“โสเภณีถูกกฎหมาย” ขจัดผลประโยชน์มืด-คืนศักดิ์ศรีความเท่าเทียม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 เมษายน 2560 เวลา 20:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/488530

"โสเภณีถูกกฎหมาย" ขจัดผลประโยชน์มืด-คืนศักดิ์ศรีความเท่าเทียม

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

ไม่นานมานี้ เว็บไซต์มิร์เรอร์ของอังกฤษนำเสนอรายงานข่าวว่า พัทยาเป็นเมืองหลวงแห่งเซ็กส์ของโลก มีผู้หญิงขายบริการทางเพศมากถึง 2.7 หมื่นคน  และ 1 ใน 5 ของหญิงเหล่านี้อาศัยอยู่อย่างถาวรในเมืองพัทยา

รายงานข่าวนี้ถูกวิจารณ์อย่างกว้างขวางในสังคมไทย เจ้าหน้าที่รัฐออกมาตอบโต้อย่างดุเดือดว่าเป็นการใส่ร้าย มีคำสั่งให้กวาดล้างหญิงขายบริการในพื้นที่พัทยาอย่างเข้มงวด

พัทยาเป็นเมืองหลวงแห่งเซ็กซ์จริงหรือไม่ ทำไมต่างชาติมองว่าประเทศไทยเต็มไปด้วยโสเภณี และแนวคิดการเปิดให้มีการค้าบริการทางเพศอย่างถูกกฎหมายจะเวิร์คจริงหรือ

วันนี้ “จันทวิภา อภิสุข” ผู้อำนวยการมูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ องค์กรที่เทำงานด้านส่งเสริมและให้โอกาสพนักงานบริการทางเพศได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนทั่วไป จะไขข้อเท็จจริงอีกด้านที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้

“พัทยา”นครแห่งบาป?

คำถามที่ว่าพัทยาเป็นเมืองหลวงแห่งเซ็กซ์ตามที่สื่อต่างประเทศรายงานนั้นจริงเท็จแค่ไหน

จันทวิภา มองว่า สิ่งที่สื่อต่างชาติรายงานนั้นเป็นเรื่องจริงที่คนไทยรับรู้ แต่ไม่อยากพูด เหตุผลที่พัทยาเจริญรุ่งเรืองและเต็มไปด้วยการค้าบริการทางเพศ เกิดจาก 2 ปัจจัยคือ 1.สงครามเวียดนาม นำไปสู่การตั้งถิ่นฐานของกองทัพนานาชาติในอดีต 2.นโยบายส่งเสริมการท่องเที่ยวของเมืองไทย

“ราว 40 ปีก่อน พัทยาเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงที่เงียบสงบ แต่เนื่องจากอยู่ไม่ห่างจากอู่ตะเภา ที่ตั้งของฐานทัพสหรัฐ เดินทางเพียงไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง เชื่อกันว่าการไปเที่ยวพักผ่อนของทหารอเมริกันในยามพักรบนำไปสู่การเกิดขึ้นของแหล่งบันเทิง สถานบริการหลากหลายรูปแบบ มีการเติบโตของผู้คน เกิดอาชีพใหม่ที่เรียกว่า ‘เมียเช่า’ รบในสนามรบเสร็จก็มาพักอยู่เมืองไทย แทนที่จะจ่ายเงินไปวันๆ เพื่อความต้องการ ทหารก็เลือกจะจ่ายเป็นเดือน เช่ามาเป็นเมียเลย ทำงานสารพัด ซักผ้า รีดผ้า ทำกับข้าว ตอนกลางคืนก็เป็นเมียอีก”

หลังสงครามเวียดนามสิ้นสุดลงในปี 2518 ความรุ่งเรืองของเมืองพัทยาก็ถึงคราวล่มสลาย สถานบันเทิง ผับบาร์ทยอยปิดตัว พนักงานจำนวนมากตกงาน จึงเป็นแรงผลักดันให้พัทยาต้องเสาะหาแขกนักท่องเที่ยวหน้าใหม่ กระทั่งถูกประกาศให้เป็น “เมืองพัทยา” เพื่อรักษาสถานภาพด้านการท่องเที่ยว นั่นส่งผลให้ความเข้มงวดในการตรวจตราและบังคับใช้กฎหมายต่างๆหย่อนยานลง

“พอประกาศตัวเองว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว เปิดรับทุกอย่างเพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้ามา ความเข้มงวดในการบังคับใช้กฎหมายต่างๆก็ลดน้อยลง เนื่องจากมีผลประโยชน์มหาศาลเข้ามาเกี่ยวข้อง หรือไม่ก็เอื้อเฟื้อให้กับคนบางกลุ่ม จะทำอะไรก็มักกลัวผลกระทบต่อการท่องเที่ยว”

เซ็กซ์เป็นเรื่องธรรมชาติ

ผอ.มูลนิธิเอ็มพาวเวอร์ บอกว่า ผู้หญิงบริการไม่แตกต่างจากอาชีพทั่วไปที่หาเลี้ยงชีพโดยสุจริต แต่กลับต้องเผชิญกับข้อจำกัดด้านกฏหมาย ไม่ได้รับการคุ้มครองตามกฏหมายแรงงาน อีกทั้งสังคมยังมองคนกลุ่มนี้ว่ามีตราบาป ทั้งที่เรื่องเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีควรมีกฎหมายมาคอยควบคุม หากทุกอย่างเป็นไปด้วยความยินยอมและยุติธรรม ก็ถือว่าไม่ผิด

“เซ็กส์ไม่มีความผิด แต่รับเงินเมื่อไหร่ถึงผิด เราจะเอากันอย่างงั้นหรอ มันไม่ใช่ ถ้าเป็นเรื่องส่วนตัว ตกลงกันได้ ไม่มีการบังคับว่าเธอต้องไปกับคนนั้นคนนี้ อายุบรรลุนิติภาวะ แบบนี้ไม่ผิด เอากฎหมายมาควบคุมไม่ได้ สำหรับแนวคิดให้มีการขายบริการได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่ผู้ขายต้องเข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน ถามจริงๆเถอะว่า ใครจะอยากจด ใครจะกล้า ส่วนใหญ่ผู้ที่ประกอบอาชีพนี้ จริงๆเขามาชั่วคราว คงไม่อยากมีเรื่องราวบันทึกในประวัติศาสตร์ชีวิตว่าฉันเคยทำอาชีพนี้หรอก”

จันทวิภา  บอกว่าการแก้ปัญหาอาชีพบริการทางเพศ ต้องเริ่มจากการยอมรับความจริงว่า ประเทศไทยมีคนประกอบอาชีพนี้จำนวนมากและไม่ใช่เพียงแค่เพศหญิงอีกต่อไป ก่อนจะเอาความจริงนั้นมากำหนดแนวทาง ยกระดับให้มีมาตรฐานและไม่เป็นตราบาปอีกต่อไป เพราะเซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติของทั่วโลก แนวทางจัดการคือ เปิดโอกาสให้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนอย่างเป็นทางการ เพื่อหาจุดร่วมอย่างแท้จริง ไม่ใช่เข้าไปแตะปัญหาเพียงแค่ผิวเผินและเลือกเดินหน้าเฉพาะแนวทางที่รัฐคิดเท่านั้น

“ต่อรองระหว่างสังคมกับคนที่ประกอบอาชีพ ยอมรับความจริง พบกันคนละครึ่งทางและใช้ทางที่มีจุดร่วมด้วยกัน  อาจหาพื้นที่ที่พอยอมรับได้สักแห่ง ห่างจากชุมชน แต่เดินทางได้สะดวกและไม่ยากเย็นจนเกิดไปสำหรับนักท่องเที่ยว มีการควบคุมราคา ให้บริการที่ได้มาตรฐาน หมายถึง ไม่มีความรุนแรง ราคาเหมาะสม สะอาด ปลอดภัย ร้านไหนได้มาตรฐานก็ได้รับใบอนุญาตไป

“อาจมีการกำหนดเป็นโซนนิ่งซึ่งมีหลายรูปแบบทั้งลักษณะสถานที่ให้บริการ ลักษณะธุรกิจ และลักษณะพื้นที่ ซึ่งอย่างหลังคงเป็นไปไม่ได้ เพราะปัจจุบันผู้ประกอบอาชีพกระจัดกระจาย แต่หากเป็นโซนนิ่งในลักษณะสถานที่ เช่น กำหนดว่าสถานที่แห่งนี้เปิดได้กี่โมง มีอะไรควบคุม แบ่งตำแหน่งภายในอย่างไร หรือโซนนิ่งในรูปแบบบุคคลที่อนุญาตให้พนักงานสามารถทำงานได้ที่ไหนบ้าง”

 

โสเภณีถูกกฎหมายเพื่อประโยชน์ชาติ

หากมองย้อนกลับไปในอดีตจะพบว่า โสเภณีไม่ถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย โดยปลายรัชกาลที่ 5 มีพระราชบัญญัติป้องกันสัญจรโรค รัตนโกสินทรศก 127 (พ.ศ.2451) ซึ่งระบุถึงการบังคับให้หญิงนครโสเภณีปฎิบัติตามกฎหมาย  เนื้อหาบางช่วงมีดังนี้

“ผู้ที่จะเป็นนายโรงหญิงนครโสเภณีได้ต้องเป็นผู้หญิง ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน จึงตั้งโรงหญิงนครโสเภณีได้ โดยนายโรงต้องทำบัญชีหญิงนครโสเภณีที่มีอยู่ประจำและเข้ามาใหม่

ห้าม นายโรงรับหญิงนครโสเภณีที่ไม่มีใบอนุญาต

ห้าม นายโรงรับเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปีมาเลี้ยงไว้ในโรง

ห้าม นายโรงกักขังหญิงนครโสเภณีและห้ามทำสัญญาผูกมัดหญิงนครโสเภณี

ห้าม นายโรงและหญิงนครโสเภณีจุ้นจ้าน เช่น ยื้อยุด ฉุดลาก ผู้ชายให้เข้ามาเที่ยวในโรง ให้เป็นที่รำคาญแก้ผู้คนที่เดินผ่านมานอกโรง

ห้ามไม่ให้ผู้ใด บังคับสตรีหรือล่อลวงหญิงใดที่ไม่สมัครใจเป็นหญิงนครโสเภณี จนทำให้ผู้หญิงคนนั้นต้องจำใจเป็น จะด้วยอุบายอะไรก็ตาม ผู้นั้นมีความผิด”

ทั้งนี้มีการกำหนดรายละเอียดอื่นๆอีก เช่น การขอรับใบอนุญาตตั้งโรงหญิงนครโสเภณี และใบอนุญาตเป็นหญิงนครโสเภณี ถ้าอายุไม่ครบ 15 ปี แล้วมาหลอกเจ้าหน้าที่ว่าอายุเกินก็มีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท หรือจำคุกไม่เกิน 3 เดือนหรือทั้งจำและปรับ

สิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับหากเปิดโอกาสให้อาชีพขายบริการทางเพศถูกกฎหมายคือ สังคมมองว่าเป็นอาชีพสุจริต เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ซึ่งกันและกัน คนเหล่านั้นก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย นานาชาติยกย่อง ชื่นชมในการแก้ไขปัญหาของไทย

“ธุรกิจบริการต้องมีมาตรฐานและความปลอดภัย อาจมีการอบรม ข้อบังคับหรือกฎเกณฑ์ในการควบคุมที่ระบุเรื่องของอายุ เวลาการทำงาน น้ำหนัก รูปร่าง รายละเอียดต่างๆ นานา ที่นำไปสู่ความยุติธรรมและความปลอดภัยทั้งเจ้าของธุรกิจ คนให้และคนรับบริการ อย่างที่บอกว่า เซ็กส์เป็นเรื่องธรรมชาติของโลกใบนี้ ถ้าคุณจัดการได้อย่างยุติธรรม เขาจะมองว่าคุณจริงจังในการแก้ไขปัญหาสังคม”

จันทรวิภายังบอกอีกว่า การทำให้อาชีพค้าบริการทางเพศถูกต้องตามกฎหมายจะช่วยลดผลประโยชน์ด้านมืด ลดการทุจริตและการเลือกปฎิบัติของเจ้าหน้าที่รัฐ

“ปัจจุบันเจ้าหน้าที่หลายคนยังขาดความรู้ พอไม่รู้ก็เป็นที่มาของผลประโยชน์ หลักฐานบางอย่างที่ปรากฏหลังการจับกุมของเจ้าหน้าที่ เช่น เหตุการณ์จับผู้ค้าบริการที่อาบอบนวดนาตาลี มีโพยรายชื่อเจ้าหน้าที่รับผลประโยชน์จำนวนมาก แต่กลับใช้เป็นหลักฐานในการสืบสาวหาตัวเจ้าหน้าที่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นหากมีการปรับปรุงกฎหมาย เปิดโอกาสให้กับอาชีพนี้ กระบวนการยุติธรรมจะดีขึ้น ลดการหากินกับกฎหมาย ลดช่องว่างและผลประโยชน์ระหว่างเจ้าหน้าที่กับประชาชนลง”

ทั้งหมดนี้คือมุมมองน่าสนใจที่สังคมควรรับฟังของเอ็นจีโอที่ทำงานด้านการส่งเสริมโอกาสให้พนักงานบริการทางเพศเพื่อให้ได้รับสิทธิเท่าเทียมกับคนทั่วไปในสังคมมายาวนานกว่า 20 ปี

 

 

“อาทิตย์” กับภารกิจ “ไทยพาณิชย์” ในใจลูกค้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 เมษายน 2560 เวลา 22:07 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/488194

"อาทิตย์" กับภารกิจ "ไทยพาณิชย์" ในใจลูกค้า

โดย…เสาวรส รณเกียรติ

อาทิตย์ นันทวิทยา รับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ เมื่อวันที่ 3 เม.ย. 2558 เป็นปีที่กำลังมีการเปลี่ยนแปลงหลายด้าน ทั้งการเข้ามาของฟินเทค ทั้งการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีใหม่ๆและเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัว

ในฐานะผู้นำองค์กร เขาต้องมองให้เห็นถึงปัญหาและจุดอ่อนของธนาคารไทยพาณิชย์ และวางวิสัยทัศน์เพื่อให้ธนาคารไทยพาณิชย์ยืนอยู่ได้อย่างยั่งยืน

ซึ่งหลังจากผ่านกระบวนการของการเดินทางไปต่างประเทศ ได้พูดคุย ได้ไปเห็น ก็ทำให้เขาตกผลึกความคิดได้ว่า องค์กรบนโลกใบนี้ โดยเฉพาะสถาบันการเงินเกิดขึ้นแล้วล้มหายตายจากไปอยู่เรื่อย ยิ่งในช่วงที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ สถาบันที่เคยดูแข็งแรง ช่วงเวลาปกติดูมีกำไร เมื่อเกิดวิกฤตกลับซวนเซ บางรายก็ล้มไปเลย

เพราะฉะนั้น สำหรับธนาคารไทยพาณิชย์ จะเก่งเป็นช่วงๆ ไม่ได้ จากนี้ไปธนาคารต้องอยู่ได้ ไม่ว่าในสภาพแวดล้อมแบบไหน เป็นที่มาของวิสัยทัศน์ (Vision)ใหม่ว่า ไทยพาณิชย์ต้องเป็นองค์กรที่อยู่รอด เติบโต และทำธุรกิจธนาคารพาณิชย์อย่างยั่งยืน

ช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ภารกิจของอาทิตย์จึงเป็นการสร้างยุทธศาสตร์ ให้ธนาคารเป็นองค์กรที่ทุกคนรักและชื่นชม โดยจะไม่เป็นธนาคารที่ทำธุรกิจแบบเดิม ทำแค่เรื่องธุรกรรมทางการเงิน หรือทรานแซคชั่น (Transaction) เหมือนที่ผ่านมา ที่เมื่อลูกค้าเดินมาแบงก์ แล้วบอกว่า จะทำอะไร แล้วธนาคารก็ให้บริการไป หรือเป็นธนาคารที่ลูกค้าเลือกใช้บริการธนาคาร เพราะให้สินเชื่อดอกเบี้ยต่ำติดดิน ซึ่งเป็นวิธีที่ไม่จีรัง เพราะธุรกิจไม่ได้อยู่รอดเพราะดอกเบี้ยต่ำสุดเท่านั้น เพราะต่ำสุดแล้วธุรกิจไปไม่ได้ก็ไม่มีประโยชน์

แต่ธนาคารจะต้องคิดว่า ต้องทำอย่างไร มีขีดความสามารถในการให้บริการอะไรบ้าง เพื่อให้ลูกค้าทำธุรกิจเก่งขึ้น ให้ธุรกิจแบบเอสเอ็มอีฝ่าฟันต่อสู้ได้ในสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ ที่เปลี่ยนไปอย่างมาก เพื่อให้เอสเอ็มอีอยู่รอด เก่งขึ้น ทำธุรกิจได้ดีขึ้น

หรือเมื่อลูกค้ารายบุคคลเดินเข้ามาธนาคาร อายุระดับนี้ มีรายได้ประมาณหนึ่ง มีพฤติกรรมหรือไลฟ์สไตล์แบบนี้ๆ ธนาคารควรจะเสนอผลิตภัณฑ์อะไรให้ เช่น ขายประกันให้เขาหรือไม่ ขายแบบไหน ขายตอนไหน โดยไม่ใช้รูปแบบการให้คอลเซ็นเตอร์สุ่มโทรศัพท์ไป แต่ไปขายเพราะมีข้อมูล และไปหาเขาในเวลาที่ถูกต้อง

รูปแบบการดำเนินธุรกิจ (Business model) จึงเปลี่ยนไป เพราะเราไม่ได้เอาผลิตภัณฑ์ของธนาคารเป็นตัวตั้ง แต่เอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง

พร้อมกันนี้ ธนาคารก็ได้สร้างโครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) ฐานราก (Foundation) ที่ดี มีความก้าวหน้า และทันสมัย รวมถึงบุคลากรที่มีขีดความสามารถใหม่ๆ ที่สอดรับกับทิศทางแนวโน้มการทำธุรกิจ และบทบาทของธนาคาร หรือบิซิเนสโมเดล ของธนาคารที่เปลี่ยนไปด้วย

ด้วยการลงทุนด้านเทคโนโลยี การลงทุนด้านระบบ มีการใช้ข้อมูลของธนาคารที่มีอยู่มหาศาลมาทำบิ๊กดาต้า (Big data) การวิเคราะห์ข้อมูล (Data analytic) ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งที่สำคัญมากเพราะเป็นการเปลี่ยนสถาปัตยกรรม (Architecture) ของการนำข้อมูลมาใช้ เป็นการเก็บข้อมูล หรือบริหารจัดการข้อมูลที่มีปริมาณนับสิบๆ ล้านในธนาคารปริมาณทรานแซคชั่นที่ใหญ่มาก เพื่อให้สามารถนำมาใช้ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เกิดการวิเคราะห์ในรูปแบบต่างๆ ช่วยให้สามารถเข้าใจพฤติกรรมผู้บริโภคที่หลากหลาย คาดการณ์ ประเมินและล่วงรู้ความต้องการของลูกค้า ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของธนาคาร

ซึ่งขณะนี้ การติดตั้ง การวางระบบเทคโนโลยีด้านการบริหารข้อมูลเสร็จสิ้นแล้ว ส่วนต่างๆ ของธนาคารกำลังเริ่มต้นเอามาใช้ และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ทุกส่วนงานของธนาคารจะนำมาใช้ทั้งหมด เป็นการสร้างขีดความสามารถในการเอาเทคโนโลยี เอาศาสตร์ของข้อมูล มาสร้างความเข้าใจ ความต้องการของลูกค้า เพื่อให้บริการเชิงรุกได้

เช่น ช่วยลูกค้าเอสเอ็มอีทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง ช่วยสร้างมาร์เก็ตเพลสที่เป็นดิจิทัล หรือลูกค้าสินเชื่อบ้าน ที่กู้ไป 4-5 ปีจะต้องซ่อมบ้าน ก็จะจับมาเชื่อมโยงกับลูกค้าธุรกิจ อย่างโฮมโปร เอสซีจีหรือลูกค้าที่ทำธุรกิจร้านกาแฟ ก็สามารถดึงมาอยู่บนแพลตฟอร์มดิจิทัลที่สร้างขึ้น เป็นต้น

เพราะฉะนั้น ต่อไปธนาคารจะเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง และจะเริ่มเห็นความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้น ชัดเจนขึ้น ตั้งแต่ครึ่งหลังของปีนี้เป็นต้นไป

วิธีคิดเปลี่ยน องค์กรต้องเปลี่ยน

อาทิตย์ นันทวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรองประธานกรรมการบริหาร ธนาคารไทยพาณิชย์ ยอมรับว่า เขาใช้เวลาในการสื่อสารกับบุคลากรในธนาคารมากพอสมควร เพื่อให้เข้าใจทิศทางการทำธุรกิจที่เปลี่ยนไปของธนาคาร จากที่เคยเอาผลิตภัณฑ์เป็นตัวตั้งมาเป็นลูกค้าเป็นตัวตั้ง

อาทิตย์บอกว่า ไทยพาณิชย์มีคนในองค์กร 2 หมื่นกว่าคน ที่ต้องสื่อสารให้รับรู้ว่าทิศทางขององค์กรกำลังจะเปลี่ยนไป และเปลี่ยนอย่างไร เพื่อให้ทุกคนเตรียมพร้อม และมีส่วนร่วมมีส่วนสนับสนุนในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

เขาเริ่มจากระดับฝ่ายจัดการของธนาคารก่อน เป็นระดับรองกรรมการผู้จัดการที่มีประมาณ 20 คน ใช้เวลาครึ่งปี 2559 ที่ผ่านมา และปีนี้เขาใช้เวลากับอีก 60 คน ที่แบ่งเป็น 3 ทีม ทีมละ 20 คน เป็นระดับผู้จัดการใหญ่ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ เพื่อจะหล่อหลอมความคิดของคนเหล่านี้ โดยถือคติ “หัวต้องได้ก่อน หางถึงจะส่ายตาม” เพื่อให้เข้าใจว่าแบงก์กำลังจะเปลี่ยนทิศทางการทำธุรกิจ และกลุ่มคนเหล่านี้คือผู้มีบทบาทในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อย่างไรบ้าง

ขณะที่ฝ่ายจัดการในต่างจังหวัด ด้วยเทคโนโลยี อาทิตย์สามารถสไกป์คุยกับทุกคนได้ตลอดเวลา

อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญที่จะทำให้พนักงานเข้ามามีส่วนร่วม คือการเปิดกว้างให้เกิดการทดลอง ยิ่งในยุคปัจจุบันที่การทำธุรกิจธนาคารเปลี่ยนไป มีหลายเรื่องที่ไม่มีใครรู้ว่าจะไปในทิศทางไหน จึงไม่ต้องเสียเวลามาเถียงกัน เพราะไม่มีใครรู้จริง ต้องให้ทดลองทำเลย และต้องทำอย่างรวดเร็ว ถ้าลองแล้วผิด ก็ต้องไม่นั่งว่ากัน ด่ากัน ต้องดูว่าอะไรเกิดขึ้น ลองใหม่ ซ้ายไม่ถูกลองไปขวา มันจะมีมุมใหม่ๆ เกิดขึ้นทุกครั้ง

เป็นวัฒนธรรมใหม่ขององค์กร เพื่อให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง

 

“JQ ปูม้านึ่ง” จากลูกแม่ค้าแพปูสู่เดลิเวอรี่ร้อยล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 เมษายน 2560 เวลา 11:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/488052

“JQ ปูม้านึ่ง” จากลูกแม่ค้าแพปูสู่เดลิเวอรี่ร้อยล้าน

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

ด้วยความชื่นชอบธุรกิจค้าขาย นิสัยชอบคิดและมองหาโอกาสอยู่เสมอ ซึมซับมาจากคุณแม่ผู้เป็นเจ้าของแพปู กลายเป็นจุดกำเนิดของ “เจคิว ปูม้านึ่ง” เดลิเวอรี่อาหารทะเลที่มียอดขายสูงถึง 600 ล้านบาทต่อปี

สุรีรัตน์ ศรีพรหมคำ ต่อยอดแพปูของคุณแม่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร่วมกับสามี ประเสริฐ สมบูรณ์ ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในดาวรุ่งธุรกิจเดลิเวอรี่ของเมืองไทย โดยประกาศเป้าหมายทำยอดขายให้ได้ 1,000 ล้านในสิ้นปีนี้ ก่อนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ให้ได้ภายใน 5 ปีข้างหน้าเพื่อสร้างการรับรู้ เพิ่มความน่าเชื่อถือในระดับประเทศ  ส่งผ่านแรงบันดาลให้กับคนมีฝันทุกคน

นี่คือเบื้องหลังของอดีตเซลล์สาวที่กล้าทิ้งรายได้หลักแสนและคอมฟอร์ทโซน เพื่อโอกาสในธุรกิจพันล้าน

ความคิดแบบแม่ค้า หาโอกาสจากสิ่งที่มี

จากเด็กสาวชาวสุราษฎร์ธานีที่เห็นคุณแม่ทำงานหนัก ถึงแม้จะเป็นเจ้าของแพปู แต่ก็ยังหาเวลาสละแรงกายทำอาชีพเสริมเป็นแม่ค้า ขายของสารพัดอย่างตามแต่ช่วงเวลาและโอกาสที่มี สุรีรัตน์มองเห็นและเรียนรู้ในวิธีคิดของคุณแม่มาเสมอ โดยประทับความฝันในหัวว่า “สักวันฉันต้องมีธุรกิจเป็นของตัวเอง”

“เราอยู่กับการค้าขายมาตั้งแต่เด็ก บ้านเป็นร้านโชห่วย มีแพปู แต่แม่เป็นคนอยู่เฉยไม่ได้ ชอบทำอะไรหลายอย่าง ปกติขายข้าวแกง หน้าร้อนก็ไปขายน้ำแข็งใส ตรุษจีนก็ทำขนมเทียนขาย หรือช่วงวันพระที่คนไปวัดเยอะๆ แม่ก็เอาข้างแกงไปขาย แกเห็นโอกาสเสมอ เราซึมซับการทำมาร์เก็ตติ้งจากแม่มา”

สุรีรัตน์ เรียนจบสาขาวิชาภาษาอังกฤษธุรกิจ คณะบริหารธุรกิจ จากสถาบันเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ วิทยาเขตวังไกลกังวล ชื่นชอบการอ่านประวัตินักธุรกิจเป็นชีวิตจิตใจ ที่ผ่านมาแม้จะมีอาชีพเป็นเซลล์ แต่ก็หาเวลาทำธุรกิจควบคู่ไปด้วยมาตลอด ทั้งค้าขายชิ้นส่วนรถยนต์ ขายรองเท้าแตะ ตลอดจนอาหารสุนัข แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จในระดับที่เดินหน้าต่อไปได้

“เป็นคนชอบอ่านหนังสือมาก โดยเฉพาะพวกประวัตินักธุรกิจ ได้แรงบันดาลใจและทำให้เห็นว่าทุกคนต้องสู้บวกกับเป็นคนชอบค้าขายอยู่แล้ว คือทั้งชีวิตไม่เคยอะไรเพียงอย่างเดียว เด็กๆ ช่วยแม่ โตมาหน่อยก็หาของขายไปเรื่อย จนกระทั่งเรียนจบทำงานเป็นเซลล์ แต่งานเสริมก็ยังเป็นธุรกิจค้าขาย เริ่มตั้งแต่ ชิ้นส่วนรถยนต์ รองเท้าแตะ อาหารสุนัข พยายามลองทุกอย่างถ้าเห็นว่ามีโอกาส สุดท้ายไม่สำเร็จแต่ก็ได้เรียนรู้”

แม้สุรีรัตน์จะล้มเหลวกับธุรกิจที่ผ่านมา แต่ความฝันของเธอไม่เคยจากหายไป ยังคงมองหาโอกาสอยู่ตลอด จนกระทั่งในปี 2553 ขณะมีอาชีพเป็นเซลล์ขายอาหารทะเล ได้ทดลองนำแพปูจากบ้านเกิดมาขาย และเริ่มมองเห็นช่องทางที่จะประสบความสำเร็จ

“ตอนนั้นเป็นเซลล์ขายอาหารกระป๋องส่งออกต่างประเทศ ชีวิตดีมีรายได้เป็นแสน แต่รู้สึกว่าเวลาว่างเยอะ หยุดเสาร์อาทิตย์เริ่มหาช่องทาง แต่ไม่อยากลงทุนอีกแล้ว เลยจับเอาอาหารทะเลของที่บ้านขึ้นมาขายส่งให้กับร้านอาหารและโรงแรมในกรุงเทพฯ ซึ่งก็พอทำได้ ลุ่มๆ ดอนๆ แต่ก็ติดปัญหาเรื่องถูกคืนของ ถูกโกงชักดาบไม่จ่ายเงิน จนขาดทุน แต่ไม่ท้อ วันหนึ่งตัดสินใจนำปูม้า อาหารทะเลที่เหลือในแต่ละวันไปแจกให้เพื่อน ปรากฏว่าเพื่อนถูกใจ ขอสั่งซื้อเพิ่มกันถ้วนหน้า แถมไปอ่านเจอวิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ที่บอกว่า ธุรกิจเดลิเวอรี่สินค้าอาหารจะเติบโตในเมืองใหญ่ ทีนี้ปิ๊งเลย เฮ้ย…เราเริ่มต้นไม่อยากเลย แค่มีวัตถุดิบ มีวินมอเตอร์ไซค์ ก็สามารถส่งถึงบ้านลูกค้าได้แล้ว”

คุณภาพและโปรโมชั่น ปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จ

ภายหลังตัดสินใจลงมือทำอย่างจริงจัง สองสามีภรรยาเริ่มศึกษาตลาด มองอุปสรรค และหาหนทางเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ โดยเริ่มจัดพื้นที่ภายในคอนโดมิเนียมเป็นสถานที่ผลิต

“รื้อของ จัดเก็บรองเท้าใหม่ เอาโต๊ะกินข้าวมาวางเป็นที่ปั่นน้ำจิ้ม ใช้ระเบียงเป็นที่เก็บของและนึ่งปู ไม่เคยรู้สึกว่ามีข้อกำจัดอะไรมาเบรคเราได้ แรกเริ่มขายปูอย่างเดียว ลูกค้าบอกเอากุ้งมาขายด้วยสิ ปัญหาคือมันเผากุ้งในคอนโดไม่ได้ เลยถามกลับไปว่า กุ้งนึ่งกินได้ไหม ไม่อยากเชื่อว่าลูกค้ายอม ทีนี้เลยทำกุ้งนึ่งขายซะเลย หลังๆ ก็มีหอยนางรมเพิ่มเข้ามา ช่วงนั้นยังไม่ค่อยมีเงิน ตอนทำใบปลิวโปรโมท เราจ้างไม่ไหวและไม่มีเวลาด้วย ไปซื้อพริ้นเตอร์กับกระดาษมาพริ้นท์และตัดเอง กลางคืนปล่อยให้เครื่องทำงาน สายมาก็นั่งตัดแล้วเอาไปแจกด้วยตัวเอง เราคิดว่าที่ผ่านมา เราเอาชนะข้อจำกัดทุกอย่างได้”

หลังจากดำเนินธุรกิจได้ราว 1 ปี สาวสุราษฎร์ผู้กระตือรือร้นรายนี้ ตัดสินใจทิ้งรายได้หลักแสนลาออกจากอาชีพการเป็นเซลล์ที่เปรียบเสมือนโรงเรียนที่สอนให้เธอเติบโตทั้งสายงานด้านการตลาด การคิดวิเคราะห์ และการติดต่อสื่อสาร หันมาใส่ใจและลงแรงกับเจคิวอย่างเต็มที่ โดยแจ้งเกิดผ่านกลยุทธ์โปรโมชั่นในโลกโซเซียลมีเดีย ที่ได้รับไอเดียมาจากตัน ภาสกรนที เจ้าพ่อชาเชียวเมืองไทย

“ตอนนั้นคิดว่าจะทำยังไงให้เฟซบุ๊กของเราดัง เลยไปสังเกตเพจที่ดังๆ ช่วงนั้น คือเพจคุณตัน พบว่าเขามีการจัดทำโปรโมชั่นและกิจกรรมไลค์แอนด์แชร์แจกไอโฟน เราเรียนรู้เลยว่า การแจกมันจะเวิร์คได้ของที่แจกต้องอยู่ในกระแสและถ้าจะให้เปรี้ยงต้องเต็มที่ อย่ากั๊ก แจกคือแจก ไลค์แอนด์แชร์มันเหมือนใบปลิวออนไลน์ที่ทำให้คนรู้จักเพจเราเพิ่มขึ้นจำนวนเยอะมาก ซึ่งพอได้ผลเราก็ทำอีก คราวนี้เป็นแจกแพ็กเกจทัวร์เกาหลี เพราะตอนนั้นคนไทยติดเกาหลีมาก เพจเราขยับจากหลักหมื่นเป็นหลักแสนไลค์เลย”

แคมเปญการตลาดดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างยิ่ง มีคนรู้จักเจคิวในวงกว้าง ยอดขายไต่ระดับสู่หลักล้าน ชื่อเสียงเริ่มเข้าตาสื่อมวลชนจนมีเงินทุนมากพอขยายสาขาเพิ่มเติม เริ่มจากสุขุมวิท 101 รามอินทรา รัชดาภิเษก จรัญสนิทวงศ์ กระทั่งปัจจุบันมีมากถึง 19 สาขา รวมถึงต่างจังหวัดได้แก่ เชียงใหม่ อุดรธานี อุบลราชธานี นครราชสีมา และขอนแก่น โดยฐานการผลิตใหญ่หรือครัวกลางตั้งอยู่ที่ย่านห้วยขวาง ขณะที่แฟนเพจของเจคิวปูม้านึ่งล่าสุดพุ่งไปถึง 5 แสนไลค์แล้ว

 

นอกเหนือไปจากโปรโมชั่นและแคมเปญการตลาด อาวุธไม่ลับที่เป็นพื้นฐานความสำเร็จของธุรกิจเดลิเวอรี่อาหารทะเลสดปรุงสุกก็คือ ประสบการณ์ในการคัดเลือกและการควบคุมคุณภาพวัตถุดิบ ซึ่งทั้งสุรีรัตน์และประเสริฐ เข้าใจอย่างดีจนสามารถบริหารจัดการออเดอร์และปริมาณอาหารที่มีให้ลงตัวได้สำเร็จ

“ปูขึ้นมาจากใต้ 300-500 กิโลกรัมต่อวัน ถึงเวลาจริงต้องมีเสียหาย ไร้คุณภาพและตายระหว่างทางจำนวนหนึ่ง เราก็ต้องมานั่งคิดคร่าวๆ ใช้ประสบการณ์ประเมินว่าจะจัดการอย่างไรให้เหมาะสม เหลือแล้วจะทำยังไง โปรโมชั่นในหัวต้องมีไว้ตลอด คิดมาเป็นลิสต์เลย ถ้ามาเยอะต้องจัดการให้ได้ แต่มันสนุกที่ได้แก้ปัญหา เราไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อ”

จุดแข็งอีกอย่างก็คือคุณภาพที่เจคิวส่งถึงมือลูกค้าภายใน 2 ชั่วโมงและขายของสดให้หมดเกลี้ยงใน 48 ชั่วโมง ปัจจุบันมีเมนูประมาณ 15 เมนู อาทิ ปูม้า กุ้งเผา หอยนางรม หอยชักตีน หอยหวาน หมึกนึ่งมะนาว เป็นต้น ขณะเดียวกันยังมีบริการแกะปูให้กับลูกค้าด้วย

“คนกรุงเทพฯ ไม่ค่อยเข้าใจ บางทีเจอปูม้าเป็นๆ ดิ้นๆ เหมือนสดนะ แต่ตอบไม่ได้เลยว่าดิ้นมาแล้วกี่วัน เหมือนคนถูกขังไม่ได้กินอาหาร สดจริงแต่ผอม ไม่มีเนื้อเลย แต่ของเราไม่ ต้องดิ้นไม่เกินสองวัน เกินกว่านั้นไม่มีเนื้อแล้ว บอกทริกไว้อีกอย่างคือ พวกปูตายแล้วเอามาอัดน้ำแข็งไว้ไม่ต้องพูดถึงเลย ไม่เกิน 4 ชั่วโมงเนื้อไปหมดแล้ว รสชาติและคุณภาพคนละเรื่องกับปูสดเลย”

รายได้ ความหวัง และเป้าหมาย ในอนาคต

ปัจจุบันเจคิวปูม้านึ่ง มีรายได้ 600 ล้านต่อปี เติบโตจากหลัก 70 ล้าน 120 ล้าน 220 ล้าน และ 350 ล้านบาทตามลำดับ มีกำไรสุทธิ 20-30% ของยอดขาย โดยเป้าหมายคือสร้างยอดขายให้ได้ 1,000 ล้านบาทในปีนี้ และก้าวเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยภายใน 5 ปีข้างหน้า ส่วนเรื่องการส่งออกไปยังต่างประเทศนั้นอยู่ระหว่างการสำรวจตลาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ด้านอาหารทะเลสดยังมีอุปสรรคในเรื่องการส่งออก อย่างไรก็ตามผลิตภัณฑ์ที่พอเป็นไปได้และมีโอกาสเติบโตมากก็คือ น้ำจิ้มซีฟู้ด

สุรีรัตน์ บอกว่า สิ่งสำคัญที่คนทำธุรกิจควรมีก็คือ การกล้าฝัน คิดไกลและใหญ่เข้าไว้ เพราะทำให้ทิศทางเดินนั้นชัดเจนและโฟกัสได้อย่างตรงจุด

“เวลาตอบคำถามว่าเราอยากไปถึงไหน เราบอกว่าอยากเข้าตลาดหลักทรัพย์ มันเป็นความฝัน เป็นธงที่ปักไว้ ถ้าไม่บอกอย่างนี้เราไม่รู้เลยว่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรบ้าง เป้าหมายมันทำให้เห็นภาพ เกิดการเตรียมตัว เรียนรู้ และเกิดโอกาส อย่างเรื่องรายได้ ถามว่าเราจะทำได้ไหม 1,000 ล้านบาท จะพยายาม ถ้าได้สัก 800 ล้านก็แฮปปี้นะ เราไม่ได้ตั้งเป้าว่า ปีนี้ 600 ล้าน ปีหน้าขอ 650 ล้านแล้วกัน เป้าแบบนี้เผลอๆ ไม่ต้องพัฒนาตัวเองก็ไปถึงด้วยซ้ำ เพราะฉะนั้นเลยต้องตั้งเป้าสูงเข้าไว้ เพื่อกระตุ้นตัวเอง และหาโอกาสอื่นอยู่เรื่อยๆ”

อดีตเซลล์สาว บอกว่า การเข้าตลาดหลักทรัพย์ไม่ได้หวังร่ำรวยจากหุ้นและกำไรเป็นหลักใหญ่ แต่ต้องการเป็นแรงบันดาลใจให้กับทุกคนเห็นว่า มนุษย์สามารถประสบความสำเร็จได้ ไม่ว่าจะมีต้นทุนทางสังคมมากน้อยเพียงใด ถ้ากล้าคิด กล้าทำ ก็สามารถไปถึงจุดสูงสุดได้

“อยากให้เห็นว่าลูกแม่ค้าต่างจังหวัด ไม่มีคอนเน็กชั่นทางสังคมสูงส่งอะไร ก็สามารถไขว่คว้าโอกาสและประสบความสำเร็จได้”

สุรีรัตน์และประเสริฐ ร่วมกันทิ้งท้ายให้กับคนฝันอยากมีธุรกิจเป็นของตัวเองว่า ให้เลือกมองปัญหาของลูกค้าก่อนที่จะคิดถึงความต้องการของตัวเอง ที่สำคัญหัดเรียนรู้ ศึกษาสิ่งนั้นอย่างเต็มที่ ทุกครั้งที่เจอปัญหา อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ให้โฟกัสสู้ แล้วคุณจะพบว่ามีโอกาสซ่อนอยู่

“บางคนถามว่า พี่หนูจะขายอะไรดี มันไม่ใช่ ต้องถามว่าปัญหาของคนคืออะไร ถ้าคิดว่าจะขายอะไรคงไม่มีธุรกิจอย่างอูเบอร์ เพราะเขาเริ่มมองก่อนว่าปัญหาของคนคืออะไร และหากคิดจะทำแล้ว สิ่งสำคัญคือเรียนรู้ ศึกษามันอย่างสุดทาง ไม่ใช่เป็นพวกฝันไปวันๆ อยากตื่นขึ้นมาแล้วรวยทันที”

ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงส่วนสำคัญในการพาเจคิว ปูม้านึ่งขึ้นสู่ทำเนียบธุรกิจร้อยล้านได้อย่างน่าชื่นชม

 

 

 

“สู้เพื่อศักดิ์ศรีเด็กบ้านบ้าน”บุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับหนังมหาลัยวัวชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 มีนาคม 2560 เวลา 19:57 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/487585

"สู้เพื่อศักดิ์ศรีเด็กบ้านบ้าน"บุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับหนังมหาลัยวัวชน

เรื่อง…อินทรชัย พาณิชกุล /ภาพ…วีรวงศ์ วงศ์ปรีดี และเฟซบุ๊ก ภาพยนตร์ มหาลัยวัวชน Song from Phatthalung

“เราเด็กบ้าน บ้าน เราเด็กเลี้ยงวัว

สากลัวเธอไม่สนใจ เราเด็กบ้าน บ้าน คงไม่สาไหร่

ไม่ถูกใจเหมือนเด็กหาดใหญ่ในหลาด”

นาทีนี้ใครบ้างไม่เคยฟังเพลง “มหาลัยวัวชน”ของวงพัทลุง เดินไปไหนท่อนฮุกโดนใจและท่วงทำนองเร้าอารมณ์ก็ดังกระหึ่มมาจากทางโน้นทางนี้ ตั้งแต่ผับเพื่อชีวิต ร้านข้าวแกงปักษ์ใต้ ร้านขายซีดี แผงค้าหน้าราม ยันหอพักนักศึกษาหลังมหาวิทยาลัย

จากเด็กบ้านบ้านสุมหัวเล่นดนตรีกันในสวนยางพารา สู่เจ้าของบทเพลงฮิตที่มียอดผู้ชมมากกว่า 180 ล้านวิวบนเว็บไซต์ยูทูบ วันนี้วงพัทลุงเปลี่ยนสถานะนักดนตรีโนเนมเป็นซูเปอร์สตาร์ดวงใหม่ของวงการเพลงลูกทุ่งเพื่อชีวิต คิวคอนเสิร์ตแน่นจนต้องจองข้ามปี

ที่ไปไกลกว่าใครจะคาดคิดคือ เรื่องราวชีวิตและผลงานของพวกเขากำลังจะกลายเป็นภาพยนตร์เรื่อง “มหาลัยวัวชน (Song from Phatthalung)” ฉาย 30 มีนาคมนี้ทั่วประเทศ

ผู้กำกับบ้านบ้านFeat.นักดนตรีบ้านบ้าน

ไม่ใช่แค่วัยรุ่น ไม่ใช่แค่คนปักษ์ใต้ แต่ต้องยอมรับว่าทุกเพศทุกวัยทั่วทั้งประเทศต่างชื่นชอบเพลงมหาลัยวัวชน หลายคนผิวปากเป็นทำนองครึกครื้น บางคนร้องตามได้ไม่เคอะเขิน ถึงขั้นคัฟเวอร์เพลงออกมาโชว์กันเป็นล่ำเป็นสัน

สืบ-บุญส่ง นาคภู่ ผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง ดูจะหนักกว่าเพื่อน — เขาทำหนังเลย

ฟังครั้งแรกมันติดหู เนื้อร้อง เมโลดี้มันกินใจ ‘เราเด็กบ้านๆ เราเด็กเลี้ยงวัว สากลัวเธอไม่สนใจ’ เหมือนมันพูดแทนใจเรา ผมเป็นคนบ้านนอกนะ แก่แล้วด้วย ยังโดนเลย ประสาอะไรกับวัยรุ่น โดยเฉพาะคนบ้านๆ คนชนบททั่วประเทศ ไม่ใช่แค่คนใต้ ลองไปดูยอดคนฟังในยูทูบสิ ทะลุไป 200 ล้านแล้ว บางคนฟังซ้ำไม่ต่ำกว่าสิบรอบเวลาเหงา เครียด เจ็บปวด โดนดูถูก ผมนั่งฟังเนื้อเพลงชัดๆ แล้วมันสะเทือนใจ เด็กบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีใครสนใจ แอบรักสาว สาวก็ไม่สนใจ แต่สุดท้ายแฮปปี้เอนดิ้ง เพลงมันให้ความหวังด้วย”สืบหัวเราะเสียงดัง

ด้วยความเป็นคนทำหนัง เป็นนักเล่าเรื่อง ประกอบกับมิตรสหายกวีชื่อดัง อภิชาติ จันทร์แดง (ผู้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์) แนะนำให้รู้จักกับทิวากร แก้วบุญส่ง หรือโอ พารา เจ้าของค่ายเพลงพาราฮัท มิวสิค ผู้แต่งเพลงมหาลัยวัวชน จึงเกิดแรงบันดาลใจในการทำภาพยนตร์

ผมไปเมากับโอ พารา คุยกันถูกคอเลย (หัวเราะ) เขาอยากทำค่ายเพลง อยากสร้างศูนย์เรียนรู้เพื่อเด็กบ้านนอกคอกนา เด็กไม่มีที่ไป เด็กไร้คุณค่าในชีวิต ไม่เห็นความหมายของตัวเอง เพราะเขาเคยเป็นแบบนั้นมาก่อน เพื่อให้เด็กๆไปเล่นดนตรีแทนที่จะไปติดยาเสพติด ผมก็ทำค่ายหนังปลาเป็นว่ายทวนน้ำสตูดิโอ เพื่อคนปีกหักทั้งหมด วางแผนจะไปตั้งกลางทุ่ง เอาเด็กมาฝึกทำหนัง เขียนบทหนัง หนังของผมจะเป็นหนังพิเศษที่ชาวบ้านเล่น ทำเองขายเองแบบ Act local thing global คือทำแบบบ้านๆแต่ขายทั่วโลก อุดมการณ์เราสองคนเหมือนกันมันก็เลยคลิ๊ก พอถามว่า “เฮ้ย จะทำหนังแล้วมีตังค์มั้ย” โอบอก “ไม่มีครับพี่” (หัวเราะ) อ้าว ไม่มีตังค์แล้วจะทำหนังยังไงวะ โอเลยบอกว่างั้นแชร์กันได้มั้ย ต่างคนต่างไม่มีตังค์ ผมก็ไม่เคยได้ตังค์จากการทำหนัง ไม่มีค่าตัวด้วย สรุปเลยลงขันกัน ผมไปยืมแม่ยาย โอกับพงศ์ (เทอดพงศ์ เภอบาล นักร้องนำวงพัทลุงและพระเอกของเรื่อง) ก็ไปยืมญาติ กู้ธกส. เอาเงินมารวมกันจนเปิดกล้องได้”

แล้วฝันใหญ่ของคนบ้านบ้านสองคนก็เริ่มต้นขึ้นกลางสวนยางพารา

ทิวากร แก้วบุญส่ง หรือโอ พารา ผู้แต่งเพลงมหาลัยวัวชน

“มหาลัยวัวชน” ชีวิตต้องสู้ของเด็กเลี้ยงวัว

ไม่ต้องเดากันให้วุ่นวาย ภาพยนตร์เรื่องมหาลัยวัวชนมาจากเพลง เนื้อเรื่องก็คงไม่พ้นเรื่องราวของวงพัทลุง แต่ระดับผู้กำกับหนังอย่างสืบ บุญส่งคงต้องมีอะไรที่ลึกล้ำกว่าแค่จะทำหนังชีวประวัติวงดนตรีธรรมดาๆแน่

วันที่โอพาผมเที่ยวป่าบอน เดินเล่นในสวนยาง ฟังเสียงนกเสียงกา สูบยาเส้น นั่งฟังเพลงบนขนำ ฟังประวัติความเป็นมา อุดมการณ์ สัมผัสวิถีชีวิตจริงๆของเด็กเลี้ยงวัว มันมีเสน่ห์ ผมเป็นนักเล่าเรื่องที่ถนัดมากๆในการเดินทางหยิบฉวยเรื่องที่พบเห็นมาเล่า ฟังเสร็จปุ๊บคิดเรื่องออกปั๊บเลย เรื่องจริงผสมกับเรื่องแต่ง ไม่ต้องรีเสิร์ชตำรา ยิ่งทำยิ่งรู้สึก Touching อะไรบางอย่าง คำว่ามหาลัยวัวชน พูดถึงชีวิตเด็กคนหนึ่งที่ไม่ได้เรียนหนังสือยิ่งใหญ่อะไร เด็กบ้านๆกรีดยาง เลี้ยงวัว วัวก็ไม่ใช่ของตัวเองด้วยซ้ำ เด็กจนๆเลี้ยงวัวชนซึ่งไม่ได้พูดเรื่องความรักความอกหักเท่านั้น แต่ยังพูดถึงความฝัน การผจญภัย ความเป็นหนุ่มนักต่อสู้ มหาลัยวัวชนก็คือมหาลัยชีวิตนั่นเอง

หนังเรื่องนี้มีศักยภาพ —- เป็นคำที่สืบย้ำแล้วย้ำอีกอย่างมั่นใจ

ในประวัติศาสตร์หนังไทย หนังอีสานอาจมีขึ้นจอเยอะแล้ว แต่หนังใต้จริงๆยังไม่มี มหาลัยวัวชนมันเป็นเรียลลิสติก จับต้องได้ มีเลือดมีเนื้อ และแน่นอนมันสัมผัสหัวใจคนบ้านๆ โดยเฉพาะคนที่หลบเร้นในที่ต่างๆจะต้องมาดูหนังเรื่องนี้ เรื่องราวไม่ใช่แค่ภาคใต้ มันแค่เล่าเรื่องผ่านเด็กหนุ่มที่อยู่ป่าบอน พัทลุง แต่เป็นเรื่องเดียวกับคนบ้านๆทั่วประเทศที่มีชีวิตการต่อสู้ ความรัก ความหวัง ความฝันถึงชีวิตที่ดีกว่านี้ การยอมรับ การมีตัวตน ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของมนุษยชาติที่ต้องข้องแวะกับเรื่องพวกนี้อยู่ตลอดเวลา ผมจะเล่าเรื่องมนุษย์ มนุษย์ที่เป็นเด็กบ้านๆในชนบท ในสวนยาง กินอาหารใต้ ฟังเพลงใต้ พูดภาษาใต้ ถึงขนาดต้องใส่ซับไตเติ้ลลงไปเพราะกลัวคนฟังไม่รู้ ผมจำเป็นต้องใส่รายละเอียดทุกอย่างลงไป เพราะเราจะเล่าเรื่องคนใต้โดยไม่พูดถึงวัฒนธรรมของเขาไม่ได้ ลมหายใจของคนภาคใต้คือวัวชน แต่เราไม่ได้จะพูดถึงการแข่งขันวัวชน  วัวชนเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของเขา เป็นลมหายใจ เป็นความหวังด้วยซ้ำ ไม่ต่างจากความหวังที่จะเป็นนักร้องของพงษ์ พระเอกของเรื่อง”

สืบบอกว่าหนังเรื่องนี้ทุนสร้างน้อยมาก แต่คุณภาพระดับ 20 ล้าน เรียกว่าเทหมดหน้าตัก เอาของบ้านๆขึ้นห้างฉายทั่วประเทศโดยไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น

พงศ์ วงพัทลุง พระเอกหนังเรื่องมหาลัยวัวชน

Act local think Global เคล็ดลับทำหนังสไตล์สืบ

ในสายตาคนทำหนังไทย ชื่อชั้น ฝีไม้ลายมือ ประสบการณ์ และนิสัยใจคอของบุญส่ง นาคภู่ เป็นอย่างไร คงไม่ต้องสาธยายกันอีก

ผู้กำกับที่มีลายเซ็นเฉพาะตัว หยิบเอาเรื่องราวของคนตัวเล็กตัวน้อยมาบอกเล่าด้วยวิธีที่ธรรมดาที่สุด เรียบง่ายที่สุด ด้วยทีมงานที่น้อยที่สุด อุปกรณ์ที่น้อยที่สุด และเงินที่น้อยที่สุด …สไตล์การทำหนังของสืบเป็นอย่างไร ฟังเจ้าตัวอธิบายเองดีกว่า

“เรื่องคนจนผู้ยิ่งใหญ่ ช่วงนั้นอยากทำหนังแต่ไม่มีตังค์ ตังค์กินข้าวยังไม่มี เลยขอยืมตังค์เมียแสนห้า เพราะมันเป็นเรื่องในใจที่อยากเล่ามา 30 ปีแล้ว พอกลับบ้านก็ลุยเลย เอาพ่อแม่พี่น้องมาเล่น เรื่องที่สอง สถานี 4 ภาค ผมชอบอ่านงานวรรณกรรม ก็เลยคัดเรื่องสั้นของนักเขียนไทยชั้นครู 4 คน โดยมีท้องเรื่องมาจาก 4 ภาค ได้แก่ กลาง เหนือ อีสาน ใต้ เรื่องที่สาม วังพิกุล นี่ก็ตังค์น้อยอีกแล้ว ยิ่งตังค์น้อยยิ่งต้องทำให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิม ผมตั้งกติกาว่าทุกครั้งที่ทำหนังใหม่มันต้องดีขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นการพัฒนาตัวเอง แต่สวนทางกับเงิน เงินทุนในเมืองไทยหายาก คนส่งเสริมก็ไม่มี โชคดีกระทรวงวัฒนธรรมให้เงินมาก้อนหนึ่ง

เรื่องต่อมาธุดงควัตร ผมเปิดกล้องแค่สองแสน แถมไปยืมตังค์เขาด้วย กว่าจะจ่ายหนี้หมดเบ็ดเสร็จรวมแล้วหกแสนกว่า แต่คุณภาพไม่ธรรมดา ทุกคนพูดแซ่ซ้องกันไปอย่างนั้นอย่างนี้ เงินแค่นี้ทำได้ยังไง มันต้องกรีดเลือดและจิตวิญญาณทำ สำหรับเรื่องมหาลัยวัวชนนี่ยิ่งท้าทาย ผมจะไร้ตัวตน ตัวตนคือบุญส่งต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ผมจะปล่อยให้ทุกอย่างลื่นไหลไปตามธรรมชาติ กำกับเหมือนไม่กำกับ ผมจะเป็นพ่อครัวที่ปล่อยให้วัตถุดิบในการทำอาหารแสดงศักยภาพตัวเองออกมา มหาลัยวัวชน หนังเล่าเรื่องสนุกมาก เร็วมาก พริ้วไหว เป็นธรรมชาติสุดๆ นักแสดงเป็นชาวบ้านหมด ไม่เคยเล่นหนัง แต่เล่นไม่แข็ง ไหลลื่นมาก ไปดูเองแล้วจะรู้ว่าเล่นได้ไง (หัวเราะ) อย่างพงศ์ นักร้องนำวงพัทลุง พระเอกของเรื่อง ในเรื่องก็ชื่อพงษ์ บางคนอาจบอกว่าเล่นเป็นตัวเองนี่หว่า แต่มันไม่ใช่ มันมีกลวิธีในการกำกับ เขาชื่อพงษ์เพราะจะได้รู้สึกสนุกในการเล่น ไม่ต้องพยายามเป็นคนอื่น เป็นตัวของตัวเอง แต่จริงๆแล้วเล่นตามบททุกอย่าง ผมกำกับหมด วางหมากโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย กลวิธี acting coach ของผม เป็นการกำกับคนเล่นโดยไม่ต้องทำอะไรเลย หนังของผมเป็นแบบนี้ทุกเรื่อง”

ทุนน้อย นักแสดงไม่ดัง แถมเล่าเรื่องชีวิตบ้านๆ หนีไม่พ้นต้องเจอกับความเสี่ยงสารพัดที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า แต่สืบมั่นใจว่าทุกอย่างจะต้องออกมาดี

เราสู้เพื่อศักดิ์ศรีของคนบ้านบ้าน การตัดสินใจฉายทั่วประเทศ ผมต้องแบกรับความเสี่ยงเยอะมาก ค่าโรงหนัง ค่าโน่นนั่นนี่ ไม่มีคนดูจะทำอย่างไร แต่เราสู้เพื่ออะไร… โอ พาราบอกว่าสู้เพื่อศักดิ์ศรี เป็นศักดิ์ศรีของคนใต้ คนบ้านบ้านอย่างเราก็ทำได้ หนังเข้าโรงเราก็มีความสุขแล้ว เราจริงใจและหวังว่าคนดูจะสัมผัสความจริงใจของเราได้ เราพยายามสื่อสารไปถึงคนดูตลอดเวลาทั้งเพลง ทั้งหนัง ทั้งโปสเตอร์

หนังฟอร์มเล็กปักหลักสู้วิกฤตหนังไทย

ในวันที่คนส่วนใหญ่มองว่าหนังไทยไร้ความหลากหลาย เต็มไปด้วยแนวตลก ผี รัก วัยรุ่น แถมพื้นที่ฉายยังโดนเบียดบังจากหนังฮอลลีวู้ดฟอร์มยักษ์ สุดท้ายทำให้คนทำหนังจำนวนไม่น้อยพากันท้อแท้หมดกำลังใจ

แล้วหนังฟอร์มเล็กอย่างมหาลัยวัวชนล่ะจะฟันฝ่าไปได้แค่ไหน?

ในฐานะผู้กำกับที่ทำหนังมานานกว่า 20 ปี โดนมาเยอะ เจ็บมาเยอะ สืบยอมรับว่าอุตสาหกรรมหนังไทยกำลังเผชิญวิกฤต

วัฒนธรรมการทำหนังการดูหนังของไทยยังไม่มั่นคง ทุกวงการของสังคมมันไม่แชร์กัน ต่างคนต่างมือยาวสาวได้สาวเอา นายทุนก็ลงทุน เอาเงินอย่างเดียว คนทำหนังก็เป็นหมาล่าเนื้อ หิว โจทย์ไหนมาทำหมดเพื่อให้อยู่ได้ โรงหนังก็เปิดรับแต่หนังฝรั่งเพราะว่าทำเงิน ลงทุนซื้อหนังฝรั่งมาฉายมันปลอดภัยกว่า โรงหนังเขาไม่ได้เกลียดหนังไทยนะ แต่เขาทำธุรกิจไง ก็ต้องทำเงินให้มากที่สุด แล้วรัฐบาลก็ไม่สนใจ กระทรวงหลักๆก็ไม่ได้สนใจ ทุกคนต่างดิ้นไปคนละทาง ปล่อยให้คนเล็กคนน้อยดิ้นรนเอาเอง ผมเปรียบตัวเองเป็นธุลี เป็นคนทำหนังเล็กๆในวงการคนทำหนังอันกว้างใหญ่ ในประเทศอันยิ่งใหญ่ ปรากฎว่าผมก็ดิ้นรนด้วยลำแข้งตัวเอง เรารักหนัง อยากตายไปกับหนัง แต่ว่าทำหนังไปแล้วไม่มีใครดู ไม่มีที่ให้ฉาย รัฐบาลไม่โอบอุ้ม ไม่มีใครสนใจ แล้วยังไงล่ะ ผมก็ต้องทำงานเลี้ยงครอบครัว เลี้ยงทีมงาน ไม่มีความมั่นคงไม่มีความหวังอะไรทั้งสิ้น นี่คือสภาวะที่เป็นอยู่ในสังคมไทย ปัญหาคือทุกคนไม่เคยสนใจภาพรวม ไม่เคยสนใจกันและกัน ไม่เคยสนใจความยั่งยืน ลูกศิษย์เคยผมถามว่า ‘อาจารย์ผมอยากเข้าวงการหนัง เข้าที่ไหนครับ’ ผมสะเทือนใจมาก ตอบลูกศิษย์ไม่ได้ เพราะว่ามันไม่มีวงการจะให้เข้า วงการมันไม่มี

ผมพูดเสมอว่าอย่าเข้าวงการเลย อยากทำหนังอะไรก็ทำ ตอนนี้กล้องก็ซื้อได้ง่ายๆแล้ว โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว วิธีทำหนังมันง่ายมาก มีแนวโน้มว่าจะเกิดหนังเฉพาะกลุ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ พวกหนังเล็กหนังน้อย ถูกใจคนกลุ่มนั้นคนกลุ่มนี้ ผู้กำกับคนนั้นคนนี้มีแฟนเป็นหมื่นเป็นพันก็อยู่ได้ ทำหนังตามอัตภาพไม่เล็กไม่ใหญ่เพื่อตอบสนองคน แฮปปี้ วินวิน ผมฝันว่าทุกคนจะเห็นพลังของหนัง หนังมันชนะจิตวิญญาณคน เปลี่ยนแปลงคนระดับจิตวิญญาณเลย นึกภาพการซื้อตั๋วเข้าไปดูหนังในความมืด แสงสว่างบนจอสองชั่วโมง เสียงและภาพซึมซับลงไปที่ตา กาย ใจ จิตวิญญาณก็เปลี่ยน พลังหนังทำให้เกิดปัญญา ทำให้คนละเอียดอ่อนมากขึ้น

ผมฝันอีกว่าโรงหนังจะให้พื้นที่ที่ชัดเจนกับคนทำหนัง ปัญหาตอนนี้คือ หนังไม่มีความหลากหลาย มันผิดกฎธรรมชาติ ป่าที่ไม่มีความหลากหลายมันตายหมด อยู่ไม่ได้ ไม่มีสิงสาราสัตว์เกิด มีแต่ต้นยูคาลิปตัส นกยังไม่กล้าจับเลยเพราะมันร้อน มันจะตายกันหมด  วิธีใส่ความหลากหลายง่ายๆคือ ให้ทุกคนทำหนังที่อยากทำอย่างเต็มที่และก็ให้พื้นที่ที่ชัดเจนแก่พวกเขา หมายถึงโรงและเวลาที่ฉาย สมมติผมเป็นคนเล็กๆในอุบลราชธานี อยากทำเรื่องของตาที่เป็นนักเป่าแคนที่ไพเราะมาก แต่ไม่มีใครมองเห็น ผมอยากทำหนังเรื่องนี้สุดหัวใจ แต่ปรากฎว่าโรงฉายไม่มีกติกาใดๆทั้งสิ้นว่าหนังของผมจะฉายได้หรือไม่ ฉายกี่วัน กี่รอบ ไม่มีวันรู้เลย สุดท้ายก็ทำมาแล้วก็เอามาเสี่ยงดวงดู ผมไม่ได้ลงทุนเพื่อให้ฉายวันเดียวแล้วโดนถอด แต่ถ้ามีกติกาชัดเจนว่า หนังทุกเรื่องจะได้ฉายอย่างน้อย 7 วัน วันละ 5 รอบ ในฐานะคนทำหนัง ผมจะรู้แล้วว่าทำหนังไปจะได้ฉายแน่ๆ 7 วัน วันละ 5 รอบ ผมต้องพัฒนาตัวเอง ผมต้องบิวท์ให้สุดๆไปเลย มันก่อเกิดพลังสร้างสรรค์ เพราะมันมีความชัดเจน แต่ตอนนี้ไม่มีความชัดเจนอะไรเลย คนทำหนังก็ไม่กล้าเสี่ยง คนลงทุนก็ไม่กล้าเสี่ยง

ผู้กำกับหนังวัย 49 บอกว่า วันนี้เขาปลดแอกเป็นอิสระแล้ว ได้ทำหนังที่ตัวเองอยากทำ เล่าเรื่องที่อยากเล่า ไม่ต้องทำหนังตามการชี้นิ้วสั่งของใคร

“ตอนนี้ผมอินดี้โดยสปิริต ผมเป็นกบฎที่คิดไม่เหมือนใครตั้งแต่แรก เขาไปขวาผมจะไปซ้าย เขาเดินหน้าผมถอยหลัง ผมปฏิวัติกระบวนการทำหนังทั้งหมด วิธีการทำงานคือ คนเยอะลดคน ของเยอะลดของ ไม่มีไฟก็ไม่เอา ไม่เอาดาราดัง ปักโลเคชั่นที่ไหนหานักแสดงที่นั่น ขับรถเอง เอาหัวใจไปสัมผัส เรื่องมหาลัยวัวชนผมก็ไปลงพื้นที่เดือนนึงที่ป่าบอน พัทลุง ศึกษาจิตวิญญาณของคนใต้ ทำด้วยใจ โคตรมีความสุขเลย ทุกคนอิจฉาผมเพราะว่าผมได้ทำสิ่งที่อยากทำ เพราะว่าผมบ้าและกล้า ถามว่าคนอื่นทำอย่างผมได้ไหม สบาย ถ้าคุณกล้าพอ ถ้าคุณยอมเสี่ยง และคุณชัดเจนว่าคุณจะตายไปกับหนัง ถ้าคุณรักหนังที่เงินก็จบ แต่ถ้าคุณรักหนังที่เรื่องราว ทุกครั้งที่หยิบเรื่องมาทำหนังเราก็ความสุขแล้ว ไม่ต้องสนใจอะไรแล้ว อันนี้คือจิตวิญญาณ”

ทางออกของวิกฤตหนังไทย สำหรับบุญส่ง นาคภู่ เขาวิเคราะห์ไว้อย่างคมคายว่า

“ตอนนี้เราเปลี่ยนแปลงโครงสร้างไม่ได้โดยเฉพาะรัฐบาลเผด็จการ เราเปลี่ยนให้คนไม่มีสำนึกมามีสำนึกไม่ได้ เราเปลี่ยนรัฐที่ไม่เห็นค่าศิลปะให้มาเห็นค่าศิลปะไม่ได้ แต่เราเปลี่ยนได้ที่ตัวเอง ตอนนี้ผมมีความหวังที่ตัวเอง คนทำหนัง หรือศิลปินใครก็ได้ลุกขึ้นมาทำในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ทำสิ่งที่ Touching และ Moving เราต้องพิสูจน์คุณภาพตัวเองสิ โรงหนังก็จะโน้มเอียงมาหาเรา รัฐบาลก็จะโน้มเอียงมาหาเรา สังคมก็จะเออ…เบื่อเหลือเกินรสชาติแบบเดิมๆ เบื่ออาหารขึ้นห้าง อยากจะกินผัดสะตอ เราก็ทำรสชาติเด็ดๆของเราให้ชิมแล้วโลกจะโน้มเอียงมาหาเรา นี่คือความเปลี่ยนแปลง ตอนนี้อาจจะยังไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงได้ แต่มันเริ่มมาแล้ว หนังไทยบ้านเดอะซีรีส์เริ่มได้ตังค์ มีกระแสปากต่อปาก local กำลังขึ้นมาเหนือน้ำ แล้วสักวันทุกอย่างจะเปลี่ยนแปลง ไม่นานหรอก ผมอยู่ทันและผมก็จะเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงที่ยืนด้วยขาของตัวเอง”

 

 

“เสียใจที่บางคนไม่รู้ว่ามูลนิธิคืออะไร” โซไรดา ซาลวาลา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อนช้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 มีนาคม 2560 เวลา 20:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/487204

"เสียใจที่บางคนไม่รู้ว่ามูลนิธิคืออะไร" โซไรดา ซาลวาลา ผู้ก่อตั้งมูลนิธิเพื่อนช้าง

โดย…พรพิรุณ ทองอินทร์

เป็นที่ตื่นตัวและตกใจของคนรักช้างเมื่อ “โซไรดา ซาลวาลา” ผู้ก่อตั้งเเละเลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวเมื่อวันที่ 13 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยประกาศขอยุติมูลนิธิเพื่อนช้าง หลังประสบปัญหาต่างๆ ทั้งสุขภาพร่างกายของตนเอง ขาดแคลนบุคลากรและเงินทุนมากเพียงพอในการดำเนินการต่อ

อย่างไรก็ตามหลังเรื่องดังกล่าวถูกเผยแพร่ออกไป คนรักช้างจำนวนมากทั่วฟ้าเมืองไทยไม่ปล่อยให้เธอและมูลนิธิยอมแพ้ พากันร่วมบริจาคเงินรวมกว่า 45 ล้านบาทเพื่อให้องค์กรแห่งนี้เดินหน้าต่อไปอย่างไม่เดียวดาย

เงินและบุคลากร 2 ปัจจัยเดินหน้ามูลนิธิ

มูลนิธิเพื่อนช้าง เกิดขึ้นจากวิกฤตของการสูญเสียช้าง ซึ่งถือเป็นสัตว์บกเลี้ยงลูกด้วยนมที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก เป็นเอกลักษณ์อันยิ่งใหญ่ของชาติรวมทั้งเป็นตัวสร้างระบบนิเวศน์ที่สำคัญของป่าและธรรมชาติ  โซไรดา เฝ้าจับตาการสูญเสียเเละปริมาณที่ลดลงเรื่อยๆ ของช้าง ก่อนตัดสินก่อตั้ง มูลนิธิเพื่อนช้าง หรือชื่อภาษาอังกฤษว่า “Friends of the Asian Elephant” ขึ้นเมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2536 โดยได้รับความร่วมมือจาก นายสัตวแพทย์ปรีชา พวงคำ สัตวแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องช้าง ในป่าบ้านปางหละ จังหวัดลำปาง

จากวันนั้นถึงวันนี้เกือบ 25 ปีที่ผ่านมา โซไรดา บอกว่า ข้อผิดพลาดในการทำงานนั้นแทบไม่มี อุปสรรคและปัญหาใหญ่เกิดจากการขาดแคลนบุคลากรและทุนทรัพย์เท่านั้น ที่ผ่านมาเคยประกาศรับสมัครคนทำงานมาอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจากสู้ค่าจ้างในระดับสูงไม่ไหว จึงมักถูกปฎิเสธ ขณะที่ตนเองเคยประกาศลาออกจากตำเเหน่งหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ถูกคณะกรรมการห้ามปราบไว้เสมอ

“บางคนเรียนมาสูงก็ต้องอยากได้เงินเดือนสูงเป็นธรรมดา แต่มูลนิธิเราจ่ายไม่ไหว ส่วนตัวเราเองเคยขอลาออกหลายครั้งแล้ว เพราะอยากเปิดโอกาสและเห็นว่าน่าจะมีผู้ทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า แต่คณะกรรมการบอกว่า เป็นผู้ก่อตั้งจะมาลาออกได้อย่างไร และเข้าใจว่าต่อให้ตนลาออกก็ไม่ได้ทำให้มูลนิธิดีขึ้น ปัญหาที่แท้จริงอยู่ที่การขาดแคลนบุคลากรและเม็ดเงินต่างหาก”

เลขาธิการมูลนิธิเพื่อนช้าง บอกว่า ที่ผ่านมามูลนิธิได้รับเงินบริจาคไม่เพียงพอต่อการใช้จ่าย โดยติดลบอย่างต่อเนื่องหลายปีตั้งแต่เริ่มต้นเปิดมูลนิธิ เพียงแต่ประชาชนไม่เคยทราบ โดยในปีพ.ศ.2537 หลังการก่อตั้งเพียงแค่ 1 ปี ตัวเลขบัญชีของมูลนิธิก็ติดลบแล้ว

“เราติดลบมาตลอด ไม่ใช่เรื่องใหม่เพียงแต่ไม่มีคนรู้ อย่างปีที่ 9 ติดลบกว่าสี่แสนบาท ปีที่ 10 รายรับเจ็ดแสน แต่ค่าใช้จ่ายสูงถึงแปดแสนบาท คือโดยเฉลี่ยมูลนิธิมีค่าใช้จ่ายประมาณเดือนละเจ็ดถึงแปดแสนบาท เท่ากับ 1 ปี ต้องมีเงินอย่างน้อยสิบถึงสิบสองล้านบาท หากมีภัยธรรมชาติ อย่างพายุฤดูร้อน สถานที่เกิดความเสียหายก็ต้องใช้เงินดูแลซ่อมแซมอีกว่าสองล้านบาท” โซไรดาบอกถึงรายจ่ายที่ไม่สัมพันธ์กับรายรับ

“มีคนถามว่าทำไมไม่ส่งช้างให้หน่วยงานอื่นดูแล เราคิดว่ายังไม่ถึงเวลา และอาจไม่มีวันโอนช้างให้หน่วยไหน ไม่เชื่อว่าหน่วยงานไหนจะดูแลช้างพิการได้ดีเท่าที่เราทำ เพราะต้องใช้ประสบการณ์และความเชี่ยวชาญอย่างมาก ตอนนี้ประชาชนอยากให้เราดำเนินการต่อ ก็ทำต่อ สำหรับผู้ที่ไม่เห็นด้วย ขอความกรุณาอย่าซ้ำเติม เพราะเราเหนื่อยกันมากพอแล้ว เวลานี้คือการทำงานเพื่อพัฒนาวงการช้างไทย”

 

 

 

ภาระหนักทั้งคนและช้าง

โซไรดา บอกถึงการทำงานในมูลนิธิว่า ปัจจุบันดูแลช้างอยู่ 5 เชือกไม่นับรวมช้างจากพื้นที่อื่นๆ ที่ส่งมารักษาตัวแล้วส่งกลับ โดยมีบุคลากรเพียงแค่ 15 คนเท่านั้น จึงทำงานลำบากและเกิดความล่าช้าในช่วงเวลาที่ผ่านมา

“ช้างที่อยู่กับมูลนิธิเมื่อก่อนมี 9 เชือก แต่ล้มตายไปตามอายุขัย ปัจจุบันเหลืออยู่ 5 เชือก เเบ่งเป็นช้างพิการต้องใส่ขาเทียม 2 เชือก อีกหนึ่งเชือกได้รับบาดเจ็บจากกับระเบิด โชคดียังไม่ต้องตัดขา แต่พื้นเท้ายังมีลักษณะนิ่ม ต้องปูยางพิเศษให้กับมันเพื่อให้สามารถเดินได้อย่างปลอดภัย อีกตัวมีอาการทางประสาทและปัญหาเรื่องตาเล็กน้อย มีเพียงตัวสุดท้ายที่สมบูรณ์

สำหรับช้างที่เข้ามารักษาในมูลนิธิและกลับไปหาเจ้าของแล้วล่าสุดมี 2 เชือก อยู่ระหว่างรักษาอีก 6 เชือก ซึ่งถือว่าน้อยเพราะบางครั้งมีช้างเจ็บป่วยเข้ามารักษาถึง 20 เชือก ซึ่งแน่นอนว่ามูลนิธิดูแลไม่ไหว หน่วยรักษาไม่เพียงพอ แต่ปฎิเสธไม่ได้ เบื้องต้นทำได้เพียงให้น้ำเกลือไปก่อน บุคลากรเพียงแค่ 14-15 คน แบ่งเป็นเจ้าหน้าที่ดูแล 11 คน แพทย์ 2 คน เจ้าหน้าที่ธุรการ 1 คน และตัวเอง นอกจากนั้นเป็นแม่บ้าน 2 คน ซึ่งเราจ้างเป็นรายวัน”

โซไรดา เล่าว่า สมัยก่อนเจ้าหน้าบางรายที่ต้องนอนกับดิน เพราะไม่มีที่พักเพียงพอ น้ำไฟก็ไม่มี ปัจจุบันยังมีเรือนพักให้เจ้าหน้าที่ มีน้ำอุ่นให้อาบ ทุกคนที่ทำงานตรงนี้ดูแลกันเหมือนญาติพี่น้อง คนที่พาช้างมารักษา ก็กินอยู่กับเรา ช่วยเหลืออาหารและที่พักให้อย่างเต็มที่

“ดูแลช้างแล้วต้องดูแลคน เพราะถ้าควาญช้างเครียด ช้างก็เครียดตาม รักษาแผลแล้วรักษาจิตใจของช้างด้วย นั่นคือสิ่งที่เราทำมาตลอด และมองไม่เห็นว่าใครเป็นภาระหรือความบกพร่อง”

สภาพช้างขาพิการ ภาพจากเฟซบุ๊ก Soraida Salwala โซไรดา ซาลวาลา

มูลนิธิอยู่ได้เพราะเงินบริจาคประชาชน

โซไรดา บอกว่า 25 ปีที่ผ่านมามูลนิธิอยู่ได้เพราะเงินบริจาคจากประชาชน ตามระเบียบข้อบังคับของมูลนิธิไม่มีสิทธิทำการค้าได้ โดยเงินสนับสนุนนับตั้งแต่ก่อตั้งเป็นเงินจากชาวไทย 80% และชาวต่างชาติอีก 20%

“เสียใจที่บางคนไม่ได้อ่านและรู้ว่ามูลนิธิคืออะไร เรื่องเงินที่บริจาคเปิดเผยต่อสาธารณะอยู่แล้ว ถ้าถามว่ามูลนิธิติดลบตั้ง 11 ปี อยู่มาได้อย่างไร ก็ต้องบอกว่าอยู่มาได้เพราะบัญชีเงินฝากประจำออกมาใช้ ไม่ต้องการรบกวนประชาชนถ้าไม่จำเป็น สำหรับยอดเงินบริจาคในปัจจุบันกว่า 45 ล้านบาท ถือว่าเกินคาด และไม่คิดไม่ฝันว่าจะได้รับความเมตตาขนาดนี้ ขอบคุณประชาชนมากที่ทำให้เราสามารถดำเนินการต่อไปได้”

โซไรดา บอกว่า จำนวนเงินดังกล่าวคาดกว่าจะสามารถดูแลการดำเนินการภายในมูลนิธิได้ยาวนานถึง 4 ปี โดยระหว่างนี้ทีมงานจะผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาช้างในระดับชาติ ผ่านแผนแม่บทที่ประชุมระดับ 4 ภาค เริ่มตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ ที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จ.เชียงใหม่ จ.สุรินทร์ และ จ.กระบี่ เมื่อประชุมครบกำหนดทุกภาคทีมงานและคณะกรรมการจะสรุปออกมาเป็นแผนเพื่อกราบเรียนคณะรัฐมนตรีต่อไป

 

ถอดรหัส ม.44 สารพัดกฎหมายวินัยจราจร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 มีนาคม 2560 เวลา 09:21 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/486989

ถอดรหัส ม.44 สารพัดกฎหมายวินัยจราจร

เรื่อง…เอกชัย จั่นทอง / ภาพ…มินตรา ฤทธิ์ธาอภินันท์

อีกไม่ถึง 1 เดือนจะเข้าสู่เทศกาลสงกรานต์ ประชาชนทั่วทุกสารทิศจะเดินทางกลับภูมิลำเนากันหลายล้านคน เรื่องที่ตามมาคืออุบัติเหตุการเสียชีวิต ทำให้รัฐบาลงัดไม้เด็ดใช้กฎหมายพิเศษมาตรา 44 กวดขันเรื่องความปลอดภัยและกฎระเบียบบนท้องถนนเพื่อลดความสูญเสีย

อย่างมาตรการจัดระเบียบรถตู้โดยสารให้ปรับมาใช้ “รถไมโครบัส” และล่าสุดสดๆ ร้อนๆ ใช้มาตรา 44 สั่งให้ผู้ขับขี่และผู้โดยสารทุกคนภายในรถต้องคาดเข็มขัดนิรภัย ถ้าไม่ดำเนินการจะมีความผิดทางกฎหมาย รวมถึงมาตรการเสียค่าปรับหรือใบสั่ง หากประชาชนไม่ยอมชำระค่าปรับ ต่อภาษีไม่ได้และถูกฟ้องศาล มาตรการทั้งหมดมีทั้งผู้เห็นต่างและเห็นด้วยกับภาครัฐ

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว นิกร จำนง ประธานชมรมไทยปลอดภัย และอดีตประธาน กมธ.วิสามัญขับเคลื่อนการปฏิรูประบบความปลอดภัยทางถนน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ได้ถอดรหัสกฎหมายจราจรกับโพสต์ทูเดย์ว่า จากประสบการณ์การแก้ไขปัญหาเรื่องอุบัติเหตุบนท้องถนนต้องใช้ระยะเวลานาน เนื่องจากเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกในหลายมิติแก้ปัญหาเพียงชั่วข้ามคืนไม่ได้

“เรื่องนี้ต้องขอบคุณรัฐบาลที่ออกมาตรการบังคับใช้กฎหมายทางถนน หลังจากทุกองคาพยพขยับเคลื่อน จึงคาดว่าในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ ยอดผู้เสียชีวิตและอุบัติเหตุจะลดลง ต่อไปต้องมีแผนกำหนดชัดเจนว่า ต้องขีดเส้นตั้งเป้าให้จำนวนอุบัติเหตุและเสียชีวิตอยู่ที่เท่าไหร่จนไปถึงศูนย์ เพราะไม่มีใครสามารถทำให้ยอดผู้เสียชีวิตและอุบัติเหตุเป็นศูนย์ได้ทันที แม้แต่ประเทศเล็กๆ ก็ยังเกิดอุบัติเหตุ”

กระนั้นก็ตาม ประธานชมรมไทยปลอดภัย อธิบายต่ออีกว่า ในต่างประเทศเองใช้ระบบ Towards Zero กันเยอะ เพื่อมุ่งไปสู่ตัวเลขการเกิดอุบัติเหตุและเสียชีวิตให้เป็น “ศูนย์” ไม่ใช่การทำให้เป็นศูนย์ทันที ซึ่งเป็นนโยบายที่ใครก็ทำไม่ได้ แต่การไปสู่ตัวเลข “ศูนย์” สามารถทำได้ โดยมีเป้าหมายคือ “ศูนย์” หรือน้อยที่สุด เพียงแต่จะช้าหรือเร็วเท่านั้น เหมือนกับการวิ่งมาราธอนมีเป้าหมาย ถ้าไม่มีเป้าหมายไม่ได้ ทั้งหมดเป็นกรอบแผนที่เสนอให้รัฐบาลนำไปดำเนินการในตามกรอบระยะเวลา 5 ปี

อย่างประกาศฉบับที่ 14 และ 15 ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. เกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยจราจร ตัวหลักของกฎหมายคือเน้น

การจัดการเรื่องรถในช่วงเทศกาลสงกรานต์ ที่พบสาเหตุหลักการเสียชีวิตเกิดจากความเร็วของการตัดหน้ากระชั้นชิด เมาแล้วขับ ง่วง ไม่ใช่อุปกรณ์ความปลอดภัยขณะขับรถ อย่างหมวกกันน็อก อุปกรณ์ความปลอดภัยที่เห็นภาพชัดเจนคือต้องสวมหมวกกันน็อก ถ้าไม่ใส่คือผิดกฎหมาย

และที่องค์การอนามัยโลก (WHO) ร้องขอ คือเรื่องการรัดเข็มขัดนิรภัยของผู้โดยสารทุกคนในรถ ซึ่งในระบบของโลกให้คาดเข็มขัดทุกที่นั่งเวลาเกิดอุบัติเหตุจะสามารถลดการสูญเสียได้ โดยส่วนตัวแล้วเห็นด้วยกับมาตรการรัดเข็มขัด เพราะเราไม่รู้จะเกิดอุบัติเหตุเมื่อใด และเป็นเรื่องดีนำมาใช้ในช่วงเทศกาลที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 5เม.ย.นี้

จากมาตรการคาดเข็มนิรภัย นิกร ยังยกเหตุผลข้อกังวลที่อาจเป็นปัญหาพร้อมเสนอแนะว่า เสียงของประชาชนบางส่วนบอกว่า “รถของเขาเป็นรถรุ่นเก่า” ไม่มีที่คาดเข็มขัดนิรภัยติดมากับรถส่วนใหญ่เป็นรถรุ่นเก่า รายได้น้อย คนเหล่านั้นจึงเดือดร้อน แต่ถ้ามีแล้วเสียหายเจ้าของรถต้องซ่อมแซมปรับปรุง

“ในเมื่อปีและรุ่นรถไม่ได้มีการติดตั้งที่คาดเข็มขัดนิรภัยมาก่อน ควรจะยกเว้นให้กับคนกลุ่มนี้ อย่าให้ประชาชนลำบากกลายเป็นภาระเพิ่มขึ้นรัฐควรอนุโลมให้ ซึ่งการบังคับทางกฎหมายควรบังคับไปข้างหน้า ดังนั้นรัฐบาลช่วยผ่อนคลายตรงจุดนี้ได้หรือไม่ และควรรีบดำเนินการ ไม่งั้นอาจมีแรงต่อต้านเมื่อตำรวจบังคับใช้กฎหมาย”

 

ประธานชมรมไทยปลอดภัย ยังกล่าวถึงกรณีรถตู้โดยสารสาธารณะว่า ปัญหาการเกิดอุบัติเหตุจากรถตู้นั้นความจริงแล้วไม่เหมาะกับการวิ่งระยะทางไกล ใช้ก๊าซเผาไหม้อันตราย วิ่งไกลเกิน 200 กิโลเมตรก็อันตราย แย่งอากาศกันหายใจในรถ เวลาเกิดอุบัติเหตุหนีออกจากรถค่อนข้างลำบาก ถ้ามีญาติไม่ให้ขึ้นแน่นอน ที่สุดรัฐจึงมีการยกเลิกการใช้รถตู้ พร้อมกับเสนอให้รัฐบาลค่อยๆ แก้ไขไป เพราะเราต้องมีเมตตากับผู้ประกอบการและผู้ใช้ด้วย

สิ่งที่รัฐบาลทำขณะนี้ ถือว่าเป็นเรื่องดีที่ไม่ห้ามรถตู้หยุดวิ่งเด็ดขาดทันที แต่จะไม่อนุญาตให้มีการจดทะเบียนหากหมดอายุ รวมถึงมาตรการที่ให้รับผู้โดยสารเพียง 13 คน ห้ามเกินจากนี้ถือว่าดี ตรงจุดนี้หากผู้ประกอบการไม่ควบคุมก็ให้ถอนใบอนุญาตทันที หลักการทั้งหมดถือว่าเท่าเทียมและอยู่ร่วมกันได้ทั้งสองฝ่ายในระยะช่วงรอยต่อการเปลี่ยนผ่านไปสู่ “รถไมโครบัส” หลังจากที่มีการสูญเสียกันไปเยอะ ที่สุดเมื่อมีการปรับปรุงแล้วหวังอย่าให้ “รถตู้เถื่อน” กลับมาวิ่งอีกเด็ดขาดเพราะจะกลับสู่วงจรเดิม

ส่วนเรื่องบังคับใช้กฎหมายกรณีประชาชนถูกใบสั่งให้เสียค่าปรับหากไม่ดำเนินจ่ายจะต่อภาษีไม่ได้นั้น นิกร ให้ความเห็นกรณีนี้ว่า เรื่องใบสั่งเป็นปัญหามายาวนาน ถึงเวลาต้องสะสางจัดการเสียที เพราะคนไม่เคารพกฎจราจรออกใบสั่งไปก็เท่านั้น เวลาตำรวจออกใบสั่งไปแล้วมีอายุ 1 ปี ถ้า

ไม่ไปจ่ายก็ไม่มีประโยชน์อะไรเลย พอหมดอายุความก็เหมือนกระดาษแผ่นเดียว พวกคนที่โดนยึดใบขับขี่ก็หัวหมอไปแจ้งหายแล้วทำใบขับขี่ใหม่ได้ ดังนั้นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายสำคัญที่สุฉะนั้นต้องให้ผู้ถูกใบสั่งจ่ายภาษีได้ เพราะการจ่ายภาษีเป็นหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญถ้าห้ามถือว่าผิดกฎหมาย แต่ออกใบภาษีให้ไม่ได้ กรณียังค้างชำระค่าใบสั่งอยู่ แต่ให้ออกใบแทนให้กำหนดนัดให้มาชำระค่าปรับ และข้อมูลใบสั่งจะต้องเชื่อมต่อกันระหว่างตำรวจกับกรมการขนส่งฯ ด้วย แต่ไม่รู้ว่าข้อมูลนี้จะเชื่อมต่อกันขนาดไหนอกจากนี้ นิกร ยังตั้งคำถามอีกว่า เวลาเขียนใบสั่งข้อมูลมีการซิงก์หรือเชื่อมต่อกันแล้วหรือไม่ ระหว่างตำรวจกับกรมการขนส่งทางบก อย่างต่างประเทศเองเวลาตำรวจเขียนใบสั่งจะลิงก์ข้อมูลเข้าไปทันที ส่วนประเทศไทยคิดว่าข้อมูลจะลิงก์กันบางส่วนแต่อาจยังไม่ครบถ้วน ถือว่าวิธีการแก้ไขปัญหาตรงจุดนี้เรากำลังเดินมาถูกทางแล้ว

“อย่างในพื้นที่กรุงเทพฯ โอเค แต่ถ้าเป็นตำรวจภูธร ตำบล เขียนใบสั่งข้อมูลมันจะลิงก์กันไหมล่ะ ตรงนี้เป็นรอยแยกการจัดการ ซึ่งเป็นการไม่เชื่อมต่อกันทางระบบดิจิทัล หากทำไม่ได้จะกลายเป็นคนไม่เคารพกฎจราจร”

เช่นเดียวกับถนนหลวงประเทศไทย ถือว่าดีกว่าทุกประเทศในแถบอาเซียน แต่ปัญหาคือว่า “ถนนเราดีเกินไป” เพราะมีถนนสายรองสามารถทำความเร็วได้เยอะมาก มีถนนหลายเลน  บางทีการก่อสร้างไปทำลายระบบความเป็นอยู่ของคนละแวกนั้น จากเดิมจะเดินข้ามได้ปกติ พอมีถนนทำให้เกิดอุบัติเหตุมีคนเสียชีวิต แล้วอะไรคือสิ่งแปลกปลอม? เท่านั้นไม่พอถนนสายรองส่วนใหญ่เป็นของกรมโยธาฯ ของจังหวัด มีสภาพถนนดี แต่ไม่มีตำรวจทางหลวงมาดูแล  เพราะตำรวจทางหลวงดูแลเฉพาะถนนของกรมทางหลวงเพียงอย่างเดียว ระยะทางประมาณ 6 หมื่นกิโลเมตร นั่นจึงเป็นปัญหาในถนนสายรอง

ประธานชมรมไทยปลอดภัย กล่าวอีกว่า ถนนในประเทศไม่มีระบบเซฟตี้เรื่องความปลอดภัย เลยกลายเป็นว่าถนนในประเทศไทยดีเกินไปจนเกิดอันตราย และยังเป็นสุสานของนักปั่นทั่วโลกที่ต้องมาเสียชีวิตด้วย เพราะถนนในบ้านเราเป็นการใช้แบบร่วมกันทั้งมอเตอร์ไซค์ สามล้อ อีแต๋น ฯลฯ มีทุกอย่าง และวิ่งด้วยความเร็ว

“มอเตอร์ไซค์ 80% เป็นสาเหตุหลักการเกิดอุบัติเหตุมากที่สุด นั่นจึงมีความจำเป็นว่ารัฐต้องหาหนทางในการแก้ไขปัญหาเรื่องมอเตอร์ไซค์ สวนทางกับจำนวนซื้อรถจักรยานยนต์เพิ่มมากขึ้น”

ทั้งนี้ การเสียชีวิตจากอุบัติเหตุของคนไทย อยู่ที่ 2.4 หมื่นคน/ปี/ประชากรแสนคน ในอนาคต 5 ปีข้างหน้า คาดว่าอาจจะมีผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุ 1.2 แสนคน ในจำนวนประชากร 67 ล้านคน ส่วนทั่วโลกเฉลี่ยมีผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 3,000 คน/วัน ทว่าหากในอนาคตยังไม่มีมาตรการใหม่ๆ เข้ามาปรับปรุงแก้ไขปัญหาอุบัติเหตุตัวเลขก็อาจพุ่งเพิ่มขึ้น

อย่างไรก็ตาม นิกร แสดงความเห็นทิ้งท้ายอย่างน่าสนใจว่า ทุกวันนี้เรายังไม่มีหน่วยงานใดทำหน้าที่เก็บข้อมูลการเสียชีวิตที่เป็นระบบจริงจัง จึงทำให้ข้อมูลส่วนนี้ยังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร

 

จุฬาฯ ศตวรรษใหม่ ยกระดับมาตรฐานอินเตอร์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 มีนาคม 2560 เวลา 21:14 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/486462

จุฬาฯ ศตวรรษใหม่ ยกระดับมาตรฐานอินเตอร์

โดย…ธเนศน์ นุ่นมัน

ประเทศไทยมีสถาบันอุดมศึกษา ทั้งมหาวิทยาลัย วิทยาลัย สถาบันการศึกษา ทั้งของรัฐ ในกำกับรัฐและเอกชนมากถึง 170 แห่ง ตัวเลขการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาต่อสถาบันอุดมศึกษากลับลดลงเพราะปัญหาประชากรวัยเรียนที่ลดจำนวนลงทุกปี และกระแสที่เน้นให้นักเรียนหันไปเรียนสายอาชีพที่มีตำแหน่งงานรองรับ

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สถาบันอุดมศึกษาที่ได้ชื่อว่าเก่าแก่ที่สุด กำลังมีอายุผ่านปีที่ 100 ย่างเข้าสู่ศตวรรษใหม่ก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาดังกล่าว และกำลังเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือกับเรื่องนี้เช่นกัน

ศ.บัณฑิต เอื้ออาภรณ์ อธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งถือเป็นอธิการบดีคนที่ 17 ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งหมาดๆ เมื่อวันที่ 18 พ.ค. 2559 เริ่มเปิดประเด็นนี้ โดยระบุว่า สถาบันเก่าแก่อย่างจุฬาฯ ก็เลี่ยงไม่ได้เช่นกันที่จะต้องยอมรับว่ากำลังเข้าสู่ยุคที่จะต้องปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน โดยเฉพาะทางสังคมและการแข่งขันทางเศรษฐกิจที่ขยายตัว สยายปีกครอบคลุมไปทั่วโลก

“โลกภายนอกนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าใครจะคาดคิดถึง สิ่งที่ผมสังเกตเห็นคือพวกเราที่อยู่ในแวดวงการศึกษาหรือกระทั่งแวดวงอื่นๆ มักจะพิจารณาความเปลี่ยนแปลงจากแค่กรอบในประเทศไทย วันนี้ต้องยอมรับว่าอิทธิพลความเปลี่ยนแปลงมาจากบริบททั่วโลก และที่สำคัญคือเกิดขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าที่เคยเป็นปรากฏการณ์ในอดีต ในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมาเรามีเวลาในการปรับตัวรับความเปลี่ยนแปลงเยอะ แต่วันนี้เราถูกเทคโนโลยีบังคับให้ปรับตัวอย่างรอช้าไม่ได้เลย เช่น ระบบสื่อสารสมัยใหม่ที่ส่งผลต่อสังคมในทุกมิติ ทั้งเศรษฐกิจ สังคม ทั้งหมดเป็นคำถามที่ย้อนกลับมาหาเรา กลับมาหาจุฬาฯ ว่าจะปรับตัวตามปรากฏการณ์ ซึ่งเป็นปัจจัยที่บีบบังคับอยู่นี้อย่างไร”

อธิการบดีมาดสุขุมตามแบบฉบับของซีอีโอยุคใหม่ ขยายความให้ฟังว่า หากจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วตามปัจจัยการแข่งขันทางเศรษฐกิจยุค 4.0 ที่ผันแปรไปอย่างรวดเร็วและคาดการณ์ได้ยากขึ้นทุกที จำเป็นที่จะต้องกำหนดหลักยึดที่ต้องมีเป้าหมายชัดเจน เช่น หากพุ่งเป้าไปที่ตัวนิสิต นักศึกษา ก็ต้องกำหนดคุณลักษณะของบัณฑิตที่จะจบการศึกษาให้ชัดเจนว่า หากพวกเขาจบการศึกษาไปแล้วจะต้องคิดเป็น ทำงานเป็น และสื่อสารได้

จากการบอกเล่าของอธิการบดีท่านนี้ ทำให้ทราบว่า จุฬาฯ ยุคใหม่ถูกวางเป้าหมายให้ต้องปรับกระบวนการเรียนการสอน ที่กระตุ้น ส่งเสริมให้นิสิตสามารถวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นหรือที่เห็นได้ ด้วยการต้องสร้างบรรยากาศการเรียนที่ไม่ใช่เพื่อสอบหรือเรียนเพื่อให้ได้คะแนนดีอย่างเดียว แต่ต้องทำในสิ่งที่สังคมได้ประโยชน์และบอกเล่าเรื่องราว สื่อสารในสิ่งที่ทำอยู่ได้

“มหาวิทยาลัยจะต้องทำให้เห็นว่าเรากำลังนำองค์ความรู้ออกไปสู่สังคม ก่อนหน้านี้แต่ละคณะวิชาทำงานวิจัยอย่างค่อนข้างแยกศาสตร์ มีความรู้ในเชิงลึกในศาสตร์ที่ถนัดสั่งสมมานาน แต่โดยมุมมองของผม การทำวิจัยก็เป็นเหมือนการสร้างบ้านสร้างอาคาร เริ่มก่อสร้างด้วยการตอกเสาเข็ม ที่ต้องตอกลงไปให้ลึก แต่เมื่อตอกไปเรื่อยๆ ก็จะพบว่า ถึงจุดที่ตอกไม่ค่อยจม ก็แสดงว่ายึดแน่นแล้ว และถึงเวลาที่จุฬาฯ ต้องเทเชื่อมศาสตร์ต่างๆ ที่เรามีกับสังคม

เราจะเข้าสู่ศตวรรษใหม่ด้วยการเน้นผลผลิต เชิงวิชาการ โดยจะสร้างผลผลิตข้ามสาย ข้ามศาสตร์ หรือเป็นการร่วมมือระหว่างต่างคณะวิชา เพื่อทำงานที่ตอบโจทย์ตามที่สังคมต้องการมากขึ้น เราจะได้เห็นคณะแพทยศาสตร์ทำงานกับวิศวกรรมศาสตร์ ทุกคณะจะมีโจทย์ในการทำงานข้ามศาสตร์ร่วมกัน เช่น จะทำกระดูกเทียม ก็มีสถาบันวิจัยโลหะฯ มาร่วมกับวิศวะ”

อธิการบดีจุฬาฯ เล่าอีกว่า การร่วมงานข้ามศาสตร์มีเป้าหมายที่จะหาทางออกให้กับงานวิจัยเชิงลึกที่จุฬาฯ ได้สั่งสมความรู้ในเรื่องต่างๆ มานาน งานวิจัยบางเรื่องที่เริ่มพบทางตัน เมื่อถูกนำมาเชื่อมโยงกันระหว่างศาสตร์มากขึ้นจะเป็นการสร้างโอกาสให้สังคมจะได้ประโยชน์จากงานวิจัยที่จุฬาฯ มีอยู่มากขึ้นตามไปด้วย แต่การผลิตบัณฑิต ผลิตองค์ความรู้ใหม่ๆ จะยังไม่ถือว่าเป็นความสำเร็จ หากไม่ได้ผลิตคนเพื่อออกไปทำงานรับใช้สังคมได้จริงๆ และเมื่อคาดการณ์แล้วว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ ประเทศไทยจะประสบปัญหา ประชากรวัยเรียนที่ลดจำนวนลงจนกระทบสถาบันการศึกษาทุกแห่ง ซึ่งจะประสบปัญหามีผู้เรียนลดลง เรื่องนี้จุฬาฯ ได้เตรียมแผนรับมือไว้แล้ว

“วันนี้เราจะคิดแค่ในประเทศไทยไม่ได้แล้ว จุฬาฯ จะต้องปรับตัวเพื่อเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัย เชื่อมโยงกับระดับการศึกษานานาชาติมากขึ้น ที่ผ่านมาเราพัฒนาตัวให้รองรับและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติมาพอสมควร ซึ่งในศตวรรษใหม่เราจะเน้นหลักสูตรที่จะดึงดูดความสนใจจากนานาชาติมากยิ่งขึ้นไปอีก เมื่อได้มาสัมผัสหลักสูตรของเราแล้วจะต้องยอมรับว่าเรามีมาตรฐานสูง จนเป็นที่ยอมรับ ใครๆ จากทั่วโลกต้องอยากมาเรียนกับเรา

…เราต้องการที่จะเป็นศูนย์กลางการศึกษานานาชาติอีกแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งจะเป็นได้จะต้องมีมาตรฐานสูง มีคุณภาพที่ได้รับการยอมรับนอกจากผู้เรียนแล้ว เราจึงมีเป้าหมายที่จะดึงคณาจารย์ ผู้สอนเก่งๆ จากทั่วโลกมาด้วย และเราคิดไปถึงว่า นอกจากมาสอนมาเรียนกับเราแล้ว บุคลากรเหล่านี้จะต้องอยากมาทำงานให้บริษัทห้างร้านต่างๆ เพื่อพัฒนาประเทศเราด้วย

วันนี้การแข่งขันระดับอุดมศึกษานานาชาติรุนแรงขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง หลายๆ ประเทศไม่ได้รอแค่เด็กในชาติตัวเอง แต่เปิดรับทั่วโลก เด็กนักเรียนชั้นหัวกะทิของเราถูกดูดไปเรียนที่อื่นๆ

การแข่งขันในการแย่งชิงคนเก่งรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ นี่คือสิ่งที่เราไม่ค่อยได้พูดถึง ทั้งๆ ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่คุกคามการเรียนการสอนและระบบผลิตบุคลากรในบ้านเรา

ยุคนี้มีการซื้อตัวคนเก่งๆ ไปเรียนไปทำงานให้เหมือนซื้อตัวนักฟุตบอลไปร่วมทีมฟุตบอล คนเก่งถูกซื้อตัวข้ามประเทศไปอยู่ในลีกสูงๆ การแข่งขันในระดับอุดมศึกษากำลังเหมือนกีฬานานาชาติ ที่ต้องเริ่มสำรวจเฟ้นหาคนเก่งและหาวิธี หาทุนที่จะรักษาตัวผู้เล่นไว้”

อธิการบดีท่านนี้แจกแจงอีกว่า การรักษาหรือดึงตัวทั้งผู้เรียนและคณาจารย์เก่งๆ ไว้ให้ได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายนัก เพราะมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกทุ่มเทเรื่องนี้อย่างหนัก ถือเป็นการแข่งขันกันในระดับเวิลด์คลาส แม้จุฬาฯ จะเป็นสถาบันที่มีทุนทรัพย์ในการจัดการเรียนการสอนค่อนข้างสูง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกแล้ว ยังถือว่าเสียเปรียบในเรื่องทุนทรัพย์หลายเท่า

“แค่เปรียบเทียบงบวิจัยของเรากับสิงคโปร์ที่ได้รับจากรัฐบาล ก็จะเห็นตัวเลขว่าเราห่างจากเขาถึง 20 เท่า เวลาเขาส่งนักศึกษาปริญญาเอกมาเรียนกับเรา เขาให้ทุนเดือนละ 8-9 หมื่นบาท เราให้ได้แค่เดือนละ 8,000 บาท เมื่อเป็นแบบนี้ถ้าเราเป็นนักเรียนชั้นดี เราจะเลือกมาอยู่กับพรีเมียร์ลีกไหน มันก็เป็นทางเลือกที่ชัดเจน และเป็นปัญหาที่กำลังตอกย้ำให้เราตระหนักว่า ถ้าเราไม่ปรับตัว ไม่แก้ปัญหานี้เราก็จะลำบาก

…ตอนนี้มหาวิทยาลัยไทยทั้งหมดหันมาจับมือกัน ไม่ได้แข่งกันอย่างบ้าดีเดือด เพราะเรารู้ดีว่าจะมีที่ได้ดีอยู่แห่งเดียวไม่ได้ ดีสถาบันเดียวก็สู้กับนานาชาติไม่ได้ จะต้องจับมือกันเพื่อดีกันทั้งแผง หากเราทั้งหมดไม่แข็งแกร่ง ก็เสี่ยงพอๆ กัน” อธิการบดีจุฬาฯ กล่าว

ดูเหมือนเป้าหมายที่จะก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ ที่กล่าวมาพอสังเขปนั้น จะหมายถึงการเตรียมการ การทำงานที่สถาบันการศึกษาแห่งนี้จะต้องลงมือทำอีกนานัปการ

“การทำงานทุกเรื่องไม่ได้อยู่ที่ว่าผู้บริหารคิดอย่างไร คนที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ทำให้งานเกิดขึ้นก็คือ เหล่าคณาจารย์ และนิสิต นักศึกษา ที่อยู่ตามคณะ สถาบันวิจัยต่างๆ ซึ่งเป็นองค์กรสร้างผลผลิตทางวิชาการในจุฬาฯ ผมจึงมีหน้าที่สนับสนุนหาทางที่จะให้พวกเขาเหล่านั้นทำงานตามที่ถนัด เพื่อก้าวเข้าสู่ศตวรรษที่สองต่อไปอย่างราบรื่น” อธิการบดีจุฬาฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

ปรองดองไม่หน่อมแน้ม ใช้กฎเหล็กจบปัญหา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

19 มีนาคม 2560 เวลา 07:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/485838

ปรองดองไม่หน่อมแน้ม ใช้กฎเหล็กจบปัญหา

โดย…ศุภชัย แก้วขอนยาง และไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

จังหวะก้าวทางการเมืองของ “เสรี สุวรรณภานนท์” ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) กำลังเป็นที่จับตามองอย่างมาก หลังจากเตรียมจัดทำรายงานข้อเสนอเกี่ยวกับการสร้างความปรองดอง

แม้ว่าจะเป็นเพียงแค่ข้อเสนอหนึ่งเท่านั้น แต่ต้องไม่ลืมว่าเวลานี้รัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ลงมาเป็นเจ้าภาพสร้างความปรองดองด้วยตัวเองผ่านกลไกคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความปรองดอง (ป.ย.ป.) ย่อมทำให้ทุกข้อเสนอที่เข้ามายัง ป.ย.ป.ล้วนแล้วมีความหมายทั้งสิ้น

“เสรี” หนึ่งในคีย์แมนปรองดอง บอกกับโพสต์ทูเดย์ถึงหลักการในการสร้างความปรองดองที่คณะกรรมาธิการฯ เตรียมเสนอคือ การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและให้ปัญหาทุกอย่างไปจบที่ศาล

“ความขัดแย้งที่มีปัญหาในบ้านเมืองไทยมันเป็นความขัดแย้งในเรื่องเชิงความคิดที่ไม่ใช่แค่ปัญหาระหว่างบุคคล มันเป็นปัญหาของคนในประเทศ ดังนั้น ความรุนแรงที่เกิดขึ้นมันจึงต้องได้รับการแก้ปัญหา มิฉะนั้นแล้วมันจะกลายเป็นการสร้างวัฒนธรรมไปแล้วเป็นเรื่องปกติชีวิตประจำวันไปแล้ว ซึ่งมันไม่เป็นผลดีโดยรวม เพราะว่าเมื่อเกิดความขัดแย้งมันก็จะเกิดความไม่สงบเรียบร้อย เมื่อประเทศเกิดความไม่สงบเรียบร้อยมันจะมีผลกระทบด้านอื่นๆ เช่น ความเป็นอยู่ของประชาชน”

เสรี ยอมรับว่า “อาจจะบอกไม่ได้เต็มปากว่าจะแก้ปัญหาได้หมด หรือจะขจัดความขัดแย้งไปได้โดยสิ้นเชิง มันคงไม่ได้ไกลถึงขนาดนั้น แต่คิดว่าจะแก้ไขได้ส่วนหนึ่งที่จะลดปัญหามากกว่า ลดปัญหาในเรื่องความคิดเห็นที่แบ่งฝ่ายและการต่อสู้กันในทางการเมือง ให้มีแนวทางที่เป็นยอมรับของการอยู่ร่วมกันให้มากขึ้นกว่าเดิม”

สาเหตุที่ทำให้ข้อเสนอการสร้างความปรองดองไม่ค่อยได้รับการไปปฏิบัติต่อ “เสรี” มองว่า “เป็นเรื่องที่ต่างฝ่ายต่างรักษาประโยชน์ของฝ่ายตัวเองเป็นสำคัญ พอเวลาจะเสนออะไรอีกฝ่ายที่ไม่ได้รับประโยชน์ตรงนั้นก็คัดค้าน ทั้งสองฝ่ายหรือหลายๆ ฝ่ายจะทำรูปแบบเดียวกัน มันก็เลยไม่สามารถลงตัวและหาข้อยุติได้ ทั้งๆ ที่แนวทางการนำเสนอนั้นมีหลายรูปแบบ และแต่ละรูปแบบมีหลักการที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือให้กระบวนการยุติธรรมเข้ามาแก้ไขปัญหาแทนที่จะไปออกกฎหมายนิรโทษกรรมเหมือนอย่างที่เคยพยายามทำที่ผ่านมา ซึ่งการออกกฎหมายนิรโทษกรรมก็ไม่เป็นที่ยอมรับ

“ปัจจุบันเป็นที่ชัดเจนว่าการปรองดองในปัจจุบันไม่สามารถเอากระบวนการหรือวิธีการที่ผ่านมาอย่างการใช้กฎหมายนิรโทษกรรมเพื่อแก้ปัญหาได้อีกแล้ว สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งคือ ทำให้เห็นอะไรได้อย่างหนึ่งว่ากระบวนการนิรโทษกรรมทั้งหลายที่ผ่านมาและทำมาแล้วหลายครั้ง พอทำแล้ว ฝ่ายการเมืองเอง หรือนักการเมืองเองจะเห็นช่องทางว่า ถ้าเกิดไปสร้างความรุนแรงความแตกแยกไปปลุกระดมสร้างความขัดแย้ง ในที่สุดแล้วก็จะไปออกกฎหมายนิรโทษกรรม

“มันก็เลยเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีว่าใครก็ตามที่อยู่ในกระบวนการทางเมืองก็จะใช้วิธีเหล่านี้มาต่อสู้ในทางการเมือง แล้วในที่สุดก็มีเป้าหมายสำคัญว่าจะต้องพ้นโทษหรือไม่ถูกเอาโทษ หรือล้างโทษได้ ดังนั้น เมื่อปัจจุบันสังคมไม่ยอมรับแล้ว มันก็จะทำให้เป็นมาตรฐานที่เกิดขึ้นมาใหม่และเป็นตัวอย่างที่ดีได้ว่าต่อไปข้างหน้าที่ใครก็ตามไปเล่นการเมืองและสร้างความเสียหายให้กับประเทศจะได้ไม่กล้าไปใช้วิธีการเหล่านั้น”

ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงเป็นข้อเสนอสำคัญของคณะกรรมาธิการฯ ที่เตรียมเสนอให้ศาลเข้ามาทำหน้าที่ชี้ขาดปัญหาทั้งหมด

 

“การแก้ไขปัญหาเรื่องความปรองดองและความขัดแย้งในปัจจุบัน สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดคือ ให้คนที่ถูกดำเนินคดีทั้งหลายเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมแล้วให้มีการพิสูจน์ความผิดถูกกันในศาล ให้ศาลเป็นผู้ตัดสินชี้ขาดว่าถ้าผิดก็ต้องถูกลงโทษ ไม่ผิดก็ต้องปล่อยตัวไป ให้เป็นมาตรฐานเดียวกับที่ปฏิบัติต่อประชาชน จะไม่ได้รับสิทธิพิเศษทั้งสิ้น ดังนั้น ผมคิดว่าการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งและการสร้างความปรองดองในปัจจุบัน หลังจากที่มีการพยายามเสนอกันหลายรูปแบบมันน่าจะออกมาในแนวทางนี้ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่เหมาะสมที่สุด” เสรี ระบุ

แสดงว่าให้ปัญหาปรองดองไปจบที่ศาล? ประธานคณะกรรมาธิการฯ อธิบายว่า “ในเมื่อต่างฝ่ายต่างไม่ยอมรับ มันก็ไม่มีเหตุอื่น มันไม่สามารถจะทำอะไรได้ จะใช้กระบวนการถอนฟ้อง กระบวนการรอลงอาญา ใช้กระบวนการลดหย่อนผ่อนโทษอะไรทั้งหลาย ไม่มีการยอมรับ ไม่มีการลดราวาศอกให้กัน ไม่มีการให้อภัยซึ่งกันและกัน ดังนั้น หนทางที่เป็นไปได้มากที่สุดและเชื่อได้ว่าเป็นมาตรฐานทางกฎหมายและมาตรฐานทางกระบวนการยุติธรรมว่า ถ้าใครก็ตามที่กระทำความผิดแล้วต้องถูกดำเนินคดีและถูกพิจารณาให้ศาลตัดสินหาความจริงและข้อยุติและกำหนดบทลงโทษหรือไม่ต่อไป”

การให้กระบวนการเหล่านี้ไปอยู่ที่ศาล จะถือว่าเป็นการผลักภาระไปที่ศาลหรือไม่? เสรี ตอบทันทีว่า “ไม่ได้เป็นเรื่องผลักภาระ เพราะเป็นเรื่องกระบวนการยุติธรรมอยู่แล้ว กฎหมายก็เขียนอย่างนั้นเราก็ปฏิบัติไปตามนั้น ทุกอย่างให้ศาลตัดสินดีที่สุด”

จากนั้นเป็นคำถามที่ถามว่าเมื่อให้ศาลเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ เท่ากับว่าจะไม่มีกลไกใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาความปรองดอง? เสรี ระบุว่า “ไม่ใช่ไม่มี…มี แต่เราพยายามที่จะเสนอให้ทางออกทุกรูปแบบแต่ไม่เป็นที่ยอมรับ ก็ไม่เอากันเอง มันก็ต้องใช้วิธีที่สุดท้าย ที่เสนอนี่ คือ วิธีสุดท้ายที่มันเป็นไปได้มากที่สุด ถ้าไม่เอาอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไปว่ากันศาล ผิดถูกก็ให้ศาลตัดสิน เพราะจะตอบกับสังคมได้ถูกไหม”

ส่วนระยะเวลาในการขับเคลื่อนการสร้างความปรองดองนั้น เสรี คิดว่าการสร้างความปรองดองแม้จะไม่สมารถทำให้ประสบความสำเร็จได้เสียทีเดียว แต่ก่อนการเลือกตั้งต้องทำให้ประเทศมีความสงบเรียบร้อย เมื่อความสงบเกิดขึ้น ประชาชนก็จะเลิกแตกแยกและเลิกแบ่งฝ่าย เท่ากับว่าคนกลุ่มใหญ่ของประเทศจะไม่อยู่ความขัดแย้ง สิ่งที่หลงเหลืออยู่ก็อาจอยู่ที่ฝ่ายการเมือง ซึ่งมีอยู่ไม่กี่คน

“เราพยายามสร้างมาตรฐานทางการเมือง วัฒนธรรมทางการเมืองให้ดีกว่าเดิม มีการปฏิรูประบบพรรคการเมืองใหม่ ให้เป็นพรรคการเมืองของประชาชน แล้วการเลือกตั้งจะเป็นการเลือกตั้งสุจริตและเที่ยงธรรม ในที่สุดแล้วเมื่อประชาชนเกิดความปรองดองและยอมรับในความสงบเรียบร้อยแล้ว ต่อไปนักการเมืองเองต้องปรับตัว”

ช่วงท้ายเป็นการถามถึงความคาดหวังว่าการสร้างความปรองดองครั้งนี้จะประสบผลสำเร็จหรือไม่ ซึ่ง “เสรี” ตอบแบบมั่นใจว่า “สำเร็จ”

“ผมเชื่อว่าปรองดองคราวนี้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จคือ ยังมีกระบวนการสร้างความแตกแยก ปลุกระดมทำให้คนออกมาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย กระบวนการทางกฎหมายจะเอาผิด ลงโทษ และตัดสิน เอาเข้าคุกเข้าตะราง มันจะไม่สำเร็จได้อย่างไรถ้าคนสร้างปัญหาให้กับสังคมก็ต้องถูกแยกออกจากสังคม ต้องไปอยู่ในพื้นที่จำกัด

“รอบนี้ต้องเอาจริงเอาจัง หลักของทุกประเทศที่มีความสงบเรียบร้อยอยู่ที่การบังคับใช้กฎหมาย ที่ผ่านมามันหน่อมแน้ม อะไรต่อมิอะไรหย่อนยาน ถ้าเรายอมกติกาและกฎหมาย สังคมก็จะผ่านวิกฤตเหล่านี้ไปได้ ตอนนี้เราต้องมาอย่างนี้แล้ว มันไม่มีทางอื่นแล้ว มันเป็นกติกากฎเหล็กของสังคม เพราะที่ผ่านมาไม่มีใครกลัวกฎหมาย” เสรี ทิ้งท้าย

 

“รื่นวดี” ชูบังคับคดีหนุนเศรษฐกิจโต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 มีนาคม 2560 เวลา 18:38 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/485423

"รื่นวดี" ชูบังคับคดีหนุนเศรษฐกิจโต

โดย…เสาวรส รณเกียรติ

รื่นวดี สุวรรณมงคล อธิบดีกรมบังคับคดี ที่ปรับเปลี่ยนกรมที่ผู้คนคุ้นชินกับบทบาทในการยึดทรัพย์ อายัดทรัพย์ ขายทอดตลาด มามีบทบาทในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ปลดล็อกข้อกฎหมายและกฎระเบียบต่างๆ ให้เป็นสากลมากขึ้น เพื่อดึงความเชื่อมั่นจากนักลงทุนต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น

รื่นวดี บอกว่า แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงมามาก แต่กรมบังคับคดีก็หยุดการเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เพราะสภาพแวดล้อมขณะนี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา และยังมียุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เป็นนโยบายรัฐบาลที่กรมจะต้องเข้าไปรองรับอีกด้วย กรมจึงยังต้องเป็นกลไกหนึ่งในการเสริมสร้างความเติบโตด้านเศรษฐกิจและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในบริบทกว้างขึ้นและบูรณาการร่วมกับหลายหน่วยงาน โดยปักธงผลสัมฤทธิ์ให้กรมทำงานเสริมสร้างการเติบโตของเศรษฐกิจและขีดความสามารถในการแข่งขัน รวมทั้งเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์ประเทศใน 20 ปีข้างหน้าของรัฐบาลด้วย

รื่นวดี ระบุว่า โดยข้อเท็จจริงเวลานักลงทุนตัดสินใจจะลงทุนในประเทศไทย จะดูกติกาในการบังคับคดีด้วยว่า มีความสะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพหรือไม่ เพราะถ้าหากมีข้อขัดแย้ง หรือข้อพิพาทระหว่างกันขึ้น แล้วกระบวนการบังคับคดีในประเทศไทยมีประสิทธิภาพ ก็จะเป็นตัวหนึ่งในการใช้ตัดสินใจลงทุนในไทยได้ในสายตาของต่างประเทศ

ทั้งนี้ ในส่วนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีนั้น กรมเข้าไปมีส่วนร่วมใน 2 ด้าน คือ การเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศและการปรับสมดุลการจัดการหน่วยราชการ

โดยในเรื่องการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศนั้น จะเกี่ยวข้องกับการปรับปรุงกระบวนการขั้นตอนให้มีความสะดวก รวดเร็ว มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อให้การจัดอันดับการอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลกดีขึ้น ซึ่งเกี่ยวข้องกับแก้ไขกฎหมายให้เป็นมาตรฐานสากลและการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย

โดยในส่วนของอันดับการทำธุรกิจของธนาคารโลกนั้น ปี 2559 กรมบังคับคดีสามารถปรับปรุงกฎหมาย ระเบียบ ขั้นตอนต่างๆ จนในส่วนของกระบวนการแก้ปัญหาล้มละลายนั้น ไทยได้รับการเลื่อนอันดับดีขึ้นถึง 26 อันดับ คือจากอันดับที่ 29 ในปี 2558 มาเป็นอันดับที่ 23 ในปี 2559 จาก 190 ประเทศ

แต่ในปีนี้เป็นปีที่ท้าทายมากในการได้รับการเลื่อนอันดับ เพราะถ้าประเทศอื่นทำได้มากกว่า เร็วกว่า อันดับก็ถูกปรับเปลี่ยนได้ทันที รวมทั้งอันดับที่ดีขึ้นในปี 2559 นัยสำคัญมาจากคะแนนความแข็งแกร่งด้านกฎหมายที่เราได้ 13 คะแนน จากคะแนนเต็ม 16 คะแนน ปีนี้ถ้าเราทำเต็มที่คือได้ 15-16 คะแนน ก็เพิ่มขึ้นเพียง 2-3 คะแนนเท่านั้น

เพราะฉะนั้นสิ่งที่ต้องทำหนักขึ้น และปีที่ผ่านมาเราคะแนนไม่ดีเท่าไหร่ คือคะแนนความสามารถในการรวบรวมทรัพย์สินคืนเจ้าหน้าที่ (Recovery Rate) ที่ไม่เกี่ยวกับกฎหมาย แต่เกี่ยวกับคน เกี่ยวกับข้อมูล เกี่ยวกับความรวดเร็ว และค่าใช้จ่าย โดยช่วงที่ผ่านมา กรมได้ทำการเชื่อมโยงข้อมูลทรัพย์สินบุคคลกับหน่วยงานที่เป็นนายทะเบียนทรัพย์สินจำนวน 16 หน่วยงาน เวลานี้ได้มีการเชื่อมข้อมูลได้หมดแล้ว ทำให้ต่อไปกรมสามารถเช็กสอบได้ว่าลูกหนี้มีทรัพย์สินอะไรบ้าง อยู่ที่ไหน

 

ในเรื่องการรวบรวมทรัพย์สินคืนเจ้าหนี้ถือเป็นเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่มีผลต่อการตัดสินใจของนักลงทุนเช่นเดียวกัน เพราะเขาต้องการรู้ว่า ถ้าเขามีข้อพิพาทกับลูกหนี้แล้ว เขาจะได้การชำระเงินคืนเท่าไหร่ ซึ่งขึ้นกับความสามารถในการรวบรวมทรัพย์สินของเรา โดยปีที่แล้วประเทศญี่ปุ่น ซึ่งได้คะแนนเป็นอันดับ 2 ด้านนี้ สามารถรวบรวมคืนได้ 96 จาก 100 ขณะที่ไทยได้ 59 จาก 100 ทำให้ต้องทุ่มเทการทำงานด้านนี้ ปรับวิธีการทำงาน เพื่อให้คะแนนในการจัดอันดับดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนี้ ในเรื่องเพิ่มขีดความสามารถในช่วง 2 ปีเศษที่ผ่านมา ถือได้ว่ากรมมีการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายหลายฉบับ และล่าสุดอยู่ระหว่างการแก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายล้มละลายข้ามชาติ เพื่อให้ยึดทรัพย์ลูกหนี้ในต่างประเทศได้

ส่วนการปรับองค์กรให้สมดุลนั้น รัฐบาลมีเป้าหมายให้หน่วยงานเป็นองค์กรที่เล็กแต่มีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ เพราะรัฐบาลมีข้อจำกัดในเรื่องทรัพยากรบุคคล ทำให้กรมเพิ่มบุคลากรมารองรับงานทั้งหมดไม่ได้ จึงต้องคิดใหม่ โดยปัจจุบันกรมทำทั้งงานด้านกำกับดูแล และการบริหารจัดการ จึงมีการมาทบทวนว่ากรมบังคับคดีควรเหลืองานด้านกำกับดูแลอย่างเดียวหรือไม่ และโอนถ่ายงานด้านบริการจัดการให้ภายนอกเข้ามาดูแล เช่น การมีเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ที่เป็นเอกชน เป็นต้น รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีมากขึ้น เช่น การขายทอดตลาดผ่านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น

รื่นวดี ยอมรับว่า ที่ผ่านมาได้มีการเตรียมความพร้อมของข้าราชการกรมบังคับคดีให้รู้จักการคิดนอกกรอบ และยอมรับการเปลี่ยนแปลงให้ข้าราชการทุกคนเห็นตรงกันว่า กรมเป็นกลไกหนึ่งของระบบเศรษฐกิจ ข้าราชการต้องคิดเชื่อมโยงงานของกรมบังคับคดีให้เป็นกลไกหนึ่งในการผลักดันเศรษฐกิจด้วย ไม่ใช่งานด้านกฎหมายเพียงอย่างเดียวเหมือนที่ผ่านมา

“ข้าราชการกรมต้องเห็นว่า การทำงานของเราต้องเป็นสหวิชาชีพคือ ต้องทำงานร่วมกันทั้ง นักกฎหมาย นักบัญชี นักการเงิน การทำงานของกรมไม่ได้อยู่เพียงลำพัง และเราไม่มีทางจะอยู่ลำพังหน่วยงานเดียวได้”

ด้วยเหตุนี้ ช่วง 2 ปี 6 เดือนที่ผ่านมาในตำแหน่งอธิบดีกรมบังคับคดี ข้าราชการทุกคนจึงเห็นสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงและปรับตัวเพื่อทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ โดยคำนึงถึงความมีส่วนร่วมให้มากที่สุด และความเป็นธรรมในการทำงานตามหลักการดั้งเดิมของกรมบังคับคดี

ประชาชนเป็นเป้าหมาย

นอกจากการผลักดันกรมบังคับให้เข้าไปมีส่วนร่วมในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เพื่อสนับสนุนการลงทุนในประเทศผลักดันให้เศรษฐกิจขยายตัวแล้ว กรมบังคับคดี ยังไม่ทิ้งบทบาทที่ต้องใกล้ชิดกับประชาชน ต้องมองประชาชนเป็นเป้าหมายในการให้บริการด้วย โดยเฉพาะประชาชนในกลุ่มเปราะบาง ไม่ว่าจะเป็นเกษตรกร ลูกหนี้รายย่อย ลูกหนี้บัตรเครดิต รวมถึงผู้ประกอบการเอสเอ็มอี

รื่นวดี ระบุว่า ประชาชนที่เปราะบางกลุ่มนี้ กรมต้องช่วยให้ความรู้ให้คำแนะนำ โดยเฉพาะในแง่ของกฎหมาย เช่น ข้อกฎหมายเรื่องการค้ำประกัน การจำนอง จำนำ กฎหมายขายฝาก เป็นต้น ตัวอย่างเช่น เมื่อมีการออกไปทำงานในต่างจังหวัดจะพบว่า ชาวบ้านต่างจังหวัดไม่เข้าใจว่า ทำไมเขา ในฐานะเป็นผู้ค้ำประกันเงินกู้ แต่เวลาเกิดปัญหาขึ้น ทำไมมาเรียกเก็บเงินจากเขาก่อน ไม่เรียกเงินจากลูกหนี้ก่อน เจ้าหน้าที่ก็ต้องให้ความรู้ด้านกฎหมายแก่เขา หน้าที่ของกรมจึงต้องคิดจุดนี้ด้วย ดูแลกลุ่มประชาชนที่เปราะบางที่ต้องการความช่วยเหลือดูแล

ทั้งนี้ กระบวนการคิดที่มองประชาชนเป็นเป้าหมาย ได้นำมาสู่การทำงานในเรื่องของการแก้ไขกฎหมายล้มละลาย เพื่อเปิดทางให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถขอฟื้นฟูกิจการได้ จากเดิมที่ขอฟื้นฟูได้เฉพาะกิจการขนาดใหญ่นำมาซึ่งแนวทางการจัดไกล่เกลี่ยหนี้ ทั้งลูกหนี้กลุ่มเอสเอ็มอี ลูกหนี้บัตรเครดิต ลูกหนี้ กยศ. เป็นต้น โดยข้าราชการต้องมาทำงานเสาร์-อาทิตย์ เป็นต้น

ที่สำคัญหลังจากที่ใช้กระบวนการทำงานรูปแบบนี้ ปรากฏว่าประชาชนที่เคยไม่กล้ามาพบเจ้าหน้าที่บังคับคดี หรือหนีหน้า กล้ามาขอพึ่งพิง กล้ามาขอคำปรึกษา

ขณะที่ข้าราชการกรมบังคับคดีก็ยังคงทำภารกิจการบังคับคดี แต่ก็ทำหน้าที่ช่วยให้ความรู้ด้านกฎหมายช่วยประสานการไกล่เกลี่ยหนี้ จนเวลานี้กรมบังคับคดีเข้าไปมีส่วนร่วมในกรรมการหลายชุด เช่น คณะกรรมการไกล่เกลี่ยหนี้นอกระบบ คณะอนุกรรมการช่วยเหลือเกษตรและผู้ยากจน (อชก.) ของกระทรงงเกษตรและสหกรณ์ เป็นต้น เรียกได้ว่าบทบาทของกรมขยายตัวขึ้น

และข้าราชการของกรมต้องเปิดตัวเองมากขึ้น ทำงานตอบรับโจทย์ของประชาชนให้กว้างขึ้นเพื่อให้ประชาชนเข้าหาได้ง่ายขึ้นด้วย

 

ม.44 ปล่อยผีสิทธิบัตรยา รวบรัดระวังประเทศเสียหาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

12 มีนาคม 2560 เวลา 08:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/484773

ม.44 ปล่อยผีสิทธิบัตรยา รวบรัดระวังประเทศเสียหาย

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

ต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมาสังคมเกิดกระแสแสดงความเป็นกังวลอย่างมาก หลังจากรัฐบาลประกาศว่าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะออกคำสั่งตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย เร่งรัดการจดสิทธิบัตรที่คงค้างมากกว่า 1 หมื่นรายการให้เสร็จภายใน 3 เดือน หลังจากยืดเยื้อมานานกว่า 10-20 ปี เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนและการแข่งขันในต่างประเทศ

ทว่า สิทธิบัตรจำนวนหนึ่งในนั้นเกี่ยวข้องกับยาและเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ ทำให้หลังจากคำประกาศของรัฐบาล ภาคสังคมได้เคลื่อนไหวเรียกร้องให้ยุติคำสั่งดังกล่าว เนื่องจากเกรงว่าการปล่อยผีจดสิทธิบัตรในครั้งนี้ อาจส่งผลทำให้ยาบางชนิดมีราคาสูงขึ้นในอนาคต

ภญ.นิยดา เกียรติยิ่งอังศุลี ผู้จัดการแผนงานศูนย์วิชาการเฝ้าระวังและพัฒนาระบบยา (กพย.) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สะท้อนต่อประเด็นนี้ว่า การจดสิทธิบัตรนั้นมีประโยชน์ แต่ถ้าจะใช้มาตรา 44 มาเร่งรัดการจดสิทธิบัตรยาไม่ใช่ทางออกเพียงทางเดียว เพราะการจดสิทธิบัตรทำได้หลายแบบ เช่น ยินยอมให้สาธารณะนำไปใช้ได้ตราบที่ไม่นำไปทำธุรกิจการค้า และไม่สามารถยึดครองภายหลังได้ หรือแบบอนุสิทธิบัตร ซึ่งเป็นแบบที่ให้ความคุ้มครองสิ่งประดิษฐ์คิดค้นเช่นเดียวกับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ แต่แตกต่างตรงที่การประดิษฐ์ที่จะขอรับอนุสิทธิบัตรเป็นการประดิษฐ์ที่มีการปรับปรุงเพียงเล็กน้อยแต่มีประโยชน์ใช้สอยมากขึ้น

ทั้งนี้ มองว่าเหตุผลหลักที่รัฐบาลจะใช้มาตรา 44 เร่งรัดจดสิทธิบัตรเพื่อต้องการอำนวยความสะดวกให้ภาคธุรกิจ แม้รัฐบาลจะชี้แจงว่าการออกสิทธิบัตรครั้งนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับยาโดยตรง แต่สิ่งที่คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำกับดูแลอยู่ครอบคลุมอุปกรณ์ผลิตภัณฑ์ทางสุขภาพทั้งหมด

ดังนั้น หากทำสำเร็จสิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ ผลกระทบที่จะทำให้ราคายาในประเทศไม่มีกลไกควบคุม และการพัฒนาเทคโนโลยีภาคอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องในประเทศจะไม่เติบโตและจะถูกควบคุม แม้รัฐบาลเชื่อว่าสามารถต่อรองกับต่างชาติได้หากราคายาปรับตัวสูงขึ้น

เนื่องจากจำนวนภาคธุรกิจผู้มายื่นขอสิทธิบัตรล้วนเป็นต่างชาติ 80-90% เท่ากับว่ารัฐบาลกำลังให้อำนาจการครอบครองนี้แก่ต่างประเทศ ดังนั้นถ้าเร่งรัดดำเนินการแม้จะอ้างว่าไม่มีเรื่องยา แต่ความเป็นจริงการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรแม้ไม่ได้ขึ้นที่ตัวยาสำเร็จรูป แต่การขึ้นทะเบียนสารตั้งต้นและส่วนประกอบที่เกี่ยวข้องก็อาจทำให้สถานการณ์ยาและระบบสาธารณสุขในประเทศได้รับผลกระทบ

ภญ.นิยดา กล่าวว่า การที่รัฐอ้างว่าสามารถต่อรองราคายากับบริษัทผู้ผลิตได้ แต่ความเป็นจริงช่วงที่ผ่านมาไม่เคยเห็นกลไกของรัฐที่สามารถทำได้ เพราะบริษัทผู้ผลิตยามีสิทธิยืนกรานไม่ยอมลดราคาได้ ดั่งที่เห็นตัวอย่างว่า ยาภายในโรงพยาบาลเอกชนหน่วยงานรัฐแทบจะไม่สามารถเข้าไปควบคุมได้ แม้ยาเหล่านั้นจะถูกนำเข้าบัญชียาหลัก เนื่องจากการต่อรองราคาเป็นเพียงกลไกปลายทางเท่านั้น

นักวิชาการด้านพัฒนาระบบยา ระบุอีกว่า สาเหตุที่ทำให้การจดทะเบียนสิทธิบัตรตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาไม่คืบหน้ามี 3 ปัจจัยหลัก คือ 1.เกิดจากบริษัทผู้ยื่นล่าช้า และไม่พร้อมในการนำส่งข้อมูลตั้งแต่ครั้งแรก เพราะมักชอบยื่นเพื่อกันสิทธิไว้ก่อนและคิดว่าค่อยนำส่งข้อมูลเพิ่มเติมมาติดตามภายหลังได้ 2.กรมทรัพย์สินทางปัญญาบริหารไม่เป็น 3.ผู้เชี่ยวชาญที่ต้องประเมินไม่ยอมตัดสินใจเด็ดขาดในการประเมิน จึงทำให้เห็นว่าเมื่อกรมทรัพย์สินทางปัญญาไม่พร้อม ผู้ยื่นมีปัญหา ผู้ประเมินล่าช้า และการทำงานไม่มีกรอบชัดเจน จึงทำให้ที่ผ่านมาการจดสิทธิบัตรต้องใช้เวลานานมาก

ดังนั้น ขอเสนอว่า เมื่อเกิดปัญหาเช่นนี้การแก้ควรเริ่มที่ต้นน้ำคือ กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ในฐานะที่เป็นผู้ที่มีหน้าที่โดยตรง และมีกฎหมายควบคุมราคายาควรเข้ามาทำเรื่องนี้ พร้อมทบทวนว่าสาเหตุที่ทำให้การทำงานล่าช้าเป็นเพราะเหตุใด ซึ่งคาดว่าน่าจะมาจากเรื่องฐานข้อมูลกระบวนการพัฒนาคุณภาพการทำงานให้รองรับ ซึ่งเป็นจุดอ่อนที่เกิดขึ้นทั้งใน อย.และกรมทรัพย์สินทางปัญญา

อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาหน่วยงานนี้ไม่ยอมทำ ถึงแม้จะมีอำนาจสามารถควบคุมราคาสินค้าอื่นได้เกือบทุกชนิด รวมถึงบัญชีราคายาที่มีประกาศรายชื่อยาควบคุม แต่การทำงานจริงไม่เคยมีรายละเอียดบัญชีที่ชัดเจน ดังนั้น มาตรา 44 ควรบังคับให้กระทรวงพาณิชย์เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ปัญหานี้

จากนั้นกระบวนการทำงานต้องแยกว่าจะใช้หลักเกณฑ์มาตรฐานการขึ้นทะเบียนอย่างไร ซึ่งต้องวิเคราะห์ให้ครอบคลุมทั้งด้านจำนวนของผู้ยื่นว่ามีบริษัทต่างชาติเท่าไหร่ รวมถึงต้องตรวจสอบดูว่าซ้ำซ้อนกับการขึ้นทะเบียนในระบบสิทธิบัตรการประดิษฐ์ระหว่างประเทศที่สามารถยื่นคำขอได้ในต่างประเทศและมีผลครอบคลุมในประเทศสมาชิก หรือพีซีที อยู่เท่าไหร่ด้วย

ขณะที่การทำงานของผู้ประเมินสิทธิบัตร ต้องมีมาตรฐานในการพิจารณาอย่างรอบคอบตั้งแต่ 1.สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้ 2.เป็นนวัตกรรมใหม่จริงๆ 3.อนาคตสามารถต่อยอดใช้ประโยชน์กับอุตสาหกรรมอื่นได้ แต่ไม่ใช่ยาใหม่ทุกตัวต้องขึ้นสิทธิบัตร เพราะที่ผ่านมาพบว่าแม้ยาจะใหม่ แต่หากสารที่นำมาผลิตไม่มีความใหม่ก็ไม่ควรมีขึ้น

ภญ.นิยดา แนะนำว่า ช่วง 2-3 ปีก่อนหน้านี้ นักวิชาการและภาคธุรกิจได้เคยร่วมกันผลักดันให้มีการออกคู่มือการตรวจสอบการรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์และอนุสิทธิบัตรจนสามารถประกาศใช้ ซึ่งเป็นข้อกำหนดวิธีการพิจารณาที่ถูกต้องว่าควรจะทำอย่างไร เพื่อให้นำไปใช้ประโยชน์ได้อย่างคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาจนำคู่มือดังกล่าวมาช่วยในการทำงานให้เร็วขึ้นก็ได้

จากนั้นเมื่อตรวจสอบเบื้องต้นเสร็จ ควรประกาศให้สังคมรับทราบว่าจะมีการขึ้นทะเบียนสิทธิบัตรยาชนิดนี้ เพื่อสอบถามว่าจะมีผู้ใดขัดข้องทักท้วงเรื่องคุณสมบัติหรือไม่ เช่น ไม่มีความใหม่ มีผู้คิดค้นอยู่แล้ว ในระยะเวลา 3 เดือนจากนั้นนำเข้าสู่ขั้นตอนระบบต่อไป โดยขั้นตอนนี้จะเป็นตัวชี้วัดเบื้องต้นว่าการขึ้นสิทธิทะเบียนนั้นจะดีหรือไม่ เพราะหากไม่ตรวจสอบให้ละเอียดและปล่อยให้กระบวนการผ่านล่วงเลยไป จะทำให้อำนาจผูกขาดเป็นของผู้ครอบครองที่ส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติในระยะยาว โดยที่ประเทศไทยไม่ได้รับประโยชน์อะไร ซึ่งตัวเลขมูลค่าการผลิตในระบบนี้ปีหนึ่งมีมูลค่าสูงกว่าแสนล้านบาท

“เรื่องนี้หากทำไม่ดี อาจทำให้อุตสาหกรรมยาในประเทศไม่มีความเข้มแข็งและไม่ก้าวหน้า เพราะปัญหาของสิทธิบัตรจะทำให้การพัฒนาผลิตยาในประเทศถูกควบคุมอย่างชัดเจน และเมื่อมีสภาวะเชื้อดื้อยาหรือโรคระบาดที่เกิดขึ้น ก็จะไม่สามารถผลิตยาได้ทันที”ภญ.นิยดา กล่าว

ภญ.นิยดา กล่าวว่า การที่รัฐบาลบอกให้ขึ้นทะเบียนไปก่อนและค่อยปรับแก้ไขภายหลังหากมีปัญหา คิดว่าเมื่อขึ้นทะเบียนไปแล้วการนำกลับมาแก้ไขใหม่คงเป็นเรื่องยาก หรือหากจำเป็นก็ต้องฟ้องร้องก็อาจใช้ระยะเวลานานหลายปี จึงมองว่าไม่คุ้มหากรัฐบาลปล่อยไปก่อนและแก้ไขภายหลังหากมีปัญหา ถ้าเป็นเช่นนั้นจะสะท้อนความไม่เอาไหนของหน่วยงานที่ขึ้นทะเบียน เพราะสิทธิบัตรไม่ได้เกี่ยวข้องเฉพาะเรื่องยาเพียงอย่างเดียว แต่เชื่อมโยงถึงเรื่องพันธุ์พืช สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ด้วย

ภญ.นิยดา กล่าวว่า การที่รัฐบาลบังคับให้เสร็จภายใน 3 เดือน คงเป็นไปไม่ได้ เพราะจากมาตรฐานการประเมินสิทธิบัตรแต่ละชนิดตามหลักสากลที่หลายประเทศทำอยู่ เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย สหภาพยุโรป (อียู) ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร เพราะหากเร่งรัดการทำงานพิจารณาแบบไม่ละเอียดจะเกิดผลเสียต่อประเทศตามมาภายหลัง

ทั้งนี้ ขอเตือนว่าการจดสิทธิบัตรจะต้องดูให้ครบวงจรอย่างละเอียด ไม่ควรเร่งรีบว่าต้องเอาเฉพาะเรื่องสิทธิบัตรอย่างเดียว เพราะหากใช้มาตรา 44 เข้ามาแก้ปัญหาเรื่องนี้ควรพิจารณาให้ดีว่าจะใช้อย่างไรเพื่อให้ประเทศได้ประโยชน์และสามารถนำไปพัฒนาในอนาคตได้ เพราะการที่พูดแต่เพียงว่าต้องการให้จดสิทธิบัตรหมื่นกว่ารายการให้เสร็จภายใน 3 เดือน เป็นการแสดงว่าผู้ที่จะดำเนินการไม่รู้ข้อเท็จจริง ฉะนั้นควรกลับไปวิเคราะห์สาเหตุว่าที่ช้าเพราะเหตุใด และค่อยตัดสินใจดำเนินการจะเป็นการดีกว่า

ภญ.นิยดา ย้ำว่าการที่จะให้ออกสิทธิบัตรให้เร็วภายใน 3 เดือน คิดว่าเป็นเรื่องที่ยาก เพราะการทำเรื่องนี้ต้องรอบคอบ มีประสิทธิภาพ เพื่อให้การจดสิทธิบัตรนำไปสู่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ให้มากขึ้น ไม่ใช่ทำเพียงเพื่อธุรกิจ เพราะสิทธิบัตรถือเป็นสิ่งที่จะยึดครองไปตลอด เพราะหากดำเนินการไม่รอบคอบ ไม่ใช่เพียงจะทำให้อุตสาหกรรมยาตายเท่านั้น แต่จะทำให้ประเทศไทยล้มละลายตายด้วยซ้ำ เพราะเงินส่วนใหญ่เป็นภาษีที่ต้องนำเข้าสู่ระบบ