“โลกกลับหัว” บทเรียนจากสหรัฐ แม่แบบประชาธิปไตยที่กำลังมีปัญหา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

2 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 08:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/480475

"โลกกลับหัว" บทเรียนจากสหรัฐ แม่แบบประชาธิปไตยที่กำลังมีปัญหา

โดย….ธนพล บางยี่ขัน, ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

สั่นคลอนสถานะ​​ประเทศต้นแบบประชาธิปไตยอยู่ไม่น้อย หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 และเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 20 ม.ค.ที่ผ่านมา จนถึงวันนี้ผ่านมาไม่ถึงเดือนก็ถูกท้าทายทั้งการประท้วงจากประชาชน และตุลาการภิวัฒน์ระงับคำสั่งของท่านประธานาธิบดี จนหลายคนแซวว่า วันนี้อเมริกากำลังตามหลังไทยแล้ว

4 ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาไม่ถึงเดือน กำลังทดสอบระบอบประชาธิปไตยสหรัฐจนถูกจับตาจากทั่วโลก ได้แก่ 1.การประท้วงจากประชาชนที่มีอย่างต่อเนื่อง  2.นักแสดงสาวชาวสหรัฐ ซาราห์ ซิลเวอร์แมน สร้างความฮือฮา ออกมาเรียกร้องสวนทางหลักประชาธิปไตยให้ทหารรัฐประหาร ยึดอำนาจจากทรัมป์ โดยอ้างว่าเป็นผู้นำเผด็จการ

3.ดัชนีประชาธิปไตยที่จัดทำโดยหน่วยข่าวกรองเศรษฐศาสตร์ หรือ EIU ของนิตยสาร ดิ อีโคโนมิสต์ ในอังกฤษ ลดอันดับสหรัฐอเมริกาจากประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เป็น “ประชาธิปไตยที่มีความบกพร่อง” เพราะความเชื่อมั่นของประชาชนต่อสถาบันสาธารณะตกต่ำลง รวมถึงที่มีต่อทรัมป์ และ 4.ศาลอุทธรณ์รัฐบาลกลางได้ระงับคำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์จนหน้าหงายที่ห้ามชาวมุสลิม 7 ชาติ เข้าประเทศ

เอนก เหล่าธรรมทัศน์ อธิการวิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต ซึ่งคร่ำหวอดอยู่ในดินแดนเสรีภาพของสหรัฐอเมริกามายาวนานตั้งแต่สมัยเรียนปริญญาตรี โท และปริญญาเอก จากคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยโคลอมเบีย ในมหานครนิวยอร์ก ก่อนจะได้รับแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยศาสตราจารย์สอนในระดับปริญญาโทและเอกที่นั่น สะท้อนปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในอเมริกาให้เราฟังว่า สิ่งที่ทรัมป์ประกาศไว้ตั้งแต่ช่วงหาเสียงไม่ได้แค่พูดอย่างเดียว เพราะภายในหนึ่งสัปดาห์ ได้ออกคำสั่งฝ่ายบริหาร (เอ็กเซ็กคิวทีฟ ออร์เดอร์) หลายเรื่องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันขัดกับวิธีคิดระบอบการทำงานของสหรัฐ จนทำให้​ถูกท้าทายด้วยอำนาจจากทั้งศาล อัยการ มลรัฐ  ​

“จากที่เคยพูดกันว่าอเมริกาเป็นแม่แบบประชาธิปไตยนั้น เวลานี้กำลังถูกทดสอบอย่างหนัก แต่ก็สะท้อนว่าคุณจะทำอะไรหักดิบในอเมริกายาก เพราะมีระบบที่อำนาจไม่รวมศูนย์​มาก มีเช็กแอนด์บาลานซ์ ศาล สภา ถ่วงดุลอำนาจประธานาธิบดีได้ ทรัมป์ถึงต้องหลบมาใช้เอ็กเซ็กคิวทีฟออร์เดอร์ เพราะหากออกเป็น พ.ร.บ.หรือรัฐบัญญัติก็อาจจะถูกขัดขืนต่อต้านและช้า แถมยังถูกคานด้วยมลรัฐและอำนาจท้องถิ่น”

เอนก อธิบายว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ฮิลลารี คลินตัน ได้คะแนนป๊อปปูลาร์โหวตมากกว่า แต่ โดนัลด์ ทรัมป์ ชนะในระบบอิเล็กทรอรอลซึ่งเป็นการเลือกตั้งทางอ้อม ดังนั้นในแง่ประชาธิปไตยก็ถือเป็นโอกาสให้กลับมาคิดอะไรกันใหม่ รวมไปถึงคิดเรื่องต้นแบบประชาธิปไตยที่สหรัฐถูกยกให้เป็นแม่แบบอีกครั้ง

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นทั้งด้านดีและไม่ดี ทั้งเรื่องการใช้อำนาจของประธานาธิบดี ซึ่งมีระบบชาลเลนจ์อำนาจให้ศาลตรวจสอบว่าเป็นไปตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ รวมทั้งประธานาธิบดีก็เป็นคอมมานเดอร์อินชีฟสามารถสั่งการทหารได้ แต่ก็มีกลไกต้องทำให้ถูกต้องตามกฎหมายไม่ใช่สั่งไปเรื่อยเปื่อย

เอนก กล่าวว่า สหรัฐอเมริกาก่อตั้งมาจากการต่อต้านระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แบบยุโรป ที่อำนาจอยู่ในมือกษัตริย์ ขุนนาง อเมริกา ต้องการเสรีภาพจึงออกมาตั้งแผ่นดินใหม่ ฟังเสียงประชาชน มีพันธสัญญาที่จะอยู่ด้วยกัน รัฐบาลมีอำนาจเพราะประชาชนมอบอำนาจให้ ต่อมามีการคานอำนาจทำให้รัฐบาลมีอำนาจน้อย แบ่งเป็นการกระจายอำนาจ

“ความชอบธรรมไม่ได้แค่มาจากการเลือกตั้ง​จากประชาชน แต่อเมริกา ถึงจะมาจากประชาชนก็ยังวางระบบไม่ให้รัฐบาลทำอะไรผิด​ หากทำผิดก็จะมีคนชาลเลนจ์ วัฒนธรรมการเมืองเรา รัฐบาลสามารถสั่งลงไปทุกตำบลได้  แต่อเมริกาทำไม่ได้ ต้องขึ้นกับที่มลรัฐต่างๆ ว่าเขาเอาหรือเปล่า ​มลรัฐ เมือง ท้องถิ่นของเขาไม่ใช่ข้างบนมาสั่งให้ทำอะไรก็ได้ ข้างบนจะทำเรื่องใหญ่ๆ ความมั่นคง คลัง ทหาร ต่างประเทศ”​

​เอนก อธิบายว่า ​ระบบนี้ต่างจากของจีนที่ออกแบบ​ให้ทำอะไรเร็วๆ เยอะ​ๆ ได้ เพราะอำนาจชัดเจนเด็ดขาด รวมศูนย์ไม่มีการคานหรือถ่วงดุล ดังนั้น ถ้าดีก็ดีใจหาย ​ถ้าแย่ก็แย่สิ้นดี ต่างจากระบบอเมริกาที่ไม่ดีใจหาย แต่ก็ไม่แย่สิ้นดี ส่วนหนึ่งเพราะอเมริกา พลังอยู่ที่ภาคเอกชน พลังสังคม

อีกประเด็นที่น่าสนใจคือสภาพเศรษฐกิจที่อเมริกาถูกจีนไล่กวดมาเรื่อยๆ กำลังท้าทายระบบโลกาภิวัตน์ จากเดิมที่ฝรั่งคือศูนย์กลางความเจริญ เป็นต้นแบบ แต่ปี 2008 เป็นต้นมาเริ่มไม่เป็นอย่างนั้น เพราะทุกอย่างเริ่มมีการกลับขั้ว

“ประเทศตะวันตกเริ่มไม่เป็นครู ประเทศตะวันออกเริ่มจะเป็นครูมากขึ้นไปจนถึงเรื่องที่ ตะวันตกทำท่าจะไม่เป็นศูนย์กลางการเติบโต ขณะที่ประเทศตะวันออกเป็นประเทศศูนย์กลางการเติบโตมากกว่า ประเทศ​ตะวันตกไม่ค่อยรวย​ มีหนี้ ส่วนประเทศตะวันออกเริ่มเป็นเจ้าหนี้ จะเห็นว่ารายได้ที่เป็นจริงของคนชั้นกลางอเมริกาไม่เพิ่มมาเป็น 10 ปี”​

ทั้งนี้ ​คนอเมริกาก็ฝังใจเลือกคนมาแก้ โดยเลือกโอบามามาเปลี่ยน ​ทำมา 8 ปี แต่ก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้ทำให้ โดนัลด์ ทรัมป์ ​ที่ประกาศ “Make America Great Again” เริ่มหลุดจากโลกาภิวัตน์ หันไปเน้นที่ชาติตัวเองเป็นหลัก จากเดิมที่เน้นเจรจาพหุภาคีก็เปลี่ยนมาเป็นทวิภาคี รวมทั้งเรื่องที่จะถอนกำลังทหารจากเกาหลีใต้ ญี่ปุ่น นาโต้ อาจได้เห็นในยุคทรัมป์ เพราะไม่ต้องการทำตัวเป็นตำรวจโลก ลดบทบาทความมั่นคงทางทหารโลกที่แบกรับ แต่จะมาจริงจังกับการค้าการลงทุนมากขึ้นโดยใช้ข้อได้เปรียบทางทหารมาต่อรองบีบคั้นเป็นแรงพิเศษ

ถามถึงเหตุการณ์ประท้วงที่เริ่มใช้ความรุนแรงและดูจะขัดกับหลักประชาธิปไตยนั้น เอนก มองว่า ยังเป็นเพียงคนส่วนน้อย และยังอีกนานกว่าจะเป็นกระแส หรือกระแสเรียกร้องเรื่องการยึดอำนาจก็ไม่ง่าย เพราะอเมริกาเป็นประเทศที่มีการกระจายอำนาจสูง ​แต่การยึดอำนาจทำได้ในประเทศที่รวมศูนย์อำนาจเด็ดขาด

ที่น่าสนใจคือ การที่นิตยสารอีโคโนมิสต์ ลดการจัดอันดับความเป็นประชาธิปไตยของอเมริกา เอนก มองว่า เป็นปรากฏการณ์ โลกปั่นป่วน อำนาจโลกกำลังเปลี่ยนแปลงจากค่ายเดิมคือตะวันตกที่กำลังทรุดลง อำนาจใหม่คือตะวันออกกำลังพุ่งทะยานขึ้น

“ปทัสถานเดิมกำลังเริ่มคลอนแคลน​​ อะไรหลายอย่างที่ตะวันออกดูไม่ดี ตอนนี้อาจต้องคิดใหม่ว่าดีแล้วก็ได้ เช่น ระบบจีน การบริหารราชการแบบจีน พัฒนาแบบจีน ที่บอกว่าตลาดดีกว่า รัฐ พูดแบบนี้ไม่ได้แล้ว เพราะหากให้รัฐคุมตลาด แบบนี้อาจไม่ผิดก็ได้ มาร์เก็ต อาจไม่ใช่แล้วหลักคิดทั้งยวง ทุนนิยมไม่ใช่แค่ตลาดแล้ว อาจต้องใช้ทุนนิยมแบบยุทธศาสตร์ สเตรติจี้ แคปิตอลิซึม”

เอนก อธิบายว่า การดูแบบ “ประชาธิปไตย” แล้วคิดว่าทุกอย่างต้องเป็นแบบอเมริกา หรืออังกฤษ​ ที่ระบบดี​สำหรับป้องกันคนไม่ให้ทำอะไรที่ไม่ดีได้ง่ายๆ ก็อาจต้องเปลี่ยนความคิดนี้ รวมไปถึงกลไกการจัดอันดับทางเศรษฐกิจของประเทศตะวันตกทั้งเอสแอนด์พี มูดี้ส์ หรืออื่นๆ นั้น อาจจะต้องกลับมาคิดใหม่ว่าจำเป็นต้องให้ชาติตะวันตกเป็นคนจัดอันดับหรือไม่ เพราะเป็นฝ่ายที่เริ่มขาดทุน อาจถึงเวลาที่ฝั่งตะวันออกต้องเข้าไปจัดอันดับแทนหรือไม่

ทั้งนี้ ในแง่ประชาธิปไตยก็เช่นกัน เราจะให้เขามาจัดอันดับเรา หรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นคือเราจะเอาประเทศอะไรเป็นแม่แบบเราก็ต้องรอบคอบมากขึ้น เมื่อไปดูต้นแบบ​ก็ต้องดูว่ายังใช้ได้อยู่หรือไม่ มีจุดบกพร่องอย่างไร ไม่ควรเอาแม่แบบมาอ้างง่ายๆ เพราะแม่แบบมีปัญหาหมด

เอนก กล่าวด้วยว่า ปัญหาของแม่แบบทางเศรษฐกิจ อย่างเรื่องทุนนิยมก็ไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้องที่สุดแบบ 100% เพราะมันถูกท้าทายจาก “ทุนนิยมโดยรัฐ” เช่น จีน เกาหลี ประเทศอาเซียนเองรัฐก็มีบทบาทไม่น้อย ชี้ให้เห็นว่าไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ในทางประชาธิปไตยก็เหมือนกัน อังกฤษ อเมริกา ฝรั่งเศส ต้องปรับตัว ​แต่ก็ปฏิรูปยาก อเมริกาจะปรับตัวก็เจอล็อบบี้ทำให้ปฏิรูปไม่ได้

“นี่คือโลกที่กลับหัวเป็นหางหมด เมื่อก่อน​ประเทศที่มีอาการแบบอเมริกันเวลานี้ ​ควรจะไปอยู่ที่โดมินิกัน หรือ Banana Republic แต่เวลานี้ พฤติกรรมของอเมริกันกลับไปเหมือน Banana Republic ไปแล้ว”​

เอนก บอกว่า เวลานี้โลกาภิวัตน์เริ่มไม่มั่นคงถูกโยกคลอนจากพลังใหม่ อเมริกาเองก็เชิญให้ซีพีไปช่วยสร้างอาหาร จุดเด่นอเมริกาคือผลิตอาหาร เพราะมีที่ดินมาก แม้จะมีความรู้เยอะแต่ก็นำเอาความรู้มาทำพาณิชย์เชิง​ธุรกิจไม่เก่ง ​

สำหรับประเทศไทยไม่ใช่ประเทศยากจนอีกแล้ว ขนาดเศรษฐกิจโตอันดับ 33 ของโลก ​กำลังซื้อสินค้าเป็นจริงอันดับ 22 ของโลก ซึ่งมีทั้งหมด 220 ประเทศ เรารู้ตัวหรือเปล่าว่าเราไม่เลว ส่วนเรื่องการก้าวพ้นการติดกับดักรายได้ปานกลางนั้น ไม่ควรคิดที่จะทำให้เป็นประเทศร่ำรวยเพราะจะเหนื่อย แต่หากรายได้ปานกลางก็ต้องทำให้ปานกลางทั้งประเทศจริงๆ ไม่ใช่แค่คนจำนวนหนึ่งเท่านั้น

“เรามีพระเจ้าอยู่หัว ที่คิดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียงไม่ใช่เศรษฐกิจแบบ​ตะวันตก เศรษฐกิจที่ลดความอยาก ควบคุมความอยาก แสวงหาเท่าที่จำเป็น ต้องประมาณตนเอง”เอนก กล่าวทิ้งท้าย

 

สุวิทย์ เมษินทรีย์ กุนซือ “ไทยแลนด์ 4.0”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 11:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/479877

สุวิทย์ เมษินทรีย์ กุนซือ "ไทยแลนด์ 4.0"

โดย….อนัญญา มูลเพ็ญ

หลัง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้ปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ไปเมื่อกลางเดือน ธ.ค. 2559 ที่ผ่านมา “ครม.ประยุทธ์ 4” หลายตำแหน่งมีภาระหน้าที่เปลี่ยนแปลงไป เช่นเดียวกับ  “สุวิทย์ เมษินทรีย์”  ที่ปรับจาก รมช.พาณิชย์ มานั่งเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ก็ได้รับความไว้ใจให้รับผิดชอบดูแลหน่วยงานด้านยุทธศาสตร์ที่สำคัญ พ่วงด้วยหน้าที่ล่าสุดที่อยู่ในความสนใจของสังคมอย่างมาก คือ ฝ่ายเลขานุการคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดิน ตามกรอบการปฏิรูปประเทศยุทธศาสตร์ชาติและการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.)

เข้าสู่ยุค 2 บีโอไอ

“สุวิทย์” ฉายภาพถึงการจะขับเคลื่อนองค์กรที่อยู่ภายใต้การรับผิดชอบว่า เริ่มจากบีโอไอที่ต้องปรับบทบาทใหม่ ไทยจะต้องขยับตัวเองไปสู่การผลิตสินค้ามูลค่าสูง แต่จะทำได้ก็ต้องมีโครงสร้างพื้นฐานระดับเวิลด์คลาส มีคนที่ดีพอ เครื่องมือ บรรยากาศ จากที่ผ่านมาไทยเน้นนโยบายที่เหมือนปักชำ อยากได้อะไรเราก็ให้สิทธิ ประโยชน์จูงใจคือสิทธิประโยชน์ภาษี แต่ไม่ได้ทำอีก
ขาหนึ่ง คือ สร้างคนขึ้นมารับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่ทันสมัยแต่ไม่พัฒนา

การจะเปลี่ยนจากนโยบายแบบปักชำมาเป็นรากแก้วนั้น ก็คือ ไทยแลนด์ 4.0 ต้องมาดูรายละเอียดว่าถ้ามองในมุมของเทคโนโลยีที่เราอยากจะยืนอยู่บนขาของตัวเองมีอุตสาหกรรมอะไรบ้าง ซึ่งก็คัดเลือกออกมาได้เป็น 5  อุตสาหกรรม เช่น ไบโอเทค ไบโอเมด ดิจิทัล แมกคาทรอนิกส์ นี่คือที่มาที่ให้บีโอไอต้องปรับตัวจากที่เคยโฟกัสอุตสาหกรรม มาเป็นการโฟกัสที่ความสามารถ การดึงดูดการลงทุนจะต้องเปลี่ยนไปสู่การดึงศักยภาพ ขีดความสามารถเข้ามา ดึงคน โครงสร้างพื้นฐาน บริษัทที่ดีที่สุดในโลก ที่จะตอบโจทย์ประเทศ

ดังนั้น บีโอไอในยุคที่ 2 นี้จะต้องดึงแต่ละส่วนที่แบ่งเป็น 4-5 แฉก คือ หนึ่งดึงคน สองเทคโนโลยี สามคนที่จะมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และเซ็กเตอร์และวิสาหกิจที่ดีที่สุด ซึ่งทำให้ตอนนี้การดึงดูดการลงทุนต้องเลือกเป็นรายบริษัทเลย และทั้งหมดนี้จะประกาศตัวออกไปในงาน โอพอร์ทูนิตี้ ไทยแลนด์ ที่บีโอไอจะเชิญนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติมารับฟังในช่วงกลางเดือน ก.พ.

ปรับเครื่องมือจูงใจลงทุน

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ตอบโจทย์การดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมายนั้น “สุวิทย์” ระบุว่าตอนนี้บีโอไอมีแต่สิทธิพิเศษทางภาษีนิติบุคคลซึ่งไม่เพียงพอ จะต้องปรับปรุงไปสู่การให้สิทธิประโยชน์ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจึงจะสามารถดึงคนเก่งเข้ามาทำงานในประเทศไทยได้ แต่เครื่องมือที่สำคัญอีกประการ คือ การอำนวยความสะดวกและมาตรการต่างๆ ที่ไม่ใช่ภาษี หรือ นัน แท็กซ์ อินเทนซีฟ (Non Tax Intensive) เพื่อให้เขารู้สึกว่าไทยเป็นบ้านที่สองของเขา พาครอบครัวมาแล้วมีโรงเรียนอินเตอร์ มีทุกอย่าง ไม่ต้องคิดมากมาเมืองไทยเหมือนอยู่บ้านเดิม ซึ่งในส่วนนี้มีเรื่องต้องแก้อีกมาก เช่น เรื่องที่คนต่างด้าวต้องรายงานตัวหากอยู่เกิน 90 วัน ซึ่งเกี่ยวกับการแก้ไขตรงนี้ นายกฯ สั่งให้เคลียร์ 4-5 เรื่อง

สิ่งที่ทำตอนนี้ คือ ปรับนโยบายการลงทุนมาเน้นดึงดูดคนที่มีศักยภาพ เพราะพวกนี้ คือ สตาร์ทอัพ นักวิจัย พวกนี้แหละคือตัวทำเงินให้เราในอนาคต ส่วนเรื่องของเทคโนโลยีตอนนี้ระบบการวิจัยเรายังไปไม่ได้ เพราะว่าคนแจกโจทย์ก็ไม่ชัดและเป็นเบี้ยหัวแตก แจกวิจัยไปแล้วไม่มีการติดตาม ซึ่งบีโอไอจะเข้ามาช่วยด้วยว่าจะให้สิทธิประโยชน์อย่างไรเพื่อให้ตอบโจทย์เรื่องการวิจัยด้วยอินเซนทีฟ ที่ตอบโจทย์การวิจัยได้อย่างไร

สศช.องค์กรแผนอนาคต

“สุวิทย์” กล่าวถึงการปรับโครงสร้างเศรษฐกิจนี้ยังมีอีกหลายประเด็นที่ต้องคิด โดยตนพยายามเสนอในไทยแลนด์ 4.0 ว่าเบรนพาวเวอร์ คือ แรงงานระดับบนอะไรที่มีศักยภาพสูง กับแมนพาวเวอร์ คือ กลุ่มที่ใช้แรงงานต้องแยกออกจากกัน แล้วเอานโยบายมานั่งคุยกัน ถ้าตรงไหนต้องเคลียร์ก็ต้องเคลียร์ ตนเลยใช้บีโอไอเป็นตัวขยับซึ่งทำให้รู้ด้วยว่าถ้าจะลงทุนตรงนี้ติดอะไรจะเคลียร์ตรงไหน

ในส่วนของ สศช.หรือสภาพัฒน์นั้น ก็มีส่วนที่ต้องปรับอีกเยอะ ส่วนที่คิดกันอยู่และตนจะเสนอนายก รัฐมนตรีเร็วๆ นี้ 4 เรื่อง คือ 1.การที่ประเทศจะต้องมีแล็บทดลองเกี่ยวกับอนาคต (Future Lab) คือต้องสร้างแล็บให้ประเทศเป็นส่วนที่จะเข้ามาดูว่าอนาคตจะมีโอกาสเกิดอะไรขึ้นบ้าง 2.แล็บทดลองเกี่ยวกับนโยบาย (Policy Lab) คือเมื่ออนาคตเป็นแบบนี้จะต้องมีนโยบายแบบไหนในยุทธศาสตร์ 3.ส่วนที่เรียกว่าซิสเต็ม อินเตเกรชั่น (System Integration) เมื่อนโยบายที่ทดลองได้สุกงอมแล้วก็แจกจ่ายให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องดำเนินการ และ 4.เมื่อกระทรวงทำงานแล้วก็มีหน่วยงานติดตาม ซึ่งส่วนนี้มีกลไกเกิดขึ้นแล้ว คือ สำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี (พีเอ็มดียู) แต่อีก 3 ส่วนไม่มีซึ่งอาจจะเป็นสภาพัฒน์ที่เข้ามาดูส่วนใดส่วนหนึ่งในอนาคต

จากปฏิรูปศึกษาสู่งานยุทธศาสตร์

“สุวิทย์” เท้าความถึงช่วงเวลาก่อนจะได้รับมอบหมายดูแลงานสำ คัญนี้ว่า “ต้องย้อนไป 2-3 ปีที่แล้วถึงความตั้งใจที่ต้องการเข้ามาทำ เรื่องปฏิรูปการศึกษา เพราะมองว่าเป็นหัวใจการปฏิรูปประเทศไทย จึงสมัครเป็นสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ด้านปฏิรูปการศึกษา ซึ่ง เทียนฉายกีรนันท์ ประธาน สปช. ตั้งผมเป็นประธานกรรมาธิการวิสัยทัศน์และกำ หนดอนาคตประเทศไทย จึงมีโอกาสฉายภาพใหญ่ไม่เฉพาะการศึกษา แต่มองว่าอนาคตประเทศไทย 10-20 ปี อยากให้เป็นอย่างไร ที่สุดผมจึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของคณะเตรียมการเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ชุดของ พล.อ.วิลาศ อรุณศรี เลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ในช่วงที่อยู่กระทรวงพาณิชย์นั้น การส่งออกตกหนักมาก แต่มันก็ทำ ให้เรามองเห็นว่าประเทศไทยไม่ปรับโครงสร้างการส่งออกและการผลิตไม่ได้แล้ว ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของไทยแลนด์ 4.0 ที่นายกรัฐมนตรีจุดประกายมา และผมก็มีโอกาสทำงานไทยแลนด์ 4.0 มาตลอดตั้งแต่ตอนนั้น พอเปลี่ยนมาเป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรีก็ยังให้ดูสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และมองว่าประเทศไทยจะไปนวัตกรรมไม่ดูวิจัยไม่ได้ จึงให้ดูสำ นักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ขณะเดียวกันเศรษฐกิจท้องถิ่นก็สำ คัญจึงมอบหมายให้ดูแลกองทุนหมู่บ้านด้วย

อย่างไรก็ตาม ช่วงปลายปีที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีได้มองว่าถึงเวลาที่จะนำ เรื่องใหญ่ๆ มาถักทอกัน จากตอนแรกที่เข้ามามุ่งแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เช่น ไอเคโอ (ICAO) ไอยูยู (IUU)เศรษฐกิจโลกผันผวนก็ใช้เวลายื้อมา 2 ปีแล้ว ตอนนี้น่าจะดีขึ้นควรจะมองไปข้างหน้า นำ เป้าหมายที่แท้จริงออกมาทำ คือ ปฏิรูปและยุทธศาสตร์ชาติจะต้องขึ้นรูปให้รัฐบาลใหม่ทำ ต่อ แต่่เงื่อนไข คือ ทำ ไม่ได้ถ้าบรรยากาศไม่เอื้อให้ปรองดองและสามัคคี ดังนั้นปรองดองสามัคคีจึงเป็นจิ๊กซอว์ตัวที่ 3 ซึ่งนี่เป็นที่มาของ ป.ย.ป. แต่ผมก็ได้ดูแลในฐานะฝ่ายเลขาฯ หลายคนสงสัยว่าทำ ไม ผมไม่รู้หรอก แต่เท่าที่รู้ คือ ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากโอกาสที่ได้ทำงานผ่านไทยแลนด์ 4.0 เคยเป็น สปช. ดังนั้นงานของ ป.ย.ป. ก็เหมือนงานที่เคยสัมผัสอยู่

ขณะที่ ป.ย.ป. คือ กลไกที่จะส่งออกไปยังรัฐบาลถัดไป ถ้าคนในประเทศมียุทธศาสตร์ชาติร่วมกันรัฐบาลเปลี่ยนยุทธศาสตร์จะไม่เปลี่ยนและเมื่อถึงจุดที่ประชาชนเห็นว่านี่ คือสิ่งที่ดีกว่าที่เคยเป็น ไม่ต้องไปประชานิยมเขามาก เมื่อเกิดสิ่งนี้ขึ้น แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนไม่เปลี่ยน ตรงนี้เองที่เราบอกว่าถ้าเราทำสิ่งที่ถูกความปรองดองมากขึ้น ปฏิรูปเกิดผลชัดเจน ต่อตนเอง ลูกหลาน เขา ก็อยากจะปฏิรูปต่อ อย่าไปกลัวว่ารัฐบาลใหม่มาแล้วนโยบายจะเปลี่ยน แต่อยู่ที่ว่าสิ่งที่ทำนี้ เขาเห็นไหมและรู้สึกไหมว่ามันดีกว่า ปลดล็อกตรงนี้ได้ประชาชนไม่สนหรอกว่าพรรคจะทะเลาะอะไรกัน แต่ที่ผ่านมาเรายังไม่ได้ทำให้ประชาชนเท่าที่ควร พรรคเลยอ้างว่าอย่างโน้นอย่างนี้

ถามว่าเงื่อนไขความปรองดองไม่ได้อยู่ที่ความปรองดอง แต่เมื่อมันเกิดเป็นข้อตกลงร่วมกันแล้ว มันจะนำ ไปสู่เป้าหมายร่วมที่ทุกคนอยากมองยุทธศาสตร์ชาติร่วมกัน”

 

“ผมฟังเพลงลูกทุ่งยุคนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว”เสียงจากรุ่นใหญ่ “เสรี รุ่งสว่าง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 19:43 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/479494

"ผมฟังเพลงลูกทุ่งยุคนี้ไม่รู้เรื่องแล้ว"เสียงจากรุ่นใหญ่ "เสรี รุ่งสว่าง"

เรื่อง…อินทรชัย พาณิชกุล / ภาพ…กิจจา อภิชนรจเลข

ในวันที่รายการประกวดร้องเพลงทะลักล้นหน้าจอโทรทัศน์ เรตติ้งกระฉูด ผู้ชมทางบ้านกดโทรศัพท์โหวตให้นักร้องที่ตัวเองชื่นชอบมือเป็นระวิง

บ้างมองว่านี่คือเวทีใหม่ๆที่เปิดโอกาสให้ชาวบ้านธรรมดาได้แสดงความสามารถ ไต่เต้าจากดินสู่ดาว เพื่อชื่อเสียง เงินทอง และคำสรรเสริญเยินยอในฐานะซูเปอร์สตาร์คนใหม่ บ้างมองว่าความน่าเป็นห่วงอยู่ตรงรายการเหล่านี้เน้นเรื่องธุรกิจมากกว่าจะปลุกปั้นนักร้องมาประดับวงการอย่างจริงๆจังๆ เรตติ้งสำคัญกว่าคำแนะนำสั่งสอน รวมถึงการนำดารา คนดัง ตลกมาเป็นคอมเมนเตเตอร์แทนที่จะเป็นครูเพลง อาจทำลายวงการเพลงลูกทุ่งโดยไม่รู้ตัว

เสรี รุ่งสว่าง ตำนานนักร้องลูกทุ่งเมืองไทยวัย 62 นายกสมาคมนักร้องลูกทุ่งแห่งประเทศไทยคนล่าสุด เฝ้ามองสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นในวงการด้วยสายตากังวลและมีคำถาม

วันนี้เขาจะมาวิพากษ์วงการเพลงลูกทุ่งอย่างเปิดเผย ดุดัน ตรงไปตรงมา

ทำไมถึงรับตำแหน่งนายกสมาคมนักร้องเพลงลูกทุ่ง

จริงๆไม่ได้อยากรับตำแหน่ง ตัวเราเองทำงานก็เหนื่อยมากมาย แถมช่วยสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อมอยู่แล้ว ทีนี้พี่น้องศิลปินรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ รวมถึงนายกฯคนเก่า (ทศพล หิมพานต์) เขาอยากให้เราเป็น ชวนตลอด ปฏิเสธมา 2-3 ครั้งแล้ว วันที่รับตำแหน่ง น้องๆมันชวนไปงานประชุมสมาคม พอไปถึงก็เสนอชื่อเรา เลือกเราเป็น มัดมือชกเลย ก็ต้องขอบคุณพี่ๆน้องๆทุกท่านที่ไว้วางใจให้เราได้มาดูแลศิลปินตรงนี้

นโยบายผมคือ นักร้องรุ่นเก่าๆที่ดังแล้วตก ดังแล้วหายไป คนชอบเข้าใจผิดว่าทำไมตอนดังถึงไม่เก็บเงิน อยากให้แฟนเพลงทุกท่านเข้าใจใหม่ว่า สมัยก่อนตอนที่นักร้องดังๆเขามีนายทุน พอมีนายทุนปุ๊บ ได้เงินมานักร้องก็จะได้ส่วนแบ่งเป็นเปอร์เซนต์นิดหน่อยเท่านั้นเอง สมัยผมเป็นนักร้องใหม่ๆดังถล่มทลาย ค่าตั๋ว 15 บาทคืนนึงสามารถเก็บได้ถึง 5-6 แสน แต่เงินจำนวนนั้นแทบไม่ตกถึงมือเรา ได้เบิกอาทิตย์ละแค่ 1,000-2,000 ที่เหลือเป็นของนายทุน เพราะนายทุนเขาตั้งวงให้ เชียร์ให้ พอได้เงินเขาก็กอบโกยเอาไป ทีนี้ผ่านไป 10-20 ปี พอหมดความดังก็หมดเงิน ถึงตอนนั้นนายทุนก็ปล่อย ปล่อยแล้วจะไปหากินตรงไหน เพราะเขากินหัวน้ำไปหมดแล้ว พวกที่อยู่ปลายน้ำก็ต้องหากินเองตามยถากรรม นักร้องหลายคนถึงได้นับหนึ่งใหม่ หาเช้ากินค่ำ แฟนเพลงจึงไม่เข้าใจว่าทำไมนักร้องถึงตกทุกข์ได้ยาก ตายไม่มีโลงจะใส่ เจ็บไข้ได้ป่วย ไม่มีหน่วยงานไหนดูแล

ผมอยู่วงการมา 40 ปีเล็งเห็นว่า ถ้าไม่มีกระบอกเสียงตรงนี้ ประชาชนก็จะไม่รู้ความจริง ไม่มีใครสงสาร ฉะนั้นที่ดูแลอยู่ตอนนี้ประมาณ 30-40 คน ก็ต้องช่วยดูว่ามีทางไหนบ้างที่จะช่วยเขาได้ นักร้องหลายคนขนาดลอยกระทง ตรุษจีน ปีใหม่ เทศกาลสำคัญๆไม่มีงานเลย วันธรรมดาๆไม่ต้องพูดกัน ค่าตัวไม่ใช่ว่าแพงนะ บางคน 5,000 3,000 ก็ไปแล้ว ผมมารับตำแหน่งนี้ก็อยากจะดูแล อยากบอกแฟนเพลงทุกๆท่านว่า นักร้อง ศิลปินที่ไปทำแผ่นขายหน้าเวที ช่วยเขาซื้อเถอะ ทุกวันนี้ห้างต่างๆมันเละเทะไปหมดแล้ว เทปผีซีดีเถื่อนก็มีมากมาย ฉะนั้นการทำซีดีไปขายตามงานโชว์ก็ช่วยเขาซื้อเถอะครับ นี่เป็นการช่วยนักร้องจริงๆ

อาชีพนักร้องสมัยก่อนกับสมัยนี้แตกต่างกันมากไหม

วงการเพลงลูกทุ่งสมัยก่อนเงินสะพัด มือปืนเยอะ เสือสิงห์กระทิงแรดทั้งนั้น นายทุนไม่ต่างจากมาเฟีย เทคโนโลยีก็ไม่มี ตำรวจก็ไม่ทัน

นักร้องยุคก่อนจะเสียเปรียบเยอะ ยกตัวอย่างเช่น สมัยนี้นักร้องรับเชิญอย่างเดียว วงไม่มี สามารถแบ่งรายได้ 70/30 นักร้อง 70 นายทุน 30 แต่สมัยก่อนคุณจะได้เล่นแค่ครั้งเดียว หนึ่งโชว์เท่านั้นสำหรับงานที่เขาจ้างไป วงไหนไม่ดี ไม่ดังก็ไม่ได้เงิน ถึงได้เงินก็ไปตกที่นายทุนซะหมด จะไปขอร้อง ถามหาความยุติธรรม คุณแบ่งเงินให้ผมบ้างได้ไหม พูดมากเดี๋ยวถูกกระทืบ ไปแข็งข้อกับเขา ดีไม่ดีตายอีก สมัยนี้นักร้องดังๆค่าตัวไม่ต่ำกว่าแสน นักร้องที่เป็นเอกเทศอย่างผมก็หาเช้ากินค่ำไป เจ้าภาพพอใจก็จ่าย งานใกล้ๆหน่อยก็แค่ 20,000-30,000 บาท แต่นักร้องตามค่ายตอนนี้ คุณไปดูได้เลย 2 แสนทั้งนั้น ยิ่งเป็นนักร้องสตริงเดี๋ยวนี้ 5 แสน

เมื่อก่อนเทคโนโลยีก็ไม่เหมือนสมัยนี้ คุณร้องผิดต้องร้องใหม่หมด เดี๋ยวนี้ร้องผิดคำเดียว ก็ร้องแก้แค่คำเดียว เสียงไม่เอื้อนก็ทำให้เอื้อนซะเลย เสียงไม่ยาวก็ทำให้ยาวซะเลย เสียงไม่กว้างก็ทำให้กว้าง สมัยนี้มันเป็นแบบนี้ สมัยก่อนต้องแหกปากออกมาเลย ร๊ากกกกมาก่อนใคร (ตะโกนร้องเพลงรักมาห้าปีของศรเพชร ศรสุพรรณเสียงดังมาก) ไม่มีเทคโนโลยีช่วย ร้องผิดร้องใหม่สถานเดียว แล้วดูนักร้องรุ่นเก่าสิ ร้องมา 40 ปี ถือไมค์ตัวเดียวยืนร้องเพลงทื่อๆเหมือนสากกะเบือ แต่อยู่ได้ เพราะเขาขายเสียง เขาจะอยู่ได้จนกระทั่งเขาตาย ถึงตายไปแล้วก็ยังมีคนโจษขาน เพราะนี่คือของแท้

จริงหรือไม่ที่เขาว่านักร้องลูกทุ่งยุคนี้มีตัวช่วยเยอะ ทั้งสื่อ เทคโนโลยี เวทีประกวด โอกาสดังเลยง่าย

สมัยก่อนเพลงลูกทุ่งเขาฟังทางวิทยุ ไม่เห็นรูปร่างหน้าตา ฉะนั้นเสียงต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง พอสื่อเปลี่ยนจากวิทยุเป็นโทรทัศน์ ค่านิยมเสพสื่อของคนก็เปลี่ยนจากหูเป็นลูกตา ทุกอย่างเลยบิดเบือนไปหมด คุณภาพของศิลปินกลายไปรวมกันอยู่กระจุกเดียว เอ๊ะ ไอ้นี่เป็นดารารึเปล่าวะ ไอ้นี่เป็นนักร้องรึเปล่าวะ ชักสับสน คนเดียวเป็นมันทุกเรื่อง หน้าตาดี ร้องเพลง เต้น เล่นตลก ผมถามหน่อยว่าไอ้คนที่เป็นหลายๆเรื่องมันเอาดีสักเรื่องได้ไหม

เมื่อค่านิยมเปลี่ยนจากหูเป็นลูกตา ถามว่าการดูไปด้วยฟังไปด้วยกับใช้หูฟังอย่างเดียว อันไหนดีกว่ากัน …ก็ต้องฟังสิ โห ไอ้นี่มันร้องเพราะว่ะ เสียงมันดีจัง ร้องชัดทุกคำ เราจะมีสมาธิในการฟัง แต่พอดูทางลูกตาปุ๊บ เฮ้ย ไอ้นี่มันหล่อเว้ย แต่พอฟังเสียง อ๋อ มันร้องพอใช้ได้ แต่กูชอบมันเพราะมันหน้าตาดี คนปั้นก็ลังเล มึงร้องไม่ดี แต่กูอยากจะปั้นมึงอ่ะ เพราะมึงสวย ต่างจากนักร้องยุคเก่าโชว์เสียงกันสดๆ รู้กันไปเลยว่าไอ้คนนี้ร้องเพราะโว้ย แบบนี้แหละที่ทำให้นักร้องรุ่นเก่าๆอยู่เป็นอมตะ อย่างสุรพล สมบัติเจริญ หลานผมยังรู้จักเลย ตายไปนาน 40-50 ปีแล้วแต่คนยังฟังอยู่

นักร้องลูกทุ่งรุ่นใหม่เน้นขายหน้าตามากกว่าเสียงจริงไหม

เทคโนโลยีเดี๋ยวนี้ทันสมัย คนไม่หล่อจะทำให้หล่อมากๆก็ได้ เพราะเทคโนโลยีมันเอื้ออำนวย สมัยก่อนกว่าจะผ่านมาเป็นศิลปินได้ยากมาก ถ้าไม่เจ๋งจริง ร้องไม่ดีจริง คุณไม่ได้เกิด

ลูกทุ่งสมัยก่อนเขาฟังทางหู เสียงดีอย่างเดียว รูปหล่อไม่เกี่ยว แต่ลูกทุ่งสมัยนี้ดูทางลูกตา เสียงไม่เกี่ยว มึงรูปหล่อ มึงสวย กูเอา ก็เลยทำให้วงการมันเละ มาตรฐานไม่มีแล้ว นักร้อง คุณจำไว้เลยว่าต้องใช้เสียง ดารามันต้องใช้หุ่นใช้หน้าตา ต้องแยกแยะกันให้ถูกเรื่อง สื่อปัจจุบันนี้มันทำให้ทุกอย่างบิดเบี้ยวไปหมด ยกตัวอย่างคุณกับผมไปสมัครร้องเพลงด้วยกัน คุณเสียงพอใช้ได้เท่าๆกับผม หรือผมอาจจะดีกว่าคุณ แต่เขาไม่ได้พิจารณาผมนะ เพราะผมหน้าตาไม่ดี แต่คุณหน้าตาดี เขาก็เอาคนหน้าตาดีไว้ก่อน ยุคนี้มันเป็นแบบนี้ คุณภาพวงการเพลงลูกทุ่งมันก็เลยด้อยลงไป แต่ยังไงก็ตามถึงยุคสมัยจะเปลี่ยนไป ก็ขอให้มันร้องชัดหน่อย บางคนร้องมาผมยังฟังไม่รู้เลยว่ามันร้องเพลงลูกทุ่งรึเปล่า มันร้องเพลงไทยหรือร้องเพลงสากลวะ ฟังไม่รู้เรื่อง (หัวเราะ) วัยรุ่นสมัยนี้มันฟังออกกันได้ยังไง ไม่เข้าใจ เราเป็นศิลปินก็ต้องให้คนมาเลียนแบบเรา ต้องให้คนมาตามอย่างเรา ฉะนั้นคุณเป็นศิลปินดังก็ขอให้ร้องให้มันชัดได้ไหม ทุกสาขาเลย ร้องให้มันถูกต้อง

คนที่ร้องเพลงได้ชัดมากๆและดังไม่หยุดก็คือ เบิร์ด ธงไชย คุณลองไปฟังสิ เขาไม่มีร้องมั่ว ชัดทุกคำ ฟังได้ทุกคำ เขาถึงเป็นอมตะ ฉะนั้นนักร้องไม่ว่าจะแนวไหน สตริง ลูกทุ่ง ลูกกรุง ก็ใช้ภาษาให้มันถูกต้อง คนที่เกี่ยวข้องช่วยดูแลหน่อย อย่าให้ทำภาษาไทยวิบัติ

มองวงการเพลงลูกทุ่งวันนี้อย่างไร

ทุกวันนี้วงการเพลงลูกทุ่งน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง รายการประกวดร้องเพลงลูกทุ่งต่างๆที่ทำกันเป็นล่ำเป็นสัน ผมขอบคุณเขานะที่ช่วยให้เพลงลูกทุ่งอยู่ได้ แต่มันเป็นดาบสองคม ถ้ารายการคุณทำไม่ถูกต้องมันจะไปทำลายวงการ แต่ถ้าทำถูกต้อง ทำออกมาได้ดี มีมาตรฐาน มันจะช่วยให้มีศิลปินนักร้องดีๆมาประดับวงการ

สมัยนี้กติกาการให้คะแนน บางรายการคะแนนเต็ม 100 แบ่งเป็นลีลา 20 เสื้อผ้า 20 อักขระ 20 จังหวะ 20 เสียงร้อง 20 ถามว่าเสื้อผ้ามันทำให้เสียงเพราะได้ไหม อักขระ จังหวะ และเสียงร้อง 3 อย่างนี้มันต้องประกอบเข้าด้วยกัน แค่ 3 อย่างเท่านั้น คุณจะนุ่งกางเกงขาสั้นขายาวมันไม่ได้ช่วยให้ดังได้ ลีลาดึงฟ้าดึงดาวก็ไม่ได้ช่วยให้ดังได้ เสียงร้องต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง การให้คะแนนเรื่องเสียงนี่ต้อง 90-95 % เลย ถ้าไม่ถึงขั้นนั้น อมตะไม่ได้ แบบฟลุ๊คๆก็อาจจะดังได้เพลงเดียว แต่จะดังยาวนาน 30-40 ปีคงไม่ใช่ ถ้าผมเป็นกรรมการตัดสิน ผมจะให้ความสำคัญที่เสียงร้อง 100 % เลย อย่างอื่นไม่เกี่ยว นี่คือมาตรฐานของเสรี รุ่งสว่าง

อยากถามเจ้าของรายการต่างๆว่า คุณจะเอาอะไรกันแน่ ถ้าให้ผมเดา ผมเดาว่าคุณอยากได้อะไร อยากได้เงินไง อยากให้รายการคุณสนุก คุณไม่ได้มาปั้นจริงจัง ที่คุณทำกันอยู่มันคือธุรกิจ แล้วจะไปเอาดีตรงไหนล่ะ เพราะเน้นเรตติ้ง ต้องโหวต ที่คุณทำอยู่มันไม่ได้สร้างนักร้องหรอก คุณสร้างเงินใส่กระเป๋าคุณ เพื่อใช้ชื่อตรงนี้เท่านั้นเอง แต่การจะมาใช้ชื่อตรงนี้ก็ขอให้มันได้ดีสักนิดนึง ทิ้งอะไรให้คนรุ่นต่อไปได้หยิบไปต่อยอดได้ในอีก 40 ปีข้างหน้า ทำสิ่งดีๆฝากไว้ในวงการได้ไหมให้คนรุ่นหลังได้เอาไปใช้ ถ้าคุณมาทำลายหมดสมัยนี้ ไม่ส่งต่อให้คนรุ่นลูกรุ่นหลานแล้วมันจะเอาอะไรกินกันล่ะ

 

เคยเห็นคุณออกมาวิจารณ์ว่าบางรายการเอาใครไม่รู้มาเป็นคอมเมนเตเตอร์

พวกคอมเมนเตเตอร์บางทีก็ปล่อยเพชรหลุดมือ มีให้เห็นอยู่ทุกรายการ ถามว่าคุณกับผมแค่สองคนยังคิดไม่เหมือนกันเลย แล้วการเอากรรมการมา 10 คน ถ้าไม่ชัดเจนจริงๆจะตัดสินคะแนนให้เป็นเอกฉันท์ได้ยังไง ไม่มีทาง

ทุกคนฟังเพลงลูกทุ่งเป็นหมดแหละ แต่ไม่ใช่อาชีพเขาไง นักมวยก็ฟังเป็น ร้องได้ นักการเมือง จบดอกเตอร์อะไรก็ร้องลูกทุ่งได้ แต่เขาสอนได้ไหม รู้จริงไหม บางคนคอมเมนต์ว่า น้องไม่ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้ ถ้าเป็นผมจะให้กำลังใจเด็กบอกว่า ‘วันนี้หนูร้องผิดหลายที่ ออกเสียงก็ไม่ตรง จังหวะหนูก็เพี้ยน อักขระตรงนี้หนูก็ไปแก้อย่างนี้นะ แต่เสียงดีแล้ว เสียงหนูดังได้ แต่วิธีการร้องยังใช้ไม่ได้ลูก เพราะฉะนั้นให้กลับไปแก้ตัวใหม่ อย่าเสียใจลูก ไปทำให้มันถูกต้อง แล้วกลับมาสู้กัน’ แล้วผมก็ไม่ให้เขาผ่านจริงๆ เราสอนวันนี้เพื่อให้เขากลับไปฝึกให้เก่งขึ้น

ทุกวันนี้นักร้องหน้าตาไม่ดีแต่เสียงดีมีโอกาสเกิดไหม

ถามว่าสังข์ทอง สีใสหล่อไหม รุ่งเพชร แหลมสิงห์ล่ะหล่อไหม แล้วเขาเกิดไหม ยิ่งใหญ่ไหม

คนฟังเพลงลูกทุ่งจริงๆเขาฟังที่เพลงเพราะ รูปร่างหน้าตาคุณมาบิวท์ข้างนอกได้ เคยเห็นไหมล่ะบางคนเสียงดี๊ดี แต่รูปร่างหน้าตาใช้ไม่ได้เลย แต่พอดังเท่านั้นล่ะคนพูดเลยว่า เฮ้ยหล่อว่ะคือดังแล้วเดี๋ยวมันหล่อเอง ราศีมันจับเอง (หัวเราะ) ไปโมดิฟายเพิ่มมันก็หล่อได้เหมือนกัน แต่ถามว่าเสียงดีกับรูปหล่อ อย่างไหนไปได้ไกลกว่ากัน อย่างไหนอมตะกว่ากัน ถ้าคุณหล่อ อาจจะดังวูบเดียวตอนที่คุณยังหนุ่มอยู่ พอความหล่อคุณหมด เขาก็ไม่จำคุณแล้ว แต่ทำไมคนถึงจำสุรพล สมบัติเจริญได้อยู่จนถึงทุกวันนี้ ทำไมจำพุ่มพวง ดวงจันทร์ สายัณห์ สัญญา ยอดรัก สลักใจ ศรคีรี ศรีประจวบ ทำไมนักร้องรุ่นใหม่ๆถึงไม่จำ แล้วรายการประกวดร้องเพลงล่ะ ทำไมถึงยังเอาเพลงของรุ่นผมไปร้อง  บางคนเอาเพลงยอดรักไปร้องแข่งกับเพลงวัยรุ่น กรรมการตัดสินให้ชนะ ก็เพราะมันคือของแท้ เพชรแท้ก็คือเพชรแท้

มันแปลกอยู่เรื่องนึง คนที่ร้องดีไม่ค่อยโชว์ เพชรมีอยู่เยอะแยะแต่มันยังไม่ถูกเจียระไน  อีกอย่างเพชรมันจะฝังตัวอยู่ลึก และจะไม่ประกายแสงให้ใครเห็น นอกจากว่าคนจะเผอิญไปเจอมัน ก็เหมือนกับศิลปิน ผมเองไม่เคยชอบร้องเพลง บังคับให้ร้องผมก็ไม่ร้อง ประกวดก็ไม่ประกวด แต่ในเมื่อเรามาเป็นศิลปินเราต้องทำให้ดี มันเป็นอาชีพ เราต้องซื่อสัตย์ต่ออาชีพเราและทำให้คุ้มค่าต่อน้ำเงินของคนที่เขาซื้อเพลงเราไป เพราะเราเป็นคนขายเสียง ขายลม เพราะฉะนั้นต้องทำให้ดี

นักร้องลูกทุ่งหลายคนสู้ชีวิต ปากกัดตีนถีบ เป็นลูกวงแบกเครื่องดนตรีหลายปีกว่าจะได้ขึ้นเวทีร้องเพลง

นักร้องลูกทุ่งทุกยุคทุกสมัยไม่ได้เกิดมาจากคนรวย ไม่ได้เกิดมาจากที่ที่เจริญ แต่เกิดจากชาวไร่ชาวนา คนยากคนจน และโดยมากมันเป็นพรสวรรค์ เหมือนกับเทวดาเขาให้เพชรไปตกตรงโน้นตกตรงนี้ แต่ตกในน้ำครำนะ ไม่ได้ตกบนตึก ไม่ได้ตกในพระราชวัง นักร้องลูกทุ่งดังๆคนไหนบ้างที่เป็นลูกคนรวยตั้งแต่กำเนิด ไม่มีหรอก ปากกัดตีนถีบ ยากจนข้นแค้นกันทั้งนั้น

ช่วงผมดังใหม่ๆเป็นยุคที่เพลงลูกทุ่งเฟื่องมาก ผลประโยชน์เยอะ มีมือปืนมาเกี่ยวข้อง บางทีก็ทำให้เราต้องออกนอกเส้นทาง ต้องหลบๆซ่อนๆ จะถูกกระทืบตอนไหนก็ไม่รู้ เพราะโดนเอารัดเอาเปรียบอยู่ทุกวัน แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่ นักร้องรุ่นใหม่ๆมีการเซ็นสัญญาระบุเลยว่าเท่านี้ผมเท่านั้นคุณ มันทำให้นักร้องสมัยนี้ไม่รู้จักครูบาอาจารย์ ไม่มีรุ่นพี่รุ่นน้อง เพราะคิดว่าฉันดังได้โดยไม่ต้องอาศัยพวกแก สมัยก่อนเวลาจะไปช่วยงานกุศลอะไรต่างๆ นักร้องดังทั้งหมดก็จะไปเจอกัน รุ่นพี่รุ่นน้องก็สวัสดี แต่ทุกวันนี้ไอ้ค่ายนี้มา กูไม่ไป ไม่รู้จัก กูดัง มึงไม่ดัง กูไม่มองมึง มันเลยทำให้วัฒนธรรมเก่าๆหายไป

เรื่องกตัญญูอ่อนน้อมถ่อมตนในวงการลูกทุ่งเขาถือกัน

ถูกต้องครับ (ตอบเสียงเข้ม) นักร้องลูกทุ่งยุคเก่าเขามีวัฒนธรรม มีจิตสำนึก มีครูบาอาจารย์ มีรุ่นพี่รุ่นน้อง เจอหน้ายกมือไหว้กัน แต่เดี๋ยวนี้พอเห็นเราเดินมา มันหันหน้าไปทางอื่นเลย กูไม่มองมึง รุ่นไหนเป็นรุ่นไหน กูไม่สน กูอยู่ค่ายดัง แต่มันกำลังจะเปลี่ยน ไอ้พวกอยู่ค่ายอยู่คอก เวลานี้คอกมันกำลังจะตาย ค่ายมันกำลังจะแยก เดี๋ยวพอมาอยู่เป็นเอกเทศแล้วจะลำบาก ตอนอยู่ค่าย มีคนมาขอถ่ายรูป ทำแอ็ค ไม่เอา ไม่ว่าง เดี๋ยวพอค่ายคอกล้มไป นักร้องก็ต้องกระจัดกระจาย ต้องมาเดินสายหางานเอง คุณก็จะมาอยู่รวมกันเหมือนพวกผมนี่แหละ ทีนี้ก็จะมา ‘สวัสดีครับพี่ พี่ช่วยผมหน่อยครับ’ แหม สมัยก่อนมึงไม่รู้จักกู ตอนนี้มารู้จักกูเชียว ตอนนั้นกูขอถ่ายรูป โอ๊ย ไม่เอา ไม่ถ่าย ไม่ว่าง

เจอแบบนี้บ่อยไหม

ปัดโธ่ ผมอยู่ในวงการมา 40 ปี (หัวเราะ)

แล้วโกรธไหม

ไม่ (ตอบเสียงดัง) ผมก็เฉยๆ ไม่ด่า ไม่โกรธ แต่คิดในใจ เป็นไงล่ะลูกเอ๊ย อีตอนที่มึงดัง มึงไม่เห็นใครเขาเลย แล้วตอนนี้มึงมายกมือไหว้เขาทำไม

เวลามีสื่อมาสัมภาษณ์ผม คุณเป็นสื่อก็ต้องอยากได้ของไปขายใช่ไหม ผมก็ได้ประโยชน์จากคุณ ฉะนั้นเราเอื้อกันดีไหม คุณขอสัมภาษณ์ผม เอ้า ได้ๆ มาเลยน้อง เฮ้ย เสรีแม่งช่วยกูว่ะ ตอนนั้นกูไม่ดัง ไม่มีอำนาจ เป็นคนเขียนหนังสือตัวน้อยๆ แต่เสรีให้สัมภาษณ์ ให้ความร่วมมือเต็มที่ ให้ความรู้มากมาย แล้วถามว่ายามที่ผมตก หรือเจ็บไข้ได้ป่วย คุณเป็นใหญ่ มีลูกน้องมากมาย เฮ้ย เสรีป่วยโว้ย ช่วยเขาหน่อย นี่ไง มันอยู่ตรงนี้ต่างหาก เราอยู่วงการเพลงลูกทุ่ง เราอยู่กับสื่อ เราจะอยู่อะไรก็สุดแท้แต่ ก็ควรเห็นทุกสิ่งอย่างมีความหมาย ไม่ใช่มองไม่เห็นหัวใคร

นักร้องสมัยนี้อยากจะมีบอดี้การ์ดกันซะเหลือเกิน มึงไปไหนก็ไปสิ เราหากินกับประชาชน เราจะไปกลัวประชาชนทำไม เขาให้ทุกสิ่งทุกอย่างกับเรา นักร้องสมัยนี้คิดผิด ตอนยังไม่ดังนี่นะ พอเห็นกล้องตรงไหน อุ๊ย โอ้โห จัดเสื้อจัดทรงผม เดินเข้าหากล้องเลย กูต้องเข้ากล้อง โพสต์ทุกท่า สั่งอะไรทำหมด แต่พอเวลาดัง ทำไมคุณต้องทำตัวแบบว่า อุ๊ย ไม่ได้ อย่าถ่ายผมนะ อย่านะ ปาปารัซซี่ กลัวนะ แตะก็ไม่ได้ ถูกตัวก็ไม่ได้

อย่างเวลาผมไปแสดง ไปโชว์หน้าเวที  2-3 ชั่วโมง ผมให้คุณเลย คุณจะทำอะไรก็ได้ จะกอด จะหอม จะถ่าย จะลูบอีนู่นอีนั่นก็เอาเหอะ เดี๋ยวผมก็กลับบ้าน เพราะอะไรรู้ไหม นั่นแหละคืองานของเรา และนั่นแหละคือคนที่ให้เรา ไม่มีคนพวกนั้น คุณร้องเพลงให้ตายก็ไม่มีคนฟังคุณ ไม่มีคนดูคุณ คุณจะดังได้ไง ความดังของคุณอยู่ที่ประชาชน ถ้าคุณไม่เอาประชาชน ไม่ถ่ายรูปกับเขา จับมือก็ไม่ได้ เอ้า มึงเป็นเทวดาแล้ว แต่ตอนเวลาตกต่ำ สวัสดีคร้าบ สวัสดีจ้า มาจับมือกัน ถ่ายรูปกันหน่อย ผมไม่เข้าใจชีวิตพวกคุณเลย

ในฐานะนักร้องรุ่นใหญ่ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ มีวิธีวางตัวยังไงให้ดังได้นาน

การครองตัวให้ดีมันต้องทำทุกอย่างพร้อมกันไป นิสัยคุณต้องเข้าได้กับทุกคน ไม่ว่าใครมาขอความช่วยเหลือ ช่วยได้ก็ช่วยไป อะไรที่เราทำได้ก็ควรจะทำ แล้วมันจะสะสมจากตรงนั้นทำให้คนรู้ต่อๆกันไปว่าความดีของคนไม่ได้เกิดวันเดียว คุณทำมาสิบปีความดีมันถึงเกิด คุณทำวันนี้อีกสิบปีข้างหน้ามันถึงจะเกิด ไม่ใช่ทำวันนี้พรุ่งนี้กูต้องได้เลย การที่เราจะทำดี ต้องโอบอ้อมอารีกับเพื่อนฝูง เวลาเราดี เราช่วยเขา เวลาเราเซ เพื่อนจะช่วยค้ำ มันต้องค้่ำคูนกัน ต้องมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี

คุณจำผมไว้ ความดังของคนมันดังไม่ได้นาน แต่ความดีของคนตายไปสิบปีร้อยปีมันก็ยังดีอยู่นั่น

อาชีพนักร้อง การร้องเพลงอย่างเดียวอย่าไปไว้ใจมัน วันไหนเกิดความนิยมหมด เราจะเอาอะไรกิน ตอนกำลังดังกำลังพีค ทำไมไม่หาอย่างอื่นทำ ไม่หาอย่างอื่นมาเป็นอาหารเสริม คุณต้องหากิจการมาเสริมด้วย เผื่อเราพลาด ไม่มีงาน คนไม่จ้าง เงินไม่มี คุณรู้ไหมขนาดตอนผมดังถล่มทลายยังไปขับสิบล้อเลย ตอนดังๆผมร้องเพลงเก็บเงินได้เป็นแสนๆ ยังไปขับรถสิบล้อได้เที่ยวละห้าร้อย คนเราอย่าไปเกี่ยงเงินน้อย อย่าไปคอยเงินมาก มีอะไรก็ทำไป ได้เงินมาก็ต้องใช้ให้เป็นระเบียบ รู้จักใช้ รู้จักกิน ใช้เงินให้เป็น ไม่งั้นวันที่เราหมดความดัง หมดงาน ชีวิตจะแย่

ในวัย 62 ความสุขของผู้ชายชื่อเสรี รุ่งสว่างอยู่ตรงไหน

จากลูกชาวนาซูเปอร์จน จนกระทั่งไม่มีข้าวกิน ต้องไปรูดใบมะขามกิน ชีวิตวัยเด็กหาคุณค่าไม่ได้เลย ถึงวันนี้ทุกทวีปไปมาหมดแล้ว เห็นมาหมดแล้ว เจอมาหมดแล้ว ทำให้ผมคิดได้ว่า คนเราอยู่ไม่ถึงร้อยปีหรอก ทำความดีไว้เพื่อให้คนเขาจารึกว่าเสรี รุ่งสว่างเขาทำนี่ทำนู่นทำนั่น เคยช่วยเหลือคนนู้นคนนี้

คนเราถ้าเกิดไม่คิดเรื่องความตายบ้างมันก็จะโลภมากไปเรื่อย บางคนรวยแล้วก็อยากจะมีอำนาจ พอมีอำนาจก็อยากจะมีให้ล้นฟ้า ถามว่าตายไปคุณเอาอะไรไปได้สักอย่างไหม ไอ้ที่พูดไม่ใช่ว่าผมปลงได้นะ แต่ผมรู้จักพอ ตัวผมทุกวันนี้ คุณลองค้นกระเป๋าดู ถ้ามีเงินสักร้อยผมให้กระทืบเลย ผมไปรถอะไรก็ได้ ไม่ยึดติด สักวันเราก็ตาย อยู่ไปโดยไม่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นดีกว่าแล้วไอ้ความที่เราเคยจนเหลือเกิน ก็นั่งคิดว่าชาติก่อนเราไปทำอะไรใครไว้ ไปโกงใครไว้รึเปล่าวะ ชาตินี้เราต้องชดใช้ให้หมด ชาติหน้าจะได้เกิดอีกรึเปล่าไม่รู้แหละ แต่ชาตินี้เราจะใช้ให้หมด เรามีชีวิต มีเลือดเนื้อ มีจิตวิญญาณ เราก็ทำความดี ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ทำผิดให้น้อยที่สุด

ความสุขง่ายๆของผมในทุกวันนี้คือ การได้ไปร้องเพลงบนเวที การให้ความสุขกับประชาชนเป็นความสุขของผม.

 

รัฐบาลต้องขอสื่อได้ ระวังมาตรา 44 คลอดกฎหมายสื่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 07:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/479372

รัฐบาลต้องขอสื่อได้ ระวังมาตรา 44 คลอดกฎหมายสื่อ

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมาร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) การคุ้มครองสิทธิเสรีภาพ ส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพสื่อมวลชนที่ทางคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ ด้านการสื่อสารมวลชน สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ชุดที่ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร เป็นประธาน ถูกองค์กรวิชาชีพสื่อคัดค้านอย่างหนัก

เหตุผลที่องค์กรสื่อขอให้ยุติการออกกฎหมายฉบับนี้ เพราะมองว่าเนื้อหาของร่างฯ เปิดทางให้รัฐเข้ามาแทรกแซงสื่อ โดยเฉพาะที่กำหนดให้คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติจาก 4 ใน 13 คน ต้องมาจากผู้แทนภาครัฐโดยตำแหน่ง จาก 4 ปลัดกระทรวง ประกอบด้วย ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ปลัดกระทรวงการคลัง ปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และปลัดกระทรวงวัฒนธรรม และมีอำนาจขึ้นทะเบียนและเพิกถอนใบอนุญาตสื่อมวลชนได้ทุกประเภท รวมถึงลงโทษปรับทางปกครอง

ประเด็นเหล่านี้นอกจากจะกระทบสิทธิเสรีภาพการทำงานของสื่อในการตรวจสอบหน่วยงานภาครัฐโดยตรง ยังอาจกระทบต่อการรับรู้ข่าวสารของประชาชน โดยความคืบหน้าขณะนี้ ทางคณะกรรมาธิการวิสามัญกิจการสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (วิป สปท.) ได้ตีกลับให้ กมธ.ชุดนี้ไปทบทวนแก้ไขในประเด็นที่สื่อคัดค้าน และให้นำเสนอมายังวิปอีกครั้งสัปดาห์หน้าเพื่อเข้าที่ประชุมใหญ่ สปท. จากนั้นจะส่งให้คณะรัฐมนตรีและสภานิติบัญญัติแห่งชาติดำเนินการออกเป็นกฎหมายต่อไป

โพสต์ทูเดย์ พูดคุยกับ พล.อ.อ.คณิต สุวรรณเนตร ประธาน กมธ. หัวหอกคุมเกมร่างกฎหมายฉบับนี้ หลังการแถลงข่าวของ กมธ.และเจ้าตัว ชี้แจงถึงที่มาและแนวคิดในการร่างกฎหมาย ก่อนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะออกมาสนับสนุน กมธ. เต็มตัวและยืนยันต้องมีสภาวิชาชีพสื่อมากำหนดมาตรฐานจริยธรรมการนำเสนอข่าว

พล.อ.อ.คณิต เริ่มต้นด้วยการตอบคำถามทีมงานที่ว่า ผู้ที่ร่างกฎหมายนี้ไม่ใช่บุคคลในวิชาชีพสื่อ แต่กลับมาออกกฎหมายกำกับสื่อ ทำให้ขาดความเข้าใจต่อการทำงานของสื่อ โดยเจ้าตัวยอมรับว่า แม้ไม่ได้มาจากสื่อจริงเพราะเป็นทหารอากาศ ขับเครื่องบินเอฟ 16 มาก่อน แต่ก็เป็นนักบริหาร ที่สำคัญเคยเป็นเลขานุการของ พล.อ.อ.ธเรศ บุญศรี ประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ซึ่งบอร์ด กสทช. ได้ส่งเข้ามาสมัครเป็นสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) เพื่อประสานการดูแลเรื่องคลื่นความถี่

“สปช.ยุคก่อนมีแต่บุคคลในวงการสื่อ ทำให้กระบวนการคิดจึงอยู่แต่ในกรอบสื่อ จึงมองว่าผู้ที่ประสบความสำเร็จมักคิดนอกกรอบ ฉะนั้นการที่นำคนนอกวงการสื่อมาอยู่ในสภาวิชาชีพสื่อมวลชนแห่งชาติ จะทำให้มุมมองความเห็นที่หลากหลาย เพราะสื่อมักเชี่ยวชาญอยู่แต่ในวงการ” พล.อ.อ.คณิต กล่าว

ประธาน กมธ.สื่อ ยกตัวอย่าง นพ.ปราเสริฐ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ และ อาทิตย์ อุไรรัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยรังสิต ทั้งคู่ต่างเป็นแพทย์แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จสายวิชาชีพ แต่ไปประสบความสำเร็จทางด้านธุรกิจ

ประเด็นที่องค์กรสื่อคัดค้านหลักๆ คือ การให้ 4 ปลัดกระทรวงเข้ามาเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อจากจำนวน 13 คน พล.อ.อ.คณิต ชี้แจงว่า คณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อทั้ง 13 คน จะมีตัวแทนองค์กรสื่อ 5 คน ผู้แทนภาครัฐ 4 คน และที่เหลือ 4 คน จะเป็นกลุ่มนักวิชาการ ซึ่งอาจเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านกฎหมาย การคุ้มครองผู้บริโภค และนักสิทธิมนุษยชน

เหตุที่ต้องมีผู้แทนจากภาครัฐก็เพื่อทำหน้าที่ประสานงานกับรัฐบาล เช่น ปลัดกระทรวงการคลัง จะช่วยดูแลงบประมาณ การเงิน ปลัดสำนักนายกฯ คอยช่วยประสานงานกับรัฐบาล ปลัดกระทรวงดิจิทัลฯ จะทำหน้าที่ประสานงานกับต่างประเทศ รวมถึงดูการใช้สื่ออินเทอร์เน็ต และปลัดกระทรวงวัฒนธรรมจะดูแลเรื่อง พ.ร.บ.จดแจ้งการพิมพ์ จากนั้นให้สภาวิชาชีพที่มีความเชี่ยวชาญดำเนินงานต่อ

“ถ้าไม่มีตัวแทนภาครัฐทาง กมธ.สื่อเป็นห่วงเรื่องการยึดโยงสนับสนุนจากภาครัฐ เพราะการพัฒนาแม้แต่ด้านการท่องเที่ยวเอกชนยังต้องเดินไปพร้อมกับภาครัฐ และจากนั้นหากเรื่องอะไรที่รัฐมองว่าเอกชนสามารถเดินต่อไปได้ จะไม่เข้าไปยุ่ง” พล.อ.อ.คณิต ตอบคำถามถึงข้อสงสัยเหตุใดต้องมี 4 ปลัดกระทรวงจากภาครัฐร่วมเป็นคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อ

พล.อ.อ.คณิต บอกว่า ในร่างกฎหมายฉบับนี้ จะมีงบสนับสนุนให้กับสภาวิชาชีพสื่อ โดยนำเงินมาจากกระทรวงการคลังหรือภาษีบาปจำนวน 50-150 ล้านบาททุกปี ไม่ต่างจากแหล่งเงินของไทยพีบีเอส ส่วนที่เหลือจะมาจากงบประมาณบริหารจัดการค่าใช้จ่ายอื่นๆ เหตุที่ภาครัฐต้องสนับสนุนเพราะจะได้เข้าไปช่วยดูในเรื่องการจัดหาสถานที่อาจใช้พื้นที่ของหน่วยงาน สังกัดกระทรวงการคลัง ดำเนินการก่อสร้างอาคารต่างๆ ไม่มีเจตนาที่ภาครัฐจะเข้าไปแทรกแซง

เมื่อแย้งไปว่า การที่ตัวแทนภาครัฐเข้ามา จะทำให้การทำงานของสื่อไม่ กล้าตรวจสอบ 4 ปลัดกระทรวงหรือไม่เพราะคณะกรรมการสภาวิชาชีพสื่อยังมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาตสื่อมวลชนได้ด้วย พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า เรื่องนี้คิดว่าองค์กรสื่อกลัวไปเอง

“ขออย่าให้สื่อกลัว เรื่องใบประกอบวิชาชีพ สื่อมวลชนนั้นไม่มีอะไร เพียงแต่เมื่อสื่อมวลชนไปติดต่อขอขึ้นทะเบียนหรือต่ออายุ ขั้นตอนมีเพียงอบรมปฐมนิเทศเรื่องที่เกี่ยวกับสิทธิส่วนบุคคล เพื่อไม่ให้ไปละเมิดสิทธิผู้อื่น เรื่องการแต่งกายและการใช้ภาษา เมื่ออบรมตามหลักสูตรก็จะได้รับใบอนุญาตเพื่อให้สื่อมวลชนมีมาตรฐานเดียวกัน”

ระหว่างสนทนา พล.อ.อ.คณิต ย้อนทีมงานว่า ให้ช่วยบอกแบบไหนจะทำให้สื่อไม่กล้าตรวจสอบรัฐบาล ทีมงานจึงยกตัวอย่างว่า เช่น ปัจจุบันการทำงานของกรมประชาสัมพันธ์ก็ไม่เสนอข่าวตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล ถ้ามีคณะกรรมการวิชาชีพสื่อที่มาจากผู้แทนภาครัฐ จะไม่ยิ่งหนักกว่านี้หรือ พล.อ.อ.คณิต ยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง แต่เชื่อว่าการตรวจสอบยังมีช่องทางอื่นอีก เพราะปัจจุบันสื่อออนไลน์เกิดขึ้นมาก ก็ไม่ต้องกลัวจะไม่มีใครตรวจสอบรัฐบาล และส่วนตัวเชื่อว่าปลัดกระทรวงที่ีเข้ามาทำหน้าที่นี้มีศักดิ์ศรีและจุดยืน คงไม่กล้าทำเรื่องไม่ดี

“ปลัดทุกคนก็คงเหมือนกับผมตอนรับราชการทหารอากาศ ตอนนี้ผมติดยศพลอากาศเอก ในอดีตดูแลเครื่องบินและรถหลวงมากมายต้องใช้น้ำมัน แต่ไม่เคยนำน้ำมันของทางราชการมาเติมรถส่วนตัวแม้แต่หยดเดียว เบี้ยประชุมก็ไม่เคยนำเข้ากระเป๋า ไปประชุมต่างจังหวัดแต่ละครั้งค่าบรรยายไม่เคยรับ ปลัดกระทรวงฯ ก็คงเป็นเช่นกัน

“อย่าไปกังวลกันมาก นักการเมืองมาแทรกแซง นักการเมืองในอดีตไม่ได้เรื่อง ผมยอมรับ แต่ปัจจุบันนักการเมืองจะดีขึ้นเรื่อยๆ ก็คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เขาออกกฎระเบียบเข้มงวดมากขึ้น ตรงนี้จะทำให้นักการเมืองระวังตัวหากคิดที่จะทำอะไร” พล.อ.อ.คณิต ชี้แจง

พล.อ.อ.คณิต ยังมองด้วยว่า การทำงานของสื่อปัจจุบันควรระมัดระวังให้มากโดยเฉพาะเรื่องที่กระทบประเทศชาติ และคิดว่ารัฐบาลควรที่จะขอไม่ให้สื่อลงข่าวบางประเภทได้ถ้ากระทบต่อความมั่นคงของชาติและภาพลักษณ์ของประเทศ เหมือนกรณีผู้หญิงแต่งกระโจมอกอาบน้ำกลางถนน หรือกรณีที่รัฐบาลขอไม่ให้สื่อทำเนียบรัฐบาลตั้งฉายารัฐบาลปีที่ผ่านมา

“เรื่องเหล่านี้น่าขอกันได้เพื่อประเทศชาติ มิฉะนั้นจะทำให้ประเทศเสียหายมาก”

วกมาถามเรื่องอายุของใบประกอบวิชาชีพสื่อที่ปรากฏในร่างกฎหมายนี้ พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า เงื่อนไขก็อาจออกให้ทุก 5-10 ปี แต่ถ้าสื่อไม่มีประวัติด่างพร้อยก็อาจได้รับสิทธิต่อใบประกอบวิชาชีพแบบตลอดชีวิต แต่เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับทางสภาวิชาชีพจะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ เช่นเดียวกับทุกอาชีพอื่นที่ต้องมีใบอนุญาต เช่น แพทย์ ทนายความ พยาบาล หรือแม้แต่วินมอเตอร์ไซค์

“สาเหตุที่สื่อต้องมีใบอนุญาต เพื่อที่เราจะได้รู้รายละเอียดของผู้ที่ทำอาชีพสื่อมวลชนว่า พักอยู่ที่ใด อายุเท่าไหร่ จะได้มีฐานข้อมูลสามารถตรวจสอบได้ และไว้รับสิทธิประโยชน์ช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงทางสภาวิชาชีพจะได้เข้าไปช่วยเหลือหากการทำหน้าที่เกิดเป็นคดีความขึ้นมา”

พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า ผู้ประกอบวิชาชีพสื่อที่ต้องมีใบประกอบวิชาชีพ คือสื่อที่ได้รับผลตอบแทนจากต้นสังกัด อาทิ นักข่าว ช่างภาพ ผู้ประกาศข่าว คอลัมนิสต์ ผู้ที่ทำข่าวในเว็บไซต์ ส่งข่าวสารในออนไลน์เพราะยุคนี้มีการสื่อสารบนสื่อโซเชียลมากขึ้น

ถามว่า ที่ผ่านมาสื่ออยู่ภายใต้กฎหมายหลายฉบับ โดยเฉพาะคำสั่งของ คสช. ที่คุมสื่อเข้มงวดอยู่แล้ว เหตุใดต้องออกกฎหมายมาคุมสื่อซ้ำอีก ประธาน กมธ.กล่าวว่า แม้ทุกวันนี้จะมีกฎหมายหลายฉบับในการรับฟ้องจริง แต่บางครั้งก็เกิดปัญหาความล่าช้าในการดำเนินคดี ดังนั้นถ้ามีสภาวิชาชีพสื่อเป็นหน่วยงานกำกับดูแลควบคุมสื่อโดยตรง และนำปลัด 4 กระทรวงเข้ามาช่วยสนับสนุนยึดโยงการทำงาน ก็เชื่อว่าร่างกฎหมายนี้จะสามารถแก้ปัญหาสื่อเลือกข้างได้ เพราะภายใต้โครงสร้างสภาวิชาชีพ จะมีคณะกรรมการจริยธรรมอีกคณะคอยดูแล

“ร่างกฎหมายนี้ผ่านการหารือและการทำประชาพิจารณ์จากผู้เกี่ยวข้อง อาทิ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย เชื่อว่าการตั้งองค์กรหรือสภาวิชาชีพใด ต้องมีทั้งตัวแทนจากรัฐและเอกชนร่วมด้วย เพราะจะทำให้มีประโยชน์มากกว่ากรรมการจากวงการสื่อด้วยกันเท่านั้น รวมถึงกฎหมายนี้จะช่วยส่งเสริมสวัสดิภาพและสวัสดิการให้แก่สื่อมวลชน กรณีที่ไม่มีโฆษณา”

ก่อนจบบทสนทนาทีมงานถามว่า มั่นใจแค่ไหนว่ารัฐบาลจะสนับสนุนร่างกฎหมายฉบับนี้ พล.อ.อ.คณิต กล่าวว่า กฎหมายนี้ประชาชนเอาด้วยแน่นอน เพราะไม่มีอะไรซ่อนเร้น กติกาทุกอย่างออกโดยสภาวิชาชีพ และรัฐบาลก็สนับสนุน

“ระวังหวยออกนะ เลข 2 ตัว มาตรา 44 ก็เป็นได้” พล.อ.อ.คณิต กล่าวก่อนขอตัวไปประชุม

 

AD บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุน KFTSTAR-D ชูศักยภาพการลงทุนในหุ้นไทยที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละภาวะตลาด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มีนาคม 2560 เวลา 10:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/biz/news/483965

บลจ.กรุงศรี เปิดตัวกองทุน KFTSTAR-D ชูศักยภาพการลงทุนในหุ้นไทยที่เหมาะสมที่สุดในแต่ละภาวะตลาด

บลจ.กรุงศรี เชื่อมั่นหุ้นไทยยังน่าสนใจและไปต่อได้ พร้อมเปิดขายกองทุนเปิดกรุงศรีไทยออลสตาร์ปันผล (KFTSTAR-D) ชูศักยภาพในการสร้างผลตอบแทนที่ดีจากการลงทุนในหุ้นไทยหลากหลายไม่จำกัดประเภทหุ้น และบริหารพอร์ตแบบยืดหยุ่นให้เหมาะกับทุกภาวะตลาด เพิ่มโอกาสรับผลตอบแทนรวมที่สูงกว่าตลาด เสนอขายครั้งแรกระหว่างวันที่ 6 – 16 มีนาคม 2560

น.ส.ศิริพร สินาเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน กรุงศรี จำกัด(บลจ.กรุงศรี) เปิดเผยว่า “บริษัทยังคงมีมุมมองที่ดีต่อการลงทุนในตลาดหุ้นไทยระยะกลาง – ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตต่อเนื่องและมีความแข็งแกร่งมากขึ้น อีกทั้งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากเม็ดเงินขนาดใหญ่จากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการใช้จ่ายของภาครัฐ การฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว และภาคการส่งออกที่เริ่มฟื้นตัวโดยมีสินค้าเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อนหลัก”

“นอกจากนี้ เม็ดเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาในตลาดหุ้นไทย โดยเม็ดเงินลงทุนสุทธิของนักลงทุนต่างชาติในปี 2559 ปรับตัวเป็นบวกต่อเนื่องมาจนถึงต้นเดือนมกราคม 2560 และหากเปรียบเทียบราคาหุ้นภายในกลุ่ม TIP Market คือ ไทย อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ จะพบว่าราคาหุ้นไทยยังคงมีระดับราคาหุ้นต่อกำไร (PE) ที่ต่ำกว่า โดยราคาหุ้นต่อกำไรในตลาดหุ้นไทยในปีนี้อยู่ที่ระดับ15.3 เท่า ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์อยู่ที่ระดับ 16.4 เท่าและ 17.3 เท่าตามลำดับ และคาดการณ์ว่าอัตราเงินปันผลของไทยยังคงสูงสุดในกลุ่ม TIP Market อีกทั้งกำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังคงมีความน่าสนใจ และเมื่อประกอบกับทิศทางเศรษฐกิจไทยและแผนการกระตุ้นเศรษฐกิจก็ส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสเติบโตและสามารถสร้างโอกาสรับผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวได้”

“บลจ.กรุงศรี เล็งเห็นโอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณากองทุนหุ้นของ บลจ.กรุงศรี จะพบว่าเรามีทั้งกองทุนที่มีนโยบายเน้นลงทุนในหุ้นปันผล เน้นหุ้นเติบโตสูง และเน้นหุ้นขนาดกลาง-เล็กแล้ว เราจึงเสนอทางเลือกใหม่ให้ผู้ลงทุนด้วยกองทุน KFTSTAR-D ที่ใช้กลยุทธ์แบบ Blend Model เฟ้นหาหุ้นเด่นจากทุกกลุ่มได้โดยไม่มีข้อจำกัดด้านขนาดหรือประเภทหุ้น ลงทุนได้ทั้งหุ้นปันผล หุ้นเติบโตสูง หุ้นขนาดกลาง-เล็ก และใช้กลยุทธ์บริหารพอร์ตเชิงรุก มีความยืดหยุ่นสูงในการปรับสัดส่วนให้เหมาะกับแต่ละภาวะตลาด กองทุนจะเน้นลงทุนในหุ้นของบริษัทที่เป็นผู้นำตลาด มีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง มีแนวโน้มการเติบโตของกำไรสุทธิอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน รวมทั้งมีระดับราคาที่ยังคงไม่แพงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไร โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนรวมที่สูงกว่าตลาด เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีหุ้นประเภทใดที่สามารถสร้างผลตอบแทนเป็นอันดับ1ได้ทุกช่วงเวลา ทั้งนี้ บลจ.กรุงศรี ใช้กลยุทธ์เดียวกันนี้ในการบริหารพอร์ตการลงทุนในส่วนของหุ้นไทยสำหรับกองทุน KFLTFAST-D ที่เปิดขายเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยกองทุน KFLTFAST-D สามารถสร้างผลการดำเนินงานที่ดี” (ข้อมูล : บลจ.กรุงศรี ณ 3 มี.ค. 60)

“หากพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนในหุ้นไทยตั้งแต่ปี 2555 – 2559 จะพบว่าหุ้นแต่ละประเภทสามารถสร้างผลตอบแทนที่แตกต่างกันในแต่ละปี เช่น ในปี 2555 หุ้นขนาดเล็กสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดที่ 58.65%ต่อปี ขณะที่ปี 2556 หุ้นขนาดกลางสามารถสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดที่ -1.98%ต่อปี และปี 2557 หุ้นขนาดเล็กสร้างผลตอบแทนได้สูงสุดที่ 26.24%ต่อปี เป็นต้น (ข้อมูล: Morningstar ณ 30 ธ.ค. 59) ดังนั้น การกระจายการลงทุนในหุ้นหลากหลายประเภทจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับผลตอบแทนที่ดีจากทุกสภาวะตลาด”

“กองทุน KFTSTAR-D เหมาะกับผู้ลงทุนที่มองหาโอกาสรับผลตอบแทนรวมสูงกว่ากองทุนที่เน้นหุ้นปันผลอย่างกองทุนเปิดกรุงศรีหุ้นปันผล (KFSDIV) เพราะสไตล์การลงทุนในหุ้นปันผลจะเน้นผลตอบแทนจากการรับปันผลที่สม่ำเสมอจากหุ้นที่ลงทุน มากกว่าการแสวงหาการเติบโตของมูลค่าหุ้น ทั้งนี้ ระหว่างวันที่ 6 – 13 มีนาคม 2560 บริษัทจะยกเว้นค่าธรรมเนียมการสับเปลี่ยนขาเข้าจากกองทุน KFSDIV กองทุน KFVALUE กองทุน KFSEQ และกองทุนKFSEQ-D มายังกองทุน KFTSTAR-D เพื่อส่งเสริมให้ผู้ลงทุนได้มีการกระจายการลงทุนที่กว้างและหลากหลายมากขึ้น”

“กองทุน KFTSTAR-D มีนโยบายลงทุนในตราสารทุนโดยเฉลี่ยในรอบปีบัญชีไม่น้อยกว่า 80% ของ NAV ความเสี่ยงสูงระดับ 6 เสี่ยงสูง” น.ส.ศิริพร กล่าว

นักลงทุนสามารถสอบถามรายละเอียดข้อมูลกองทุนเพิ่มเติมได้ที่ บลจ.กรุงศรี โทร. 02-657-5757 หรือ เว็บไซต์ www.krungsriasset.com หรือ ติดต่อธนาคารกรุงศรีอยุธยาทุกสาขา

ควรทำความเข้าใจลักษณะสินค้า เงื่อนไขผลตอบแทน ความเสี่ยง และศึกษาสิทธิประโยชน์ทางภาษีในคู่มือการลงทุนก่อนตัดสินใจลงทุน

ผลการดำเนินงานในอดีตของกองทุนรวม มิได้เป็นสิ่งยืนยันถึงผลการดำเนินงานในอนาคต

เอกสารวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมฉบับนี้ได้จัดทำขึ้นตามมาตรฐานการวัดผลการดำเนินงานของกองทุนรวมของสมาคมบริษัทจัดการลงทุน

 

AD สิทธิประโยชน์ BOI ใน EEC

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 กุมภาพันธ์ 2560 เวลา 11:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/biz/gov/481930

สิทธิประโยชน์ BOI ใน EEC

จังหวัดฉะเชิงเทรา ชลบุรี และระยอง 3 จังหวัดนี้ เป็นโครงการนำร่องที่เรียกว่า ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) ด้วยความพร้อมที่มีอยู่แล้วในหลายๆ ด้านเป็นเวลากว่า 30 ปีที่ผ่านมา หรือที่เรียกกันในสมัยนั้นว่า “ยุคโชติช่วงชัชวาล” โดยประมาณปี 2530 พื้นที่นี้เป็นที่ตั้งนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด และนั่นเองจึงเป็นจุดเริ่มต้นในการเป็นผู้นำฐานการผลิตสำหรับอุตสาหกรรมหนักของประเทศ เช่น ปิโตรเคมี ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ หรือหากจะพูดในอีกมุมหนึ่งนั่นก็คือยุคนั้นจัดเป็นยุคประเทศไทย 3.0 นั่นเอง และวันนี้แล้วที่ประเทศไทยจะก้าวสู่ยุคประเทศไทย 4.0

พื้นที่ EEC นั้นตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 13,000 ตารางกิโลเมตร ซึ่งรัฐบาลมีนโยบายที่จะเร่งพัฒนาความพร้อมในทุกด้านเพื่อรองรับการลงทุนและการขยายตัวทางเศรษฐกิจในพื้นที่ ทั้งด้านสาธารณูปโภค ระบบคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการอำนวยความสะดวกในรูปแบบ One Stop Service เพื่อสนับสนุนการประกอบธุรกิจให้มีความสะดวกรวดเร็วที่สุด

พื้นที่ EEC จะเป็นมหานครแห่งอนาคต เป็นศูนย์กลางการค้า การลงทุน การขนส่งของภูมิภาค แหล่งบุคลากร แหล่งท่องเที่ยว เป็นประตูสู่เอเชีย ที่เพียบพร้อมและทันสมัยที่สุด

Gateway to Asia กับการคมนาคมที่พร้อม และทันสมัย ในการกระจายสินค้า และรองรับผู้โดยสาร ในทุกรูปแบบการขนส่ง ได้แก่

ทางอากาศ

สนามบินอู่ตะเภา ที่จะยกระดับให้เป็นสนามบินนานาชาติอู่ตะเภา เพื่อรองรับผู้โดยสารกว่า 3 ล้านคนต่อปี

ศูนย์กลางการซ่อมบำรุงอากาศยาน ด้วยโรงซ่อมอัจฉริยะ ที่สามารถให้บริการอย่างรวดเร็ว ทันสมัย และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ทางน้ำ

ท่าเรือน้ำลึกแหลมฉบัง (ขยายเฟส 3) ซึ่งเป็นท่าเรือหลักในการขนส่งตู้สินค้าและรถยนต์ รองรับจำนวนตู้สินค้าได้ 18 ล้านทีอียูต่อปี และรถยนต์ 3 ล้านคันต่อปี

ท่าเรือน้ำลึกมาบตาพุด (ขยายเฟส 3) ซึ่งเป็นท่าเรือสำหรับเรือสินค้าเหลวและก๊าซธรรมชาติ เพื่อการผลิตพลังงาน และรองรับอุตสาหกรรมปิโตรเคมีชั้นสูงของประเทศ

ท่าเรือพาณิชย์สัตหีบ เป็นท่าเรือสำหรับจอดเรือสำราญที่ทันสมัย เชื่อมต่อจุดท่องเที่ยวระหว่างสองฝั่งทะเลอ่าวไทย และรองรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมต่อเรือ และการประกอบแท่นขุดเจาะน้ำมัน

ทางบก

รถไฟความเร็วสูง เชื่อมต่อสนามบินนานาชาติทั้ง 3 แห่ง คือ ดอนเมือง สุวรรณภูมิ และอู่ตะเภา

รถไฟรางคู่ สำหรับการขนส่งสินค้าระบบรางที่มีค่าใช้จ่ายต่ำ ที่จะเชื่อมการขนส่งสู่ท่าเรือแหลมฉบัง และท่าเรือมาบตาพุด

โครงการขยายมอเตอร์เวย์ จากกรุงเทพฯ ถึงระยอง เพื่อให้การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น

10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย

สิทธิประโยชน์ BOI
– ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสูงสุด 15 ปี
– ยกเว้นอากรขาเข้าสำหรับเครื่องจักร วัตถุดิบ ที่นำเข้ามาผลิตเพื่อส่งออกและของที่นำเข้ามาเพื่อการวิจัยและพัฒนา
– เงินสนับสนุนค่าใช้จ่ายในการลงทุน การวิจัยและพัฒนา การส่งเสริมนวัตกรรม หรือการพัฒนาบุคลากรเฉพาะด้านของกิจการในอุตสาหกรรมเป้าหมาย
– อนุญาตให้ถือกรรมสิทธิ์ที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม
– อำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน

One-stop Service อำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน
ให้บริการข้อมูลข่าวสาร การขออนุญาตที่เกี่ยวข้องกับการประกอบการการค้า การส่งออก นำเข้าในจุดเดียว และในโครงการที่สำคัญจะได้รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติมจากกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมายอีกด้วย

การเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่นี้ จะต่อยอดจากรากฐานเดิมสู่ความมั่นคง และยั่งยืน ด้วยความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าจากรัฐบาลไทย เพื่อความวัฒนาถาวรของประเทศ และประชาชนทุกคน


www.boi.go.th
E-mail: head@boi.go.th
โทรศัพท์: 0 2553 8111
Application: BOI Thailand

 

AD isport รุก 5 ธุรกิจใหม่ ปลุกกระแสวงการกีฬาไทยแบบครบวงจร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มีนาคม 2560 เวลา 15:48 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/biz/news/484017

isport รุก 5 ธุรกิจใหม่ ปลุกกระแสวงการกีฬาไทยแบบครบวงจร

ตอนนี้คงไม่มีเทรนด์ไหนที่ฮอตฮิตไปกว่าเทรนด์สุขภาพอีกแล้ว สังเกตได้จากไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคยุคใหม่ที่หันมาใส่ใจเรื่องสุขภาพและเล่นกีฬากันมากขึ้น ยิ่งตอนนี้เราอยู่ในยุคที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีด้วยแล้ว เทรนด์กีฬายุคใหม่จึงเป็นเรื่องที่เข้าถึงได้ง่ายและไม่จำเจอีกต่อไป

บริษัท ไอสปอร์ต จำกัด หนึ่งในกลุ่มธุรกิจสามารถ ไอ-โมบาย และ บริษัท สยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) สองบริษัทผู้นำด้านธุรกิจกีฬาซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจด้วยกันมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นการนำทีมฟุตบอลระดับโลกอย่างทีมอาร์เซน่อล ทีมแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด หรือทีมเชลซีมาแข่งขันในประเทศไทย การทำคอนเทนต์ด้านกีฬา รวมถึงการสรุปผลการแข่งขันฟุตบอลแมทช์สำคัญมากมาย พร้อมแล้วที่จะรุกตลาดกีฬาใหม่ๆ และต่อยอดธุรกิจเดิมแบบพลิกวงการ

ด้วยความแข็งแกร่งของธุรกิจเดิมอย่าง Digital service ที่นำเสนอข่าวกีฬาโดยเน้นสื่อดิจิตอลสู่ลูกค้า และ TV and Broadcasting ซึ่งเป็นธุรกิจที่นำเสนอบริการครบวงจรทั้งการถ่ายทอด การผลิตรายการ และการออกอากาศในช่องต่างๆ บวกกับเทคโนโยลีและการสื่อสารในปัจจุบันที่พัฒนากว่าแต่ก่อนมาก ทำให้ผู้บริโภคสามารถรับข่าวสารผ่านมือถือได้ทุกที่ ทุกเวลา ซึ่งจุดนี้เองได้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของการต่อยอดธุรกิจใหม่ของไอสปอร์ต จนเกิดการรุกตลาดกีฬาไทยให้ก้าวไกลและเติบโตสู่ระดับสากล ซึ่งคาดว่า 5 ธุรกิจใหม่ที่เปิดตัวนี้จะสร้างเม็ดเงินให้ประเทศถึง 700 ล้านบาททีเดียว

โดยธุรกิจใหม่ที่ isport เตรียมรุกตลาดในครั้งนี้เรียกได้ว่าสร้างความฮือฮาให้แก่วงการกีฬาไทยอีกขั้น เริ่มด้วยธุรกิจแรกเอาใจแฟนกีฬาผู้ซึ่งชื่นชอบการท่องเที่ยวระดับ VIP กับ Sport Tour ที่จะพาคุณเดินทางไปชมกีฬากับนักกีฬาคนโปรดแบบใกล้ชิด หรือไปชมการแข่งขันกีฬาแมตช์สำคัญระดับโลกแบบส่วนตัว Sport Event เป็นการผสมผสานระหว่างกีฬาและความบันเทิงเข้าไว้ด้วยกัน เปิดประสบการณ์รูปแบบใหม่ให้กับแฟนกีฬาชาวไทยอย่างที่ไม่เคยสัมผัสจากที่ไหนมาก่อน ซึ่งในปีนี้คาดว่าจะมีกิจกรรมสุดยิ่งใหญ่ที่ isport จะจัดขึ้น 3-4 กิจกรรม ลงทุนกิจกรรมละ 50-60 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังมี Sport Commerce จัดทำเว็บไซต์ www.isportmart.com เพื่อเป็นศูนย์รวมสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกีฬาและไลฟ์สไตล์ของคนรักกีฬา ให้สามารถเลือกชม เลือกชอปสินค้าพรีเมี่ยมได้ด้วยตัวเอง ต่อมาคือ Game อีกหนึ่งธุรกิจที่คาดว่าในปีนี้จะเปิดตัวเกมบนมือถือประมาณ 3-4 เกม ทั้งเกมด้านกีฬาและอื่นๆ มากมาย และธุรกิจสุดท้ายที่ถือว่าเป็นไฮไลท์นั่นก็คือ Talent Management ธุรกิจบริการบริหารสิทธิประโยชน์แก่นักกีฬาแบบครบวงจร ครอบคลุมตั้งแต่การบริหารจัดการรายได้ พัฒนามูลค่าของนักกีฬาในเชิงธุรกิจ ดูแลสิทธิประโยชน์ ตลอดจนการวางแผนด้านการเงินระยะยาว เพื่อสร้างความมั่นคงในอาชีพให้แก่นักกีฬาไทย

จาก 7 ธุรกิจของ isport ไม่ว่าจะเป็น Digital service, TV and Broadcasting, Sport Tour, Sport Event, Sport Commerce, Game และ Talent Management ที่กลุ่มสามารถ ไอ-โมบาย และสยามสปอร์ต ซินดิเคท จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันรุกธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ นับว่าเป็นการพลิกโฉมประวัติศาสตร์วงการกีฬาไทยอย่างมาก ไม่ว่าจะความเพลินเพลินสำหรับแฟนกีฬาแล้ว ยังให้สิทธิประโยชน์มากมายต่อนักกีฬาไทยในระยะยาวอีกด้วย

ติดตามข้อมูลข่าวสารกีฬาที่น่าสนใจได้ที่ www.isport.co.th

 

AD เทคโนโลยีแก้ไขสายตาผิดปกติแบบใหม่ไร้ใบมีด (ReLEx SMILE)

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 มีนาคม 2560 เวลา 15:52 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/life/health/483857

เทคโนโลยีแก้ไขสายตาผิดปกติแบบใหม่ไร้ใบมีด (ReLEx SMILE)

ภาวะสายตาผิดปกติสามารถแก้ไขได้ด้วยเลเซอร์และทำได้หลายวิธี เช่น LASIK PRK และ ReLEx SMILE ซึ่งเป็นการผ่าตัดด้วยเทคโนโลยีใหม่ล่าสุดแบบแผลเล็ก ไร้ใบมีด และมีประสิทธิภาพสูงสุดในปัจจุบัน

ReLEx (Refractive Lenticule Extraction) SMILE (Small Incision Lenticule Extraction) เป็นการผ่าตัดแก้ไขสายตาสั้นและเอียงด้วยเลเซอร์แบบแผลเล็ก ไร้ใบมีด และเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นต่อจากการผ่าตัดแบบ LASIK เพื่อให้มีความแม่นยำสูงขึ้นและลดโอกาสเกิดผลข้างเคียง

ReLEx SMILE ใช้เทคโนโลยี Femtosecond Laser ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูงใหม่ล่าสุด สามารถแยกชั้นกระจกตาเป็นรูปเลนส์ (Lenticule) ภายในกระจกตา และนำเลนส์ที่ตัดไว้นั้นออกมาผ่านแผลเปิดเล็กๆ ที่กระจกตา ขนาดเพียง 2-4 มิลลิเมตร เพื่อปรับความโค้งของกระจกตาให้เหมาะสมกับค่าสายตาที่ต้องการแก้ไข ซึ่งทำให้แผลหายเร็ว มีอาการเคืองน้อยมากเมื่อเทียบกับ LASIK แบบเดิม และผู้รับการรักษาสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้ตามปกติ หลังจากผ่าตัดเพียง 1-2 วันเท่านั้น

และเนื่องจากการใช้วิธี ReLEx SMILE จะมีแผลเปิดที่กระจกตาเล็กมาก (2-4 มิลลิเมตร) ทำให้รบกวนเส้นประสาทบริเวณกระจกตาน้อยกว่า LASIK เป็นผลให้ตาแห้งน้อยกว่า โดยที่ค่าสายตาหลังผ่าตัดคำนวณได้อย่างแม่นยำ ทำให้มองเห็นดีขึ้นได้ทันทีและคงที่ในเวลาไม่นาน สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติได้อย่างคล่องตัว

ทำไม ReLEx SMILE คือคำตอบของการรักษาภาวะสายตาผิดปกติ

• ไม่เจ็บขณะผ่าตัด เพราะไม่มีการใช้เครื่องมือแยกชั้นฝากระจกตาแบบ LASIK จึงช่วยให้สบายตาหลังผ่าตัด

• ไม่มีฝากระจกตาอย่างแท้จริง (Flapless) จึงไม่ต้องกังวลเรื่องภาวะแทรกซ้อนจากการแยกชั้นฝากระจกตาแบบ LASIK ซึ่งอาจเกิดขณะผ่าตัด หรือฝากระจกตาเคลื่อนหลังผ่าตัด

• เป็นเทคนิคที่ปราศจากใบมีดอย่างสิ้นเชิง (Bladeless) และมีความแม่นยำสูงมาก

• สามารถแก้ไขสายตาสั้นได้ถึง 1000 (-10.00 D) และสายตาเอียงได้ถึง 500 (-5.00 D)

• เป็นทางเลือกที่ทันสมัยที่สุดของการใช้เลเซอร์รักษาค่าสายตาผิดปกติ โดยเฉพาะผู้ที่มีความจำกัดเรื่องความหนาของกระจกตา เป็นการเพิ่มโอกาสให้รักษาสายตาผิดปกติด้วยเลเซอร์ได้

ผู้ที่สนใจสามารถเข้ารับคำปรึกษาเบื้องต้นจากจักษุแพทย์ได้ที่ศูนย์เลเซอร์สายตา อาคารบำรุงราษฎร์ อินเตอร์เนชั่นแนล คลินิก ชั้น 18 หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่เบอร์ 0 2667 2000 นัดแพทย์ 0 2667 1555 www.bumrungrad.com

 

เยาวชนโกงสอบ จุดเริ่มต้นหายนะชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 มกราคม 2560 เวลา 07:59 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/478308

เยาวชนโกงสอบ จุดเริ่มต้นหายนะชาติ

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

กรณีการทุจริตสอบนักเรียนนายสิบตำรวจ (นสต.) กำลังเป็นประเด็นที่สร้างความกังวลให้สังคมอย่างมาก เพราะการทุจริตครั้งนี้ไม่ใช่เป็นเพียงการทุจริตสอบทั่วไปอย่างที่เคยเห็นมา ในการโกงสอบตามสถาบันการศึกษา แต่เป็นการทุจริตสอบคัดเลือกผู้ที่จะเข้าไปทำหน้าที่ผู้พิทักษ์รักษากฎหมาย ให้ความเป็นธรรมเที่ยงตรงแก่ประชาชน และยิ่งไปกว่านั้นขบวนการดังกล่าวมีนักศึกษาแพทย์-วิศวะ ซึ่งเป็นกลุ่มเยาวชนที่มีความรู้ของมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับประเทศเข้าไปเกี่ยวข้อง

เบื้องต้นความคืบหน้าทางคดี ขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจมีการออกหมายจับผู้ร่วมขบวนการทุจริตการสอบรอบแรกไปแล้ว 52 คน และกำลังมีรอบสองอีกกว่า 30 คน ภาพรวมตำรวจเชื่อว่าขบวนการนี้มีไม่ต่ำกว่า 100 คน ไล่ตั้งแต่หัวหน้าการ ผู้ทำหน้าที่ชักชวน นักศึกษาผู้มีความรู้ทำหน้าทีเป็นมือปืนทำข้อสอบ และผู้ลอกข้อสอบ นอกจากนี้ตำรวจเชื่อว่า มีสถาบันการกวดวิชาเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

การทุจริตสอบนักเรียนนายสิบตำรวจครั้งนี้ที่ไม่ใช่ครั้งแรก ของประวัติศาสตร์การโกงข้อสอบในประเทศไทย จึงเป็นเรื่องที่สังคมตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเกิดขึ้นซ้ำซากอีก เพราะเหตุใด และจะทำอย่างไรให้ปัญหานี้สูญสลายหายไปจากผืนแผ่นดินไทยหมดสิ้นเสียที

ประเด็นปัญหานี้ในมุม รศ.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมช.ศึกษาธิการ อธิบายว่า ปัญหาการโกงสอบจากเยาวชนกลุ่มผู้ที่มีความรู้ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรกในสังคม การรับจ้างสอบนั้นเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้ง และเชื่อว่าทุกครั้งที่พบไม่ได้เป็นยอดของก้อนน้ำแข็ง แต่ยังคงมีก้อนน้ำแข็งที่ใหญ่ขึ้นกว่านี้ ดังนั้นปัญหานี้เป็นสิ่งที่ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้

ส่วนสาเหตุของปัญหาที่มีมานานเกิดจากหลายปัจจัย อาทิ เงินและความต้องการ เพราะเมื่อมีผู้พร้อมตอบสนองความต้องการของผู้ที่ไม่มีความสามารถในการสอบจึงเกิดการรับจ้างสอบขึ้น รวมถึงความหละหลวมของระบบตั้งแต่การจัดที่นั่ง การตรวจสอบบุคคลที่เข้าออกห้องสอบ การควบคุมการสอบที่มีช่องว่างสามารถกระทำผิดได้ และมีเจ้าหน้าที่ร่วมอยู่ในขบวนการ สาเหตุเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้เอื้อเกิดการทุจริตสอบ

ขณะเดียวกัน บทลงโทษทุกครั้งเมื่อตรวจพบ มักใช้มาตรการสถานเบาเพียงตักเตือนหรือปรับตก จึงทำให้ผู้ที่ทุจริตคิดว่าอย่างดีถ้าหากถูกจับผิด ก็ถูกปรับตักเตือนไม่มีอะไรเสียหาย หรือหากรอดไปได้ถือเป็นโชคดี สิ่งเหล่านี้จึงเป็นแรงจูงใจทำให้มีบุคคลกล้าที่จะทุจริตสอบอยู่

อดีต รมช.ศึกษา เสนอว่า การแก้ปัญหานี้มี 2 ช่วง คือ การแก้ปัญหาระยะสั้น ควรต้องวางกฎกติกาการตรวจสอบอย่างเข้มงวด ควบคู่ไปกับการใช้มาตรการลงโทษอย่างจริงจังกับผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ไล่จากโทษสถานเบาไปถึงการลงโทษทางอาญา เชื่อว่าวิธีนี้จะช่วยแก้ปัญหาระยะสั้นได้

รศ.วรากรณ์ สามโกเศศ อดีต รมช.ศึกษาธิการ

เมื่อถามว่าการนำกฎหมายเข้ามาดำเนินการกับเยาวชนกลุ่มนักศึกษาที่มีความรู้ สังคมเกิดคำถามว่าเหมาะสมหรือไม่ รศ.วรากรณ์ กล่าวว่า บทลงโทษกับเยาวชนที่กระทำผิดสามารถทำได้หลายระดับตั้งแต่ขึ้นทัณฑ์บน ตัดคะแนนคุมประพฤติ ไล่ออกจากสถานศึกษา ไปถึงการรอลงอาญา แต่ถึงอย่างไรการลงโทษจะต้องทำ

เพราะหากผู้ที่มีความรู้ทางวิชาชีพ แต่ความประพฤติไม่ซื่อสัตย์ เมื่อจบออกไปทำงานเป็นแพทย์ วิศวกรอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตของประชาชนได้ และหากเกิดในการสอบระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศความเสียหายก็จะยิ่งมากไปกว่านี้ และถ้าเป็นผู้ใหญ่ที่มีวัยวุฒิหากกระทำผิดก็ควรต้องติดคุก เพราะจะมาปรานีต่อไปคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง แต่ถึงอย่างไรยืนยันว่าขั้นตอนการลงโทษควรทำตามระดับความเหมาะสม

ขณะที่การแก้ปัญหาในระยะยาวควรใช้นโยบายของ ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ คือควรแก้ไขเริ่มที่พฤติกรรมศึกษา บุคลิก อุปนิสัย เรื่องความซื่อสัตย์สุจริตต่อตัวเอง ให้รู้ว่าสิ่งใดควรทำหรือไม่ควรทำ เพื่อเป็นการปลูกฝังให้มีความซื่อสัตย์ ซึ่งนี่จะเป็นคำตอบขั้นสุดท้ายของเรื่องทั้งหมด เพราะการสอนเรื่องความซื่อสัตย์สุจริตต่อตัวเอง เป็นพื้นฐานที่ดีทั้งกับตนเองและระบบการศึกษา

อดีต รมช.ศึกษาธิการ กล่าวว่า หากพยายามแก้ปัญหาที่ปลายเหตุคิดว่าคงควบคุมได้ยาก เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคมมานานและกำลังขยายวงกว้างขึ้น จึงไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ต้องเร่งแก้ไขโดยด่วน เพราะเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่เป็นธรรมต่อผู้ที่ปฏิบัติด้วยความถูกต้อง รวมถึงสังคมจะไม่ได้รับคนที่มีความสามารถแท้จริงเข้าไปทำงาน ซึ่งอาจส่งผลทำให้ระบบราชการเสียหาย วุ่นวาย ปั่นป่วน สุดท้ายเกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างมหาศาล

“ถ้าคนกลุ่มนี้กระทำผิดโดยไม่ถูกลงโทษ จะกลายเป็นนิสัย จะทำให้เกิดการโกง และทำสิ่งผิดเป็นความเคยชินต่อไป ฉะนั้นต้องหยุด คนกลุ่มนี้ไม่ให้มีโอกาสทำได้อีก”

อดีต รมช.ศึกษาธิการ มองว่า ในอนาคตถ้าสังคมช่วยกันแก้ปัญหานี้อย่างจริงจังจะสามารถยุติลงได้ แต่การที่สนามสอบมีเจ้าหน้าที่จัดสอบร่วมอยู่ในขบวนการด้วย ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่น่ากลัวและอันตรายอย่างมาก ดังนั้นคนกลุ่มนี้ควรถูกลงโทษรุนแรงด้วยการจำคุก เพราะจุดเริ่มต้นไม่ได้เกิดมาจากเด็ก แต่มาจากผู้ใหญ่และส่วนตัวเชื่อว่าปัญหานี้มีอยู่ทุกแห่ง

รศ.วรากรณ์ ทิ้งท้ายว่า เรื่องนี้หลายคนอาจมองว่าเป็นความเสียหายเล็กน้อย และเมื่อเกิดปัญหาขึ้นก็มักให้จัดสอบใหม่ แต่ความจริงปัญหาที่เกิดขึ้นมีมากกว่านั้น คือ ผู้ที่กระทำผิดเมื่อเห็นช่องทางที่สามารถทุจริตได้และทำเป็นนิสัย เมื่อไปดำรงตำแหน่งใหญ่โตในสังคม ก็จะต้องโกงต่อไปซึ่งถือเป็นความเลวที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนในอนาคต ฉะนั้นเรื่องนี้ต้องแก้ไขอย่างจริงจัง

 

ปรองดอง อย่าผิวเผิน ต้องลึกซึ้งถึงราก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 มกราคม 2560 เวลา 11:22 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/478263

ปรองดอง อย่าผิวเผิน ต้องลึกซึ้งถึงราก

โดย…ธนพลบางยี่ขัน

เส้นทาง “ปรองดอง” รอบใหม่ภายใต้การกำกับดูแลของ คณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดอง (ป.ย.ป.) ​ส่อเค้าสะดุดตั้งแต่ยังไม่ทันออกตัวเมื่อมีการหยิบยกเรื่องการเรียกทุกฝ่ายมาร่วมกันเซ็นเอ็มโอยูสร้างความปรองดอง

สุเทพ เทือกสุบรรณ ประธานมูลนิธิ​มวลมหาประชาชนเพื่อการปฏิรูปประเทศไทย ให้สัมภาษณ์พิเศษถึงเรื่องนี้ว่า เห็นด้วยกับการสร้างความปรองดอง แต่จะต้องไม่ทำแบบผิวเผิน ไม่ใช่เรื่องที่จะมากำหนดว่าต้องทำ 3 เดือน 5 เดือน หรือเอาผู้นำแต่ละฝั่งมาเซ็นชื่อกันแล้วจะเสร็จ

“ถ้าทะเลาะกันสองคนไม่มีคนข้างหลัง​ที่ร่วมเดินไปกับคุณมันก็ไม่เป็นไร เอาคนที่ทะเลาะกันมาชกกันสองคนก็ได้ ทำผิดกฎหมายก็จับทั้งคู่ ​แต่ที่สำคัญคือจะทำยังไงกับคนที่เดินตามหลัง เราต้องยอมรับความจริง ว่ามีแนวคิดที่แตกต่างจริง เราจะให้คน 60-70 ล้านคน คิดเหมือนกันไม่ได้ แต่คิดต่างต้องอยู่ด้วยกันได้ภายใต้กฎหมาย เราจะต้องรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย

“แต่คุณไม่เอาสถาบัน ผมเอาสถาบัน มันไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาปรองดองกันได้ มันเป็นเรื่องรัฐบาลต้องทำแผนให้คนไทยทุกคน เด็กเล็ก ถึงคนแก่ ต้องเข้าใจว่าไทยเป็นราชอาณาจักร​มีประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ถือเป็นความมั่นคงของประเทศ ต้องเดินแนวนี้ไม่มีทางไปแนวอื่น คนไม่เห็นด้วยอาจต้องรอก่อน โลกอาจมีการเปลี่ยนแปลงอีกร้อยปีพันปี คุณเกิดใหม่สองสามรอบอาจทัน” สุเทพ กล่าว

สุเทพ อธิบายเพิ่มว่า กรณีทำผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 นั้น อย่ามาพูดเอาเท่นักการเมืองหลายคนที่บอกต้องแก้ไขนั้น ส่วนตัวมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องของความมั่นคง ​ประเทศอื่นเขาก็วิจารณ์ไม่ได้ ไม่ได้เปิดเสรี คนไปตะโกนด่า โอบามา ก็ถูกดำเนินคดี เรื่องเหล่านี้ไม่ต้องมาคุย ​

รากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งมาจากเรื่องความเหลื่อมล้ำที่ต้องแก้ไข อย่าเอาไปซุกใต้พรม สมัยก่อนคอมมิวนิสต์ก็ใช้วิธีปลุกปั่นเรื่องความเหลื่อมล้ำระหว่างชนชั้นกรรมาชีพกับนายทุน ปัญหายังคงอยู่ จนต่อมามีการพูดเรื่องเดิมมีการประดิษฐ์วาทกรรมเรื่อง อำมาตย์ กับไพร่ การสร้างความปรองดองจึงต้องแก้ความเหลื่อมล้ำ นำแนวทาง​ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาปฏิบัติ

“เรื่องปรองดองกับปฏิรูปเป็นเรื่องที่ต้องเดินไปด้วยกัน คุณจะจับตรงไหนก่อนก็ได้ ​หากคุณจับเรื่องปรองดองก่อน ก็คือเป้าหมายแล้วดูว่าต้องแก้ตรงไหนบ้าง นี่คือกระบวนการที่จะไปปฏิรูป หรือถ้าจะเริ่มที่ปฏิรูปก็จะเกี่ยวพันมาถึงการสร้างความสมานฉันท์ ​ถ้ามองอย่างนี้ก็คุยกันได้ แต่ถ้าคิดว่าปรองดองเพื่อให้คดีของนายสุเทพที่อยู่ในศาลทั้งหมดต้องยุติอย่างนี้มันก็ไม่จบ

​“เรื่องที่แล้วใครทำกรรมอะไรไว้ก็ว่ากันไป สู้คดีกันไป ไม่มีการกลั่นแกล้ง ผมก็ทำใจไว้แล้วก่อนพาประชาชนออกมาเดินถนน รู้ว่าอาจถูกยิง อาจถูกดำเนินคดี แต่สิ่งที่จะแก้ปัญหาสร้างความปรองดองคือการลดความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประชาชนอยู่อย่างมีศักดิ์ศรี ลูกหลานมีโอกาส ​ถ้าทำอย่างนี้ได้ ต่อไปคนที่จะออกมานำแล้วมีคนเดินตามหลังออกมาทะเลาะกันก็จะหมดไปหรือมีน้อยลง” สุเทพ กล่าว

ส่วนเรื่องกองเชียร์ที่ถือข้างแต่ละฝั่งซึ่งอาจจะไม่ยอมรับในแนวทางการปรองดองที่จะทำ ก็เป็นเรื่องของคนกลางที่จะต้องไปชี้แจงทำความเข้าใจ รวมทั้งรัฐบาลที่จะต้องการันตีเรื่องความยุติธรรม ซึ่งจะไม่มีการเข้าไปแทรกแซงในทุกกระบวนการ

สุเทพ ย้ำว่า เรื่องปรองดองต้องทำอย่างลึกซึ้ง ปลูกฝัง สำนึกความรับผิดชอบ หน้าที่ต่อชาติบ้านเมือง ต้องมีคุณธรรมค่านิยมถูกต้อง ต้องมีสำนึกเคารพกฎหมาย และต้องมีหลักประกันเรื่องการตรากฎหมาย ต้องเป็นธรรม สส.ที่จะเข้าไปเขียนกฎหมายต้องผ่านการคัดกรอง ​​ไม่มีการโกง ซื้อเสียง สกัดพวกที่จะไปออกกฎหมายให้นาย หรือพวกพ้องได้ประโยชน์ ​

สำหรับองค์ประกอบของคณะทำงานด้านการปฏิรูปและปรองดองนั้น ที่ผ่านมาเราเคยมีคณะกรรมการชุดนั้นชุดนี้ใช้เงินไปเยอะ แต่ทำแล้วไม่ได้ผล ปฏิเสธไม่ได้ว่า วันนี้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องเป็นเจ้าภาพ ​และไปหาคนอื่นมาร่วมด้วย แต่อย่าไปเอานักการเมืองทั้งอดีตหรือปัจจุบัน​ไปนั่งเป็นกรรมการ โดยสามารถให้ไปแสดงความเห็นได้ แต่ต้องฟังหูไว้หู

อย่างไรก็ตาม ถ้าให้นักการเมืองไปเป็นกรรมการปรองดองด้วยจะสร้างความยุ่งยาก เพราะหนีไม่พ้นความผูกพัน ผลประโยน์​ตัวเอง ของพรรค ของผู้สนับสนุน แต่หากให้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ​​ทำคนเดียวก็อันตราย หรือเอาพวกสอพลอทหารมาอย่างเดียวก็อันตราย ต้องไปเอาคนที่ไม่มีส่วนได้ส่วนเสีย ​ไม่มีอคติ อาจารย์มหาวิทยาลัยดีๆ ผู้พิพากษา ข้าราชการดีๆ ​ ​

ส่วนเมื่อทำอย่างนี้แล้วหากแกนนำยังไม่ยอมรับ กองเชียร์ที่เชียร์อยู่ข้างหลังเขาก็จะเลิกเดินตามคุณเอง เขาจะรู้ว่าผู้นำที่เคยเดินตามแย่ถึงอย่างนี้เลยหรือ ตรงนี้อย่าไปกลัว แต่หากจะหวังว่าให้คู่ขัดแย้งที่ขัดแย้งกันจริงๆ มาจับมือปรองดองกัน​มันไม่ง่าย อาจดูเป็นเรื่องเพ้อฝันมากไป มันไม่ใช่นิยายขนาดนั้น ขอแค่อย่าให้มาก่อเหตุในบ้านเมืองสร้างความเสียหายก็พอ

สำหรับเวลาที่เหลืออยู่ไม่มากกับการทำปรองดองนั้น สุเทพ มองว่า ไม่จำเป็นต้องรีบเพราะอำนาจรัฐบาลที่มีอยู่อย่างน้อยตามโรดแมปก็ปีครึ่ง ซึ่งไม่รู้จะมีกระตุกตรงไหนอีก เพราะหลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ ก็มีกำหนดเวลาจัดทำกฎหมาย​ลูก​ กำหนดเวลาเลือกตั้ง ​​ส่วนเรื่องยุทธศาสตร์ 20 ปีนั้นลงมือทำได้เลย ​ไม่ต้องไปหวังรัฐบาลที่จะมาจากการเลือกตั้ง

“​ใครจะไปรู้เลือกตั้งเสร็จ พล.อ.ประยุทธ์ ​อาจจะเป็นรัฐบาลต่อก็ได้ ก็ทำต่อไป​ หรือใครมาก็ทำต่อเพราะเป็นยุทธศาสตร์ชาติ นาย ก. นาย ข. เป็นนายกรัฐมนตรีก็ต้องทำต่อ ดังนั้นเรื่องปรองดองเรื่องปฏิรูปอย่าไปบอกว่าต้องสำเร็จ 3 เดือน 6 เดือน บางเรื่องทำได้เลย บางเรื่องต้องทำไปเรื่อยๆ ​

“วันนี้มาชวนผมปรองดอง แต่บอกว่าปรองดองแล้วต้องนิรโทษกรรมให้คนฆ่า พล.อ.ร่มเกล้า ธุวธรรม หรือพวกเผาศาลากลาง งั้นผมก็บอกกลับบ้าน ไม่ต้องมาถาม ที่สู้มาเพื่ออย่างนั้น ถามว่าทำไมไม่ลืมเรื่องที่ผ่านมา ผมบอกลืมได้แต่ต้องทำตามกระบวนการยุติธรรม สมมติต่อไปศาล​พิพากษา จำคุกนายสุเทพ 5 ปีก็เดินคอตกเข้าคุก วันข้างหน้ารับโทษออกมาก็ไม่ต้องมีการอาฆาต​

“ที่สำคัญต้องเคารพกฎหมาย ถ้าบังคับใช้กฎหมายศักดิ์สิทธิ์แทบไม่ต้องจับใครมาเซ็นสัญญา แต่เรื่องปรองดอง เราพูดชัดว่าเราให้กำลังใจ​ เราเห็นด้วยว่าทำเถอะแต่ทำให้ลึกซึ้งถึงราก อย่าผิวเผิน ซึ่งจะเป็นผลดีต่อชาติระยะยาว”สุเทพ กล่าวทิ้งท้าย

ยุทธศาสตร์ชาติต้องปลูกฝังอุดมการณ์พัฒนาประชาชน-ข้าราชการ

สุเทพ ระบุว่า การจัดทำยุทธศาสตร์ชาตินั้นต้องเตรียมพร้อมทุกด้านเพื่อทำ ให้ประเทศเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เพียงแต่กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเตรียมความพร้อมประชาชน ข้าราชการ ให้มีแนวคิดอุดมการณ์ร่วมกันเพื่อบรรลุกระบวนการปฏิรูปทั้งเรื่องการปฏิรูปการศึกษาที่มากกว่าระบบการศึกษา แต่ยังรวมถึงหน้าที่พลเมืองศีลธรรมที่เดี๋ยวนี้ไม่มีใครพูดถึง แต่จำ เป็นต้องปลูกฝัง อุดมการณ์ หน้าที่ ทุกวันนี้ประชาชนรู้แต่สิทธิว่าได้อะไรบ้าง แต่ไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้าง ขณะที่สื่อก็ต้องสร้างความคิดอุดมการณ์ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน

ขณะที่ข้าราชการก็ต้องปลูกจิตวิญญาณเพราะที่เป็นอยู่มีคนรู้สึกเป็นนายประชาชนมากขึ้นต้องปลูกฝังความซื่อสัตย์ สุจริต เหล่านี้ล้วนเป็นยุทธศาสตร์ชาติที่ต้องให้ความสำคัญ แต่ไม่มีคนอยากพูดถึง ที่ผ่านมาจะเห็นการพูดถึงเรื่องการปฏิรูปการกระจายอำนาจ ปกครองท้องถิ่น

สุเทพ ระบุว่า อีกประเด็นที่ต้องปฏิรูปคือ กระบวนการยุติธรรม เริ่มจากตำรวจที่เป็นต้นน้ำ อัยการ ที่เป็นกลางน้ำ และศาลที่เป็นปลายน้ำ แม้ที่ผ่านมาจะไม่มีแนวคิดที่จะไปยุ่งกับศาลยุติธรรม แต่นี่เป็นโอกาสดีที่ได้มีการพูดถึงเรื่องนี้ โดยเฉพาะระยะเวลาพิจารณาคดี ที่บางคดีสู้กัน 12-14 ปี

ทั้งนี้ อาจนำ เทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการพิจารณาคดี เริ่มตั้งแต่การให้การในชั้นตำรวจและบันทึกลงดิสก์ เก็บในเซิร์ฟเวอร์ส่วนกลางที่แก้ไขเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ไปจนถึงอัยการและศาล ที่อาจจะร่นเวลาจาก 12 ปี เหลือ 1-2 ปีได้   ส่วนตำรวจที่เป็นต้นน้ำ ควรปรับให้ได้รับค่าตอบแทนไม่ต่างจากอัยการและศาล แต่ถ้าทุจริตต้องออกอย่างเดียวเหมือนศาล ไม่ใช่ออกแล้วไปเปลี่ยนชื่อกลับมาทำ ผิดเหมือนเดิม อีกทั้งไม่จำ เป็นต้องทำ แบบทหารที่แบ่งเป็นกองทัพภาค แต่สามารถทำ เป็นตำรวจจังหวัดได้เลย ส่วนที่ใครมองแง่ร้ายว่าจะทำ ให้ตำ รวจอยู่ใต้มาเฟียนั้น ก็ไม่ใช่เพราะปล่อยให้มีมาเฟียตั้งแต่ต้นไม่ได้อยู่แล้ว

“การปฏิรูปตำรวจเป็นงานหนักมากสุด มีปัญหามากสุด หลายคนทำ มาแล้วไม่สำเร็จ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ ทำสำเร็จ จะเป็นประโยชน์มหาศาล ส่วนอัยการก็ต้องไปดูว่าเมื่อแยกมาเป็นอิสระจากแต่ก่อนอยู่กับกระทรวงมหาดไทย เป็นกรมอัยการ พอนานไปก็กลายเป็นรัฐอิสระ ซึ่งน่ากลัวตรงนี้ก็ต้องไปแก้”สุเทพ กล่าว