพราะไม่ได้เป็นพวกใคร โดยหลักการ คือ กฎหมายพรรคการเมือง และ กกต.ต้องเสร็จเรียบร้อย ไม่เช่นนั้นจะเกิดกรณีซ้ำรอยที่ผ่านมา พอจัดเลือกตั้งแต่กฎหมายลูกยังไม่เรียบร้อย ก็เกิดปัญหาข้อขัดแย้งทางปฏิบัติและกฎหมายตามมา กรธ.ไม่ต้องการให้เกิดข้อผิดพลาดแบบนี้อีก” ปกรณ์ กล่าว

ปกรณ์ กล่าวอีกว่า ทิศทางการเมืองไทยเรื่องพรรคการเมือง ไม่ได้ให้ความสำคัญว่าใครหรือพรรคไหนจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอไม่ใช่ประเด็นสำคัญ แต่สำคัญตรงการพัฒนาประเทศจะต้องเดินไปข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ได้เริ่มนับหนึ่งในการปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติ เพราะสิ่งเหล่านี้กระทบถึงชีวิตความเป็นอยู่ แต่นักการเมืองบางคนบางกลุ่มยังสนใจแต่ที่มาของอำนาจมากกว่าปัญหาปากท้องประชาชน ทั้งๆ ที่ควรจะสนใจว่าลูกหลานเราจะอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างไรในอีก 20 ปีข้างหน้า

ที่สำคัญพรรคการเมืองต้องปฏิรูปตัวเองด้วย คือ โปร่งใส ตรวจสอบได้ มีความรับผิดชอบทางการเมือง และต่อสมาชิกพรรค และอุดมการณ์ทางการเมืองที่ต้องชัดเจน และต้องทำตามกฎหมายบ้านเมือง เป็นพรรคการเมืองที่ต้องรู้จักความรับผิดชอบทางการเมือง นี่คือสิ่งที่สังคมเรียกร้องกันมานานแต่จะเกิดให้ได้ในรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกที่ได้กำหนดไว้

“สิ่งที่ผู้ใช้อำนาจต้องมี คือ นโยบายที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม เป็นวิทยาศาสตร์พิสูจน์ถูกหรือผิดได้ จะต้องมีการบอกประชาชนให้รู้ล่วงหน้าถึงข้อดี หรือข้อเสีย ไม่ใช่หาเสียงแต่ข้อดีๆ เพื่อจะได้คะแนนเลือกตั้งมากๆ จนไม่สนใจว่าจะทำให้ประเทศเสียหายอย่างไร พอเกิดปัญหาหรือความเสียหายเรื่องแบบนี้กลับไม่ยอมบอกประชาชนให้รู้ ถ้ามีความรับผิดชอบจริงๆ นโยบายพรรค ต้องเปิดเผยให้ประชาชนได้รับทราบ”

ปกรณ์ กล่าวอย่างมั่นใจว่า การทุจริตเลือกตั้ง เชื่อว่าไม่มีเลยเสียด้วยซ้ำ เพราะเราเดินมาไกลเกินกว่าจะกลับไปสกปรกโสมม พรรคการเมืองมีหน้าที่ดูแลสมาชิกไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง ขณะที่ กกต.จะดูแลเข้มข้นไม่ให้ใครทำผิดกฎหมาย และต่อไปในอนาคต จะมีประชาชน 67 ล้านคน มาช่วยแจ้งเบาะแสเป็นหูเป็นตาให้ข้อมูล กกต.มากยิ่งขึ้น เพราะด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย เช่น สมาร์ทโฟนถ่ายคลิปลงบนโลกโซเชียลมีเดีย ทางเฟซบุ๊ก หรือยูทูบ ฯลฯ สามารถเป็นหลักฐานในการแจ้งเบาะแสสำคัญให้ กกต.นำไปฟ้องร้องขึ้นศาลเอาผิดผู้สมัครทุจริตได้ ดังนั้น การเลือกตั้งยุคใหม่ กกต.ต้องไม่นั่งรอรับคำร้องอีกต่อไป

ปกรณ์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญใหม่ไม่ใช่สาเหตุความขัดแย้งทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาวัฒนธรรมการเมืองไทยไม่เคยเอากันถึงตายขนาดนี้และไม่เคยเห็นวัฒนธรรมการเมืองไทยใช้สิทธิเสรีภาพเกินขอบเขตมากมายขนาดนี้เช่นกัน จนเมื่อช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ดังนั้นจากนี้ไปความขัดแย้งต่างๆ จะไปจบที่ระบบรัฐสภาที่มีกลไกต่างๆ รองรับ เช่น ฝ่ายค้านเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจได้ หรือ สว.เปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจแบบไม่ลงมติได้ หรือเปิดประชุมลับให้ทุกคนต้องร่วมกันรับผิดชอบปัญหาความขัดแย้งต่างๆ โดยไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดสด เพราะนักการเมืองมักชอบโชว์ออฟมากกว่าจะหาทางออกให้บ้านเมือง แต่มักจะหาคะแนนนิยมใส่ตัวเองมากกว่า ดังนั้นต้องร่วมกันรับผิดชอบทางการเมือง

“ความขัดแย้งเกิดขึ้นตลอดเวลาไม่ใช่เพราะรัฐธรรมนูญเป็นต้นเหตุ ก่อนหน้านี้ก็ขัดแย้งกัน สังคมควรกลับมาคิดว่า เราจะอยู่กันแบบเดิมๆ คงไม่ได้ เราต้องเปลี่ยนแปลง ผมไม่สบายใจ คำว่าอยู่แบบเดิมๆ ที่กลุ่มนั้นว่าอย่างนั้น กลุ่มนี้ก็ว่าอีกอย่าง เหมือนจะให้ตีกันอีก แต่เมื่อมีความเห็นต่างกัน ก็ควรจะคิดถึงผลประโยชน์สุดท้ายที่ตกกับประชาชน ทำไมต้องมาทะเลาะกันอีก”ปกรณ์ กล่าว

 

สมานฉันท์ปรองดอง ต้องหยุดหากินบนความขัดแย้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 เมษายน 2560 เวลา 11:31 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/489298

สมานฉันท์ปรองดอง ต้องหยุดหากินบนความขัดแย้ง

โดย…ธนพล บางยี่ขัน

กระบวนการ “ปรองดอง” รอบใหม่ภายใต้การดำเนินการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ถือเป็นความหวังครั้งสุดท้าย และเป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดว่ารัฐประหารครั้งนี้จะเสียของหรือไม่

คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยเป็นองค์กรหนึ่งที่เห็นด้วยกับการหาทางออกให้บ้านเมืองจบปัญหาขัดแย้ง เดินหน้าไปสู่ทิศทางของการพัฒนา สนับสนุน ผู้มีอำนาจให้เริ่มต้นกระบวนการปรองดอง “ไม่ใช่จบปัญหาของเรา หรือปัญหาของเขา แต่จบปัญหาของประเทศแท้จริง”

ข้อเสนอของพรรคเพื่อไทยเป็นไปตามหลักสากลไม่ได้นำเสนอแม้แต่ส่วนใดที่เกี่ยวกับผลประโยชน์พรรคการเมืองหรือนักการเมืองคนใดคนหนึ่ง ความปรองดองจะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อทุกฝ่าย เจ้าภาพ ผู้เข้าร่วมทุกฝ่ายต้องจริงใจต่อกัน เปิดหัวใจ ไม่หวาดระแวงและมองเห็นปัญหาหลักร่วมกัน ตัดผลประโยชน์ส่วนตนออกไป หาเป้าหมายร่วมให้ตรงกัน

ประเด็นสำคัญ คือปัญหาความขัดแย้งต้องใช้กฎหมายที่เป็นธรรม มีหลักนิติธรรมเคร่งครัด ไม่ใช่มีบางฝ่ายได้ประโยชน์เสียประโยชน์จากคดีลักษณะเดียวกัน บางฝ่ายผิดตลอด ทั้งที่บางฝ่ายแม้ทำผิดหมือนกันแต่ไม่เคยผิดตลอด จนเป็นข้ออ้างให้คนไม่เคารพกฎหมาย เมื่อกฎหมายไม่เป็นธรรมก็สร้างปัญหาความเชื่อมั่นให้กับประเทศ

“ในข้อเสนอเราไม่มีการพูดถึงเรื่องอภัยโทษ ส่วนตัวในฐานะสมาชิก 111 เราถือว่าเป็นเหยื่อการกระทำ ที่ถูกตัดสินยุบพรรค ตัดสิทธิเพราะระบุว่ามีกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทยบางคน ไปจ้างพรรคเล็กลงสมัครเลือกตั้ง ผ่านไป 5 ปี มีการตัดสินแล้วว่าข้อกล่าวหาว่าจ้างพรรคเล็กไม่มีมูลความผิด

…แต่พวกเราได้รับการลงโทษไปแล้ว คนที่อยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเคารพหลักประชาธิปไตยข้อหานี้เจ็บปวด เลือกตั้งทุกครั้งเราไม่เคยใช้วิธีนอกระบบ แต่เราต้องยอมเสียสละ รับความเจ็บปวดส่วนตนนี้ไว้ ถ้าเอาคืนบ้านเมืองก็ไม่จบเราจึงนิ่งเฉย ฟ้องกลับยังไม่ฟ้องเลย”

คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า คณะรับฟังความคิดเห็นที่มี พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล เป็นประธาน มีความตั้งใจ สร้างบรรยากาศทำให้การพูดจาฉันมิตรเกิดขึ้น แต่เมื่อรวมข้อมูลจนเสร็จแล้ว ควรให้ผู้เชี่ยวชาญนักวิชาการมาเป็นผู้รวบรวมสิ่งที่รับฟัง จากส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค กรองออกมาเป็นโมเดลเดินไปสู่ทางออกตามหลักวิชาการ

 

สรุปง่ายๆ คือ 1.ผู้ถูกกระทำต้องพร้อมให้อภัย ฝ่ายกระทำต้องหยุดใช้อำนาจในการย่ำยีอีกฝ่ายหนึ่ง ป.ย.ป.ต้องตั้งคนที่มีองค์ความรู้ดำเนินการหาข้อสรุปว่าจะดำเนินการหลังรับฟังความเห็นอย่างไร 2.หลักนิติธรรมสำคัญสุดในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง 3.ข้อสรุปที่จะทำให้เกิดการปรองดอง ต้องเป็นความเห็นพ้องของทุกฝ่ายอย่างเต็มใจ

“อภินิหารไม่มีในกฎหมาย กฎหมายมีแต่หลักนิติธรรม ถ้าคุณไม่ปฏิรูปตรงนี้ เอาแค่จัดระเบียบนักการเมืองอย่างเดียวปัญหาจะจบจริงไหม รากเหง้าปัญหามาจากความเหลื่อมล้ำ ชนบทกับเมืองแต่ไม่มีการพูดถึง การอ้างว่าไปฟังเสียงประชาชนด้วยการให้ประชาชนไปฟังบรรยายครึ่งวันแล้วถือว่าได้ฟังเสียงประชาชนครบถ้วน ก็อาจไม่ใช่”

ในฐานะแกนนำพรรคไทยรักไทย ไม่ได้มองแค่เรื่องการเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง แต่เห็นว่าบ้านเมืองต้องจบปัญหา ไม่อย่างนั้นเลือกตั้งไปก็ไม่เป็นผลดีต่อส่วนรวม หากทำสำเร็จ คณะที่มีอำนาจขณะนี้ก็จะเป็นวีรบุรุษ แต่ถ้ายังมีการรักษาความขัดแย้ง ก็จะมีเพียงกลุ่มคนเล็กๆ ที่ได้ประโยชน์ ดังนั้นถ้าจะปรองดองกันก็ต้องหยุดหาประโยชน์บนความขัดแย้ง เลิกเลี้ยงไข้ความขัดแย้งเสีย

“การปรองดองครั้งนี้เห็นด้วยกับ ดร.ทักษิณ ที่บอกว่า ให้ตัดออกจากสมการของความปรองดอง ไม่ต้องไปทำอะไรเพื่อให้คุณทักษิณ และฝ่ายที่อยากจะช่วยก็ไม่ต้องไปทำอะไรที่จะช่วยทักษิณ ฝ่ายที่อยากจะย่ำยี ก็จะต้องหยุดการกระทำ นอกเสียจากต้องการเลี้ยงความขัดแย้งไว้ ก็จะต้องเลี้ยงภาพหลอนคุณทักษิณไว้”

ก่อนหน้านี้อาจมีคนมองว่าคุณทักษิณเป็นปัจจัยความขัดแย้ง คนที่เชียร์ก็มองว่าเป็นเหยื่อ คนที่ไม่เชียร์แต่หาประโยชน์ก็ต้องเลี้ยงให้ดูน่ากลัวเลี้ยงให้เป็นปีศาจไว้หลอกหลอน แล้วแต่ใครได้ประโยชน์ตรงนี้ เราจึงควรจะตัดคุณทักษิณออกจากโจทย์นี้เสีย แล้วเอาประโยชน์ของประเทศจริงๆ

“วันนี้ เรารู้ว่าประเทศเดินมาถึงจุดที่ทุกคนต้องเสียสละ เราต้องเริ่มเสียสละจากตัวเราเองก่อน เราตกผลึกแล้วเราอยากเห็นความปรองดอง เพื่อสามารถจบปัญหาทุกอย่างได้โดยไม่ต้องคิดว่าเงื่อนไขใหญ่จะอยู่ที่ ดร.ทักษิณ ต้องถอด ดร.ทักษิณ ออกจากโจทย์เรื่องปรองดอง”

แกนนำพรรคไทยรักไทย เปรียบเทียบว่า เวลานี้เหมือนอยู่ในเรือ หากมัวแต่ตีกันเรือก็ล่ม ต้องหยุด เพื่อให้เรือลอยไปได้ แต่สิ่งที่สำคัญคือวันนี้ผู้มีอำนาจต้องกลับมาปฏิรูปนำหลักนิติธรรมกลับมาสู่ประเทศไทย ถ้ากฎหมายไม่ยึดหลักนิติธรรม แต่ใช้หลักอภินิหาร ผลดีก็ได้กับผู้มีอำนาจที่จัดการฝ่ายตรงข้ามได้ แต่ผลเสียจะอยู่กับคนทั้งประเทศ

ตามหลักการที่นักวิชาการนำเสนอเรื่องปรองดอง หลักใหญ่คือจะต้องปฏิรูปกระบวนการการยุติธรรมให้กลับมาใช้หลักนิติธรรม ซึ่งเป็นหลักสากล ทั้งรวันดา แอฟริกาหลายประเทศก็สำเร็จเพราะใช้หลักนิติธรรมกฎหมายเป็นกฎหมาย ประชาชนที่ถูกกระทำให้อภัยและเริ่มต้นกันใหม่ ไม่จองล้างจองผลาญกัน

ดังนั้น ถ้าคุณไม่ปรับปรุงกระบวนการ ไม่ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม และยังมีการใช้อำนาจพิเศษ ทำให้เกิดอภินิหารของกฎหมาย มันก็ลำบากที่จะสร้างความน่าเชื่อถือ ไม่ใช่เรื่องที่เกิดกับเพื่อไทยอย่างเดียว แต่หลักนี้กระทบไปทุกเรื่อง ทั้ง เอ็นจีโอเยาวชนที่ถูกยิงเสียชีวิต หรือสื่อมวลชนก็ดี ล้วนได้รับการปฏิบัติอย่างสองมาตรฐาน

ถามว่าคนที่ถูกมองว่าเป็นคู่ขัดแย้งมาเป็นคนแก้ปัญหาจะได้รับการยอมรับหรือไม่ คุณหญิงสุดารัตน์ ตอบว่า ความขัดแย้งที่มีการพูดว่ามาจากฝ่ายการเมืองและทหารบอกว่ามาแก้ปัญหา แต่ฝ่ายที่เป็นประชาธิปไตยหรือนักวิชาการเขาก็มองว่า ถ้าปัญหาเกิดขึ้นในระบอบประชาธิปไตยก็ควรทำให้จบในระบบ แต่เมื่อมีปฏิวัติมาคั่น การพัฒนาประชาธิปไตยเลยไม่เกิดขึ้น

“จะเรียกว่าทหารเป็นคู่ขัดแย้งหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า กลุ่มทั้งหมด ฝ่ายการเมือง สีเสื้อ ข้าราชการ ทหาร คือส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับปัญหา คุณจึงไม่เป็นกลาง จะดีกว่าไหม ถ้าเราเอาคนมีความรู้เรื่องนี้  มีหลักอ้างอิงเอามาดำเนินการทำ ดังนั้นควรทำให้เกิดความน่าเชื่อถือและยอมรับจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ถึงจะเดินหน้าได้และยั่งยืน ไม่ใช่ยอมรับจากการใช้อำนาจ”

ส่วนเรื่อง “สัญญาประชาคม” คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า เป็นเหมือนการจัดระเบียบนักการเมือง พรรคการเมือง ซึ่งเป็นส่วนเดียวของกระบวนการปรองดอง เวลานี้เป็นเรื่องของนักการเมืองทั้งคู่ คือ นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง และนักการเมืองที่มาจากการปฏิวัติ ถ้าคุณแค่เอาอำนาจของคุณที่เป็นนักการเมืองที่มาจากปฏิวัติ มาจัดระเบียบนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ก็คงได้ประโยชน์เพียงส่วนเดียว กับใครก็ไม่รู้ ไม่ได้เกิดประโยชน์กับส่วนรวม

“เวลานี้ คสช.มีอำนาจล้นฟ้า น่าจะทำให้ครบถ้วนกระบวนการปรองดอง ถ้าทำสำเร็จก็จะเป็นคุณูปการ เป็นฮีโร่ของประเทศ แต่ถ้าเพียงแค่มาจัดการฝ่ายการเมืองก็อาจเป็นจะผลดีกับกลุ่มคนเล็กๆ แต่โดยส่วนรวมปัญหาความไม่เป็นธรรมของกฎหมาย กระบวนการยุติธรรมยังไม่ถูกปฏิรูป ก็แก้ปัญหาของประเทศไม่ได้” คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวทิ้งท้าย