คำพิพากษาคดีสลายพันธมิตรฯ จุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

06 สิงหาคม 2560 เวลา 07:52 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/507472

คำพิพากษาคดีสลายพันธมิตรฯ จุดเริ่มต้นสร้างความปรองดอง

โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

การเมืองไทยเดินทางถึงจุดเปลี่ยนสำคัญภายหลังศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายกฟ้อง “สมชาย วงศ์สวัสดิ์” อดีตนายกรัฐมนตรี ในคดีการสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่หน้ารัฐสภาเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551

ผลของคำพิพากษาดังกล่าว ทำให้อดีตนายกฯ สมชาย หลุดพ้นจากมลทินทั้งหมด แม้ว่าตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 แล้ว คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในฐานะผู้ฟ้องคดีจะสามารถยื่นอุทธรณ์ได้ก็ตาม

แต่ถึงกระนั้น คำพิพากษาที่ออกมาไม่เพียงแต่จะเป็นการปลดล็อกให้กับสมชายแล้ว แต่ยังมีความหมายในทางการเมืองด้วย

ในจังหวะนี้เอง “อดุลย์ เขียวบริบูรณ์” ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และอดีตกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ให้มุมมองผ่านโพสต์ทูเดย์ว่า เป็นโอกาสสำคัญของการเริ่มต้นสร้างความปรองดอง แต่จะประสบความสำเร็จหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับความจริงใจของทุกฝ่าย

อดุลย์ มองว่า การพิพากษายกฟ้องคุณสมชาย ถ้ามองในความรู้สึกของประชาชนทั่วไปก็ทำได้เหมาะสมดีในระดับหนึ่ง แน่นอนว่าการวินิจฉัยเมื่อเกิดผลที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายหนึ่ง อีกฝ่ายหนึ่งย่อมไม่ถูกใจแน่นอนเป็นเรื่องปกติ แต่สำคัญที่สุดว่าการวินิจฉัยครั้งนี้มีเหตุผลและเป็นที่ยอมรับได้

“สิ่งสำคัญที่สุด คือ ขณะนั้นรัฐบาลได้ทำตามมติของคณะรัฐมนตรีที่มีไว้ตั้งแต่ปี 2535 ที่ห้ามใช้กองทัพเข้ามายุ่งเกี่ยวกับการควบคุมฝูงชนอย่างเด็ดขาด แต่ต้องใช้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับการฝึกฝนในการควบคุมฝูงชนเท่านั้น ซึ่งในอนาคตทุกรัฐบาลควรต้องระมัดระวังในการควบคุมฝูงชนที่ต้องใช้ตำรวจที่ผ่านการฝึกฝน เพื่อให้ความรุนแรงลดลง”

เหนืออื่นใด อดุลย์ เห็นว่า เมื่อมีคำพิพากษาออกมาแล้วทุกฝ่ายทั้งอดีตนายกฯ สมชาย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือแม้แต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ต้องออกมาแสดงความรู้สึกต่อผู้สูญเสียในเหตุการณ์ดังกล่าว เพื่อเป็นการเริ่มต้นการเยียวยาความรู้สึกต่อผู้ได้รับผลกระทบ

“กรณีนี้การวินิจฉัยของศาล ต้องบอกว่า เป็นที่น่าพึงพอใจในระดับหนึ่งในส่วนใหญ่ แต่ไม่อยากให้ลืมกลุ่มผู้เสียหายและผู้บาดเจ็บล้มตาย คิดว่าต้องมีคนออกมารับผิดชอบ โดยรัฐบาลคุณสมชายต้องรับผิดชอบในสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยการออกมากล่าวคำขอโทษต่อประชาชนโดยเฉพาะผู้เสียหายในเหตุการณ์นี้”

“หากคุณสมชายออกมาแสดงความขอโทษ จะทำให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ดังกล่าวลดความรู้สึกที่ไม่ดีลงไปได้บ้าง ความเจ็บปวดไม่มีวันที่จะหายไปในทันทีทันใด แม้ความไม่พอใจก็ไม่สามารถจะจางไปได้ทันที แต่อย่างน้อยนี่คือการแสดงการเยียวยาและขอปรองดองโดยการยื่นมือของอีกฝ่ายหนึ่ง”

“นอกจากนี้ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ก็ควรออกมาแสดงความรู้สึกกับเหตุการณ์ในอดีตเหมือนกัน แม้จะเป็นการกระทำของ ผบ.ตร.ในอดีตก็ตาม ไม่ใช่อยู่เฉยๆ ขณะเดียวกันก็เป็นหน้าที่ของ คสช.และรัฐบาลชุดปัจจุบันที่ต้องแสดงออกเหมือนกัน”

“นี่เป็นหน้าที่ของ คสช.นะครับ เหมือนกับเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ รสช. (คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ) และ พล.อ.สุจินดา ออกไปแล้ว แต่รัฐบาลต่อมาก็ได้แสดงออกถึงความรับผิดชอบไม่ต่างกัน ทุกอย่างมันมีมาตรฐานและบรรทัดฐานมาแล้ว จึงอยากให้ทุกคนปฏิบัติตาม”

ประธานญาติวีรชนฯ ย้ำหนักแน่นว่า การสร้างความปรองดองจะประสบผลสำเร็จได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลและ คสช. จะใช้โอกาสนี้ลงมือปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมได้หรือไม่ ถ้าเริ่มลงมือ ทำให้โอกาสประสบความสำเร็จก็มีค่อนข้างสูง

“ครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญ แต่ละท่านเป็นผู้นำทางการเมืองและอดีตนายกฯ ก็คงไม่ต้องให้มาบอกว่า อะไรควรทำ อะไรไม่ควรทำ ที่พูดมานี้ก็รวมไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย ในฐานะที่ท่านเรียกร้องการปรองดอง ทำไมท่านไม่ทำตัวให้เป็นตัวอย่างให้คนอื่นเดินตาม โอกาสของท่านมาแล้ว ท่านไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ใดเลย แต่ทำไมท่านไม่ทำ ก็แล้วแต่ท่านนะครับ”

“ต้องบอกไว้ก่อน ทุกอย่างจากนี้ไปมีผลได้ผลเสียต่อผู้นำ คสช.และรัฐบาล จะได้แต้มหรือไม่ได้คะแนน อยู่ที่การกระทำนับจากวันนี้ไป เป็นคำเตือนที่ผมอยากฝากไปถึงนายกฯ”

อดุลย์ ฝากเตือนว่า ครั้งนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะต้องเริ่มต้นการสร้างความปรองดอง เพราะหลังจากมีคำพิพากษาออกมาแล้ว แต่กลับปล่อยให้ผ่านเลยไปโดยไม่ดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่ง ย่อมจะส่งผลให้การเมืองเกิดความตึงเครียดโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้

“บอกได้เลยว่าจะตึงเครียดมากขึ้นแน่นอน เพราะทุกฝ่ายผลักภาระให้กับกระบวนการยุติธรรมหมดเลย ซึ่งในอดีตเคยมีการทำให้กระบวนการยุติธรรมเกือบเสียหายมาแล้ว ปัจจุบันกระบวนการยุติธรรมของไทยเป็นที่ยอมรับ จึงไม่ควรผลักภาระไปให้อีก กฎหมายมาบังคับให้คนมารักกันไม่ได้ ดังนั้น ทุกคนต้องช่วยกัน”

การปรองดองจะประสบผลสำเร็จได้หรือไม่นั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการทำสัญญาประชาคม แต่อดุลย์คิดว่า รัฐบาลและ คสช.จะต้องยึดถือประชาชนเป็นหัวใจสำคัญ ถึงจะมีโอกาสประสบความสำเร็จ

“ณ วันนี้หากท่านอยากให้มีความปรองดองอย่างที่ท่านป่าวประกาศให้มาเซ็นสัญญาประชาคม 10 ข้อ มันไม่มีความหมายอะไร ไม่มีใครยอมรับด้วย เพราะไม่ได้ทำอะไรให้ดีขึ้น แต่การกระทำของ คสช.หลังจากมีคำพิพากษาออกมาแล้ว อะไรที่จะทำให้ทุกฝ่ายและภาคประชาชนรู้สึกว่ามีความหวัง ท่านต้องรีบทำนะครับ ท่านไม่ต้องกังวลว่าจะเสียศักดิ์ศรีอะไร”

“การมาเป็นรัฐบาล คือ การประกาศตัวว่าจะเข้ามาทำเพื่อสาธารณะและถือประชาชนเป็นหัวใจเหมือนกับที่ท่านร้องเพลงคืนความสุขและถือประชาชนเป็นหลัก ต้องถามว่าวินาทีนี้ท่านถือประชาชนเป็นหลักในหัวใจของท่านหรือไม่ ถ้าท่านเข้าใจท่านก็รู้ตัวว่าต้องทำอะไรต่อไป”

“การปรองดองนับจากนี้ไป ไม่จำเป็นต้องอาศัยสัญญาประชาคมฉบับนั้น ทำได้เลยครับ ด้วยการท่านก็ทำให้เป็นตัวอย่าง ทำตอนนี้ช้าก็ไปยังไม่สาย ที่ยังไม่ได้สายเพราะท่านยังไม่ได้ทำเลย มาเริ่มตอนนี้ก็ยังไม่สาย ดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

“เป็นเฮือกสุดท้ายแล้ว แต่ถ้าเริ่มทำตอนนี้ก็ยังทันนะครับ เพราะถ้าเริ่มต้นทำ มันจะเป็นเหมือนเป็นโดมิโน ถ้าท่านล้มโดมิโนตัวแรกที่เป็นอุปสรรคได้ลง มันจะไหลไปตามทางด้วยความรวดเร็ว ทุกอย่างมันจะสามารถปรองดองได้ค่อนข้างดี ส่วนจะสามารถสมานแผลได้ทันทีหรือไม่คงต้องใช้เวลา”

“สิ่งที่ผมอยากเห็นรัฐบาล คสช.มีความตั้งใจลงมือสร้างความปรองดองและลงมือทำทันทีได้ ก็จะดีมาก ยืนยันว่าถ้าทำตอนนี้ทันทีจะใช้เวลาไม่นาน ซึ่งจะดีกว่าที่ท่านพยายามทำมาตลอด 3 ปี”

ช่วงท้าย อดุลย์ สรุปว่า การสร้างความปรองดองไม่ได้เป็นเพียงปัญหาเดียวที่รัฐบาลและ คสช.ต้องลงมือทำ แต่ปัญหาเศรษฐกิจก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนด้วย รัฐบาลและ คสช.ควรใช้โอกาสนี้ลงมือแก้ปัญหา เพราะมิฉะนั้นแล้วอาจเกิดม็อบเศรษฐกิจแทนม็อบการเมืองได้ในอนาคต

“ม็อบการเมืองคงเกิดขึ้นได้ยาก แต่เป็นห่วงว่าอาจจะเกิดม็อบทางเศรษฐกิจที่เรียกว่าการจลาจล ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีผู้นำหรือผู้ชักจูง แต่จะเป็นไปตามธรรมชาติเลย อันนี้น่ากลัว เพราะมันเป็นการออกมาของประชาชนอย่างแท้จริง ซึ่งผมเองไม่อยากให้ถึงจุดนั้น จึงอยากให้ คสช.และรัฐบาลเร่งแก้ไขปัญหาการบริหารประเทศ”

 

เปิดใจทุกประเด็นดราม่า “ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต” ช้ำใจถูกคนทำร้าย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 สิงหาคม 2560 เวลา 18:52 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/507145

เปิดใจทุกประเด็นดราม่า "ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต" ช้ำใจถูกคนทำร้าย

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

ฐิตินาถ ณ พัทลุง หรือ ครูอ้อย เข็มทิศชีวิต เจ้าของคอร์สอบรมการให้กำลังใจคลายปมชีวิตและผู้เขียนหนังสือระดับ Best Seller ถูกโจมตีอย่างหนักตลอดช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เมื่อดารานักแสดงจำนวนหนึ่งออกมาขอให้เธอลบภาพและเลิกนำชื่อของพวกเขาไปโปรโมท ลุกลามบานปลายไปถึงการตั้งข้อสังเกตในวิธีการสอน ราคาคอร์สอบรม และขยายวงกว้างไปจนถึงเรื่องการเล่นหุ้น

หลังดราม่าฝุ่นตลบ วันนี้ที่เพนท์เฮาส์สุดหรูใจกลางกรุงเทพมหานคร ครูอ้อย  ฐิตินาถ พร้อมแล้วที่จะชี้แจงและคลายความสงสัยในหลากหลายประเด็น

ค่าไถ่ 11 ล้าน ตำรวจเรียกผู้ต้องหาแล้ว

ครูอ้อยเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับเธอนั้นเป็นดำเนินไปในลักษณะเป็นขบวนการ เริ่มจากข้อความข่มขู่และเรียกค่าไถ่เป็นเงิน 11 ล้านบาท พร้อมกับสั่งให้เลิกกิจกรรมการกุศลและธุรกิจจัดคอร์สอบรมทั้งหมด

“เว็บไซต์ที่ข่มขู่บอกว่าได้แต่งเรื่องครูอ้อยไว้และพร้อมจะแฉผ่านสื่อทุกช่องทาง ข้อความเหล่านั้นมีทั้งหมิ่นประมาทและเป็นเท็จ ขู่ว่าครูอ้อยไม่มีทางเคลียร์ข่าวเหล่านี้ได้จบแถมยังบอกด้วยว่า เขาฝีมือระดับมหาวิทยาลัยส่วนเราระบบอนุบาล ไม่มีทางสู้ได้” ครูอ้อยกล่างถึงจดหมายข่มขู่ที่เห็นว่าเป็นต้นเรื่องของปัญหาครั้งนี้

เธอ เล่าว่า รู้สึกกลัวกับข้อความดังกล่าว ไม่ตอบตกลงหรือปฏิเสธและได้เดินทางไปแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแม้ในจดหมายจะขู่เอาไว้ว่าห้ามแจ้งตำรวจมิฉะนั้นจะเผยแพร่ข้อมูลที่สร้างขึ้นทันที

“กลัวมาก ไม่รู้ตอบเขายังไงและไปแจ้งความทั้งๆ ที่เขาขู่ไว้ว่าทันทีที่เราไปแจ้งความ จะเอาข้อมูลเหล่านี้ไปลงในสื่อต่างๆ ซึ่งเขาก็ทำตามนั้นจริงๆ ข้อมูลเท็จที่ทุกคนเห็นในโซเชียล ครูอ้อยได้เห็นหมดแล้วในจดหมายเรียกค่าไถ่ตั้งแต่แรก”ผู้เขียนหลังสือเข็มทิศชีวิตกล่าวและเชื่อว่าในช่วงเวลานั้น วิธีการนำเสนอข่าวของสื่อบางแห่งไม่ปกติ เป็นรูปแบบที่ต้องการให้เกิดผลกระทบในแง่ลบ เช่น นำเสนอข่าวของตนถึง 9 เรื่องภายในวันเดียว

ภายหลังแจ้งความดำเนินคดี ล่าสุดเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานีตำรวจภูธรบ่อทอง จ.ชลบุรี ได้ออกหมายเรียก 3 ผู้ต้องหา เพื่อเข้ารับทราบ 3 ข้อหา คือ 1. ความผิดฐานกรรโชกทรัพย์ 2. หมิ่นประมาท เเละ 3.  นำข้อมูลเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งการออกหมายเรียกครั้งนี้ถือเป็นครั้งที่ 2 แล้ว โดยสองในสามนั้นเป็นคุณครูสอนการแสดงชื่อดังและหนุ่มนักลงทุนหุ้นที่เคยเข้าอบรมในคอร์สเรียนของครูอ้อย

“ตำรวจไปสืบหาพยานหลักฐานต่างๆ ตามร่องรอยจนพยานหลักฐานแน่นหนาและสามารถออกหมายเรียกผู้ต้องหาได้ 3 คน” ครูอ้อยกล่าว

สำหรับสาเหตุที่ผู้ต้องหากระทำกับเธอนั้น ยังไม่สามารถเปิดเผยได้เพราะเกรงกระทบกับรูปคดี อย่างไรก็ตามเธอคาดการณ์ให้ฟังเล็กน้อยว่า เป็นเรื่องขัดผลประโยชน์และอาจรวมถึงความไม่พอใจบางอย่างซึ่งไม่แน่ชัด

“เราพูด ทำอย่างตรงไปตรงมา อาจจะมีคนไม่ชอบ ไม่ได้ดั่งใจเขา บางคนอาจอยากเป็นครูสอนแทนเรา นึกเสียใจว่าทำไมถึงทำได้โหดเหี้ยมขนาดนั้น ช้ำใจแต่เข้าใจว่าเป็นเรื่องปกติ มนุษย์ต่างๆ ในโลก มีความรักตัวเองสูง บางคนเคยบอกว่ารักเรามาก วันหนึ่งอาจมีเรื่องกระเทือนอัตตาจนเขาสามารถพลิกทำอะไรกับเราได้อย่างที่เราคิดไม่ถึง” ครูอ้อยยกตัวอย่าง

 

 

อย่าบิดเบือนค่าเรียน – สอนฟรี 26 วันต่อเดือน

ค่าคอร์สอบรมของครูอ้อยนั้นถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูว่าแพงหูฉี่?

นักพูดชื่อดัง ชี้แจงว่า ทุกอย่างที่โจมตีนั้นเป็นเรื่องบิดเบือนและวิพากษ์วิจารณ์บนข้อมูลที่เป็นเท็จ การทำงานส่วนใหญ่นั้นเป็นการกุศลและมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่เก็บค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นคอร์สอบรมสัมมนานักธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จ ทั้งในแง่การตลาด การวางแผนธุรกิจ การบริหารจัดการความสัมพันธ์ เป็นต้น

“หนึ่งเดือนสามสิบวัน ยี่สิบหกวันเราทำงานฟรี เป็นการกุศลทั้งหมด บทเรียนทางไกล ห้องเรียนภาวนา สมาธิ ฟรีหมด มีคนเอาไปบิดเบือดว่าเราเก็บเงิน ซี่งในความจริงเดือนหนึ่งมีคอร์สอบรมที่เราเก็บเงินเพียงแค่ 4 วัน”

ครูอ้อยบอกว่า หลักสูตรนั่งสมาธินั้นฟรีเสมอ แต่ผู้ไม่หวังดีถูกบิดเบือนว่าต้องจ่ายสูงถึง 25,000 บาทต่อคอร์สหรือคิดเป็นชั่วโมงละ 1,500 บาท ส่งผลให้ผู้คนเกิดความขัดแย้งในสังคม

“โห..ถ้าเกิดในไทยคนยอมจ่ายค่านั่งสมาธิแพงมากขนาดนั้น ประเทศเราต้องเจริญไปถึงขีดสุดมากๆ รักธรรมะขนาดนั้น ธรรมะฟรีทุกหนทุกแห่ง ไปที่ไหนก็ต้องฟรี”

เธอย้ำว่า 4 วันที่มีค่าใช้จ่ายนั้นเป็นคอร์สอบรมสัมมนานักธุรกิจที่อยากประสบความสำเร็จ ซึ่งหลักสูตรเหล่านี้ถือเป็นเรื่องปกติพบได้ทั่วโลก บางแห่งคิดราคาสูงถึงหลักแสน ขณะที่ของครูอ้อยนั้นคำนวณแล้วอยู่ที่ชั่วโมงละ 1,500 บาท เทียบได้กับค่าเรียนโยคะเท่านั้น

 

 

ภาพมีลิขสิทธิ์ทุกคนต้องเซ็นสัญญา-เล่นหุ้นไม่เก่ง

ประเด็นของการนำภาพคนดังมาโปรโมทคอร์สอบรม ครูอ้อยบอกว่า ลิขสิทธิ์ภาพและเสียงในห้องเรียนทั้งหมดเป็นลิขสิทธิ์ของห้องเรียนเข็มทิศ โดยมีเอกสารให้ทุกคนเซ็นชื่อ การเผยแพร่ภาพคนมีชื่อเสียงนั้นไม่ได้หวังผลกับกลุ่มธุรกิจที่มีค่าใช้จ่าย แต่ต้องการนำเสนอและเป็นแรงบันดาลใจให้กับกลุ่มคนต่างจังหวัดที่เรียนฟรีผ่านสื่อสังคมออนไลน์จำนวนมากในแต่ละสัปดาห์

“ในทางกฎหมาย เรามีจดหมายให้เซ็นสัญญา ไม่ว่าใครก็ต้องเซ็น ที่ผ่านมาไม่เคยเกิดปัญหา แต่เราป้องกันตัวเองหมด อีกอย่างก่อนที่ใครจะเข้ามาเรียน ทุกคนจะรับรู้อยู่แล้วว่ารูปตัวเองจะถูกเผยแพร่เป็นบทเรียนฟรีให้กับประชาชนคนยากจน โดยพฤตินัยคุณรู้อยู่แล้วว่า รูปของคุณจะต้องถูกเผยแพร่ คุณก็เซ็นและมาเรียน แถมรูปของคุณถูกเผยแพร่มาเป็นเวลา 3-4 ปีแล้ว”

ผู้เชี่ยวชาญการสอนด้านจิตใต้สำนึกบอกว่า ถึงแม้จะเซ็นสัญญาแต่หากมีผู้ไม่สบายใจ ไม่ต้องการให้เผยแพร่สามารถติดต่อขอให้นำภาพออกได้

“ทำไมไม่คุยกันดีๆ เรายินดีอยู่แล้ว เพราะไม่อยากมีปัญหากับใคร”

ทั้งนี้เธอตั้งข้อสังเกตด้วยว่า เหตุใดการร้องขอให้ลบรูปออกจากการโปรโมทนั้นถึงเกิดขึ้นพร้อมๆ กับจดหมายเรียกค่าไถ่เงิน 11 ล้านบาท

ประเด็นเรื่องเป็นผู้มีอิทธิพลในวงการตลาดหุ้น ชักนำลูกศิษย์ไปลงทุนจนได้รับผลประโยชน์มหาศาล ครูอ้อยบอกว่า เป็นความเข้าใจผิด แท้จริงไม่ได้เชี่ยวชาญหรือเก่งกาจในวงการหุ้น รวมถึงยังเกรงอกเกรงใจเพื่อนพี่น้องและลูกศิษย์จนขาดทุนหรือทำกำไรได้ไม่มากเท่าที่ควร

เธอ เล่าว่า เมื่อครั้งเล่นหุ้นครั้งแรก ราคาหุ้นพุ่งขึ้นและบวกถึง 200 ล้านบาท จนมีคนนำชื่อไปโจมตีในเว็บไซต์พันทิปว่าเป็นผู้มีอิทธิพลต่อราคาจนกลายเป็นข่าวโด่งดัง มีผู้แห่ซื้อตามจำนวนมาก กระทั่งวันหนึ่งราคาหุ้นร่วงแต่ตนยังไม่กล้าขายทำกำไร เนื่องจากเกรงว่าจะถูกมองในแง่ลบ

“สุดท้ายตอนมันย่ำแย่ ราคาเหลือบาทกว่า เราก็ต้องถือยันไว้ ทั้งที่ขายยังได้กำไรหลายล้าน แต่ด้วยความแมนและถือว่าความสัมพันธ์สำคัญกว่าเงิน เราไม่ขาย ขายไปทุกคนก็ร่วงไปอีก ไม่รู้จะมองหน้าคนอื่นยังไง ยังบอกเลยว่า เอ้า…ใครขายทันขายนะ เรื่องนี้ตรวจสอบได้ความเคลื่อนไหวในตลาดได้ เราเจ๊งหุ้นตัวนี้เยอะสุด”

ครูอ้อยยืนยันว่า ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาถูกโจมตีเรื่องหุ้นเยอะมาก ทั้งที่ไม่เคยทำกำไรในจุดสูงสุดหรือจุดที่ควรได้ โดยยกตัวอย่างว่า หุ้นบางตัวนั้นมีโอกาสสร้างกำไรถึง 300 ล้านบาท แต่ทุกวันนี้เหลือเพียง 15-20 ล้านเท่านั้น

“โดนคนด่าเรื่องนี้เยอะมากและคนเชื่อในคำกล่าวหา แต่ถือว่าเราแมนๆ เราไม่พูด ไม่ตอบโต้ จริงๆ อยากได้เงินเหมือนที่เขาบอกเหมือนกัน โดนด่าแล้วได้เงินแบบนั้นก็ยังดี”

ขณะที่ชายหนุ่มนักลงทุนหุ้นที่ออกมาแฉว่า ครูอ้อยเคยชักชวนให้ไปพูดในคราสอบรมและให้ร่วมลงทุนจนขาดทุนมหาศาลนั้น เธอชี้แจงว่า ผู้ชายคนนั้นเป็นเซียนหุ้นและอาจารย์สอนตนและลูกศิษย์ให้เล่นหุ้นต่างหาก ซึ่งตนไม่เคยหลอกลวงหรือบอกว่าจะรับผิดชอบภาระขาดทุนของหุ้นตัวใดเหมือนที่ถูกกล่าวหา

“เขาเป็นเซียนหุ้น เราเชิญมาเป็นอาจารย์สอนเรา เราก็เชื่อเขา ลูกศิษย์เราก็เชื่อ ไม่ใช่เขามาเชื่อเรา”ครูอ้อยบอกด้วยน้ำเสียงจริงจัง

คอร์สปลุกพลังเพื่อความสำเร็จ ไม่ใช่สะกดจิต

 

“ครูอ้อย” ฐิตินาถ บอกว่า จำเป็นต้องแยกแยะระหว่างปฎิบัติธรรมกับสัมมนาปลุกพลังงานความคิด ซึ่งเป็นการเรียนรู้และเป็นแนวทางที่ต่างประเทศให้การยอมรับและพัฒนากันอย่างกว้างขวาง มีคอร์สอบรมต่างๆ มากมาย รวมถึงสื่อสารผ่านหนังสือจำนวนมาก ไม่ใช่เรื่องการสะกดจิตหมู่แต่อย่างใด ที่สำคัญใครก็สามารถเรียนฟรีได้ทุกที่ผ่านอินเตอร์เน็ต ไม่ได้บังคับว่าต้องมาถึงห้องเรียน

“เป็นเรื่องธรรมดากับการสอนให้คนลุกขึ้นมามีกำลังใจ มีแรง ก้าวข้ามสิ่งต่างๆ  สิ่งที่เราบอกได้เลยก็คือ ครูอ้อยสอนเก่งและพูดได้เต็มปากเต็มคำว่า เราทำให้คนประสบความสำเร็จได้จริงๆ ด้วยการปรับเปลี่ยนวิธีคิด มันคือวิถีแห่งใจ มนุษย์มีสิทธิที่จะพลิกจิตตัวเองอยู่แล้ว แต่ครูอ้อยสร้างบรรยากาศให้คนพลิกจิตใจตัวเอง”

สภาพความเป็นอยู่อันหรูหราที่ถูกบางคนวิจารณ์นั้น ผู้หญิงรายนี้บอกว่า ความร่ำรวยโดยสุจริตไม่ใช่ความผิด เป็นไปตามความตั้งใจและต้องการทำให้ทุกคนเห็นว่า ไม่ว่าใครก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ซึ่งหากไปสอนคนจนด้วยสภาพความเป็นอยู่ของตัวเองที่อัตคัดขาดแคลนคงไม่มีใครฟัง

“ทำงานคลุกคลีกับคนจนเป็นหนี้มา 20 กว่าปี ไม่เคยมีใครบอกเขาว่าเขารวยได้ ทำธุรกิจได้ เขาสามารถเข้าถึงข้อมูลและโอกาสได้อย่างไร สิ่งที่ทำมาตลอดคือบอกว่า เฮ้ย…ครูเคยได้เป็นหนี้ 100 ล้านนะ ถ้าวันนี้ครูผ่านมันมาได้ ประสบความสำเร็จได้ คุณก็ทำได้”

อีกประเด็นที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์คือ เนื้อหาในหนังสือที่มีผู้พบว่า บางส่วนคล้ายกับหนังสือ “7 Habits of highly effective people” หรือชื่อไทยว่า “7 อุปนิสัยพัฒนาสู่ผู้มีประสิทธิผลสูง” ของ “สตีเฟน อาร์. โคว์วีย์” ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2532 หรือก่อนหนังสือ “เข็มทิศชีวิต” ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี 2547 ถึง 15 ปี

ครูอ้อยชี้แจงว่า ตารางในหนังสือนั้น ตอนแรกไม่มีการกล่าวอ้างอิงถึงที่มาของเนื้อหา เนื่องจากขณะนั้นยังไม่สามารถเช็คที่มาได้ รับรู้มาจากคำบอกเล่าของพระท่านหนึ่งและไม่ได้อ้างว่าตนเองเป็นคนคิดและเขียนขึ้นมา ที่สำคัญปัจจุบันรับรู้แล้วว่าต้นเรื่องนั้นไม่ได้มาจาก “7 Habits of highly effective people” แต่แท้จริงแล้วมาจาก ดไวต์ เดวิด ไอก์ ไอเซนฮาวร์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา

ส่วนชื่อหนังสือเข็มทิศชีวิตนั้น คิดเองจากแรงบันดาลใจเมื่อครั้งพบกับหนังสือท่องเที่ยวเล่มหนึ่งชื่อ  “แผนที่ชีวิต เข็มทิศหัวใจ” ผู้แต่ง เพลงดาบแม่น้ำร้อยสาย

“เวลาเราจะบอกว่าเราคิดได้ยังไง เราต้องบอกที่มาและแรงบันดาลใจได้”

ดราม่าครั้งนี้ ในแง่ธุรกิจบริษัทเข็มทิศชีวิตได้รับผลกระทบอย่างหนักและมีการประเมินว่าสูญเงินไปกว่าร้อยล้านบาท ขณะที่ในแง่สังคมได้ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางความคิดในระดับหนึ่งระหว่างผู้เห็นด้วยและเห็นต่าง

“ปกตินักเรียนที่ชอบครูอ้อยจะแชร์คลิปและแนวคิดต่างๆ แต่ตอนนี้ไม่กล้าแชร์เพราะกลัวคนที่รับข่าวด้านลบซึ่งเป็นคนรอบข้างจะมาบอกว่า เฮ้ย อย่าไปชอบคนนี้นะ คนที่ไม่ชอบเรามาย่ำยีคนที่มาเรียนด้วยการเขียนว่า คนที่มาเรียนโง่ ถูกหลอก ไปตราหน้าเขาว่าเป็นพวกโง่ที่เข้ามาพัฒนาชีวิต”ครูอ้อย เข็มทิศชีวิตบอกทิ้งท้าย

****************************

ชมคลิป www.facebook.com/newsclearvdo/videos/vb.251435155296969/334208010353016

 

 

 

“มิงค์ สระบุรี” สนุกเกอร์… ทำให้มีวันนี้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 สิงหาคม 2560 เวลา 21:36 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/506940

"มิงค์ สระบุรี" สนุกเกอร์... ทำให้มีวันนี้

โดย…กษม จักรเครือ

คนภายนอกอาจจะมองว่า สนุกเกอร์ เป็นการพนัน แต่สำหรับ “มิงค์ สระบุรี” ณัชชารัตน์ วงศ์หฤทัย นักสอยคิวสาวน้อย วัย “ทีนเอจ” ไม่คิดอย่างนั้น เธอกลับมองว่ามันเป็นกีฬาและผลักดันตัวเอง จนคว้าแชมป์เยาวชนหญิงอายุไม่เกิน 18 ปี และรุ่นอายุไม่เกิน 21 ปี ในศึกชิงแชมป์โลกเมื่อกลางเดือนที่ผ่านมา ถือว่าฝีไม้ลายมือไม่ธรรมดา

“คนข้างนอกอาจจะมองว่า สนุกเกอร์ เป็นการพนันและไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมเท่าใดนัก แต่สำหรับหนูวงการนี้ให้ทุกอย่าง เพราะเติบโตมาจากเด็กโต๊ะสนุ้กพ่อเป็นครูคนแรก ส่วนแม่ก็เป็นแคชเชียร์โต๊ะ หนูเลิกเรียนก็จะตามแม่ไปที่โต๊ะ พ่อเห็นแววก็เลยฝึกซ้อมให้ ยิ่งเล่นก็ยิ่งชอบ เรียกว่าติดดีกว่า เคยไปเล่นกีฬาอื่น ไม่ว่าจะเป็นแบดมินตันหรือปิงปอง แต่สุดท้ายก็กลับมาเล่นสนุกเกอร์ เพราะทำให้มีสมาธิและมีปัญญา โดยเฉพาะการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า”

“มิงค์” วอนให้สังคมไทยมองสนุกเกอร์ให้เป็นกีฬาไม่เพียงแต่มองว่าเป็นด้านมืด คนที่เล่นกีฬาชนิดนี้ ไม่จำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับสิ่งไม่ดี

“ในอดีตอาจจะเป็นอย่างนั้น แต่ปัจจุบันหนูคิดว่ามันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายคนเข้าใจ หลังจากเข้ามาสัมผัสสักวัน เชื่อว่าสังคมไทยจะมองวงการสนุกเกอร์ในแง่มุมที่ดีขึ้น”

หลังจากเพาะบ่มวิชาสอยคิวจนได้ที่ พ่อของเธอมองว่าควรจะไปหาประสบการณ์นอกห้องเรียนบ้าง จึงผลักดันลูกสาวตระเวนแข่งตามที่ต่างๆ จนติดเยาวชนทีมชาติ

นักกีฬาหลายคนมักเอาความเจ็บปวดเป็นแรงผลัก แต่สำหรับเธอแรงผลักที่ดีเยี่ยมที่สุดคือ ความดีใจ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อรู้ว่าตัวเองได้ติดทีมชาติไทยไปแข่งขันที่โรมาเนียเมื่อปีที่ผ่านมา กำลังแข่งขันรายการหนึ่งอยู่ และเป็นฝ่ายตามหลังอยู่ 0-2 เฟรม มีคนแจ้งข่าวระหว่างการแข่งขัน ปรากฏกลับมาพลิกเอาชนะ 3-2

“ตอนคว้าแชมป์โลกเยาวชนได้ที่โรมาเนีย หนูทำแต้ม ได้สูงถึง 124 แต้ม ยอมรับว่าตั้งแต่ฝึกเล่นสนุกเกอร์มายังไม่เคยแทงได้แต้มเกิน 100 เลย แต่พอมาแข่งชิงแชมป์รายการใหญ่ขนาดนี้ ยิ่งแทงมือยิ่งขึ้น ยิ่งแทงยิ่งได้ใจ หนูเอาความกดดันเปลี่ยนเป็นกำลังใจ ทำให้มีฮึด ยิ่งมีกองเชียร์ด้วยหนูยิ่งฮึกเหิม”

 

นอกจากนี้ น้องมิงค์ยังเผยอีกว่า ความสำเร็จในการเล่นสนุกเกอร์ของเธอมาจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก โดยจะต้องฝึกทุกวันเพื่อให้กล้ามเนื้อจดจำ เพื่อไม่ให้พลาดลูกง่ายๆ มีโอกาสสร้างเบรกได้มากขึ้น และที่สำคัญยังช่วยพัฒนาความคิดให้ไหลลื่นไปในขณะแข่งขัน

“ซ้อมวันละ 7-9 ชั่วโมงต่อวัน บางคนอาจจะมองว่าหนัก แต่มันเคยชิน เพราะเราต้องทุ่มเทให้กับการฝึกซ้อมอย่างเต็มที่ ทำให้ต้องออกมาเรียน กศน. แต่ยืนยันไม่ทิ้งการเรียนเด็ดขาด หนูตั้งใจจะเรียนให้สูงๆ แต่ตอนนี้มีโอกาส ก็อยากจะทำผลงานในวงการสนุกเกอร์ให้ดีเสียก่อน เพราะสนุกเกอร์ถือเป็นกีฬาที่หากเอาดีและเทิร์นโปรแล้ว สามารถยึดเป็นอาชีพที่มีรายได้สูงทีเดียว ในอนาคตอันใกล้มีรายการเอเชียน อินดอร์ส เกมส์ ตั้งใจจะคว้าเหรียญให้ได้”

สิ่งที่ตัวเองยึดมั่นมาโดยตลอด คือ “ห้ามขี้เกียจ” เป็นสิ่งที่เตือนตัวเองตลอด ดูเหมือนจะปฏิบัติง่าย แต่บางครั้งก็มีวอกแวกเหมือนกันสำหรับสาววัยนี้

“กีฬาชนิดนี้ต้องมีสมาธิอย่างยิ่ง และที่สำคัญต้องต่อสู้กับตัวเอง ถ้าคุณขี้เกียจ ไม่ขยันฝึกซ้อมคุณก็จะไปได้ไม่ไกล บางครั้งก็มีขี้เกียจบ้างเหมือนกัน แต่สุดท้ายนึกถึงหน้าพ่อกับแม่ หนูก็ต้องซ้อมหนักมากกว่าคนอื่นเพราะต้องการผลักดันตัวเอง อยากยกระดับฐานะของครอบครัว เป้าหมาย อยากซื้อบ้านใหม่ให้พ่อกับแม่”

ตอนนี้ยอมรับว่าไม่ค่อยมีเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกัน เพราะเวลาส่วนใหญ่หมดไปกับการฝึกซ้อมและตระเวนแข่ง

“หนูไม่รู้สึกว่าขาดอะไร แม้จะไม่ค่อยมีเพื่อนในวัยเดียวกัน แต่ทุกที่ไม่ว่าจะต่างจังหวัด บางครั้งพ่อกับแม่จะคอยเป็นกำลังใจให้ตลอด ถึงแม้ไม่ได้ไปก็จะอาศัยเทคโนโลยี ทั้งไลน์ ทั้งเฟซ ทำให้เรารู้สึกว่าใกล้กันตลอด ไม่รู้สึกขาดอะไร”

สำหรับอนาคตข้างหน้า อีก 2-3 ปี ณัชชารัตน์ตั้งเป้าอยากจะเล่นสนุกเกอร์อาชีพโลกของผู้หญิง ถ้ามีศักยภาพพอก็อยากจะเล่นในการแข่งขันร่วมกับผู้ชาย เพราะมั่นใจว่าศักยภาพของตัวเองสามารถสู้กับนักกีฬาสนุกเกอร์ระดับโลกได้ขาดเพียงแต่ผู้สนับสนุน ไม่มีสปอนเซอร์หลัก เพราะค่าใช้จ่ายในการแข่งขันอาชีพสูง

“เคยแข่งกับนักสนุกเกอร์หญิงระดับโลก เมื่อปี 2015-2016 อย่าง รีแอนน์ อีแวนส์ แชมป์โลกสนุกเกอร์อาชีพหญิง 10 สมัย ชาวอังกฤษ ตอนนั้นแพ้เธอเพราะประสบการณ์เป็นรอง แต่ตอนนี้มั่นใจในศักยภาพของตัวเอง น่าจะสู้กันสนุก”

นักกีฬาที่มิงค์ยึดเป็นไอดอล คือ มาร์ค เซลบี้ นักสนุกเกอร์เจ้าของแชมป์โลก 3 สมัย ชาวอังกฤษ และ “ขวัญ สระบุรี” สุชาครีย์ พุ่มแจ้ง

“ชอบสไตล์การแทงที่เหนียวแน่น แม่นยำของเซลบี้ ขณะที่นักสนุกเกอร์ไทยชอบพี่ขวัญ สระบุรี เพราะชอบการวางแผนและสร้างสรรค์เกม ชอบบีบเกมให้คู่ต่อสู้แทงยากจะพยายามเอาจุดดีของทั้งสองคนมารวมกัน”

ท้ายสุด แชมป์เยาวชนโลกวัย 18 ปี มีคำแนะนำฝากไปถึงผู้มีใจเล่นกีฬาสนุกเกอร์ด้วยว่า ขอเพียงมุ่งมั่นและอย่าย่อท้อต่ออุปสรรค ความสำเร็จก็จะอยู่ไม่ไกล

“อยากฝากบอกว่าให้ตั้งใจและมุ่งมั่นกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า เพราะว่าผู้หญิงเก่งสนุกเกอร์ไม่ยาก ขอให้มีความมั่นใจ ตั้งใจและซ้อมเยอะๆ เท่านั้นเอง ที่สำคัญต้องรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไร และมีเป้าหมายอย่างไร เพื่อที่จะเดินไปสู่จุดหมาย”

ความคิดความอ่านถือว่าไม่ธรรมดา สำหรับเด็กวัยนี้ขอเป็นกำลังใจให้นักสอยคิวดาวรุ่งดวงนี้ไปให้ไกล

ไม่แน่วงการสนุกเกอร์ไทยอาจกลับมาโด่งดังอีกครั้งเหมือนยุคของ “ไทย ทอร์นาโด”

 

“ภาษา แอคติ้ง ตัดเย็บ พัฒนาบุคลิกภาพ” สิ่งที่ได้จาก “คอสเพลย์” ไม่ใช่คำว่าไร้สาระ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

01 สิงหาคม 2560 เวลา 19:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/506542

"ภาษา แอคติ้ง ตัดเย็บ พัฒนาบุคลิกภาพ" สิ่งที่ได้จาก "คอสเพลย์" ไม่ใช่คำว่าไร้สาระ

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

คอสเพลย์ การแต่งตัวเลียนแบบตัวการ์ตูน ตัวละคร ศิลปินดารา เป็นวัฒนธรรมแฟชั่นที่มีต้นกำเนิดจากประเทศญี่ปุ่น ปัจจุบันแพร่หลายไปทั่วโลกรวมถึงไทย เห็นได้จากเมื่อมีการจัดงานคอสเพลย์เมื่อไหร่จะมีผู้เข้าร่วมล้นหลาม แต่อีกมุมหนึ่งแฟชั่นประเภทนี้ ถูกคนมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ

“ถามว่าคอสเพลย์ไร้สาระไหม มันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด และวันนี้ผมมีความสุขกับมันมาก” รัตน์พล ขำจิตร์ หรือ เก่ง อายุ 26 ปี ชายหนุ่มผู้ชื่นชอบหลงใหลการแต่งคอสเพลย์มานานกว่า 10 ปี บอกด้วยรอยยิ้มและพร้อมเปิดใจความรู้สึกของผู้ที่ชอบแฟชั่นประเภทนี้ ในอีกมุมที่หลายคนไม่เคยรู้ว่า การแต่งคอสเพลย์สามารถต่อยอดนำมาสร้างอาชีพได้

คอสเพลย์ จุดเริ่มต้นการพัฒนาความรู้

รัตน์พล เริ่มเล่าว่าตอนเด็กเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย เพราะนิสัยส่วนตัวเป็นคนไม่ชอบเตะฟุตบอล-สังสรรค์กับเพื่อน แต่พอได้เข้ามาสู่วงการแต่งคอสเพลย์รู้สึกได้ทันทีว่าชอบ โดยจุดเริ่มต้นอยู่ช่วงมัธยมศึกษาปีที่ 5 ตอนนั้นเรียนอยู่โรงเรียนโยธินบูรณะ ทุกสัปดาห์จะมี 1 ชั่วโมง เป็นกิจกรรมวิชาอิสระที่จะให้นักเรียนเลือกเข้าชมรมกิจกรรมตามความสนใจ กลุ่มคอสเพลย์เป็นหนึ่งชมรม และเมื่อได้เข้าไปพูดคุยกับเพื่อนๆ ทำให้รู้สึกว่าได้เจอคนที่พูดคุยภาษาเดียวกัน ซึ่งความรู้สึกเดียวกับคนที่ชื่นชอบดูฟุตบอล

ส่วนการเริ่มแต่งประกวดจำได้ว่า ตอนนั้นที่ชมรมมีโปรเจคแข่งขันงานดีเดย์คอสเพลย์ เป็นงานซึ่งคนชื่นชอบแต่งมารวมตัวกัน โดยตรีมงานจะแต่งเป็นตัวละครในเรื่องๆ เดียว ตั้งแต่นั้นจึงเริ่มจริงจังมากขึ้น เพราะก่อนแข่งขันต้องศึกษาเรียนรู้ทุกเรื่องเกี่ยวกับคอสเพลย์ตั้งแต่ตัดชุด เซ็ตวิก การฝึกซ้อมเลียนแบบท่าทางตามตัวละคร

รัตน์พล บอกว่าสิ่งที่คนเริ่มแต่งคอสเพลย์เหมือนกัน คือไม่มีความรู้พื้นฐานเรื่องการตัดเย็บเสื้อผ้า แต่งหน้าเซ็ตผม ทำให้ทุกคนต้องพยายามฝึกฝนสะสมประสบการณ์ ช่วงแรกทุกคนอาจแต่งออกมาไม่เหมือนต้นฉบับมาก แต่ทุกคนต้องพยายาม เพราะเมื่อก่อนการแต่งคอสเพลย์ไม่มีทางลัดเหมือนปัจจุบันที่มียูทูปให้เรียนรู้ ผู้ที่สนใจต้องศึกษาหาอ่านเองตามบล็อกเกอร์ โดยผู้ที่เคยแต่งจะมาแชร์ประสบการณ์ร่วมกัน ซึ่งต้องเรียนรู้เองจากในนั้น

“ตัดชุดก็ต้องฝึกเอง ดูจากรูป ดูคาแรคเตอร์ตัวละครเอา ว่าแต่ละตัวมีท่าที การแต่งตัวยังไง เราก็ต้องทำให้คล้ายมากสุด นี่จึงเป็นสิ่งที่ทำให้ทุกคน พัฒนาฝีมือขึ้นเรื่อยๆ”

การฝึกซ้อมก่อนแข่ง และช่วงได้รับรางวัลในงานแต่งคอสเพลย์

 

ภาษา แอคติ้ง ตัดเย็บ ทำผม ความรู้จากคอสเพลย์

หนุ่มผู้ชื่นชอบแต่งคอสเพลย์ รายนี้ เล่าว่าการเตรียมตัวหลายคนอาจมองว่า เป็นเรื่องง่ายเพราะปัจจุบันมีชุดสำเร็จรูปจำหน่าย ราคาตั้งแต่หลักพันถึงหมื่นบาทต่อชุด แต่ส่วนใหญ่คนวงการคอสเพลย์จะเลือกตัดเย็บชุด ทำอุปกรณ์กันเอง ซึ่งความยากง่ายอยู่ตรงดีเทลความละเอียด

การตัดชุดไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องทำให้เหมือนต้นฉบับมากที่สุดและต้องให้ผลงานออกมาสวยงาม ส่วนวิธีการสร้างชุด เริ่มจากเลือกว่าจะแต่งเป็นตัวละครอะไร จากนั้นต้องแกะแพทเทิลรายละเอียดเครื่องแต่งกาย อุปกรณ์ตัวละครเพื่อนำมาสร้างให้คล้ายคลึงมากที่สุด

เริ่มจากปริ้นภาพออกมาว่ารายละเอียดชุดตัวละครเป็นอย่างไร ต้องดูละเอียดถึงกระดุมและรอยเย็บตะเข็บ เพื่อให้มีความสมบูรณ์ จากนั้นไปเลือกซื้อผ้าว่าจะใช้เนื้ออะไร บางครั้งไม่จำเป็นต้องใช้ผ้าราคาแพงอย่างเดียว แต่ควรคำนึงว่าเข้ากันทั้งชุดหรือไม่ ส่วนอุปกรณ์สำคัญอย่างอาวุธ เข็มขัด หรือพร็อพที่ไม่มีจำหน่าย ต้องทำขึ้นมาเอง โดยใช้ดินญี่ปุ่นปั้นขึ้นรูป จากนั้นนำไปหล่อเรซิ่น ซิลิโคน หรือโฟมยาง แล้วนำไปพ่นสี แต่ทางลัดทุกวันนี้มีเทคโนโลยีเครื่องพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งทำให้การสร้างอุปกรณ์เหล่านี้ง่ายมากยิ่งขึ้น

ขณะที่การสวมบทจิตวิญญาณเป็นตัวละคร ต้องเริ่มจากการศึกษาลักษณะนิสัยตัวละครว่า มีอุปนิสัยพฤติกรรมลักษณะเด่นอย่างไร เช่น เงียบขรึม ก้าวร้าว เฮฮา จากนั้นต้องมาซ้อมคนเดียวหน้ากระจก ก่อนไปซ้อมร่วมกับเพื่อน

“งานคอนเพลย์ไม่ใช่ว่า ใส่ชุดตัวละครแล้วออกมาเดิน เดิน เท่านั้นก็ได้ แต่มันจะบ่งบอกว่าคุณจริงจังกับงานแค่ไหน จึงเป็นเรื่องปกติที่มักเห็นว่า นิสัยจริงของคนแต่งคอสเพลย์ กับตัวละครไม่เหมือนกัน บางคนตัวจริงเงียบขรึม แต่เมื่อเป็นตัวละครต้องเฮฮา ซึ่งนี่เป็นเรื่องยากมาก”

รัตน์พล เล่าว่า อีกอย่างที่ได้จากคอสเพลย์นอกจากความรู้การตัดเย็บ แต่งหน้า ทำผม คือได้พัฒนาบุคลิกภาพ เพราะต้องฝึกเรื่องการวางตัวให้คนรอบข้างรู้สึกไม่อึดอัดเมื่ออยู่ใกล้ และอยากเข้ามาคุยด้วย นอกจากนั้นคอสเพลย์ยังทำให้รู้ภาษามากขึ้น เพราะเดิมส่วนตัวเป็นคนไม่เก่งภาษาอังกฤษ แต่เมื่อได้เดินสายไปโชว์ตามงานต่างประเทศต้องเจอผู้คนมากมาย มองว่าการยิ้มอย่างเดียวคงไม่ได้ จึงกลับมาคิดว่าต้องเริ่มพัฒนาภาษา จากนั้นเริ่มหาความรู้เพิ่มเติม ปัจจุบันแม้ใช้ภาษาสื่อสารไม่ได้เก่งมาก แต่สามารถพูดตอบโต้หัวเราะไปกับเพื่อนได้ แค่นี้ก็รู้สึกว่าดีระดับหนึ่งแล้ว

“เมื่อก่อนเป็นคนไม่เก่งภาษาอังกฤษเลย แต่พอไปเจอเพื่อนต่างประเทศ เราก็ยิ้มแย้มแจ่มใส แต่พูดไม่ได้ จึงคิดว่าไม่ได้แล้ว เมื่อกลับมาเลยไปเรียนภาษา ตอนนี้รู้สึกว่าเราพัฒนาเรื่องภาษาพอสมควร สามารถสื่อสาร เฮฮาไปกับเค้าได้”

คอสเพลย์ ไม่ใช่เรื่อง ไร้สาระ

รัตน์พล เล่าว่าปัจจุบันการแต่งคอสเพลย์ในประเทศไทยเปิดกว้างมากกว่าเมื่อก่อน เห็นได้จากการตลาด โฆษณา มิวสิควิดีโอปัจจุบันมีการแต่งคอสเพลย์มากขึ้น แต่สาเหตุหลักที่ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจจุดประสงค์แท้จริงของคอสเพลย์ เพราะทุกคนยังมองว่าเป็นเรื่องไร้สาระ ไม่ได้ประโยชน์

อยากขออธิบายว่าคอสเพลย์ไม่ใช่เรื่องไร้สาระอีกต่อไป ปัจจุบันสามารถนำมาสร้างเป็นอาชีพ ธุรกิจได้ตั้งแต่งานตัดเย็บเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผม หรือแม้แต่ธุรกิจทำพร็อพอุปกรณ์ ถ้าหากมีชื่อเสียงก็มีงานโชว์ทั้งในและต่างประเทศอีกด้วย

“เมืองไทยคนยังมองว่าการ์ตูน เป็นเรื่องสำหรับเด็ก แต่ในต่างประเทศเขามองมากกว่านั้น ผลงานดีๆ ในวงการการ์ตูน หนัง โฆษณาค่ายใหญ่ๆ ระดับโลก ล้วนแต่เป็นผลงานจากผู้ใหญ่ทั้งนั้น จึงอยากให้มองว่า การ์ตูนไม่ใช่เรื่องสำหรับเด็กอีกต่อไป”

รัตน์พล ทิ้งท้ายว่าหากถามคอสเพลย์ไร้สาระไหม ก็แล้วแต่คนมอง ขึ้นอยู่กับว่าคุณจริงจังแค่ไหน แต่สำคัญควรคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนรอบข้างมองว่า สิ่งที่ทำไม่ใช่แค่เรื่องไร้สาระ เพราะตอนแรกที่เริ่มแต่งส่วนตัวก็มีปัญหา คนรอบข้างไม่ยอมรับ แต่เมื่อพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่ามันไม่ใช่อย่างที่ทุกคนคิด ทุกวันนี้ผมมีความสุขกับมันมาก

 

“ปิดฉากคดีค้ามนุษย์” บทพิสูจน์ไทยไม่เคยละเลย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 กรกฎาคม 2560 เวลา 07:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/506102

"ปิดฉากคดีค้ามนุษย์" บทพิสูจน์ไทยไม่เคยละเลย

โดย…เอกชัย จั่นทอง

ศาลอาญาแผนกคดีค้ามนุษย์ ได้อ่านคำพิพากษาความยาว 541 หน้าไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับคดีค้ามนุษย์ “ชาวโรฮีนจา” นับเป็นคดีแรกตั้งแต่มีการก่อตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ ในศาลอาญาขึ้นมา ที่ต้องใช้เวลาอ่านคำพิพากษายาวนานกว่า 12 ชั่วโมง จนต้องบันทึกไว้บนหน้าประวัติศาสตร์ศาลไทยที่ใช้เวลาอ่านคำพิพากษานานที่สุด เนื่องจากจำเลยในคดีมีถึง 103 คน

ในฐานะหัวหน้าชุดสืบสวนคดีครั้งนั้น พล.ต.อ. เอก อังสนานนท์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เล่าจุดเริ่มต้นของคดีค้ามนุษย์เมื่อ 2 ปีก่อนกับโพสต์ทูเดย์ ว่า จุดเริ่มต้นคลี่คลายคดีชาวโรฮีนจา ตำรวจพบว่ามีขบวนการพาคนเหล่านี้ไปประเทศที่ 3 เรียกค่าไถ่จากญาติเป็นเงินหลายแสนบาท ผู้เสียหายบางรายไม่ยินยอมถูกทำร้ายทารุณจนเสียชีวิต

ฉากปฏิบัติการสืบสวนเข้มข้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อ ตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง เข้าตรวจสอบพื้นที่บนเทือกเขาแก้ว บ้านตะโละ ต.ปาดังเบซาร์ อ.สะเดา จ.สงขลา ภาพตรงหน้าเป็นค่ายกักกัน มีหลุมฝังศพจำนวนมาก นั่นคือความโหดร้ายที่เกิดจากการกระทำระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ หลายชีวิตต้องหมดลมหายใจเพราะถูกทรมานทุบตี อดอาหาร ทำให้ฝ่ายความมั่นคงยอมไม่ได้ที่จะให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะนี้ขึ้นในประเทศไทย เพราะบ้านเราคือเมืองพุทธ

“เหตุการณ์นี้ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต้องเข้ามาเน้นย้ำกำชับการทำงาน มอบหมายให้ลงไปดำเนินการคลี่คลายกวาดล้างจับกุมขบวนการค้าเนื้อสดเหล่านี้ให้ได้ จนในที่สุดสามารถนำตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษได้ตามพยานหลักฐานที่พบ จนศาลได้ตัดสินพิสูจน์ชัดเจนแล้วว่ามีการทำผิดจริง”พล.ต.อ.เอก เล่า

อดีตรอง ผบ.ตร. ยังย้อนปฏิบัติการขุดรากถอนโคนขบวนการค้าเนื้อสดครั้งประวัติศาสตร์ว่า ได้มีการตั้งศูนย์ปฏิบัติการตำรวจภูธรภาค 9 ส่วนหน้า ที่ สภ.หาดใหญ่ ขึ้นมาโดยเฉพาะ พร้อมระดมทีมพนักงานสอบสวนฝีมือดีทุกจังหวัดในพื้นที่กองบัญชาการตำรวจภาค 8 ละภาค 9 รวมถึงศาล สำนักงานอัยการสูงสุด (อส.) สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ผู้ว่าราชการจังหวัด ที่เข้ามาช่วยสืบสวนสอบสวนด้วย

ขณะนั้นได้ทาบทาม พล.ต.ต.ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรอง ผบช.ภ.8 มาเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีนี้ เพราะเชื่อในฝีไม้ลายมือจากผลงานสอบสวนสารพัดคดีที่ผ่านมา ด้วยความซื่อสัตย์ของ พล.ต.ต.ปวีณ คืออีกเหตุผลที่ไว้วางใจให้เข้ามาร่วมทำคดี ยอมใช้ชีวิตกินนอนอยู่ สภ.หาดใหญ่ กับเพื่อนตำรวจดังพี่น้อง แม้ผลลัพธ์ที่ตัวเองได้รับจะต้องลี้ภัยไปอยู่ต่างประเทศเหตุถูกข่มขู่คุกคามอย่างหนักก็ตาม

“ทำงานอยู่คลุกคลีตีโมงกันดึกดื่น ใช้ตำรวจประมาณ 200-300 คน จับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด ยอมรับเห็นใจนายตำรวจที่ช่วยกันสะสางคดีนี้จนสำเร็จ แม้จะเป็นคดีใหญ่ระดับประเทศทุกคนต่างมุ่งมั่นทำงานโดยไม่ได้สนใจเรื่องยศตำแหน่ง หรือการเลื่อนขั้น ทุกคนคิดเพียงว่ามันคือหน้าที่ของตำรวจในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขประชาชนเท่านั้น”

ดังพระบรมราโชวาทของรัชกาลที่ 5 ทรงพระราชทานไว้ว่า “การจับผู้ร้ายนั้นไม่ถือเป็นความชอบ เป็นแต่นับว่าผู้นั้นได้กระทำการครบถ้วนแก่หน้าที่เท่านั้น แต่จะถือเป็นความชอบต่อเมื่อได้ปกครองป้องกันเหตุร้าย ให้ชีวิตและทรัพย์สินสมบัติของข้าแผ่นดินในท้องที่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขพอสมควร” นั่นคือหลักยึดเหนี่ยวในการทำคดีนี้ของ พล.ต.อ.เอก และตลอดชีวิตที่สวมชุดสีกากี

ในห้วงเวลานั้นต้องทำงานแข่งกับเวลาที่เป็นข้อจำกัด บางครั้งดึกดื่นต้องนำพยานหลักฐานไปยื่นขอให้ศาลอนุมัติหมายจับ เพราะถ้าจับผู้ต้องหาได้ช้าพยานหลักฐานอาจสูญหายถูกทำลายได้ เนื่องจากตำรวจไม่มีเครื่องมือใดในการแสวงหาพยานหลักฐานนอกจากหมายเรียกกับหมายค้น ตำรวจไม่สามารถดักฟังโทรศัพท์ หรือใช้กฎหมายพิเศษได้เหมือนกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ

พล.ต.อ.เอก ยอมรับว่า การทำคดีนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย บางครั้งพยานปากสำคัญกลัวการให้ข้อมูลกับตำรวจ บางคนหลบหนีไปตำรวจก็ต้องไปตามพาตัวมา ไปรับพยานแต่ละครั้งมีตำรวจคุ้มกันนับสิบคน หรืออย่างในช่วงถือศีลอดเราก็ต้องดูแลพยานเหล่านี้เป็นอย่างดี ยอมรับเห็นน้ำใจตำรวจที่ร่วมทำคดีนี้ทุกนาย

สำหรับขั้นตอนทำงานใช้เวลาสอบปากคำหลายวันหลายชั่วโมงหลายอย่างเป็นเรื่องละเอียดอ่อนมาก การทำคดีนี้สะท้อนอย่างชัดเจนว่าตำรวจทุกนายอุทิศกายตั้งใจทำคดี ไม่มีใครมาสนใจเรื่องอื่น แม้ว่าตำรวจทุกคนจะทราบดีว่าการทำงานครั้งนี้มีความเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน

“พอจับกุมผู้ต้องหาได้ทั้งหมดก็เหมือนหยุดเลือดไหลไม่มีใครกล้าเข้าไปเกี่ยวข้อง ตั้งข้อสังเกตว่าถ้าไม่มีการจับกุมขบวนการค้ามนุษย์ ชาวโรฮีนจาอาจตั้งรกรากอยู่ในประเทศ กลายเป็นชนกลุ่มน้อย สร้างความเสียหายกับประเทศ จึงเชื่อได้ว่าถ้าไม่มีคนไทยเข้าไปเกี่ยวข้อง ชาวโรฮีนจากลุ่มนี้คงเข้ามาในประเทศไม่ได้แน่นอน”

กระนั้นก็ตาม คดีที่เกิดขึ้นทั่วโลกต่างจับจ้องดูการทำงานของตำรวจ หลายฝ่ายเกรงว่าอาจเกิดการแทรกแซงของผู้มีอำนาจเหนือกว่า อดีตหัวหน้าชุดสืบสวน ตอบโต้กลับมาทันทีว่า การทำคดีครั้งนั้นไม่มีใครมากดดัน เพราะ พล.อ. ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร สั่งให้ดำเนินการอย่างเฉียบขาด เนื่องจากเป็นเรื่องของประเทศชาติ ท่านให้ความสำคัญอย่างมาก มุ่งหวังให้ประเทศไทยไม่ติดกับดักปัญหาการค้ามนุษย์ และต้องการให้นานาประเทศที่เคยกล่าวหาไทยได้เข้าใจ จากคำพิพากษาศาลคงเป็นประจักษ์พยานพิสูจน์ความจริงจังในการแก้ไขปัญหาของรัฐบาลนี้

คดีค้ามนุษย์ไม่ใช่ผลงานของตัวเอง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้สะท้อนให้เห็นแล้วว่าคือ ผลงานของนายตำรวจทุกคนทุกฟันเฟืองในวันนั้นที่รวมหัวใจทำงานจนทำให้การดำเนินคดีเดินหน้าต่อไปได้

“ผมแค่กำกับควบคุมดูแลถ่ายทอดแนวทางทำงานเท่านั้น คำตัดสินของศาลคือบทพิสูจน์แล้วว่าเราทำงานโดยไม่กลั่นแกล้งใคร เป็นเรื่องของตัวบุคคลเสียส่วนใหญ่ ไม่ใช่เรื่ององค์กรแต่อย่างใด เพราะถ้าพยานหลักฐานไม่เพียงพอหรือหลักฐานไม่น่าเชื่อถือศาลคงไม่มีคำสั่งลงโทษ แม้จะอยู่ในชั้นต้นก็ตาม แต่นั่นก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเราจริงจังกับปัญหาเพียงใด”

ทว่าคำตัดสินของตุลาการในคดีนี้บ่งชี้ปัญหาค้ามนุษย์อย่างไร พล.ต.อ.เอก อธิบายให้ฟังว่า เราได้เห็นปัญหาเห็นเครือข่ายผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ โดยใช้อำนาจหน้าที่เสาะแสวงหาผลประโยชน์ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการจับกุมปราบปรามไม่ได้ เนื่องจากกลุ่มเหล่านี้มีมวลชน มีเครือข่าย ดังนั้นต้องมีมาตรการต่างๆ เข้าไปปฏิบัติการอย่างเฉียบขาด เพราะคนเหล่านี้มันเกี่ยวข้องกับธุรกิจสีเทา นั่นก็เป็นปัญหาที่ต้องสืบสวนปราบปราม

ขบวนการพวกนี้คือออร์แกไนช์ไครม์ (Crime)ที่ไม่ใช่การทำเพียงคนเดียว แต่เป็นรูปแบบของเครือข่าย ท้ายที่สุดการรับมือพวกนี้ต้องจริงจังและมีเครื่องมือในการแก้ไข มีผู้นำที่มีประสบการณ์เข้าไปควบคุม และสิ่งที่เห็นจากคำตัดสินศาลสะท้อนให้นานาประเทศได้เห็นแล้วว่า เราตอบโจทย์เรื่องการจัดอันดับเทียร์ ที่ปัจจุบันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ พยายามเข้ามาจัดการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์

อดีตหัวหน้าชุดจับกุมค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจา ให้รายละเอียดต่อไปว่า การค้ามนุษย์ยังฉุดทำลายระบบเศรษฐกิจและความมั่นคงของประเทศอีกสารพัด ผลลัพธ์ที่ได้จากการปราบปรามทำให้ตอนนี้ไม่มีขบวนการค้ามนุษย์ชาวโรฮีนจาผ่านมายังประเทศไทยอีก เนื่องจากผู้เกี่ยวข้องถูกจับดำเนินคดีทั้งหมด คดีนี้คงจะเป็นตัวอย่างเป็นเงาสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหานี้อย่างจริงจัง

“หวังว่าประเทศสหรัฐอเมริกาจะตระหนักคิดถึงสิ่งที่เคยมองประเทศไทยว่ามีการค้ามนุษย์ คงจะเข้าใจในคำตัดสินของศาลที่คือหลักประกัน ซึ่งเป็นคดีแรกที่ตัดสินดำเนินคดีลงโทษกับขบวนการค้ามนุษย์ ครั้งตั้งแต่เริ่มมีการก่อตั้งแผนกคดีค้ามนุษย์ ศาลอาญา ปี 2558 อีกทั้งยังเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่มีผู้ต้องหาจำนวนมาก จึงต้องใช้เวลาพิจารณาคดียาวนานกว่า 12 ชั่วโมง”

ถามถึงความหวังกับการดำเนินคดีค้ามนุษย์ พล.ต.อ.เอก ย้ำว่า ต่อจากนี้ไปคงเป็นเรื่องของความเอาจริงเอาจังในแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์ คงไม่มีใครกล้าทำผิดอีก หลังจากนี้จะเกิดการป้องกันปราบปรามไม่ให้เกิดปัญหานี้ขึ้นมา ส่วนตัวคาดหวังว่าในปีต่อไปสหรัฐอเมริกาอาจเข้าใจว่าประเทศไทยมุ่งมั่นแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์มากน้อยแค่ไหน

เพราะจากคำตัดสินของศาลคงเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อการแก้ไขปัญหาค้ามนุษย์แล้วว่าประเทศ ไทยไม่เคยปล่อยปละละเลยเรื่องเหล่านี้ หวังภาวนาว่าผลการจัดอันดับเทียร์ของประเทศไทยจะมีสถานะดีเหมือนนานาอารยประเทศ

 

“ตวง อันทะไชย” รื้อครั้งใหญ่ปฏิรูปการศึกษา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 กรกฎาคม 2560 เวลา 13:58 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/505369

"ตวง อันทะไชย" รื้อครั้งใหญ่ปฏิรูปการศึกษา

โดย…ทีมข่าวในประเทศโพสต์ทูเดย์

หลังจากที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 ซึ่งประกาศใช้แล้ว ระบุว่า การศึกษาของประเทศที่จะต้องปรับตัวและเตรียมความพร้อมให้เป็นไปตามบทบัญญัติยังถูกตั้งข้อสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง จึงเป็นโอกาสอันดีที่โพสต์ทูเดย์จะมานั่งคุยกับ ตวง อันทะไชย ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นและสื่อสารสังคม ของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา เพื่อให้ความกระจ่างในเรื่องนี้

ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นและสื่อสารสังคม เริ่มต้นการสนทนาโดยบอกว่า การปฏิรูปการศึกษารอบนี้จะสำเร็จอย่างแน่นอน เพราะมีองค์ประกอบหลายอย่างเกื้อหนุนและเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อกอปรกับสิ่งที่ดำเนินการไปแล้วก่อนหน้านี้ ตามที่กรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา ของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ได้จัดทำแผนเฉพาะกิจปฏิรูปการศึกษาในระยะเปลี่ยนผ่าน 5 ปี ตั้งแต่ปี 2560-2564 ให้ สนช.พิจารณา ก่อนส่งต่อให้คณะรัฐมนตรี กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ตามลำดับ ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเห็นด้วยกับแผนที่่ส่งไปแต่ก็มีความเห็นเพิ่มในเพียงบางประเด็น

“หลายประเด็นที่ระบุไว้ชัดในรัฐธรรมนูญ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องลงมือทำเลยทันที และที่ผ่านมาก็มีการดำเนินการไปแล้ว เช่นเรื่องการดูแลพัฒนาเด็กเล็ก โดยระบุในแผนให้ตั้งสถาบันแห่งชาติพัฒนาเด็กเล็ก เราไม่เคยมีรัฐธรรมนูญที่ระบุในเรื่องนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่มีการบังคับให้รัฐสนับสนุนงบประมาณรายหัว ต้องจัดการเรียนการสอนให้เด็กแต่ละช่วงอายุ จะจัดแบบตามมีตามเกิดแบบเมื่อก่อนไม่ได้ จากนี้ต้องมีการออกแบบกระบวนการหลักสูตรการเรียน การดูแล การวัดผล ซึ่งเด็กวัยนี้ไม่ต้องเรียนเหมือนเด็กโต ต้องเน้นกระบวนการเล่น ที่พัฒนาสติปัญญา สมองรัฐธรรมนูญระบุเลยว่าเรื่องนี้ ให้รัฐบาล ท้องถิ่น เอกชนร่วมมือกันจัดสรรขึ้น

ต่อจากการพุงเป้าไปที่เด็กเล็ก ก็คือการปรับปรุงระบบการจัดการเรียนการสอนทุกระดับ จัดการหลักสูตร ปัจจุบัน เราสอนให้คนท่องจำเพื่อไปสอบวัด แล้วได้ใบรับรองการศึกษา แต่สิ่งที่เรากำลังปรับปรุงใหม่ คือการเรียนในอนาคต ต้องเรียนเพื่อให้มีอาชีพมีงานทำ ลดความเหลื่อมล้ำ หลักสูตรในอนาคตจะต้องออกแบบวิธีสอนและวิธีวัดผลใหม่ เป็นกระบวนการเรียนแบบแอ็กทีฟเลิร์นนิ่ง ที่เน้นการเรียนการสอนด้วยกระบวนการที่ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ การปฏิบัติสิ่งที่ชอบจริงๆ จะทำให้เกิดการคิดวิเคราะห์ ระหว่างลงมือทำ จนเกิดทักษะในการประมวลองค์ความรู้นำไปสู่การสรุปบทเรียน ประเทศที่ปฏิรูปการศึกษาสำเร็จ ปรับการเรียนการสอน การวัดผลเป็นแบบนี้หมดแล้ว ที่ผ่านมาเราได้คะแนนโอเน็ต คะแนนพิซ่าต่ำเพราะเราสอนแบบเน้นท่องจำ แต่ออกข้อสอบเป็นแบบที่คิดว่าสอนแบบแอ็กทีฟเลิร์นนิ่ง”ตวง กล่าว

อดีตประธานกรรมาธิการการศึกษาและการกีฬา สนช. กล่าวอีกว่า การเรียนการสอนที่เกิดขึ้นในอดีตไม่ใช่ความผิดของครูผู้สอน เพราะครูนั้นสอนตามที่หลักสูตรระบุไว้ ซึ่งในอนาคตเมื่อหลักสูตรเปลี่ยนครูก็ต้องเปลี่ยนวิธีการสอนตามไปด้วย

“เมื่อหลักสูตรเปลี่ยน ระบบการเรียนการสอนก็ต้องถูกเปลี่ยนให้สอดคล้องกัน เดิมเราเรียนไปตามหลักสูตรจนจบระดับต่างๆ ใครเรียนเก่งสอบวัดคะแนนดี ก็ไปประกอบอาชีพชั้นนำ เป็นหมอ เป็นวิศวกร ฯลฯ ไม่เก่งก็ไปเรียนอาชีวะ แต่โลกยุคใหม่ไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว โลกไม่ต้องการเพียงแค่คนเก่งแต่วิชาการ แต่ต้องการคนเก่งที่มีความสามารถเฉพาะตัวตามที่ทฤษฎีพหุปัญญาของ โฮวาร์ด การ์ดเนอร์ นักจิตวิทยา มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด บอกไว้ว่า การวัดระดับสติปัญญาหรือไอคิวอาจได้ผลเพียงเสี้ยวเดียว เพราะว่าวัดได้เพียงเรื่องของภาษา ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์ และมิติสัมพันธ์เพียงบางส่วนเท่านั้น

ยังมีความสามารถอีกหลายด้านที่แบบทดสอบในปัจจุบันไม่สามารถวัดได้ครอบคลุมถึง เช่น เรื่องของความสามารถทางดนตรี ความสามารถทางกีฬา และความสามารถทางศิลปะ เพราะสติปัญญาของมนุษย์มีหลายด้านที่มีความสำคัญเท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับว่าใครจะโดดเด่นในด้านไหนบ้าง แล้วแต่ละด้านผสมผสานกัน แสดงออกมาเป็นความสามารถในเรื่องใด เป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละคนไป

นอกจากนี้ ยังต้องปรับปรุงโครงสร้างหน่วยงานจัดการเรียนการสอน ปรับระบบการวิจัย นิเทศ ติดตามแหล่งเรียนรู้ โดยตั้งสถาบันการจัดการเพื่อสังคมการศึกษาตลอดชีวิต ยึดเด็กหรือผู้เรียนเป็นเป้าหมาย อำนาจของ ศธ.ลงมา จากผู้จัดการศึกษา เป็นผู้ส่งเสริมให้หน่วยงานในสังกัด โดยจะทำหน้าที่เป็นผู้กำกับติดตาม ประเมิน ควบคุมทิศทาง สนับสนุนให้ท้องถิ่นและเอกชนจัดการศึกษา”ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นและสื่อสารสังคม กล่าว

สิ่งที่จะเกิดขึ้นและเห็นความเปลี่ยนแปลงจะเริ่มเห็นชัดจากโรงเรียนที่พร้อมประกาศเป็นนิติบุคคล เช่น โรงเรียนประจำจังหวัด ประจำอำเภอ หรือเป็นกลุ่มโรงเรียนรวมตัวกัน ซึ่งโรงเรียนกลุ่มนี้จะมีโอกาสให้จัดการตัวเองได้มากขึ้น เช่น เลื่อนขั้นเงินเดือนครูเองได้ จัดหาสิ่งปัจจัยการเรียนการสอนที่ขาดแคลนเองได้ เช่น จ้างครูสอนภาษา หรือตั้งงบประมาณจัดหาอุปกรณ์ที่ต้องใช้เพื่อการเรียนการศึกษาที่ออกแบบไว้บางเรื่องเป็นการเฉพาะ เช่น เครื่องมือที่ใช้ในการจัดการผลิตผลการเกษตร ทรัพยากรในท้องถิ่น

“ต้องยอมรับว่าปฏิรูปในยุคก่อนนั้นเข้าไม่ถึงตัวผู้เรียน แต่รอบนี้การเปลี่ยนบทบาทการจัดการศึกษาให้การบริหารจากส่วนกลางเล็กลง เป็นการทำหน้าที่กำกับเชิงนโยบายเพื่อกระจายอำนาจให้จังหวัดเป็นฐานเพื่อเชื่อมโยงจากบนสู่ล่างและล่างขึ้นบน เปิดช่องทางให้สถานศึกษากำหนดบทบาทต่อผู้เรียนอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องรอให้กระทรวงหรือเขตสั่ง การศึกษายุคใหม่จะไม่พูดถึงอำนาจการบริหารของข้าราชการ ตำแหน่ง แล้วหวังว่าพวกเขาจะเข้าไปเปลี่ยนแปลง แต่ต้องพุ่งเป้าไปที่ผู้เรียนทุกระดับ แล้วถามผู้บริหารที่เกี่ยวข้องในทุกระดับว่าจะเข้าไปทำอะไรให้ขับเคลื่อนการศึกษาไปในทางที่ดีขึ้น

และถ้าโรงเรียนเข้มแข็งในอนาคตใครจะมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงนี้ก็เหมือนเดิม เพราะไม่มีอำนาจไปรื้อหรือสั่งการอะไรโรงเรียนได้ จะงอกโครงการประชานิยมประกาศมอบ หรือให้สิ่งที่โรงเรียนไม่ต้องการหรือไม่มีความจำเป็นไม่ได้ และไม่ต้องกลัวเรื่องแต่ละโรงเรียนหรือท้องที่หรือท้องถิ่นมีการทุจริต เพราะท้องถิ่นซึ่งหมายถึงผู้ปกครองในแต่ละพื้นที่ในวันนี้ มีระบบตรวจสอบการทุจริต คัดกรองโครงการต่างๆ กันเองที่เข้มแข็งกว่าส่วนกลางอีก เพราะพวกเขาอยากให้โรงเรียนมอบสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกหลาน” ประธานคณะอนุกรรมการรับฟังความคิดเห็นและสื่อสารสังคม คณะกรรมการอิสระฯ กล่าวทิ้งท้าย

 

“เกิดเป็นคน สุจริตกับชีวิตเข้าไว้” พระหม่อมเหยิน ถอดความฮาสู่ความสงบถวายในหลวง ร.9

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 กรกฎาคม 2560 เวลา 19:18 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/504850

"เกิดเป็นคน สุจริตกับชีวิตเข้าไว้" พระหม่อมเหยิน ถอดความฮาสู่ความสงบถวายในหลวง ร.9

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

ในบรรดาดาวตลก 40 คนที่เข้าพิธีอุปสมบท ณ พัทธสีมา วัดบางพลีใหญ่ จ.สมุทรปราการ เพื่อถวายพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อวันที่ 16 ม.ค.2560  มีเพียง พระประสิทธิ์ ชาคโล หรือ หม่อมเหยิน เท่านั้นที่ตัดสินใจอยู่ในสมณเพศมาจนกระทั่งปัจจุบัน

จากเด็กลพบุรี อายุแค่ 10 ขวบ ต้องฝ่าฟันทำมาหากินในโรงลิเก คณะดนตรีลูกทุ่ง ก่อนขวนขวายโอกาสนำพาตัวเองไปเป็นนักจัดรายการวิทยุและประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิตกับบทบาทตลกคาเฟ่

วันนี้พระประสิทธิ์ ตัดสินใจละทางโลก ปล่อยเวลาที่ผ่านมาไว้เป็นเพียงอดีต มุ่งหน้าบำเพ็ญกุศลถวายแด่ในหลวงรัชกาลที่ 9 จนกว่าจะสิ้นลมหายใจ โดยจำพรรษาอยู่ที่วัดธรรมปัญญา อ.บ้านนา จ.นครนายก

บวชตลอดชีวิตเพื่อในหลวง ร.9

พระประสิทธิ์ หรือ ประสิทธิ์ เทศทะวงศ์ อายุ 74 ปี ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บุคลิกนิ่งสุขุมต่างไปมากจากอดีตเมื่อครั้งโดนเด่นอยู่บนเวทีตลก ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมา พระพุทธศาสนาขัดเกลาความวุ่นวายทางโลกและยึดเหนี่ยวท่านไว้อย่างสงบ

“หลังครบ 9 วันแรก รู้สึกสงบ ไม่อยากสึก คุยกับทางครอบครัวลูกและภรรยาก็ไม่มีปัญหา เลยตั้งอธิษฐานจิตขอบวชตลอดชีวิต อายุเราก็เหลือไม่มากแล้วจะมีสิ่งใดเล่าที่จะทดแทนหรือตอบแทนพระองค์ท่านได้” พระประสิทธิ์เอ่ยถึงความตั้งใจพร้อมกับบอกต่อว่า “ขอให้ผ้าเหลืองเป็นสิ่งตอบแทนความเมตตาของพระองค์ไปตลอดชีวิต”

ปัจจุบันพระประสิทธิ์เลือกพักอยู่ในกุฏิขนาดเล็ก บริเวณป่าช้า ของวัดธรรมปัญญา เนื่องจากต้องการสมาธิและความสงบเพื่ออ่านหนังสือศึกษาธรรมมะ ส่วนสาเหตุที่เลือกจำพรรษาที่นี่ เพราะรู้จักมักคุ้นกับเจ้าอาวาสมาตั้งแต่สมัยเป็นตลกชื่อดัง

“รู้จักกันมานาน ไปมาหาสู่กันตลอด จริงๆ ท่านชวนเราบวชมานานแล้ว บอกเหนื่อยมามาก บวชดีกว่า แต่อาตมาปฏิเสธตลอด”

กุฏิขนาดเล็ก บริเวณป่าช้า ของวัดธรรมปัญญา

ซึ้งรสพระธรรม–ตั้งเป้าสร้างสำนักเมตตาสุนัข

ร่มกาสาวพัสตร์คือความสุขและความสงบในช่วงบั้นปลายของชีวิตที่พระประสิทธิ์พอใจมาก ท่าน เล่าให้ฟังว่า สิ่งสำคัญในการดำรงสมณเพศคือการตั้งสติอย่างมั่นคงและมีสมาธิรู้จักสถานะของตัวเอง ปฏิบัติตนตามหลักพระพุทธศาสนา หากทำได้อย่างถูกต้องจะเหมือนมีสิ่งใดคอยดลใจให้ผู้นั้นไม่อยากละสีผ้าเหลืองไปจากร่าง

“หากบวชเพื่อคลายทุกข์หรือหลบหลีกไม่นานเดี๋ยวก็อยากสึก แต่ตอนนี้เราไม่ได้คิดแบบนั้นเลย ขออุทิศส่วนกุศลให้กับพระองค์ทุกๆ วัน”

อดีตเจ้าของฉายาหม่อมเหยิน บอกว่า แต่ละวันจะสวดมนต์เป็นเวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ขณะสวดเหมือนมีอะไรดลใจให้อยากสวดและภาวนาอธิษฐานหลายสิ่งหลายอย่างต่อไป ยอมรับว่าการฝึกฝนในช่วงวัย 74 ปี อาจจะลำบากอยู่บ้างในช่วงแรก

สำหรับเป้าหมายของพระประสิทธิ์ คือ การสร้างสำนักสงฆ์ปฏิบัติธรรมและเป็นสถานรองรับเหล่าสุนัขที่ถูกทอดทิ้ง

“ล่าสุดมีคนเฒ่าคนแก่เอาหมามาให้อีก 5 ตัว ตอนนี้มีทั้งหมด 7 ตัวแล้ว ขอเมตตาต่อสัตว์ให้มากที่สุด นอกจากช่วยเหลือมันแล้ว ยังสอดคล้องกับแนวทางของพ่อหลวงพระองค์ท่านที่เป็นคนรักสุนัขด้วย

ส่วนวันหน้าถ้ามีโอกาส ด้วยบารมี อยากมีที่ตั้งสำนักสงฆ์ รองรับหมาที่ตกทุกข์ได้อยากหรือเจ้าของไม่พร้อมเลี้ยง อยากทำด้วยเจตนารมณ์ที่ถูกต้อง เมตตาสัตว์ค้ำจุนสัตว์ไม่ซ่อนเร้นหาประโยชน์ ”

ใช้ชีวิตอย่างสุจริตและปล่อยให้ชะตานำพา

สำหรับเส้นทางชีวิตของพระสงห์รายนี้ บ้านเกิดอยู่จังหวัดลพบุรี จบการศึกษาเพียงแค่ชั้น ป.4 ก็เริ่มต้นนับหนึ่งในเรื่องความสามารถทางการแสดงกับลิเกคณะกุมารทองลูกขุนแผน รับบทบาทเป็นตัวโกง จนกระทั่งอายุได้ 17 ปี เข้าทำงานเป็นนักแสดงตลกกับคณะดนตรีลูกทุ่งพรนารายณ์ เป็นตลกในวงดนตรีลูกทุ่งได้สักระยะก็เริ่มฉายแววถูก วัชรพล ลิมปะพันธุ์ หรือ “แอ๊ด เทวดา” เจ้าของสื่อวิทยุจังหวัดพิษณุโลกและพื้นที่ภาคเหนือตอนล่าง ชักชวนให้มาจัดรายการวิทยุร่วมกัน

“แกบอกเลิกเล่นเหอะ มานี่มีอนาคต ได้เงินได้ทองเยอะกว่า”

ชายหนุ่มผมยาวฟันเหยินมุ่งมั่นเป็นดีเจจัดรายการวิทยุมากว่า 10 ปี มีความสุขกับการใช้เสียง เปิดเพลง และให้คำแนะนำกับเหล่านักร้องหน้าใหม่ ชีวิตลงหลักปักฐาน สร้างบ้านมีครอบครัว และไม่คิดฝันว่าจะต้องย้ายถิ่นฐานหรือเปลี่ยนแปลงอาชีพ จนกระทั่งราวปี พ.ศ.2531 จุ๋มจิ๋ม เข็มเล็ก หรือ สมศักดิ์ หมีพุฒ อดีตนักแสดงตลกร่างอ้วนชาวไทย เพื่อนสนิทตั้งแต่วัยเด็ก ที่กำลังโด่งดังในขณะนั้นร่วมกับ เทพ โพธิ์งามและเพชร ดาราฉาย ชักชวนไปสร้างชื่อในเมืองหลวง

“สมัยนั้นได้เงินประมาณเดือนละ 2.5 หมื่น และมีค่าหัวคิวอื่นๆ อีก ก็คิดว่าเยอะมากแล้ว แต่จุ๋มจิ๋มบอก โห..แค่นั้นเองเหรอ มึงไปอยู่กับกูเถอะ น้ำขึ้นให้รับตัก เขากำลังโกยเงินกันเลย”

ชีวิตใหม่ในคาเฟ่ของนายประสิทธิ์ไม่ใช่เรื่องง่ายและเต็มไปด้วยความอึดอัด เมื่อช่วงเริ่มต้นไม่มีใครรู้จักชื่อเสียงเสียงเรียงนามของเด็กบ้านนอกอย่างเขาเลย เล่นมุขไม่ฮา ไม่ตลก จนถูกดี๋ ดอกมะดัน ตำหนิบ่อยครั้ง อย่างไรก็ตามสุดท้ายก็ผ่านช่วงเวลานั้นมาได้และสร้างชื่อ “ไอ้หม่อมเหยิน” สำเร็จ

“แรกๆ ชาวบ้านเขาก็เรียกเราไอ้เหยิน ไอ้หม่อง สลับและเพี๊ยนมาเป็นไอ้หม่อม สุดท้ายดี๋ก็เป็นคนเรียกไอ้หม่อมเหยิน มันน่าจะมีที่มาจากบุคลิกนั่นแหละ ก็ดีใจที่มันกลายเป็นชื่อที่คนจำได้”

มุขเรียกเสียงหัวเราะสมัยรุ่งเรืองของหม่อมเหยินคือ จังหวะการพูด ฟันหน้า รวมถึงท่าเต้น

“เมื่อวานเกือบมีเรื่อง คนเดินผ่านมา มันหาว่าเราเอาฟันชี้หน้ามัน แฮร่” เขายกตัวอย่างมุขขำๆ เกี่ยวกับเอกลักษณ์ของตัวเอง

สมัยโด่งดังเล่นตลกบนเวทีคาเฟ่

 

ธุรกิจไอศกรีมมะพร้าว

ตลกคณะหม่อมเหยินมีชื่อเสียงโด่งดังอยู่หลายปี เจ้าตัวร่ำรวยมีเงินมีทอง รายได้ 5-6 หมื่นบาทต่อวัน หากมีอัดเทปวิดีโอด้วยจะพุ่งไปสูงถึงวันละ 1 แสนบาท สมัยนั้นผู้ชายคนนี้ครอบครองรถสุดหรูเมอร์เซเดส-เบนซ์ถึง 2 คัน ได้แก่ E-220 และ S-500

“ความดังมันไม่รู้สึกตัวหรอก ทุกคนลืมตัวรวมทั้งเราด้วย ไปไหนมีแต่คนทัก มีงานทุกคืนเป็น 10 ที่ เราเกิดจากศูนย์ เป็นลูกชาวไร่ชาวนา ไม่มีอะไรสักอย่างมาเริ่มตั้งตัวซื้อบ้านซื้อรถ ขับเบนซ์เป็นฐานะ โชคดีที่ไม่ใช่คนเที่ยว เหล้าไม่กิน พนันไม่เอา ส่วนใหญ่หมดไปกับสิ่งของและเลี้ยงคน”

คราวอวสานของคาเฟ่มาถึงในสมัยที่รัฐบาลออกกฎหมายประกาศเวลาปิดสถานบันเทิงไว้เพียงแค่ 24.00 น. กระทบกับศิลปินตลกทั่วฟ้าเมืองไทย เม็ดเงินหดหายและกลายเป็นจุดตกต่ำของใครหลายคน

“หมดเลยทุกคณะ ตลกไปกองเป็นเงาะเน่า เพราะเราเคยเล่นกันถึงพระบิณฑบาตร” พระประสิทธ์ระลึกอดีต

หลังวิกฤตครั้งนั้น ราวปี พ.ศ. 2546 หม่อมเหยินบินลัดฟ้ามุ่งหน้าสู่แดนปลาดิบ ประเทศญี่ปุ่น เริ่มจากเล่นตลกในร้านอาหาร ก่อนตัดสินใจอยู่ยาวถึง 8 ปีในฐานะพนักงานของโรงงานแห่งหนึ่ง

“ได้แง่คิดกลับมาเยอะ ที่นั่นคนระดับผู้จัดการยังใช้รถเล็กๆ เขาใช้เป็นพาหนะไม่ใช่ใช้เป็นฐานะ กลัวคนไม่รู้ว่ามีเงิน แต่เป็นหนี้ อยู่ได้ 8 ปี กลับมาเมืองไทยขายรถเบนซ์ทิ้งเลย”

หลังกลับมาเมืองไทย หม่อมเหยินเปิดกิจการร้านอาหารหลายครั้ง แต่ไม่ประสบความสำเร็จ กระทั่งมาขายไอศครีมมะพร้าวสดอยู่ จ.ปราจีนบุรี การค้าก้าวหน้าตามสมควรมียอดสั่งซื้อในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ และไปได้ไกลสุดถึงประเทศกัมพูชา สุดท้ายการสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทำให้เขาตัดสินใจบวชอย่างไม่มีวันสึก

“เราเกิดมาเพื่อศึกษาชีวิตตัวเองว่า ชีวิตมันจะพาเราไปตรงไหนบ้าง อย่าไปฝืน พยายามทำเต็มที่และปล่อยมันไป ขออย่างเดียวอย่าทำชั่ว สุจริตกับชีวิตเข้าไว้ มันจะพาไปเจอแต่สิ่งดีๆ” พระประสิทธิ์เอ่ยถึงคติประจำใจของตัวเองพร้อมกับเปิดรอยสักที่แขนข้อความว่า “มานะและอดทน”

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวช่วงสำคัญของชีวิต พระประสิทธิ์ หรือ หม่อมเหยิน ประสิทธิ์ เทศทะวงศ์ อีกหนึ่งตลกระดับตำนานของเมืองไทย

 

รถไฟเร็วสูง… ไม่เชื่อมจีนเรามีปัญหาแน่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

23 กรกฎาคม 2560 เวลา 07:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/504744

รถไฟเร็วสูง... ไม่เชื่อมจีนเรามีปัญหาแน่

โดย…ธนพล บางยี่ขัน

รถไฟความเร็วสูง เส้นทางแรก กทม.-โคราช ถือกำเนิดขึ้นในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ท่ามกลางความหวังว่าจะเป็นก้าวแรกพาประเทศไปสู่สถานะศูนย์กลางระบบรางในภูมิภาคนี้ได้สำเร็จ ในขณะที่บางฝ่ายวิเคราะห์ว่า ทั้งไม่ตอบโจทย์ แถมยังสุ่มเสี่ยงขาดทุนมหาศาล

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการวางระบบจราจรที่คลุกคลีอยู่ในแวดวงนี้มานานกว่า 30 ปี เป็นที่ปรึกษาโครงการ ให้กับองค์การระหว่างประเทศ อาทิ ธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศแห่งญี่ปุ่น (ไจก้า) และเคยได้รับความไว้วางใจให้รับตำแหน่งรองผู้ว่าฯ กทม.

สามารถ ราชพลสิทธิ์ เริ่มต้นวิเคราะห์จากประเด็นความคุ้มค่าในการก่อสร้างว่า หากเรามีเงินจำกัด ก็ควรเร่งสร้างทำรถไฟทางคู่ เส้นทางขนาดหนึ่งเมตรให้เยอะที่สุด เพราะใช้งบประมาณน้อย เพียงแค่ 100-150 ล้านบาท/กม. ซึ่งตรงนี้รัฐบาลยังทำได้ช้า ประกวดราคาได้เพียงสองเส้นทางทั่วประเทศ

รวมไปถึงการเปลี่ยนจากรถไฟเครื่องดีเซลที่วิ่งได้ 100 กม./ชม. มาเป็นระบบไฟฟ้าที่จะสามารถวิ่งได้ 160 กม./ชม. โดยใช้ราง 1 เมตรเหมือนเดิม และใช้เงินไม่เยอะ แต่ถ้าต้องการเชื่อมระหว่างประเทศรถไฟความเร็วสูงถือเป็นทางเลือกหนึ่งที่อยู่ในวิสัยทำได้

“โดยเฉพาะถ้าทำแล้วเชื่อมโยงระหว่างประเทศ รถไฟความเร็วสูง ก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ เพื่อเป็นทางเลือกในการเดินทางและขนส่งสินค้า แต่ถ้าสร้างแล้วเป็นแค่รถไฟสายท้องถิ่นก็ไม่ควรทำ เช่น ถึงแค่โคราช ไม่ต่อไปถึงหนองคาย เชื่อมคุนหมิงประเทศจีนก็ไม่ควรทำ” 

อย่างไรก็ตาม เมื่อนายกฯ ตัดสินใจลงทุนแล้ว ก็ต้องช่วยกันทำให้โครงการเดินไปสู่ความสำเร็จให้ได้ ซึ่งไม่ใช่คิดสร้างทางรถไฟอย่างเดียวต้องพัฒนาเมืองควบคู่ไปด้วย เช่น ให้มีเมืองใหม่เมืองอุตสาหกรรม เมืองราชการ เมืองอัจฉริยะ เพื่อให้คนไปอยู่หนาแน่น และมีผู้ใช้บริการรถไฟความเร็วสูงมากขึ้น เหมือนที่ญี่ปุ่นและหลายประเทศทำ

สำหรับรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมไม่ควรให้ไทยลงทุน 100% แต่ควรเป็นการร่วมลงทุน เช่น สร้างบริษัทร่วมลงทุน ไทยถือหุ้น 51% จีน 49% เพราะถ้าจีนมาร่วมลงทุนด้วย เขาต้องทำทุกอย่างไม่ให้ขาดทุน เช่น อาจหาทางขนผู้โดยสารจากจีน สมมติมีผู้โดยสารวันละ 5,000 คน ปีหนึ่ง 2 ล้านคน ใช้จ่ายคนละ 5 หมื่นบาท ปีหนึ่งได้รายได้แสนล้านบาท เพราะจะหวังเฉพาะค่าโดยสารอย่างเดียวไม่ได้ไม่คุ้มทุน

อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ย้อนที่มาที่ไปว่า โครงการรถไฟความเร็วสูงไม่ใช่ของใหม่เดิมรัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ วางแผนแม่บทไว้จะทำรถไฟเร็วสูง ทั้ง กทม.-เชียงใหม่, กทม.-หนองคาย, กทม.-อุบลราชธานี, กทม.-ระยอง, กทม.-ปาดังเบซาร์ โดยคิดใช้วิธีร่วมทุนไทย-จีน ทว่าไม่ได้ดำเนินการเพราะยุบสภาเสียก่อน

ต่อมารัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ใช้แผนแม่บทดังกล่าว แต่เปลี่ยนวิธีเป็นการใช้เงินจากเงินกู้ 2 ล้านล้านบาท และเปลี่ยนจะเริ่มสร้างสายแรกคือ กทม.-เชียงใหม่ จากเดิมที่กำหนดเป็น กทม.-หนองคาย แต่เนื้อหาใน พ.ร.ก.กู้เงิน ขัดกับรัฐธรรมนูญ จึงไม่ได้สร้าง

จนมาถึง รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ​มีแนวคิดสร้างเส้นแรก กทม.-หนองคาย ระยะทาง 615 กม. เจรจากับทางจีน ต้นปี 2558 เจรจากับทางจีน ลงทุนระบบไฟฟ้า อาณัติสัญญาณ ระบบสื่อสาร ตั๋ว ไทยลงทุน ด้านโยธา แต่ต่อมาไทยเปลี่ยนใจขอให้จีนร่วมลงทุนด้านโยธาด้วยทั้งที่ควรจะเจรจาตั้งแต่แรกจนมีปัญหา

จุดเปลี่ยนอยู่ที่หลังจากการประชุมทวิภาคี เมื่อวันที่ 23 มี.ค. 2559 ระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ และนายกฯ หลี่ เค่อเฉียง ของจีน พล.อ.ประยุทธ์ ตัดสินใจให้ไทยเป็นผู้ลงทุนเองทั้งหมด ซึ่งไม่แน่ใจว่าได้รับข้อมูลครบถ้วนหรือถูกต้องหรือไม่จากกระทรวงคมนาคม

“ตรงนี้น่าเสียดายเป็นว่าเราลงทุนเองทั้งหมด ทั้งที่เราจ้างเขาออกแบบ ต้องซื้อขบวนรถไฟฟ้าจากเขา ให้เขาก่อสร้างบางส่วน และเขายินดีร่วมลงทุนด้วย จุดนี้รัฐบาลต้องระวังให้ดี ผมอยากให้ส่วนที่เหลือจากโคราชไปหนองคาย ให้จีนมาร่วมลงทุนกับไทย หากเจรจาจริงๆ เขาร่วมด้วยแน่”

สามารถ อธิบายเพิ่มเติมว่า ​อย่าคิดว่าจีนจะมาผูกขาดเอาที่ดินสองข้างทาง เป็นไปไม่ได้ รัฐบาลไทยไม่ยอมอยู่แล้ว ​สมมติตั้งบริษัทร่วมทุนไทย 51% จีน 49% ก็อาจให้สัมปทานเขาไป 30-40 ปี แล้วแต่ความเหมาะสม คือให้สิทธิพัฒนาพื้นที่สองข้างทาง แต่กรรมสิทธิ์ที่ดินเป็นของไทย เหมือนให้สิทธิพัฒนาที่ดินกับบีทีเอส เราไม่ยกที่ดินให้เขา

“ตรงนี้ยังอาจมีความเข้าใจผิด เพราะเจรจาไป 19 ครั้ง ไม่มีเรื่องนี้ และเวลานี้เราลงทุนเองทั้งหมดเขาไม่ได้อะไรแต่เราจะแบกภาระการขาดทุนหนัก เส้นทางจากกรุงเทพฯ โคราช คาดว่าจะมีผู้โดยสารวันละ  5,300 คน ถือว่าน้อยมากสมมติเก็บคนละ 500 บาท ปีหนึ่งจะได้เงินพันล้านบาท ถ้าเราต้องกู้เงิน 1.8 แสนล้านบาท ดอกเบี้ย 2.5% คิดเป็น  4,500 ล้านบาท เราเก็บได้ 1,000 ล้านบาท ขาดทุนไปแล้ว 3,500 ล้านบาท ยังไม่รวมค่าบริหารจัดการเดินรถ ซ่อมบำรุง หลายพันล้าน”

อย่างไรก็ตาม เท่าที่ติดตามยังไม่มีความชัดเจนว่าจาก กทม.-โคราช 252.5 กม. ช่วงแรก 3.5 กม. ก็ไม่รู้จะเสร็จเมื่อไหร่ เพราะจากเดิมจะสร้างปี 2559 ก็เลื่อนมาเรื่อย ซึ่งถ้าพร้อมจริง ก็ควรสร้างได้ยาวกว่านี้หรือรวดเดียวไม่เกิน 3 ปี เพราะแค่ 3.5 กม. ทำอะไรไม่ได้ ยังไม่รวมกับตอนที่ 2 อีก 11 กม. และตอนที่ 3-4 ตอนละ 119 กม. ก็ไม่รู้ว่ารัฐบาลต่อไปเข้ามาจะทำต่อหรือไม่ ตรงนี้เมื่อเริ่มแล้วก็ไม่อยากให้ลงทุนสูญเปล่า

ถามว่าทำไมต้องเป็น “จีน” สามารถ อธิบายว่า เพราะไทยต้องการเชื่อมโยงกับจีนเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของเส้นทางสายไหม ถ้านำเทคโนโลยีญี่ปุ่นมาใช้ก็อาจเชื่อมโยงลำบาก เวลานี้จีนทำรถไฟเร็วสูงจากคุนหมิง-ยวี่ซี 108 กม. และกำลังก่อสร้างต่อ ยวี่ซี-บ่อเต็น 91 กม. รวมทั้ง บ่อเต็น-หนองคาย 418 กม. ที่อีก 4 ปีเสร็จ

“ถ้าไปเจรจาเชื่อว่าจีนก็คงกลับมาร่วมลงทุนด้วย แต่ถ้าไม่ไปง้อเขาเขาก็อาจเปลี่ยนยุทธศาสตร์เชื่อมโยงไปทางอื่น ทั้ง พม่า ก็มีเมืองท่าเจียวเพียว หรือพม่าเรียกจ้าวผิ่ว ซึ่งมีการวางท่อแก๊สน้ำมันจากจากคุนหมิง 800 กม. หรือจะไปเวียดนามก็ได้ เวลานี้มีรถไฟจากหนานหนิงมาทางฮานอย เขามีทางเลือก”

“ดังนั้น หากเราจะหวังเป็นศูนย์กลางระบบรางในภูมิภาค CLMV กัมพูชา ลาว พม่า เวียดนาม เราอาจไม่ได้เป็นก็ได้ หากเราไม่สามารถเชื่อมกับจีนได้ เพราะคำว่าเป็นศูนย์กลางไม่ใช่เฉพาะภูมิประเทศดี ตำแหน่งดี แต่ต้อง มีสินค้าผู้บริการ ผ่านเยอะด้วย”

ในแง่ประสิทธิภาพและความน่าเชื่อถือของรถไฟความเร็วสูงจากจีนนั้น สามารถ กล่าวว่า จีนมีประสบการณ์การพัฒนารถไฟความเร็วสูงกว่า 20 ปี เรียนจาก ญี่ปุ่น เยอรมนี ฝรั่งเศส ปัจจุบันมีรถไฟความเร็วสูงยาวที่สุดในโลกเกือบ 3 หมื่น กม. เรื่องประสิทธิภาพจึงไม่น่าติดใจ

ส่วนที่หลายคนอาจยังระแวงเรื่องความปลอดภัยนั้น ก็ต้องดูตั้งแต่ในช่วงการเจรจากับจีนอย่าไปต่อรองเพื่อให้ได้ราคาถูกแล้วบีบให้เขาต้องลดสเปก ลดมาตรฐานลง แต่จะต้องคำนึงถึงเรื่องความปลอดภัยเป็นสำคัญ

“เมื่อเราให้จีนเป็นคนออกแบบ ซื้อรถไฟจากเขา กู้เงินจากเขาแล้ว ทำไมถึงไม่ให้เขามาร่วมลงทุนด้วยเลย หรือการเปิดให้มีการแข่งขันทั่วไปแล้วใช้ระบบจากประเทศอื่นก็อาจทำให้การเชื่อมโยงไม่สะดวก เช่นต้องซื้อตัวอ่านสัญญาณเพิ่มเติม แต่ถ้าเป็นระบบจากจีนก็สามารถเชื่อมเข้าไปถึงประเทศจีนที่ใช้ระบบราง 1.4 เมตรได้เลย”

ส่วนรถไฟความเร็วสูงเส้นทางอื่นนั้นเวลานี้ทราบว่ารัฐบาลต้องการให้เอกชนมาลงทุน ในเส้นทาง กทม.-ระยอง แต่เดิมเอกชนไม่สนใจเพราะขาดทุนแน่ แต่ตอนหลังเอกชนเริ่มสนใจเส้นทางระยอง โดยจะพัฒนาเมืองควบคู่ไปด้วยในวงเงิน 1.2 หมื่นล้านบาท เมื่อพัฒนาเมืองคนไปอยู่อาศัยเยอะ การใช้รถไฟความเร็วสูงก็เยอะตามไม่เช่นนั้นก็จะขาดทุน

ส่วนเส้นทาง กทม.-หัวหิน นั้นมีความเป็นไปได้ยากที่จะให้เอกชนมาลงทุน ​เพราะคนใช้น้อย ระยะทาง​แค่ 220 กม. คนเดินทางไปที่นั่น สามารถใช้รถส่วนตัวได้สะดวกกว่า ​หากจะสร้างต้องสร้างยาวไปเลย สร้างยาวไปเลย

นอกจากนี้ ยังมีเส้นทาง กทม.-เชียงใหม่ ซึ่งเริ่มมีการทำการศึกษา ทำเอ็มโอยู ว่าจะใช้ระบบจากชินคันเซ็น จากญี่ปุ่น แต่เส้นทางนี้ยังไม่คิดว่าจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้

สำหรับคำถามที่ว่าใช้ระบบเดียวทั้งประเทศ กับหลายระบบหลายประเทศ อย่างไหนจะดีกว่ากัน สามารถ มองว่า หากมีหลายระบบก็จะทำให้การซ่อมบำรุงยุ่งยากขึ้น มีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น แต่หากใช้หลายระบบก็ต้องอยู่ที่การเจรจาว่าจะสามารถเชื่อมโยงเช่นใช้ระบบอาณัติสัญญาณ จะระบบเปิดได้หรือไม่

รวมไปถึงประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีนั้น เราต้องดูให้ดีเราต้องการอะไรจากเขา หากเราจะพัฒนาเป็นผู้ผลิต​จะมีตลาดขายไหม จะสู้จีนได้ไหม เพราะจีนขายถูกกว่า 30% เราขายเพื่อนบ้านได้ไหม หรือส่งไปขายยุโรปได้ไหม หรือเราจะเรียนรู้เทคโนโลยีเน้นแค่ซ่อมบำรุง เพราะเขาคงไม่ถ่ายทอดให้ทั้งหมด

ถามถึงความหวังกับการก่อสร้างรถไฟความเร็วสูงและเป้าสู่การเป็นศูนย์กลางระบบรางภูมิภาคจะเป็นไปได้จริงหรือไม่ สามารถ ย้ำว่า “หากทำแล้วไม่เชื่อมจีนการจะเป็นศูนย์กลางก็เป็นไปได้ยาก เพราะเราสามารถเชื่อม พม่า ลาว เวียดนาม กัมพูชา ได้ แต่ถ้าเราขาดจีนเรามีปัญหาแน่”

 

เอาจริง! ปฏิรูปตำรวจ ปรับสวัสดิการ “ประทวน-สัญญาบัตร”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

16 กรกฎาคม 2560 เวลา 10:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/503599

เอาจริง! ปฏิรูปตำรวจ ปรับสวัสดิการ "ประทวน-สัญญาบัตร"

โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

เป็นเวลาร่วม 3 เดือนแล้วที่ประเทศไทยได้ใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ โดยมาถึงเวลานี้เมล็ดพันธุ์ที่รัฐธรรมนูญได้หว่านเอาไว้ เริ่มออกดอกออกผลให้เป็นระยะแล้ว เช่น การเดินหน้าจัดทำร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ หรือการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ

ทั้งนี้ ในส่วนของการปฏิรูปประเทศ ปรากฏว่าคณะรัฐมนตรีได้ตั้งคณะกรรมการปฏิรูปตำรวจจำนวน 36 คน ซึ่งเป็นภารกิจสำคัญที่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันได้กำหนดเอาไว้ให้รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการให้เกิดผลสำเร็จ

ในจังหวะนี้โพสต์ทูเดย์ได้มีโอกาสสนทนากับ “เสรี สุวรรณภานนท์” ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมือง สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) หนึ่งในกรรมการปฏิรูปตำรวจ เพื่ออธิบายถึงแนวทางการปฏิรูปตำรวจในระยะยาว โดยก่อนอื่นได้รับการยืนยันว่าการปฏิรูปตำรวจครั้งนี้เป็นของจริง และมีความแตกต่างจากที่สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และ สปท.ได้เคยเสนอแนวทางการปฏิรูปตำรวจมาแล้วหลายครั้งก่อนหน้านี้

“เอาจริงสิ ครั้งนี้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญเลย ครั้งนั้นเป็นเรื่องการเสนอแนวคิด ซึ่งการปฏิรูปครั้งนี้จะต้องมีผลออกมา เพราะถูกบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศแล้ว ไม่ใช่แค่การเสนอความคิดเห็นหรือการนำเสนอทางวิชาการ ไม่ใช่ข้อศึกษา แต่ต้องทำให้เกิดผลที่นำไปสู่การปฏิบัติ

“เมื่อเสนอไปแล้วรัฐบาลก็ต้องดำเนินการตามนั้น เพราะคณะกรรมการชุดนี้มาจากรัฐธรรมนูญและรัฐบาลก็เป็นคนตั้งขึ้นมาเพื่อให้ทำหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งจะต้องมีการออกกฎหมายเพื่อปรับปรุงแก้ไข โดยที่รัฐบาลต้องเสนอกฎหมายมายังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ” เสรี ยืนยันด้วยความมั่นใจ

จากนั้น เสรีเริ่มอธิบายและนำเสนอความเห็นเกี่ยวกับการปฏิรูปตำรวจให้เกิดเป็นรูปธรรมไว้อย่างน่าสนใจ

“ทิศทางการปฏิรูปตำรวจครั้งนี้ต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 มาตรา 258 ง. (4) ที่ระบุว่า ดําเนินการบังคับใช้กฎหมายอย่างมีประสิทธิภาพ โดยแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับหน้าที่ อํานาจ และภารกิจของตํารวจให้เหมาะสม และแก้ไขปรับปรุงกฎหมายเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการตํารวจให้เกิดประสิทธิภาพ การพิจารณาแต่งตั้งและโยกย้ายต้องคํานึงถึงอาวุโสและความรู้ความสามารถประกอบกันเพื่อให้ข้าราชการตํารวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างมีอิสระ ไม่ตกอยู่ใต้อาณัติของบุคคลใด มีประสิทธิภาพและภาคภูมิใจในการปฏิบัติหน้าที่ของตน”

ประเด็นการปฏิรูปตำรวจที่เสรีเสนอเป็นความคิดเห็นส่วนตัวนั้นจะต้องดำเนินการในสองเรื่องหลัก คือ การแต่งตั้งโยกย้ายเพื่อเป็นหลักประกันความเป็นอิสระของตำรวจ และการกำหนดภารกิจของตำรวจให้มีความชัดเจน โดยเฉพาะการจัดวางอำนาจการสืบสวนสอบสวนของตำรวจให้เกิดความเหมาะสม

“แนวทางการปฏิรูปจะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายและการแต่งตั้งโยกย้าย เพื่อปรับเปลี่ยนโครงสร้างระบบการทำงานรวมถึงอำนาจหน้าที่ที่เหมาะสม นอกจากนี้จะต้องกำหนดภารกิจของตำรวจให้ชัดเจน เพราะปัจจุบันตำรวจภารกิจที่ไม่ใช่งานของตำรวจโดยตรง เช่น ตำรวจท่องเที่ยว ตำรวจรถไฟ ตำรวจตรวจคนเข้าเมือง เป็นต้น ภารกิจพวกนี้ต้องมาจัดแบ่งสรรอำนาจ แบ่งหน่วยงานให้เหมาะสมแก่ภารกิจที่ทำ

“เช่นเดียวกับเรื่องการสืบสวนสอบสวน ซึ่งจะต้องร่วมกันคิดว่าควรจะใช้รูปแบบไหนเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพมากที่สุด และเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการพิสูจน์ความผิดได้อย่างถูกต้องโดยไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ซึ่งนั่นก็คือการสร้างความเป็นมืออาชีพให้กับตำรวจ”

เสรี อธิบายว่า ที่ผ่านมาภารกิจของตำรวจสับสนอลหม่านไปหมด พอถึงเวลาโยกย้ายตำแหน่งปรากฏว่าก็ไม่ได้เอาภารกิจเป็นหลักในการพิจารณา เพราะไปเอาตำแหน่งและเวลาการทำงานเป็นหลัก คนที่ถนัดเรื่องนี้ก็ไม่ได้ทำงานที่ตัวเองถนัด ทำให้ต้องมาเรียนรู้กันใหม่ กว่าจะเรียนรู้ได้ ก็ถูกย้ายอีกแล้ว ส่งผลให้ขาดความเป็นมืออาชีพ ดังนั้นตรงนี้ก็ต้องแก้ไขกันหมด เพื่อตำรวจที่มีความถนัดด้านใดก็ควรเจริญเติบโตในด้านนั้น

“ประเด็นสำคัญของการปฏิรูปตำรวจครั้งนี้อยู่ที่การแก้ไขปัญหาแต่งตั้งโยกย้าย โดยรัฐธรรมนูญกำหนดให้ต้องยึดหลักอาวุโสและความรู้ความสามารถ ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็ต้องมาตั้งหลักว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้หลักอาวุโสและหลักความรู้ความสามารถเกิดความสมดุลกัน

“เพราะหากยึดแต่หลักอาวุโส ก็จะทำให้คนที่อาวุโสไม่ทำงาน เพราะมองว่าถึงเวลาก็ได้เลื่อนตำแหน่งตามอาวุโส จึงอาจต้องมาพิจารณาถึงความสามารถและผลงานที่เป็นที่ประจักษ์ด้วย ไม่ใช่แค่ใกล้ชิดเจ้านายก็เอาเหตุนี้มาอ้างเพื่อเลื่อนตำแหน่ง และการทำให้ตำรวจสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างอิสระ คณะกรรมการฯ ก็ต้องหาวิธีการเพื่อป้องกันไม่ให้ตำรวจถูกแทรกแซงและไม่อยู่ภายใต้อำนาจทางการเมือง”

ความเป็นอิสระของตำรวจในความหมายนี้หมายถึงความเป็นอิสระแบบเดียวกับองค์กรอิสระ?

เสรี เสนอความคิดว่า “ความเป็นอิสระหมายถึงความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่ ไม่อยู่ใต้อิทธิพลนักการเมือง ซึ่งคณะกรรมการฯ กำลังมองว่าความเป็นอิสระของตำรวจในที่นี้จะอยู่ในระดับไหน เพราะต้องไม่ลืมว่าตำรวจเป็นข้าราชการที่เป็นกลไกของรัฐ การบริหารราชการแผ่นดินก็ต้องพึ่งราชการ แต่ไม่ใช่ให้ราชการอิสระจนกระทั่งกลายเป็นองค์กรพิเศษ

“รูปแบบอาจจะมีได้หลายรูปแบบ อย่างส่วนตัวเท่าที่คิดออก คือ สมมติว่าการแต่งตั้งโยกย้ายให้เป็นรูปแบบของคณะกรรมการ โดยไม่ให้มีฝ่ายการเมืองเข้ามา ถ้าเป็นไปได้การแต่งตั้งโยกย้ายก็อาจให้มีคณะกรรมการที่มาจากตำรวจเอง ส่วนการบริหารงานก็ยังคงต้องให้นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีคงต้องมีอำนาจไว้ เช่น การลงโทษ การปลดจากตำแหน่ง เพราะเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหาร

“แบบนี้คิดว่าน่าจะไปได้และเป็นที่ยอมรับ เพราะตำรวจจะยังคงมีความเป็นอิสระ ทำให้ไม่ต้องวิ่งเต้นเพื่อให้ได้ตำแหน่งกัน”

การปฏิรูปตำรวจครั้งนี้จะทำให้โครงสร้างตำรวจใหญ่ขึ้นหรือเล็กลง? เสรี ตอบว่า “เล็กลงอยู่แล้ว เพราะต้องแยกหน่วยงานออกมา ทุกวันนี้โครงสร้างตำรวจใหญ่มากและมีศูนย์รวมอยู่จุดเดียว ส่วนตัวคิดว่าอาจมีการแบ่งออกเป็นภาคเพื่อให้บริหารงานกันเอง หรือการปรับเปลี่ยนระบบงานสืบสวนสอบสวน มีหลายคนเสนอว่าต้องเอางานสืบสวนสอบสวนออกมาจากตำรวจ แต่มุมมองตัวเองคิดว่ายังควรให้ตำรวจมีอำนาจนี้ไว้

“ถามว่าทำไมตำรวจถึงปัญหาเยอะ เพราะตำรวจเป็นหน่วยงานที่ใกล้ชิดประชาชนและเป็นคนใช้อำนาจรัฐในเรื่องของการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งการบังคับใช้กฎหมายสามารถให้คุณหรือให้โทษได้ แบบนี้โอกาสของการแสวงหาประโยชน์จากการใช้อำนาจจึงมีสูง ถ้ามีช่องทางจะหาประโยชน์ได้ก็ทำกัน โดยเฉพาะการไปหาผลประโยชน์จากธุรกิจสีเทา ส่งผลให้ประชาชนเกิดความไม่ไว้วางใจในการทำหน้าที่ของตำรวจ ทั้งๆ ที่การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจมีความจำเป็น”

นอกจากนี้ เสรี ย้ำว่าการปฏิรูปตำรวจครั้งนี้จะไม่เน้นแต่เฉพาะตำรวจสัญญาบัตรเท่านั้น แต่จะต้องให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในส่วนของตำรวจชั้นประทวน เพราะมีปัญหาไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน

“ที่ผ่านมาการปฏิรูปตำรวจเน้นแต่ในส่วนของตำรวจชั้นสัญญาบัตร แต่ไม่ค่อยพูดถึงนายตำรวจชั้นประทวน ซึ่งชั้นประทวนโดยหลักแล้วเมื่ออยู่โรงพักไหนไม่ค่อยถูกโยกย้าย อยู่ในพื้นที่อย่างยาวนาน ทำให้เข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์จำนวนมาก ซึ่งคิดว่าจะต้องเกิดการเปลี่ยนแปลง

“โดยการปฏิรูปตำรวจนั้นจะปฏิรูปเฉพาะตำรวจสัญญาบัตรแต่ต้องมาคุยเรื่องชั้นประทวนด้วย เช่น การให้สวัสดิการ การทำให้มีรายได้เพียงพอเพื่อไม่ให้ไปทำทุจริต ซึ่งคณะกรรมการฯ ก็ต้องหาวิธีการเพื่อให้เกิดการปฏิรูปอย่างแท้จริง”เสรี ระบุ

ท้ายสุด เสรี สรุปว่า “อย่าไปรังเกียจตำรวจถึงขนาดต้องให้ตำรวจไม่มีอำนาจสืบสวนสอบสวน แบบนั้นก็เกินเหตุไป ถ้าให้ตำรวจมีอำนาจแค่จับกุมอย่างเดียว ตำรวจก็มีอำนาจมากกว่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยนิดหน่อย ถูกไหม มันไม่ใช่แล้วนะ เพียงแต่ว่าเราต้องทำอย่างไรที่จะมาจัดสรรงานหรืออำนาจในการทำงานของตำรวจให้ลงตัว”

 

“ประธาน กสม.” เปิดเบื้องลึกค้านเซตซีโร่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

10 กรกฎาคม 2560 เวลา 20:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/502515

"ประธาน กสม." เปิดเบื้องลึกค้านเซตซีโร่

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

เกิดแรงกระเพื่อมขย่มคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ชุดปัจจุบันอย่างหนัก เมื่อคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) เตรียมล้างบาง หรือเซตซีโร่ กรรมการชุดเก่ายกกระบิ

ภายหลังกฎหมายลูกประกอบรัฐธรรมนูญประกาศใช้ จึงเกิดแรงต้านนำโดย “วัส ติงสมิตร” ประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ออกโรงประกาศชัดเจนว่าไม่เห็นด้วย พร้อมให้เหตุผลว่าร่างกฎหมายกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ที่ผ่านมาต้องต่อสู้อย่างหนักในการยกร่างและทำความเข้าใจกับ กรธ. เพราะ กรธ.ไม่เข้าใจหลักการเรื่องสิทธิมนุษยชน

นับตั้งแต่ยกร่างแรกที่ กรธ.ได้ตัดคำว่า “แห่งชาติ” ออกไป นั่นหมายความว่าต้องการให้กรรมการสิทธิ หรือ กสม. จะต้องไปอยู่ในสังกัดของกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ไม่ได้เป็นอิสระตามหลักสากล ซึ่งในที่สุดกว่าจะชี้แจงทำความเข้าใจจนได้คำว่า “แห่งชาติ” คืนมาบัญญัติไว้ในร่างกฎหมาย

พร้อมไปกับความพยายามผลักดันให้ร่างกฎหมายกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เป็นพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ หรือ พรป. เพราะที่ผ่านมากฎหมายที่กรรมการสิทธิฯ ใช้อยู่เป็น พ.ร.บ.ปี 2542 ที่เกิดจากรัฐธรรมนูญปี 2540 ถือเป็นเรื่องสำคัญมาก แม้จะยอมรับว่าหากมีการปฏิวัติรัฐประหารเกิดการยกเลิกรัฐธรรมนูญ กรรมการสิทธิมนุษยชนจะต้องหลุดตำแหน่งไปทันที ย่อมถือว่าเป็นสิ่งที่รับได้ เพราะกรรมการสิทธิฯ เป็นส่วนหนึ่งในรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นกฎหมายสูงสุด

“อยากบอกว่า กรธ.จริงๆ ไม่ได้ออกร่างกฎหมายของตัวเอง แต่จะนำร่างของต้นสังกัด กสม.แล้วให้ใครต่อใครวิพากษ์วิจารณ์เหมือนกระสอบทราย จนต่อมาได้มีร่างฉบับของ กรธ.เองขึ้นมา ซึ่งในร่าง กสม.ฉบับแรกๆ มีส่วนสำคัญ 2 เรื่อง คือ ความคุ้มครองต่อการปฏิบัติหน้าที่กรรมการสิทธิมนุษยชน ไม่ต้องรับผิดทางแพ่งหรืออาญา ถือเป็นหลักสากลโลกที่ใช้กันอยู่ และไม่เซตซีโร่ จะมีเพียงกรรมการสิทธิฯ บางคนเท่านั้นที่อาจหลุดจากตำแหน่ง เพราะขาดคุณสมบัติบางประการ เช่น การเป็นกรรมการในองค์กรอิสระ ต้องไม่เคยมีตำแหน่งทางการเมืองอย่างน้อย 10 ปี ตามกฎหมายลูกฉบับใหม่กำหนด เป็นต้น”

พอต่อมาในการยกร่างกฎหมาย กสม.ฉบับที่สอง หรือฉบับปัจจุบันที่เสนอเข้าสู่การพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา กลับกลายเป็นว่า กรธ.ตัด 2 เรื่องสำคัญนี้ออกไปดื้อๆ นั่นคือไม่มีความคุ้มกันในการทำงานของกรรมการสิทธิฯ และเซตซีโร่ กสม.ทั้งคณะเพื่อนำไปสู่การสรรหาใหม่จำนวน 7 คน สิ่งที่ไม่เห็นด้วยคือ กรธ.ไม่มีคำอธิบายใดๆ มาชี้แจง

แม้ต่อมาจะทราบจากคำพูดของ มีชัย ฤชุพันธุ์ ประธาน กรธ. กล่าวผ่านสื่อเสมอว่ากรรมการสิทธิฯ ทะเลาะกันเอง กรรมการชุดนี้ผลงานก็ไม่มี ที่มาก็ไม่ถูกต้อง และไม่สอดคล้องกับหลักการปารีส หรือหลักการสากล ที่ว่าด้วยสถานะของสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติเพื่อการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และมีชัย อ้างว่าหากเซตซีโร่แล้วได้กรรมการสิทธิชุดใหม่จะสามารถยกระดับสถานะสิทธิมนุษยชนไทยจากสถานะบี เป็นสถานะเอได้

ประธาน กสม. ชี้แจงประเด็นนี้ว่า เหตุผลที่กรรมการสิทธิฯ ไทยถูกลดเกรดจากสถานะเอ เป็นสถานะบี เกิดจากผลของการทำงานของกรรมการสิทธิฯ ชุดที่ 2 เมื่อปลายปี 2557 ทางคณะกรรมการประสานงานระหว่างประเทศว่าด้วยสถาบันสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (International Coordinating Committee on National Human Rights Institutions หรือไอซีซี จะเสนอลดระดับความน่าเชื่อถือของคณะกรรรมการสิทธิมนุษยชนไทยจากระดับเอเป็นบี เพราะก่อนหน้านั้นมีหนังสือถึงกรรมการสิทธิฯ ชุดที่ 2 ให้ดำเนินการแก้ไข 3 เรื่อง แต่กลับไม่ดำเนินการใดๆ คือ

1.แก้กฎหมายการสรรหาให้มีกรรมการสิทธิฯ สัดส่วนภาคประชาสังคมเพิ่มขึ้น 2.แก้กฎหมายให้มีความคุ้มกันหรือคุ้มครองในการปฏิบัติหน้าที่ต่อกรรมการสิทธิฯ โดยไม่ต้องรับผิดทางแพ่งหรืออาญา และ 3.ต้องรวดเร็วในการประกาศท่าทีต่อเหตุการณ์คุกคามสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะเรื่องเกิดคำถามจากไอซีซี ว่าเหตุใดกรรรมการสิทธิฯ ในช่วงนั้นไม่ออกรายงานในปี 2553 ทำไมปล่อยให้เวลายืดนานออกไป เพิ่งมาออกรายงานในปี 2556 เป็นต้น

ทั้งนี้ ทางไอซีซีให้เวลาในการดำเนินการแก้ไข 3 เรื่องเป็นเวลา 1 ปี ดังนั้นเมื่อครบ 1 ปี ในช่วงปลายปี 2558 กรรมการสิทธิฯ ชุดที่ 3 ซึ่งมีตนเป็นประธานเข้ามาทำงานพอดี แต่กลับมีเวลาเหลือเพียงเดือนเศษเท่านั้น จึงไม่สามารถจะดำเนินการใดๆ กับประเด็นที่ 1 และ 2 ตามที่ไอซีซีต้องการได้

“ในตอนนั้นเคยนำเรื่องนี้ไปหารือกับ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีต รมว.ยุติธรรม สมัยนั้น พล.อ.ไพบูลย์ ยังบอกว่าสิ่งที่จะแก้ปัญหาได้ภายในเดือนเดียวคงมีวิธีเดียวคือออก พ.ร.ก. เพราะต้องแก้กฎหมาย หรือต้องใช้วิธีอื่นที่ต้องใช้อำนาจพิเศษ ซึ่งหากทำได้ก็จะทำให้ทันที แต่ในความเป็นจริงทำไม่ได้และไม่ทัน”

 

ดังนั้น จึงอยากตั้งข้อสังเกตว่าการที่สถานะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยถูกลดเกรด ไม่ได้เป็นความผิดของกรรมการสิทธิฯ ชุดปัจจุบันที่สำคัญหลักการปารีสไม่ได้กำหนดว่าที่มากรรมการสิทธิฯ จะมาจากระบบเลือกตั้ง สรรหา หรือแต่งตั้งโดยนายกรัฐมนตรี จะด้วยวิธีใดไม่ขัดหลักสากลทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องให้ได้ที่มาของกรรมการสิทธิฯ ที่มีความหลากหลาย อาทิ องค์กรเอกชนที่ทำงานเกี่ยวกับสิทธิมนุษยชน ด้านปรัชญาหรือศาสนา ตัวแทนมหาวิทยาลัย เป็นต้น

รวมทั้งต้องมีตัวแทนกลุ่มต่างๆ เพราะกรรมการสิทธิฯ ต้องทำงานกับภาคีเครือข่าย เพราะกรรมการสิทธิฯ ไม่ใช่หน่วยงานรัฐและไม่ใช่ฝ่ายประชาชน แต่เป็นเหมือน “กรรมการห้ามมวย” ระหว่างรัฐกับประชาชน และเป็นเหมือน “สะพานเชื่อม” ดังนั้นการทำงานต้องกะทัดรัด เพราะบางกระทรวงไม่มีกฎหมายของตัวเองยังมีเจ้าหน้าที่นับพันคน แต่กรรมการสิทธิฯ มีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่ร้อยคน แต่ทำงานดูแลการละเมิดสิทธิมนุษยชนพร้อมกับตรวจสอบและเสนอแนะ รวมถึงคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนแก่สังคม

วัส กล่าวย้ำว่า ได้จัดทำข้อเสนอแนะที่ส่งให้ สนช.พิจารณาในชั้นตั้งกรรมาธิการร่วม อาทิ องค์ประกอบของการสรรหากรรมการสิทธิมนุษยชนระดับ “มหาเทพ” เกินไป หรือไม่ได้สอดคล้องในความเป็นจริงในทางปฏิบัติจะทำได้หรือไม่ ซึ่งมาตรฐานสูงกว่าระดับสากลเสียด้วยซ้ำ และเมื่อคัดสรรตัวแทนมาแล้วจะทำงานได้หรือไม่

ดังนั้น จึงอยากเสนอแนะว่าไม่ควรไปกำหนดคุณสมบัติเฉพาะตัวบุคคลพิเศษละเอียดเกินไป แต่ควรให้คณะกรรมการสรรหาได้ใช้ดุลพินิจเลือกมากขึ้น เพราะบางสาขาในแต่ละบุคคลอาจมีความเชี่ยวชาญพิเศษเฉพาะได้หลายสาขา หรือการกำหนดจำนวนปีของประสบการณ์การทำงานว่าในกรรมการสิทธิฯ แต่ละคนหรือแต่ละด้านจะต้องมีประสบการณ์ด้านนั้นๆ มาไม่น้อยกว่ากี่ปี

ประธาน กสม. เสนอว่าควรให้เพิ่มกลไกการทำหน้าที่ กสม. คือให้มีอำนาจหน้าที่ในการยื่นคำร้องขอให้ศาลยุติธรรมหรือศาลทหารในคดีอาญาที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี หากพบมีปัญหาสิทธิมนุษยชนขัดหรือแย้งความชอบด้วยกฎหมายหรือรัฐธรรมนูญ ทาง กสม.มีสิทธิไปยื่นคำร้องคัดค้านได้

อีกทั้งควรให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้งผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษซึ่งเป็นองค์กรเดี่ยวมาทำหน้าที่ในการเขียนรายงานสถานการณ์ด้านสิทธิมนุษยชนของประเทศ เพราะหากใช้การเขียนรายงานแบบกลุ่มหรือคณะจะเกิดปัญหาการประนีประนอมต่อรอง จนทำให้รายงานชิ้นนั้นทื่อทู่ไม่แหลมคมในการนำเสนอต่อสาธารณะ