เพิ่มจุดจอดแท็กซี่ทุก 3 กม. ลดการวิ่งรถเปล่า-แก้ปัญหาปฏิเสธผู้โดยสาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 กรกฎาคม 2560 เวลา 18:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/502279

เพิ่มจุดจอดแท็กซี่ทุก 3 กม. ลดการวิ่งรถเปล่า-แก้ปัญหาปฏิเสธผู้โดยสาร

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

ส่งรถ แก๊สจะหมด ไปไม่ถูก ข้ออ้างสารพัดปฏิเสธผู้โดยสารจากแท็กซี่

ในมุมผู้บริโภคนั้นน่าหงุดหงิด รำคาญใจและไม่แปลกที่คนไทยจะพากันต่อต้านเเท็กซี่เเละสนับสนุนให้บริการอูเบอร์ถูกกฎหมาย

อย่างไรก็ตามหากมองในมุมของคนขับ การตอบรับเส้นทางที่ห่างไกลอาจไม่คุ้มค่ากับการเดินทางกลับที่บ่อยครั้งต้องตีรถเปล่า สูญเสียเวลาในการสร้างรายได้จากโอกาสในเส้นทางอื่น

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความเสื่อมศรัทธาของแท็กซี่ รศ.ดร.วิโรจน์ ศรีสุรภานนท์ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมขนส่ง ภาควิชาวิศวกรรมโยธา  คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) ชวนคุยนำเสนอโมเดล ‘จุดจอดแท็กซี่’ ที่จะช่วยแก้ปัญหาจราจร ประหยัดทรัพยากร และลดการปฏิเสธผู้โดยสารลงได้ไม่มากก็น้อย

1 ใน 3 ของการวิ่งคือการเดินทางโดยไร้ผู้โดยสาร

หนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้การจราจรติดขัดก็คือการวิ่งเปล่าโดยไร้ผู้โดยสารของรถแท็กซี่

รศ.ดร.วิโรจน์  บอกว่า  สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) เคยทำการสำรวจการให้บริการของแท็กซี่จำนวนกว่า 100 คัน สิ่งที่พบก็คือ 12 ชั่วโมงของการทำงานในแต่ละกะ พวกเขาวิ่งรถเป็นระยะทางประมาณ 240 กิโลเมตร ที่น่าตกใจคือเป็นการวิ่งเปล่าถึง 1 ใน 3 หรือ 80 กม. ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่สูงมาก

“เที่ยวเปล่าเป็นต้นทุนมหาศาล ทั้งในแง่น้ำมัน เวลา รวมทั้งสร้างปัญหาจราจร ซึ่งตามมาด้วยปัญหาสิ่งแวดล้อมอื่นๆ”

อ.วิโรจน์ บอกว่า ผู้ขับแท็กซี่อาจจะไม่ทราบหรือไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว รู้สึกการเคลื่อนย้ายตัวเองเพื่อหาผู้โดยสารตลอดเวลาคือการทำงาน ทั้งที่จริงกำลังเสียเวลาและสร้างความเหนื่อยล้าจนนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพและความเครียด

“ช่วงกลางวันแท็กซี่ 10 คันบนท้องถนน มีวิ่งเปล่าถึง 5 คัน บางคนเห็นการวิ่งรถเป็นเรื่องของจังหวะ ดวงและโชคชะตา ดวงดีก็ได้สองพัน วันไหนดวงไม่ดีก็ได้ไม่ถึงพัน”

 

สร้างจุดจอดทุก 3 กิโลเมตร

นักวิชาการด้านขนส่ง บอกว่า รูปแบบของจุดจอดรถแท็กซี่แบ่งออกเป็น 3 ลักษณะ ได้แก่ จุดจอดแท็กซี่เฉพาะภายในพื้นที่ห้างสรรพสินค้า โรงแรม อื่นๆ , จุดจอดที่กำหนดขึ้นกันเองตามท้องถนน อาทิ บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้า โรงแรม และ พื้นที่จุดจอดเพื่อรอลูกค้าเรียก

เพื่อพิสูจน์ว่าจุดจอดแท็กซี่นั้นเป็นเรื่องสำคัญ อ.วิโรจน์ ได้ร่วมกับนักศึกษา ทดลองเปิดศูนย์บริการจุดจอดแท็กซี่ภายในปั๊มน้ำมันปตท. ย่าน ซ.พุทธบูชา 36 ซึ่งมีหมู่บ้านจัดสรรใกล้เคียงกว่า 10 หมู่บ้าน ใช้เวลาทดลอง 9 สัปดาห์ตั้งแต่เวลา 6.00 – 11.00 น. โดยระยะทางไกลสุดจากศูนย์เข้าไปถึงผู้โดยสารคือ 2.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเฉลี่ย 11.24 นาที และไม่คิดค่าบริการในการเรียก

ผลที่ได้รับคือ มีรถที่มาร่วมให้บริการ 405 คัน มีจำนวนผู้ใช้บริการทั้งหมด 598 ครั้ง โดย 57.5 เปอร์เซนต์เป็นผู้ใช้รถยนต์ส่วนตัว 13.6 เปอร์เซนต์ใช้บริการรถสาธารณะ และ 8 เปอร์เซนต์ใช้รถแท็กซี่อยู่เป็นประจำ

“ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่า หากมีบริการแท็กซี่อยู่ใกล้เคียงไม่ไกลเกิน 12 นาที หรือ 2.5-3 กิโลเมตร จะช่วยให้พวกเขาเปลี่ยนใจจากการเดินทางด้วยรถส่วนตัวมาใช้แท็กซี่มากขึ้น”

นอกจากนั้นเมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างจำนวนเกือบ 300 คน ยังพบว่า ปัจจัยสำคัญที่ทำให้ลูกค้าเลือกโทรศัพท์เรียกแท็กซี่จากศูนย์ที่สร้างขึ้นคือ เวลาในการรอคอยที่รวดเร็วไม่เกิน 12 นาที และค่าชาร์จบริการที่บอกว่ายินดีจ่ายหากไม่เกิน 20 บาท เพื่อให้แท็กซี่มารับถึงหน้าบ้าน

 

 

ผลการทดลองดังกล่าวทำให้ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมขนส่ง มจธ. มั่นใจว่า โมเดลจุดจอดรถ เหมาะสมที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวนแท็กซี่กว่า 1 แสนคัน และยังเป็นแนวทางที่สอดคล้องกับเมืองอื่นๆ ในต่างประเทศที่สังเกตได้ว่า ไม่มีแท็กซี่วิ่งเปล่าจำนวนมากเท่าเมืองไทย

สำหรับระยะทางที่คาดว่าเหมาะสมและเกิดประสิทธิภาพคือ ทุกๆ 3 กิโลเมตร ซึ่งต้องได้รับความร่วมมือจากภาครัฐและเอกชน อาทิเช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย โรงพยาบาล สำนักงานเขต ห้างสรรพสินค้า คอนโดมิเนียมและที่อื่นๆ ที่สำรวจแล้วว่าเป็นสถานที่มีประชาชนไปติดต่ออยู่เป็นประจำ

“คอนโดระดับ 1,000 ยูนิตหลายๆ แห่ง ป้ายรถเมล์หน้าคอนโดตอนเช้ารถแท็กซี่จะเข้ามายึดหัวหาดหมด เพื่อรอผู้โดยสารจากคอนโด ส่งผลกระทบต่อผู้โดยสารรถเมล์ทั่วไปและผู้ใช้ถนนคนอื่น หากคอนโดจัดที่ด้านในไว้สัก 4-5 ช่องให้กับแท็กซี่ได้ จะเท่ากับเป็นการบริการลูกบ้านในคอนโด และลดผลกระทบจากการจอดรอด้านนอกที่สร้างปัญหาจราจรด้วย”

นักวิชาการด้านขนส่งคิดว่าการจัดสรรประโยชน์ในพื้นที่เป็นเรื่องสำคัญมากที่ทุกคนควรเข้าใจและมองเห็นภาพใหญ่ต้นเหตุของปัญหา

“ถ้าเราจอดรถตัวเองตั้งแต่เช้ายันเย็น เราจะได้แค่ 1 คัน แต่ถ้าสละให้แท็กซี่ แต่ละวันอาจจะมีถึง 10 คัน เรียกว่ามีอัตราการหมุนเวียนในการใช้พื้นที่สูงมาก ขอเพียงแต่ละแห่งสละพื้นที่แค่ 4-5 ช่องทาง ผมคิดว่าจะลดผลกระทบได้มากแล้ว”

 

 

แท็กซี่เซ็นเตอร์-ปรับเพิ่มรูปแบบการคิดค่าบริการ

แง่ปฏิบัติความสำเร็จของการยกระดับคุณภาพแท็กซี่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับจุดจอดเพียงอย่างเดียวแต่ยังรวมถึงการบริหารจัดการด้านอื่นๆ ด้วย

อ.วิโรจน์ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า เมืองโตเกียว ประเทศญี่ปุ่นมีหน่วยงานกลางอย่าง “แท็กซี่เซ็นเตอร์” คอยบริหารจัดการ แท็กซี่ทุกคันในโตเกียว ต้องมาลงทะเบียนกับองค์กรแห่งนี้ โดยทีมงานจะคอยบริหารจัดการ ควบคุมคุณภาพ พร้อมกับออกตรวจตราความปลอดภัยบนท้องถนน

“มีการทดสอบการทำงานว่าคนขับรู้จักพื้นที่มากน้อยแค่ไหน มีการให้รางวัล นำเคสที่เป็นตัวอย่างดีๆ ของคนขับและบริษัทมาประชาสัมพันธ์ ให้ดาวการันตีการทำงาน ถ้าอยากได้ดาวเพิ่มต้องทำหน้าที่ให้ดี เรื่องนี้ส่งผลให้เกิดการแข่งขันและปรับปรุงคุณภาพ ไม่อย่างนั้นคนขับก็ขับไปวันๆ ไม่ต้องเพิ่มคุณภาพ ไม่ต้องแข่งเพราะคิดเพียงแค่ว่าตัวเองทำหน้าที่สุจริตก็พอแล้ว”

สำหรับราคาค่าบริการของแท็กซี่ เขาแนะนำว่า ควรมีหลักเกณฑ์และรูปแบบมากขึ้นเหมือนประเทศญี่ปุ่น เช่น หลังช่วงเวลา 4 ทุ่มเป็นต้นไป ค่าโดยสารสูงขึ้น 20 เปอร์เซนต์และอัตราการเพิ่มตามระยะทางก็พุ่งสูงกว่า หรือ การเดินทางข้ามเขต จากนอกเมืองเข้าสู่เมืองหรือจากในเมืองไปนอกเมืองก็คิดราคาที่สูงขึ้น รวมถึงการให้บริการคนพิการลดราคา 10 เปอร์เซนต์ เรียกว่า มีตัวเลือกหลากหลายที่มีเหตุผลรองรับให้กับผู้บริโภคได้เลือก

“เรทราคามันสามารถปรับได้ ชาร์จได้หลายรูปแบบ ทำการศึกษาและวิจัยเรื่องราคาและระยะทางวิ่งให้เหมาะสม เป็นธรรมกับลูกค้าและคนขับมากที่สุด” เขายกตัวอย่างว่า “ปกติเรียกแท็กซี่เข้าเมืองในโซนรถติด บางคันไม่ยอมไป แต่ถ้ามีเรทช่วงเวลาและโซนกำหนดว่า ไปที่นี่ต้องเพิ่มอีก 50 บาท แบบนี้แท็กซี่ก็ไม่ปฏิเสธและเราที่เป็นลูกค้าก็รับทราบเหตุผลของราคาด้วย”

ทั้งหมดนี้คือโมเดลที่ผ่านการวิจัยและทดลองจาก รศ.ดร.วิโรจน์ ศรีสุรภานนท์ หัวหน้าสาขาวิชาวิศวกรรมขนส่ง ภาควิชาวิศวกรรมโยธา คณะวิศวกรรมศาสตร์ มจธ. ที่เขามั่นใจว่าหากแท็กซี่มีคุณภาพดี ประชาชนจะเลือกใช้มากขึ้น และหมายถึงว่า ปัญหาจราจรก็จะลดลง

รศ.ดร.วิโรจน์ ศรีสุรภานนท์

 

“บิ๊กตู่” นายกฯคนนอกไม่ง่าย เว้นแต่สภาผู้แทนฯถึงทางตัน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

09 กรกฎาคม 2560 เวลา 09:55 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/502221

"บิ๊กตู่" นายกฯคนนอกไม่ง่าย เว้นแต่สภาผู้แทนฯถึงทางตัน

โดย…ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์ / ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

การเมืองไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อหลังมีรัฐธรรมนูญใหม่ประกาศใช้ ท่ามกลางกระแสนายกรัฐมนตรีคนนอก ในช่วงรัฐบาลหน้า หลังการเลือกตั้งปรากฏชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ลอยโดดเด่นมาอีกครั้ง

ไชยันต์ ไชยพร อาจารย์ประจำภาควิชาการปกครอง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้แสดงทัศนะผ่านโพสต์ทูเดย์ ว่า นายกฯ คนนอกไม่ได้มากันง่ายๆ ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่กำหนดไว้ว่า พรรคการเมืองต้องเสนอ 3 รายชื่อต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตอนสมัครรับเลือกตั้ง คือ รอบแรกเป็นนายกฯ คนใน แต่อาจแจ้งชื่อคนไม่ได้อยู่ในพรรคก็ได้ เพราะรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนด

“ช่วงแรกมันคงเป็นไปได้ยากที่ พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะตอบรับพรรคการเมืองใด และยอมให้ชื่อตัวเองได้รับการเสนอในช่วงพรรคการเมืองไปสมัครรับเลือกตั้ง แต่อาจมีทหารคนอื่นก็มีความเป็นไปได้ หมายความว่าทหารที่อยู่ในเครือ คสช.”

ทั้งนี้ พรรคการเมืองตามรัฐธรรมนูญหลังจากเลือกตั้งมีสิทธิเสนอชื่อคนเป็นนายกฯ ต้องได้ 25 คะแนนเสียง และพรรคที่ได้ 25 คะแนน ก็คงมีหลายพรรค ทั้งประชาธิปัตย์ เพื่อไทย ภูมิใจไทย รวมถึงพรรคขนาดกลาง ก็มีสิทธิลุ้น แต่พิธีกรรมในสภาให้เสนอชื่อคนเป็นนายกฯ ขั้นตอนการซาวด์เสียง สามารถทำได้กี่รอบ หรือแค่รอบเดียว หรือจนกระทั่งไล่มาทุกพรรคหรือไม่ ตรงนี้ยังไม่ชัดเจน

“ถ้าให้ทุกพรรคเสนอกัน ก็ใช้เวลานาน และตามรัฐธรรมนูญก็ไม่ได้กำหนดว่า พอหลังจากเลือกตั้งแล้วเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะต้องจัดตั้งรัฐบาลภายในกี่วัน แต่รัฐธรรมนูญที่ผ่านมากำหนดไว้ชัด รวมถึงรัฐธรรมนูญต่างประเทศที่ใช้ระบบรัฐสภาก็กำหนดไว้เหมือนกัน เมื่อรัฐธรรมนูญนี้ไม่ได้กำหนด ถ้าถึงเวลาพรรค ก. เสนอไปแล้วไม่ได้ 376 เสียง พรรค ข. ไล่ไปจนถึงพรรค ง. ซึ่งอย่าลืมว่าแต่ละพรรคมี 3 รายชื่อ หากตีไว้ 5 พรรคมี 25 คะแนน และต้องมีคนรับรอง 25 คน รวมเป็น 50 คน และนำมาหาร 500 คน ก็ได้ 10 คน ฉะนั้น มันจะมี 10 คนได้รับการเสนอชื่อและแข่งขันกันในแต่ละรอบ จะกลายเป็น 10 รอบหรือไม่ แล้ว 10 รอบที่ว่า มันจะทิ้งช่วงห่างกันขนาดไหนผมไม่แน่ใจ แต่ระยะเวลาไม่กำหนด อาจจะเลื่อนเป็นเดือนก็ได้”

อย่างไรก็ตาม ช่วงเวลาที่เลือกนายกรัฐมนตรีในสภามันอาจจะนาน ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็อาจมี สส.จำนวนหนึ่งรีบขอญัตติเพื่อหาคนนอกมาเป็นนายกฯ แต่ก็มี สส.บางส่วนมองยังไม่ถึงทางตัน ความขัดแย้งตรงนี้จะลงเอยอย่างไร สส.ที่ต้องการเปิดญัตติเพื่อหาคนนอก ต้องหาให้ได้ 250 เสียงในสภาผู้แทนราษฎร เมื่อถึงตอนนั้นโอกาสซื้อตัว สส.ก็จะมีขึ้นแน่

ไชยันต์ อธิบายต่อว่า ใครจะเป็นคนกำหนดว่า การเลือกนายกรัฐมนตรีขยักแรกถึงทางตัน หากให้ประธานรัฐสภารวบรัดมันก็เร็วไป ดังนั้น ควรให้ประชาชนตัดสิน ซึ่งถ้ายังเลือกไม่ได้ตอนนั้นประเทศจะเกิดสุญญากาศ เหมือนประเทศเบลเยียมจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้นานอยู่ 3-4 เดือน แต่ต่างประเทศเขาเอาคนในมาเป็นนายกฯ ส่วนของไทยยังมีช่องคนนอก

ขณะเดียวกัน เมื่อรัฐธรรมนูญไม่ได้กำหนดระยะเวลา เรื่องก็ต้องไปถึงศาลรัฐธรรมนูญโดยให้ยึดตามประเพณีการปกครอง ซึ่งประเทศไทยไม่เคยมีมาก่อนเรื่องไม่มีระยะเวลา ถ้าศาลบอกว่านานก็ต้องไปสู่ญัตติ สว.ในการคัดเลือกนายกฯ เพื่อลงมติว่าจะมีคนนอกหรือไม่ สมมติว่าถ้าศาลบอกว่ายังรอได้อีก ก็ต้องกลับมาคุยกันให้หมด

ไชยันต์ กล่าวว่า ถ้าโชคดีได้นายกฯ มาจากพรรคการเมืองก็จบ ก็จะเกิดสภาวะปรองดองระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์ แล้วจะเรียกว่าเกี้ยเซี้ยในหมู่นักการเมืองหรือไม่

“คำว่าเกี้ยซิยาธิปไตย ของอาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ หรือที่ อาจารย์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล บอกนั้น เขากลัวนักการเมืองจะไปเกี้ยเซี้ยกับทหาร แต่ถ้าการเมืองเขาตกลงได้กันภายในสภา จะเรียกว่าเกี้ยเซี้ยไหม แล้วจะเรียกว่าถึงเวลาผสมพันธุ์กันอีกไหม คนพูดว่าไม่เอา เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ในที่สุดจูบปากกันอีกแล้ว เพราะสันดานนักการเมือง ตกลงเราจะเอายังไง”

เขากล่าวว่า สมัยอดีตเวลาจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ทุกคนจะคิดถึง บรรหาร ศิลปอาชา แต่คนเล่นบทบาทนี้ต้องมีบารมี มันดูเหมือนปลาไหลก็จริง แต่ก็มีสัตยวาจาบางอย่าง ซึ่งลึกๆ แล้วจะรู้ว่า พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ และบรรหาร ก็มีหลักของตัวเอง แต่เมื่อไม่มีตัวตรงนี้ ใครจะรวบรวมพรรคขนาดกลางเป็นโซ่ข้อกลาง ยังมองไม่ออก ถ้าตีกัน แตกกัน ในสภา มันจะเป็นเงื่อนไขให้คนนอกมีอิทธิพลแทรกแซงเป็นนายกฯ ได้

“ถ้าคุยไม่รู้เรื่อง สส.ต้องหา 250 เสียง มาขอ สว.ให้เปิดญัตติเพื่อหาคนนอก ตามกติกาของคำถามพ่วงประชามติให้รัฐสภาโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีในช่วง 5 ปีแรก หมายถึง การจะเลือกนายกฯ จะต้องใช้เสียงครึ่งหนึ่งของสองสภา คือ 346 เสียง จากที่ต้องรวม 250 สว. และ 500 สส. เป็น 750 คน ถ้าพรรคการเมืองผนึกกำลังกันไม่ให้ สว.เลือกนายกฯ ให้เป็นเรื่องของสภาผู้แทนราษฎร ดังนั้น ทำอย่างไรให้ได้ 376 เสียงขึ้นไป ซึ่งก็ไม่ง่าย คนที่ได้คะแนน 376 เสียง จะเป็นนายกฯ ที่มีความชอบธรรมมากตามรัฐธรรมนูญนี้”

ไชยันต์ กล่าวว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะเข้ามาบริหารประเทศในรัฐบาลหน้า จะเผชิญกับความยากลำบาก ซึ่งอาจจะยากไม่เหมือนสมัย พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี เคยเจอมาก่อน ทั้งในเรื่องของเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น การต่อต้าน การอภิปรายไม่ไว้วางใจแค่ 251 เสียงก็ได้ และไม่เกี่ยวกับ สว. มันอาจจะมีการเปลี่ยนรัฐบาลได้

“สมัยป๋า 8 ปี เลือกตั้ง 3 ครั้ง อันนี้อาจจะไม่ได้เลือกตั้ง แต่แค่จะปรับ ครม.อะไรไป นายกฯ เจอวิกฤตลาออกเข้ามาใหม่ แก้ขัดแย้งการเมือง ก็ถูกต้องตามครรลองรัฐสภา แต่ พล.อ.ประยุทธ์ ภายใต้เงื่อนไขไม่มีมาตรา 44 ทำอะไรไม่ได้ เมื่อครั้งหน้าไม่มี ก็เข้าสู่กระบวน การของสภา จะออกกฎหมายทำอะไรก็ว่าตามนั้นซึ่งจะเป็นระบบที่ควรจะเป็น เพราะหากคงมาตรา 44 ไว้ตลอด วันหลังสังคมดื้อยาแล้วยุ่ง อย่างกฎหมาย พ.ร.ก.แรงงานต่างด้าว ก็ไม่ได้ผ่านกระบวนการในสภา ถ้าเป็น พ.ร.บ. จะมีการอภิปราย การออกก็จะช้าหน่อย แต่มันทำให้ความเสียหายไม่เกิดขึ้น ฉะนั้น เป็นเรื่องดีเวลาออกกฎหมายสำคัญต้องให้สภาตัดสิน”

ไชยันต์ กล่าวว่า สมัย พล.อ.เปรม เป็นนายกฯ ตอนนั้นเกิดสงครามเย็น มีปัญหาคอมมิวนิสต์ เป็นเรื่องหวาดวิตกของผู้คน มันมีเงื่อนไขการเมืองระหว่างประเทศ การเมืองโลก สนับสนุนให้สังคมต้องการอะไรที่สามารถรักษาความสงบเรียบร้อยได้จริง แต่ปัจจุบันมันไม่มีเงื่อนไขเหล่านี้

“ความขัดแย้งสมัย พล.อ.เปรม เป็นเรื่องมวลชนปฏิวัติคอมมิวนิสต์ ไม่ยุ่งเหยิงเหมือนปัจจุบัน แต่สมัยนี้เป็นมวลชนประชาธิปไตย ที่มีความเห็นต่างกัน ปัญหาสมัยคอมมิวนิสต์คนไทยส่วนใหญ่ไม่เอาและสนับสนุนผู้นำ แต่ปัจจุบันคนไทยแตกเป็น 2-3 ฝ่าย แล้วก็พยายามอ้างประชาธิปไตยทั้งคู่ และตีความ สิ่งที่ อาจารย์เสกสรรค์  พูดเรื่องจะอยู่ 10 ปี ผิด เพราะไม่ได้หมายความว่าทหาร คสช.จะเป็นนายกฯ ต่อเนื่อง 10 ปี แต่มันเป็นเพียงกรอบ สรุปคือ ถ้า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อ มันก็ไม่ง่ายที่จะอยู่ยาวเหมือนสมัย พล.อ. เปรม เพราะคนละยุคสมัย”

สิ่งที่น่าเป็นห่วงในช่วงเปลี่ยนผ่านตามทัศนะของ ไชยันต์ คือ ความรุนแรงแบบคาดไม่ถึง เช่น เหตุระเบิดบริเวณสนามหลวง หรือโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า อย่างไรก็ดี ปัจจัยที่จะทำให้ประชาธิปไตยช่วงเปลี่ยนผ่านมีความยั่งยืนนั้น อยู่ที่ประชาชน

“ประชาชนต้องเข้าใจว่า ประชาธิปไตยอันสมบูรณ์ต้องย้อนกลับไปยุคกรีกโบราณ ประชาชนมีอำนาจสำคัญก็จริง แต่ก็แค่ส่วนหนึ่งและช่วงเวลาหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นในการคัดคนเข้าไป นั่นคือ  การเลือกตั้ง ที่ต้องการคนที่เก่งกว่าเรา สนใจบ้านเมืองมากกว่าเรา มีเวลาให้การเมืองมากกว่าเรา เรากำลังเลือกอภิชนเข้าไปในสภา และอภิชนก็จะไปเลือกนายกฯ

ไชยันต์ กล่าวว่า ประชาชนมีอำนาจทางการแค่ 4 วินาทีเข้าคูหากาบัตร หลังจากนั้นอำนาจอยู่ที่ สส. 500 คน ผนวกกับ 250 สว. เป็น 750 ที่จะเลือกนายกฯ หรือเอกบุรุษ ดังนั้น ต้องเข้าใจว่าอำนาจประชาธิปไตยสมบูรณ์มันไม่เคยมี แต่ถ้าพูดกล่อมประสาทให้คนคิดอย่างนั้นตลอดเวลาถึงเวลามันผิดพลาดได้ เพราะประชาธิปไตยมันต้องเฉลี่ยอำนาจกัน

“อำนาจประชาชนมีแค่ส่วนหนึ่งต้องยอมรับ แต่เป็นส่วนสำคัญจุดเริ่มต้น ถ้าจะคิดว่าออกมาเป็นมวลชนตลอดมันไม่ใช่ ประเทศก็เจ๊ง และอยากฝากการเมืองควรเลิกเล่นแบบเลือกข้าง ควรเลือกเล่นตามประเด็น สมมติเพื่อไทย ประชาธิปัตย์ พูดดีทำได้ก็ควรสนับสนุน ไม่อย่างนั้นบ้านเมืองก็วนเวียนแบบนี้ไปตลอด”

 

ภารกิจ “หมอบุญ” สร้างเมืองวัยเกษียณ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

05 กรกฎาคม 2560 เวลา 18:16 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/501606

ภารกิจ "หมอบุญ" สร้างเมืองวัยเกษียณ

โดย…จารุพันธ์ จิระรัชนิรมย์

ในช่วงที่ผ่านมาจะเริ่มเห็นความเคลื่อนไหวของกลุ่มธุรกิจโรงพยาบาลในด้านการขยายสาขา การซื้อกิจการกันเอง เปิดตัวแบรนด์ใหม่เจาะตลาดใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งแตกตัวไปทำธุรกิจอื่นที่เกี่ยวเนื่อง ซึ่งกลุ่มล่าสุดที่เปิดตัวโครงการใหญ่ออกมา ก็คือ กลุ่มโรงพยาบาลธนบุรี หรือบริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป ซึ่งริเริ่มทำโครงการจิณณ์ เวลบีอิ้ง เคาน์ตี้ เมืองแนวคิดใหม่เพื่อวัยเกษียณ ริมถนนพหลโยธิน (รังสิต) ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ถือเป็นการเปิดฉากรับสถานภาพไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างชัดเจน โดยแค่เฟสแรกใช้เงินลงทุนกว่า 4,000 ล้านบาท

นพ.บุญ วนาสิน ผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป หัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญในการริเริ่มโครงการนี้ อธิบายว่า กลุ่มธนบุรีเป็นโรงพยาบาลกลุ่มแรกที่หันมาทำโครงการลักษณะนี้ โดยวัตถุประสงค์ไม่ใช่แค่เพียงเป็นโครงการดูแลคนชรา แต่เป็นโครงการบูรณาการการดูแลสุขภาพแบบครบวงจร (อินทิเกรด เฮลท์แคร์)

จุดเริ่มต้นโครงการนี้มาจาก นพ.บุญ มองเห็นว่า การเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลมีค่าใช้จ่ายสูงมาก ทั้งที่ผู้ป่วยส่วนใหญ่ไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลเกิน 2 วัน แต่บางคนกลับต้องอยู่ 5-10 วัน เพราะต้องรอถึงช่วงเวลาตัดไหม เมื่อเป็นเช่นนี้จึงมองว่าโรงพยาบาลควรมีอีกตึกเพื่อเป็นตึกทำกายภาพและฟื้นฟู โดยคิดค่าใช้จ่ายถูกกว่า 3 เท่า เมื่อเทียบกับการนอนในโรงพยาบาล รองรับผู้ป่วยที่ยังย้ายกลับบ้านไม่ได้ ยังต้องการความช่วยเหลืออยู่บ้าง กลุ่มที่เป็นอัมพาต หรืออีกกลุ่มที่แข็งแรงดีแต่หาคนดูแลไม่ได้ ซึ่งโครงการนี้จะมาตอบโจทย์ทั้งหมด

ในโครงการจะประกอบด้วยอาคารที่พักอาศัยรองรับคนวัยเกษียณ อาคารดูแลผู้สูงอายุที่ต้องการ การดูแลเป็นพิเศษ รวมถึงอาคารสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น สปา ฟิตเนส สระว่ายน้ำ คลาสกิจกรรม ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพและฟื้นฟูสภาพร่างกาย ให้บริการการแพทย์ตั้งแต่ป้องกัน รักษา จนถึงฟื้นฟูด้วยบุคลากรทางการแพทย์ที่เชี่ยวชาญ นอกจากนี้จะมีสิ่งอำนวยความสะดวกตอบโจทย์ลูกหลานที่มาดูแลผู้สูงอายุ มีพื้นที่สีเขียวด้วย

นพ.บุญ กล่าวว่า ทฤษฎีสำคัญของโครงการนี้คือ คนที่มาอยู่ อยู่แล้วต้องมีความสุข ซึ่งผู้สูงอายุจะมีปัญหา 2 อย่าง ได้แก่ ซึมเศร้า และสับสน ดังนั้นสิ่งที่เราต้องเข้าไปดูแลมี 3 เรื่อง คือ ดูแลร่างกายให้แข็งแรง ป้องกันด้วยเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย ดูแลจิตใจ ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญที่สุดโดยจะมีนักจิตวิทยามาพูดคุยด้วยตลอด และสุดท้าย คือ ดูแลด้านการเงิน

สำหรับการเงิน ต้องวางแผนให้ผู้สูงอายุที่จะซื้อที่อยู่อาศัยในโครงการ ต้องส่งเงินส่วนหนึ่งเข้ากองทุนบำเหน็จบำนาญ (เพนชั่น ฟันด์) ทุกเดือนตั้งแต่ร่วมโครงการ และหากอยู่ในโครงการ 20-30 ปี หรืออายุ 90 ปีแล้วก็สามารถขายคืนที่อยู่อาศัยที่ซื้อไปให้กับโครงการได้ โดยอาจได้เงินคืน 2 เท่า เพราะที่ผ่านมาพบว่าในวาระสุดท้ายของชีวิตผู้ป่วยบางคนอาจต้องใช้เงินที่เก็บมาตลอดชีวิต แต่ถ้าไม่ต้องการขายก็ส่งต่อให้ลูกหลานได้

จากการเดินสายตามองค์กร 30-40 แห่ง เพื่อแนะนำโครงการนี้ พร้อมจัดกิจกรรมด้านสุขภาพออกบูธต่างๆ สำรวจความต้องการ สิ่งที่พบ คือ แม้โครงการนี้ยังไม่เปิดตัวขายเป็นทางการก็มีคนสนใจซื้อเข้ามาแล้วเกือบ 200 ยูนิต 40% เป็นคนที่เกษียณอายุแล้วตั้งใจมาอยู่จริง อีก 60% เป็นกลุ่มที่ยังไม่เกษียณอายุแต่ต้องการเตรียมพร้อมก่อนเกษียณ ส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงอายุ 45-55 ปี มีเงินเดือน 5 หมื่น-1 แสนบาท ที่ยังไม่ได้แต่งงาน ไม่อยากเป็นภาระลูกหลาน มีความสามารถผ่อนจ่ายได้เดือนละ 3 หมื่นบาท และสามารถอดออมได้อีกเดือนละ 1 หมื่นบาท เก็บเงินเข้าเพนชั่น ฟันด์ เพื่อที่ในวันที่เป็นผู้สูงอายุจะมีเงิน 10 ล้านบาท กำไว้ในมือ

อย่างไรก็ตาม โครงการก็วางแผนไว้แล้วเพื่อช่วยลดภาระในการผ่อนจ่ายของผู้ที่ยังไม่ได้ต้องการมาอยู่ทันที คือ การนำไปปล่อยเช่า ซึ่งก็อาจช่วยแบ่งเบาภาระการผ่อนจ่ายไปได้เดือนละ 2 หมื่นบาท โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของการปล่อยเช่า คือ คนญี่ปุ่นที่ต้องการมาใช้ชีวิตวัยเกษียณเมืองไทย เนื่องจากมีค่าครองชีพที่ต่ำกว่า

“ในโครงการนี้จะมีบริการกิจกรรม 40 อย่าง เป็นบริการขั้นพื้นฐานให้ใช้ฟรี 15 อย่าง อีก 25 อย่างต้องเสียค่าบริการเพิ่ม ก่อนจะมาทำโครงการนี้ก็ไปดูงานและศึกษาตัวอย่างโครงการในจีนมาแล้ว”

ด้านสาเหตุที่เลือกทำเลนี้ทำโครงการเพราะคมนาคมสะดวก ด้านหลังโครงการติดรถไฟฟ้าสายสีแดง และอยู่ไม่ไกลมหาวิทยาลัยต่างๆ เป็นทำเลที่เหมาะกับการที่ลูกหลานจะมาเยี่ยมได้ง่าย ส่วนอนาคตตั้งเป้าทำโครงการลักษณะนี้แต่สามารถรองรับกลุ่มชนชั้นกลางได้ คาดหวังว่า 10 ปีข้างหน้าจะรองรับผู้สูงอายุให้ได้ 4 หมื่นคน หรือ 10% ของผู้สูงอายุที่มีกำลังซื้อพอจะร่วมโครงการลักษณะนี้ ซึ่งเชื่อว่าหากมีโรงพยาบาลอื่นๆ สนใจมาทำโครงการลักษณะนี้อีกก็จะเป็นผลดีกับคนไทย เพราะยังมีความต้องการรออยู่อีกมาก

นี่คือภารกิจท้าทายของ นพ.บุญ วนาสิน

เพราะกำไรไม่ใช่หัวใจสำคัญ

กว่าจะมาเป็นผู้ก่อตั้งและประธานกรรมการ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป เจ้าของโรงพยาบาล ธนบุรี วันนี้ นพ.บุญ วนาสิน วัย 79 ปี เล่าย้อนว่าเขาก็เป็นหมอรักษาคนไข้คนหนึ่งที่ไปศึกษาต่อต่างประเทศจนเชี่ยวชาญด้านส่องกล้องทางเดินอาหาร จากนั้นกลับมาทำงานในไทยสอนหนังสือต่อที่ศิริราช แล้วก็ได้เห็นปัญหาใหญ่ว่า จำนวนเตียงที่โรงพยาบาลมีไม่เพียงพอความต้องการของคนไข้ มีคนไข้รอเตียงไม่ไหวเสียชีวิตไปก่อน

ด้วยเหตุนี้ จึงตัดสินใจเปิดโรงพยาบาลธนบุรี รองรับความต้องการการรักษาพยาบาล ไม่ได้มีเป้าหมายหลักในการมุ่งหวังทำกำไรสูงสุด โดยอัตราค่ารักษาพยาบาลที่คิดก็ต่ำกว่าโรงพยาบาลเอกชนอื่นๆ 30% ปกติแล้วธุรกิจโรงพยาบาลจะทำกำไรเฉลี่ยได้ที่ 12% เครือโรงพยาบาลใหญ่บางแห่งในไทยทำได้ถึง 15% แต่กับโรงพยาบาลธนบุรีแล้วอยู่ที่ 8% เท่านั้น

ที่ผ่านมา ไม่ว่าจะมีกรณีผู้ป่วยฉุกเฉินใดๆ เข้ามา โรงพยาบาลก็รับไว้ตลอด แม้ภายหลังอาจต้องขาดทุนจากการรักษาพยาบาลในกรณีฉุกเฉินนั้นๆ บ้าง เพราะเงินที่รัฐบาลจ่ายชดเชยให้ไม่ครอบคลุมค่าใช้จ่ายทั้งหมด แต่ก็ยอมแบกรับภาระนั้นไว้เอง เพราะไม่ได้คิดเรื่องกำไรขาดทุนเป็นหัวใจสำคัญ แต่ถึงอย่างไรโรงพยาบาลก็ยังต้องมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ขยายเตียงมากขึ้นเพื่อรองรับความต้องการที่มากขึ้น เช่น โรงพยาบาลธนบุรี ปัจจุบันมี 400 เตียง ระยะต่อไปคงต้องเพิ่มอีก 100 เตียง โรงพยาบาลธนบุรี 2 ก็คงต้องเพิ่มเตียงตามมาอีก

นพ.บุญ กล่าวว่า ถึงวันนี้นอกเหนือจากธุรกิจโรงพยาบาลก็ทำหลายธุรกิจจนนับไม่ถ้วน สิ่งที่ชอบทำมากที่สุดเป็นเรื่องการศึกษา และคงยืนหยัดทำเรื่องการศึกษาต่อไป ขณะที่เดิมทีเคยตั้งเป้าหมายตัวเองว่าจะเกษียณอายุ 75 ปี แต่พอถึงเวลาจริงก็เลื่อนเวลาเกษียณอายุตัวเองเป็น 80 ปี และพอถึงวันนี้ในวัย 79 ปี ที่ยังมีโครงการในความคิดมากมายรออยู่ ก็คิดว่าคงต้องเลื่อนเกษียณอายุไปเป็น 83 ปีแล้ว ซึ่งก็คิดว่าถึงวันนั้นคงเลื่อนไปไม่ได้อีกแล้ว

จากการเป็นเจ้าโปรเจกต์มากมายเช่นนี้ นพ.บุญ จึงมีวินัยกับตัวเองในการดูแลร่างกาย โดยจะออกกำลังกายทุกวัน วันละ 2 ชั่วโมง คือ วิ่ง 1 ชั่วโมง และว่ายน้ำอีก 1 ชั่วโมง อีกทั้งจะเลือกรับประทานอาหารที่ดีต่อสุขภาพเพื่อทำให้ตัวเองแข็งแรงเสมอพร้อมลุยกับงาน

ถือเป็นซีอีโอวัยเกษียณที่ยังแรงดีไม่มีตก และยังมีไอเดียสร้างสรรค์โครงการใหม่ๆ ออกมาเสมอซึ่งคนรุ่นใหม่ๆ ควรมองไว้เป็นแบบอย่าง

 

“ไพรมารีโหวต” ล้มนายทุน ปฏิรูปการเมืองสำเร็จ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

03 กรกฎาคม 2560 เวลา 20:51 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/501226

"ไพรมารีโหวต" ล้มนายทุน ปฏิรูปการเมืองสำเร็จ

โดย…ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย

นับเป็นวาทะการเมืองร้อนแรงมาหลายสัปดาห์ สำหรับ “ไพรมารีโหวต” หรือที่เรียกกันในภาษาทางการว่าการเลือกตั้งขั้นต้นเพื่อคัดเลือกผู้สมัคร สส.ของพรรคการเมือง ซึ่งเป็นบทบัญญัติในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ที่สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เพิ่งให้ความเห็นชอบไปก่อนหน้านี้ โดยตามขั้นตอนเวลานี้อยู่ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เพื่อนำไปสู่การตั้งคณะกรรมาธิการร่วมกันเพื่อแก้ไขเนื้อหาในร่างกฎหมายต่อไป

สำหรับประเด็นที่เป็นปัญหาทำให้พรรคการเมืองต่างออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับร่างกฎหมายพรรคการเมืองคือ ขั้นตอนการทำไพรมารีโหวต

ฝ่ายพรรคการเมืองมองว่าควรกลับไปใช้กระบวนการทำไพรมารีโหวตตามที่ กรธ.เขียนไว้ในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับแรก ซึ่งไม่ได้มีสภาพบังคับแก่พรรคการเมืองมากเกินไป เพราะร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ สนช.แก้ไขไปนั้น ทำให้เกิดปัญหาในทางปฏิบัติแก่พรรคการเมือง โดยเฉพาะการนำไปสู่ความแตกแยกภายในพรรคจากการที่ผู้สมัคร สส.ของพรรคต่างแย่งชิงสมาชิกพรรคเพื่อให้มาสนับสนุนตัวเองเป็นผู้สมัคร สส.

ในจังหวะนี้เอง “โพสต์ทูเดย์” จึงได้มีโอกาสสนทนากับ “พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม” สมาชิก สนช. ในฐานะอดีตประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง เพื่อสอบถามถึงที่มาที่ไปว่าเหตุใด สนช.ถึงได้กำหนดขั้นตอนการทำไพรมารีโหวตไว้แบบเข้มงวด และที่ทำไปอย่างนั้นมีเจตนารมณ์อะไร

เบื้องต้น พล.อ.สมเจตน์ ระบุว่า การทำไพรมารีโหวตที สนช.กำหนดไว้ในร่างกฎหมายพรรคการเมืองมีที่มาที่ไปจากรัฐธรรมนูญปี 2560 และสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)

“เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปก่อนที่จะเกิดคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ขึ้นมา ในช่วงนั้นพรรคการเมืองมีการดำเนินการในลักษณะที่ไม่เป็นประชาธิปไตย มีปัญหาว่าพรรคการเมืองเป็นพรรคการเมืองของนายทุน จนนำมาสู่การปฏิบัติหน้าที่ของ สส.เปรียบเหมือนกับพนักงานบริษัท มีหน้าที่มายกมือตามอำนาจสั่งการของนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง จนกลายเป็นวิกฤตของสภา”

“เวลานั้นเกิดกระแสเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมืองเพื่อให้พรรคการเมืองเป็นพรรคการเมืองของประชาชนอย่างมาก กระทั่งนำมาสู่การร่างรัฐธรรมนูญ 2 ฉบับภายหลังเกิดการรัฐประหาร ซึ่งมองถึงการปฏิรูปการเมือง โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญปี 2560 ที่ผ่านการประชามติ ได้กำหนดเรื่องการปฏิรูปการเมืองไว้ชัดเจนว่าต้องให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมกับพรรคการเมือง ตั้งแต่การกำหนดนโยบายและการร่วมกิจกรรมทางการเมือง รวมไปถึงกระบวนการในการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรม”

“จากนั้นพบว่ามีรายงานของคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองของ สปท. ซึ่งมีนักการเมืองอาวุโส ผู้ทรงคุณวุฒิหลายท่านร่วมเป็นกรรมาธิการและที่ปรึกษา ได้มีการเสนอให้สมาชิกพรรคการเมืองมีส่วนร่วมกับพรรคการเมืองในการคัดเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งผ่านการเลือกตั้งขั้นต้น ผมก็พิจารณาและเสนอต่อสมาชิก สนช. และคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ”

ขณะเดียวกัน พล.อ.สมเจตน์ มองว่า แม้ในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ กรธ.ส่งมาให้ สนช. ในตอนแรกจะมีการกำหนดการทำไพรมารีโหวตเอาไว้ แต่เห็นว่าเป็นการกำหนดที่ไม่ได้มีสภาพบังคับแก่พรรคการเมือง จึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ สนช.ต้องเพิ่มเติมเนื้อหาเข้าไปเพื่อให้เกิดสภาพบังคับแก่พรรคการเมือง เพื่อไม่ให้เหมือนกับปัญหาที่เคยเกิดขึ้นกับกฎหมายพรรคการเมืองเมื่อปี 2550

“เราได้ดูกระบวนการทำไพรมารีโหวตที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่เสนอเข้ามานั้นเป็นเพียงการรับฟังความคิดเห็นเท่านั้น ซึ่งยังไม่เพียงพอ เราจึงเสนอกระบวนการทำไพรมารีโหวตในแบบของเราเข้าไป”

“ในร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2550 กำหนดให้ทำไพรมารีโหวตเอาไว้แล้ว แต่ไม่ได้กำหนดสภาพบังคับเอาไว้ จึงไม่มีพรรคการเมืองไหนทำไพรมารีโหวต พรรคการเมืองก็ไม่อยากทำ เพราะการทำไพรมารีโหวตคือการถ่ายโอนอำนาจจากนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง หรือกรรมการบริหารพรรค ไปเป็นของสมาชิกพรรคการเมือง”

“การปฏิรูปใดๆ ก็แล้วแต่ที่มันจะไม่สำเร็จ ก็เพราะผู้เป็นเจ้าของอำนาจไม่ยินยอมที่จะสูญเสียอำนาจของตัวเอง ดังนั้นการที่พรรคการเมืองออกมาคัดค้านต่างๆ นั้น คัดค้านโดยอ้างเหตุอื่นว่าปฏิบัติไม่ทันและมีปัญหายุ่งยาก แต่แท้ที่จริงแล้วคือการคัดค้านในการที่จะถ่ายโอนอำนาจของตัวเองไปให้สมาชิกพรรคการเมือง ทั้งที่วิธีการทำไพรมารีโหวตแบบนี้ เป็นวิธีการประชาธิปไตยโดยแท้”

พรรคการเมืองหลายพรรคการเมืองมองตรงกันในประเด็นหนึ่งคือ การทำไพรมารีโหวตแบบนี้อาจทำให้เกิดกระบวนการจัดตั้งและเกิดความขัดแย้งภายในพรรคการเมือง? พล.อ.สมเจตน์ ตอบว่า “การจัดตั้งนี้พรรคการเมืองยอมรับไหม ถ้าจัดตั้งโดยถูกต้องก็ทำได้ พรรคการเมืองต้องสนับสนุนการจัดตั้งที่ชอบ การจัดตั้งที่ชอบคืออะไร คือการไปชักชวนและไปเสนอแนวทางให้ประชาชนเพื่อเชิญมาเป็นสมาชิก พรรคการเมืองต้องจัดการสิ่งที่ถูกต้องให้เกิดขึ้นภายในพรรคการเมือง พรรคการเมืองนั่นแหละจะเป็นคนสอนแนวทางประชาธิปไตย”

“เวลาคุณมามีอำนาจในการบริหาร คุณบอกว่าต้องสอนแนวทางประชาธิปไตย ไปสนับสนุนให้โรงเรียนเลือกสภานักเรียน สนับสนุนให้มีการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นเลือกผู้แทนของตนเองมาแก้ไขปัญหาของตนเอง แล้วทำไมพรรคการเมืองถึงไม่พร้อมที่จะดำเนินการที่จะจัดการตัวเองให้เป็นประชาธิปไตยเพื่อเป็นตัวอย่างที่ดี”

แม้จะมีการทำไพรมารีโหวตก็จริง แต่เมื่อเข้าไปทำงานในสภาแล้ว สส.ก็ย่อมตกอยู่ภายใต้มติของพรรคการเมือง แบบนี้ก็จะไม่มีทางทำให้ สส.มีอิสระได้ ทั้งที่ผ่านการทำไพรมารีโหวต? ในประเด็นนี้ พล.อ.สมเจตน์ เห็นในมุมกลับกันว่า “เดิมถ้า สส.ไม่ทำตามมติพรรคการเมืองแล้ว พรรคการเมืองจะไม่ส่งคนนั้นเป็นผู้สมัครในอนาคต อำนาจในการส่งผู้สมัครอยู่กับนายทุนเจ้าของพรรคการเมือง แต่ต่อไปถ้ามีการทำไพรมารีโหวต อำนาจในการส่งผู้สมัครนั้นไม่ได้อยู่กับนายทุน”

“แท้ที่จริงแล้วไม่มีเจตนาจะทำลายพรรคการเมืองเลย เพราะมีเจตนาที่ต้องการสร้างพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันทางการเมืองให้มีความเข้มแข็งมากขึ้น และให้พรรคการเมืองสรรหาเลือกคนดีๆ ที่เห็นประโยชน์ส่วนร่วมนั้นเข้าไปทำหน้าที่นิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร ถ้าพรรคการเมืองเสนอคนดีๆ เข้าไป แน่นอนที่สุดเขาจะต้องไปทำดีและเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ”พล.อ.สมเจตน์ ทิ้งท้าย

จากใจ “หมอมงคล” แก้กฎหมายบัตรทองทำลายความเท่าเทียม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

02 กรกฎาคม 2560 เวลา 10:28 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/501027

จากใจ "หมอมงคล" แก้กฎหมายบัตรทองทำลายความเท่าเทียม

โดย…กันติพิชญ์ ใจบุญ

นพ.มงคล ณ สงขลา อดีต รมว.สาธารณสุข ผู้ที่เมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ออกมากระตุกถึงรัฐบาลด้วยคำขอบคุณที่แฝงเอาไว้ด้วยความกดดันอย่างมีนัย กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันกับคนไทยที่มีสิทธิในบัตรหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ “บัตรทอง” ว่าแน่นอนที่สุด รัฐบาลจะไม่ยกเลิกอย่างเด็ดขาด

แต่นัยสำคัญคือ ข้อความของ นพ.มงคล เน้นย้ำให้รัฐบาลระมัดระวังการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง หรือ (ร่าง) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ผ่านกระบวนการรับฟังความคิดเห็นผู้มีส่วนได้เสียทุกภาคส่วนทั่วประเทศว่า การแก้ไขกฎหมายบัตรทองที่เกี่ยวพันกับคนที่มีสิทธิกว่า 48 ล้านคน อาจมีการสอดไส้จากผู้ให้บริการ คือกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องการเข้ามาจัดการเงินอุดหนุนกว่าแสนล้านบาทต่อปีจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช.

ข้อกังวลภายในใจผู้ใหญ่ของวงการสาธารณสุขอย่าง นพ.มงคล คือ ประชาชนอาจเสียสิทธิอันพึงชอบธรรมด้านสุขภาพ ที่ สปสช.ดูแลมากว่า 15 ปี

นพ.มงคล เปิดประเด็นกับ “โพสต์ทูเดย์” ในเรื่องดังกล่าวไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะข้อกังวลต่างๆ ในการแก้ไขกฎหมายบัตรทองว่า การแก้ไขกฎหมายครั้งนี้ก็เพื่อให้กระทรวงสาธารณสุข (สธ.) มีอำนาจแทน สปสช. เพื่อจัดซื้อจัดจ้างเวชภัณฑ์ และเครื่องมือทางการแพทย์ ให้กับผู้ให้บริการคือโรงพยาบาล และสถานบริการต่างๆ ผลที่ตามมาคือ สธ.จะไม่สามารถซื้อได้ในราคาถูกอย่างที่ สปสช.ทำมา เพราะจะเป็นการกระจายกันซื้อไม่ใช่รวมอยู่เจ้าเดียวอย่างที่ทำกันอยู่ เมื่อปริมาณซื้อไม่มาก ราคาก็ไม่ได้ลดตาม แต่เงินที่รัฐบาลให้ก็ยังคงเท่าเดิม

เมื่อต้องซื้อเวชภัณฑ์ เครื่องไม้เครื่องมือที่แพงขึ้น แน่นอนว่าผลกระทบจะมาอยู่ที่ประชาชนที่ใช้สิทธิบัตรทอง เพราะยาก็ถูกจำกัด ผู้ป่วยก็ไม่ได้รับการรักษาอย่างทั่วถึง นพ.มงคล ยกตัวอย่างเช่น ยาสำหรับผู้ป่วยโรคมะเร็งที่ สปสช.ซื้อได้ในราคาไม่ถึง 1,000 บาท จากราคาที่ขายกันอยู่ที่ 4,000-6,000 บาท คนก็รับบริการได้อย่างทั่วถึง

อีกเรื่องที่ยังเป็นข้อกังวล โดยเฉพาะการแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มสัดส่วนคณะกรรมการ หรือบอร์ดใน สปสช. ซึ่งกฎหมายใหม่จะเพิ่มสัดส่วนผู้ให้บริการมาอีก 7 คน และลดสัดส่วนภาคประชาชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกไป ทั้งๆ สมดุลของบอร์ดจำนวน 30 คนก็มีการถ่วงดุลกันดีอยู่แล้ว และผู้ให้บริการก็อยู่ในบอร์ดจำนวนไม่น้อยด้วยเช่นกัน

“ผมมองว่าเขาต้องการเพิ่มน้ำหนักในบอร์ดให้กับผู้ให้บริการมากขึ้น ประชาชนก็ห่วงในประเด็นนี้เพราะมันมีผลต่อการจัดสรรงบประมาณ หวั่นกันว่างบจะเอียงไปฝั่งผู้ให้บริการมากจนเกินไปจนทำให้ภาคประชาชนต้องมาเสียเปรียบ” นพ.มงคล สะท้อนปัญหา

กอปรกับเรื่องของเงินเดือนผู้ให้บริการ ที่จะสร้างผลกระทบใหญ่หลวงให้กับความเท่าเทียมด้านสุขภาพของคนชนบทและคนเมือง
ซึ่งการแยกเงินเดือนออกจากค่าบริการรายหัวของประชากร ตามกฎหมายใหม่ที่มีการเสนอนั้น จะทำให้แพทย์ พยาบาล บุคลากรไม่อยากจะทำงานในพื้นที่ชนบทอีกต่อไป

นพ.มงคล ฉายภาพข้อกังวลในเรื่องนี้ว่า หลักการสำคัญคือต้องการให้เงินเดือนของแพทย์ เภสัชกร ทันตแพทย์ หรือเจ้าหน้าที่ผู้ให้บริการนั้นไปอยู่กับประชาชนในพื้นที่นั้นๆ เพื่อให้บุคลากรทำงานกับประชาชนรักษาประชาชนในพื้นที่ เป็นการบังคับให้กระจายบุคลากรเพื่อให้คนชนบทที่อยู่ห่างไกลได้รับบริการจากภาครัฐอย่างเท่าเทียมกับคนในเมือง

“ประชาชนอยู่ที่ไหน เงินเดือนอยู่ตรงนั้น ระบบบัตรทองกำเนิดแนวคิดนี้ขึ้นมาเพื่อให้มีความเท่าเทียมกัน แต่ระบบอุปถัมภ์ในวงการแพทย์ก็ทำลายระบบนี้ เพราะในทุกวันนี้ สธ.ยังเอาเงินเดือนของชนบทมาจ่ายให้กับบุคลากรที่ขอมาช่วยราชการในเขตหัวเมือง หรือเมืองหลวง และหากกฎหมายผ่านเงินเดือนของบุคลากรจะมากระจุกอยู่ที่ สธ. ปัญหามันจะตามมาแน่นอน”  นพ.มงคล ย้ำ

นพ.มงคล กล่าวว่า หากจะแก้ไขกฎหมายบัตรทองนั้น ก็ขอให้เป็นไปตามพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงรับสั่งว่า การแพทย์การสาธารณสุข จะต้องดูแลสุขภาพของประชาชนทุกคน เพื่อที่จะให้ประชาชนเป็นทรัพยากรที่มาพัฒนาประเทศ หากประชาชนอ่อนแอ ไม่แข็งแรง ประเทศก็จะไม่ได้รับการพัฒนาที่ดี

ดังนั้น เป็นหน้าที่ของรัฐบาล ที่ต้องนำเงินภาษีของราษฎรมาลงทุนเพื่อพัฒนาประเทศ และการพัฒนาไม่ใช่การลงทุนรถไฟความเร็วสูง หรือการสร้างอะไรหลายอย่าง หากแต่ว่าประชากรไม่มีคุณภาพ อ่อนแอ เป็นโรค ประเทศชาติก็ไม่มีโอกาสที่จะพัฒนาให้ดีได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นในชั่วยามนี้ในวงการสาธารณสุขและมีผลกระทบต่อประชาชนผู้มีสิทธิในบัตรทองกว่า 48 ล้านคน ตามมุมมองของผู้ใหญ่อย่าง นพ.มงคล เห็นว่ารากเหง้าของปัญหาคือความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันเท่านั้น ระหว่างฟากฝั่งของผู้ให้บริการ และผู้รับบริการ รวมถึง สธ.เองก็เช่นกัน

นิยามความขัดแย้งในระยะเวลาที่เกิดขึ้นนพ.มงคล สะท้อนว่า ไม่มีการพูดคุยเพื่อแก้ไขปัญหากันอย่างจริงจัง ทั้งๆ ที่คนในวงการสาธารณสุขเอง เมื่อเกิดข้อขัดแย้งกันขึ้น กลับไม่ใช้หลักฐานต่างๆ ทางวิชาการมาพูดคุย แต่กลับใช้ความอยาก กิเลส และความดื้อดึงมาแก้ไขปัญหา และเวทีประชาพิจารณ์รับฟังความคิดเห็นการแก้ไขกฎหมายบัตรทองก็ยิ่งไม่มีความเป็นธรรมใดๆ ทั้งสิ้น

ความไม่เป็นธรรมที่ว่าคืออะไร นพ.มงคล ตอบคำถามนี้ว่า เพราะให้ฝั่งผู้รับบริการพูดแค่คนละ 3 นาที ขณะที่ฟากผู้ให้บริการสามารถพูดได้อย่างอิสระ จะขนคนไปเท่าไหร่ก็ย่อมได้ เพราะมีงบของทางราชการดูแล ฝั่งประชาชนต้องเสียเงินค่าเดินทางค่าที่พักเอาเอง ผู้จัดก็รวบรัดตัดตอนอยากให้เสร็จโดยเร็ว เพื่อเอาใจเจ้านายของตัวเอง

“ทำให้เสร็จเร็วๆ เพื่อหาความดีความชอบให้ตัวเอง ผมมองแบบนี้เพราะมันรวบรัดอย่างมาก ที่สำคัญคือไม่เห็นหัวประชาชน ความขัดแย้งหลายครั้งในหมู่คนไทยก็เกิดจากข้าราชการที่ใช้อำนาจมากกว่าใช้ใจกับประชาชน”

นพ.มงคล สะท้อนภาพอีกว่า เวทีประชาพิจารณ์ที่ภาคกลางจะเห็นความไม่เป็นธรรมชัดที่สุด รัฐบาลเอากำลังทหาร ตำรวจมายังเวทีแสดงความคิดเห็น สิ่งนี้คือการใช้อำนาจข่มขู่ มันตรงกันข้ามกับความปรองดองที่รัฐบาลอยากจะให้เกิดขึ้น แต่เป็นการเพิ่มความขัดแย้งเข้าไปอีก

“อย่าคิดว่าเอาตำรวจ ทหารไปจัดการแล้วทุกอย่างจะเรียบร้อย เพราะคุณแค่บังคับกายเขาได้เท่านั้น แต่คุณไปบังคับ หรือจับหัวใจเขาไปขังไว้ไม่ได้ สักวันหนึ่งใจเขาก็ต้องหลุดรอดออกมา”อดีต รมว.สธ. กล่าว

นพ.มงคล ย้ำอีกว่า สิ่งที่พูดออกไปหาใช่ว่าเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ตนไม่ใช่คนเสื้อแดงหรือคนเสื้อเหลือง และตนเกลียดทุกสีเสื้อ ใครก็รักประเทศชาติของตัวเองทั้งนั้น อยากเห็นความเจริญทัดเทียมนานาชาติ การพูดคุยจึงเป็นทางออกที่สำคัญ และอย่าพยายามคิดว่าพวกคุณคือคนที่รักชาติพวกเดียว คนไทยก็รักชาติกันทุกคน

นพ.มงคล ขยายความว่า สธ.คิดว่าเมื่อเงินงบประมาณบัตรทองไปอยู่ในมือจะจัดการทุกอย่างได้ง่าย ซึ่งเป็นการคิดที่ผิด เพราะสมัยก่อนเงินตรงนี้ก็อยู่กับ สธ.มาก่อน แล้วสุดท้ายนักการเมืองที่เข้ามาก็มาโกงเงินตรงนี้เกิดการคอร์รัปชั่น

การตั้ง สปสช.จึงเกิดขึ้นเพื่อให้บริหารเงินของรัฐบาล และไปมอบให้กับประชาชนอย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม นั่นคือการทำหน้าที่ของ สปสช. และคือหลักการของการประกันสุขภาพถ้วนหน้า แต่ในวันนี้ สธ.ต้องการเงินก้อนนี้เพื่อมาบริหารเอง แน่นอนว่าประชาชนก็ได้รับผล
กระทบ เพราะว่ากันตามจริงผู้ให้บริการคงไม่อยากจ่ายเงินมาให้กับผู้รับบริการมากเท่าเดิม คงอยากจะเก็บเอาไว้เองมากกว่า

“แม้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่าจะไม่ล้มบัตรทอง แต่การเปิดช่องให้แก้กฎหมายก็ทำให้ระบบบัตรทองมัน
เดี้ยง” นพ.มงคล กล่าว

อีกปัญหาคือการตีความกฎหมายบัตรทองในช่วงที่ผ่านมาของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) ที่ นพ.มงคล ตั้งคำถามว่า การเข้ามาตรวจสอบที่ว่าเป็นการแก้ไขปัญหา หรือสร้างปัญหากันแน่

“เอาหน่วยงานที่ไม่แก้ปัญหา แต่สร้างปัญหามาทำงาน ก็จะได้ปัญหาตามที่ต้องการ ผมไม่แน่ใจว่าคนที่ไปตรวจถูกสั่งให้แก้ปัญหา หรือไปสร้างปัญหา หากถูกสั่งให้แก้ผมมั่นใจได้เลยว่าทุกอย่างจะได้รับการแก้ไข”

ส่วนหนึ่ง นพ.มงคล วิเคราะห์การทำงานของ สตง.และ คตร.ว่าเป็นเพราะการตรวจสอบที่ตีความจากตัวบทกฎหมาย และมุ่งหาคนทำผิด ซึ่งทำให้เกิดการติดขัดด้านการเบิกจ่ายตามมา และนำไปสู่คำสั่งมาตรา 44 จากนายกฯ ที่ให้ขจัดความติดขัดนี้ออกไป จึงนำไปสู่การแก้ไขกฎหมายที่เกิดขึ้น

แต่สิ่งที่ขัดกันระหว่างความเข้าใจในกฎหมายของ สตง.และ คตร. กับเจตนารมณ์ของกฎหมายของภาคประชาชน จึงนำไปสู่ความขัดแยัง แต่สิ่งที่ชัดเจนในตลอดระยะเวลา 15 ปีของบัตรทอง และการทำงานของบอร์ด สปสช. มีการปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ด้านสุขภาพของประเทศมาโดยตลอด ผ่านรูปแบบของมติคณะกรรมการ แต่สิ่งที่รัฐบาลมองกลับบอกว่าการแก้ไขที่ผ่านมาทำไม่ได้ เพราะไม่อยู่ในรูปของกฎหมาย

ส่วนปมที่ว่า กลุ่มแพทย์ชนบท คือหัวโจกที่คัดค้านการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง และรัฐบาลกำลังใช้มาตรการนี้บั่นทอนกำลังของกลุ่มแพทย์ชนบทด้วย เพราะที่ผ่านมากลุ่มแพทย์กลุ่มนี้ได้ออกมาคัดค้านในโครงการของรัฐหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นโครงการท่าเรือน้ำลึก หรือโรงไฟฟ้าถ่านหิน นพ.มงคล มองเรื่องนี้ว่า รัฐบาลคงไม่โหดร้ายขนาดนั้นที่จะเอาประเด็นนี้มาโจมตีกลุ่มแพทย์ชนบท แต่บทบาทของแพทย์ชนบทเป็นเพราะผูกพันกับคนในพื้นที่ และหากคนในพื้นที่ได้รับความทุกข์ยาก มันก็คือทุกข์ของแพทย์ชนบทเช่นกัน

“จะมาบอกว่าแพทย์ชนบทมีอคติก็ไม่ใช่ และรัฐบาลจะเกลียดคนพวกนี้ก็ไม่ถูกต้องนัก เพียงแต่ว่าความเป็นคนนั้น ถ้าหากอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ต่างกัน ความคิดก็ต่างกัน ความเห็นก็จะต่างกัน หากความเห็นต่างกันตามแต่ฐานะบุคคล เมื่อใดที่มีโอกาสได้คุยกัน ก็จะเป็นการเดินหน้าเข้าหากัน ความเข้าใจก็เกิดขึ้นได้ง่าย ไม่ใช่ปัญหามาก แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่ได้พูดคุยกัน ปัญหาจึงเกิด หากฟังกันหน่อย เอาผลประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง ทุกอย่างก็จบ” อดีต รมว.สธ. กล่าว

แล้วทางออกคืออะไร หากการพูดคุยเป็นไปด้วยบรรยากาศบนพื้นฐานความขัดแย้ง และไม่เป็นธรรมอย่างแท้จริงอย่างที่ นพ.มงคล ว่าเอาไว้ ในฐานะผู้ใหญ่ของวงการสาธารณสุข นพ.มงคล เสนอทางออกให้กับรัฐบาลเอาไว้ว่า หากมีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อ สปสช. ก็ยุบทิ้งไปเสีย แต่ต้องแยกผู้ให้บริการคือโรงพยาบาล และสถานบริการต่างๆ ออกจาก สธ. และ สธ.ก็เข้ามาทำหน้าที่แทน สปสช. จะได้ความรู้สึกว่ามีอำนาจในการบริหาร แต่ต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ประชาชนจะได้รับการปกป้องเช่นเดิม หากทำได้ก็ยุบ สปสช.ไปเลย

หาไม่เช่นนั้น วิธีแก้ไขคือต้องเป็นการพูดคุยอย่างไม่มีกติกา ไม่ต้องมาจำกัดว่าแต่ละคนพูดกี่นาที มาแก้ปัญหาในส่วนที่ขัดแย้งกัน

“รัฐบาลชุดนี้ถึงแม้ว่าจะมีอำนาจมากล้น มีตำรวจ มีทหาร และมีมาตรา 44 อยู่ในมือ แต่มันไม่ยั่งยืนไปตลอดกาลหรอก ประชาชนคนไทยต่างหากที่จะยั่งยืนไปตลอดกาล ดังนั้น แม้ประชาชนจะถูกทำร้าย แต่ประชาชนก็ยังเป็นประชาชน แต่คนที่มาข่มขู่ไม่นานก็เกษียณอายุ และคนเหล่านี้เมื่อวันที่พ้นอำนาจหน้าที่มาถึงแล้วหรือไม่ จะทิ้งอะไรเพื่อให้คนด่าตามหลัง หรือ
จะเขียนประวัติศาสตร์ในกุศลกรรมให้คนชื่นชม คุณต้องเลือกเอาเอง”นพ.มงคล ทิ้งท้าย

 

“ใหญ่-เก่งแค่ไหน เมื่อถึงแดนประหารก็เหมือนกัน” เปิดใจพระนักเทศน์นักโทษประหาร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

30 มิถุนายน 2560 เวลา 19:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/500770

"ใหญ่-เก่งแค่ไหน เมื่อถึงแดนประหารก็เหมือนกัน" เปิดใจพระนักเทศน์นักโทษประหาร

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

ประหารชีวิต เป็นบทลงโทษสูงสุดของกฎหมาย ในอดีตการกำหนดบทลงโทษที่น่ากลัวนี้ เพื่อต้องการให้ผู้กระทำความผิดได้รับโทษสาสมกับสิ่งที่ทำลงไป และให้เป็นตัวอย่างแก่คนอื่นไม่กล้ากระทำผิด แต่ผลการศึกษาวิจัยพบว่าโทษประหารไม่ช่วยทำให้จำนวนอาชญากรรมเพิ่มหรือลดลง ปัจจุบันหลายประเทศยกเลิกโทษดังกล่าวทั้งทางกฎหมายและปฏิบัติแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงบทลงโทษนี้อยู่ แต่ไม่มีการปฏิบัติมาตั้งแต่ปี 2552

อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาสังคมไทย มีการก่อคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญให้เห็นอยู่ตลอด เช่น คดีข่มขืนและฆ่าเยาวชน คดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวต่างชาติหรือคนพิการ ล่าสุดคดีฆ่าหั่นศพ เกือบทุกคดีล้วนเกิดจากฝีมือเยาวชนวัยรุ่นทั้งสิ้น จนเกิดการเรียกร้องขอให้ให้ตัดสินประหารชีวิตคนเหล่านี้ อีกด้านเกิดคำถามว่า เพราะอะไรทำไม่คนสมัยนี้ถึงโหดเหี้ยมมากขึ้น และหากเป็นนักโทษประหารช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตจะรู้สึกอย่างไร

โพสต์ทูเดย์ได้สนทนากับ พระครูศรีนนทวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ หรือที่รู้จักกันในชื่อ พระนักเทศน์นักโทษประหาร จะมาถ่ายทอดเรื่องราวแง่มุมสะท้อนชีวิตว่า ด้วยอารมณ์ชั่ววูบ ขาดสติเพียงไม่กี่วินาทีอาจทำให้ตนเอง ครอบครัวได้รับความเดือดร้อน แม้จะสำนึกภายหลังแต่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้

จุดเริ่มต้น พระนักเทศน์นักโทษประหาร

วัดบางแพรกใต้ ตั้งอยู่หลังเรือนจำกลางบางขวาง พื้นที่โดยรอบวัดถูกโอบล้อมด้วยกำแพงสูงของเรือนจำ ด้านข้างเป็นคลอง บริเวณหลังวัดอยู่ติดกับกำแพงเรือนจำที่ฝั่งตรงข้ามเป็นแดนประหาร ทุกครั้งหลังการประหาร นักโทษที่ไร้ลมหายใจจะถูกนำออกมาทางประตูสีแดงบานเล็กๆ ทรงคล้ายสี่เหลี่ยมจัตุรัส ถูกล็อคด้วยกุญแจ หรือที่เรียกกันว่า ประตูผี

เส้นทางการมาเป็นพระนักเทศน์นักโทษประหารของ พระครูศรีนนทวัฒน์ เกิดจากการได้รับความไว้วางใจแต่งตั้งเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสในปี 2533 ทำหน้าที่ช่วยงานเจ้าอาวาสรูปเก่า ที่ตอนนั้นไม่สามารถปฏิบัติกิจนิมนต์ได้สะดวกเนื่องจากมีอาการอาพาธ สุดท้ายเจ้าอาวาสรูปเก่าได้ลาสิกขา ทำให้พระครูฯ ได้รับหน้าที่เป็นเจ้าอาวาสมาตั้งแต่ปี 2543 มาจนถึงปัจจุบัน

ความเกี่ยวข้องวัดบางแพรกใต้ กับเรือนจำกลางบางขวางมีมาตั้งแต่อดีต เพราะเมื่อไหร่ที่ข้างเรือนจำมีการจัดพิธีทางศาสนา รวมถึงประหารนักโทษจะนิมนต์พระที่วัดไปทำพิธี ขณะที่การเทศน์นักโทษประหาร ส่วนใหญ่เจ้าอาวาสจะเป็นผู้รับกิจนิมนต์ ซึ่งได้รับทำหน้าที่เทศน์นักโทษประหารตั้งแต่สมัยเป็นผู้ช่วยเจ้าอาวาสปี 2539 หลังเทศน์จบก็จะทำหน้าที่รับศพนักโทษด้วย หากมีญาติมารับต้องเก็บศพไว้ในสุสานของวัด ตั้งอยู่ตรงบริเวณประตูแดง หรือประตูผี หลังวัด

เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ เล่าว่าเมื่อก่อนขั้นตอนการประหารไม่มีใครรู้ล่วงหน้านาน เหมือนปัจจุบันที่จะมีสื่อโทรทัศน์คอยรายงาน อดีตเมื่อคำสั่งฎีกาตกลงมา ช่วงประมาณ 4 โมงเย็น ผู้คุมจะมาที่วัดพร้อมกับหนังสืออาราธนาหนึ่งใบ หลังจากนั้นเป็นการทราบว่า ต้องรีบห่มจีวรพร้อมกับนำตาลปัตรเดินทางออกจากวัด เพื่อไปให้ทันเวลาประมาณ 5 โมงเย็น เพียงแค่นั้นประชาชนละแวกวัดจะเป็นรู้ว่า วันนี้ต้องมีการประหารนักโทษแน่นอน

“การเทศน์นักโทษประหารครั้งแรกจำได้ว่า เจ้าอาวาสรูปเก่าบอกว่าให้มหา (ตำแหน่งตอนนั้น) ไปเทศน์แทน เพราะป่วยไปไม่ไหว ซึ่งตอนนั้นไม่รู้จะทำอย่างไร พยายามนึกว่าจะทำยังไง เพราะเทศน์โยมข้างนอกกับข้างในไม่เหมือนกัน เจ้าอาวาสรูปเก่าบอกคร่าวๆ ว่า เทศน์อย่างที่เคยทำ แต่ควรทำให้นักโทษทำใจได้ก่อนตายเท่านั้น และอย่าใช้เวลานานมาก เมื่อไปตรงนั้นมีเพียงลูกกรงตาข่ายช่องเล็กๆ พอยื่นบุหรี่หรือปากกาสอดเข้าไปได้เท่านั้น ข้างหลังเป็นนักโทษ หากถามว่าอยากไปไหม ยอมรับว่าไม่อยาก แต่ทำอย่างไรได้มันต้องทำ และทำมาตั้งแต่ปี 39”

พระครูศรีนนทวัฒน์ เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้

เก่งมาจากไหน เมื่อถึงวาระสุดท้ายก็ปลง

ประเทศไทยอดีตถึงปัจจุบันใช้วิธีการประหาร 3 แบบ คือ บั่นคอ ยิงเป้า ฉีดยาให้ตาย หลังมีการเปลี่ยนวิธีประหารจากบั่นคอมาเป็นยิงเป้าเมื่อปี 2478 จนถึงปี 2552 มีนักโทษถูกประหารชีวิต 319 คน เป็นนักโทษชาย 316 คน นักโทษหญิง 3 คน ข้อมูลล่าสุดเดือนเมษายา 2560 ประเทศไทยยังคงมีผู้ที่ต้องโทษประหารอยู่ทั้งสิ้น 447 คน

เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ เล่าว่าแม้จะบวชมานานแต่เมื่อไหร่ต้องเข้าไปเทศน์ให้นักโทษประหารฟัง รู้สึกสงสารทุกครั้งแม้ไม่เคยรู้จักหรือเห็นหน้ากันมาก่อน เพราะเป็นอันรู้กันว่าหากนักโทษเดินทางมาเจอพระเมื่อไหร่ หลังจากนั้นต้องเดินเข้าสู่ห้องประหาร เทศน์เสร็จไว นักโทษก็ตายเร็วมากเท่านั้น

“นักโทษประหารทุกคนไม่ว่าเก่งแสนเก่งมาจากไหน เป็นมือปืน นักฆ่า นักค้ายาเสพติด พอมาถึงพระและเตรียมเข้าสู่การประหาร จะรู้กันว่านั่นคือวาระสุดท้ายของชีวิต ทุกคนจะยอม ปลงกับชีวิต บางคนหน้าถอดสี บางรายแรงยกมือจุดธุปเทียนยังทำไม่ได้ แต่หน้าที่ของพระต้องพยายามทำให้เขามีสติ”

พระครูศรีนนทวัฒน์ เล่าว่า นักโทษระหว่างถูกคุมขังเพื่อรอกระบวนการประหารจะได้รับการศึกษาฝึกฝนกรรมฐาน เดินจงกรม สนทนาธรรมเป็นกิจวัตรประจำวัน เพราะแต่ละวันนักโทษประหารจะไม่ได้ทำอะไรมาก ดังนั้นการเทศน์จึงต้องพยายามเตือนสติและดึงสิ่งที่นักโทษเคยปฏิบัติกรรมฐานออกมาให้มากที่สุด

เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ เล่าประสบการณ์วินาทีแรกและเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้เจอกับนักโทษประหารว่า ทุกรายที่เจอเมื่อมาถึงพระจะไม่มีอาการโวยวาย แม้ก่อนหน้านั้นมีบ้าง จำได้ว่ามีนักโทษอยู่คนหนึ่งเมื่อเดินเข้ามาสามารถรับรู้ได้ว่า เขาเดินเข้ามาด้วยท่าทางเหมือนการฝึกเดินจงกรม เมื่อมาถึงตรงหน้าก็กล่าวรับศีลเอง โดยน้ำเสียงที่เปล่งออกมา เป็นเสียงคนที่ฝึกกรรมฐาน

ระหว่างเทศน์ดขาก็นั่งสงบนิ่งหลับตา ไม่ได้พูด จนอาตมาหยุดเทศน์และถามว่าโยมได้ยินที่พูดหรือไม่ นักโทษคนนั้นพูดออกมาเพียงแค่คำว่า “ได้ยิน” ซึ่งคำนั้นแสดงถึงคนที่กำลังฝึกลมหายใจ  หรือบางคนก็บอกว่าถ้าหากไม่ได้ติดคุก คงไม่ได้สวดมนต์ไหว้พระ เจริญกรรมฐานเพราะอยู่ข้างนอกไม่มีเวลา

อีกรายเป็นนักโทษผู้หญิง จำได้ว่าวันนั้นมีการประหารหลายคน และคนสุดท้ายที่เดินเข้ามาเป็นนักโทษหญิง ขณะที่ก้าวเท้าเดินข้ามประตูเข้ามา นักโทษหญิงคนนั้นกำลังสูบบุหรี่ แต่เมื่อเห็นพระนั่งคอยอยู่ เขาพยายามทิ้งบุหรี่แม้ผู้คุมบอกว่าไม่เป็นไร แต่เขาก็ทิ้งและมานั่งต่อหน้าพระ ตลอดระยะเวลาที่นั่งฟังเทศน์ นักโทษหญิงคนนั้นมองหน้าพระตลอดเวลา เหมือนพยายามมองเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อให้ภาพติดตา แม้ไม่ได้พูดกันเลย

อีกรายเป็นนักโทษคนเดียวที่รู้สึกว่าปลงได้จริงๆ จำได้ว่าตอนเดินเข้ามาแดนประหารก็พูดคุยกับผู้คุมตลอดเวลา รู้สึกเหมือนกำลังจะพากันไปเที่ยวหรือไปศาล และเมื่อมานั่งต่อหน้าพระก็ถามขึ้นว่า หลวงพ่ออยู่วัดบางแพรกใต้ใช่หรือไม่ และเขาก็บอกว่า “ผมปลงแล้ว ยอมรับในสิ่งที่ได้เคยทำและก่อกรรมไว้ ขอฝากศพให้หลวงพ่อช่วยเผาผมด้วยนะ เพราะเขาไม่ต้องการนำศพกลับบ้าน” จากนั้นพอพูดคุยจบ ต่างคนก็แยกย้ายกันไป

พระครูศรีนนทวัฒน์ เล่าว่าตลอดระยะเวลาที่พบเจอนักโทษประหารมาเกือบ 100 ราย สัมผัสได้ว่าทุกคนเมื่อมาถึงจุดนั้นจะปลง เพราะทุกคนส่วนใหญ่ใช้ชีวิตในเรือนจำมาไม่ต่ำกว่า 4 ปี ตลอดระยะเวลาได้เรียนรู้ ฝึกธรรมะ จะทำให้มีสมาธิไม่มีเลยที่มาถึงจุดนั้นจะมีอาการตะโกนโวยวายเรื่องคดีว่า ผิดหรือไม่ผิด

 

 

สติ คือทางยุติความ โลภ-โกรธ-หลง

เจ้าอาวาสวัดบางแพรกใต้ สะท้อนว่าการที่คนในสังคมขณะนี้ใช้ชีวิตประมาท ชะล่าใจ ขาดสตินั้น อยากให้ทุกคนตระหนักเชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม พระพุทธเจ้าเคยตรัสว่าความลับไม่มีในโลก อย่าประมาทและคิดว่าเมื่อเขาไม่รู้จะสามารถหลบหนีได้ จึงกล้าทำผิด บางเรื่องอาจไม่ถึงโทษประหาร แต่ถ้าก้าวเดินทางผิดจนเกิดเป็นคดีความ นอกจากทำให้ตัวเองเดือดร้อนแล้วยังทำให้ครอบครัวเป็นทุกข์ไปด้วย

นอกจากนี้ขอให้เชื่อกฎแห่งกรรมว่า ไม่ช้าวันใดกรรมต้องกลับมาตามสนองอยู่ดีหากทำชั่ว การที่บางคนทำเรื่องไม่ดีและยังไม่เป็นอะไร เพราะบางครั้งกรรมชั่วอาจยังมาไม่ถึง และความดีกำลังทำงานอยู่เลยไม่มีใครรู้ แต่ซักวันเมื่อกรรมดีหมด ความชั่วจะเห็นผล และหากมาสำนึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปภายหลัง อาจแก้ไขไม่ได้ไม่ว่าจะมีอำนาจหรือยิ่งใหญ่แค่ไหน

“ขอให้นึกไว้ว่าทุกอย่างที่ทำผิดลงไป ไม่ใช่เพียงทำให้ตัวเองเดือดร้อน แต่ยังทำให้ครอบครัวเดือดร้อนด้วย หลายคนสงสารพ่อแม่ ลูก เมีย ต้องมานั่งร้องไห้ โดยไม่สามารถออกมาช่วยได้ ทำได้เพียงเกาะลูกกรงดูความทุกข์ของคนเหล่านั้น จากความผิดที่ตนได้ก่อลงไป ดังนั้นอยู่ที่เราจะพา พ่อ แม่ เมีย ลูก เข้าวัดหรือเข้าคุก ขอให้คิดให้ดีๆ”

พระครูศรีนนทวัฒน์ สอนว่าสาเหตุการทำผิดของมนุษย์เกิดจากกิเลส 3 กอง คือ โลภะ โทสะ โมหะ หรือ โลภ โกรธ หลง การที่จะยุติกิเลส 3 กองได้มีเพียงคำเดียวคือ สติ เพราะหากมีสติจะไม่หลงผิด แต่สาเหตุที่ทำให้คนมักเลือกเดินทางผิดเกิดมาจากความมัวเมา ไม่ว่าจะเป็นเมาเหล้า เมายา เมาเพราะง่วง ดังนั้นหากมี สติ คำเดียวจะไม่ทำให้ตกลงไปในความชั่ว และไม่ทำให้ตนเอง ครอบครัวต้องเดือดร้อน

“อาตมาอยู่วัดบางแพรกใต้ ซึ่งเหมือนเขตแบ่งระหว่างนรกกับสวรรค์ มีเพียงกำแพงวัดกับกำแพงคุกขวางกั้นเท่านั้น ซึ่งเปรียบเสมือนสัญลักษณ์ที่เรียกกันว่า สวรรค์อยู่ในอก-นรกอยู่ในใจ ไม่ต้องไปตายก็ได้เห็นในชาตินี้”

ประตูแดง

 

“ไทยเคลิ้ม..หลงคารมพ่อค้าจีน” ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 มิถุนายน 2560 เวลา 20:05 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/500595

"ไทยเคลิ้ม..หลงคารมพ่อค้าจีน" ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

รถไฟความเร็วสูง กรุงเทพฯ–โคราช กลายเป็นโครงการที่ถูกจับตามองหลังรัฐบาลใช้อำนาจมาตรา 44 เร่งรัดและเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินโครงการด้วยการยกเว้นข้อกฎหมายกว่า 10 ฉบับ ท่ามกลางกระแสความกังวลและไม่เห็นด้วยจากหลายภาคส่วน

“ไทยไม่ได้เกรงใจนะ แต่ผมคิดว่าเป็นเรื่องของการไปหลงคารมจีน เขาต้องการขายสินค้า โน้มน้าวว่ารถไฟจะสร้างประโยชน์ให้กับไทยมหาศาล เชื่อมต่ออย่างนั้น อย่างนี้ ใครก็ได้ยินก็โอ้โห…โลกนี้มันสวย มันน่าฟัง ต้องยอมรับว่าเขาพูดเก่งจริงๆ”

ผศ.วรศักดิ์ มหัทธโนบล ผู้อำนวยการศูนย์จีนศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และพร้อมฉายภาพลำดับความสำคัญของรถไฟในประเทศจีน จากประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัย ราชวงศ์ชิง , ซุน ยัตเซ็น , เติ้ง เสี่ยวผิง จนกระทั่งวิถีพ่อค้าที่ต้องการขายในสิ่งที่ตัวเองมี

“พ่อค้าที่ประสบความสำเร็จมักจะมีวิธีการโน้มน้าวจูงใจลูกค้าได้ดี เรียกว่าพูดจนลูกค้าเคลิ้มเลย ทั้งๆ ที่ตอนแรกลูกค้าก็บอกกับตัวเองแล้วนะว่า สินค้าตัวนี้ไม่จำเป็น ถ้ามีมันก็ดี แต่ดูเงินในกระเป๋าแล้ว ยังไม่เอาดีกว่า แต่สุดท้ายเขาก็สามารถกล่อมจนกระทั่งเราเอา”

ประวัติศาตร์รถไฟแดนมังกร

ความเคลื่อนไหวเรื่องรถไฟในประเทศจีนก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19  สมัยราชวงศ์ชิง เกิดการเข้ามาของจักรวรรดินิยมตะวันตก ที่นำพาเทคโนโลยีและความทันสมัยเข้ามาด้วย แม้จะเห็นประโยชน์ของรถไฟในหลากหลายแง่มุม แต่ก็ไม่ได้รับการผลักดันจนประสบความสำเร็จเนื่องจากราชวงศ์เห็นว่าไม่สอดคล้องและส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมของเขา

“เป็นประวัติศาสตร์ที่ค่อนข้างขมขื่นหรือจะเรียกว่าวิบากกรรมก็ได้ กระทบกับความคิดที่ฝังรากลึก เนื่องจากสมัยนั้นหากจะสร้างทางรถไฟจะต้องรื้อถอนสุสานหลุมฝังศพซึ่งคนจีนนับถือมาก เห็นว่าทำอย่างนั้นไม่ได้ กลายเป็นอุปสรรคและข้อถกเถียงว่า ควรหรือไม่ที่จะรับเอาความสมัยใหม่ที่กระทบกับความเชื่อดั้งเดิมเข้ามา”

อ.วรศักดิ์ เล่าต่อว่า ในปีคศ. 1911 รถไฟนั้นเป็นเรื่องตลกร้าย เมื่อกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายในการโค่นล้มราชวงศ์ชิงของ “ซุน ยัตเซ็น” นักปฏิวัติชื่อก้องโลก

ช่วงเวลานั้นภาคเอกชนของจีนพร้อมที่จะลงทุนสร้างทางรถไฟเอง ขณะที่ราชวงศ์ชิงอยู่ในภาวะอ่อนแอ ขาดเงินคงคลัง พยายามคิดหาวิธีสร้างรายได้ ซึ่งช่องทางหนึ่งในขณะนั้นคือการเปิดสัมปทานเส้นทางรถไฟให้กับชาติตะวันตก ที่มีการตั้งธนาคารกลางระหว่างประเทศร่วมกันทั้งอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส เพื่อลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานอย่างรถไฟขึ้นมาโดยเฉพาะ

“ราชวงศ์ชิงทำเช่นนั้น ทำให้ภาคเอกชนไม่พอใจ เนื่องจากเอาสัมปทานไปให้กับต่างชาติ ขณะที่ประชาชนเองก็ไม่พอใจเช่นกัน” นักวิชาการด้านจีนศึกษาบอก “สัมปทานนั้นมีหลายเส้นทาง เส้นทางหนึ่งไปตัดอยู่ที่เมืองอู่ชาง ซึ่งคนที่นั่นก็ไม่พอใจ จำนวนหนึ่งเป็นทหารหนุ่มพรรคพวกเดียวกับซุน ยัตเซ็น ก็เลยลุกฮือก่อการปฏิวัติขึ้นมา ยึดที่ทำการของรัฐบาลท้องถิ่นได้สำเร็จ และนำไปสู่การลุกฮือในที่อื่นๆ จนเกิดการปฏิวัติสาธารณรัฐในที่สุด”

อ.วรศักดิ์ บอกว่า หลังการปฏิวัติถึงแม้ ซุน ยัตเซ็น จะได้รับการยอมรับในฐานะผู้นำชาติ แต่เขากลับไม่มีความทะเยอทะยานในตำแหน่งผู้นำสูงสุดทางการเมือง ตำแหน่งที่เขาอยากได้มากที่สุดคือ ‘ผู้ว่าการรถไฟ’ เนื่องจากเล็งเห็นว่า รถไฟเป็นความทันสมัยที่เหมาะสมสังคมจีนมาก หากสามารถเชื่อมต่อเส้นทางได้ทั่วประเทศ จะนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจและคุณภาพชีวิตที่ดี

จากการศึกษาของ “ผู้บุกเบิกการปฏิวัติ” พบว่า ประเทศจีนต้องการเส้นทางรถไฟความยาว 2 แสนไมล์ เจ้าตัวประกาศว่า หากได้เป็นผู้ว่าการรถไฟเขาจะสร้างเส้นทางให้สำเร็จ ซึ่งคนจีนตอนนั้นรู้กันว่าความยาวขนาดนั้นเป็นไปไม่ได้ ทำให้มีการตั้งฉายาให้ซุน ยัตเซ็น ว่า ซุนขี้โม้ สุดท้ายแม้ไม่สำเร็จ แต่ก็นับว่าเส้นทางรถไฟมีการขยับขยายเพิ่มเติมเรื่อยมา จนกระทั่งเข้าสู่ยุคคอมมิวนิสต์

 

การพัฒนารถไฟครั้งสำคัญของจีนเกิดขึ้นในยุค เติ้ง เสี่ยวผิง ผู้นำคนสำคัญที่ปฏิรูปเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมของจีนสู่ความทันสมัย

อ.วรศักดิ์ เล่าว่า วันหนึ่งในราวปี 1980 เติ้ง เสี่ยวผิง ได้ไปเยือนประเทศญี่ปุ่นและได้นั่งรถไฟ ชินคันเซน เขาบอกว่าสักวันประเทศจีนจะมีรถไฟความเร็วสูงแบบญี่ปุ่นให้ได้ และกลับมาใช้เวลานับ 10 ปีต่อจากนั้นในการศึกษาจนกระทั่งได้โนว์ฮาวจากต่างชาติ และสร้างสำเร็จเป็นของตนเองในที่สุด

สำหรับรถไฟความเร็วสูงของจีน มีการริเริ่มโครงการในปี 2005 และสามารถเปิดให้บริการได้ในปี 2008 ปัจจุบันมีความยาวประมาณ 2 หมื่นกิโลเมตร

อ.วรศักดิ์ บอกว่า การลงทุนและตัดสินใจพัฒนารถไฟความเร็วสูงของจีนนั้นเป็นเรื่องที่เข้าใจได้ เนื่องจากประเทศมีพื้นที่ขนาดกว้างใหญ่ไพศาล ระบบคมนาคมอย่างรถไฟถือเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับประชาชน

“สมัยหนึ่งตอนยังไม่มีรถไฟความเร็วสูง การเดินทางจากปักกิ่งไปคุนหมิง มณฑลยูนนานหรือสิบสองปันนา  ต้องนั่งรถไฟ มาต่อรถบัสและมาต่อรถไฟอีกครั้ง ทั้งหมดใช้เวลา 10 วัน ฉะนั้นถ้าเราเป็นคนจีน การมีรถไฟความเร็วสูงคือความจำเป็น สังเกตได้ว่าคนจีนไม่แข็งขืนกับรถไฟความเร็วสูง เขาแฮปปี้มาก”

 

รถไฟมีความหมายแค่สินค้าที่ต้องการขาย

ความร่วมมือในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานทางรถไฟระหว่างจีนและไทย ในมุมมองของ อ.วรศักดิ์ เป็นเรื่องของการค้าเท่านั้น เนื่องจากในแง่ยุทธศาสตร์ด้านขยายอิทธิพลและการเชื่อมต่อเส้นทางคมนาคมระหว่างประเทศในอนุภูมิภาคแม่น้ำโขงนั้น ตลอด 20 ปีที่ผ่านมา เกิดการเชื่อมต่อในหลากหลายเส้นทางทั้งทางถนน ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งบรรลุการเชื่อมต่อพื้นฐานอยู่แล้ว

ผอ.ศูนย์จีนศึกษา บอกว่า เมื่อจีนเห็นว่าตัวเองมีโนว์ฮาว ประสบความสำเร็จใจการผลิต ความต้องการขายสินค้าก็ตามมา ไม่ได้ขายให้เฉพาะมิตรประเทศที่อยู่ใกล้บ้าน แต่พยายามขายให้กับอีกหลายประเทศทั่วโลก สำหรับประเทศไทยการใช้มาตรา 44 กับโครงการรถไฟความเร็วสูง ถือว่าจีนประสบความสำเร็จในก้าวที่ใหญ่มาก

“บังเอิญจีนมีลักษณะพิเศษคือเป็นพ่อค้า จูงใจเก่ง ขึ้นอยู่กับว่าประเทศไหนจะเคลิ้ม ใครจะซื้อเท่านั้นเอง”

สัดส่วนการลงทุนที่ถูกปรับเปลี่ยนมาตลอดตั้งแต่เริ่มเจรจาครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ. 2557 ระหว่างรัฐบาลจีนและไทย จนสุดท้ายจบลงที่รัฐบาลไทยตัดสินใจลงทุนเองทั้งหมด 100 เปอร์เซนต์ ถูกตั้งข้อสังเกตว่า ไทยไก่อ่อนและเป็นเบี้ยล่างให้จีน

อย่างไรก็ตามในมุมของ อ.วรศักดิ์ ไม่คิดอย่างนั้น โดยมองว่า เนื่องจากรถไฟความเร็วสูงเส้นนี้เป็นเรื่องของการค้าเท่านั้น จีนจึงคิดแบบนักลงทุนที่ต้องการกำไร ทำให้การเจรจานั้นปรับเปลี่ยนไปตลอด เริ่มตั้งแต่การขอลงทุนเอง 100 เปอร์เซนต์แลกกับสิทธิประโยชน์ในการพัฒนาที่ดินสองข้างทางรถไฟ เหมือนกับที่จีนทำกับประเทศลาว แต่สุดท้ายไทยไม่ยอม และมาจบที่ไทยลงทุนเองทั้งหมด

“เป็นเรื่องของการต่อรอง สัดส่วนลงทุนนั้นมีทั้งข้อดีและเสียในตัวเอง ถ้าจีนลง 100 เปอร์เซนต์ก็ดีตรงที่เราไม่ต้องลงทุนอะไรเลยแลกกับการเสียพื้นที่สองข้างทาง แต่ถ้าเราลงเอง 100 เปอร์เซนต์ เราจะไม่มีปัญหาเรื่องสองข้างทาง แต่จะมีปัญหาและถูกตั้งคำถามเรื่องเงิน เอามาจากไหน ความจำเป็น ความคุ้มค่า ทำเสร็จแล้วกำไรไหม มีคำถามตามมามากมาย”

ผู้เชี่ยวชาญด้านจีน ย้ำว่า รถไฟความเร็วสูงเส้นทางกรุงเทพฯ – โคราช ไม่ได้เป็นตัวบ่งชี้หรือสำคัญขนาดวิเคราะห์ได้ว่า บทบาทของจีนในไทยหรือภูมิภาคนี้จะเปลี่ยนแปลงไป เป็นเพียงแค่เรื่องของการค้าเท่านั้น ซึ่งหมายความว่า  “ไทยฐานะลูกค้า มีสิทธิปฏิเสธ ไม่ซื้อก็ไม่เป็นอะไร แต่บังเอิญเราซื้อ”

ทำสัญญาให้รอบคอบและเรียนรู้บทเรียน

ขณะนี้ยังไม่มีใครทราบเงื่อนไข ข้อกำหนดที่ชัดเจนและเป็นบทสรุปของรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน แต่ที่ปรากฎจากข่าวล่าสุดก็คือ จีนเห็นด้วยที่จะให้นำเงื่อนไขการถ่ายทอดเทคโนโลยีรถไฟความเร็วสูง บรรจุลงไปใน ร่างสัญญา ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย กับ รัฐวิสาหกิจจีน ทั้ง 3 สัญญา ตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างพื้นฐานด้านโยธา การควบคุมงานก่อสร้าง และ ระบบราง ระบบไฟฟ้าและเครื่องกล การจัดหาขบวนรถ และการฝึกอบรมบุคลากร โดยจีนตกลงจะให้บุคลากรไทยเป็นพนักงานขับรถไฟความเร็วสูง

จากวงเงินลงทุนทั้งหมด 179,412 ล้านบาท เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา ระยะทาง 252.5 กม. ฝ่ายจีนตกลงที่จะแบ่งการลงทุนก่อสร้างให้ผู้รับเหมาไทย 75 เปอร์เซนต์ หรือ 134,559  ล้านบาท และยืนยันว่าจะใช้วัสดุก่อสร้างที่ผลิตในประเทศไทยรวมทั้งเหล็กข้ออ้อยด้วย วงเงินที่เหลืออีก 25 เปอร์เซนต์ เป็นการว่าจ้างรัฐวิสาหกิจจีนตามสัญญามูลค่า 44,853 ล้านบาท โดยโครงการคาดกันว่าใช้เวลาในการคืนทุนประมาณ 50 ปี

นอกจากผลของมาตรา 44 ที่ได้ยกเว้นการใช้กฎหมายกว่า 10 ฉบับให้กับโครงการรถไฟความเร็วสูงจะสร้างความกังวลให้กับสังคมแล้ว อ.วรศักดิ์ บอกว่า เรื่องที่รัฐบาลต้องระมัดระวัง ดำเนินการด้วยความรอบคอบก็คือ การต่อรองและการกำหนดรายละเอียดของสัญญา

“จีนบอกว่าโอเค แต่โอเคของเขากับของเรานั้นตรงกันไหม ต้องรู้เท่าทัน เจรจาให้ดี ชัดเจน เป็นรูปธรรม ที่ว่าถ่ายทอดเทคโนโลยีมันแบบไหน แบบที่เราต้องการไหม เกิดมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไปเล่นคำขึ้นมาอีกฝ่ายจะผิดหวัง เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ต้องรอบคอบ ทั้งหมดคือการต่อรอง ผมคิดว่าถ้าต่อรองไม่สำเร็จ ไม่เคลียร์อย่าเพิ่งลงนาม หรือยกเลิกสัญญาเลยก็ได้ เพราะเจตนารมณ์ของจีนในเรื่องนี้ ไม่ได้มากเกินกว่าแค่สินค้าตัวหนึ่งที่อยากขาย และไทยปฏิเสธได้”

บทเรียนหลังจากการตัดสินใจดำเนินโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย-จีน เส้นทาง กรุงเทพฯ-นครราชสีมา คือสิ่งที่ อ.วรศักดิ์ เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องเรียนรู้เพื่อประเมินการตัดสินใจในโครงการอื่นๆ ต่อไป โดยเฉพาะกับจีนที่ยังมีสินค้าจำนวนมากที่พร้อมขายกับไทย

“จุดอ่อนของจีนจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคู่เจรจารู้เท่านั้นจีน จริงๆ แล้วคุณไม่มีไรหรอก แค่ต้องการขายสินค้า ผมจะทำให้คุณผิดหวังด้วยการไม่ซื้อ ไม่เคลิ้ม ถ้าใครรู้ทันก็ยินดีรับฟังสรรพคุณที่เขาบอก อาจจะสนุกไปด้วยว่า โห…คุยเก่งจัง แต่ตอนจบคือ ผมไม่ซื้อ”

รถไฟความเร็วสูงเส้นแรกในประวัติศาสตร์ไทยกำลังจะเกิดขึ้นท่ามกลางสายตาของคนทั้งประเทศที่คอยจับจ้องและคาดหวังกับความสำเร็จในบั้นปลาย

 

“เจ้าของลักไก่-รัฐเพิกเฉย” ช่องว่างสร้างบ้านรุกพื้นที่สาธารณะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

27 มิถุนายน 2560 เวลา 19:42 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/500211

"เจ้าของลักไก่-รัฐเพิกเฉย" ช่องว่างสร้างบ้านรุกพื้นที่สาธารณะ

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

การต่อเติมเสริมอาคารบ้านพักรุกล้ำพื้นที่สาธารณะเป็นปัญหาที่มีให้เห็นมาตลอด บางครั้งเป็นเพียงการทะเลาะวิวาทระหว่างเพื่อนบ้าน แต่หลายครั้งลุกลามเป็นคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญ สังคมจึงตั้งคำถามว่าจุดเริ่มต้นปัญหาเหล่านี้เกิดจากอะไร และควรหาทางออกอย่างไร

โกศลวัฒน์ อินทุจันทร์ยง อัยการผู้เชี่ยวชาญพิเศษ สำนักงานอัยการสูงสุด ผู้คร่ำหวอดในวงการกฎหมายจะมาไขข้อข้องใจจุดเริ่มต้นชนวนปัญหา พร้อมบอกเล่าถึงแนวทางของคดีที่ผ่านมา และทางออกเรื่องนี้ว่าควรทำอย่างไร

“ต่อเติมบ้าน” ปัญหาใหญ่รุกที่สาธารณะ

อัยการผู้เชี่ยวชาญรายนี้ ฉายภาพว่าการฟ้องร้องทางคดีที่เกี่ยวกับก่อสร้างต่อเติมบ้าน หรืออาคารรุกล้ำพื้นที่สาธารณะมีจำนวนมาก แบ่งได้เป็น 2 ประเภท คือ 1.หน่วยงานรัฐซึ่งมีหน้าที่ดูแลควบคุมอาคารให้ปลอดภัยตามกฎหมาย อาทิ สำนักงานเขต เทศบาล หน่วยงานท้องถิ่น ฟ้องร้องเอกชนและประชาชน 2.ข้อพิพาทระหว่างเอกชนกับเอกชน เช่น การก่อสร้างพื้นที่รุกร้ำที่สาธารณะในหมู่บ้าน

สำหรับปัญหาส่วนใหญ่ที่พบเป็นการก่อสร้างต่อเติมโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือก่อสร้างผิดแบบตัวอาคาร รองลงมาก่อสร้างสิ่งกีดกวางพื้นที่สาธารณะ หรือบริเวณหน้าบ้านผู้อื่น เนื่องจากสังคมปัจจุบันบ้านหนึ่งหลังมีรถยนต์มากกว่า 1 คัน หรืออพาร์ทเม้นท์บางแห่งไม่มีที่จอดรถ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงต้องจอดรถบนทางสาธารณะทำให้บางครั้งขวางทางผู้อื่น ช่วงแรกอาจพออะลุ่มอล่วยได้ แต่นานๆไปอาจกลายเป็นปัญหาใหญ่

อีกสาเหตุของปัญหามองว่า หน่วยงานผู้รับผิดชอบดูแลรับในพื้นที่ไม่เข้าไปควบคุมจัดการตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะเจ้าหน้าที่ของรัฐเป็นกลไกที่ต้องเข้าไปดูแลควบคุมจัดการ เมื่อไปเป็นเช่นนี้สุดท้ายประชาชนกลับต้องมาทะเลาะกันเอง อย่างที่เคยเห็นตามสื่อ

“หลายเรื่องเกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐเพิกเฉย ถ้าหากเจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าอย่างเคร่งครัด มันจะยุติข้อพิพาทความขัดแย้งได้ในเบื้องต้น แต่ที่ผ่านมาเรื่องเหล่านี้หน่วยงานในพื้นที่ทำอะไรกันอยู่ ยอมได้อย่างไร คนเค้าเห็นทุกวัน”

โกศลวัฒน์ ระบุว่า กฎหมายเขียนให้คนปฏิบัติตามเพื่อทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข แต่หากไม่ยอมทำตาม จนมีการต่อเติมรุกล้ำพื้นที่สาธารณะ อาจนำไปสู่การทะเลาะวิวาทกันจนต้องใช้กำลัง อาวุธ ลุกลามไปเป็นเรื่องคดีอาญา ซึ่งเกิดมาจากความเห็นแก่ตัว ไม่รักษากฎหมายกติกาทางสังคม

ก่อนสร้าง-ต่อเติม ต้องศึกษากฎหมาย

อัยการผู้เชี่ยวชาญรายนี้ แนะนำว่าทางออกเบื้องต้นต้องทำให้ประชาชนเรียนรู้กฎหมาย ไปพร้อมกับใส่ใจที่จะยอมทำตามกฎกติกา โดยเรื่องเหล่านี้สามารถสอบถามขอคำแนะนำได้ที่สำนักงานเขต เทศบาล ก่อนดำเนินการ เพราะไม่เช่นนั้นหากทำไปแล้ว และมีคำสั่งให้รื้อถอนภายหลังเงินที่ลงทุนลงไปจะสูญเปล่า บางคนต้องใช้ระยะเวลาเก็บสะสมมาเกือบทั้งชีวิตกว่าจะได้

“อยากฝากถึงประชาชนสามารถ ไปขอคำปรึกษาได้ที่สำนักงานโยธาตามเขตหรือเทศบาล สำนักงานอัยการคุ้มครองสิทธิและช่วยเหลือทางกฎหมาย ทนาย หรือหน่วยงานให้คำแนะนำข้อกฎหมายที่ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้ทราบว่า อะไรสามารถดำเนินการได้บ้าง เพราะหากถูกสั่งรื้อถอนภายหลัง จะกลายเป็นว่ารู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และคิดว่ากฎหมายไม่เป็นธรรม”

อย่างไรก็ตามหากเห็นว่ามีการลักลอบใช้พื้นที่สาธารณะเพื่อประโยชน์ส่วนตัว สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ สำนักงานเขต เทศบาลในพื้นที่ให้เข้าไปตรวจสอบดูว่า มีการต่อเติมอาคารถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ หากพบว่าผิดจริงเจ้าพนักงานจะสั่งระงับการก่อสร้างทันที และหากยังไม่หยุดดำเนินการเจ้าหน้าที่ตำรวจจะส่งเรื่องฟ้องต่อศาลเพื่อดำเนินคดีอาญา

90%ของคดี ศาลตัดสินว่าผิดจริง

อัยการรายนี้ ยืนยันว่าบทสรุปผลทางคดีในชั้นศาลต่อประเด็นดังกล่าวส่วนใหญ่ จากประสบการณ์ศาลจะตัดสินว่าผิดมากกว่า 90 % เพราะก่อนที่จะมีการส่งฟ้องต้องมีการรวบรวมสำนวนหลักฐานมากพอสมควรอยู่แล้ว ซึ่งถ้าถูกตัดสินว่าผิดจะมีบทลงโทษตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร แต่ถ้าหากไม่ดำเนินการตามคำสั่งจะต้องนำเรื่องเข้าสู่การดำเนินคดีอาญาต่อไป

ปัญหาเรื่องนี้มีให้เห็นอยู่ตลอดในสังคมไทย วิธีแก้ไขดีที่สุดคิดว่าทุกคนควรเคารพกฎหมาย ปฏิบัติตามระเบียบก่อนที่จะดำเนินการก่อสร้าง ต่อเติม ดัดแปลงอาคาร เพื่อไม่ให้เกิดข้อผิดพลาดภายหลังและเกิดข้อพิพาทกับเพื่อนบ้าน ที่อาจนำไปสู่การฟ้องร้องทางคดีได้

โกศลวัฒน์ ทิ้งท้ายว่า ทำอะไรควรขออนุญาตตามกฎหมาย อย่าทำโดยพลการเพราะหากทำไม่ถูกต้องอาจต้องถูกเจ้าของที่ดินโดยรอบ ยื่นเรื่องร้องเรียนและถูกสั่งให้หยุดกการก่อสร้าง สุดท้ายต้องถูกดำเนินคดี จากเรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นหากยุติความขัดแย้งในเบื้องต้นได้ เท่ากับเป็นการยุติความรุนแรงในสังคมและจะทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข

กรณีศึกษาจากเหตุการณ์ในข่าว

ก่อนหน้านี้มีการเผยแพร่ภาพบ้านหลังหนึ่งเทพื้นปูนทางเข้าบ้านล้ำลงมาบนทางเท้าซึ่งเป็นพื้นที่สาธารณะ จนได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างมาก สุดท้ายหน่วยงานเทศบาลในพื้นที่ลงตรวจสอบและสั่งให้เจ้าของบ้านดังกล่าวรื้อถอนปรับปรุงภายใน 15 วัน เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานท้องถิ่น

กรณีสังคมออนไลน์เผยแพร่ภาพบริเวณข้างบ้านหลังหนึ่งมีการต่อเติมเสริมหลังคายื่นออกมาในถนนสาธารณะ เพื่อใช้เป็นที่จอดรถ สุดท้ายองค์การบริหารส่วนตำบลในพื้นที่ลงตรจสอบและพบว่าผิดจริงตามพ.ร.บ.ควบคุมอาคาร จึงออกคำสั่งให้รื้อถอนออก

กรณีที่มีการเผยแพร่ภาพระหว่างกึ่งกลางบ้านสองหลังที่เป็นจุดกลับรถในหมู่บ้านและเป็นพื้นที่สาธารณะ มีลักษณะการเตรียมอุปกรณ์คล้ายกำลังดำเนินการต่อเติมส่วนพื้นที่บริเวณช่องว่าตรงกลาง แต่สุดท้ายเจ้าของบ้านชี้แจงว่าเป็นเพียงการทำหลังคาเพื่อใช้กันฝนและเชื่อมบ้านทั้งสองหลังเท่านั้น และภายหลังก่อสร้างก็ยกหลังคาดังกล่าวให้เป็นของสาธารณะ

*************************

ภาพประกอบบางส่วนจากคุณ Ammii Amm, โน๊ต โตะ

 

“เก็บภาษีคนรวยเพื่อเพิ่มงบประมาณบัตรทอง”นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

26 มิถุนายน 2560 เวลา 19:26 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/499984

"เก็บภาษีคนรวยเพื่อเพิ่มงบประมาณบัตรทอง"นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

การแก้ไขปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (ฉบับที่ ..) พ.ศ… หรือ กฎหมายบัตรทอง ช่วงที่ผ่านมา เครือข่ายหลักประกันสุขภาพออกมาเดินหน้าเคลื่อนไหวสุดตัว ทำให้เวทีรับฟังประชาพิจารณ์ที่รัฐจัดขึ้น ต้องล้มแบบไม่เป็นท่า โดยข้อเรียกร้องของภาคประชาชนคือการขอให้ยุติกระบวนการแก้ไขร่างกฎหมายครั้งนี้ และเริ่มต้นใหม่โดยเชิญตัวแทนจากทุกฝ่ายเข้าไปมีส่วนร่วม อย่างไรก็ตามสุดท้ายดูเหมือนเสียงเรียกร้องจะไม่เป็นผลเพราะทางคณะกรรมการพิจารณาร่างกฎหมายดังกล่าวยังคงเดินหน้าเต็มที่

ข้อมูลในประเด็นดังกล่าวนั้นถูกนำเสนอจากผู้เชี่ยวชายหลากหลายท่าน รวมถึง นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าน ที่พร้อมจะถ่ายทอดความคิดเห็นที่มีต่อระบบประกันสุขภาพคนไทย

แก้กฎหมายบัตรทอง ตัวจุดชนวนทำลายระบบรัฐสวัสดิการ

อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท เล่าว่า สำนักงานประกันสุขภาพแห่งชาติ หรือ สปสช. เกิดขึ้นมาจาก นพ.สงวน นิตยารัมภ์พงศ์ อดีตเลขาธิการ สปสช. ผู้บุกเบิกและผลักดันโครงการประกันสุขภาพถ้วนหน้า ตอนนั้นต้องการแก้ปัญหาอำนาจทางการเมืองที่พยายามเข้ามาล้วงลูกการทุจริตจัดซื้อยาผ่านนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุข จนทำให้เกิดการฟ้องและมีรัฐมนตรีสมัยนั้นถูกดำเนินคดี

วิธีการที่ นพ.สงวน ทำคือการดึงเงินออกจากกระทรวงฯ ให้มาอยู่ที่ สปสช. โดยตั้งคณะกรรมการหลักประกันสุขภาพแห่งชาติมาทำหน้าที่ดูแลงบประมาณในส่วนนี้ พร้อมกับนำระบบบริหารจากประเทศแถบยุโรปและสแกนดิเนเวียเพื่อมาเป็นต้นแบบ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากประเทศเหล่านี้ใช้ระบบรัฐสวัสดิการ ซึ่งแตกต่างจากประชานิยม ดังกล่าวหมายถึงรัฐบาลจะดูแลสิ่งจำเป็นพื้นฐานตั้งแต่การอยู่ การกิน การศึกษา และระบบสาธารณสุข โดยรัฐบาลจ่ายให้หมด แตกต่างจากประชานิยมที่รัฐจ่ายให้เฉพาะส่วนที่เป็นสิ่งฟุ่มเฟือย เหมือนโครงการรถคันแรก ที่ประชาชนไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

นอกจากนี้หากเทียบความแตกต่างระหว่างการบริหาร สปสช. กับกระทรวงสาธารณสุขมีความแตกต่างกันมาก เพราะกระทรวงฯ ใช้กลไกรูปแบบบริหารเจ้านายกับลูกน้องโดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้มีอำนาจอันดับหนึ่งจากนั้นไล่เรียงลงมาตามลำดับ

“ระบบนี้สามารถสั่งการได้โดยตรงหากรัฐมนตรีต้องการอะไรจะใช้ตำแหน่งเป็นเหยื่อล่อแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาให้ทำงานที่ไม่ถูกต้องได้ เมื่อเป็นเช่นนี้อาจทำให้เกิดปัญหาเหมือนในอดีต นพ.สงวน จึงนำระบบที่มีผู้เกี่ยวข้องจากหลายภาคส่วนและประชาชนเข้ามาบริหาร เพื่อให้เกิดความเหมาะสมถ่วงดุลอำนาจป้องกันการล้วงลูก”

ผอ.รพ.น่าน ชี้ว่าระบบประกันสุขภาพทั่วหน้าคือรัฐสวัสดิการ โดยในต่างประเทศการร่วมจ่ายไม่มีเพราะเมื่อไหร่หากใช้คำว่าร่วมจ่าย จะทำให้ผู้ใช้บริการรู้สึกว่าต้องจ่ายเงินเพิ่ม เมื่อเป็นเช่นนั้นจะเกิดการแบ่งแยกระหว่างกลุ่มคนมีเงินกับผู้ที่ไม่มี ซึ่งทำให้ประชาชนรู้สึกว่าถูกแบ่งแยกเป็นประชาชนชั้น 2 ได้ อย่างเช่น สิทธิรักษาพยาบาลข้าราชการ กับสิทธิบัตรทองที่แตกต่างกันมาก ดังนั้นหากมีการร่วมจ่ายจะเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสิทธิซึ่งอาจจะทำให้ระบบพัง เพราะระบบรัฐสวัสดิการที่ถูกออกแบบไว้เพื่อต้องการให้เกิดความเท่าเทียม

ปัญหาบัตรทอง คือเงินไม่พอ

นพ.พงศ์เทพ ชี้ว่าปัญหาที่แท้จริงขณะนี้คือเงินไม่พอ เพราะระบบการแพทย์ของไทยพัฒนาขึ้นมากทั้งเวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ต่างๆ จึงเป็นปัญหาใหญ่ของประเทศ และที่ผ่านมาผู้ให้บริการอย่างกระทรวงสาธารณสุข ไม่สามารถขอเงินสนับสนุนจากรัฐบาลมาให้บริหารได้อย่างเพียงพอ

นอกจากนี้ฝ่ายผู้ให้บริการรู้สึกว่าเมื่อมีกลุ่มตระกูล ส อาทิ  สปสช. หรือ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ หรือ สสส. ทำให้อำนาจกระทรวงสาธารณสุขลดลง ไม่สามารถช่วยเหลือแก้ปัญหาได้ จึงต้องการเข้าไปเป็นเสียงส่วนใหญ่ใน สปสช. เพื่อจะได้แก้ไขโครงสร้างอำนาจ อาทิ 1.โครงสร้างเพื่อให้กลุ่มผู้ให้บริการอย่างกระทรวงสาธารณะสุข แพทย์ และเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจมากขึ้น 2.ปัจจุบันการแยกเงินเดือนบุคลากรกับงบที่ถูกจัดสรรมาเป็นรายหัว ดังนั้นเมื่อสาธารณสุขเชื่อว่าปัญหาใหญ่คือเงินไม่พอ จึงต้องการปรับปรุงเรื่องดังกล่าวและอื่นๆ

“หากจะให้อำนาจกลับไปอยู่ที่ สธ. ขอตั้งคำถามว่า จะแก้ปัญหาเงินขาดสภาพคล่องได้จริงหรือ ลองนึกสภาพว่าตอนนี้เงินเข้าไปอยู่ในมือ สธ. ยุคที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงฯ เป็นแพทย์ ก็พยายามทำให้บุคลากรของกระทรวงฯ มีส่วนร่วม แต่หากมองว่ายุคต่อไป เมื่อนักการเมืองเข้ามา ไม่รู้จะเป็นใคร เขาจะแบ่งเงินอย่างไร หากมาสั่งว่า ขอให้เงินไปลงที่จังหวัดตนเองมากกว่าที่อื่น ขอถามว่ากระทรวงสาธารณสุข จะใช้อะไรเป็นแบริเออร์กันชนกับฝ่ายนักการเมือง เมื่อสั่งแล้ว ข้าราชการก็อยากมีความก้าวหน้า ตรงนี้อาจเป็นจุดอันตราย”

อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบทเสนอว่า  สธ.กับ สปสช ควรเจรจราแบ่งเค้ก แต่ปัญหาอยู่ที่เค้กตอนนี้ไม่พอจะแบ่งจึงต้องย้อนกลับไปที่รัฐบาล ควรใส่ใจให้ความสำคัญกับปริมาณเงินที่มากพอก่อน โดยเปรียบเทียบคล้ายกับสงครามดึงผ้าห่ม หากมีลูก 5 คนอยู่บนเตียงและมีผ้าห่มผืนเดียว หากลูกคนโตดึงไปน้องคนเล็กก็ต้องหนาว ดังนั้นหากเงินไม่พอ ไม่ว่าใครดูแลก็มีปัญหาเพราะปัญหาใหญ่คือ เงินไม่พอ

อย่างไรก็ตามถึงแม้งบประมาณจะไม่เพียงพอ แต่หากมองถึงการให้บริการของบุคลากรสาธารณสุขในปัจจุบันนับเป็นสิ่งที่น่าชื่นชม เนื่องจากยังคงทำหน้าที่ได้ดี

แนะรัฐหาเงิน เพิ่มงบหนุนบัตรทอง

ทางแก้ปัญหาของเรื่องนี้ก็คือหันกลับมาพูดคุย ทำความเข้าใจและยอมรับตรงกันว่าประเทศไทยไม่สามารถให้บริการได้ในระดับเดียวกับประเทศที่มีการบริหารแบบรัฐสวัสดิการ

นพ.พงศ์เทพ  บอกว่า ประเทศต้นแบบเรื่องรัฐสวัสดิการสามารถทำระบบประกันสุขภาพได้ประสบความสำเร็จเนื่องจากรัฐบาลจ่ายงบประมาณจำนวนมากให้ โดยไปเรียกเก็บภาษีอัตราสูงจากกลุ่มคนรวย ซึ่งเสียภาษีมากถึง 60% ขณะที่ประเทศไทยหากรายได้เกิน 5 ล้านบาท เสียเพียง 35% เท่านั้น

ประเทศที่พัฒนาแล้ว เมื่อคนรวยเสียภาษีสูง ส่งผลให้คนไม่อยากรวยมาก เลือกทำแต่พอกิน และนำส่วนที่เหลือมาแบ่งปันให้คนชนชั้นล่าง เพราะเขามองว่าควรต้องทำให้คนชนขั้นล่างอยู่ได้ มีงานทำ มีการศึกษาและระบบรักษาพยาบาลที่ดี เพราะถือเป็นหนทางแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม

“ประเทศไทยเมื่อไปลอกเลียนระบบรัฐสวัสดิการเขามา ตั้งแต่การศึกษาฟรี สาธารณสุขฟรี แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า เราเก็บภาษีได้ยังไม่มากพอ ที่จะนำไปให้บริการส่วนนี้เต็มที่ ดังนั้นรัฐต้องกลับมามองว่า จะใช้วิธีอย่างไรเพื่อเก็บภาษีอย่างไรให้ได้มากขึ้น”

นพ.พงศ์เทพ  เสนอว่า แนวทางที่รัฐบาลควรเดินไปคือการเพิ่มรายได้ แต่ต้องไม่ใช่ลักษณะร่วมจ่าย โดยอาจมีการจัดเก็บภาษีมากขึ้น ใช้ระบบจูงใจเพื่อให้ผู้ประกอบการบริจาคเงินกับกองทุนหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าและนำไปลดหย่อนภาษีได้ถึง 200% มีการประกาศเกียรติคุณลงในสื่อ แนวทางนี้เป็นตัวอย่างที่อาจทำให้เจ้าสัวผู้มีฐานะอันดับต้นๆ ของเมืองไทยยอมบริจาคหลายเงินร้อยล้าน-พันล้าน เพื่อระบบสาธารณสุข

อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท เตือนว่า หากรัฐบาลยังคงเดินหน้าแก้ไขร่าง พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพ ภายใต้บรรยากาศความไม่ไว้วางใจระหว่างแพทย์กับผู้รับบริการ อาจเป็นชนวนทำให้สถานการณ์ยิ่งบานปลาย และไม่ตรงกับเจตนารมณ์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ที่ใช้มาตรา 44 แก้ปัญหาบางประเด็นเท่านั้น ขณะนี้กระทรวงสาธารณสุขกำลังพยายามแก้ไขเกินเลยซึ่งเริ่มสร้างปัญหา เพราะนอกจากแก้ไม่ถูกจุด ยังทำให้ประชาชนเกิดความขุ่นเคืองไม่ไว้ใจมากขึ้น ควรต้องระวังเรื่องศรัทธาที่สำคัญกว่าอำนาจ

นพ.พงศ์เทพ เสนอว่า กระทรวงสาธารณสุขต้องกลับมาทบทวน ตั้งคณะกรรมการที่มาจากหลายภาคส่วน เปิดโอกาสให้ได้พูดคุยนำเสนอความต้องการและปัญหาอย่างจริงจังเพื่อแก้กฎหมาย อาจเสียเวลาบ้างแต่เชื่อว่าได้ผลดีกว่าเดินหน้าต่อไปในบรรยากาศที่ไม่เอื้อต่อความสำเร็จ ซึ่งหากเดินต่อไปปัญหาจะลุกลามขยายผลจนกลายเป็นการประท้วง และกลายเป็นข่องว่างให้ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลจุดชนวนโจมตีได้

“รัฐบาลต้องถอยกลับมาก่อน และดูว่าเมื่อเงินไม่พอควรหามีวิธีใหม่ว่าจะทำอย่างไร นอกจากการเปลี่ยนโครงสร้าง การรวมจ่าย การแยกเงินเดือน หรืออะไรก็ได้เพื่อหาเงินเพิ่ม แต่วิธีที่ดีที่สุดควรให้ด้วยความสมัครใจ ไม่ควรมีการร่วมจ่าย เพราะหากมีมันจะเกิดความเหลือมล้ำระหว่างคนจนกับรวย ทำให้ระบบบริการเกิดสองมาตราฐาน”

อดีตเลขาธิการมูลนิธิแพทย์ชนบท ทิ้งท้ายว่า ถึงเวลาที่ทุกฝ่ายต้องหยุดสงครามบัตรทองโดยลดความอคติซึ่งกันและกัน และมองผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นหลัก

 

สืบทอดอำนาจได้ แต่ไร้ม.44ทำงานลำบาก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 มิถุนายน 2560 เวลา 07:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/499801

สืบทอดอำนาจได้ แต่ไร้ม.44ทำงานลำบาก

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

สปอตไลต์การเมืองจับมายัง คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อีกครั้ง ท่ามกลาง​กระแสข่าวว่าถูกวางตัวเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย เตรียมลุยศึกเลือกตั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2561

ว่าที่บัณฑิตปริญญาเอก สาขาวิชาพระพุทธศาสนา มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย (มจร) ​เจ้าของดุษฎีนิพนธ์ ในหัวข้อ “พุทธวิธีเชิงบูรณาการแก้ปัญหาความขัดแย้งการเมืองไทยในปัจจุบัน” เปิดใจให้สัมภาษณ์โพสต์ทูเดย์ เริ่มตั้งแต่เรื่องสำคัญอย่างทิศทางการปรองดองของประเทศ

“เรื่องปรองดองเดิมก็พอทราบ แต่มาเข้าใจลึกซึ้งตอนทำดุษฎีนิพนธ์ ซึ่งเป็นศาสตร์ชนิดหนึ่ง ที่มีการเรียนการสอนกัน มีการวิเคราะห์วิจัย และตัวอย่างการทำสำเร็จ ที่จะต้องมีขั้นตอน กระบวนการ มันไม่ใช่มาง่ายๆ จากการฟังคนนี้พูด คนนั้นพูด แล้วสรุปเป็นเปเปอร์แล้วจะกลายเป็นการปรองดอง”

สำหรับข้อเสนอที่จะให้กลุ่มการเมืองมาเซ็นสัญญาประชาคมเพื่อความปรองดองนั้น คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า คงต้องรอดูรายละเอียดว่าเนื้อหาเป็นอย่างไร และจะปฏิบัติได้จริงไหม แต่ถ้าพิจารณาจากเจตนาแล้วเห็นว่าเขาอยากทำให้เกิดการปรองดอง แต่กระบวนการยังไม่ครบถ้วน เพราะไม่เกิดการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย

“ปรองดองต้องสร้างจิตสำนึก และใช้กระบวนการที่ถูกต้อง ที่ผ่านมาเหมือนเรียกไปจัดระเบียบมากกว่า  อาจจะดูเหมือนสงบ เพราะเราใช้ ม.44 แต่เราได้ไปทำความเข้าใจกับคนเห็นต่างหรือไม่ รัฐบาลมองเห็นความคิดที่แตกต่างเป็นศัตรูกับรัฐบาล ภัยต่อความมั่นคง ทำให้รัฐบาลพลาดโอกาสทองในการรับฟังความเห็นต่าง”

ในฐานะนักการเมือง คุณหญิงสุดารัตน์ ยอมรับว่า นักการเมืองเป็นส่วนหนึ่งของปัญหาความขัดแย้ง ดังนั้นฝ่ายการเมืองต้องปรับปรุงตัวเอง แก้ไขตัวเอง แต่การตบมือต้องตบมือสองฝั่งถึงจะดัง ต้องดึงทุกฝ่ายมาร่วมแก้ปัญหา ทั้งระบบยุติธรรม ที่บอกกันว่ามีหลายมาตรฐาน ระบบราชการ และฝ่ายอื่นๆ

“ทั้งหมดเป็นผู้เล่น แต่คนที่รับกรรม คือ ประชาชน​ ทำยังไงถึงจะทำให้ผู้เล่นได้คุยกันและหาทางออก ซึ่งเวลานี้ คสช.มีทั้งอำนาจรัฏฐาธิปัตย์ มีทั้ง ม.44 หากทำให้ครบถ้วน เราจะเดินหน้าพาประเทศไทยออกจากวิกฤตได้”

ถามถึง พ.ร.บ.พรรคการเมืองที่กำลังร้อนแรงเรื่องไพรมารีโหวต​ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า เป็นเรื่องดี ที่สนับสนุนให้ประชาชนที่เป็นสมาชิกพรรค ได้มีส่วนร่วม กำกับ ควบคุม​ตั้งแต่นโยบาย จนถึงตัวนักการเมือง แต่เมื่อดูรายละเอียดที่มาบัญญัติแบบสไตล์ไทยๆ ​นั้นยังมีจุดโหว่อยู่มาก

“การเขียนแบบนี้ ไม่เป็นไพรมารีโหวตตามหลักสากล ทำให้คนหนึ่งร้อยคนสามารถมากำกับทิศทางนโยบาย กำกับว่าใครจะเป็นผู้สมัคร สุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นระบบเส้นสายของกลุ่มคนที่มีฐาน พอทำแล้วแทนที่จะพัฒนาดีขึ้นก็แย่ลง ผู้ที่มาแก้ไขปรับปรุงคงเจตนาดี แต่อาจไม่เคยลงเลือกตั้ง ทำให้ไม่รู้ว่าจะเกิดการบิดเบือนได้” ​

อีกด้าน​มองกันว่ามีความพยายามอยากจะทำให้พรรคการเมือง อ่อนแอ มีปัญหา ทะเลาะกันเอง ซึ่งถ้าคิดว่าพรรคการเมืองไม่ดี นักการเมืองไม่ดี ก็คิดระบบใหม่ไหม ​ไม่เอาประชาธิปไตย เอาระบบอื่นดีกว่าไหม ​เทียบกับการที่เป็นประชาธิปไตยแต่เปลือก แต่กลไกข้างในเสียหมด จนไม่มีประสิทธิภาพ ประเทศก็จะเดินไม่ได้

“ถ้าทำระบบนี้แล้ว ส่วนรวม ประเทศดีขึ้น แม้จะทำให้พรรคการเมืองลำบากก็ไม่เป็นไร คนที่ทำงานการเมืองลำบากก็ต้องยอม แต่ต้องให้แน่ใจว่าส่วนรวมของประเทศดีขึ้น แต่ถ้าพรรคการเมืองก็ทำงานยาก ประเทศก็แย่ ส่วนรวมก็แย่ ก็ไม่รู้จะทำไปทำไม”

มองข้ามช็อตไปหลังการเลือกตั้ง คุณหญิงสุดารัตน์ ยังมองว่า มีโอกาสสูงที่จะได้รัฐบาล หรือ นายกรัฐมนตรีที่มาจากกลุ่มอำนาจปัจจุบัน ส่วนหนึ่งเพราะมีเสียง สว. 250 เสียงแล้ว ตั้งแต่ยังไม่เลือกตั้ง ซึ่งมีสิทธิสามารถโหวตเลือกนายกฯ ส่วนคนที่เป็นนักการเมืองก็ต้องไปแข่งกัน

“หากจะใช้คำว่า สืบทอดอำนาจ ก็มีโอกาสสืบทอดอำนาจได้สำเร็จ เพียงแต่ทำแล้วจะทำงานได้ไหม กับเงื่อนไขที่ถูกวางกับดักไว้เยอะแยะ ทำงานโดยไม่มี ม.44 และมีฝ่ายค้านคอยทำงานตรวจสอบ”

ถามถึงข้อเสนอเรื่องจับมือระหว่างพรรค การเมืองสกัดการสืบทอดอำนาจ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ส่วนตัวไม่ได้มองไปถึงหลังเลือกตั้ง แต่มองว่าพรรคการเมืองควรจับมือกันตั้งแต่ก่อนเลือกตั้ง ช่วยกันคิดเรื่องต่างๆ ทั้งปฏิรูปว่าจะปรับเปลี่ยนอย่างไร ในฐานะที่ทำงานการเมืองอยู่ฝ่ายบริหาร รัฐสภา มาก่อน

“ถ้าฝ่ายการเมืองรวมตัวกันนำเสนอ ก็เหมือนจะช่วยไปดักปัญหาไว้ก่อน ซึ่งไม่ได้เป็นการรวมตัวกันเพื่อต่อต้านรัฐบาล แต่ช่วยกันคิดเสนอแนะ ลดปัญหาของประเทศที่จะเกิดในอนาคต ​ดีกว่าเลือกตั้งแล้วไปแก้ไขอะไรไม่ได้”​

ส่วนที่มองกันว่า เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ ยากจะจับมือกันได้นั้น คุณหญิงสุดารัตน์ มองว่า นักการเมืองต้องปรับตัว เพราะการเห็นต่างคือความสวยงามของประชาธิปไตย การคิดสร้างสรรค์เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ​แต่หลายปีมานี้เราเอาความเห็นต่างเป็นศัตรูกัน ทำให้เกิดปัญหา

ประชาธิปัตย์ กับเพื่อไทย ก็เคยเห็นตรงกัน เรื่อง ประชามติรัฐธรรมนูญ ดังนั้น ทุกคนควรลดอคติตัวตน ร่วมมือกันลดเงื่อนไข สร้างการมีส่วนร่วมที่จะทำให้ระบบประเทศเป็นระบบที่ยั่งยืน ไม่เกิดปัญหาความขัดแย้งซ้ำเข้าไปอีก​ ส่วน​หลังการเลือกตั้งพรรคไหนได้เสียงข้างมากก็ว่ากันไป

“น่าจะเป็นการจับมือกันโดยไม่ใช่หวังผลการเลือกตั้ง แต่เป็นการมีส่วนร่วมเซตระบบของประเทศ ​อย่างเขาจะปฏิรูป ฝ่ายการเมืองเคยทำงาน รู้จุดแข็ง จุดอ่อน ก็สามารถแสดงความเห็นที่เป็นประโยชน์​กับการปฏิรูปการเมือง ส่วนเรื่องจับมือกันหลังเลือกตั้งก็ค่อยไปว่ากัน​

สำหรับความเคลื่อนไหวพรรคเพื่อไทยเวลานี้ยังทำอะไรมากไม่ได้ ทำได้เพียงแค่พูดคุยตามอัตภาพ ​จะเกิดอะไรตอนไหน ก็ต้องเตรียมพร้อมได้ทุกเมื่อ เหมือนนักเรียนที่กำหนดวันสอบไม่ได้ แต่สอบเมื่อไหร่ก็ต้องพร้อม

“ส่วนตัวไม่คิดเรียกร้องว่าต้องเลือกตั้งเร็ว ผู้มีอำนาจอยากเลือกตั้งตอนไหนก็เลือกตั้งไป ​แต่สิ่งที่ผู้มีอำนาจจะต้องทำขณะนี้ คือ ต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่าทำให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขจากการไม่มีการเลือกตั้ง หรือไม่มีเลือกตั้งดีกว่าเลือกตั้งอย่างไร”​

ถามถึงกระแสข่าวที่ถูกวางตัวเป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทยคนใหม่ คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า  ​ตามหลักการพรรคการเมืองต้องมีการกำหนดทิศทาง แนวนโยบายก่อน ว่าจะเดินไปทางไหน แบบไหน จากนั้นจึงจะหาผู้ที่เหมาะสมมาทำงาน เวลานี้ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น จึงยังตอบอะไรไม่ได้

“แก้ปัญหาบัตรทอง” คสช.เกาไม่ถูกที่คัน

ท่ามกลางความ “ขัดแย้ง” ในแนวทางการแก้ปัญหา “บัตรทอง” ที่เกิดความเห็นไม่ตรงกันระหว่างกระบวนการแก้ พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. 2545 ในฐานะอดีต รมว.สาธารณสุข ที่เป็นหนึ่งในผู้ปฏิบัติที่ขับเคลื่อนโครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค มองว่า การแก้ปัญหาเวลานี้ยังเป็นการ “เกาไม่ถูกที่คัน”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาหลักการผิดเพี้ยนไปจากเดิมเรื่อยๆ ตั้งแต่หลังปฏิวัติ 2549 โครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคมี 3 ปัจจัย คือ 1.วัตถุประสงค์สร้างเสริมสุขภาพเป็นหลัก 2.เปิดโอกาสให้คนเข้าถึงโรงพยาบาลง่ายขึ้น ทัดเทียมทั่วถึง ไม่ใช่ถือบัตรอนาถา และ 3.การบริหารจัดการที่สะท้อนความเป็นจริง

ประเด็นสำคัญ คือ เรื่องสร้างเสริมสุขภาพนั้น เดิมระบบ 30 บาทรักษาทุกโรค จะจัดงบประมาณรายหัว เช่น โรงพยาบาลชุมชนรับผิดชอบ 7,000 คน จะทำอย่างไรที่จะดูแลคนเหล่านี้ให้แข็งแรงเจ็บป่วยน้อย ​เมื่อเข้ารับการรักษาพยาบาลก็จะน้อยลงไปด้วย ดังนั้นเงินก็จะเหลือเยอะ เพราะใช้ระบบเหมาจ่ายรายหัว ​

งบส่งเสริมสุขภาพที่จัดไป จะไปทำการส่งเสริมเพื่อให้ชาวบ้านแข็งแรง เป้าหมาย คือ 3 โรค ความดัน ไขมัน เบาหวาน ซึ่งจะนำไปสู่โรคร้ายแรง ที่จะต้องรักษาพยาบาลทั้งเส้นเลือดสมองตีบ เส้นเลือดหัวใจตีบ อัมพฤกษ์ ดังนั้น วัตถุประสงค์แรกจึงออกมาเพื่อการสร้างสุขภาพ หรือเรียกว่าเฮลท์แคร์

อีกทั้งการบริหารจัดการงบประมาณแบบใหม่นั้น ต้องทำให้สะท้อนความเป็นจริง จากเดิมที่โรงพยาบาลใหญ่ได้มาก ส่วนโรงพยาบาลเล็กแต่ดูแลประชากรจำนวนมาก ดูแลพื้นที่กว้างได้งบน้อย ดังนั้น ต้องทำให้การบริหารจัดการงบมีประสิทธิภาพ สะท้อนความเป็นจริง

“ต้องเข้าใจหลักตรงนี้ก่อน ถึงจะแก้ปัญหาถูก กฎหมายเป็นเพียงแค่เครื่องมือหนึ่งเท่านั้น  อย่างเรื่องการจัดสรรงบประมาณสร้างสุขภาพเอามาไว้ที่ส่วนกลางเยอะ ให้เขาแต่งบรักษา ก็กลายเป็นซิกแคร์คือรักษามากจ่ายมาก”

​จากเดิมเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ระบบเหมาจ่ายต่อหัวประมาณ 1,300 บาท จัดให้โรงพยาบาล 800 แต่ขณะนี้เพิ่มเป็น 3,000 บาท แต่งบประมาณไปสู่โรงพยาบาลกลับยังน้อยกว่าเดิม เพราะงบสร้างสุขภาพถูกดึงกลับ นี่จึงเป็นเรื่องใหญ่ ส่วนการแก้ไขกฎหมายนั้นเป็นเรื่องรอง

คุณหญิงสุดารัตน์ กล่าวว่า ภาคประชาชนเป็นห่วงว่าการแก้ไขกฎหมายอาจทำให้หลักการ 30 บาทรักษาทุกโรค รักษาพยาบาลทั่วถึงและเท่าเทียมอาจจะหายไป ที่จะเป็นการลิดรอนสิทธิ ดังนั้น ต้องเปิดรับฟังทุกเรื่อง และหากพรรคเพื่อไทยกลับมาเป็นรัฐบาล จะมีการปรับแก้ไขหลักการที่ผิดเพี้ยนไปจากเดิม