เปิดใจ “อดีตเลขาธิการสภาฯ” ล้างบางวิถีโกง ข้าราชการต้องอย่าร่วมมือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 ตุลาคม 2560 เวลา 09:48 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/517828

เปิดใจ "อดีตเลขาธิการสภาฯ" ล้างบางวิถีโกง ข้าราชการต้องอย่าร่วมมือ

โดย…ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับแวดวงข้าราชการ เมื่อ “จเร พันธุ์เปรื่อง” อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ในฐานะที่ปรึกษาประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้ออกมาเขียนจดหมายอำลาถึงพี่น้องสีกากี ก่อนวันเกษียณอายุราชการอย่างเป็นทางการในปลายเดือน ก.ย.นี้ ซึ่งมีใจความสำคัญถึงเรื่อง “ทุจริต”

จเร เล่าผ่าน “โพสต์ทูเดย์” ถึงวัตถุประสงค์ที่เขียนประเด็นดังกล่าว เนื่องจากได้รับการติดต่อประสานงานจากสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ ให้ช่วยเขียนแง่คิดการทำงานถึงข้าราชการลงหนังสือที่ระลึกเพื่อแจกในงานวันเกษียณราชการ ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 25 ก.ย.ที่ผ่านมา โดยไม่มีเจตนาอย่างที่ปรากฏเป็นข่าว

“ตอนแรกผมจะเขียนในทำนองขอบคุณสำนักงานปลัดฯ พอเขียนไปนึกได้ว่าข้าราชการจะได้อะไร ก็เลยเปลี่ยนใหม่ และทางสำนักฯ อยากได้แนวคิดในการปฏิบัติงาน ก็เลยเล่าว่าเป็นยังไง ยึดมั่นอะไร ทำงานอย่างไร ยึดคติแนวทางในการทำงาน คือ ซื่อสัตย์ ขยัน อดทน ซึ่งเป็นเรื่องที่ผมยึดมั่นมาตลอด”

จเร อธิบายคำว่า ซื่อสัตย์ ถ้าคนยึดมั่นในความถูกต้องสุจริต ไม่โกง ก็สามารถพัฒนาได้ แม้จะไม่ได้เรียนสูงมาก ก็สามารถส่งไปเรียนต่อ พัฒนาฝึกอบรมให้มีความเชี่ยวชาญได้ ถ้าโกง ก็หมด ถ้าพัฒนาให้เก่งและฉลาดเท่าไร ก็ยิ่งโกงมาก ขยัน คือ ตั้งใจทำงาน ไม่ปริปากบ่น ให้รู้ว่าภารกิจมีอะไรต้องทำอย่างไร หรือจัดวางแนวทางในการทำงาน ฝึกได้ และ อดทน คือ ไม่เหยาะแหยะ มีงานยากก็ไม่บ่น มีปัญหาก็ปรึกษาหารือเพื่อหาทางแก้ไข ไม่ใช่เจออุปสรรคก็เลิกล้ม

“ครอบครัวผม พ่อ แม่ ภรรยา ลูก มีความเห็นตรงกันในเรื่องพวกนี้ ผมมาจากสังคมเกษตรกร ครอบครัวผมเป็นชาวไร่ชาวนา เป็นคน จ.เพชรบุรี ไม่มีอะไร เราถือว่าเราเริ่มต้นจากศูนย์ มาถึงขนาดนี้ รับราชการมาได้ขนาดนี้ ไม่ต้องไปหาอะไรแล้ว เพราะเงินทองที่ได้รับจากหลวงก็ถือว่าเยอะแล้ว”

อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ฉายภาพปัญหาทุจริตแวดวงราชการด้วยเสียงยืนยันหนักแน่นว่า  “ผมผ่านมาหมดทั้งยุคเลือกตั้งและแต่งตั้ง มันอยู่ที่คน ไม่ใช่วิธีการมา เพราะคนไม่ดีพยายามแทรกเข้ามาในทุกวงการ ในการเลือกตั้งจะไปอยู่พรรคนั้น พรรคนี้ ตรงนี้ก็เหมือนกัน เพื่อมีโอกาสได้เข้ามา ดังนั้น จึงไม่แตกต่างอะไร”

“ใน สปท. สปช. คราวที่แล้วก็เห็นพูดขึ้นมา แม้กระทั่งกลางแจ้งไม่ให้อันนั้น อันนี้เขา อะไรต่ออะไร ข้าราชการดีๆ ยังไม่กล้าเสนอผลงาน แต่เสนอตัวเองดีอย่างนั้น อย่างนี้ ทำนั่น ทำนี่ ยังไม่กล้าเลยข้าราชการ แต่คนไม่ทำกล้าขอ หรือเสนอ ยกยอตัวเอง หลอกทั้งนั้น ดังนั้น สรุปได้ว่าไม่ว่าในยุคไหนที่เข้ามาก็ไม่ได้แตกต่าง”

สำหรับเด็กฝากในรัฐสภา จเร ยอมรับว่ามีบ้าง แต่ส่วนตัวบอกว่าอย่างน้อยๆ คะแนนต้องผ่านเกณฑ์มาตรฐานสอบเข้า และพยายามผลักดันให้ กร.มีมติว่าคนที่จะสอบต้องผ่าน ภาค ก. กพ. คือ เป็นคนมีคุณภาพ ผ่านเกณฑ์มาตรฐานมา คะแนนต้องผ่าน แต่ส่วนใหญ่คงจะช่วยกันในเรื่องสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นขั้นตอนสุดท้ายหลังจากผ่านเกณฑ์แล้ว

“ผมคิดว่าการเข้ามารับราชการ ไม่ว่าที่ไหนก็แล้วแต่ เด็กเรียนจบยังไม่มีงานทำ วัตถุประสงค์ต้องการงาน และทำทุกอย่างเพื่อให้ได้งาน พ่อแม่พาไปฝากใครต่อใคร บางทีอาจจะรู้ไม่รู้บ้าง แต่เมื่อเข้ามาทุกครั้งจะมีสัมมนาข้าราชการใหม่ ผมจะบอก ไม่รู้ใครจะเป็นอะไรมาจากไหน ทุกคนต้องการเข้ามาทำงานที่นี่ และยินดีต้อนรับ แต่ฝากไว้อย่างหนึ่ง เมื่อเข้ามาต้องให้เท่าเทียมกันทุกคน อย่ามาเอาเปรียบหรือวิ่งเต้น ที่แล้วๆ มาถือว่าไม่รู้ จบ เมื่อเข้ามาแล้วก็ตั้งใจทำงานไป”

จเร ระบุว่า ส่วนตัวพยายามบอกว่าการเป็นหัวหน้าส่วนราชการ 1.ต้องดูว่าทุกคนเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่ใช่พวกนั้น พวกนี้ 2.คุ้มครองสิทธิของข้าราชการ ดูแลให้ประโยชน ให้โอกาส พอๆ กัน คนเก่งต้องได้ขั้นมาก มีผลงานมาแสดงเป็นที่ประจักษ์ ขณะเดียวกันคนนอกลู่นอกทางทำผิดระเบียบวินัย ก็ต้องดำเนินการ เพราะคนดีๆ ดูอยู่ ถ้าเกิดคนโกงได้ดี คนดีมันจะไปตาม ซึ่งต้องรักษาคนดี

จเร ยกตัวอย่าง เมื่อมีเรื่องร้องเรียนก็ต้องตั้งคณะกรรมการสอบเพื่อให้ได้ข้อเท็จจริง รวมถึงตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัย บางทีเรื่องมันเยอะทำให้ช้า ทยอยออก ครั้นจะตั้งกรรมการหลายๆ คณะคงไม่มีคนทำงาน บางครั้งก็ถูกนักการเมืองเร่ง เขย่าทุกวัน ล่าช้า เข้าข้าง คนถูกลงโทษมาฟ้องบ้าง ไปร้องอะไรต่ออะไร เพราะคนไม่ทำตามกติกา คือ คนถูกลงโทษแทนที่จะไปอุทธรณ์ตามขั้นตอน ผลที่สุดกรรมตามสนอง ผลร้ายจะตกกับตัวเอง

อดีตเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ยกแนวทางการแก้ปัญหาทุจริตให้สอดรับกับยุค 4.0 ซึ่งถือว่าจำเป็นสำหรับระบบราชการ และเทคโนโลยีสมัยนี้ไว จึงควรใช้ระบบไอทีมาตรวจสอบ โดยเฉพาะการจัดซื้อจัดจ้าง ขั้นตอนการดำเนินงานทั้งหมด แบบเปิดเผย ซึ่งกฎหมายข้อมูลข่าวสารบังคับ แต่ที่ผ่านมาก็เงียบ

“ข้าราชการต้องร่วมมือกัน เพื่อสร้างระบบรู้ทันกลไก และที่สำคัญเป็นการพัฒนาการทำงานของข้าราชการ แต่ที่ผ่านมาข้าราชการเอาเปรียบกันเอง คนที่ไม่ค่อยมีความรู้ความสามารถเรื่องงาน จะเอาใจเก่ง ถ้าลองสังเกต โดยเฉพาะที่สภา เด็กคนไหนทำงานเก่ง จะไม่ค่อยสนใจ แต่งานเป๊ะ

…คนไม่เก่ง ทำงานไม่เป็น จะเอาใจทางธุรการซื้อโน่นนี่นั่น พาไปนั่นไปนี่ จ๊ะจ๋า แต่งตัวดี พวกนี้จะหาเรื่องกลบเกลื่อน สนิทคนนั้น คนนี้ เพื่อเอาเปรียบและโตแซงเป็นผู้บริหาร สำนักงานก็เละเทะไม่มีประโยชน์อะไร แม้ความหวังนั้นจะมีอยู่ แต่คงต้องใช้เวลากับมัน”

จเร บอกด้วยน้ำเสียงสบายใจหลังถูกย้ายให้มาทำหน้าที่ที่ปรึกษาประจำสำนักนายกฯ แม้วันแรกจะตกใจบ้าง แต่ต้องขอบคุณหัวหน้า คสช. ทำให้ไม่ต้องแบกรับภาระอะไรกับปัญหาการก่อสร้างรัฐสภาใหม่ พร้อมอธิบายว่าที่เป็นปัญหาเนื่องด้วยการก่อสร้างมี 3 ส่วน คือ สำนักงานฯ บริษัทที่ปรึกษา ผู้ควบคุมงาน ผู้รับจ้างก่อสร้าง ทั้งหมดมีหน้าที่รับผิดชอบ และสภามีหน้าที่กำกับ โดยมีคณะกรรมการตรวจการจ้างเป็นผู้ดูแล ว่าเป็นไปตามสัญญา เบิกจ่ายได้หรือไม่

จเร ขยายความว่า สิ่งที่ล่าช้า เพราะการส่งมอบพื้นที่ ไม่ใช่ความผิดของสภา เนื่องจากปัญหามาจากสมัยน้ำท่วม ส่วนราชการที่ต้องส่งมอบพื้นที่ก็ย้ายออกไม่ได้ รวมถึงโรงเรียน เรื่องพวกนี้เป็นปัญหาในการสร้างที่ใหม่ของเขา แต่เวลาส่งมอบพื้นที่ตรงอาคารหลัก ทยอยส่ง อาคารรอบๆ มีปัญหาบ้าง ที่กองดินสิ่งเหล่านี้มันสามารถขอขยายเวลาได้

ทั้งนี้ ต้องดูเหตุผล ถ้ามีเรื่องเสนอมาต้องพิจารณา เช่น ขอขยายระยะเวลา ต้องพิจารณารอบคอบ เพราะเงินจำนวนมากที่ต้องรับผิดชอบ และตามระเบียบการขยายสัญญา ทำได้ก่อนเสร็จหมดอายุสัญญา ซึ่งก็มีระยะเวลาพิจารณาได้อย่างรอบคอบ แก้แบบก็อาจมีความเห็นไม่ตรงกัน เป็นเรื่องปกติธรรมดา

“เรื่องดินที่บอกทุจริต แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา ดินบริจาคมูลนิธิหนึ่ง ก่อนที่พวกเราจะเข้ามา แล้วการบริจาคดิน ซึ่งดินมันอยู่ในโครงการ โดยผู้รับบริจาคตักไปแล้วก็เป็นกรรมสิทธิ์ของเขาเลย มันไม่ใช่หน้าที่ของเราตามไปดู มีแต่เราเร่งให้เขามารับไปเร็วๆ ด้วยซ้ำ และมีการพูดซ้ำๆ ว่าโกง จนคนฟังคิดว่าเรามีส่วนเอี่ยว ผมรู้แก่ใจ พอมีการพูดกันมาเยอะๆ ผมสั่งระงับบริจาคในส่วนนี้ มีการขอให้เอาดินไปลงที่ดินธนาคารกรุงไทย ประมาณ 60 ไร่ ซึ่งจะมีการถม และเราเตรียมทำเอ็มโอยูแล้ว

…จะส่งให้กระทรวงการคลังพิจารณาว่าจะเอาเท่าไร และธนาคารกรุงไทยก็คือของกระทรวงการคลัง เราคิดง่ายๆ เพราะเป็นของรัฐ และบริจาคให้วัด พอเวลาพูดเรื่องทุจริตก็ว่าทั้งวง ผมไม่รู้จงใจหรือไม่ ไม่อยากเถียงอะไร เพราะเป็นเรื่องทางโลก ไม่อยากโต้เถียง เป็นไปได้ว่านักธุรกิจพอถึงเวลาก็อยากทำอะไรให้ได้ประโยชน์ของเขามาก เป็นเรื่องปกติ แต่ทางสำนักงาน คือ ส่วนราชการ ก็ต้องไปดูแลให้เป็นไปตามกฎกติกา มันอาจช้าไปบ้าง แต่เป็นเรื่องปกติ ส่วนตัวไม่คิดขัดแย้งกับใคร หรือโกรธอะไร”

จเร ตั้งข้อสังเกตถึงการก่อสร้างรัฐสภาแห่งใหม่ ที่เคยระบุก่อนหน้านี้ อาจผิดมาตั้งแต่แรก คนเชี่ยวชาญทางด้านโครงการก่อสร้างในส่วนราชการ คือ กรมโยธาธิการ และทำไมไม่จัดการตั้งแต่แรกทั้งหมด เอามาทำเองทำไม เมื่อเทียบกับเรื่องดิน เหมาหรือให้ใครจัดการไป มันก็จบ หรือบริจาคไปเลย เพราะดินมูลค่า 20 ล้านบาท แต่เวลารัฐสภาเสียค่าปรับวันละ 12.28 ล้านบาท สองวันเกินราคาดิน ทำไมต้องมาทำอะไรให้ยุ่งยาก

จเร บอกว่า หลังจากเกษียณอายุราชการ คงจะไปสอนหนังสือในด้านกฎหมายเพราะจบปริญญาเอกด้านนี้ หรือจะให้ไปสอนฟรีก็ยินดี ซึ่งช่วงนี้ก็รับงานสอนให้กับบางมหาวิทยาลัยเอกชนและมหาวิทยาลัยรัฐ 2-3 แห่ง นอกจากนี้ ส่วนตัวยังเป็นกรรมการของมหาวิทยาลัยราชมงคลอีสาน ซึ่งเป็นสถาบันที่จะพัฒนาระบบราง กับซ่อมอากาศยาน จะพยายามผลิตบุคลากรออกมาทำงานได้จริงทั้งในทางทฤษฎีและปฏิบัติ โดยไม่ต้องไปฝึกอีก

 

“บัณฑูร” หวังปฏิรูป ไม่เสียของ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 กันยายน 2560 เวลา 12:54 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/516921

"บัณฑูร" หวังปฏิรูป ไม่เสียของ

โดย…ศุภลักษณ์ เอกกิตติวงษ์

บัณฑูร ล่ำซำ ประธานกรรมการ ธนาคารกสิกรไทย กล่าวในเวทีสัมมนาทรานส์ฟอร์มมิ่งไทยแลนด์ ว่า การที่เข้าไปเป็นหนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติ ส่วนตัวมองว่า รัฐบาลไหนก็ตั้งได้ จะร่างยุทธศาสตร์ให้สวยหรูก็จ้างนักวิชาการได้ แต่ที่ยากคือการปฏิบัติ หัวใจสำคัญคือทำได้เร็วหรือไม่ วางแผนได้สวยหรู ต้องมีแนวทางปฏิบัติที่ชัดเจนว่าจะไม่ชักช้า

นอกจากนี้ รัฐบาลมุ่งมั่นที่จะปฏิรูปประเทศ ซึ่งการปฏิรูปคือทำให้แตกต่างจากเดิม จึงมีคณะกรรมการยุทธศาสตร์อยู่ในรัฐธรรมนูญที่มีหน้าที่วางทิศทางประเทศต้องพัฒนาอย่างไรเพื่ออนาคต แต่ก็มีคณะกรรมการปฏิรูปย่อยอีก 11 คณะ ซึ่งตัวเอง (บัณฑูร) นั่งอยู่ในคณะกรรมการปฏิรูประบบบริหารราชการแผ่นดินด้วย ก็แปลกที่เอานายแบงก์มาดูเรื่องบริหารราชการแผ่นดิน แต่ก็ขอลองดู ซึ่งคณะกรรมการปฏิรูปประชุมสัปดาห์ละ 2 ครั้ง เพื่อให้ได้ข้อสรุปภายใน 90 วัน ว่าจะปฏิรูปอะไรอย่างไร เสนอให้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติไปวางแผน

แต่ที่กลัว คือ ทุกคนพูดว่าปฏิรูปอย่างนั้นอย่างนี้ มีแนวทางปฏิบัติอย่างดี สอดคล้องตามรัฐธรรมนูญ แต่ขาดสิ่งสำคัญที่สุด คือ ไม่กล้าพูดว่าจะเปลี่ยนอะไรบ้าง

“มีแต่บอกว่าอยากเป็น แต่ไม่กล้าบอกว่าจะต้องแก้อะไร เพราะกลัวว่าจะไปกระทบกับใครสักคน ซึ่งการปฏิรูปแต่ละอย่างย่อมส่งผลกระทบกับบางคน ต้องมีทั้งคนพอใจและไม่พอใจ ก็เพราะการปฏิรูปนั้น เป็นการล้มอำนาจแบบเดิม ล้มศักดิ์ศรีแบบเดิม และสกัดเส้นทางของอะไรสักอย่าง ส่วนตัวเห็นว่า นายกฯ ตั้งใจดี แต่การล้มโครงสร้างเดิมต้องมีคนรอบข้างคัดค้าน ต้องวัดใจว่า กล้าขนาดไหน”

บัณฑูร ยกตัวอย่างการรณรงค์รักษาป่าน่าน ซึ่งเป็นป่าต้นน้ำของไทย 40% ได้พานายกรัฐมนตรีไปดูน่าน เมื่อเดือน ธ.ค. 2559 และบอกถึงปัญหาที่สูญเสียผืนป่าไปเป็นล้านไร่ภายในเวลาเพียงทศวรรษเดียว นายกรัฐมนตรี ก็เหมือนจะคล้อยตาม แต่เรื่องก็เงียบหายไปตั้งแต่นั้น ซึ่งได้ยินข่าวมาว่าคนรอบตัวคัดค้าน โชคดีที่มีช่องทางในการเสนอแผนงาน รออนุมัติอยู่ หากมีความชัดเจนจะแถลงให้ทราบ ซึ่งเรื่องน่านเป็นตัวอย่างเล็กๆ ในการปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดิน ยังไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะไม่มีใครกล้าที่จะรื้อระบบราชการของประเทศ เป็นเรื่องยากเกินไป

เรื่องประเทศไทย 4.0 ถ้ายุทธศาสตร์ที่ทำไม่มีการเปลี่ยน แปลงอย่างมีนัย นั่นคือความล้มเหลว เปลี่ยนไม่ได้ก็พ่ายแพ้ ต่อให้ทุกคนเข้าใจทัน พูดทัน แต่หากเข้าไปแก้ไม่ทัน ก็ย่อมล้มหายตายจาก ซึ่งการที่ทำไม่ทันเป็นเรื่องน่ากลัว เพราะจะไม่เหลืออะไรให้กิน คนอื่นเอาไปกินหมด หากเป็นเอกชนที่เปลี่ยนไม่ทันจะเห็นภาพชัดว่าล้มหายเป็นรายๆ ไป แต่หากรัฐบาลเปลี่ยนไม่ทัน รัฐบาลไม่เจ๊ง แต่ที่เจ๊งคือประเทศและประชาชน เกษตรกรขายของไม่คุ้ม ต้องเหนื่อยยาก ซึ่งทุกรัฐบาลปัญหาอะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าขายพืชผลไม่ออกแล้วเอามาเทหน้าทำเนียบฯ

สำหรับการประชุมคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติกับนายกรัฐมนตรี ในวันพรุ่งนี้ (ยังไม่มีเนื้อหาอะไรมาก แต่สิ้นปีนี้คงจะมีความชัดเจนว่าขอบเขตของคณะกรรมการยุทธศาสตร์คืออะไร ก็จะพยายามสอดความคิดเข้าไป แต่ยังไม่รู้ว่า จะกล้าเปลี่ยนไหม

อย่างที่เป็นคณะกรรมการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจ (ซูเปอร์บอร์ด) ยังไม่หินเท่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์ เพราะซูเปอร์บอร์ด ซึ่งกำลังจะออก พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจ รวบอยู่ในตะกร้าเดียว มีธรรมาภิบาลกำกับป้องกันปัญหาการล้วงเอาทรัพยากรประเทศไป แต่ยุทธศาสตร์ชาติจะไปไกลกว่า ตรงที่คนไทย ประเทศไทย จะเดินไปอย่างไร

โจทย์สำคัญของประเทศไทย ต้องมีรัฐบาลที่มีความสามารถที่จะนำทาง ไม่ว่าจะรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลไหนที่จะมาหลังจากนี้ก็แล้วแต่เพราะเราไม่รู้ว่าการเมืองจะพลิกไปแบบไหน แต่รัฐบาลต้องมีความสามารถสร้างแผนงานการพัฒนาประเทศได้ แล้วนำประชาชน นำระบบรัฐบาล ไปสู่การแก้ไข ให้ทันการณ์ ซึ่งเรื่องทันเวลาเป็นโจทย์ที่สำคัญ

“ถ้าทำไม่ได้จะเสียของหรือเปล่าไม่รู้ เพราะไม่ได้เอาของเขามา แต่จะเสียกำลังใจ เสียอารมณ์พอสมควร ทำมาทั้งทีแล้วตอนจบไม่กล้า ของอย่างนี้ไม่ได้อยู่ที่นายกฯ คนเดียว แต่อยู่ที่คนรอบข้างนายกฯ ด้วย ก็เป็นการเมืองอย่างหนึ่ง ที่ต้องไปจัดการ ก็หวังว่าจะก้าวข้ามการเมืองรอบตัวไปได้ เพราะเขาต้องตัดสินใจ ซึ่งการผ่าไปก็อาจจะโดนมือโดนเท้าใครสักคน”

บัณฑูร กล่าวว่า จนถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่า 4.0 คืออะไร ไม่กล้าถามนายกฯ แต่ย้อนรอยบุคคลที่ประสบความสำเร็จที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นสตีฟ จ็อบส์ มาร์ค ซัคเกอร์เบิร์ก หรือ บิลเกตส์ ต่างเรียนไม่จบมหาวิทยาลัย เพราะรู้สึกว่าไม่มีอะไรน่าสนใจ พวกเขาสนใจสร้างอะไรที่ไม่เคยมีมาก่อน จึงเลิกเรียนและแยกย้ายไปทำงานในบ้านเล็กๆ ก่อนออกผลิตภัณฑ์มาสู่ตลาด ทั้งสมาร์ทโฟน โปรแกรม หรือโซเชียลมีเดีย ซึ่งที่สหรัฐทำได้เพราะวัฒนธรรมเปิดกว้าง

ขณะที่ยุคของ แจ็ค หม่า และริชาร์ด ลิว ซึ่งเป็นคนจีนมองเห็นปัญหาที่คนในประเทศขายของไม่ได้ จึงสร้างแพลตฟอร์มในไซเบอร์สเปซ เป็นเครือข่ายร้านค้าแบบใหม่ เพราะร้านค้าหรือธนาคารในรูปแบบเดิมคนไม่สนใจจะเข้าแล้ว เมื่อไม่สนใจเข้า ก็หมายความว่าคนไม่เห็น ฉะนั้น ต่อให้เรามีสินค้าดีแค่ไหน แต่คนไม่เห็น ก็คงไม่ประสบความสำเร็จ คนจึงไปสร้างร้านค้าในโลกออนไลน์ ทำให้คนเห็นในมือถือ สามารถกดสั่งซื้อ และของก็มาส่งถึงบ้าน

“สิ่งนี้เป็นดิสรัปชั่น อย่างมาก จนทำให้ ทอยอาร์อัส ร้านขายของเล่นอันดับ 1 ของโลกล้มละลาย เพราะไม่มีใครเข้าร้านแล้ว คนไปซื้อผ่านทาง อเมซอน หรือออนไลน์แทน”

ทั้งนี้ พัฒนาการของโลกนี้ สิ่งที่น่ากลัวสำหรับประเทศไทยและคนไทย คือ จะเป็นได้แค่ลูกค้า ขณะที่คนควบคุมเส้นทางการค้าเจ้าของแพลตฟอร์มจะเป็นผู้ได้ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาของโลกทุนนิยม หากเล่นเกมนี้ไม่เก่ง เราจะอยู่แถวหลังเสมอ

 

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ รวบอำนาจคุมสมบัติประชาชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

24 กันยายน 2560 เวลา 07:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/516541

แปรรูปรัฐวิสาหกิจ รวบอำนาจคุมสมบัติประชาชน

โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

ท่ามกลางความสนใจของหลายฝ่ายที่มีต่อการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง 4 ฉบับ ในฐานะที่เป็นเงื่อนไขสำคัญที่นำไปสู่การกำหนดวันเลือกตั้ง แต่อีกด้านหนึ่งในเวลานี้กำลังมีอีกความเคลื่อนไหวหนึ่งที่สำคัญ ซึ่งเกี่ยวข้องกับประชาชนอย่างมีนัยสำคัญไม่แพ้กับการเลือกตั้ง

ความเคลื่อนไหวที่ว่านั้น คือ การจัดทำร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ซึ่งอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาในรายละเอียดของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)

ร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวมีสาระสำคัญอยู่ที่การตั้งคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ คนร. เพื่อควบคุมสัดส่วนการถือหุ้นของหน่วยงานรัฐในรัฐวิสาหกิจ และการตั้งบรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติ เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับกับการถ่ายโอนหุ้นของรัฐวิสาหกิจ

แม้เรื่องนี้จะไม่ปรากฏแรงต่อต้านรุนแรงเหมือนเมื่อครั้งการเปิดสัมปทานปิโตรเลียมรอบที่ 21 แต่ในมุมมองของ “รสนา โตสิตระกูล” อดีต สว.กทม. ในฐานะผู้ติดตามเรื่องกิจการพลังงานมาตลอด กำลังมองว่ากรณีนี้กำลังสร้างปัญหาเพราะเป็นการใช้อำนาจเด็ดขาดเพื่อออกกฎหมายอย่างไม่ชอบธรรม

รสนา อธิบายกับโพสต์ทูเดย์ถึงปัญหาของร่างกฎหมายไว้อย่างน่าสนใจว่า “ถ้าเราดูที่บันทึกหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าวจะมีลักษณะขัดแย้งกันเอง โดยปกติแล้วภารกิจของรัฐวิสาหกิจ คือ มุ่งในการทำกิจการที่เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานที่มีความจำเป็นต่อการดำรงชีวิตของประชาชนโดยไม่ได้มุ่งหวังกำไร”

“เช่น การรถไฟ ที่ขาดทุนแสนกว่าล้านบาท แต่มีทรัพย์สินอยู่ประมาณ 6 แสนล้านบาท การรถไฟจะไม่ให้ขาดทุนได้อย่างไร เพราะตั้งแต่ปี พ.ศ. 2528 ไม่เคยเปลี่ยนราคาค่าโดยสารเลย คิดค่าโดยสารกิโลเมตรละ 24 สตางค์ ขณะที่ต้นทุนจริงๆ คือ 2 บาท เวลาจะขาดทุนก็ขึ้นอยู่กับนโยบายว่ารัฐอาจจะไปกำไรในส่วนอื่น แต่บางอย่างที่จำเป็นสำหรับประชาชน รัฐยอมให้ราคาต่ำและยอมรับการขาดทุน แต่หากเป็น การขาดทุนเพราะมีการทุจริตก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

“แต่ปรากฏว่าหลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.นี้ต้องการที่จะพัฒนาเสริมสร้างในการดำเนินงานรัฐวิสาหกิจให้มีความพร้อมในการแข่งขันในเชิงพาณิชย์ และสามารถดำเนินการอย่างเต็มศักยภาพโดยยังคงความเป็นรัฐวิสาหกิจ ซึ่งขัดแย้งกันเอง คุณจะคงทั้งความเป็นรัฐวิสาหกิจและให้มีศักยภาพในการแข่งขันเชิงพาณิชย์มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้น เอาแค่หลักการและเหตุผลของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ก็มีปัญหาในตัวมันเองแล้ว”รสนา ระบุ

รสนา มองในมุมแตกต่างอีกว่า “มีหลายฝ่ายต้องการบอกว่าร่าง พ.ร.บ.นี้ต้องการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจในเชิงสถาบัน โดยแบ่งแยกคนที่เป็นเจ้าของและคนกำหนดนโยบาย รวมไปถึงการปฏิบัติให้แยกออกจากกัน แต่ถ้าเข้าไปดูในร่าง พ.ร.บ.จะพบว่าไม่ได้มีการแบ่งแยกนะ เช่น การกำหนดนโยบายที่ป้องกันไม่ให้นักการเมืองในอนาคตเข้ามาล้วงลูก แต่พบว่า คนร.มีสัดส่วนรัฐมนตรี 5 คน มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ข้าราชการ 5 คน ผู้ทรงคุณวุฒิอีก 5 คน ที่เลือกมาจากคณะรัฐมนตรี และมีผู้อำนวยการใหญ่บรรษัทอีก 1 คน รวมทั้งหมด 16 คน”

ทั้งนี้ คนร.มีอำนาจที่สำคัญในมาตรา 11 (4) และ (8) กล่าวคือ ให้ คนร.กำหนดสัดส่วนการถือหุ้นของกระทรวงการคลังหรือบรรษัทในรัฐวิสาหกิจที่เป็นบริษัทจำกัดหรือบริษัทจำกัดมหาชน โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี และเสนอความเห็นต่อคณะรัฐมนตรีในการควบหรือยุบเลิกรัฐวิสาหกิจและเปลี่ยนแปลงสัดส่วนหุ้นที่บรรษัทถือครองจนพ้นสภาพความเป็นรัฐวิสาหกิจหรือทำให้เป็นรัฐวิสาหกิจ

“มาตรานี้แปลได้ว่า คนร.สามารถลดสัดส่วนหุ้น อุปมาได้ว่าบรรษัท คือ คอก ขณะที่รัฐวิสาหกิจ 11 แห่ง ที่จะเข้าไปชุดแรก คือ ม้า แล้วคุณสามารถที่จะกำหนดเลยว่าฉันจะเป็นเจ้าของม้า 51% หรือ 0% ม้าก็เป็นของเอกชนไปหมด คุณทำได้โดยอันนี้ อันนี้จะต้องผ่านความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี แล้วนายกฯ มานั่งอยู่ใน คนร.แล้วตัวเองก็นั่งอยู่ในคณะรัฐมนตรี แล้วคณะรัฐมนตรีจะมาถ่วงดุลคุณเหรอ ใครจะถ่วงดุล”

“ดังนั้น คนร.ก็ใหญ่สุดแล้ว เพียงแต่มันถูกรวบอำนาจลงมาที่จุดเดียว ถ้านายกฯ ที่อยู่ใน คนร.ในตำแหน่งประธาน คนร. บอกว่า ให้ลดหุ้นให้พ้นจากความเป็นรัฐวิสาหกิจเลย นายกฯ ใน ครม.จะขัดกับตัวเองไหม นายกฯ ก็คนเดียวกันเขาจะพูดต่างกันเหรอ การที่อ้างว่าเพื่อจะแบ่งแยกคนกำกับในเชิงนโยบายและคนเป็นเจ้าของและการปฏิบัติ มันก็แบ่งแยกไม่ได้”

เหนืออื่นใดที่สุดของเรื่องนี้ “รสนา” วิพากษ์ว่า ร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ จะเป็นทางลัดของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจครั้งใหญ่ โดยไม่มีการแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติออกมาก่อนการแปรรูป ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ

“ปกติการแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้นจะต้องดำเนินการตาม พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจและนำหุ้นไปกระจายในตลาดหลักทรัพย์จะต้องมีการแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติและอำนาจมหาชนออกมาก่อน เพราะเมื่อเข้าไปอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แล้วจะไม่ถือว่าเป็นองคาพยพของรัฐอีกต่อไป เมื่อไม่ใช่องคาพยพของรัฐ คุณก็ไม่สามารถครอบครองสาธารณสมบัติและอำนาจสิทธิในทางมหาชนไว้ได้”

“ส่วนตัวให้มองก็คิดว่า พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจมันยังไม่คล่องคอ เพราะถ้าจะแปรรูปก็ต้องแยกสาธารณสมบัติออกมาก่อนจะเข้าตลาด หลักทรัพย์ มาคราวนี้เลยหาช่องทางตามร่าง พ.ร.บ.การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ โดยให้บรรษัทวิสาหกิจแห่งชาติเป็นข้อต่อที่สำคัญ”

“เพราะในมาตรา 49 ของร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดว่า ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ประกาศใช้กฎหมาย ให้ คนร.พิจารณาสั่งการให้กระทรวงการคลังโอนหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ในรัฐวิสาหกิจ 11 แห่งให้แก่บรรษัท แบบนี้จะทำให้ คนร.กลายเป็นรัฐบาลชุดเล็กไปโดยปริยาย ดังนั้น เท่ากับว่าเป็นการโอนทั้งหมดโดยไม่ได้สั่งให้แยกสาธารณสมบัติออกมาก่อนใช่หรือไม่”

เมื่อให้อดีต สว.กทม.วิเคราะห์ถึงผลร้ายแรงที่สุดที่จะเกิดขึ้น หากมีการประกาศใช้ร่าง พ.ร.บ. การพัฒนาการกำกับดูแลและบริหารรัฐวิสาหกิจ ซึ่งก็ได้รับคำตอบ ดังนี้

“ผลร้ายที่สุด คือ เป็นการถ่ายโอนทรัพย์สินทั้งหมดไปให้เอกชน และร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ยังเป็นการหลบ พ.ร.บ.ทุนรัฐวิสาหกิจที่กำหนดให้ต้องแยกทรัพย์สินที่เป็นสาธารณสมบัติออกมาก่อน อันนี้มันจะถูกกฎหมายหรือไม่ เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 56 ระบุว่า โครงสร้างหรือโครงข่ายขั้นพื้นฐานของกิจการสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานของรัฐอันจําเป็นต่อการดํารงชีวิตของประชาชนหรือเพื่อความมั่นคงของรัฐ รัฐจะกระทําด้วยประการใดให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนหรือทําให้รัฐเป็นเจ้าของน้อยกว่า 51% ไม่ได้

“หมายความว่า รัฐต้องเป็นเจ้าของไม่น้อยกว่า 51% สิ่งที่สำคัญ คือ เมื่อก่อนบริษัทที่รัฐถือหุ้นอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ เวลามีเงินปันผลก็จะมาที่กระทรวงการคลัง แต่คราวนี้เงินปันผลต้องมาที่บรรษัทก่อน และบรรษัทก็มีเงินสามารถที่จะกำหนดเราจะต้องสำรองเงินไว้เพื่อการบริหารและเพื่อการลงทุน เสร็จแล้วเหลือเท่าไรค่อยปันผลไปให้กับกระทรวงการคลัง บรรษัทกลายเป็นตัวกักเก็บเงินที่มาจากรัฐวิสาหกิจ จะตรวจสอบอย่างไรเพราะเงินเหล่านี้อยู่นอกงบประมาณ”

“ขอตั้งคำถามโดยสามัญสำนึกนะ คุณเป็นรัฐบาลอำนาจพิเศษ มีสภาเสียงเอกฉันท์ ไม่มีการถ่วงดุล ไม่มีฝ่ายค้าน แล้วมาออกกฎหมายแบบนี้ กฎหมายจะเขียนอะไรก็ได้ เขียนให้คนเป็นสัตว์ปีกก็ได้ แต่มันจะมีความชอบธรรมหรือไม่”

รสนา สรุปว่า ส่วนตัวทีแรกยอมรับได้ว่าหากเป็นคณะกรรมการเพื่อการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจเท่านั้น โดยไม่มีอำนาจลดสัดส่วนหุ้น บ้านเมืองเรายังมีความจำเป็นที่ต้องพัฒนารัฐวิสาหกิจให้มีประสิทธิภาพ แต่ประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจกับเอกชนมันต่างกัน ประสิทธิภาพของเอกชน คือ กำไรที่เป็นตัวเงิน ส่วนประสิทธิภาพของรัฐวิสาหกิจ คือ การให้บริการให้ครอบคลุมทั่งถึงและมีราคาที่เหมาะสม กำไรของรัฐวิสาหกิจจะไม่ใช่เป็นตัวเงิน

“แต่คราวนี้คุณกลับแปรภารกิจของรัฐวิสาหกิจให้ไปเป็นเอกชนอย่างนี้ คุณถามประชาชนก่อนหรือเปล่า เพราะคุณไม่ใช่เจ้าของทรัพย์สินนะ แต่เป็นของประชาชน 70 ล้านคน คุณเป็นใครมาจากไหน ทรัพย์สินนี้ไม่ใช่ของ คสช. ไม่ใช่ของ สนช. ไม่ใช่ของ คนร. เพราะฉะนั้นอยู่ดีๆ คุณมาถึงปุ๊บ คุณจะออกกฎหมายแบบนี้เลยเหรอ แล้วคุณก็ให้มือไม้ของคุณที่เป็นสภาเสียงเอกฉันท์ผ่านเลยเหรอ”รสนา ทิ้งท้าย

 

“โอกาสทำงานด้านอวกาศ ไม่ไกลเกินฝันเด็กไทย” กฤษณ์ คุนผลิน คนไทยในศูนย์อวกาศและจรวดแห่งชาติสหรัฐ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 กันยายน 2560 เวลา 19:01 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/516082

"โอกาสทำงานด้านอวกาศ ไม่ไกลเกินฝันเด็กไทย" กฤษณ์ คุนผลิน คนไทยในศูนย์อวกาศและจรวดแห่งชาติสหรัฐ

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

“นักบินอวกาศ” เป็นอาชีพในฝันของเด็กทั่วโลก แต่หลายคนในประเทศไทยมักคิดว่าโอกาสที่เด็กไทยจะได้ทำงานด้านการบินอวกาศเป็นเรื่องยากและไกลตัว เพราะโอกาสเหล่านั้นอาจมีเฉพาะในประเทศมหาอำนาจอย่าง สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ญี่ปุ่น เท่านั้น

แต่หากถาม กฤษณ์ คุนผลิน หรือ คุณอู ผู้แทนศูนย์อวกาศและจรวดแห่งชาติสหรัฐ ในประเทศไทย จะได้คำตอบอย่างชัดเจนว่า โอกาสในการก้าวสู่โลกแห่งอวกาศนั้นไม่ใช่เรื่องยาก

เส้นทางคนไทย สู่ ผู้แทนหน่วยงานอวกาศสหรัฐ

เส้นทางชีวิตการศึกษาและทำงานของ กฤษณ์ ไม่ได้อยู่บนเส้นทางงานด้านอวกาศมาตั้งแต่ต้น เขาจบปริญญาตรีนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ปริญญาโทด้านรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย อเมริกัน ยูนิเวอร์ซิตี้ จากนั้นกลับมาศึกษาต่อสถาบันบัณฑิตบริหารธุรกิจ ศศินทร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

อย่างไรก็ดีมีความชื่นชอบหลงใหลในเรื่องราวเกี่ยวกับจรวดตั้งแต่เด็ก โดยมักดูภาพยนตร์ วาดรูป พับกระดาษศึกษาหาข้อมูลเรื่องราวของจรวดและอวกาศมาตลอด

ต่อมาช่วงทำงานเป็นผู้สื่อข่าวที่ วอยซ์ออฟ อเมริกา ได้ศึกษาค้นคว้าเพื่อนำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับจรวด โดยมีโอกาสเข้าชมพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติแห่งชาติสมิธโซเนียน ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามที่ทำงานเป็นประจำ จึงมีความคิดอยากนำจรวดและอุปกรณ์เทคโนโลยีทางด้านอวกาศมาจัดแสดงในเมืองไทย และพยายามเขียนอีเมลถึงองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ นาซ่า หลายครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้รับการตอบรับ

วันเวลาผ่านไปจนกระทั่งกลับมาเมืองไทยและเข้าทำงานที่ เซ็นทรัลฯ จึงมีโอกาสพูดคุยกับ คริสตี้ เคนนี่ย์ อดีตเอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกา ประจำประเทศไทย ได้ช่วยประสานกับทาง นาซ่า ทำให้โอกาสนั้นเปิดอีกครั้ง เมื่อได้เดินทางไปชมศูนย์อวกาศและจรวดแห่งชาติสหรัฐ ที่เป็นหน่วยงานออกแบบสร้างยานอวกาศ เป็นหน่วยงานให้ความรู้ และดูแลพิพิธภัณฑ์ที่เก็บจรวจอุปกรณ์อวกาศที่เคยใช้ และมีโอกาสพูดคุยผู้บริหาร จนสามารถติดต่อนำเทคโนโลยีอวกาศจากสหรัฐฯ มาจัดแสดงในเมืองไทยเป็นครั้งแรก ซึ่งถือเป็นประเทศที่สองในทวีปเอเชียต่อจากญี่ปุ่น

ตลอดระยะเวลา 2 เดือนที่จัดแสดงนิทรรศการ ได้รับผลตอบรับดีมากมีผู้เข้าชมงานกว่า 2.5 แสนคน ทางนาซ่ารู้สึกพอใจอย่างมาก เจ้าหน้าที่ศูนย์อวกาศสหรัฐฯ ได้แนะนำทุนรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเปิดโอกาสให้เยาวชนแต่ละประเทศเดินทางไปศึกษาเรื่องจรวดและอุปกรณ์อวกาศ อย่างไรก็ตามเวลานั้นไม่มีผู้แทน จึงเป็นโอกาสและจุดเริ่มต้นให้กฤษณ์ได้เข้าทำงานในตำแหน่งผู้แทนศูนย์อวกาศและจรวดแห่งชาติสหรัฐ

ทั้งนี้ ปัจจุบันโครงการศึกษาจรวดและอุปกรณ์อวกาศอยู่ระหว่างเปิดรับสมัครเยาวชนเข้าร่วมเป็นรุ่นที่สอง

กฤษณ์ คุนผลิน ผู้แทนศูนย์อวกาศและจรวดแห่งชาติสหรัฐ

เด็กไทยมีโอกาส ทำงานด้านอวกาศ

ผู้แทนศูนย์อวกาศสหรัฐฯ บอกว่า เส้นทางสายตรงและง่ายสุดที่เด็กไทยจะได้ทำงานด้านอวกาศขณะนี้ คือ การสอบชิงทุนค้นพบนักบินอวกาศไทยที่กำลังเปิด เพราะเป็นโครงการความร่วมมือของหน่วยงานไทยและสหรัฐโดยตรง

ขณะที่เส้นทางการเป็นนักบินอวกาศสหรัฐ (นาซ่า) ผู้สมัครต้องเป็นสัญชาติอเมริกันเท่านั้น แต่ถึงอย่างไรคนไทยยังมีสิทธิ์ไปฐานะโครงการร่วม โดยผ่านทางสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ จิสด้า ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักดูแลคัดเลือกบุคลากรจากหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น ครู นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ให้ได้ขึ้นไปทดลองเทคโนโลยีใหม่ๆ

“เด็กไทยมีโอกาสขึ้นไป ในฐานะโครงการร่วม หากไปฐานะนักบิน ต้องเป็นตัวแทนประเทศ ซึ่งต้องมาจากกองทัพอากาศ ส่วนคนที่ไม่ใช่นักบิน ต้องจบสายวิทยาศาสตร์ ไปในฐานะนักอวกาศตัวแทนคนไทย ซึ่งอาจไปกับยานจีน รัสเซีย ญี่ปุ่น หรือเอกชน ก็เป็นไปได้”

อีกเส้นทางต้องจบสายวิทยาศาสตร์ระดับสูงสุดและต้องมีผลงานวิจัยดี จากนั้นต้องเข้าทำงานกับบริษัทผลิตเครื่องบินพาณิชย์โบอิงหรือบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านอวกาศ จากนั้นก็เดินตามขั้นตอนที่แต่ละหน่วยงานกำหนด

“เด็กไทยมีโอกาสอยู่แล้ว เพราะอนาคตประเทศไทย ถ้าไม่มีบุคลากรสายนี้ รับรองเราล้าหลังแน่”

เด็กไทยที่ได้ทุนค้นพบนักบินอวกาศไทย รุ่นแรก

ความรู้อวกาศ หัวใจหลักการสร้างคน-สร้างประเทศ

กฤษณ์ บอกว่าประโยชน์จากการสำรวจทำให้เกิดการค้นพบหลายอย่าง ทั้งแหล่งท่องเที่ยว ที่อยู่ แหล่งทำมาหากิน รวมถึงเทคโนโลยีขั้นสูง ที่ผ่านมาจึงเห็นว่าสิ่งประดิษฐ์จากเทคโนโลยีอวกาศถูกพัฒนานำออกมาใช้ อาทิ แพมเพิส เพราะนักบินอวกาศเข้าห้องน้ำไม่ได้ ระบบค้นหาเส้นทาง (จีพีเอส) สิ่งเหล่านี้เป็นเทคโนโลยีที่ได้ระหว่างพัฒนาซึ่งมีประโยชน์มหาศาล

นอกจากนี้การสำรวจและค้นพบยังทำให้ผู้ที่สนใจได้เปิดโลกจินตนาการ เพราะการเดินทางไปอวกาศต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูง บวกจินตนาการความกล้าหาญถึงสำเร็จ เหมือนภาพยนตร์เกี่ยวกับอวกาศเมื่อก่อน อาจเห็นเทคโนโลยีแปลกๆ แต่วันนี้เทคโนโลยีเหล่านั้นเกิดขึ้นจริงและถูกนำมาใช้มากมาย เช่น อากาศยานไร้คนขับ หรือ โดรน เพราะความรู้ด้านนี้เป็นสิ่งที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้กับสิ่งรอบตัว

ผู้แทนศูนย์อวกาศสหรัฐฯ มองว่าความพร้อมสถาบันการศึกษาไทยกับการสอนทางด้านอวกาศ ปัจจุบันมีความพร้อมมาก เห็นจากหลายสถาบันชื่อดังตั้งแต่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดสอนทางด้านนี้ เพราะอนาคตความรู้ด้านนี้จะเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยพัฒนาประเทศ เหมือนหลายประเทศ อาทิ นิวซีแลนด์ ญี่ปุ่น อินเดีย ที่หันมาทำธุรกิจด้านอวกาศมากขึ้น

มุ่งมั่น ไม่ท้อ อย่าคิดว่าทำไม่ได้ คือหนทางสำเร็จ

กฤษณ์ บอกว่าเหตุผลทำให้เด็กไทยเดินถึงฝัน ต้องรีบค้นหาความชอบให้เจอ จากนั้นพยายาม มุ่งมั่น ไม่ท้อ เริ่มเดินก้าวแรก กล้าสอบ กล้าสู้ เสียใจได้แต่อย่าท้อ และหาทางก้าวต่อไปจนกว่าทำตามฝันสำเร็จ

ผู้แทนศูนย์อวกาศสหรัฐฯ มองว่าอุปสรรคของเด็กไทยที่ไม่กล้าคิดเป็นนักบินอวกาศหรือทำงานนี้ เนื่องจากที่ผ่านมาคนไทยมักคิดว่าทำไม่ได้ จึงมองว่าแนวความคิดนี้ควรเลิกได้แล้ว เพราะความเป็นจริงคนไทยทำอะไรได้มากและต่างชาติก็พร้อมคุย ทุกอย่างต้องเริ่มจากความกล้า เพราะอุตสาหกรรมอวกาศไม่มีแค่นักบิน แต่มีนักอวกาศด้วยที่ยังต้องการบุคลากรจากหลายหลายอาชีพ สุดท้ายคนไทยต้องมีความรู้ความสามารถด้านนี้ ไม่มีไม่ได้

“ของแบบนี้มันไม่ใช่จินตนาการ ความฝันต่อไป แต่มันใกล้ตัวเราเข้ามากขึ้น ทุกวันนี้เทคโนโลยีอวกาศเข้าใกล้ตัวเราจนลืมคิดไป ขอแค่อย่าไปคิดว่า มันไกลตัว”

กฤษณ์ ทิ้งท้ายว่า ถ้าไม่พยายามก็ไม่ทันประเทศอื่น ส่วนการส่งเสริมพัฒนาเทคโนโลยีในแง่เศรษฐกิจ การวิจัยเป็นเรื่องสำคัญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องลงทุนและให้ความสนใจ

 

“กระบวนการยุติธรรมในไทยนั้นวิ่งเต้นได้” เปิดใจ วิสุทธิ์ วานิชบุตร หลังโพสต์ลาผ่านเฟซบุ๊ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 กันยายน 2560 เวลา 20:43 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/515466

"กระบวนการยุติธรรมในไทยนั้นวิ่งเต้นได้" เปิดใจ วิสุทธิ์ วานิชบุตร หลังโพสต์ลาผ่านเฟซบุ๊ก

โดย…โพสต์ทูเดย์ ออนไลน์

สิ้นเสียงประกาศจากสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องถอดยศตํารวจและเรียกคืนเครื่องราชอิสริยาภรณ์ พล.ต.ต. วิสุทธิ์ วานิชบุตร อดีตข้าราชการตํารวจได้ไม่นาน

เจ้าตัวก็โพสต์เฟซบุ๊กบอก “ขอลาก่อนเพื่อนๆ โพสต์สุดท้ายครับ”  จนเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วสังคม

ข้อความดังกล่าวมีความหมายและเบื้องหลังอย่างไร อดีตนายตำรวจฝีปากกล้าได้เปิดใจกับ “โพสต์ทูเดย์” อย่างละเอียด…

วิสุทธิ์ บอกว่า ไม่มีนัยยะหรือหวังผลอื่นใด เพียงแต่ต้องการแจ้งทุกคนอย่างตรงไปตรงมาว่า หลังจากนี้จะไม่ขอโพสต์วิพากษ์วิจารณ์ประเด็นสังคมหรือประเทศชาติอีกต่อไปแล้ว ขออยู่อย่างสงบเพราะเชื่อว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแสดงความคิดเห็นอีกแล้ว

“ไม่ได้น้อยใจ ท้อใจ เพียงแต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ พูดตรงๆ  ตั้งแต่เด็ก เชื่อมั่นด้วยความบริสุทธิ์และคิดอยู่เสมอว่าทำดี ย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว แต่ผ่านร้อนผ่านหนาวและอุปสรรคมาจนอายุ 64 ปี รู้เลยว่าไม่เป็นจริงอย่างที่คิด ลองมองสังคมนี้ดูสิ ทำดีได้ดีนั้นเราคิดผิด”

อดีตผู้กำกับการประจำสำนักงานตำรวจแห่งชาติ บอกว่า คนทำไม่ดีกับชาติบ้านเมืองหรือกระทำความผิด ปัจจุบันจำนวนมากยังคงอยู่ดีมีความสุข ร่ำรวย ที่เป็นเช่นนั้นเพราะ กระบวนการยุติธรรมในเมืองไทยนั้นวิ่งเต้นได้

“ความคิดที่เชื่อมาตลอดมันใช้ไม่ได้ในสังคมนี้ คนทำชั่วยังลอยหน้าลอยตา สบายใจ ซื้อรถคันละหลายสิบล้าน ไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะฉะนั้นความดีนั้นปกป้องตัวเราไม่ได้ ความยุติธรรมในชาติเราอยู่ที่การวิ่งเต้น ถ้าวิ่งเต้นก็รอด

“ถ้าวิ่งเต้นโอกาสรอดก็มีเยอะ ถ้าไม่วิ่งเต้นก็เสร็จ มีหลายคดีในเมืองไทยนั้นคนเริ่มต้น ตัวการรอด หมดอายุความบ้าง ไร้เจตนาบ้าง”

เจ้าของฉายามือปราบปลาปักเป้าบอกว่า สัจธรรมชีวิตนั้นเป็นเรื่องจริงของมนุษย์ มีลาภเสื่อมลาภมียศเสื่อมยศ อย่ายึดติด ทำดีไม่ต้องให้ใครชม รู้ตัวเองว่าเราทำดีก็เพียงพอแล้ว โดยความหวังสุดท้ายคืออยากเห็นประเทศไทยสว่างไสวเสียที

“ประเทศไทยมืดมานาน อยากให้ประเทศเปิดสว่างได้แล้ว ประชาชนจะได้มีความสุขอย่างแท้จริง”

ทั้งนี้กรณีตกเป็นผู้ต้องหาเกี่ยวกับคดีบุกรุกที่ดินทำเขื่อนขวางล่วงล้ำลำน้ำทำให้เสียสภาพ ศาลพิพากษาให้จำคุก 6 เดือน โดยไม่รอลงอาญา กระทั่งถูกถอดยศนั้น  วิสุทธิ์ บอกว่า “ผมยืนยันว่าไม่ได้บุกรุกที่ป่า มีโฉนด สร้างฝาย เมื่อกลัวเสียหายจึงนำหินมาเรียงตลิ่ง ไม่ได้บุกรกเส้นทางน้ำ แต่ลึกๆ มีอะไรที่พูดไม่ได้”

 

 

 

กปปส.ไม่มี “งูเห่า” พร้อมปฏิบัติตามมติประชาธิปัตย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

17 กันยายน 2560 เวลา 07:36 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/515262

กปปส.ไม่มี "งูเห่า" พร้อมปฏิบัติตามมติประชาธิปัตย์

โดย…ธนพล บางยี่ขัน

ท่ามกลางความคลุมเครือและเสียงวิจารณ์กับชนวนที่จะปลุกรอยร้าว ระหว่าง กปปส.และประชาธิปัตย์ ให้ขยายวงกว้างขึ้นจากนี้ โดยเฉพาะประเด็นแบ่งรับแบ่งสู้การตั้งพรรคการเมืองของ สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตเลขาธิการ กปปส.ด้วยวลี “อะไรที่จำเป็นต่อชาติบ้านเมืองผมจะทำทั้งนั้น”

ทั้งที่เคยประกาศไม่หวนกลับสู่ถนนการเมืองในระบบ กลายเป็นอีก “สัญญาณ” ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางการเมืองในอนาคต เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ อดีตโฆษก กปปส. และอดีต สส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ชี้แจงถึงประเด็นต่างๆ อย่างชัดเจน เริ่มตั้งแต่เรื่องตั้งพรรคของลุงกำนัน ประกาศชัดตั้งแต่ตอนชุมนุมว่า จะไม่เข้ามารับตำแหน่งทางการเมือง ดังนั้น คงไม่เห็นภาพลุงกำนันไปรับตำแหน่งหัวหน้า ผู้บริหารพรรค หรือ สส.สังกัดพรรคไหนอย่างแน่นอน

“เพียงแต่ว่าในฐานะคนไทยคนหนึ่งลุงกำนันสามารถโหวต สนับสนุน เชียร์พรรคไหน หรือบริจาคเงินให้ ในฐานะคนไทยคนหนึ่งสามารถทำได้ ผมคิดว่ากระแสข่าวการตั้งพรรค คนตีความหมายจากอะไร ถ้าหมายถึงแค่โหวตหรือเชียร์ก็คงไม่ใช่”

เอกนัฏ ยกตัวอย่างกรณี ไพบูลย์ นิติตะวัน เคยขึ้นเวที กปปส. ประกาศชัดจะตั้งพรรค ก็ไม่เกี่ยวข้องกับลุงกำนัน หรือในอนาคตอาจมีอีกเคยร่วมกับ กปปส. แล้วจะไปตั้งพรรค ลุงกำนันก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่ลุงกำนันจะเชียร์พรรคไหนก็ทำได้ในฐานะคนไทยคนหนึ่ง

ส่วนแกนนำ กปปส. คนอื่น หลังออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านระบอบทักษิณ และเรียกร้องการปฏิรูป แม้การเดินขบวนจบไปแล้ว แต่เป้าหมายปฏิรูปประเทศยังอยู่ หลายคนกลับไปทำหน้าที่ปกติ เป็นหมอ เป็นครู เป็นนักการเมือง ก็กลับไปทำหน้าที่ปกติ

“ในส่วนของแกนนำ กปปส.ก็กลับมาประชาธิปัตย์ เราแสดงท่าทีเปิดเผยว่ากลับประชาธิปัตย์ วันนี้ก็ทำงานให้พรรค หมายถึงเป็นนักการเมืองใต้สังกัดพรรคประชาธิปัตย์ และก็สวมจิตวิญญาณผลักดันการปฏิรูป”

สำหรับความเป็นไปได้ที่แกนนำ กปปส.อาจแตกออกมาตั้งพรรคใหม่นั้น เอกนัฏ ย้ำว่า “โอกาสที่จะเกิดขึ้นคงยาก แต่อะไรทั้งหลายแหล่ ถ้ามันยังไม่เกิดขึ้นก็เป็นไปได้ ถามว่าถ้าวันนี้ลุงกำนันจะไปตั้งพรรคจริง แกนนำจะกลับไปที่ประชาธิปัตย์ทำไม” 

ทั้ง กปปส.ตั้งใจที่จะสานต่อภารกิจของมวลมหาประชาชน ในเรื่องสำคัญ คือ การปฏิรูปการเมือง และหัวใจสำคัญ ก็คือ การปฏิรูปพรรคการเมือง ดังนั้น หนีไม่พ้นที่บทบาทส่วนหนึ่งต้องไปช่วยทำให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งทุกคนตั้งใจจะทำต่อให้สำเร็จ

ส่วนประเด็นความขัดแย้งระหว่าง กปปส.และสมาชิกประชาธิปัตย์บางส่วนอาจเป็นชนวนนำไปสู่การออกไปตั้งพรรคใหม่ได้หรือไม่นั้น เอกนัฏ ย้ำชัดว่า “ไม่นะครับ ความแตกต่างทางความคิดไม่ได้นำไปสู่ความขัดแย้งหรือความแตกแยกเสมอไป”

อย่างไรก็ดี ไม่ว่าจะเป็นใครที่อยู่ในพรรคก็แสดงความคิดเห็นได้ คนในพรรคส่วนหนึ่งอาจจะคิดอย่างหนึ่ง แต่คนอีกส่วนหนึ่งอาจคิดอีกอย่าง นั่นเป็นเรื่องปกติตามระบอบประชาธิปไตย ที่คนภายในองค์กรเดียวกันมีสิทธิคิดไม่เหมือนกัน แต่ในที่สุดในฐานะที่เป็นคนอยู่ภายใต้กฎระเบียบขององค์กร เมื่อพรรคมีมติอย่างไร ทุกคนก็ต้องเดินไปตามนั้น

“ก่อนที่จะมีมติทุกคนก็มีสิทธิที่จะแสดงความคิดเห็น จะแตกต่างอย่างไรก็แล้วแต่ ในที่สุดก็ต้องมีการพูดคุยโต้กัน ถึงจะมีบทสรุปออกมาอย่างใดอย่างหนึ่ง ใครที่อยู่ภายใต้สังกัดพรรคไม่ว่าจะเป็นพรรคไหนก็แล้วแต่ ผมเชื่อว่าเมื่อพรรคมีมติออกมาเป็นอย่างไร ก็ต้องเดินหน้าไปตามนั้น”

อีกทั้งความเป็นห่วงที่กลัวว่าอาจเป็นชนวนทำให้พรรคแตกเหมือนสมัยกลุ่ม 10 มกรานั้น ส่วนตัวคิดว่ายาก แกนนำทุกคนที่กลับเข้าไป ต้องย้อนกลับไปก่อนตอนออกมาจากพรรค มาชุมนุม ก็ไม่ได้ออกมาด้วยความรู้สึกที่ไม่ดี แต่ออกมาด้วยความรู้สึกที่ยังดีกับพรรค วันนี้ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกับพรรค

ทั้งนี้ เพียงแต่การต่อสู้ ซึมซับความคิดของมวลมหาประชาชน ภารกิจในฐานะนักการเมืองก็จะให้น้ำหนักกับการปฏิรูปประเทศมากกว่าคนอื่น ที่ไม่ได้ต่อสู้เรื่องนี้ก็เป็นธรรมดา ถือเป็นความท้าทายและความรับผิดชอบของแกนนำทุกคน ไม่ว่าจะทำอาชีพ หมอ ทนาย ครู นักการเมือง ก็ต้องผลักดันอุดมการณ์ของมวลมหาประชาชนต่อไป

ส่วนข้อกังวลเรื่องความเห็นต่างระหว่าง กปปส.และประชาธิปัตย์ อาจทำให้กลุ่ม “งูเห่า”แหกโผไปเลือกนายกรัฐมนตรีนอกมติพรรค เอกนัฏ รับว่า เป็นไปได้ยาก เพราะในทางปฏิบัติก่อนพรรคจะมีมติก็ต้องมีการถกเถียงเมื่อมีมติออกมาทุกคนเดินตามนั้น

“จะมีความคิดแตกต่างยังไงก็แล้วแต่ ชัดเจนสุดคือไม่ว่าจะคนของประชาธิปัตย์หรือ สส.ที่ออกมาชุมนุม เราก็เป็นประชาธิปัตย์ และที่เหมือนกันคือรักษาประโยชน์ประเทศมากที่สุด ตรงนี้เหนือจุดต่างของรายละเอียดว่าทำอย่างไรให้ประเทศมั่นคง ตอบโจทย์ ปราศจากทุจริตคอร์รัปชั่น

การแสดงท่าทีความเห็นที่แตกต่าง ก็ทำโดยรู้ตัว ไม่ได้ทำไปโดยเกลียดชัง ทุกคนรู้เป้าหมายสูงสุด เป้าหมายประเทศไทย ซึ่งมีทั้งเหมือนและแตกต่าง เมื่อคนมีเป้าหมายสูงสุดเดียว คือ ทำเพื่อประเทศ ก็จะสามารถหาทางเชื่อมกันได้ ซึ่งต้องมาคุยกันหนีไม่พ้นตรงนี้”

ประเด็นความพยายามเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์นั้น เอกนัฏ มองว่าไม่มีความพยายาม แต่มองในเรื่องการปฏิรูปโครงสร้าง เหมือนปฏิรูปตำรวจ ต่อให้เปลี่ยน ผบ.ตร.กี่คน แต่ไม่ปฏิรูปโครงสร้าง ปัญหาก็จะกลับมาสู่วังวนเดิม พรรคการเมืองก็เช่นกัน ที่อยากเห็นการปรับตัวตอบโจทย์ความต้องการของประชาชนไม่เกี่ยวกับการปรับหัวหน้าพรรค

เอกนัฏ กล่าวถึงทิศทางการทำงานปฏิรูปว่า ต้องให้เครดิต คสช. กรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่มีความตั้งใจ วางกรอบชัดเจนว่าต้องออกกฎหมายในระยะเวลาที่กำหนด ชัดเจนกว่ารัฐธรรมนูญทุกฉบับที่เคยมีมา แต่ก็อยากให้เกิดโดยเร็ว เช่น มาตรการทำให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง ป้องกันการทุจริตคอร์รัปชั่น การปฏิรูปตำรวจ

“จังหวะนี้เหมาะสม ง่ายที่สุดที่จะปฏิรูป เพราะ คสช.เขาไม่มีความจำเป็นต้องรักษาคะแนนนิยม ทำโดยคำนึงผลประโยชน์ประเทศชาติ ไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนเรื่องคะแนนนิยม อาจมีแรงกดดันจากองค์กรต่างประเทศ ในประเทศ ไม่ได้แรงสนับสนุน”

สำหรับการปฏิรูปการเมือง หัวใจสำคัญ คือ ต้องทำให้พรรคเป็นของประชาชนแท้จริงไม่ทำอะไรตามใจชอบ ทั้งส่งผู้สมัคร วางนโยบาย ต้องคำนึงถึงเจ้าของพรค ผู้สนับสนุน มีการหยั่งเสียง ทั้งการกำหนดตัวผู้สมัคร กำหนดนโยบายสำคัญ

“อีกด้านเจ้าของพรรคก็ต้องช่วยรับผิดชอบ ทำนุบำรุงให้พรรคเข้มแข็ง ไม่ต้องพึ่งอำนาจเงินนายทุน เป็นพรรคของประชาชนแท้จริง จะทำให้ระบบการเมืองเข้มแข็ง ส่วนกฎระเบียบจะทำให้เข้มแข็งขึ้นก็ทำไป แม้มีบางฝ่ายมองว่าอาจเป็นปัญหา แต่ถ้ามองเรื่องเล็กเป็นปัญหาก็ไม่ต้องปฏิรูป เพราะการปฏิรูปคือการเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่ ต้องฝืนใจหรือฝืนที่เราเคยทำมาดั้งเดิมอยู่แล้ว”

กับคำถามว่าจังหวะที่คู่แข่งกำลังอ่อนแอ แต่ประชาธิปัตย์ก็ยังไม่สามารถสร้างคะแนนให้ตัวเองได้ เอกนัฏ กล่าวว่า ไม่ควรมองว่าตอนนี้เป็นโอกาสความได้เปรียบเสียเปรียบ การเมืองเป็นเรื่องที่ประเมินยาก อีกปีหนึ่งอะไรก็เกิดขึ้นได้ ฝนจะตกแดดจะออกแต่งตัวให้หล่อ ทำตัวให้ดีไว้ก่อน ถึงเวลาประชาชนจะตัดสินเอง

“ประชาชนวันนี้มีความคิดก้าวหน้า บางทีพรรคบางพรรค คนบางคนยังยึดติดกับแบบเดิมๆ ก็เป็นความท้าทาย สถานการณ์จะบีบบังคับให้เกิดการปรับตัวให้ทันประชาชน ใครปรับตัวได้ทันก็จะเป็นที่ต้องการของประชาชน”

 

“ชาติหน้าก็ไม่มีต๋อง2 ถ้าไทยไม่เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องสนุกเกอร์” ต๋อง ศิษย์ฉ่อย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 กันยายน 2560 เวลา 19:19 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/515029

"ชาติหน้าก็ไม่มีต๋อง2 ถ้าไทยไม่เปลี่ยนวิธีคิดเรื่องสนุกเกอร์" ต๋อง ศิษย์ฉ่อย

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

บนถนนลาดพร้าวอันแสนวุ่นวาย ระหว่างซอย 85 และ 87 “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” หรือ รัชพล ภู่โอบอ้อม นักสนุกเกอร์ระดับตำนานของเมืองไทย กำลังทักทายต้อนรับลูกค้าอย่างเป็นกันเอง ภายใน “เวิลด์คลาส สนุกเกอร์ คลับ บาย เจมส์ วัฒนา” คลับสนุกเกอร์แห่งใหม่ใจกลางเมืองที่เขาและหุ้นส่วนร่วมกันลงทุนพัฒนาขึ้น

อดีตนักสอยคิวมือวางอันดับ 3 ของโลก เปิดธุรกิจดังกล่าวได้เพียงแค่ 2 สัปดาห์และเรียกเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปทั่วสังคม จากความเข้าใจผิดเรื่องภาพหญิงสาวเซ็กซี่จำนวนมากภายในคลับ ซึ่งตอนหลัง ต๋อง อธิบายว่าเป็นเพียงกิจกรรมแคสติ้งนางแบบสาว ซึ่งมาขอใช้สถานที่เท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสนุกเกอร์

ในฐานะตำนานนักสนุกเกอร์ การเปิด เวิลด์คลาส สนุกเกอร์ คลับฯ ไม่ได้หวังผลเพียงแค่ผลประโยชน์ด้านธุรกิจ แต่เกี่ยวเนื่องกับการพัฒนาวงการสนุกเกอร์ในเมืองไทย

เจ้าตัวหวังให้สถานที่แห่งนี้เปลี่ยนแปลงทัศนคติและภาพลบที่มีต่อสนุกเกอร์รวมถึงเรียกร้องไปยังผู้มีอำนาจอีกครั้งถึงการการนำเอากีฬาชนิดนี้ออกจาก พ.ร.บ.การพนัน ที่ถูกล็อคกลอนขังมาอย่างยาวนานถึง 82 ปี

เปลี่ยนภาพลักษณ์วงการสนุกเกอร์

ต๋องเติบโตในครอบครัวสนุกเกอร์อย่างแท้จริง คุณแม่เปิดกิจการโต๊ะสนุกเกอร์ ย่านคลองเตย ขณะที่คุณพ่อก็เป็นนักสอยคิวระดับมืออาชีพเจ้าของฉายา “ฉ่อย ซู่ซ่าส์”

จากนักสนุกเกอร์มือวางอันดับ 3 ของโลก ผ่านร้อนผ่านหนาวประสบการณ์มากมาย วันนี้ต๋องตัดสินใจเปิดธุรกิจโต๊ะสนุกเกอร์อีกครั้ง ซึ่งลงทุนไปกว่า 13 ล้านบาท โดยภายในออกแบบและตกแต่งให้มีบรรยากาศโอ่โถงแสงไฟสว่างและมีเพดานสูงโปร่งเพื่อต้องการให้ผู้มาเยือนสบายตาสบายใจมากที่สุดพร้อมกับแยกพื้นที่สูบบุหรี่ออกไปด้านข้างอย่างชัดเจนเพื่อให้อากาศถ่ายเทสะดวก

“เวิลด์คลาส สนุกเกอร์ คลับเป็นความฝันอีกอย่างหนึ่งของผมอยากให้มีพื้นที่ดีๆ สำหรับวงการสนุกเกอร์ เร็วๆ นี้จะมีการจัดการแข่งขัน ผมต้องการทำเพื่อสนับสนุนเด็กรุ่นใหม่และวงการสนุกเกอร์ด้วย ไม่ใช่แค่เรื่องธุรกิจ” ยอดนักสอยคิวโลกกล่าว ก่อนจะมองไปรอบๆ และเอ่ยปากว่า

“ฟ้ากับเหว ตรงกันข้าม คนละโลกกับสมัยที่ผมหัดเล่นแอร์ก็ไม่มี ไฟก็ไม่ดี ลูกก็ไม่ได้เรื่อง โต๊ะก็ไม่ได้เรื่อง ยังเล่นกันมาได้ ถ้าสมัยก่อนผมมีแบบนี้ แทงตายเลย”

สำหรับค่าบริการที่ World Class Snooker Club By James Wattanaมีรายละเอียดเบื้องต้นดังนี้โต๊ะ Star ชั่วโมงละ 260 บาท, โต๊ะ Riley ชั่วโมงละ 185 บาท , โต๊ะ Star แข่งขัน ชั่วโมงละ 350 บาทและห้อง VIP ชั่วโมงละ 400 บาท

รัชพล บอกว่า ลงทุนและให้ความสำคัญเรื่องรายละเอียดอย่างมาก โดยเฉพาะโต๊ะสนุ๊กทั้งแบบ Star และ Riley เพื่อให้ผู้เล่นเกิดความประทับใจมากที่สุด

“ผมกำชับให้น้องๆ ปัดและรีดโต๊ะวันละ 2-3 รอบ ล้างลูกสนุกเกอร์ทำสภาพให้เหมือนแข่งขันมากที่สุดพูดง่ายๆ ว่าคุณเดินเข้ามาเล่นโต๊ะไหนก็ได้ ไม่ต้องมากังวลเรื่องโต๊ะ รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ คือสิ่งสำคัญที่จะมัดใจลูกค้าได้”

เปลี่ยนวิธีคิด เลิกมองเป็นการพนันสู่การพัฒนา

ปัจจุบันสนุกเกอร์และบิลเลียดถูกระบุอยู่ในกีฬาพนันตาม พ.ร.บ.การพนัน พ.ศ. 2478 แม้ที่ผ่านจะมีความพยายามนำกีฬาทั้งสองชนิดออกจาก พ.ร.บ. แต่ก็ไม่สำเร็จ โดย 82 ปีที่ผ่านมา เยาวชนที่อายุต่ำกว่า 18 ปี ไม่สามารถฝึกซ้อมหรือเล่นกีฬาสนุกเกอร์ได้อย่างเปิดเผย เพราะถูกมองว่าเป็นแหล่งมั่วสุมและมีการเล่นพนัน

ต๋อง ศิษย์ฉ่อย ที่คนต่างแดนเรียกว่า“เจมส์ วัฒนา”บอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่วิธีคิดและวิธีมอง ในเมืองไทยสนุกเกอร์เปรียบเสมือนเป็นกีฬาลูกเมียน้อยที่ถูกโจมตีในแง่ของการพนันจนส่งผลกระทบต่อการพัฒนามาเสมอ

“อะไรบ้างที่ไม่มีการพนันในเมืองไทย อย่าให้ได้เอ่ยเลย ถ้ามองสนุกเกอร์เป็นกีฬาพนัน แล้วสนามมวยลุมพินีนั้นเชียร์กันเล่นๆ เหรอ อยู่ที่วิธีคิด เราจะมองเป็นเกมพนันหรือเป็นกีฬาเพื่อการพัฒนา

“สนุกเกอร์คือการพนัน แต่วงการมวย ฟุตบอล คนกลับไม่พูดแบบนั้น บอกให้ดูแลและศึกษาเรียนรู้เวลามีเรื่องเลวร้าย โจมตีสนุกเกอร์บอกเป็นแหล่งพนัน เป็นสถานที่มั่วสุมไปซะหมด ทั้งที่จริงๆ แล้วมันมั่วสุมได้ทุกที่”

สำหรับกีฬาสนุกเกอร์ และบิลเลียดแม้จะยังคงถูกควบคุมโดย พ.ร.บ.การพนัน ขณะเดียวกันก็อยู่ใน พ.ร.บ.การกีฬาแห่งประเทศไทย ซึ่งการอยู่ภายใต้กฎหมาย 2 ฉบับจึงเกิดความสับสน และนำไปสู่กระบวนการทุจริตคอรัปชั่นของเจ้าหน้าที่รัฐ

“มันเป็นปัญหามรดกตกทอด” อดีตนักสนุกเกอร์มืออันดับ 3 ของโลกบอก โดยมองว่า เจ้าหน้าที่รัฐหรือผู้มีอำนาจกลุ่มหนึ่งอาจได้ประโยชน์จากการไม่ให้สนุกเกอร์ออกจาก พ.ร.บ.การพนัน

“เป็นเรื่องน่าเบื่อ เมืองไทยความคิดยังไปไม่ถึงไหน เป็นตัวฉุดรั้งการพัฒนา ประเทศจีน อังกฤษ อเมริกา เด็กเล่นตั้งแต่อายุ 3 ขวบ ของเราต่ำกว่า 18 ปีห้ามเข้า อยากได้ต๋องสอง ต๋องสาม ต๋องสี่ แต่ไปห้ามเขาแล้วเมื่อไหร่จะเล่นเป็น รอไปเหอะ 10 ชาติก็ไม่มีหรอก”

ประเทศจีนมีคนรุ่นใหม่ประมาณ 4-5 ร้อยคนรอเทิร์นโปรเพราะวิธีคิดเขามองเป็นกีฬา แต่เราไม่ใช่ รัฐบาลไม่ให้ความช่วยเหลือ แต่อยากได้ฮีโร่ อยากกินข้าวกับฮีโร่ แต่ไม่มีการสนับสนุน ไม่มีแนวทางชัดเจนและเดินไปอย่างมั่นคง ยังโชคดีบ้านเรามีพอเอกชนเข้ามาช่วยจัดการแข่งขันให้บ้าง

ต๋อง เอ่ยปากด้วยสีหน้าเบื่อหน่ายว่า สนุกเกอร์พิสูจน์แล้วว่าสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยและสร้างอาชีพให้กับผู้เล่นได้ แต่กฎหมายกลับไม่เคยเดินหน้าเปลี่ยนแปลง

“เราไม่ได้ค้ายาเสพติด ค้าประเวณี ผมพูดมาตลอด 20 กว่าปี เมืองไทยมันอยู่ยากเพราะคนมีความคิดล้าหลัง น่าน้อยใจเหมือนกันนะ ไม่มีหรอกฮีโร่คนต่อไป ตราบใดที่ไม่ผ่าน พ.ร.บ.การพนัน”

เขาเน้นย้ำว่า วิธีคิดเป็นเรื่องสำคัญ มนุษย์จะเป็นจะตายอยู่ที่วิธีคิดมุมมองในการพัฒนาตนเองและส่วนรวม

“ถ้าคุณยังมีวิธีคิดเดิมๆ คอรัปชั่น ปิดกั้น ระบบบ่าวไพร่ อุปถัมภ์นำไปสู่วิธีหากินของเจ้าหน้าที่รัฐ ประเทศเราไม่ไปไหน”

อยากเป็นนักสนุกเกอร์ต้องใส่เกินร้อย

คำแนะนำสำหรับเยาวชนผู้อยากเป็นนักกีฬาจาก “ต๋อง ศิษย์ฉ่อย” ตำนานนักสนุกเกอร์ชาวไทย

เขา บอกว่า ปัจจัยแห่งความสำเร็จของนักสนุกเกอร์นั้นมีองค์ประกอบหลายอย่าง แต่ที่แน่นอนคือ ความอดทน ความเพียร ความมุ่งมั่น ความมีวินัย เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ เมื่อบวกรวมกับพรแสวงและพรสวรรค์ด้วยแล้ว ความสำเร็จไม่ไกลเกินเอื้อม

“เมื่อก่อนผมซ้อมวันละ 12 ชั่วโมง 1 ปีเต็มๆ อดทนต่อความพ่ายแพ้ อดทนสภาพแวดล้อมต่างถิ่น ต้องปรับตัว บางคนถามว่าผมอยู่ได้ยังไงที่อังกฤษ 30 กว่าปี ไปๆ มาๆ นั่นแหละความอดทน สำหรับผมความอนทนมาอันดับหนึ่ง จะเป็นมืออาชีพประสบความสำเร็จ ต้องอดทน มุ่งมั่น ทะเยอทะยานหิวกระหายที่อยากจะได้แชมป์มันต้องมีมากกว่าคนทั่วไป”

ต๋อง ศิษย์ฉ่อยปลุกพลังให้กับเยาวชนต่อไปว่า ใครที่จะเข้ามาวงการกีฬา ต้องมีความรักและวินัยที่เกิดจากตัวเอง ไม่ใช่เพราะถูกคนรอบข้างสั่งหรือบังคับ ที่สำคัญเข้ามาแล้วต้องใส่เต็มที่ จัดเต็มเพื่อความสำเร็จอย่างแท้จริง

“ทำอะไรก็ตาม ถ้าไม่มีความอดทนต่ออุปสรรค ต่อคำสบประมาท คำดูถูก ก็มีแต่พ่ายแพ้ คุณต้องมีไฟท์ติ้งสปิริตอยู่ในตัว อยู่บนถนนนักสู้ มีร่างกายครบ 32 เท่ากัน เราจะไปกลัวอะไร”

ปัจจุบันในวัย 47 ปี ขวัญใจชาวไทยยังคงแข่งขันสนุกเกอร์ระดับอาชีพและถือเป็นช่วงโค้งสุดท้ายในอาชีพนักสอยคิว ขณะที่ในบทบาทอื่นๆ ของเขาคือการมอบความรู้แก่เด็กรุ่นใหม่ และดูแลกิจการสนุกเกอร์คลับโดยเตรียมมองหาพื้นที่ขยายกิจการต่อไป

“มนุษย์เราถูกสร้างมาให้ถูกลืม สิ่งที่แน่นอนคือความตาย ก่อนที่เราจะตาย ทำยังไงให้เราตายอย่างน่าจดจำ ฝากอะไรทิ้งไว้ให้กับสังคม” ตำนานสนุกเกอร์ชาวไทยบอกทิ้งท้าย

****************************

หมายเหตุ – ต๋อง ศิษย์ฉ่อย อยู่ระหว่างจัดทำหนังสือประวัติส่วนตัวในชื่อ “ตำนาน ต๋องศิษย์ฉ่อย” โดยเปิด pre-order ในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ สอบถามเเละสั่งจองทางแฟนเพจ Tong Snooker Club www.facebook.com/THAITORNADOFC/

 

 

“ชีวิตหลังกรงขัง เมื่อคนดังอยู่ในคุก ที่นี่ไม่มีอภิสิทธิ์ชน” กอบเกียรติ กสิวิวัฒน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

13 กันยายน 2560 เวลา 18:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/514586

"ชีวิตหลังกรงขัง เมื่อคนดังอยู่ในคุก ที่นี่ไม่มีอภิสิทธิ์ชน" กอบเกียรติ กสิวิวัฒน์

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

สังคมไทยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หากทำผิดไม่ว่าเป็นประชาชน นักการเมือง นักธุรกิจ ผู้มีชื่อเสียง หลังถูกศาลตัดสินลงโทษจำคุก (ไม่นับรวมหลายคนที่หลบหนีคดีออกนอกประเทศ) ต้องถูกนำตัวเข้าไปพันธนาการอยู่เบื้องหลังกำแพงสูง ที่มองเห็นแต่ฟ้าและเรือนนอน จนกว่าถึงวันพ้นโทษ

เรือนจำ หรือ คุก จึงเปรียบเสมือนแดนสนธยาที่ไม่มีใครอยากเข้าไปสัมผัส แต่ที่ผ่านมามักได้ยินเรื่องราวภายใน จากผู้ที่เคยเข้าไปใช้ชีวิตออกมาเล่าเท่านั้น ว่าชีวิตเหมือนนกที่ถูกขัง ทำให้หลายครั้งพบว่าเมื่อผู้มีชื่อเสียงเข้าไป วันต่อไปข่าวจะออกว่า บุคคลเหล่านั้นมีอาการเครียด แต่หลังจากนั้นชีวิตบุคคลที่ถูกเรียกว่า คนคุก ไม่มีใครรับรู้ชีวิตอีกเลย

โพสต์ทูเดย์ได้พูดคุยกับ กอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ผู้ทำงานแวดวงกรมคุกมานานกว่า 36 ปี และกำลังเกษียณอายุราชการ 30 ก.ย.นี้ จะมาไขข้อข้องใจ การใช้ชีวิตของนักโทษหลังกำแพงสูงว่าเป็นอย่างไร ทำไมนักโทษใหม่ต้องมีอาการเครียด บางคนยอมเสี่ยงหนีออกนอกประเทศ เพื่อไม่ต้องการติดคุก และทางแก้ปัญหาคนล้นคุกในอนาคตควรทำอย่างไร

เปิดชีวิต 24 ชั่วโมง ตั้งแต่วันแรกถึงวันพ้นโทษ

กรมราชทัณฑ์ เป็นหน่วยงานภายใต้สังกัดกระทรวงยุติธรรม ทำหน้าที่ดูแลเรือนจำทั้งหมด 143 แห่ง ปัจจุบันมีนักโทษในความดูแลประมาณ 2.9 แสนคน

กอบเกียรติ เล่าว่าวันแรกหลังถูกศาลตัดสินจำคุก เมื่อนักโทษถูกนำตัวเข้าเรือนจำ ทุกคนต้องทำประวัติ พิมพ์ลายนิ้วมือ ตรวจโรค รับของใช้ (เสื้อ 3 ชุด และของใช้จำเป็น) จากนั้นจะถูกส่งไปอยู่แดนแรกรับ เพื่อเตรียมเข้าสู่ขั้นตอนจำแนกลักษณะ ซึ่งจะทำกิจกรรมฝึกระเบียบวินัย อบรมพัฒนาจิตใจ แก้ไขข้อบกพร่องต่างๆ 2 – 4 สัปดาห์ ตามโปรแกรม ก่อนแยกไปอยู่และฝึกอาชีพตามแดน โดยเกณฑ์พิจารณาดูจากความสามารถ ความประสงค์นักโทษ เช่น แดนช่างไม้ แดนช่างเชื่อม

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า เป็นเรื่องปกติเมื่อนักโทษเข้าใหม่ ต้องมีปัญหาสภาพจิตใจ เช่นเดียวกับคนที่พลัดบ้านไปเรียนต่างประเทศ แต่คนในคุกความรู้สึกอาจมากกว่านั้น เพราะไม่สามารถกลับบ้านได้ตามต้องการ รอถึงวันพ้นโทษ แต่การดูแลสภาพจิตใจนักโทษใหม่ เรือนจำจะมีนักสังคมสงเคราะห์ นักจิตวิทยา คอยแลดูนักโทษกรณีที่อาการหนัก แต่ถึงอย่างไรคิดว่า เมื่อเข้ามา ผู้ต้องขังทุกคนต้องใช้เวลาปรับตัวกับสภาพแวดล้อมสักระยะประมาณ 7-10 วัน ถึงจะชินสังคมใหม่

ขณะที่กิจวัตรผู้ต้องขัง ตื่น 6 โมงเช้า เพื่อลงจากเรือนนอนมาอาบน้ำ ทำกิจวัตรส่วนตัว เสร็จแล้วเข้าแถวเคารพธงชาติ กินข้าวเช้า หลังจากนั้นจะแยกไปฝึกตามแผนก พอเวลาเที่ยวก็มากินข้าว บ่ายทำกิจกรรมต่อ บ่าย 3 ก็เลิกทำงาน จากนั้นให้ไปอาบน้ำ กินข้าว เตรียมตัวขึ้นโรงนอน 5 โมงเย็น ส่วนการดูแลผู้ต้องขังในเรือนนอน แต่ละห้องขังจะมีหัวหน้าห้องคอยดูแล หากมีปัญหาอะไร จะเป่านกหวีดเรียกผู้คุม ประกอบกับดูแลด้วยกล้องวงจรปิดเพิ่มเติม

คนคุกไม่มีอภิสิทธิ์ และไม่ได้ถูกแบ่งตามฐานะเศรษฐกิจ-สังคม

นักโทษคนดัง นักการเมือง ส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ 60-70 ปี เมื่อเข้ามาจะถูกจัดให้อยู่แดนคนชรา อาจไม่ต้องฝึกหรือทำงานหนักเหมือนวัยหนุ่ม โดยกิจกรรมหลักเพื่อทำให้ผ่อนคลาย เช่น ฝึกสมาธิ ฝึกธรรม แต่หากอยู่ช่วงวัยปกติ ยังไงก็ต้องทำเหมือนคนอื่น คือ ฝึกอาชีพความถนัด ตามความเหมาะสม

“ถามว่านักโทษมีอภิสิทธิ์ไหม อภิสิทธิ์ มันต้องพูดเป็นกรณีไป ถ้าหากคนแก่ คนป่วย ไม่ต้องทำงาน ถือว่ามีอภิสิทธิ์ไหม เราทำตามความเหมาะสม คำว่า อภิสทธิ์ยังไง เราไม่ให้ใคร”

“โฟกัสแต่ คนดัง นักการเมือง แต่มันต้องดูว่า เค้าทำผิดอะไร เค้ามีความสามารถอย่างไรที่จะทำงานได้ ซึ่งเราไม่ได้ดูตามฐานะเศรษฐกิจ สังคม”

อธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวว่า รวย ดัง มีผลไหมหรือไม่ในเรือนจำนั้น ที่จริงหากเอาเงินเข้าไปได้ ก็มี ดังนั้นต้องมีมาตรการจำกัดการใช้เงิน โดยมีกฎห้ามนำเงินสดเข้าเรือนจำ จะอนุญาตให้นักโทษใช้เงินวันละไม่เกิน 300 บาท แต่ละคนมีบัญชีเงินเก็บไม่เกิน 9 พันบาท ไว้ซื้อของจำเป็น เช่น กาแฟ ขนม นม บุหรี่ สิ่งอำนวยความสะดวกพื้นฐาน โดยการซื้อสินค้า นักโทษไม่มีสิทธิ์ถือเงิน แต่ใช้วิธีตัดผ่านบัญชี

กอบเกียรติ ยอมรับว่าปัญหาเรื่องผู้คุมรับเงินอาจมีบ้าง ฉะนั้นการแก้ปัญหาจึงต้องมีระบบตรวจสอบ ที่ทำคู่ไปกับสร้างวัฒนธรรมในองค์กร ซึ่งเป็นเรื่องระยะยาว ไม่เช่นนั้นก็อาจมีผู้ต้องขังให้ญาตินำเงินไปจ่ายเงินข้างนอก

 

สังคมช่วยตรวจสอบ-ปลูกฝังจริยธรรม ทางแก้ปัญหาอาชญากรรม ฉ้อโกง

กอบเกียรติ มองว่าการแก้ปัญหาอาชญากรรม ฉ้อโกงในสังคม ควรเริ่มจากสถาบันสังคมที่ต้องช่วยกันแทรกแซง ตรวจสอบ แต่ถ้าหากมีการทำผิด และคนในสังคมยังมองเป็นเรื่องปกติ ยังคงมีคนไม่ทำตามกฎระเบียบอยู่ แต่ถ้าหากทำผิดแล้วจับ ก็จะไม่มีคนกล้าทำผิด

“ไม่ว่าโทษแรง ค่อย มันไม่สำคัญ แต่มันสำคัญว่า การตอบสนองกับการกระทำความผิด ช้าหรือเร็ว ฉะนั้นการแทรกแซงตรวจสอบของสังคม เป็นเรื่องสำคัญ”

การแก้ปัญหาต่างๆ ในสังคมต้องเริ่มจากการสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง อย่ามองแค่ปลายเหตุ แต่ต้องดูต้นเหตุ ปัญหาใหญ่และสภาพสังคมโดยรวม หากยังยกย่อง ยกมือไหว้ คนกระทำความผิดที่สร้างอำนาจทางการเมือง เศรษฐกิจได้ ค่านิยมของสังคมจะไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นต้องเริ่มสร้างค่านิยมวัฒนธรรมการตรวจสอบ ซึ่งอาจต้องใช้เวลา

“สังคมมันต้องแซงชั่นกันเร็ว ไม่ต้องไปขู่คนอื่น เรานั่นแหละ ต้องช่วยกัน มัวคิดว่า ทำผิดยังไงก็รอด คนทำผิดเยอะแยะ ไม่เห็นถูกจับเลย ก็ยังมีปัญหาอยู่ ฉะนั้นสังคมต้องช่วยกันตรวจสอบ แซงชั่น”

กอบเกียรติ มองว่า ผู้ต้องขังในอนาคตยังไงต้องเพิ่มขึ้น หากเอาเรือนจำเป็นตัวแก้ปัญหาอย่างเดียว ซึ่งอาจใช้ไม่ได้อีกต่อไป ต้องปรับ เช่น คดียาเสพติดผู้ต้องหาโทษน้อย ควรพิจารณาว่า สมควรนำเข้าเรือนจำ หรือควรใช้มาตรการอื่นทดแทนการจำคุก แต่ถ้าปล่อยเป็นเช่นนี้ จำนวนนักโทษก็จะเพิ่มขึ้นทุกปี

กอบเกียรติ ปัจจุบันเหลืออายุรับราชการอีกไม่ถึงเดือน หลังจากทำงานเส้นทางเติบโตในกรมคุก มาตลอดระยะเวลา 36 ปี หลังเข้ารับราชการเมื่อปี พ.ศ. 2524 ตำแหน่งนักทัณฑวิทยา 3 ทำงานด้านวิชาการ ตลอดชีวิตการทำงานช่วงหนักสุดของชีวิต คือการกวาดล้างปัญหายาเสพติดและโทรศัพท์มือถือในเรือนจำ ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงตกต่ำที่สุดของกรม แต่สุดท้ายมุ่งมั่นร่วมมือกับบุคลากรในองค์กร แก้ไขปัญหานั้นได้สำเร็จ

กอบเกียรติ เผยว่าหลักการทำงานตลอดอายุรับราชการ ยึดว่าต้องตั้งใจ จริงจังทุกเรื่อง ทั้งงานและเพื่อน โดยนำองค์กรมาเป็นหัวใจสำคัญ “ถ้าคุณรักองค์กรจริง ต้องบริหารทุกอย่าง โดยใช้องค์กรเป็นตัวตั้ง”

ณ วันนี้ เหลือเวลาอีกไม่กี่วัน กอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ จะพ้นจากตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และยุติชีวิตข้าราชการที่เดินมา 36 ปี แต่วันนี้เขายังทำงานเป็นปกติ ไม่ลา ยังคงทำงานเต็มที่และคิดจะทำถึงวันสุดท้าย “ใกล้เกษียณ ก็ยังทำงานอยู่ งานยังมีทุกวัน ยังทำอยู่ จนกว่าจะหมดเวลาการทำงาน เมื่อถึงวันนั้น ก็หยุด จะให้ไปพักผ่อนช่วงใกล้เกษียณนั้น ทำไม่ได้”

 

มือประสานสิบทิศ ปลัดฯจิรชัยนำทัพปฏิรูปสื่อยุคเปลี่ยนผ่าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 กันยายน 2560 เวลา 20:54 น…. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/514183

มือประสานสิบทิศ ปลัดฯจิรชัยนำทัพปฏิรูปสื่อยุคเปลี่ยนผ่าน

โดย…ปริญญา ชูเลขา

ใครจะเชื่อจากหัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) มาวันนี้สามารถก้าวขึ้นเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปสื่อในยุค “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มอบความไว้วางใจแต่งตั้ง “จิรชัย มูลทองโร่ย” ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) เป็นแม่ทัพปฏิรูปสื่อ ด้วยบุคลิกไม่ถือเนื้อถือตัวจึงเป็นมิตรกับสื่อมวลชนสามารถประสานและให้ข่าวได้ตรงประเด็นที่สื่อต้องการ

ยิ่งในช่วงที่ “บิ๊กแอ๊ว” ชื่อเล่นที่พี่ๆ น้องๆ สื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาลเรียกขาน เพราะเข้ามาทำงานรับเผือกร้อนทางการเมือง โดยเฉพาะกล้าแอ่นอกรับเป็นประธานสอบข้อเท็จจริงโครงการทุจริตรับจำนำข้าว “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ได้สร้างผลงานอันโดดเด่นเข้าตารัฐบาล จนชื่อเสียงกระฉ่อนเลื่องลือให้เป็น “มือสอบเผือกร้อน” รัฐมนตรี หรือรองนายกรัฐมนตรี หลายคนเรียกใช้บริการเพราะเห็นว่าเป็นมือประสานสิบทิศ

“บิ๊กแอ๊ว” เปิดใจให้ฟังว่า ไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยว่าจะมาทำงานเป็นประธานปฏิรูปสื่อ เพราะไม่เคยมีใครมาทาบทามมาก่อนเลย เพิ่งจะรู้ตัวเมื่อวันที่มีคำสั่งประกาศแต่งตั้ง ยังคิดอยู่ในใจเหมือนกันว่า เพราะเหตุใดจึงได้รับความไว้วางใจจากนายกรัฐมนตรี และท่านวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้โอกาสมาทำงานตรงนี้

“ผมก็ยังงงเหมือนกัน นึกอย่างไรแต่งตั้งผม แต่เท่าที่ผมทราบคงเห็นว่าผมเป็นคนอะลุ่มอล่วยประสานงานได้ดี เป็นมิตรกับสื่อ สามารถคุยได้หมดกับคนทุกระดับ มอบหมายงานอะไรมาก็ประสานงานได้หมด ซึ่งจริงๆ แล้วผมมีประสบการณ์งานสื่อและประชา สัมพันธ์มานานแล้ว เพราะเคยทำงานประสานสื่อมาตั้งแต่อยู่ สคบ. ออกเป็นข่าวอยู่บ่อยๆ จึงมีความสัมพันธ์ที่ดีกับสื่อเรื่อยมา”

จิรชัย กล่าวว่า ตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งได้รับมอบนโยบายสำคัญจากนายกรัฐมนตรี คือ คณะกรรมการชุดนี้ต้องไม่ใช่ไปก่อสร้างอะไรขึ้นมาใหม่ เพราะข้อเสนอเรื่องการปฏิรูปสื่อมีอยู่มากมายหลายมิติอยู่แล้ว โดยให้นำข้อเสนอที่มีอยู่แล้วพร้อมกับต้องยึดโยงซึ่งกันและกันตั้งแต่ยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี แผนปฏิรูปประเทศ แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 รวมถึงข้อเสนอแนะด้านปฏิรูปสื่อของสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จากนั้นนำวิเคราะห์สังเคราะห์แล้วนำมาขยายผลต่อเพื่อกำหนดเป็นแผนงานว่าปีไหนควรจะดำเนินการอะไรอย่างไรบ้าง

สำหรับกรอบการทำงาน รองนายกรัฐมนตรีวิษณุ กำชับไว้ชัดเจนว่า ภายใน 3 เดือน ต้องได้ข้อสรุปจากข้อเสนอที่มีการศึกษากันมาอยู่แล้ว ก็ให้ทางคณะทำงานปฏิรูปสื่อจัดทำเป็นข้อเสนอ อาทิ จะแก้กฎหมาย หรือทำอะไรบ้างให้ไปคิดกันมาให้ตกผลึก แต่สิ่งสำคัญที่นายกรัฐมนตรีเน้นย้ำ คือ ต้องไม่ไปสร้างใหม่ ขอให้นำข้อเสนอที่มีการศึกษามาแล้วไม่ว่า สปช. สปท. หรือข้อเสนอแนะจากองค์กรสื่อนำมาประมวล จากนั้นจะให้มีการเปิดรับฟังความคิดเห็น เพราะสื่อมีมิติในการทำงานหลากหลาย อาทิ สื่อภาครัฐ สื่อที่เป็นรัฐวิสาหกิจ หรือสื่อภาคเอกชน ทั้งวิทยุ โทรทัศน์ หรือสื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงสื่อสังคมออนไลน์ หรือโซเชียลมีเดีย มารวมอยู่ด้วย

นอกจากนี้ คณะกรรมการปฏิรูปสื่อจะมีการหารือถึงการกำกับติดตาม หรือกำหนดกรอบกติกาและจรรยาบรรณสื่อด้วยว่าควรจะเป็นอย่างไร พร้อมกับจะนำประสบการณ์จากต่างประเทศมาประกอบการหารือด้วย เช่น ในต่างประเทศบางประเทศแม้จะเป็นสื่อภาคธุรกิจที่มีโฆษณา แต่ก็มีมิติการดูแลสังคมนำเสนอต่อสาธารณะ โดยไม่มีการนำเสนอข่าวสารที่ประเด็นหยุมหยิมไม่มีสาระ หรือนำเสนอเรื่องส่วนบุคคลออกมาเผยแพร่ ถือเป็นการเคารพสิทธิส่วนบุคคล

จิรชัย กล่าวย้ำอย่างมั่นใจว่า ประเด็นสำคัญในการทำงานครั้งนี้ให้สำเร็จ คือ การนำความรู้ความสามารถจากการทำงานประสานสื่อมาอย่างยาวนาน ตั้งแต่เป็นหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์จนรู้จักมักคุ้นกับผู้สื่อข่าวในทุกระดับและเกือบทุกสำนัก เพราะสิ่งสำคัญในการทำงานประสานสื่อ คือ การให้ความเชื่อมั่นซึ่งกันและกัน

ในอดีตเมื่อครั้งประสานผู้สื่อข่าว โดยธรรมชาติของนักข่าวย่อมอยากทราบข้อมูลเชิงลึกภายในหน่วยงานภาครัฐ แต่ข้อมูลบางอย่างไม่อาจบอกได้ เพราะบางเรื่องต้องรอให้มีมติก่อน หรือบางเรื่องต้องขอความเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่บางเรื่องที่พอจะเปิดเผยได้ก็ต้องยอมให้ข้อมูลไปบ้าง เพราะเห็นว่าเป็นพี่ๆ น้องๆ กัน ด้วยการขอความร่วมมือว่า เมื่อเรื่องใดไม่มีความชัดเจนขอให้ไม่นำเสนอข่าว แต่สามารถให้ข้อมูลบางส่วนเพื่อเป็นข่าวได้ เพราะทราบดีว่าการทำงานข่าว คือ การหาข่าว ดังนั้น จากนั้นเป็นต้นมาด้วยการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจซึ่งกันและกันแบบนี้ ทำให้จึงเกิดเป็นปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับสื่อมวลชน ดังนั้นจะนำประสบการณ์ตรงนี้มาใช้ทำงานในคณะกรรมการปฏิรูปสื่อ

สิ่งสำคัญในการจัดทำข้อเสนอการปฏิรูปสื่อครั้งนี้ คือ การเปิดรับฟังความคิดเห็น สำหรับรูปแบบการทำงานเบื้องต้นจะเปิดรับฟังความคิดเห็น 6 ภาค โดยจะเน้นเชิญกลุ่มอาชีพสื่อทุกแขนง เช่น วิทยุ ทีวี สื่อสิ่งพิมพ์ อาสาสมัคร และประชาชนทั่วไป ขณะที่สื่อโซเชียลมีเดียเป็นสื่อที่มีกฎหมายเฉพาะกำกับดูแลเป็นการเฉพาะ นั่นคือ พระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 โดยข้อสังเกตที่สำคัญ คือ การดูแลคุณธรรมจริยธรรมและจรรยาบรรณในการนำเสนอข้อมูลต่างๆ ผ่านสังคมออนไลน์ อาทิ การโพสต์ หรือแชร์ข้อมูล ซึ่งมีความจำเป็นมากที่จะต้องตระหนัก ดังนั้น ในการเปิดรับฟังความเห็นจะต้องนำเรื่องเหล่านี้มาพูดคุยกัน

“เรื่องใดที่เคยเป็นข้อขัดแย้งกันระหว่างรัฐบาลกับสื่อ เช่น พ.ร.บ.คุ้มครองสิทธิเสรีภาพส่งเสริมจริยธรรมและมาตรฐานวิชาชีพ หรือกฎหมายตีทะเบียนสื่อ ต้องมาแลกเปลี่ยนรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน จากนั้นค่อยมาวิเคราะห์ข้อดีข้อเสียร่วมกัน โดยต้องเป็นประเด็นที่สังคมรับได้ เพราะการจะทำเพื่อตอบสนองฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพียงอย่างเดียวในทุกๆ เรื่องที่นำเสนอคงทำไม่ได้ เพราะไม่สามารถตอบสนองความต้องการของทุกๆ คน หรือทุกๆ ฝ่ายได้ทั้งหมด 100%” จิรชัย กล่าว

ยังไม่ทันเริ่มต้นทำงานได้ไปสักเท่าไร จิรชัย ยอมรับว่า โดนหลายฝ่ายปรามาสฝีมือพอสมควรว่าปฏิรูปสื่อสำเร็จยาก เพราะผมไม่ได้จบการศึกษาและไม่เคยมีประสบการณ์ด้านสื่อสารมวลชนโดยตรง ไม่มีศักยภาพพอนำการปฏิรูปสื่อครั้งนี้ได้ แต่ด้วยประสบการณ์ตรงจากการทำงานและด้วยบุคลิกอ่อนน้อมถ่อมตน เหล่านี้คือข้อดีของตนเองที่ทำให้ผู้สื่อข่าวตั้งแต่รุ่นเล็กไปจนถึงรุ่นใหญ่ล้วนรู้จักปลัด สปน.คนนี้เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงมั่นใจว่าการประสานงานภายในคณะกรรมการปฏิรูปสื่อจะราบรื่น และประสบความสำเร็จ

“หลายคนในกรรมการผมก็รู้จักท่าน อาทิ ดร.ประภา เหตระกูล ศรีนวลนัด หรือคุณแดง ผู้บริหารหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ผมเคารพและนับถือท่านมากๆ เคยไปกราบท่านตอนผมเป็นผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์ที่ สคบ. ซึ่งท่านเป็นคนมีความเมตตามากๆ หรือ ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง

ท่านเป็นคนเก่งมากๆ เป็นทั้งนักทฤษฎีและนักปฏิบัติด้านสื่อสารมวลชนตัวจริงที่น่านับถือ หรือ ดร.ปาริชาต สถาปิตานนท์ คณบดีคณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผมก็เคยรู้จักกันมาก่อน เพราะท่านปาริชาตกับผมเป็นกรรมการ อสมท ด้วยกันมา ผมชื่นชมการทำงานของท่านมาโดยตลอดเพราะท่านเก่งทั้งงานวิชาชีพสื่อสารมวลชนและภาคปฏิบัติ

…หรือแม้แต่ สุทธิชัย หยุ่น นักสื่อสารมวลชนชื่อดัง กับ สมหมาย ปาริจฉัตต์ อดีตกรรมการสภาการหนังสือพิมพ์แห่งชาติ แห่งหนังสือพิมพ์มติชน ต้องยอมรับว่าบุคคลทั้งสองนี้ในสังคมให้การยอมรับในความรู้ความสามารถ ทั้งในตัวบุคคลและองค์กรสื่อที่บุคคลเหล่านี้สังกัดอยู่ว่าเป็นสื่อที่มีคุณภาพ ส่วนกรรมการท่านอื่นๆ อาจจะไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวมากนัก แต่นับแต่วันแรกที่ผมได้รับมอบหมายให้เป็นประธานปฏิรูปสื่อ ผมได้ส่งข้อความทางโทรศัพท์ถึงกรรมการทุกคน เพื่อขอฝากเนื้อฝากตัวเหมือนกับนักเรียนคนหนึ่งที่ขอรายงานตัว เพื่อให้ท่านทุกคนเมตตากรุณาต่อผม และขอให้ร่วมมือกันทำงานปฏิรูปสื่อครั้งนี้ให้สำเร็จ”

ปลัดฯ จิรชัย ทิ้งท้ายว่า การจะรับงานอะไรมา คิดตลอดเวลาว่างานจะสำเร็จได้อย่างไร ก่อนอื่นต้องเริ่มจากที่ตัวเองก่อน นั่นคือ ขอความกรุณาให้ทุกฝ่ายหรือทุกส่วนมาร่วมกันทำงาน โดยยึดประโยชน์ของสังคมเป็นหลัก สิ่งสำคัญต้องให้ความเชื่อมั่นเชื่อถือซึ่งกันและกัน นี่คือหัวใจในการทำงาน

 

“อย่าดูถูกปัญญาประชาชน..ได้เวลาบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย” มาริษ กรัณยวัฒน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 กันยายน 2560 เวลา 18:33 น….. อ่านต่อได้ที่ : https://www.posttoday.com/analysis/interview/513719

"อย่าดูถูกปัญญาประชาชน..ได้เวลาบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย" มาริษ กรัณยวัฒน์

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

การผลักดันให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายในเมืองไทย ร้อนแรงขึ้นในช่วงต้นปีที่ผ่านมา หลังจากกลุ่มผู้สนับสนุนเกิดความไม่พอใจการนำเสนอข้อมูลจากนายแพทย์กลุ่มหนึ่ง ภายในงานเสวนาเรื่อง บุหรี่ไฟฟ้า…อันตรายมากกว่าที่คุณคิด

นาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่าแม้ประเทศไทยจะมีกฎหมายห้ามนำเข้า ห้ามขายและห้ามให้บริการบุหรี่ไฟฟ้า แต่ปัจจุบันคนจำนวนไม่น้อยก็เห็นว่า E-Cigarette เป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า

“งานวิจัยทั่วโลกระบุตรงกันว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่มวน ถึงเวลาที่เมืองไทยต้องยอมรับความจริง เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เลือกความปลอดภัยที่มากกว่าเสียทีมาริษ กรัณยวัฒน์ ตัวแทนกลุ่มลาขาดควันยาสูบ เปิดฉากด้วยน้ำเสียงหนักแน่น

ท่ามกลางประเด็นถกเถียงในหลากหลายแง่มุม มาริษ ต้องการเวทีแลกเปลี่ยนคำอธิบายและข้อมูลเป็นเหตุเป็นผลสอดคล้องกับแนวทางโลกและสะท้อนถึงผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน

มาริษ นั่งอยู่เคียงข้างเอกสารงานวิจัยปึกใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับบุหรี่ไฟฟ้าจากทั่วโลก ทั้งหมดระบุตรงกันว่า บุหรี่ไฟฟ้ามีสารพิษน้อยกว่าและปลอดภัยต่อผู้ใช้มากกว่าการสูบบุหรี่แบบธรรมดา ตัวอย่างเช่น

ผลการวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Annals of Internal Medicine โดยกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ทำการวิจัยด้านมะเร็งและได้รับการสนับสนุนเงินทุนจากสหราชอาณาจักรพบว่า ผู้สูบบุหรี่ที่เปลี่ยนจากการสูบบุหรี่แบบธรรมดามาสูบบุหรี่ไฟฟ้า หรือใช้วิธีการให้นิโคตินทดแทน (NRT) อย่างน้อย 6 เดือน มีปริมาณสารพิษและสารก่อมะเร็งในร่างกายต่ำกว่าผู้สูบบุหรี่แบบธรรมดาเป็นอย่างมาก เมื่อวัดระดับสารเคมีที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพที่ตกค้างในร่างกายจากการสูบบุหรี่ไฟฟ้า พบว่ามีระดับสารเคมีตกค้างน้อยกว่าเมื่อเทียบกับงานวิจัยชิ้นก่อนๆ ที่ใช้การทดลองแบบวิธีจำลอง

ขณะที่งานวิจัยของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ปี 2017 ชี้ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีความเป็นไปได้ในการช่วยเลิกบุหรี่ โดยทำการทดลอง เก็บข้อมูลจากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 15,500 คนที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นประจำ เป็นระยะเวลา 2 ปี พบว่า ส่วนใหญ่สามารถเลิกบุหรี่มวนได้มากกว่าคนที่ไม่เคยคิดจะทดลองใช้

มากกว่านั้นงานวิจัยอื่นๆ ที่มาริษยกอ้าง โดยเฉพาะจากประเทศอังกฤษ ทั้งจากมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งสหราชอาณาจักร ระบบบริการสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (NHS) สถาบันวิจัยโรงมะเร็ง ยังแสดงให้เห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าบุหรี่แบบเดิม ทั้งในแง่ของอันตรายและการเสพติด รวมถึงการเลิกบุหรี่ด้วย

“งานวิจัยที่ผมอ้าง มีแหล่งที่มา เชื่อถือและตรวจสอบได้ทั้งสิ้น ผมพร้อมที่จะแลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยงานรัฐและนักวิชาการในเมืองไทย ขอเพียงเปิดพื้นที่อย่างแท้จริง” นักสูบบุหรี่ไฟฟ้ากล่าวและเห็นว่าหมดเวลาที่ภาครัฐจะนำเสนอข้อมูลแค่เพียงด้านเดียว

อย่าเอาเด็กมาเป็นโล่

สำหรับประเทศไทยบุหรี่ไฟฟ้าถือเป็นสินค้าต้องห้ามตามคำสั่งคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้ขายหรือผู้ให้บริการมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 500,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และหากผู้ฝ่าผืนเป็นผู้ผลิต ผู้สั่ง ผู้นำเข้าเพื่อการขาย จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับไม่เกิน 1 ล้านบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ขณะที่ประกาศของกระทรวงพาณิชย์ เมื่อปี 2557 ยังกำหนดให้บารากู่ บารากู่ไฟฟ้าและบุหรี่ไฟฟ้า เป็นสินค้าต้องห้ามในการนำเข้ามาในราชอาณาจักร หากฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับเป็นเงิน 5 เท่าของราคาสินค้า หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้ริบสินค้าเหล่านั้นรวมถึงพาหนะที่ใช้บรรทุกสินค้าเหล่านั้นด้วย

มาริษ บอกว่า ที่ผ่านมานักวิชาการและภาครัฐเมืองไทยมักชอบอ้างการแบนบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์ ซึ่งไม่ใช่ข้อเท็จจริงทั้งหมด เนื่องจากสิงคโปร์ทำการแบนในลักษณะห้ามนำเข้าและขาย ไม่ได้ห้ามใช้ ห้ามผลิตและส่งออก ขณะที่ประเทศออสเตรเลีย มีข้อกำหนดการใช้นิโคตินของแต่ละเมือง ไม่ได้ห้ามใช้ทั้งประเทศ และหากมองไปทั่วโลกจะพบว่าปัจจุบันมีเพียง 15-16 ประเทศเท่านั้นที่ยังไม่อนุมัติให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย

“การแบนบุหรี่ไฟฟ้าในอดีตมักอ้างว่า อันตรายมากกว่าบุหรี่มวน แต่พองานวิจัยทั่วโลกชี้ชัดแล้วว่า บุหรี่ไฟฟ้าปลอดภัยกว่า ฝ่ายค้านกลับไปตะแบงว่าเป็นเรื่องการเข้าถึงของเด็กและเยาวชน หากถูกกฎหมายจะนำไปสู่การใช้บุหรี่มวนและสารเสพติดอื่นมากขึ้น สำหรับผมเป็นการดูถูกสติปัญญาเด็ก ที่สำคัญอีกเกือบ 170 ประเทศที่บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ต่างมีเด็กและเยาวชน แต่เขาตัดสินใจยอมรับความจริง ทำให้ถูกกฎหมายและหาวิธีควบคุมการใช้งาน”

มาริษยอมรับว่า บุหรี่ไฟฟ้าอาจเป็นที่น่าสนใจสำหรับเด็กที่อยากทดลอง แต่การห้ามชนิดปิดกั้นเป็นเสมือนการยุยงให้วัยรุ่นเกิดความอยากรู้อยากเห็นมากขึ้น คงเป็นเรื่องที่ดีกว่าหากเปิดโอกาสให้คนได้เลือกและเลิกหากรู้สึกว่าไม่ใช่สิ่งที่ดี นอกจากนั้นประเทศไทยยังมีกฎหมายและองค์กรที่พร้อมดูแลการเข้าถึงของเด็กและเยาวชนอยู่แล้ว ขอเพียงทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพ

“มีดเล่มหนึ่งวางอยู่ คุณจะหยิบไปเข้าครัวเพื่อหั่นผัก หรือจะหยิบเข้าไปในร้านทองเพื่อปาดคอคนอื่นล่ะ” ชายหนุ่มเปรียบเทียบหลังเห็นว่าบุหรี่ไฟฟ้าที่ถูกกฎหมายสามารถเป็นเครื่องมือลดปัญหาได้ หากมีการควบคุมที่ดีจากรัฐ

“เมื่อเราปวดหัว พาราเซตามอล 4 เม็ดอาจทำให้เกิดอันตราย แต่ถ้าเรากิน 1 เม็ดทุก 6 ชั่วโมง มันก็เซฟและกลายเป็นประโยชน์ ไม่มีคนบ้ากินทีละ 4 เม็ด เพราะเขาได้รับความรู้และเข้าใจวิธีการใช้ ทุกอย่างอยู่ในการคอนโทรลที่ปลอดภัย”

ประเด็นที่นักวิชาการบางส่วนในไทยชี้ว่า บุหรี่ไฟฟ้านำไปสู่การเสพติดบุหรี่มวนแบบเดิมมากขึ้น

มาริษ ตอบเรื่องนี้ทันควันว่า “ก็ใช่สิ เป็นแบบนั้นเพราะคุณบีบให้เขาต้องใช้ทั้งสองอย่าง พกบุหรี่ไฟฟ้าออกมาข้างนอกไม่ได้ก็ต้องใช้บุหรี่ปกติ สุดท้ายเลยต้องใช้มันทั้งสองอย่าง”
โดยสรุปการเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าของเด็กและเยาวชนกลายเป็นเรื่องที่มาริษเห็นว่า ไม่มีเหตุผลเพียงพอที่จะปิดกั้นไม่ให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ที่สำคัญยังเห็นว่าราคาที่สูงกว่าบุหรี่มวนปกติ ยังส่งผลให้วัยรุ่นเข้าถึงได้ยากด้วย

“เด็กที่อยากลองจริงๆ มีเงิน 10 บาทก็หาซื้อบุหรี่ตามร้านโชว์ห่วยได้แล้ว เพราะงั้นอ้างไม่ขึ้น กฎหมายไม่จำเป็นต้องแรงหรือปิดกั้น แค่บังคับใช้อย่างจริงจัง คอนโทรลได้คือเรื่องสำคัญ”

ทั้งนี้เมื่อปี 2557 องค์การอนามัยโลก เคยระบุไว้ว่า ยอดการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างมากหลังเปิดตัวในปี 2548 โดยแต่ละปีการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าสร้างรายได้ให้กับบริษัทผู้ผลิตมากถึง 2 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท

อย่างไรก็ตามดับเบิ้ลยูเอชโอเห็นว่า แม้บุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายน้อยกว่าบุหรี่ธรรมดา และสามารถช่วยให้บุคคลที่ต้องการเลิกบุหรี่ ลดการสูบบุหรี่ธรรมดาด้วยการหันมาดูดบุหรี่ไฟฟ้าก่อนเลิกขาดได้ก็ตาม แต่รายงานของกระทรวงสาธารณสุขสหรัฐฯ ระบุว่า ปี 2554-2556 หนึ่งในสี่ของเยาวชนชาวอเมริกันหลายล้านคนที่ไม่เคยสูบบุหรี่มาก่อน ตัดสินใจสูบบุหรี่ไฟฟ้าด้วยการซื้อหาทางอินเตอร์เน็ต เพราะเห็นว่าไม่น่าจะมีอันตรายเหมือนบุหรี่ธรรมดา ขณะเดียวกัน วัยรุ่นในยุโรปที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไปสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากถึงร้อยละ 7

ได้ประโยชน์ทั้งรัฐและประชาชน

การเข้าถึงที่ง่ายขึ้นผ่านทางอินเตอร์เน็ตและข้อมูลสนับสนุนจำนวนมาก ทำให้มาริษเชื่อว่า ยอดการเติบโตของผู้ใช้งานบุหรี่ไฟฟ้าในไทยจะเพิ่มมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยประเมินว่า ปัจจุบันมีผู้ใช้อยู่ราว 3 แสนราย

“ถ้าไม่เดินตามโลก คุณไม่มีทางควบคุมได้อยู่แล้ว จับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เมื่อไม่มีกฎหมายกำหนดก็จะเจอแต่ปัญหา ทั้งเรื่องอุปกรณ์ไม่ปลอดภัย น้ำยาด้อยคุณภาพ ซึ่งเป็นอันตรายต่อผู้ใช้ รวมถึงปัญหาสินบนคอรัปชั่นด้วย”

เขาบอกว่าปัจจุบันเนื่องจากยังไม่มีกฎหมายระบุชัดเจนถึงการครอบครองและใช้งาน เจ้าหน้าที่จึงมักอ้างเหตุผลในการจับกุมว่าเป็นเรื่องของการครอบครองสินค้าหนีภาษี อย่างไรก็ตามนักกฎหมายหลายคนยืนยันว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่ใช่สินค้าหนีภาษี เนื่องจากไม่มีฐานภาษี จึงเสียภาษีไม่ได้

ในมุมมองของมาริษ สิ่งที่ประเทศไทยจะได้รับหากเปิดให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายคือ รายได้จากภาษี , อาชีพและรายได้ที่มากขึ้นของเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบและผู้ผลิตอุปกรณ์ รวมถึงลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณสุข เนื่องจากมีผู้ป่วยจากโรคที่เกิดจากบุหรี่มวนลดลง

“ผมคิดว่ามูลค่าการตลาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเมืองไทยสูงถึง 6 พันล้านบาท ตัวเลขดูโอเวอร์นะ แต่ลองคิดดูจากจำนวนผู้ใช้ 3 แสนคน เฉลี่ยเสียเงินให้กับบุหรี่ไฟฟ้าปีละ 2 หมื่นบาทแบ่งเป็นค่าอุปกรณ์และน้ำยา 6 พันล้านนั้นเป็นไปได้

“เราเห็นแล้วว่าทุกอย่างมาในเชิงบวก อนาคตทุกฝ่ายล้วนแต่ต้องการสิ่งที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน เคยมีนักเศรษฐศาสตร์อังกฤษ ประเมินไว้ว่า ปี 2035 บุหรี่มวนแบบเดิมจะขายแทบไม่ได้”

ผู้ชายคนนี้ยืนยันว่า การเรียกร้องกลุ่มไม่ได้ทำไปในฐานะผู้ขายหรือมีผลประโยชน์กับบริษัทผู้ผลิตบุหรี่ ทั้งหมดถูกผลักดันจากข้อเท็จจริงผ่านงานวิจัยและแนวทางที่เกิดขึ้นทั่วโลก ที่สำคัญยังต้องการสู้เพื่อสิทธิของตัวเองที่จะได้รับความปลอดภัยมากขึ้น

“นอกเหนือจากคนสูบ คนใกล้ชิดก็จะปลอดภัยมากขึ้นจากควันบุหรี่มือสอง เราไม่เคยบอกว่าบุหรี่ไฟฟ้าดีที่สุด ทุกคนควรหันมาใช้ เพียงแต่มันชัดเจนแล้วว่าเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน”

เขาทิ้งท้ายว่า สิ่งที่เจ็บปวดในการเดินหน้าเรียกร้องคือการถูกโกหก บิดเบือนและไม่เปิดรับข้อมูลจากอีกฝ่าย  “คนไทยไม่โง่ ข้อมูลที่ถูกที่สุดไม่จำเป็นต้องออกมาจากปากภาครัฐอีกต่อไปแล้ว”

ทั้งหมดนี้คือข้อมูลและความเห็นจากกลุ่มผู้สนับสนุนให้บุหรี่ไฟฟ้าเป็นทางเลือกที่ถูกกฎหมายในประเทศไทย

******************************

หมายเหตุ – ตัวอย่างงานวิจัย 8 ชิ้นที่มาริษยกอ้าง โดยยืนยันว่า มีแหล่งที่มาและตรวจสอบได้ทั้งสิ้น

1. “บุหรี่ไฟฟ้าไม่ได้สร้างควันจากการเผาไหม้ งานวิจัยจึงสรุปได้ว่ามันปลอดภัยกว่าบุหรี่มวน”
– มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

http://ash.org.uk/stopping-smoking/ash-briefing-on-electronic-cigarettes-2/

2. “ปัจจุบันยังไม่มีหลักฐานที่แสดงว่าไอจากบุหรี่ไฟฟ้ามีอันตรายต่อคนรอบข้าง”
– สถาบันวิจัยโรงมะเร็ง

https://www.cancerresearchuk.org/sites/default/files/cruk_e-cig_qa_final.pdf

3. “บุหรี่ไฟฟ้ามีนิโคตินแต่ไม่ได้มีสารก่อมะเร็งเหมือนบุหรี่มวน”
– สถาบันวิจัยโรงมะเร็ง

http://scienceblog.cancerresearchuk.org/2017/02/06/new-study-comes-the-closest-yet-to-proving-that-e-cigarettes-arent-as-dangerous-as-smoking/

4. “บุหรี่ไฟฟ้าไม่มีทาร์และคาร์บอนมอนอกไซต์ ซึ่งเป็นสารพิษหลักที่พบในบุหรี่มวน”

– ระบบบริการสุขภาพแห่งสหราชอาณาจักร (NHS)

www.nhs.uk/Livewell/smoking/Pages/e-cigarettes.aspx

5. “นิโคตินอย่างเดียวไม่ทำให้เกิดความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็ง”

– The International Harm Reduction Association

http://www.prnewswire.com/news-releases/special-interest-deceptions-continue-to-rampant-about-electronic-cigarettes-79487857.html

6. “มากกว่าครึ่ง (52%) ของผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเลิกบุหรี่ได้แล้ว”

– มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่

http://ash.org.uk/information-and-resources/fact-sheets/use-of-electronic-cigarettes-vapourisers-among-adults-in-great-britain/

7. “ไม่มีหลักฐานชี้ถึงความเสี่ยงโดยตรงจากไอของบุหรี่ไฟฟ้า”

– กระทรวงสาธารณสุขอังกฤษ

http://www.nhs.uk/news/2015/08August/Pages/E-cigarettes-95-per-cent-less-harmful-than-smoking-says-report.aspx

8. “ผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้ารายงานว่ารู้สึกติดน้อยกว่าบุหรี่มวน”

-ราชวิทยาลัยอายุรแพทย์แห่งสหราชอาณาจักร

https://www.rcplondon.ac.uk/projects/outputs/nicotine-without-smoke-tobacco-harm-reduction-0