คนดีต้องไม่กลัว “จัดการทรัพย์สินวัด” พศ.ลุย “ล้างทุจริตผ้าเหลือง”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

22 มิถุนายน 2560 เวลา 06:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/499429

คนดีต้องไม่กลัว "จัดการทรัพย์สินวัด" พศ.ลุย "ล้างทุจริตผ้าเหลือง"

โดย…เอกชัย จั่นทอง

ในห้วงระยะเวลา 3 เดือนเศษที่ พ.ต.ท.พงศ์พร พราหมณ์เสน่ห์ เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตามคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ก็ได้สะสางปัญหาในแวดวงสงฆ์สารพัด แต่เรื่องร้อนแรงขณะนี้คือแนวคิดการออกกฎหมายให้วัดทั่วประเทศกว่า 4 หมื่นแห่ง แสดงบัญชีทรัพย์สิน สอดรับกับผลสำรวจของนิด้าโพลชี้ให้เห็นว่าประชาชนต้องการให้วัดเปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน นั่นอาจทำให้พระสงฆ์บางกลุ่มเกิดความไม่สบายใจที่รัฐบาลพยายามเข้ามาจัดระเบียบในเรื่องนี้

พ.ต.ท.พงศ์พร ในฐานะผู้บริหารสูงสุดของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ หรือชื่อคุ้นหู พศ. ได้ฉายภาพถึงความจำเป็นและเหตุผลเพื่อออกกฎหมายให้วัดทั่วประเทศแสดงบัญชีทรัพย์สินทั้งหมดว่า ขอให้ย้อนดูปัญหาที่ผ่านมา อย่างกรณีมีข้าราชการและพระสงฆ์ทุจริตเงินอุดหนุนวัด 40-60 ล้านบาท จนตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ปปป.) เข้าจับกุมตรวจค้นเช่นเดียวกับเหตุการณ์ฆ่าสามเณรปลื้มแล้วโบกปูนฝั่งภายในวัด จ.นครศรีธรรมราช หรือพระนอกรีตมั่วสุมกินเหล้า เสพยา มั่วสีกา ทั้งหมดสร้างความเสียหายจำนวนมาก และนั่นคือสิ่งบอกเหตุของปัญหาในวงการสงฆ์

จึงควรถึงเวลาแล้วที่ต้องควบคุมวัดใน 3 ประเด็น คือ 1.มีการทำบัญชีทรัพย์สินวัด 2.ตรวจสอบควบคุมรายงานทรัพย์สินวัด และ 3.การเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินของวัด แต่ที่ผ่านมาถูกต่อต้านมาตลอด โดยเฉพาะประเด็นให้เปิดเผยบัญชีทรัพย์สิน นั่นคือสิ่งบ่งบอกถึงความร้อนแรงเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้

“เราถือว่าทรัพย์สินในวัดไม่ใช่ของพระ แต่เป็นของแผ่นดินและของวัด ถ้าตรวจสอบควบคุม มีบัญชี มีการเปิดเผย เงินเหล่านั้นก็ยังใช้ดูแลศาสนกิจได้เหมือนเดิม เพียงแต่จะใช้ในทางผิดกฎหมายไม่ได้ เนื่องจากทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นเงินบริจาคของประชาชนและเงินของหลวงที่โอนเข้าสนับสนุนการบริหารวัด”

พ.ต.ท.พงศ์พร สำทับว่ากว่า 2,000 ปี พระพุทธเจ้าตรัสกับพระอานนท์ว่า ยังไม่จำเป็นต้องมีพระวินัยหรือวินัยสงฆ์จนกว่าพระจะทำผิด แต่ในวันนี้มีเรื่องราวกันมาขนาดนี้แล้ว ก็สมควรมีกฎหมายเรื่องการจัดการทรัพย์สินวัดแล้วหรือยัง เพราะถ้าปล่อยให้เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นเรื่อยๆ ความรุนแรงความเสียหายจะเกิดมากยิ่งขึ้น

ส่วนกรณีพระสงฆ์บางกลุ่มแสดงท่าทีไม่พอใจต่อการเข้ามาจัดระเบียบเรื่องทรัพย์สินวัด ทั้งที่ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมามีการจัดการกันเองดีอยู่แล้ว ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ สวนคำตอบว่า ถ้าจัดการกันดีแล้วทำไมถึงมีเหตุการณ์ฆ่าสามเณรปลื้มและการทุจริตเงินอุดหนุน การทุจริตเงินวัดแล้วเงินทอนเกิดขึ้นได้อย่างไร ถ้าพระไม่ร่วมด้วย

กระนั้นหากมีระบบว่าเงินเข้าวัดแล้วต้องทำอย่างไร เมื่อถอนเงินออกต้องมีการควบคุมในการถอนอย่างไร มาตรการเหล่านี้จะเป็นหลักประกันสำคัญทำให้การทุจริตพวกนี้หมดไป

“หากมีการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินวัดแล้ว พระสงฆ์และฆราวาสที่ไม่ได้คิดทุจริตจะเดือดร้อนอะไร ทรัพย์สินของวัดก็ยังเป็นของวัดเช่นเดิม ไม่ใช่ว่าเข้ามาตรวจสอบแล้วใช้ไม่ได้จะไปเดือดร้อนทำไม การทำทุจริตมันดีหรือ ถ้าไม่ได้คิดทุจริตก็อย่าไปกลัว” พ.ต.ท.พงศ์พร ย้ำ

ส่วนแนวคิดการตรวจสอบทรัพย์สินของพระนั้น พ.ต.ท.พงศ์พร อธิบายว่า ก็ต้องว่ากันไปตามรายกรณี ถ้าไม่มีการทำผิดวินัยทาง พศ.ก็จะไม่เข้าไปจัดการ เนื่องจากเชื่อว่าพระย่อมประพฤติดีประพฤติชอบ ส่วนความจำเป็นที่ต้องการให้เปิดบัญชีทรัพย์สินระดับเจ้าอาวาสขึ้นไป หรือพระชั้นผู้ใหญ่ ตรงส่วนนี้ยอมรับว่ายังไม่มีการศึกษาอย่างเพียงพอ

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายการตรวจสอบครั้งนี้ เพื่อให้สังคมช่วยควบคุมดูแล โดยจากนี้การดำเนินการทุกอย่างในวัดจะมีหลักฐานชัดเจนว่าใช้จ่ายอะไรไปบ้าง อาจเป็นเงินหลวง หรือเงินบริจาค ต้องมีการทำรายละเอียดอย่างชัดเจน เพื่อสะดวกในการตรวจสอบจะทำให้เห็นเส้นทางการเงินว่าใช้จ่ายอย่างไร หากยังมีการทุจริตอยู่อีกก็ยังมีองค์กรภายนอกเข้ามาตรวจสอบจัดการ เพราะระบบข้าราชการมีความแข็งแกร่งและทุกการกระทำจะมีร่องรอย

พ.ต.ท.พงศ์พร วาดหวังวันข้างหน้าว่า ต่อไปในอนาคตต้องมีการทำระบบเงินอุดหนุนวัดให้เกิดความรัดกุมมากขึ้น โดยทำควบคู่ไปกับการเปิดโปงข้อมูลวัดเพื่อให้สังคมรับรู้ช่วยตรวจสอบป้องกันทุจริต ยืนยันไม่ใช่เป็นการ “เขียนเสือให้วัวกลัว” ถ้าหากพบว่ามีการทำผิดจริงก็ต้องดำเนินคดีอย่างตรงไปตรงมา

ดังนั้น กฎหมายการเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินวัดมีความจำเป็น และขอยืนยันว่าตั้งใจอยากให้มีกฎหมายนี้ออกมา เนื่องจากเป็นเพียงกระบิเดียวเท่านั้นที่จะเป็นการบังคับใช้ ส่วนอื่นยังคงเป็นไปตามระบบที่พระท่านเดินอยู่แล้ว แค่เป็นเรื่องเงินที่มีปัญหาในขณะนี้เท่านั้น สิ่งที่ทำให้เป็นเรื่องดีไม่ใช่สิ่งที่ผิด

พ.ต.ท.พงศ์พร แจกแจงประเด็นร้อนนี้อีกว่า วิธีการดำเนินการลักษณะนี้จะปรามผู้คิดทำผิด เมื่อการดำเนินการทุกอย่างเริ่มเข้ารูปเข้ารอยประชาชนจะเกิดความศรัทธา ฉะนั้นเราจะพยายามทำสิ่งเหล่านี้ให้ดีขึ้น แม้ต้องใช้เวลานานก็ตาม จากนี้จะใช้กฎหมายอาญาที่ถือว่าแรงที่สุดเข้ามาจัดการผู้ทุจริตทุกกลุ่มด้วย

“ไม่มีใบสั่งจากรัฐบาลให้เข้ามาปฏิรูปวงการพระสงฆ์แน่นอน มีแต่คำสั่งว่า ทำให้พุทธศาสนาได้รับการคุ้มครองอุปถัมภ์อย่างดีที่สุด” พ.ต.ท.พงศ์พร ให้คำตอบ

ในเมื่อสำนักงานพระพุทธศาสนาฯ เข้าไปปัดกวาดสิ่งสกปรกตามวัดทั่วประเทศแล้ว ทาง พ.ต.ท.พงศ์พร เองได้ยอมรับว่า เราก็ต้องปัดกวาดบ้าน (พศ.) ของตัวเองเช่นกัน สิ่งใดไม่ดีหรือประชาชนสงสัยเคลือบแคลง ทาง พศ.ยินดีเปิดให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบทุกอย่าง เพราะในเมื่อต้องการให้แต่ละวัดเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินวัด ทาง พศ.ก็พร้อมปัดกวาดเช็ดถูบ้านตัวเองให้สะอาด ถ้าข้าราชการคนใดยังคิดทุจริตสร้างปัญหาก็ต้องระวังตัว วันข้างหน้าถ้าคิดจะทำผิดกฎแห่งกรรมมันมีจริง ท้ายสุดแล้วเราต้องซักฟอกตัวเราก่อน

พ.ต.ท.พงศ์พร มองภาพอนาคตว่าจะดึงภาคประชาชนเข้ามาช่วยสอดส่องปัญหาในวงการสงฆ์ ช่วยเป็นหูเป็นตาให้เจ้าหน้าที่ อีกทั้งยังช่วยตรวจสอบการทำงานของเจ้าหน้าที่ด้วย ยอมรับว่าส่วนใหญ่ข้าราชการใน พศ.เป็นคนดีและมีความเลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนามาก

ทิศทางการทำงานของ พศ.จากนี้ต้องหยิบยกเรื่องที่มีปัญหามาแก้ไขก่อนตามลำดับความสำคัญ จากนั้นค่อยวางระบบในระยะยาวป้องกันปัญหาต่างๆ ในอนาคต และกรณีเรื่องการทุจริตของอดีตข้าราชการได้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบแล้ว

“ต่อไปต้องหามาตรการป้องกันตักเตือนไม่ให้เกิดขึ้นอีก ทาง พศ.จะดำเนินการตรวจย้อนหลังผู้เกี่ยวข้องกับการทุจริต โดยมี สตง.เข้ามาดำเนินการช่วยตรวจสอบ มีตำรวจ ปปป.ร่วมด้วยเช่นกัน และทาง พศ.ยินดีให้ข้อมูลทุกอย่างในการเปิดโปงผู้กระทำผิดต่อจากนี้”

ท้ายสุด พ.ต.ท.พงศ์พร กล่าวให้แง่คิดเตือนใจว่า สถาบันหลักของชาติที่เป็นอุดมการณ์หลักตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ถ้าจะต้องเสื่อมไปอาจกระทบถึงความมั่นคงและความอยู่รอดของชาติ ประกอบไปด้วย ชาติ ศาสนา และ พระมหากษัตริย์ จึงอยากฝากให้พระสงฆ์ และประชาชนช่วยกันดูแลพระพุทธศาสนา ของเราไว้ เนื่องจากเป็นสถาบันหลักของคนไทยทุกคน

 

“ผมไม่ได้ใกล้ชิดใครเป็นพิเศษ” เปิดใจ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 มิถุนายน 2560 เวลา 19:34 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/499412

"ผมไม่ได้ใกล้ชิดใครเป็นพิเศษ" เปิดใจ "โจ๊ก หวานเจี๊ยบ" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

คำสั่งแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจระดับผู้บังคับการและสารวัตรที่ประกาศออกมาเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในแวดวงสีกากีว่ามีนายตำรวจยศ พล.ต.ต. สามารถดำเนินการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจทั่วประเทศได้ โดยเฉพาะชื่อ “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ที่ทำให้รั้วปทุมวันต้องสั่นสะเทือน

ร้อนถึง พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หรือ ผบ.ตร ต้องรีบออกมาหยุดกระแสและยอมรับว่า เจ้าของฉายา โจ๊ก หวานเจี๊ยบ คือ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บังคับการกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ ผบก.สปพ. (ผู้บังคับการตำรวจ 191) เเต่ขอยืนยันไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งโยกย้ายและไม่ต้องตั้งคณะกรรมการสอบสวน

โพสต์ทูเดย์ได้พูดคุยกับ พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ เพื่อไขข้อข้องใจหลากหลายประเด็นที่สังคมสงสัยในตัวนายพลหนุ่มวัย 46 ปี คนนี้

ผู้การฯ เป็นใคร มาจากไหน ก้าวสู่วงการตำรวจได้อย่างไร

บ้านเกิดผมอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา คุณพ่อรับราชการตำรวจยศนายดาบอยู่ที่จังหวัดสงขลามาตลอดชีวิต คุณแม่เป็นครูในโรงเรียนตัวจังหวัด มีน้องชายหนึ่งคน ปัจจุบันเป็นผู้จัดการบริษัทเอกชน ตอนเด็กๆ ผมศึกษาอยู่โรงเรียนมหาวชิราวุธ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดจนถึงชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 จากนั้นสอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร เมื่อปี 2531

เด็กๆ จำได้ว่ามีความฝันอยากทำหลายอาชีพ แต่เหตุผลที่เลือกเดินเส้นทางตำรวจ เพราะเห็นพ่อแม่เหนื่อยมาตลอดชีวิต พ่อยังอยากให้ลูกหนึ่งในสองคนเป็นเหมือนตนเอง ความที่รักพ่อจึงไปสอบเป็นนักเรียนเตรียมทหาร สุดท้ายติดตามความตั้งใจ ช่วงแรกเมื่อเข้าไปเรียนยอมรับว่าไม่คิดอะไร เพียงแค่ต้องการให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ แต่เมื่อเรียนไปเรื่อยๆ โรงเรียนแห่งนี้ได้หล่อหลอมทำให้ผมเป็นคนมีระเบียบวินัย ซึ่งคิดว่านั่นเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต

จำความรู้สึกวันแรกที่เริ่มปฏิบัติหน้าที่ตำรวจได้ไหม

จำได้ว่า วันนั้นเข้าเวรสอบสวนเวลา 06.00 น. ตั้งใจว่าจะทำหน้าที่ดูแลประชาชนให้ดีที่สุด และขณะนั้นผมก็ศึกษาระดับชั้นปริญญาโทไปพร้อมกันด้วย หลังจากนั้น 2 ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาป.โท ก็ได้ย้ายไปเป็นนายเวรให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสมุทรสาคร ควบคู่กับทำงานเป็นพนักงานสอบสวนอยู่ 2 ปี ก็ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชาให้ย้ายไปเป็นผู้ช่วยนายเวรผู้บัญชาตำรวจภูธรภาค 3 รับผิดชอบพื้นที่ภาคอีสานตอนล่าง (จังหวัดนครราชสีมา-อุบลราชธานี) ประมาณปีกว่า ต่อมาย้ายตามผู้บังคับบัญชาไปอยู่ตำรวจภูธรภาค 7 รับผิดชอบพื้นที่จังหวัดนครปฐม-ประจวบคีรีขันธ์ ตอนนั้นประจำอยู่ที่จังหวัดนครปฐมได้ 2 ปี ในตำแหน่งรองสารวัตรกองกับกับการสืบสวนฯ ภาค 7

ต่อมาได้ถูกสั่งให้ไปติดตามผู้ช่วยอธิบดีกรมตำรวจ ตอนนั้นเป็น พล.ต.อ.บุญชัย ชื่นสุชน ก่อนจะย้ายไปประจำเป็นสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวงจังหวัดเชียงใหม่ ได้ปีกว่า ก็ย้ายไปเป็นสารวัตรสถานีตำรวจทางหลวงจังหวัดชลบุรี และได้รับความไว้วางใจจากผู้ใหญ่ให้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้กำกับการผู้ช่วยนายเวรรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สมัยนั้น คือ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี อดีต ผบ.ตร. ทำได้ 3 ปีกว่า เลื่อนชั้นยศเป็นผู้กำกับการกองกำกับการ 3 กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ รับผิดชอบงานปราบปรามการค้ามนุษย์ในพื้นที่ภาคอีสาน ตลอดระยะเวลา 3 ปีได้ทำคดีที่สำคัญมากมาย แต่คดีที่ภูมิใจคือการทลายขบวนการค้ามนุษย์ที่มีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

จากนั้นย้ายลงพื้นที่ภาคใต้ ไปเป็นผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรหาดใหญ่ อยู่ปีกว่า ก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นรองผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดสงขลา และได้รับความไว้วางใจจาก พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว อดีต ผบ.ตร.สมัยนั้น ให้มาเป็นผู้บังคับการกองกำลังส่วนหน้า รับผิดชอบพื้นที่ 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา และพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ตอนล่าง 2 ปีกว่าก็ได้รับการแต่งตั้งโยกย้ายไปเป็นรองผู้บังคับการฯ 191 ผ่านไปปีกว่าก็ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการประจำสำนักงานสำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีหน้าที่ประสานงานสำนักนายกรัฐมนตรี ผ่านไปอีกปีย้ายไปเป็นผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว ได้ทำคดีทลายขบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญ จากนั้นย้ายมาเป็นผู้บังคับการ 191 จนถึงปัจจุบัน นี่คือเส้นทางระยะเวลา 24 ปี ของการรับราชการตำรวจ ย้ายไปเกือบทั่วประเทศ

คดีไหนที่รู้สึกภาคภูมิใจหรือคิดว่าสร้างชื่อให้กับตัวเอง

 

ตลอดระยะเวลาการรับราชการตำรวจช่วงที่ผมภาคภูมิใจ ไม่ใช่เรื่องการทำคดี แต่เป็นตอนที่สอบติดโรงเรียนเตรียมทหาร เพราะคิดว่าหากไม่มีวันนั้น ก็คงไม่มีวันนี้ ส่วนคดีที่ภูมิใจเป็นช่วงสมัยดำรงตำแหน่งผู้บังคับการตำรวจท่องเที่ยว คือ คดีทลายขบวนธุรกิจทัวร์ศูนย์เหรียญ เพราะถือเป็นภัยต่อเศรษฐกิจของประเทศมายาวนาน ตอนนั้นสามารถยึดเงินเข้าประเทศได้กว่า 1.4 หมื่นล้านบาท แม้แต่สมัยรัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร ก็ยังปราบปรามไม่สำเร็จ อีกอย่างที่ทำให้ผมรู้สึกภูมิใจคือทำให้ประเทศมีรายได้มากขึ้น เพราะหลังจากนั้นผู้ประกอบธุรกิจท่องเที่ยวก็เสียภาษีเพิ่มมากขึ้น ทำให้แก้ปัญหาชาวต่างชาติแย่งอาชีพมัคคุเทศก์คนไทยได้

สไตล์การทำงานส่วนตัวเป็นอย่างไร

ตลอดระยะเวลาการรับราชการตำรวจ ทุกตำแหน่งตั้งแต่เล็กๆ จนถึงขณะนี้ทำเหมือนเดิมคือทำหน้าที่เพื่อประชาชนอย่างเต็มที่และเต็มเวลา ไม่เคยกลับบ้านก่อน 5ทุ่ม เที่ยงคืน เพราะตลอดระยะเวลาที่ทำงานพยายามทุ่มเทเสียสละมาตลอด ทำให้ไม่ว่าประจำอยู่ที่ไหนจะเป็นผู้นำหน่วยรับรางวัลดีเด่นอันดับ 1 มาตลอดตั้งแต่เป็นสารวัตร และยังเคยได้รับโล่หัวหน้าโรงพักดีเด่นของกรมตำรวจ 5 ปีติดต่อ รวมถึงรางวัลอื่นอีกมาก

สไตล์การทำงานตั้งแต่รับราชการถึงปัจจุบันส่วนตัวทำเหมือนเดิม ไม่ว่าเจองานอาชญากรรมรูปแบบไหน หรือจะถูกติติงอย่างไรจะไม่แก้ตัว เพราะคิดว่าเมื่อไหร่ที่ทำงานบุคคลที่รู้และบอกได้ คือ ประชาชน กว่าจะมาถึงวันนี้ ยอมรับว่าต้องทนแรงเสียดทานมามาก แต่ตลอดระยะเวลาคิดว่าเมื่อไหร่ที่ผมยืนได้ จะทำให้ตำรวจรุ่นหลัง รุ่นน้องมีที่ยืนและโอกาส แต่ถ้าหากเมื่อไหร่เรายืนไม่ได้ รุ่นน้องก็อาจลำบาก

สังคมมีทั้งคนดีและไม่ดี เราก็ไม่ใช่คนดี 100% แน่นอน แต่เราอยู่ในสังคมนี้ได้ ต้องมีความดีมากกว่าไม่ดี ฉะนั้นสไตล์การทำงานผมจึงไม่นิยมทำโครงการอะไรทั้งสิ้น แต่จะทำงานตำรวจเกือบทั้งหมด ตั้งแต่งานสายตรวจ สืบสวน ปรามปราม อำนวยการจราจร เพื่อให้คนเชื่อถือและภาคภูมิใจ

ผมมองว่าทำแค่นี้ก็ไม่ต้องคิดทำโครงการอื่นแล้ว ในพื้นที่มีตู้แดงเท่าไหร่ บ้านกี่หลังต้องตรวจให้หมด งานพื้นฐานต้องแน่น ทำให้ประชาชนจับต้องได้ ไม่ใช่คิดอยู่แต่บนเอกสาร เพราะเมื่อไหร่ที่ตำรวจทำงาน ประชาชนจะรู้สึกปลอดภัยและมีความสุข

สังคมมองว่าเป็นนายพลหน้าเด็ก เพราะได้รับการแต่งตั้งขึ้นชั้นยศนายพลเร็วกว่าเพื่อนๆ พี่ๆ

ผมขอเรียนตรงๆ ว่าผมไม่ได้เป็นนายพลอายุน้อยที่สุด เพราะก่อนหน้านี้ก็มีรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลายท่านที่ได้รับการแต่งตั้งขึ้นระดับชั้นยศนายพล ตั้งแต่อายุยังน้อย เช่น พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ หรือ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ แต่ก็ยอมรับว่าเป็นนายพล คนแรกของเพื่อนในรุ่น ดังนั้นประเด็นนี้ ผมไม่คิดอะไรมาก เพราะเรารู้จักตนเองดีกว่าคนอื่นว่าทำอะไรอยู่ ทำงานหรือไม่ เพราะถ้าหากทำ ก็ไม่ต้องกลัวว่าคนอื่นจะมองยังไง

ฉายา “โจ๊ก หวานเจี๊ยบ” ได้มาอย่างไร

ไม่รู้เหมือนกันว่าได้มาอย่างไร หรือมีใครตั้ง แต่คิดว่าอาจมาจากการที่ผมมีบุคลิกเป็นคนพูดจาเพราะ จนได้รับฉายาดังกล่าว คิดว่าไม่เสียหายอะไร เพราะเมื่อเป็นบุคคลสาธารณะการตั้งฉายาจึงเป็นเรื่องปกติ แต่เพียงคิดว่าต้องทำหน้าที่ให้ดี และมองว่าความเป็นธรรม บาป บุญ คุณโทษ มีอยู่ในสังคม เมื่อทำหน้าที่ตำรวจดีอยู่แล้ว ไม่ต้องไปกลัว เพราะสิ่งเหล่านี้จะเป็นเกาะป้องกันตัวเราเอง

เราทำความดี ทำงาน ต้องไม่ท้อแท้  สังคมจะพูดอะไร ปล่อยให้พูดไป เรารู้อยู่ว่าทำอะไร ฉะนั้นขอให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ก็ต้องทำหน้าที่ให้ดีสุด ส่วนสังคมจะว่าอย่างไรก็น้อมรับ

 

 

มีคนมองว่าอยู่เบื้องหลังการแต่งตั้งโยกย้ายตำรวจ

กระแสนี้เกิดขึ้นมาอย่างไรผมไม่ทราบ แต่เรื่องนี้ ผบ.ตร.ได้ตอบคำถามไปแล้ว ตอนนี้ผมคิดเพียงว่าทำหน้าที่อะไรอยู่ วันนี้มีโอกาสเป็นผู้บังคับการ 191 ก็จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ส่วนกระแสข่าวดังกล่าวคงต้องให้สื่อและสังคมตรวจสอบ ซึ่งผมก็พร้อมเปิดเผยให้ตรวจสอบตามระบบ

คิดยังไงกับฉายา ผบ.ตร.น้อย

ใครจะตั้งอะไรก็แล้วแต่ แต่ผมรู้ดีว่าทำอะไรอยู่ วันนี้เป็นหัวหน้าหน่วยและมีผู้บังคับบัญชาหลายระดับชั้น ก็จะทำหน้าที่ให้ดี

พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ สนิทสนมกับผู้ใหญ่ในรัฐบาลมากเป็นพิเศษ

โหว ยืนยันว่าผมไม่ได้สนิทสนมกับบุคคลใดเป็นพิเศษ ผมสนิทเฉพาะแต่เรื่องการทำงานเท่านั้น แม้แต่ ผบ.ตร. หรือผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ก็ต้องมีหน้าที่ทำงานต้องผูกพันร่วมกัน เพื่อรายงานผลการปฏิบัติต่อผู้บังคับบัญชา ไม่ใช่เรื่องอื่น
เราต้องทำงานใกล้ชิดกับทหารมากช่วงนี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือตำรวจ เพราะการทำงานต้องบูรณาการร่วมกับทหารในการตรวจค้น ปิดล้อมพื้นที่เป้าหมายสำคัญต่างๆ ฉะนั้นความใกล้ชิดเกี่ยวเนื่องก็มีอยู่แล้ว ส่วนผู้ใหญ่ ผมไม่ได้ใกล้ชิดกับบุคคลใดเป็นพิเศษ เพียงแต่ทำตามหน้าที่สายงาน

เป็นกาวใจให้กับทุกรัฐบาลจริงหรือ

ไม่มีหรอก ไม่มี เราเป็นตำรวจก็ต้องทำอาชีพตำรวจให้แข็งแรง จะเป็นกาวใจได้อย่างไร

ที่ผ่านมาเจอหลากหลายกระแสในแง่ลบ รู้สึกท้อหรือไม่

 

ผมยืนยันว่าไม่ท้อ คิดเพียงว่าต้องทำหน้าที่ให้ดีที่สุด ไม่ว่าจะได้รับมอบหมายภารกิจอะไร ผมคิดว่าเราต้องทำหน้าที่เหมือนนักกีฬา เขาให้ลงแข่ง ก็ต้องแข่ง เขาให้หยุดเล่น ก็หยุด วันนี้ผู้บังคับบัญชายังไว้วางใจมอบหมายให้ผมทำงาน เราก็ต้องทำให้ดีที่สุด

การปฏิบัติรูปตำรวจควรเริ่มจุดไหน

ผมมองว่าหน้าที่ตำรวจคืองานบริการประชาชน หัวใจสำคัญอยู่ที่สถานีตำรวจ ถ้าหากโรงพักเข้มแข็ง ก็จะทำให้การบริการประชาชนเกิดความเชื่อมั่นและทุกอย่างจะดี ทุกวันนี้หลายเรื่องโดยเฉพาะความมั่งคงดีขึ้น เพราะอยู่ในยุครัฐบาล คสช. เห็นได้จาก มีจำนวนนักท่องเที่ยวเดินทางเข้าประเทศไทยมากขึ้น และตอนนี้ท่านนายกรัฐมนตรี รวมถึงท่าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ที่กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และผบ.ตร. ก็มีความตั้งใจเรื่องการปฏิรูปตำรวจอย่างจริงจัง

มองอนาคต เส้นทางข้าราชการตำรวจที่เหลืออีก 14 ปีอย่างไร

ตอนนี้ผมอายุ 46 ปี ไม่คิดอะไรมาก แค่ตั้งใจทำหน้าที่ให้เหมือนตลอดระยะเวลาที่รับราชการตำรวจมา ทำงานให้เต็มเวลา ไม่เคยคิดว่าวันนี้จะได้มาเป็นผู้บังคับการ เพราะที่ผ่านมาคิดแต่เพียงว่าถ้าทำดี คิดดี ตั้งใจทำงานเพื่อประชาชน บ้านเมือง และผู้บังคับบัญชาจะรับทราบ และซักวันจะได้รับผลตอบแทนกลับมาเอง ไม่เคยตั้งความหวังว่าอยากเป็นอะไร

ผมคิดว่าคนที่ไม่อยากเป็น จะได้เป็น แต่ถ้าอยากเป็นก็ต้องระวังตัว กลัวถูกฟ้อง ที่ผ่านมาเมื่อผมได้รับมอบภารกิจจับกุม ปราบปราม จะลุยเองกับลูกน้องและผู้บังคับบัญชา เพราะหากมัวแต่ระมัดระวังตัว และตั้งเป้าว่าอยากเป็นอะไร อาจไม่ได้เป็น ดังนั้นก็ควรทำหน้าที่วันนี้ให้ดีที่สุด และผลบุญจะตามมาเอง

 

เปิด “อาณาจักรความ(ฟาร์ม)สุข” ของ จตุรงค์ มกจ๊ก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มิถุนายน 2560 เวลา 19:04 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/499095

เปิด "อาณาจักรความ(ฟาร์ม)สุข" ของ จตุรงค์ มกจ๊ก

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

จตุรงค์ มกจ๊ก หรือ จตุรงค์ พลบูรณ์ แวบแรกที่ได้ยินชื่อนี้ คุณอาจนึกถึงภาพนักแสดงตลกหนุ่มรุ่นใหญ่หน้าตี๋ ที่สร้างเสียงหัวเราะความสุขให้คนไทยมานานกว่า 30 ปี ทว่าใครจะรู้ อีกมุมหนึ่งเขากำลังมีความ(ฟาร์ม)สุขกับการทำเกษตรเลี้ยงหมู ปลา ไก่ไข่ ไก่ชน และเปิดร้านอาหารอยู่กับครอบครัวญาติพี่น้อง ที่บ้านเกิดในอำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี ภายใต้ชื่อ “จตุรงค์ฟาร์ม และ ครัวลุงรงค์

โพสต์ทูเดย์ เดินทางไปเพื่อเยี่ยมชมพร้อมกับพูดคุยวิถีชีวิตอีกมุมหนึ่งของดาราตลกรุ่นใหญ่ ที่กำลังเดินยิ้มกว้างมอง สวน ไร่นา ท้องฟ้าสดใส ของอาณาจักรที่ใครๆ ก็พากันอิจฉา

เติมเต็มความฝันและสร้างอาชีพให้ครอบครัว

เส้นทางเกษตรของดาวตลกรายนี้เกิดจากความชอบและความฝันส่วนตัวตั้งแต่วัยเด็ก

จตุรงค์เปิดฉากเล่าว่า ไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะได้ทำเกษตรกรรม เพราะเกิดในครอบครัวพ่อค้า แม่ค้าก๋วยเตี๋ยวถั่วงอกเต้าหู้เลือดหมูที่ตระเวนขายตามตลาดนัด ไม่มีความรู้เรื่องเกษตร แต่มีความฝันตั้งแต่เด็ก อยากมีบ้านติดคลอง ทำให้ 15 ปีก่อนเมื่อพร้อมจึงตระเวนหาซื้อที่ดินในอำเภอโพธาราม ซึ่งเป็นบ้านเกิดเพื่อทำเกษตร ส่วนอีกเหตุผลคืออยากให้ครอบครัวพ่อแม่ญาติพี่น้องมาอยู่รวมกัน มีอาชีพและสามารถหาเลี้ยงตัวเองได้

จตุรงค์ฟาร์มเกิดขึ้นเมื่อปี 2545 หรือ 15 ปีก่อน หลังมีผู้ติดต่อเสนอขายที่บริเวณดังกล่าวขนาดประมาณ 3 ไร่ครึ่ง จตุรงค์เดินทางมาดู แม้จะไม่มีความรู้เรื่องลักษณะทำเลทีตั้งมากนัก แต่ก็รู้สึกชอบ เนื่องจากพื้นที่โดยรอบเป็นภูเขาและทุ่งนา จนกระทั่งหลังจากทำการซื้อขายและต่อเติมบ้านให้สูงขึ้น จึงทราบว่า ที่แห่งนี้มองเห็นทัศนียภาพอันสวยงามของทุ่งนาและภูเขา อาทิ เขาลาด เขาขลุง เขาพระ เขาช่องพราน โดยมองได้รอบ 360 องศา

ช่วงแรกเริ่ม จตุรงค์  เลี้ยงวัวนม เพราะอดีตเป็นที่นิยมของชาวบ้านละแวกนี้ แต่ต่อมาลงทุนเท่าไหร่เงินก็จมหายสูญไปหลายแสนบาท สุดท้ายต้องเลิก หันมาเลี้ยงหมูตามน้องสาว จากวันนั้นถึงวันนี้เป็นเวลากว่า 13 ปีแล้ว จากเดิมมีเนื้อที่ 3 ไร่ครึ่ง ขยับเพิ่มอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งปัจจุบันมีมากถึง 10 ไร่โดยประมาณ แบ่งเป็นโรงเลี้ยงหมู โรงเพาะเห็ด บ่อเลี้ยงปลา ไก่ไข่ ไก่ชน ล่าสุดพึ่งเปิดร้านอาหารชื่อ ครัวลุงรงค์ เมื่อวันที่ 17 มิ.ย.ที่ผ่านมา

“การแสดงกับการเกษตร คนละเรื่องกันเลย การแสดงเป็นสิ่งที่ทำเป็นประจำและทำมานาน เพื่อให้คนดูรู้สึกตลกชอบใจ ทุกครั้งที่เล่นเหมือนเข้าเส้น เมื่อขึ้นเวทีก็พร้อมเล่น มุขไหลเรื่อย แต่การทำเกษตรยอมรับว่าเหนื่อย แต่มีความสุขเป็นสิ่งที่อยากทำตั้งแต่เด็ก”

อาณาจักรจตุรงค์ฟาร์ม

เปิดอาณาจักรเกษตรพอเพียงของจตุรงค์

ระบบการทำเกษตรของจตุรงค์ฟาร์มเป็นลักษณะเกษตรพอเพียง คือ ทำหลากหลายอย่างแต่ละชนิดจำนวนไม่มากเกินไป ทำให้ทุกอย่างสมดุล เพราะความหมายพอเพียง คือ ต้องทำให้อยู่ได้แบบสบายๆ ไม่เดือดร้อน เพื่อให้สิ่งที่ทำกลับมาเลี้ยงชีพ หากเหลือจึงนำไปขาย

“เราทำหลายอย่างตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง อย่างละนิดละหน่อย ไม่ใช่ทำอย่างเดียว ตอนนี้ที่ฟาร์มก็มีหมู ไก่ไข่ ไก่ชน ปลา พืชผักสวนครัว บนเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ ไม่ได้แบ่งอะไรให้ยุ่งยาก ตรงไหนเหมาะสมทำอะไรก็ทำ เช่น คอกหมูตั้งอยู่กลางแปลกนา ไก่ชน ไก่ไข่ แปลงปลูกผัก โรงเพาะเห็ด อยู่ใกล้กัน”

ฟาร์มแห่งนี้ญาติพี่น้องของจตุรงค์เป็นผู้ดูแลเกือบทั้งหมด เขาเลือกจ้างคนภายนอกให้น้อยที่สุด เนื่องจากตั้งใจให้คนในครอบครัวได้ทำงานร่วมกัน มีอาชีพที่สามารถเลี้ยงดูตนเองได้อย่างมั่นคง

“เราควรยื่นเบ็ดตกปลาให้เค้า ไม่ใช่ให้ปลาตลอด เพราะหากให้ครั้งหนึ่งต้องมีครั้งต่อไป หากยื่นคันเบ็ดเพื่อให้เค้านำไปใช้หาปลากินเอง จะยั่งยืนกว่า” ดาวตลกพูดถึงคติที่นึกไว้เสมอ

ปัจจุบันจตุรงค์ฟาร์มเลี้ยงหมูกว่า 700-800 ตัว ส่วนใหญ่เลี้ยงไว้ในเล้ากลางทุ่งนา โรงอัดเพาะก้อนเชื้อเห็ดนางฟ้าภูฐาน ตั้งอยู่ใกล้บริเวณร้านอาหาร ซึ่งเห็ดของฟาร์ม ส่งขายแบบก้อนเชื้อเป็นหลัก หากเป็นก้อนเห็ดที่เชื้อเดินเต็มถุงเพาะ ราคาอยู่ที่ 10 บาท (ซื้อไป 1-2 วัน สามารถรับประทานได้ทันที) แต่หากราคาก้อนละ 8 – 5 บาท ต้องนำไปเพาะเลี้ยงซักระยะ ส่วนอายุการเก็บผลผลิตอยู่ที่ 7-8 เดือน

ฟาร์มแห่งนี้ยังมีพื้นที่เลี้ยงไก่ไข่ที่นำมาใช้ประกอบอาหารกินภายในบ้าน หากเหลือก็นำไข่ไปจำหน่าย แต่จุดที่สร้างรายได้หลัก คือ ไก่ชนซึ่งเป็นสัตว์พื้นบ้านเศรษฐกิจของคนไทยที่นิยมเลี้ยงไว้ต่อสู้เพื่อความสนุกสนาน โดยฟาร์มเลี้ยงตั้งแต่ระยะตั้งไข่ถึงขั้นโตเต็มวัยพร้อมจำหน่าย การดูแลไก่ชนของฟาร์มเน้นเลี้ยงแบบธรรมชาติ คือ เลี้ยงไว้บนพื้นดินเพื่อให้ไก่ได้คุ้ยเขี่ย จิกหนอนกิน เพราะจะช่วยทำให้โตเร็วและแข็งแรง

จตุรงค์ บอกด้วยรอยยิ้มว่า เลือกไก่ชนสายพันธุ์ดีจากทั่วประเทศมาผสมต่อยอดให้เป็นไก่ชนสายพันธุ์ดียิ่งขึ้น ส่วนการเลี้ยงดูแลได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาดูแลโดยเฉพาะ เมื่อโตก็จำหน่าย โดยลูกค้าส่วนใหญ่เป็นผู้ที่ติดตามจากเพจเฟซบุ๊ก “จตุรงค์ฟาร์ม  ซุ้มไก่ชน”

รายได้จากทุกแหล่งที่มาภายในพื้นที่ ถูกนำเข้าระบบการเงินของครอบครัว เขาบอกว่า วิธีบริหารแบบนี้ ทำให้ทุกคนรู้สึกมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ

“ผมมีความสุขมากทุกครั้งที่มา ที่ไม่ว่างเพราะปกติงานเต็ม ขอโทษ อายุขนาดนี้ยังเต็มอยู่นะคร้าบบ” ตลกชื่อดังบอกพร้อมเสียงหัวเราะ

15 ปีเเละตลอดกาลเเห่งฟาร์มสุข

กว่า 15 ปีแล้วที่จตุรงค์สร้างอาณาจักรเกษตรพอเพียงนี้ขึ้นมา เมื่อถามว่าได้ตั้งเป้าหมายและวางอนาคตไว้อย่างไร หนุ่มใหญ่ตอบกลับทันทีว่า “ยังไม่ได้ตั้งเป้าหมาย ทำไปวันๆ โอกาสหน้าอาจมีชิงช้าสวรรค์ลอยอยู่ข้างบนก็เป็นได้”

เขาบอกต่อว่า จะพัฒนาไปเรื่อยๆ หลังจากทำครัวลุงรงค์เสร็จเรียบร้อย อยากให้สถานที่แห่งนี้เป็นแหล่งพักผ่อนของผู้ที่มาเยือน บริเวณด้านหน้าคลองชลประทานอาจสร้างเป็นจุดเล่นน้ำ คนมาเที่ยวได้มานั่งเล่น กระโดดน้ำ เเต่จะไม่ก่อสร้างด้วยการสร้างความสกปรกหรือทำลายธรรมชาติ

“15 ปี พอเห็นวันนี้รู้สึกโอ้โห ภูมิใจและดีใจ ไม่คิดว่าฟาร์มที่สร้างมาจะพัฒนากลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแบบนี้ คนเข้ามาทักในเฟซบุ๊กตลอดว่าอยากมาเที่ยวชม และก็พากันมาเรื่อยๆ ทำให้ทุกครั้งที่กลับมาดู แม้จะต้องเหนื่อยเพราะตื่น 8 โมงเช้า ดูแล สั่งงาน พูดคุยกับคนมาเยี่ยมชม กลับเข้าห้องพักอีกทีก็ 6 โมงเย็น มันเหนื่อยนะแต่รู้สึกภูมิใจ”

จตุรงค์ ยืนยันว่างานในวงการแสดงอย่างไรไม่ทิ้งแน่นอน เพราะยังเป็นช่องทางหลักในการหาเงิน

“ใครจะบ้าไปหยุดการแสดงที่รายได้กำลังดีๆ ตอนนี้ลุงรงค์เป็นนักแสดงที่พอแก่ขึ้น ค่าตัวก็มากขึ้น เหมือนกับยิ่งแก่งานยิ่งเยอะกว่าสมัยหนุ่มๆ อีก จะเลิกได้ไง เงินทุกบาททุกสตางค์ ก็มาจากงานแสดง นอกจากไม่มีใครจ้าง”

เขาบอกว่า หากถึงวันที่ไม่มีคนจ้างจริงๆ จะกลับมาเป็นคนแก่เดินดูความเจริญเติบโตของฟาร์มแห่งนี้ ไม่คิดจะสร้างภาระให้กับใคร ลูกไม่ต้องเป็นห่วง เพราะแม้ไม่มีเงินแต่ยังมีอาชีพในอาณาจักรจาตุรงค์ฟาร์ม ไม่มีเงินซื้อข้าวยังหากินที่นี่ได้ตลอดเวลา

ซุปตาร์ตลก ทิ้งท้ายว่า วันนี้สถานที่แห่งนี้ทำให้ทุกคนในครอบครัวได้มาอยู่รวมกัน ไม่เช่นนั้นต่างคนคงต้องแยกย้ายไปใช้ชีวิตของแต่ละคน เพราะครอบครัวเราไม่ได้ร่ำรวยมาตั้งแต่เกิด บางคนเรียนไม่จบหรือไม่สามารถหางานที่ดีและเหมาะสมกับตัวเองได้ แต่ฟาร์มแห่งนี้ทำให้ทุกคนลืมตาอ้าปากและนั่งรวมตัวกินข้าวทุกเย็นกันอย่างมีความสุขได้

“เราเอาเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้จากการแสดงมาสร้างพื้นที่แห่งนี้ ไม่ใช่มรดกจากพ่อแม่ เพราะไม่มีช้อนเงินช้องทอง ลุงรงค์คิดเล่นๆ ว่า คงแก่ตายอยู่ที่นี่”

***************

ดาราตลกรุ่นใหญ่รายนี้ ขอเชิญทุกคนมาเยี่ยมแวะชม จตุรงค์ฟาร์ม และ ครัวลุงรงค์ ตั้งอยู่ที่ อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ไม่นานเพียง 2 ชั่วโมงโดยประมาณ ทุกคนจะได้สัมผัสบรรยากาศวิถีชีวิตของชาวบ้านท่ามกลางภูเขาและทุ่งนาธรรมชาติ ภายใต้สโลแกน “ส่องไก่ กินลม ชมภูเขาและทุ่งนา กับอาหารป่าและปลาน้ำจืด” ที่เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการแล้ว

ข้อมูลเพิ่มเติม ที่มา https://www.facebook.com/%E0%B8%88%E0%B8%95%E0%B8%B8%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B8%84%E0%B9%8C%E0%B8%9F%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A1-%E0%B8%8B%E0%B8%B8%E0%B9%89%E0%B8%A1%E0%B9%84%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%8A%E0%B8%99-1146128918760913/

 

 

 

 

สงคราม “บัตรทอง” ต้องยุติ เลิกเป็นศัตรู หยุดทำลายล้าง ร่วมพัฒนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

18 มิถุนายน 2560 เวลา 13:07 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/499073

สงคราม "บัตรทอง" ต้องยุติ เลิกเป็นศัตรู หยุดทำลายล้าง ร่วมพัฒนา

โดย…กันติพิชญ์ ใจบุญ / ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม

เรื่องร้อนในแวดวงสาธารณสุขกำลังถูกยกระดับเป็นความเคลื่อนไหวใหญ่ คือความขัดแย้งจากการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง หรือ (ร่าง) พ.ร.บ.หลักประกันสุขภาพแห่งชาติที่ใช้มา 15 ปี

ต้นเรื่องมาจาก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ออกคำสั่ง คสช. ตามมาตรา 44 ให้แก้ปัญหางบบัตรทองหลังพบว่ากฎหมายฉบับนี้มีปัญหาการบริหารจัดการงบของโรงพยาบาลขาดความคล่องตัว กระทบงานบริการคนไข้ นำมาสู่การแต่งตั้งคณะกรรมการแก้ไขกฎหมายบัตรทองที่ รมว.สาธารณสุขลงนามเมื่อต้นปีที่ผ่านมา

โครงการบัตรทองเป็นการปฏิวัติระบบการรักษาให้คนไทยได้สิทธิขั้นพื้นฐานในการรักษาพยาบาล โดยมีสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) เป็นองค์กรของรัฐตามกฎหมายบัตรทอง ดำเนินโครงการนี้รับผิดชอบงบประมาณสูงนับแสนล้านบาท เป็นผู้จัดหาบริการให้คนไทยเข้าถึงการรักษาอย่างเท่าเทียม

ทว่าตลอดเวลาของการดำเนินโครงการบัตรทองกลับกลายเป็นศึกระหว่าง สธ. กับ สปสช. แม้ทั้งสองจะมีบุคลากรจากวงการสาธารณสุขด้วยกัน แต่ฝ่าย สปสช.ได้ภาคประชาชนเป็นแนวร่วมจากกลุ่มรักสุขภาพที่ได้ประโยชน์ตรงจากการรักษา รวมถึงงบประมาณที่ สปสช.อุดหนุนให้เครือข่ายประชาชนจัดกิจกรรมดูแลสุขภาพด้านต่างๆ ขณะที่ สธ.โจมตีการบริหารงานกองทุนบัตรทองของ สปสช. มาตลอดว่าไม่มีประสิทธิภาพเป็นต้นตอทำให้โรงพยาบาลของรัฐขาดทุนอยู่ในภาวะวิกฤต

เมื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ใช้อำนาจขอแก้ไขกฎหมายบัตรทอง เครือข่ายสุขภาพภาคประชาชนพุ่งเป้า นี่เป็นแผนทุบหัวใจ ทำลายกลไกภาคประชาชนที่เข้มแข็ง หลังจากรัฐบาลทหารเคยให้ คตร.ตรวจสอบการทำงานของ สสส. องค์กรเครือญาติ สปสช.มาแล้ว ทั้งหมดพุ่งเป้าไปที่รัฐบาลว่าต้องการรวบอำนาจกลับคืนไปที่ สธ. สุดท้ายกระทบต่อสิทธิการรักษาของประชาชน

เวทีประชาพิจารณ์ถูกกำหนดให้มี 4 ครั้ง เพื่อนำผลสรุปเสนอต่อ รมว.สธ. ทว่าทุกเวทีร้อนแรงเพราะภาคประชาชนวอล์กเอาต์ ล่าสุดที่ จ.ขอนแก่น ต้องล่มลง เหลืออีกที่กรุงเทพฯเป็นเวทีสุดท้ายของศึกยกแรก นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการดำเนินการประชาพิจารณ์พิจารณากฎหมายบัตรทอง กับบทบาท “คนกลาง” อธิบายกับโพสต์ทูเดย์ว่า ประเด็นหลักในการเปิดรับฟังความคิดเห็นมีทั้งหมด 14 ประเด็น แต่หากแยกแล้วจะเหลือแค่ 3 เรื่องใหญ่

ประเด็นแรก กฎหมายใช้มากว่า 15 ปี จนติดขัดอยู่หลายด้าน โดยเฉพาะการใช้จ่ายเงินของหน่วยบริการ หรือ สปสช. เช่น การที่ สปสช.จ่ายเงินให้กับหน่วยงานหนึ่งด้านสาธารณสุข แต่เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ตีความตามกฎหมายว่าไม่สามารถจ่ายได้ต้องเรียกเงินคืน ซึ่งแบบนี้ก็ติดขัดและเดินหน้าต่อไม่ได้

“คำนิยามของกฎหมายต้องถูกตีความและถูกจำกัด โดยเฉพาะคำว่าเงินบริการทางการแพทย์ต้องจ่ายโดยตรงต่อบุคคล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับด้านส่งเสริมต่างๆ ในหน่วยบริการ เช่น โรงพยาบาลเมื่อได้เงินมาแล้วจะนำเงินไปซ่อมแซมอาคาร เปลี่ยนหลอดไฟ ก็ทำไม่ได้ เพราะคำนิยามตีความเอาไว้แบบนั้น มันจึงเกิดความขัดแย้งกัน” นพ.พลเดช กล่าว

ประเด็นที่สอง อำนาจทางการเมือง หรือตัวแทนที่จะอยู่ในบอร์ดบริหารและบอร์ดควบคุม รวมถึง เลขาธิการ สปสช. ทั้ง 3 องค์ประกอบนี้เป็นปัญหาที่ต่อสู้กันอย่างหนัก เพื่อสัดส่วนของพรรคพวกตนเองที่จะได้อยู่ในบอร์ดให้มากที่สุด

ประเด็นสุดท้าย เรื่องของการเงิน คือ การแยกเงินเดือนข้าราชการสาธารณสุขออกจากค่าบริการเหมาจ่ายรายหัว หรือจะรวมกันอยู่อย่างปัจจุบัน ฝ่ายหนึ่งอยากให้แยก อีกฝ่ายอยากให้รวม เรื่องนี้ต้องใช้งานวิจัยเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหา และมีเหตุปัจจัยภายในซับซ้อนหลายอย่างมาก

นพ.พลเดช บอกอีกว่า ทั้ง 3 ประเด็น คือ ภาพใหญ่ของปัญหาการแก้กฎหมายบัตรทอง จะเห็นได้ว่า หากจะแก้ไขก็ต้องมีข้อคิดเห็น แต่แน่นอนมีบางส่วนที่ต้องการให้ล้มกระบวนการรับฟังความคิดเห็นทั้งหมด หากทำเช่นนั้นเราก็จะเสียโอกาสในการแก้ไขปัญหาที่ติดขัดมาเป็นระยะเวลากว่า 15 ปี อย่างไรเสียก็เข้าใจกลุ่มที่ไม่ต้องการให้เกิดการประชาพิจารณ์ เพราะกังวลว่าการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงการดำเนินโครงการบัตรทอง

“โครงสร้างบอร์ดบริหารบัตรทองที่ยังสร้างความกังวลระหว่างกันอยู่ เพราะแต่ละฝั่งทั้งกระทรวงสาธารณสุขและภาคประชาชน รวมถึง สปสช. ก็อยากจะให้คนของตัวเองมาอยู่ในบอร์ดในสัดส่วนที่มากกว่า เรื่องนี้ก็ต้องไปเจรจากัน ยอมกันได้แค่ไหน มันจะดันให้สุดทางใดทางหนึ่งไม่ได้ ต้องหาตรงกลางระหว่างกัน”

บรรยากาศการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นทั้ง 4 เวที นพ.พลเดช สรุปให้ฟังว่า แม้จะมีการวอล์กเอาต์จากฝ่ายภาคประชาชน แต่ทุกคนก็แสดงความคิดเห็นอยู่ในกติกา ที่สำคัญไม่มีความรุนแรง ไม่ทำสิ่งที่ผิดกฎหมาย

“สิ่งที่ผมเห็นว่าดี คือการตื่นตัวทั้งภาคประชาชน สปสช. รวมถึงฝั่งกระทรวงสาธารณสุขที่ใช้เวทีประชาพิจารณ์ในการแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ เขาไม่ได้มองว่า นี่เป็นเพียงแค่พิธีกรรมเท่านั้น แต่เมื่อมีการวอล์กเอาต์ เราก็ต้องรายงานลงไปด้วยเช่นกัน เพราะถือเป็นบรรยากาศ เป็นสีสันของเวทีประชาพิจารณ์ การปฏิเสธเวทีก็อยู่ที่เหตุผลของแต่ละกลุ่ม แต่เนื้อหาสาระก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง เพียงแต่ผมรู้สึกเสียดายแทนกลุ่มคนที่วอล์กเอาต์ที่ไม่ได้มีโอกาสรับฟังความคิดเห็นของคนอื่นๆ”

ในฐานะผู้จัดเวทีประชาพิจารณ์ นพ.พลเดช สรุปว่า เราได้รับฟังข้อคิดที่มีคุณภาพไว้หมด ทุกคนใช้เหตุผลลุ่มลึก มีเนื้อหาสาระ แม้จะมีอารมณ์กันบ้างแต่ก็อยู่ในกรอบที่ดี ไม่มีการมาด่าพ่อด่าแม่กัน ซึ่งขั้นต่อไปหลังจบเวทีที่กรุงเทพฯ ก็จะจัดสรุปผลรับฟังความคิดเห็นทั้งหมดให้เสร็จภายในวันที่ 30 มิ.ย.นี้ ก่อนจะส่งให้กับ รมว.สาธารณสุขพิจารณาเพื่อนำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี

“ลึกๆ ผมเชื่อว่าเมื่อถึงวันนี้มันก็ต้องมีการแก้ไขกฎหมายอย่างแน่นอน และคงเดินหน้าไปในทิศทางนั้น เพราะจากการรับฟังความเห็น ภาคประชาชน และกระทรวงสาธารณสุขก็ไม่ได้ขัดแย้งกัน เพียงแต่มีข้อกังวลบางเรื่อง ซึ่งยังคงเจรจาและพูดคุยกันได้ แต่ก็ไม่ได้กระทบกับภาพรวมของปัญหา” นพ.พลเดช กล่าว

สำหรับ นพ.พลเดช แม้จะทำงานภาคประชาสังคมมายาวนาน เข้าใจหัวอกเครือข่ายสุขภาพที่คัดค้านการแก้ไข แต่เขาก็ยืนยันได้ว่าไม่มีใครคิดจะล้มโครงการบัตรทอง ขณะเดียวกันการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนก็ไม่ควรสุดขั้วมากเกินไป ที่สำคัญกระบวนการแก้ไขครั้งนี้ยังมีอีกหลายขั้นตอนที่ภาคประชาชนจะได้ขับเคลื่อน ต่อรอง แม้จะผ่านเวทีประชาพิจารณ์ไปแล้ว ยังมีอีกในขั้นตอนของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ หรือในกรรมาธิการช่วงแก้ไขร่าง

ยิงคำถามว่ากระทรวงสาธารณสุขจะได้อะไรกลับมากับการแก้ไขกฎหมายบัตรทอง นพ.พลเดช ย้อนภาพว่า เดิมมันเป็นความทุกข์ของกระทรวงสาธารณสุขอย่างหนึ่งที่ถูกแยกอำนาจ จากเดิมที่เคยรวบเอาไว้ทั้งอำนาจการเป็นผู้ให้บริการ และอีกส่วนคืออำนาจการบริหารงบประมาณ แต่เมื่องบประมาณถูกแยกมาให้ สปสช. มาจัดการจึงเกิดความทุกข์ใจ แต่ยอมรับว่าการแยกอำนาจเป็นผลดีของประชาชน ผู้รับบริการ

นพ.พลเดช ย้ำว่า หลักการสำคัญคือ “การแยกอำนาจ” ของกระทรวงสาธารณสุข ที่ต้องเสียงบประมาณกว่าแสนล้านบาทด้านการประกันสุขภาพบัตรทองมาอยู่กับ สปสช. องค์กรเกิดใหม่ เพื่อมาบริหารจัดการงบประมาณบัตรทอง ขณะเดียวกัน สปสช.ก็เป็นกลไกที่คอยตรวจสอบคุณภาพการบริการของโรงพยาบาลของรัฐด้วย และเป็นการสร้างสมดุลที่เหมาะสม ยืนยันว่าการแยกอำนาจตรงนี้เป็นเรื่องดีสำหรับประชาชน และคงไม่มีใครกล้ามาแตะเรื่องดีของประชาชนด้วย

นพ.พลเดช ให้ข้อคิดว่า การบริหารงานของบอร์ด สปสช. ในระยะเวลากว่า 15 ปี ที่ทำเรื่องโครงการบัตรทอง ไม่สามารถสร้างบรรยากาศการทำงานแบบ “ร่วมคิดร่วมทำ” หรือ “ร่วมกันพัฒนา” ได้ แต่กลับเป็นบรรยากาศของสงครามเป็นคู่ต่อสู้ระหว่างกัน ซึ่งหากบอร์ดบริหารขององค์กรใดเผชิญปัญหาลักษณะนี้ไม่นานก็ต้องล่มสลาย

“ช่วงหลังคนไทยติดนิสัยอยู่ในโหมดต่อสู้ ระแวงกันตลอดเวลา แน่นอนว่าส่วนหนึ่งคือธรรมชาติที่ต้องระแวดระวังกัน เพราะไม่อยากให้ตัวเองเพลี่ยงพล้ำ เรื่องการแก้กฎหมายบัตรทองนั้น จะแก้หรือไม่แก้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ประเด็นสำคัญคือต้องสร้างบรรยากาศการทำงานร่วมกันใหม่ คนที่อาจจะเข้ามาในอนาคตจะต้องไม่ใช่คนที่ต้องการต่อสู้ แต่ต้องการพัฒนาและยอมรับฟังกันและกัน สร้างความเปลี่ยนแปลงกันใหม่ สัดส่วนบอร์ดไม่สำคัญเลย หากเรามีคนที่ต้องการพัฒนาและทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริง” นพ.พลเดช ให้ความเห็น

นพ.พลเดช กล่าวว่า ที่ผ่านมารับรู้ได้ตลอดถึงการต่อสู้ความขัดแย้งภายในบอร์ด ซึ่งอาจเป็นปัญหาที่ฝังรากลึกมานาน แต่ก็ยังไม่เกินที่จะแก้ไขเพื่อเยียวยา หากแต่จะไปบอกในชั่วยามนี้ว่าต้องร่วมกันทำงานคงยังไม่มีใครฟัง แต่ถ้ายังยืนในแนวคิดของตัวเองแบบสุดขั้วหรือสุดโต่ง สุดท้ายระยะยาวประชาชนจะเสียประโยชน์เองและกระทรวงสาธารณสุขก็จะมีปัญหาตามมาด้วย เช่น หากภาคประชาชนก็คิดสุดโต่งไม่สนใจ ให้คุณค่าฝ่ายผู้ให้บริการ (สธ.) เลยมันก็จะตามมาด้วยความรู้สึกหรือบรรยากาศไม่ไว้วางใจระหว่างคนไข้กับแพทย์

“หมอก็เคยรักษาคนไข้ผิดพลาด แต่ด้วยความสัมพันธ์ ศรัทธา และเคารพนับถือ ระหว่างคนไข้กับแพทย์ ก็ทำให้เรื่องใหญ่กลายเป็นเรื่องเล็ก แต่ทุกวันนี้ไม่ใช่แล้ว หมอพลาดโดนฟ้องเละ นี่คือคุณค่าเดิมของสังคมไทยที่หายไป แต่ด้วยวิธีการที่สู้กันแบบนี้ ถามหน่อยมันดีหรือไม่ ประชาชนมีความสุขหรือไม่ที่ไปคอยฟ้องแพทย์ หวาดระแวงว่าแพทย์จะเอาผลประโยชน์จากประชาชน มันต้องคิดใหม่ แต่ยอมรับว่ายากแล้ว เพราะทุกวันนี้ความสัมพันธ์คนไข้กับหมอมันห่างไกลไปมาก แต่จะปล่อยไปตลอดไม่ได้ ต้องเริ่มแก้ไขกัน” นพ.พลเดช เน้นย้ำ

นพ.พลเดช ย้ำว่า ทุกฝ่ายหนักแน่น ที่สุดกฎหมายมันก็ต้องมีการแก้ไข เพราะหากไม่ทำมันก็เดินหน้าไม่ได้ และจะส่งผลกระทบต่อการบริการที่จะสะดุดทั้งหมด

“ทั้งหมดจะเห็นได้ว่า วันนี้ไม่ใช่ปัญหาระหว่างแพทย์ด้วยกันเองแล้ว แต่เป็นปัญหาด้านสุขภาวะของประชาชนที่เข้ามาเกี่ยวข้อง เราต้องหยุดและออกจากโหมดต่อสู้ วันนี้ทั่วโลกต่างชื่นชมระบบหลักประกันสุขภาพของไทย และต้องการนำไปเป็นแบบอย่างในประเทศของตนเองอีกด้วย ต่างชาติก็ยกนิ้วให้เราทั้งนั้น โดยเฉพาะการเกิดขององค์กรตระกูล ส.ต่างๆ ขณะเดียวกันเราก็หยุดการพัฒนาระบบของเราไม่ได้”นพ.พลเดช กล่าว

 

“นพรัตน์ กุลหิรัญ” จากหมวยเยาวราช สู่มาดามรถถังระดับโลก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 มิถุนายน 2560 เวลา 20:44 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/498733

"นพรัตน์ กุลหิรัญ" จากหมวยเยาวราช สู่มาดามรถถังระดับโลก

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด ภาพ…ฉัตรอนันท์ ฉัตรอภิวันท์

อาหมวยเซียงกงที่คลุกคลีอยู่กับเศษเหล็กและเครื่องจักรจากกิจการของครอบครัว เธอไม่เคยคิดฝันถึงความร่ำรวยหรือการเป็นเจ้าของอาณาจักรหลายพันล้านบาท ด้วยความขยัน ความจริงใจ ประสบการณ์ ตลอดจนโชคชะตาที่ลิขิตให้เธอต้องแต่งงาน เปลี่ยนแปลงความอิสระในอาชีพครูสู่นักธุรกิจหญิงบนเวทีโลก

บ่ายวันหนึ่งภายในอาณาจักรขนาด 140,000 ตารางเมตร ในจังหวัดปทุมธานี ที่ตั้งของโรงงานขนาดใหญ่ 26 หลัง ทั้งโรงประกอบ โรงทดสอบเครื่องยนต์ โรงผลิตอุปกรณ์ โรงกลึง โรงพ่นทราย และโรงเก็บอะไหล่

นพรัตน์ กุลหิรัญ เจ้าของฉายามาดามรถถัง ผู้ก่อตั้ง บริษัท ชัยเสรีเม็ททอล แอนด์ รับเบอร์ จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนยางติดเหล็ก ข้อต่อสายพาน ล้อกดสายพาน ให้กองทัพไทยและกองทัพต่างประเทศ รอต้อนรับด้วยใบหน้าและท่าทางเป็นกันเอง

มาดามพร้อมแล้วที่จะเปิดเผยฉากชีวิต เบื้องหลังกลยุทธ์และเส้นทางความสำเร็จของชัยเสรี ที่อยู่ในมือของเธอ

 

อาหมวยเยาวราชนักล็อบบี้

คุณพ่อคุณเเม่ของนพรัตน์ เป็นชาวจีนอพยพมาจากแดนมังกร เธอเป็นลูกสาวลำดับที่ 7 ของครอบครัวจากพี่น้องทั้งหมด 12 คน โดยเกิดและเติบโตที่บ้าน บริเวณถนนทรงวาดใกล้กับศาลเจ้าเซียงกง ย่านเยาวราช กรุงเทพมหานคร

ครอบครัวทำกิจการค้าเหล็ก โซ่ และเครื่องยนต์เก่า ภายใต้ชื่อ ‘ตั้งจุ้นฮวด’ ซึ่งสืบทอดมาจากรุ่นคุณปู่ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากจีนโดยเรือสำเภาตั้งแต่ปี พ.ศ.2400

สมัยเป็นเด็กวัยเพียงแค่ 10 ขวบ ด้วยความที่คุณพ่อของนพรัตน์เป็นคนติดอ่าง ทำให้มีปัญหาและมักพลาดโอกาสเมื่อต้องไปร่วมประมูลเศษเหล็กที่คลองถม สถานที่ประมูลเศษเหล็กแห่งสำคัญในอดีต สาวน้อยที่ถูกคุณพ่อสั่งสอนมาตลอดว่าเกิดเป็นผู้หญิงต้องทำให้ได้ทุกอย่าง อย่าให้ใครดูถูก จึงต้องออกโรงแข่งขันแทนคุณพ่อ

“พ่อเป็นคนติดอ่าง พูดก็ช้า แต่ใจดี เวลาไปสู้ ต้องตะโกนแข่งกัน 20 ตังค์ 50 ตังค์ ตีฆ้องเป๊งๆ โอเคเจ้านี้เอาไปพ่อเราสู้เขาไม่ได้ เราเห็นแล้วอึดอัดใจ วันหนึ่งเอ่ยปากถามพ่อ พ่อจะเอากองไหน ‘เอากองนี้ แต่สงสัยพ่อจะพูดไม่ทันเขา’ เรารู้อย่างนั้นจัดการล็อบบี้เลย วิ่งบอกทุกคน เดี๋ยวสู้กันนะ ถึงราคาที่พ่อเราต้องการ ขอให้พวกท่านทั้งหลายหยุดก่อน เปิดโอกาสให้พ่อฉันพูดบ้าง ทุกคนทำหน้างงๆ แต่ก็รับฟังบอกเออๆ เดี๋ยวหยุดให้ สุดท้ายพ่อเราก็พูดและชนะ ตีฆ้องเป๊งๆ ได้โซ่ขนขึ้นรถกระบะไม้กลับบ้านสักที”

สาวน้อยสั่งสมประสบการณ์จากที่ได้คลุกคลีกับวงการเหล็ก ตั้งแต่เริ่มต้นกระบวนการได้มาอย่างการประมูล จนกระทั่ง ทำความสะอาดเศษเหล็กและดัดแปลง ทั้งหมดคือสิ่งที่เธอได้เรียนรู้ กอปรกับเพื่อนบ้านข้างเคียงในเซียงกง ส่วนใหญ่ล้วนแต่มีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับวงการเหล็กแทบทั้งสิ้น

“เขาบอกอาหมวยคนนี้พูดเก่ง มาทีไรชอบมีของมาให้กินตลอด แถมยังคอยเสิร์ฟน้ำให้ด้วย เราเสิร์ฟไปก็ขอไป กองนี้ขอนะ ให้พ่อเรานะ ที่บ้านเลยได้งานมาเรื่อย เด็กๆ ไม่ค่อยไปไหน อยู่แต่ที่ทำงาน ชอบไปคุยกับคนงาน นั่งดูพ่อเชื่อมเหล็ก อ๊อกเหล็ก ถามโน่นนี่นั่น มาตลอด”  นพรัตน์เล่าเรื่องวันวาน

 

ตีนตะขาบที่กำลังรอซ่อมเเซม ภายในโรงงาน

 

เปิดโอกาสสำคัญในชีวิตด้วยภาษา

นอกจากความสามารถเรื่องเหล็กแล้ว เธอยังให้ความสนใจในเรื่องภาษา โดยแรงบันดาลใจเริ่มจากเห็นคุณพ่อแปลและเขียนจดหมายด้วยภาษาจีนช่วยเหลือผู้อื่น ขณะที่ตัวเองอ่านไม่ออกและเขียนไม่ได้

นพรัตน์เล่าว่า ในอดีตคนจีนส่วนมากที่เข้ามาทำงานเมืองไทย มักทิ้งลูกเมียและญาติพี่น้องไว้ที่บ้านเกิด หากคิดถึงก็มักจะส่งจดหมายกลับไป ด้วยความที่คุณพ่อเป็นคนเขียนหนังสือเก่ง เลยรับหน้าที่ช่วยเหลือ นั่งรับฟังและถ่ายทอดความรู้สึกต่างๆ ผ่านน้ำหมึกส่งต่อความในใจแทนพวกเขา

“เขาไม่รู้ภาษา เขียนไม่ได้ มายืนต่อแถวเรียงคิวกันยาวที่หน้าบ้าน ให้พ่อเราเขียนจดหมายให้ ไอ้เรายืนตรงนั้นแท้ๆ แต่ทำไรไม่ได้ ทั้งๆ ที่อยากช่วยเหลือคนอื่นได้เหมือนพ่อ”

คุณพ่อนพรัตน์สอนเสมอว่า มนุษย์เกิดมาต้องเป็นที่พึ่งให้คนอื่น มีโอกาสและความสามารถอย่านิ่งนอนใจ ตรงกันข้าม อย่าไปหวังพึ่งใครให้คนเขาหยาม อย่ารบกวนหรือรบกวนให้น้อยที่สุด และต้องรู้จักบุญคุณคน ที่สำคัญเกิดเป็นหญิงอยู่กับพ่อเพียงเวลาไม่นานก็ต้องแต่งงาน สิ่งที่พ่อมอบให้ได้มากที่สุดคือ “การศึกษา” ลูกสาวต้องฝึกตัวเองให้มีความสามารถเพื่ออาชีพที่ดีในอนาคต

“พ่อมีลูกทั้งหมด 12 คน ลูกชาย 5 คน ผู้หญิง 7 คน พ่อบอกว่า ผู้ชายจะได้รับสมบัติ พวกเธอไม่ได้รับหรอก อย่าหวังอะไรจากพ่อแม่ ต้องช่วยเหลือตัวเอง เกิดเป็นลูกสาว เมื่อถึงเวลาไปอยู่บ้านคนอื่น อย่าให้ใครเขาดูถูก อย่าไปพึ่งพาเขา หัดฝึกฝนและทำให้ตัวเองมีคุณค่า”

ความสามารถของนพรัตน์เกิดจากการปลูกฝังของคุณพ่อ เริ่มเข้าเรียนในระดับประถมศึกษาที่โรงเรียนพระหฤทัยคอนแวนต์ ร่ำเรียนภาษาอังกฤษและหัดงานฝีมือต่างๆ นานา ทั้งเย็บปักถักร้อย ทำกับข้าว หลังเรียนจบด้วยความที่คุณพ่อเห็นว่าเป็นคนพูดเก่ง ชอบคบค้าสมาคม จึงแนะนำให้เรียนต่อด้านภาษา

“เก่งคณิตศาสตร์ อยากจะสอบสายวิทย์ แต่พ่อบอกอย่าเลย ไปเรียนภาษาเถอะ ต่อไปอนาคตต้องก้าวไปไกล วิทยาศาสตร์ไม่เหมาะกับเธอ คนชอบพูดจา คบค้าสมาคม เรียนภาษาไว้เยอะๆ ดีกว่า”

สาวน้อยเลือดจีน เรียนต่อในระดับชั้นมัธยมปลายที่โรงเรียนอัสสัมชัญคอนแวนต์ เอกภาษาฝรั่งเศส และระดับอุดมศึกษาจากวิทยาลัยวิชาการศึกษา วิทยาเขตปทุมวัน สวนกระแสนิยมในยุคนั้นที่เด็กเรียนดีมักเลือกเรียนจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

“มาเซอร์ว่า นพรัตน์ใฝ่ต่ำ แต่เราไม่สน เพราะที่นี่เป็นสถาบันที่มีการสอนวิชาฝรั่งเศสที่ดีที่สุด ทื่อื่นไม่มีจะเลือกไปทำไม”

 

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา พล.อ.ประวิทย์ วงษ์สุวรรณ เเละ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ล้วนเเล้วเเต่เคยเยือนมาโรงงาน

 

ชีวิตนักศึกษาของนพรัตน์มีความสุขมาก ร่วมกิจกรรมมากมาย ทั้งค่ายอาสาพัฒนาชนบทและชายแดน เดินขบวนทำกิจกรรมกับเพื่อนต่อต้านประเด็นสังคม การเมือง และเศรษฐกิจ ด้วยความสามารถด้านภาษา ช่วงสงครามเวียดนาม ได้โอกาสจากสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (United Nations High Commissioner for Refugee: UNHCR) ให้เป็นล่ามภาษาฝรั่งเศสและครูสอนภาษาไทยในค่ายผู้อพยพ ณ ค่ายคลองลึก อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แลกกับค่าแรงวันละ 20 เหรียญ จนกระทั่งถูกโรคระบาดในค่ายเล่นงาน ทำให้คุณพ่อต้องเรียกกลับบ้าน

“ติดไข้มาเลเรีย ปิดเทอมปี 4 พ่อพาไปโรงพยาบาล บอกว่า ไปช่วยเขามันก็ดี แต่ต้องดูแลตัวเองด้วย ชีวิตรอดเป็นสิ่งสำคัญ ที่นั่นไม่เหมาะกับเธอแล้ว”

ประสบการณ์และช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ในค่ายอพยพของเธอหยุดลง นพรัตน์กลับมาเรียนหนังสือ โดยระหว่างนั้นยังขยันแบ่งเวลามาสอนภาษาไทยฟรีให้กับชาวจีนที่วัดสามปลื้มและวัดไตรมิตรอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งเรียนจบปริญญาตรี และสอบบรรจุเป็นคุณครูของโรงเรียนยานนาเวศได้ราว 5 เดือน ก่อนจะตันสินใจย้ายกลับไปเป็นครูที่โรงเรียนเก่าของตัวเองอย่างอัสสัมชัญคอนแวนต์ โดยสอนวิชาภูมิศาสตร์

“ชีวิตมีความสุขมาก แฮปปี้เหลือเกิน สอนเด็กๆ พอเลิกเรียนก็ไปสอนศึกษาผู้ใหญ่ที่วัด ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเลย”

แต่แล้วความสุขของคุณครูสาวก็ต้องสะดุดลง เมื่อคุณพ่อเกรงว่าเธอจะเลือกเส้นทางหลบหนีเข้าป่าตามรอยกลุ่มเพื่อนๆ ที่ทำกิจกรรมค่ายอาสาและเดินขบวนทางการเมืองมาด้วยกัน จึงตัดสินใจจับให้เธอแต่งงานในที่สุด

“เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวก็ได้ชวนกันไป พ่อเขากลัว เราบอกไม่ไปหรอก ไม่มีทาง เรารักพ่อแม่พี่น้องมาก ทิ้งไปไม่ได้หรอก แต่พ่อไม่เชื่อใจและจับเราแต่งงาน”

 

บรรดารถของกองทัพไทย ที่รอการซ่อมเเซม

 

 

พ่อบอกให้ออกจับปลาในทะเลหลวง

นพรัตน์ในวัย 26 ปี แต่งกับงาน “หิรัญ กุลหิรัญ” หนุ่มเจ้าของกิจการซ่อมรถและดัดแปลงเครื่องยนต์

ชีวิตแต่งงานเริ่มต้นด้วยความทุกข์ ต้องย้ายเข้าไปอยู่บ้านสามี แม่สามีเข้มงวดมากจนเธอไม่มีความสุข แตกต่างจากชีวิตอันแสนอิสระก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง ที่สำคัญยังออกคำสั่งให้เธอลาออกจากการเป็นครูด้วย

“ท่านดุมาก กลับบ้านก็ต้องขออนุญาต ไปไม่บอกกลับมาถูกตี วันหนึ่งท่านบอกว่า เลิกเป็นครูซะเถอะ หากินได้แค่ตัวเอง ครอบครัวเราใหญ่ มาบ้านนี้ต้องหาเงินเยอะๆ”

นพรัตน์เดินทางกลับบ้านมาปรึกษาคุณพ่อ ถามถึงหนทางแห่งความร่ำรวย มั่งคั่ง และยั่งยืน คำแนะนำที่เธอได้รับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจพันล้าน

“พ่อบอกว่า ถ้าเธอมัวแต่จับปลาในแม่น้ำเจ้าพระยา ปลามันมีจำกัด ต้องแย่งกัน นับวันก็มีแต่น้อยลง ถ้าเธออยากให้ยั่งยืน จับได้เยอะๆ ต้องต่อเรือไปจับปลาในทะเลหลวง เธอจะจับปลาได้ไม่รู้สิ้น”

นพรัตน์เข้าใจในสิ่งที่พ่อบอกทันทีและกลับมาพูดคุยกับสามีที่ระหว่างนั้นเริ่มติดต่อค้าขายกับกองทัพแล้ว โดยเป็นลักษณะเอเย่นต์จัดหาอุปกรณ์เครื่องยนต์ รวมถึงซ่อมบำรุงช่วงล่างให้กับรถบรรทุก

“ชีวิตเรากำลังจะเปลี่ยนไป จะเป็นแค่คนรับซ่อมรถยนต์หรือนายหน้าไม่ได้อีกแล้ว”

บทเรียนจากคุณพ่อมาประจวบเหมาะกับช่วงเวลาที่สงครามเวียดนามสิ้นสุดลง กองทัพอเมริกันถอนฐานทัพและทิ้งอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากไว้ในประเทศเวียดนาม เขมร และลาว

สามีของนพรัตน์จึงติดต่อกองทัพสหรัฐฯ เพื่อขอซื้อสิ่งของเหล่านั้นกลับประเทศไทย ส่งผลให้โรงงานชัยเสรีมีอะไหล่จำนวนมากเพียงพอต่อความต้องการของกองทัพไทย พร้อมกันนั้นเธอยังตระเวนหาข้อมูล ซื้อหาเครื่องจักรตามโรงงานที่ยกเลิกกิจการอีกหลายแห่งเพื่อเฟ้นหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมกลับมา

วันหนึ่งด้วยความเป็นคนช่างพูด ช่างเจรจาและเก่งภาษาอังกฤษมาก นพรัตน์เอ่ยถามทหารสหรัฐฯ ที่เข้ามาเมืองไทยว่า ตีนตะขาบรถถังซื้อหาจากที่ไหน จนรับทราบที่อยู่และติดต่อขอซื้อเพื่อเสนอขายให้กับกองทัพ

ไฮไลท์สำคัญเกิดขึ้นระหว่างไปตรวจรับสินค้าที่สหรัฐฯ นพรัตน์ใช้ความจริงใจและไหวพริบในการพูดคุยจนสามารถเข้าไปภายในโรงงานผลิตได้สำเร็จ ทั้งที่เป็นเขตหวงห้ามและเต็มไปด้วยระบบรักษาความปลอดภัยขั้นสูง

“โรงงานนี้ เราซื้องวดแรก งวดเดียวและไม่เคยซื้ออีกเลย” นพรันต์ยิ้มให้กับประสบการณ์สุดพิเศษของตัวเอง

“เราคุยกับเขา มีคำถามอยู่นั่นแหละ ไม่เข้าใจ ไม่เข้าใจ จนสุดท้ายเขาเห็นไอ้มาดามนี่ดูท่าทางไม่มีพิษสง เลยพาเข้าไปข้างใน โอ้โห….เห็นหลายอย่างเลย เขาซ่อมข้อต่อสายพาน ล้อสายพาน เอาของเก่ามาทำใหม่ได้อีก 3 รอบ เราเริ่มสนใจแล้ว ทำยังไง บ้านเราประเทศไทยกองเป็นภูเขา ไม่เคยทำใหม่เลย ซื้ออย่างเดียว”

คู่ค้าชาวอเมริกันเปิดเผยวิธีการผลิตและดำเนินการต่างๆ ให้มาดามฟัง โดยไม่คิดว่าผู้หญิงคนนี้จะจดจำทุกอย่างจนสามารถนำแนวคิดกลับมาก่อสร้างที่เมืองไทยได้

“ถามไอ้นี่ทำยังไง เหล็กยางมันติดแบบนี้เอาออกยังไง เขาก็บอกวิธี เอาออกด้วยไฮโดรเจนและความร้อนเผา เราก็ถามไฮโดรเจนหน้าตาเป็นไง เขาก็พาไปดู แล้วไอ้ที่ผุๆ ชำรุดนั่นล่ะทำยังไง เขาบอกใช้พ่นพอก แล้วเอามาเจีย”

ปัญหาสำคัญคือ ภายในโรงงานเต็มไปด้วยกล้องวงจรปิด มาดามไม่สามารถจดจำวิธีการและขั้นตอนต่างๆ ได้ด้วยเพียงแค่สมอง แต่เธอไหวพริบดี เลือกที่ขอตัวเข้าห้องน้ำอยู่เป็นระยะเพื่อไปจดความรู้ต่างๆ ลงในแผ่นกระดาษ ก่อนนำกลับมาบอกสามีและร่วมกันก่อสร้างโรงงานที่เมืองไทยตามแบบฉบับของอเมริกา

พนักงานของชัยเสรี กำลังซ่อมเเซมเครื่องยนต์ภายในโรงงาน

 

 

เรื่องขำขันอย่างหนึ่งก็คือ ระหว่างธุรกิจของชัยเสรีกำลังไปได้สวย วันหนึ่งหนุ่มฝรั่งเจ้าของโรงงานมาเยี่ยมเมืองไทยและขอเข้าชมโรงงาน

“ตายแล้วทำยังไง จะบอกเขายังไงดี เขาบอกมาดามฉันรู้สึกว่า เหมือนเดินอยู่ในโรงงานของตัวเองเลย นี่คุณทำได้ไง ต่อยังไงเหมือนกันเปี๊ยบเลย ไอ้เรากลัวเขาโกรธถ้าบอกว่าก๊อปปี้ เลยบอกไปว่าไม่ต้องตกใจ ฉันได้รับไอเดียมาจากท่าน”

ลูกค้าฝรั่งรายนี้ประทับใจนพรัตน์มาก ถึงขนาดบอกว่า หากพลาดงานประมูลครั้งต่อไปจะเลิกกิจการและขายเครื่องจักรทั้งหมดให้กับมาดาม

“เขาโทรมาบอกว่าจะขาย เราบอกขอโทษ ชอบมากแต่ไม่มีเงิน มีแค่ 1 มิลเลียน ตอนนั้นประมาณ 25 ล้านบาท เอางี้แล้วกัน ฉันโอนให้ไปก่อน ยูจะให้เครื่องจักรตัวไหนบ้างก็คิดเอา ซึ่งเขาโอเค”

นพรัตน์นำคนงานไป 15 คน พร้อมกับตู้คอนเทนเนอร์ 2 ตู้ หวังไปเรียนรู้การใช้งาน 7 วัน ก่อนขนย้ายเครื่องจักรกลับมา อย่างไรก็ตามไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เธอได้รับเครื่องจักรทั้งหมด 45 ตู้ และกินนอนอยู่ในโรงงานถึง 45 วัน

“โอ้โห เรางงเลย เขาให้มาหมดทุกอย่าง แบบพิมพ์ เครื่องอัดยาง เครื่องขึ้นรูปผลิตตีนตะขาบ แถมเขาแซวว่า มาดามมานี่ ทำคนงานเขาระส่ำระสายหมดเลย เล่นทำกับข้าว 3 มื้อ กลิ่นอาหารฟุ้งไปทั่ว คนนั่งรอกินข้าวของมาดามกันถ้วนหน้าเลย”

การได้รับเครื่องจักรจำนวนมากกลับทำให้มาดามรู้สึกเป็นทุกข์ รู้สึกว่าตัวเองเป็นนักฉวยโอกาส เอาเปรียบมิตรสหายเกินไป แถมยังถูกสามีดุที่ทำอะไรเกินตัว โลภมาก ไม่รู้จักประเมินกำลังและความสามารถของบริษัท

“กินไม่ได้นอนไม่กลับ รู้สึกเป็นทุกข์ นี่เราฉวยโอกาสหรอ เศษเหล็กเมืองไทยกิโลละ 10 บาท แต่ที่เราเอามาตกกิโลกรัมละบาท สุดท้ายเก็บเงินส่งไปให้เขาอีก 1 แสนเหรียญ ประมาณ 2.5 ล้านบาท ซึ่งตามกฎหมายเขารับไม่ได้ เพราะไม่มีที่มาของเงิน เลยส่งช่างเทคนิคมาช่วยเราจัดการโรงงานอีก 6 เดือนเป็นค่าตอบแทน”

ประสิทธิภาพและกำลังการผลิตของโรงงานชัยเสรี ทะยานเติบโตด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย จากเดิมครึ่งชั่วโมงสามารถหล่อยางประกอบตีนตะขาบได้เพียงแค่ก้อนเดียว กลายเป็น 130 ก้อน ขณะที่ออเดอร์ของกองทัพไทยขณะนั้นมีเพียงแค่ปีละ 2,000 ก้อนเท่านั้น เท่ากับว่าเพียงแค่ 2 วันก็สามารถผลิตได้ตามเป้าหมายแล้ว นพรัตน์จึงรับผิดชอบโอกาสที่เธอไขว่คว้ามาด้วยการตระเวนหาคู่ค้าในต่างประเทศ

“อีก 363 วันทำยังไง ไม่มีงานทำแล้ว บ้านสามีบอกว่า มาดามต้องรับผิดชอบ ขนมาทำไมเยอะแยะ”

 

ตัวอย่างตีนตะขาบรถถังเเละ ยาง Run Flat

 

 

ความจริงใจคือกลยุทธ์แห่งความสำเร็จ

ในยุค พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เป็นผู้บัญชาการทหารบก มีการนำถังจากประเทศจีนเข้ามาประจำการ สายพานของรถได้สร้างความเสียหายให้กับพื้นผิวถนน เครื่องยนต์เสียงดัง และส่งผลต่อการแกะรอยของฆ่าศึก ทำชัยเสรีได้รับโอกาสทำการติดตั้งสายพานยางให้กับรถถังเป็นครั้งแรก ซึ่งทุกอย่างประสบความสำเร็จได้ด้วยดี ขณะที่ตลาดต่างประเทศ นพรัตน์ต่อยอดจากการติดตั้งสายพานยางให้กับรถถังจีนที่ประจำการอยู่ประเทศปากีสถาน และบังคลาเทศ

“เราไปคุยกับเขาถึงสถานทูตเลย ตอนแรกเขาปฏิเสธ ฉันเลยถามว่า วันชาติท่านวันไหน มีเดินพาเหรดใช่ไหม 23 มีนาคม หรอ…โอเค ชัยเสรีขอเสนอทำข้อต่อสายพานยางให้ท่านฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น แต่หากท่านประทับใจ สามารถจ่ายได้ในราคา 50 เปอร์เซนต์ ซึ่งสุดท้ายรัฐบาลเขาชอบและตัดสินใจยอมจ่าย แถมยังซื้อเพิ่มในราคาเต็มอีก 300 ชุด”

ไม่นานหลังจากนั้นการค้าครั้งสำคัญของชัยเสรีก็เกิดขึ้น เมื่อได้ติดต่อกับมหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกา เจรจาทางธุรกิจลงตัวจนสามารถเซ็นสัญญา ผลิตชิ้นส่วนยางติดเหล็ก ข้อต่อสายพาน ล้อกดสายพาน เพื่อติดตั้งให้กับรถถังเขาทั้งหมด จนได้ชื่อว่าเป็น OEM (original Equipment Material) พูดง่ายๆ ว่า เป็นชิ้นส่วนของแท้ติดรถถังสหรัฐฯ

กิจการชัยเสรีเติบโตรุ่งเรือง มีโอกาสสะสมอะไหล่จากค่ายทหารในหลากหลายประเทศที่ปลดประจำการกลับมาเมืองไทย และมีความสามารถในการซ่อมคืนสภาพ (Refurbish) หรือการผลิตใหม่ (Remanufacturing) ให้กับรถเกราะและรถบรรทุกแทบทุกแบบในกองทัพไทย

ขณะเดียวกันบริษัทยังนำเครื่องจักรและอุปกรณ์ไปจัดแสดงตามงานแสดงงานอาวุธนานาชาติเป็นประจำทุกปี ไม่ว่าจะเป็นงาน Eurosatory  นิทรรศการเกี่ยวกับเครื่องมือด้านความมั่นคงที่ใหญ่ที่สุดในโลก งาน IDEX: International Defense Exhibition & Conference ทำให้ชัยเสรีนั้นมีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักอย่างมากในต่างประเทศ โดยปัจจุบันบริษัทผลิตชิ้นส่วนยางติดเหล็ก ข้อต่อสายพาน ล้อกดสายพาน ให้กองทัพไทยและกองทัพในต่างประเทศรวม 41 ประเทศทั่วโลก อาทิ รัสเซีย ฝรั่งเศส เยอรมัน ชิลี บราซิล เป็นต้น

 

รถหุ้มเกราะ First Win ผลผลิตของชัยเสรี

 

รถหุ้มเกราะเฟิร์สวิน ความภูมิใจคนไทย

หนึ่งในความภาคภูมิใจของชัยเสรีก็คือ การผลิต รถหุ้มเกราะ First Win ซึ่งพัฒนามากกว่า 10 ปี โดยหลังจากผ่านประสบการณ์ซ่อมรถกองทัพมาอย่างยาวนาน นพรัตน์รู้สึกว่า รถที่นำเข้ามาจากต่างประเทศไม่เหมาะสมกับสภาพภูมิประเทศและการทำงานในเมืองไทย จึงเป็นที่มาของการสร้างสรรค์และออกแบบ First Win ขึ้น โดยวัสดุทุกอย่างถูกผลิตในเมืองไทย เว้นเพียงแค่เครื่องยนต์ที่นำเข้าจากสหรัฐฯ เท่านั้น ด้วยผลงานการออกแบบและพัฒนาของคนไทย 100% จึงทำให้ตัวรถมีราคาถูกกว่ารถที่นำเข้าจากต่างประเทศถึง 40%

“กันกระสุดรอบตัว ทั้งด้านบน หม้อน้ำ ถังน้ำมัน ช่วงล่างที่เป็นเหล็กหนา ไม่มี Chasis แต่ใช้การหล่อตัวถังทั้งหมดขึ้นเป็นชิ้นเดียว เวลาโดนระเบิด แรงระเบิดจะกระจายไปรอบๆ อีกอย่างที่เราเรียนรู้มาก็คือ ล้อสำรองที่ติดอยู่ด้านหลัง ไม่มีประโยชน์ ทุกครั้งที่เกิดการปะทะยางแบน ไม่มีเคยมีการลงจากรถไปเปลี่ยนล้อ  รถเราจึงออกแบบ ยาง Run Flat  ให้มียางเพียงชิ้นเดียว หากถูกยิงปะทะ รถยังสามารถวิ่งต่อไปได้อีก 150 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะทางที่ศึกษาและคำนวณมาแล้วว่า เพียงพอต่อการหลบหนีกลับฐาน”

 

 

ปัจจุบัน First Win มีประจำการอยู่ในกองทัพไทย กรมสอบสวนคดีพิเศษ หน่วยปราบปรามยาเสพติด และหน่วยงานกรมราชทัณฑ์ ขณะที่ในต่างประเทศ First Win กลายเป็นรถที่กองทัพมาเลเซียให้ความเชื่อมั่น โดยสั่งซื้อถึง 200 คัน โดยส่งออกในราคากว่า 20 ล้านบาทตามแต่ออฟชั่นที่ติดตั้ง

“เป็นความภาคภูมิใจของเราที่กองทัพมาเลเซียเลือก First Win เราเอาชนะการแข่งขันและทดสอบจากหลากหลายประเทศที่เข้าร่วมประมูล ทั้ง อินเดีย ออสเตรเลีย แอฟริกา นี่คือสิ่งที่เราภาคภูมิใจ”

นพรัตน์ที่มีทายาทเป็นลูกชาย 2 คนคือ กานต์ กุลหิรัญ ที่สำเร็จการศึกษาวิศวกรรมไฟฟ้า ปริญญาโท จาก University of California Riverside และ กฤต กุลหิรัญ สำเร็จการศึกษาปริญญาโท บริหารธุรกิจ จากสหรัฐฯ บอกว่า บริษัทยังคงต้องการพัฒนาคุณภาพการผลิตต่างๆ อย่างต่อเนื่อง รวมถึงหวังว่าประเทศไทยจะให้ความสำคัญ และสนับสนุนการพัฒนา ผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เองมากขึ้น

อดีตอาหมวยเซียงกง ทิ้งท้ายว่า จุดชี้ขาดในการทำธุรกิจและความเป็นมนุษย์ คือ ความจริงใจ ใส่ใจกับสิ่งรอบข้างโดยไม่มุ่งหวังแค่เพียงผลประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ที่สำคัญยังต้องเอาจริงเอาจัง ฝึกฝนตัวเองสู่ความสำเร็จ ไม่หลงตัวเอง และมีความรับผิดชอบกับสิ่งที่ทำ ไม่ใช่เพียงแค่พูดไปเรื่อย

“ชีวิตคนเราไม่ได้ทุกข์หรือสุขตลอด สุขๆ ดิบๆ มีทั้งกลางวัน กลางคืน เมื่อไหร่ก็ตามที่เจอทุกข์ ให้คิดเสียว่าอีกสักครู่ฟ้าก็สว่างแล้ว เช่นกันเมื่อไหร่ที่มีความสุข ให้คิดเสมอว่าประเดี๋ยวฟ้าก็มืดแล้ว ทำอะไรอย่าประมาท และไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จขนาดไหน จุดสำคัญที่ไม่ควรละเลยคือ ครอบครัว ยึดมั่นใจหน้าที่และความรับผิดชอบ เราเกิดมาเป็นลูก ภรรยา และแม่ รับผิดชอบแต่ละบทบาทให้ดีที่สุด”

ทั้งหมดนี้คือเรื่องราวกว่า 60 ปีของอาหมวยเยาวราช มาดามรถถัง ผู้สั่งสมประสบการณ์ เป็นนักเรียนรู้ ทำทุกอย่างด้วยความจริงใจจนมองเห็นโอกาสสู่ความสำเร็จในที่สุด

 

นพรัตน์เเละครอบครัว

 

ข้อต่อสายพานจากการผลิตของชัยเสรี

 

อายุไม่สำคัญเท่า “หัวใจ” ประเสริฐ ไพศาล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 มิถุนายน 2560 เวลา 15:39 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/498595

อายุไม่สำคัญเท่า "หัวใจ" ประเสริฐ ไพศาล

ไม่มีคำว่า “สายเกินไป” สำหรับการเรียนรู้และเริ่มต้นใหม่ฉันใด

โดย…เปรมวดี

ย่อมไม่มีคำว่า “แก่เกินไป” สำหรับการลุกขึ้นมาเล่นกีฬาอย่างจริงจังฉันนั้น

ประเสริฐ ไพศาล นักวิ่งมาราธอนที่ทำเวลาดีที่สุดของคนไทยในการแข่งขันลากูนา ภูเก็ต มาราธอน 2017 ด้วยสถิติ 3.22.11 ชม. เป็นหนึ่งเสียงยืนยันได้ด้วยประสบการณ์ของตัวเอง หลังเพิ่งเข้าสู่วงการวิ่งตอนอายุ 35 ปี แถมยังมีโรคประจำตัวด้วย แต่ใช้เวลาเพียงปีเดียว ก็เริ่มกวาดรางวัลมาประดับตู้โชว์ในบ้านมากมาย

“ตอนนั้น ผมได้รับบาดเจ็บขาหักจากการเล่นฟุตบอล และต้องพักรักษาตัวอยู่ระยะหนึ่ง ด้วยอายุที่มากขึ้นเลยไม่อยากเสี่ยงบาดเจ็บหนักอีก จึงหยุดเล่น ซึ่งมีความรู้สึกท้อแท้เหมือนกัน เพราะเป็นคนชอบเล่นกีฬา แต่ทำได้แค่มองเพื่อนๆ ประจวบเหมาะกับช่วงนั้นมีการจัดแข่งขันวิ่งมินิฮาล์ฟมาราธอนของสาธารณสุข จ.สตูล จึงลองตัดสินใจไปวิ่งตามคำชวนของลูกชาย ในระยะฟันรัน (5 กม.) และจบด้วยการเข้าเส้นชัยเป็นอันดับ 5” เจ้าตัวย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นให้ฟัง

หลังจากนั้น ประเสริฐ ก็หันมาเอาดีด้านการวิ่งอย่างจริงจัง โดยมีแรงบันดาลใจจากการได้ชมคลิปนักกีฬาวิ่งคนพิการในต่างประเทศทางยูทูบ ที่แม้สภาพร่างกายจะไม่สมบูรณ์ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อความต้องการก้าวไปสู่ความเป็นเลิศทางด้านกีฬาแต่อย่างใด อย่างเช่น อีทาน เฮอร์มอน แชมป์มาราธอนกีฬาพาราลิมปิก และเจ้าของสถิติโลกชาวอิสราเอล ที่ร่วมลงแข่งฮาล์ฟมาราธอน ที่ จ.ภูเก็ต ครั้งนี้ด้วย

ที่สำคัญ กีฬาวิ่งสามารถฝึกฝนได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องมีโค้ช ขอเพียงมีหัวใจที่มุ่งมั่น และเอาชนะตัวเองให้ได้ เพราะนอกจากจุดเปลี่ยนเรื่องขาหักแล้ว เขายังมีปัญหาโรคหอบหืดรุมเร้าอีกด้วย

“ช่วงแรกๆ ทรมานมาก เวลามีอาการทั้งไอ และเจ็บหน้าอกมาก แต่ก็พยายามบอกกับตัวเองให้สู้ ไม่ยอมแพ้ พอเราฝึกซ้อมบ่อยๆ จนกลายเป็นความเคยชิน เหมือนกับการกินข้าวทุกวัน อาการเหล่านั้นก็หายไปเองแบบไม่รู้ตัว”

ถึงตอนนี้ก็กว่า 10 ปีมาแล้วที่ ประเสริฐ ไม่มีอาการของโรคหอบหืดกลับมากวนใจอีกเลย ตรงกันข้าม กลับเดินสายกวาดถ้วยรางวัลจากการวิ่งมาราธอนเกือบ 30 รายการ ทั้งในและต่างประเทศ ตลอดช่วง 14 ปีที่ผ่านมา โดยหนึ่งปีให้หลังจากหันมาวิ่งจริงจัง ยอดนักวิ่งวัย 50 ปี ประเดิมรางวัลแรก ด้วยการคว้าอันดับ 2 ของรุ่นอายุในการแข่งขันวิ่งมาราธอนนานาชาติ ที่ จ.สงขลา เมื่อปี 2549 และถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างที่สุดในชีวิตที่ครั้งหนึ่งเคยมีโอกาสได้รับพระราชทานถ้วยรางวัลจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ในรายการ เดิน-วิ่ง เขาชะโงก ซูเปอร์มาราธอน เมื่อปี 2550

ขณะที่เดือน มี.ค.ที่ผ่านมา เขาเพิ่งจะคว้าแชมป์ รุ่นอายุ 45 ปีขึ้นไป ในการแข่งขันมาราธอนนานาชาติ ที่ประเทศบรูไน แต่ครั้งที่ประทับใจมากที่สุดสำหรับการออกไปแข่งนอกบ้าน ต้องยกให้รายการที่เกาหลีใต้ เมื่อปีที่แล้ว

“ตอนนั้น ผมเข้าอันดับ 13 ประเภทโอเวอร์ออล แต่อายุมากกว่าพวกเขา และเป็นคนไทยคนแรกที่ไปวิ่งรายการนี้ พร้อมกับแจ้งเจ้าหน้าที่จัดการแข่งขันว่าพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จสวรรคตแล้ว ขอนำพระบรมฉายาลักษณ์ขึ้นกราบบนเวทีเพื่อน้อมรำลึกถึงพระองค์ เขาก็จัดให้ด้วยความยินดี”

นอกจากสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้น และความสำเร็จในสนามแข่งขันแล้ว ประเสริฐ ในวัย 50 ปี ซึ่งปัจจุบันเป็นนายช่างโยธา 5 ของการประปาส่วนภูมิภาค สาขาละงู จ.สตูล ยังภูมิใจที่มีส่วนสร้างแรงบันดาลใจและคอยให้คำแนะนำกับคนในท้องถิ่นให้หันมาออกกำลังกายกันมากขึ้น จนเป็นที่มาของคำเรียกขานติดปากว่า “อาจารย์เสริฐ”

“อายุเป็นเพียงตัวเลขเท่านั้น สำคัญที่เราต้องเอาชนะใจตัวเองให้ได้ ตอนผมไปแข่งที่สิงคโปร์ ได้เจอกับนักวิ่งชาวอินเดีย อายุ 100 กว่าปี ที่ลงแข่งมาราธอน 42 กม. ยิ่งทำให้ผมรู้สึกมีพลัง และเชื่อมั่นว่าถ้าเขาทำได้ เราก็ต้องทำได้ ขอเพียงมีความมุ่งมั่น และเปลี่ยนตัวเองให้ได้”

แม้ในรายการลากูนา ภูเก็ต มาราธอน ที่ผ่านมา จะไม่ได้ขึ้นรับรางวัลบนโพเดียม แต่ ประเสริฐ ก็ยังพอใจผลงาน เพราะก่อนหน้านั้น 1 สัปดาห์เพิ่งคว้าแชมป์ที่หาดใหญ่มา ทำให้ร่างกายยังคงมีอาการล้าอยู่บ้าง และยังคงตั้งเป้าจะวิ่งต่อไปจนกว่าจะวิ่งไม่ไหว โดยยังมีความฝันที่รอวันเป็นจริงอยู่

“ผมฝันว่าจะมีโอกาสได้ไปวิ่งในรายการลอนดอน มาราธอน และบอสตัน มาราธอน สักครั้งในชีวิต และผลักดันให้ลูกชาย (วิทวัศ ไพศาล) ซึ่งตอนนี้อายุ 22 ปี สานฝันต่อไปในเส้นทางนี้ ด้วยการส่งไปเก็บตัวฝึกซ้อมที่ประเทศเคนยา ช่วงเดือน ก.ค. เพราะพ่อมาได้แค่นี้ ก็หวังให้ลูกได้ไปไกลยิ่งกว่า”

เรื่องราวของประเสริฐ เป็นเครื่องตอกย้ำว่า คนเราสามารถพัฒนาตัวเองได้อยู่ตลอดเวลา ไม่สำคัญว่าเราจะเริ่มต้นจากศูนย์หรือสิบ หรือแค่การวิ่งเท่านั้น ขอเพียงเรามีเป้าหมาย และไม่ยอมแพ้กับอุปสรรคปัญหาที่ผ่านเข้ามา ไม่ช้าก็เร็วจะต้องไปถึงเส้นชัยที่รออยู่ข้างหน้าสักวัน

 

“ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา” ภารกิจชาติ…กอบกู้วิกฤตการศึกษาไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

11 มิถุนายน 2560 เวลา 07:33 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/498227

"ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา" ภารกิจชาติ...กอบกู้วิกฤตการศึกษาไทย

โดย…ชัยฤทธิ์ ยนเปี่ยม, ธเนศน์ นุ่นมัน

สิ่งที่ถูกคาดหวังจากทุกรัฐบาล คือ การได้เห็นการศึกษาของชาติเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะในยุครัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จและประกาศจะปฏิรูปประเทศในทุกด้าน

ทว่า 3 ปีของรัฐบาล คสช.กลับไม่มีความคืบหน้าในการแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างของระบบการศึกษาไทย จะมีก็เพียงในรัฐธรรมนูญฉบับปี 2560 ฉบับประชามติ ที่กำหนดในมาตรา 261 ว่า “ให้คณะรัฐมนตรี (ครม.) แต่งตั้งกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาให้แล้วเสร็จภายใน 60 วัน นับตั้งแต่วันประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดยมีหน้าที่จัดทำข้อเสนอแนะ ตลอดจนร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องในการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษาให้บรรลุเป้าหมาย”

30 พ.ค.ที่ผ่านมา รัฐบาล คสช.ได้มีมติแต่งตั้งกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา จำนวน 25 ราย มีวาระการทำงาน 2 ปี โดยให้ ศ.นพ.จรัส สุวรรณเวลา เป็นประธานกรรมการชุดดังกล่าว ซึ่งดูจะเป็นความหวังในการปฏิรูปการศึกษาที่กลายเป็นแรงเฉื่อยในทุกยุค

ก่อนมารับตำแหน่ง ศ.นพ.จรัส มีบทบาทด้านการศึกษาทั้งปัจจุบันและอดีตมากมาย เช่น เป็นนายกสภามหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ รองประธานมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการ ในอดีตเคยเป็นอธิการบดีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และนายกสภาจุฬาฯ รวม 10 ปี หรือจะเป็นสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ สมาชิกวุฒิสภา ที่ปรึกษาองค์การอนามัยโลก ที่ปรึกษายูเนสโก ฯลฯ

ในวัย 85 ปี ศ.นพ.จรัส ยังคงกระฉับกระเฉง ช่วงหนึ่งของการสนทนาได้ขอบคุณทีมงานโพสต์ทูเดย์ที่มาพูดคุยเรื่องปฏิรูปการศึกษา เพราะเห็นว่าสื่อต้องมีบทบาทช่วยได้มาก เราถามไปว่า มารับตำแหน่งนี้เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ใช่ไหม คำตอบกลับตรงกันข้าม หากแต่ นพ.ธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ รมว.ศึกษาธิการ เป็นผู้ทาบทามให้มาทำงานใหญ่ครั้งนี้

“คุณหมอธีระเกียรติ มาทาบทามผม ผมก็คิดอยู่นาน ท่านพูดสั้นๆ คำเดียวว่า ผมขอพึ่งบารมีของอาจารย์ ให้มาทำงานตรงนี้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า ผมจะเป็นคนมีบารมีอิทธิพลอะไรหรอก ท่านหมายถึงบารมีจากงานด้านการศึกษาที่ผมเคยทำมามากกว่า

…ถามว่ากังวลไหม ก็กังวล กลัวจะทำไม่ได้ กลัวว่าจะทำไม่สำเร็จมาเสียตอนแก่ แต่ผมยอมมารับตำแหน่งโดยไม่ได้คิดว่ามาทำเพื่อตัวเอง แต่ตระหนักว่า ภาระที่รับมา คือ อนาคตของชาติขึ้นอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับการศึกษา ถ้าเราไม่แก้เราจะแพ้ประเทศอื่นยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ แต่จะสำเร็จหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผมคนเดียว ยังมีส่วนสำคัญจากคณะกรรมการอิสระฯ ทั้ง 25 คน และคนอื่นๆ จากหลากหลายอาชีพที่เราไปเชิญมาพูดคุยกันในอนาคต”

ศ.นพ.จรัส กล่าวว่า ปัจจุบันการศึกษาไทยมีปัญหาหลายเรื่องที่ต้องแก้ ซึ่งคณะกรรมการไม่ได้มาทำงานตรงนี้เล่นๆ สังคมคาดหวังมาก และก็มีกรอบเวลาการทำงานชัดเจน คณะของเรามีอายุ 2 ปี บางเรื่องต้องทำให้เสร็จใน 1 ปี แต่ใน 2 ปีนี้ จะต้องทำภาระงานทั้ง 5 ด้าน คือ 1.วางแนวทางการศึกษาปฐมวัย 2.เสนอแนะกลไกระบบการผลิตคัดกรองและพัฒนาผู้ประกอบวิชาชีพครู 3.ปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดการเรียนการสอนทุกระดับ 4.ศึกษาแนวทางหลักเกณฑ์ของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และ 5.ร่างกฎหมายจัดตั้งกองทุน เป้าหมายของทั้ง 5 เรื่องนั้นนำไปสู่เรื่องที่เกี่ยวโยงกัน ส่วนจะเป็นเรื่องอะไรก็ต้องมาคิดกัน

ศ.นพ.จรัส ระบุว่า สิ่งที่กรรมการอิสระฯจะต้องทำ คือ นำปัญหาและข้อเสนอมาหารือกัน โดยจะแตกแขนง ครอบคลุมปัญหาการศึกษา
ทั้งระบบ แต่สิ่งที่ได้มานั้นอาจจะส่งต่อให้รัฐบาลใหม่จะนำไปใช้ ที่สำคัญข้อเสนอของคณะกรรมการต้องไม่เพ้อฝัน แต่ต้องปฏิบัติจริงให้ได้

“ก่อนหน้านี้ มีการทดลองวิธีการต่างๆ เพื่อแก้ปัญหาการศึกษาเป็นจำนวนมาก มีทั้งที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว แต่สิ่งที่เป็นปัญหาหนักที่สุด คือ เรื่องคุณภาพการศึกษา ซึ่งเราคงเน้นไปที่ผลสัมฤทธิ์ ถัดมาคือ เรื่องความเหลื่อมล้ำ ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายสูงสุดในการแก้ปัญหารอบนี้”

ศ.นพ.จรัส กล่าวว่า ปัญหาการศึกษาที่มีอยู่นั้น ไม่สามารถที่จะใช้คำตอบเดียวในการแก้ปัญหา ที่ผ่านมาเราบริหาร “ความเหมือนกัน” แต่ไม่ได้บริหารความหลากหลาย จากนี้ต้องมาคิดกันว่า จะจัดการเรื่องความหลากหลายได้อย่างไร ไม่ว่า ครู การเรียนการสอน เพราะการศึกษาไม่ได้จบแค่เพียงการศึกษาภาคบังคับ รัฐธรรมนูญเขียนเอาไว้ ว่าต้องยืดการศึกษาให้มีตลอดชีวิต จึงต้องมีการศึกษาที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม ตั้งแต่วัยอนุบาลจนถึงผู้สูงอายุ

“ปัญหาคือเราไม่มีข้อมูลว่าประชากรของเรามีการศึกษาเป็นอย่างไร มีหน่วยงานที่เก็บข้อมูลเรื่องนี้หลายหน่วยงาน แต่ข้อมูลที่มีนำมารวมกันไม่ได้ เพราะอยู่กันคนละฐาน เมื่อเอามารวมกัน ก็ซ้อนกันไปซ้อนกันมา เรียกได้ว่า ข้อมูลการศึกษาของคนคนหนึ่งอยู่ในฐานที่ไม่เหมือนกัน เช่น เรื่องของความสามารถศักยภาพการทำงานของแต่ละคน พบว่ามีไม่ตรงกัน เมื่อจะปรับการศึกษาให้ตอบโจทย์ ก็เลยไม่รู้ว่าจะปรับอย่างไร ถ้าจะปฏิรูปจริง เราต้องมีระบบข้อมูลเรื่องนี้”

อีกปัญหาที่มีมากในทัศนะของ ศ.นพ.จรัส คือ การวัดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา ที่ไม่มีระบบที่วัดศักยภาพที่แต่ละคนมี ทั้งศักยภาพในการหาความรู้ หรือศักยภาพสำคัญด้านอื่น ในการเลือกชีวิต ในการปรับตัวเอง นำมาซึ่งใครอยากเรียนอะไรก็ได้ แต่ระบบที่มี ต้องมีหน้าที่วัดศักยภาพ ไม่วัดแค่การท่องจำ เราต้องปล่อยเสรีในการให้โรงเรียนจัดการศึกษา แล้ววัดกันที่ศักยภาพของเด็ก การศึกษาต้องสร้างตรงนี้ให้ได้ เรื่องนี้กรรมการจะช่วยกันหากลไกมาช่วยดูแล

ศ.นพ.จรัส บอกว่า เรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งที่ต้องมาคิดกัน คือ ทุนที่เข้ามาจัดการความเหลื่อมล้ำ ร่างกฎหมายเพื่อจัดตั้งกองทุนที่จะใช้ในการช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ทางการศึกษา เช่น ผู้พิการ คนเร่ร่อน เพื่อพัฒนาคุณภาพ ซึ่งเรื่องนี้เขียนไว้ในรัฐธรรมนูญว่า จะนำเงินที่รัฐจัดสรรจากระบบภาษีมาใส่ในกองทุนนี้

“ผมรู้สึกว่า ข้อนี้ก็เหมือนกับกองทุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) แต่เป็น สสส.ด้านการศึกษา ต่อไปต้องดูว่าจะมีกฎหมายมารองรับการใช้เงินจากกองทุนนี้อย่างไร เน้นเรื่องประสิทธิภาพ และประสิทธิผลของทุน ต้องให้ครอบคลุมกับคนทุกกลุ่ม”

อย่างไรก็ตาม เครื่องมือแก้ปัญหาไม่ว่ากองทุนที่จะมีขึ้น หรือกฎหมายที่จะออกมา คงไม่พอ ทั้งหมด ต้องเปลี่ยนความคิดคนให้เห็นความสำคัญของความเหลื่อมล้ำ หรือความยุติธรรมในสังคมด้วย ซึ่งภาครัฐต้องสนใจเรื่องความเหลื่อมล้ำ โดยเน้นปรับโรงเรียนในต่างจังหวัดที่มีความจำเป็น รวมถึงวิธีการเรียนการสอน เครื่องมือเครื่องใช้ มันคงแก้ทั้งหมดไม่ได้ แต่มันต้องแก้ให้มันดีขึ้น

ปัญหาหนึ่ง คือ การวัดผลสัมฤทธิ์ ศ.นพ.จรัส วิพากษ์ว่า ที่ผ่านมาเราวัดผลโรงเรียนด้วยการ Input เช่น มีครู โรงเรียน หนังสือเท่านี้ แต่ไม่ได้วัดว่า นักเรียนจบมาแล้วมีความสามารถแค่ไหน วัดแค่เรื่องความจำตามการสอบโอเน็ต เมื่อครูต้องสอนตามโอเน็ต ก็ต้องไปเก็งข้อสอบ แล้วกวดวิชา ระบบมันทำให้เกิดอย่างนั้น ดังนั้น ต้องวัดผลสัมฤทธิ์ของเด็กให้ได้ เพราะผลตรงนี้มันถึงวัดคุณภาพการศึกษาได้

ประธานคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา ยกตัวอย่างประเทศที่ประสบความสำเร็จด้านการศึกษา เช่น ฟินแลนด์ เม็กซิโก คิวบา เกาหลีใต้ โดยเฉพาะที่บราซิลที่เปลี่ยนโรงเรียนให้กลายเป็นโรงเรียนของชุมชน มีกรรมการโรงเรียน ประกอบไปด้วย ครู ผู้ปกครอง และท้องถิ่น เข้ามาช่วยกันจัดการกันเองว่า ควรจะเรียนอย่างไร โดยรัฐให้เสรีภาพในการจัดการหมด ซึ่งรูปแบบนี้ไทยควรนำมาเป็นแบบอย่าง

“ภาคเอกชน กับภาครัฐ ท้องถิ่น เราต้องให้เกิดความหลากหลายมีส่วนร่วมกับการศึกษา การเรียน การสอน ไม่ใช่ดูแค่โครงสร้างว่า กระทรวงมีกี่กรม ดังนั้น ต่อไปแต่ละโรงเรียน ควรเอาผู้ปกครองเข้ามามีบทบาทในโรงเรียนนี่คือกลไกที่ต้องเกิดขึ้นในอนาคต

การแก้ปัญหาการศึกษาจะสำเร็จไหมจากนี้ เพราะไม่ว่าจะกี่รัฐบาลก็ไม่ให้ความสำคัญ? ศ.นพ. จรัส ตอบว่า

“ผมตอบแทนกรรมการทุกคนได้ว่า มีความมุ่งมั่นจะแก้ให้ได้ และถ้าเที่ยวนี้แก้ไม่ได้ ประเทศไปไม่ไหวแน่ๆ เพราะขณะนี้เราแพ้ประเทศอื่นมาเยอะ หลายประเทศแซงเรา มาเลเซียแซงแล้ว เวียดนามกำลังจะแซง ก็ไม่รู้เขมรจะแซงเราอีกหรือเปล่า ดังนั้น ถ้าเราไม่แก้ปัญหาการศึกษา เราแพ้แน่ ศักดิ์ศรีของประเทศก็ถูกใครแซงไปเยอะ ทั้งที่ประเทศไทยมีมา 700 ปี มีทุกอย่าง ประเทศตะวันตกก็เห็นว่า เรามีข้อดีมาก โดยเฉพาะจุดแข็งจากวัฒนธรรมไทย สถาบันพระมหากษัตริย์ ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงที่รัชกาลที่ 9 ทรงให้เป็นคำตอบทุกอย่างกับโลกในยุคที่ฟุ่มเฟือยในปัจจุบัน”

ศ.นพ.จรัส ฝากทิ้งท้ายว่า ไม่ใช่คณะกรรมการชุดนี้ที่ต้องขับเคลื่อนปฏิรูปการศึกษาฝ่ายเดียว แต่คนทั้งประเทศต้องช่วยกัน ตอนนี้มันเป็นวิกฤตจนชินชาแล้ว ดังนั้น ต้องปลุกทุกฝ่ายให้เห็นถึงความตระหนักที่ต้องแก้

 

“พลิกวิกฤตศรัทธาตำรวจ ต้องกระจายอำนาจสู่ประชาชน” ผศ.พ.ต.ท. ดร. กฤษณพงค์ พูตระกูล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

08 มิถุนายน 2560 เวลา 19:46 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/498097

"พลิกวิกฤตศรัทธาตำรวจ ต้องกระจายอำนาจสู่ประชาชน" ผศ.พ.ต.ท. ดร. กฤษณพงค์ พูตระกูล

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

“ปฏิรูปตำรวจ” กลายเป็นคำพูด ความตั้งใจ และความคาดหวังที่ทุกคนได้รับฟังมาอย่างต่อเนื่อง

แนวคิดต่างๆ ถูกนำเสนอผ่านสื่อ แต่ยังไม่มีเรื่องใดผ่านกระบวนการพิจารณาจากผู้มีอำนาจอย่างลึกซึ้ง จนนำไปสู่การปฏิบัติที่สามารถเปลี่ยนแปลงศรัทธาของประชาชนที่มีต่อตำรวจ ลดปัญหาอาชญากรรมและพัฒนากระบวนการยุติธรรมได้สำเร็จ

วันนี้ ผศ.พ.ต.ท.ดร กฤษณพงค์ พูตระกูล ประธานกรรมการสถาบันอาชญาวิทยาและการบริหารงานยุติธรรม วิทยาลัยรัฐกิจ มหาวิทยาลัยรังสิต, ที่ปรึกษาสำนักงานควบคุมยาเสพติดและปราบปรามอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (UNOCD) และอดีตอนุกรรมาธิการปฏิรูปกิจการตำรวจ สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) จะมาเปิดเผยหนทางสู่การปฏิรูปตำรวจ จากแนวคิดและความสำเร็จในหลากหลายประเทศทั่วโลก

“ถึงเวลาเปลี่ยนตำรวจให้เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชน และมีความเป็นมืออาชีพเเล้ว”  นายตำรวจหนุ่มหมายมั่น

กระจายอำนาจสู่ประชาชน

โดยทั่วไปแล้ว โครงสร้างการบริหารงานของตำรวจทั่วโลกมีอยู่ 3 ระบบ ได้แก่ ระบบรวมศูนย์อำนาจ กระจายอำนาจ และผสมผสาน สำหรับประเทศไทย องค์กรตำรวจมีการบริหารงานในลักษณะรวมศูนย์อำนาจ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. 2547 ที่กำหนดให้ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรี ผู้เป็นประธานคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) และประธานคณะกรรมการข้าราชการตำรวจ (ก.ตร.)

ผศ.พ.ต.ท.ดร กฤษณพงค์ เสนอว่า ถึงเวลาที่ต้องกระจายอำนาจการบริหารจากส่วนกลางสู่ระดับภูมิภาคหรือในระดับพื้นที่ เพื่อสร้างความใกล้ชิดระหว่างตำรวจและประชาชนมากขึ้น โดยอาจจัดตั้งคณะกรรมการตำรวจระดับภาคหรือระดับท้องถิ่น ซึ่งประกอบไปด้วยคณะกรรมการจากภาคประชาชน โมเดลดังกล่าวทำให้ประชาชนและตำรวจรับรู้ข้อจำกัดของกันและกัน จนนำไปสู่การแก้ปัญหาอาชญากรรมและเพิ่มความศรัทธาต่อเจ้าหน้าที่

“คณะกรรมการภาคประชาชน ถูกคัดเลือกมาจากหลายๆ ภาคส่วน ทั้งส่วนราชการอย่างผู้ว่าราชการจังหวัด ตัวแทนจากผู้พิพากษา ตัวแทนอัยการ นักสิทธิมนุษยชน ภาคประชาชนซึ่งมาจากหลากหลายสาขาอาชีพ เช่น พ่อค้า นักธุรกิจ เกษตรกร นักวิชาการ คณะกรรมการภาคประชาชน จะทำงานควบคู่กันไปกับตำรวจกองบัญชาการภาค ร่วมกันปรึกษาหารือ หาทางออกของปัญหา ตลอดจนทำหน้าที่ตรวจสอบประสิทธิภาพการทำงานของตำรวจในพื้นที่ด้วย”

การกระจายอำนาจเพื่อให้ตำรวจใกล้ชิดประชาชน จำเป็นต้องมาพร้อมกับระบบการคานอำนาจระหว่างจังหวัด ภูมิภาค และท้องถิ่น

“ไม่ต้องกลัวว่าการกระจายอำนาจจะทำให้เกิดแทรกแซงจากผู้มีอิทธิพล เพราะสามารถวางกลไก ระบบตรวจสอบถ่วงดุลที่เข้มแข็งได้ คณะกรรมการระดับจังหวัด ภูมิภาค ส่วนกลาง และท้องถิ่น เต็มไปด้วยคนจากหลากหลายภาคส่วน สามารถออกแบบได้ โอกาสล็อบบี้นั้นยากมาก”

ยกระดับตำรวจ ทุกคนต้องมีส่วนร่วม

เมื่อกระจายอำนาจไปสู่ภาคประชาชนแล้ว สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาก็คือการมีส่วนร่วมของประชาชน  โดยประเทศพัฒนาแล้วมีตำแหน่งที่เรียกว่าผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจ (Auxiliary police) คอยทำหน้าที่อย่างเข้มแข็ง แบ่งเบาภาระเจ้าหน้าที่มืออาชีพ

ผศ.พ.ต.ท.ดร กฤษณพงค์ เล่าว่า ประเทศอังกฤษเคยมีอาสาสมัครตำรวจเหมือนในประเทศไทย ก่อนจะยกเลิกในเวลาต่อมา หลังจากเห็นว่ามีส่วนหนึ่งใช้อำนาจในทางที่ไม่ถูกต้อง โดยพัฒนามาเป็นผู้ช่วยเจ้าพนักงานตำรวจ มีการฝึกอบรม ให้ค่าตอบแทนที่ชัดเจน และมีระบบการตรวจสอบการทำหน้าที่ ขณะที่ในประเทศสิงค์โปร์ ผู้ช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเข้ามาทำหน้าที่ที่ตำรวจไม่ทำ เช่น ตรวจตรากระเป๋า อุปกรณ์อันตรายในงานคอนเสิร์ตหรือมหกรรมกีฬาขนาดใหญ่ และปล่อยให้ตำรวจมืออาชีพมีเวลาไปดูแลเรื่องความปลอดภัยอย่างการก่อการร้าย

“ต่างประเทศเขาสร้างระบบ ทำให้คนอยากเข้ามาช่วยงานตำรวจ อย่างอังกฤษ มีการกำหนดหลักเกณฑ์ เช่น สัปดาห์หนึ่งต้องทำงาน 20 ชั่วโมง แต่งตัวเหมือนตำรวจเพื่อให้คนเกิดความยำเกรงและเห็นว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ คนทั่วไปดูไม่ออก มีอำนาจใจการจับกุม ใช้ปืนไฟฟ้าเป็นอาวุธในการป้องกันและต่อสู้ อาจมีค่าตอบแทนตามสมควร

ผมลองคุยกับผู้ช่วยท่านหนึ่ง เขาบอกว่าภูมิใจที่ได้ทำงาน ไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย แถมยังเห็นว่างานตรงนี้ได้ส่งเสริมอาชีพหลักของตัวเองด้วย โดยเฉพาะการพัฒนาภาวะผู้นำ”

ในมุมมองของนักวิชาการด้านอาชญาวิทยา ประเทศไทยสามารถทำเรื่องแบบนั้นได้ โดยนำงบประมาณค่าจ้างผู้ช่วยมาจากภาษีท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น กทม. ผู้ช่วยตำรวจที่ผ่านระบบการคัดเลือก ฝึกอบรมและประเมินผล อาจทำหน้าที่ ตรวจตราดูแลการขับขี่รถย้อนศร บนทางเท้า ไม่ติดแผ่นป้ายทะเบียน เป็นหน้าที่เล็กน้อย เพื่อให้ตำรวจมืออาชีพไปทำหน้าที่อื่น

“คนพวกนี้เข้ามาเเล้ว หากทำไม่ดีเองจะจัดการอย่างไร ขอตอบว่า เราสามารถสร้างระบบตรวจสอบการทำงานและประเมินผลได้ ที่สำคัญไม่ต้องมานั่งกังวลว่า เจ้าหน้าที่เหล่านี้จะแข่งขันเติบโต เลื่อนตำแหน่งเป็นยศอะไรด้วย เพราะเขาจะเป็นแค่ตำแหน่งผู้ช่วยนี่แหละ”

 

 

ตำรวจมืออาชีพต้องมีอุปกรณ์พื้นฐานที่เพียบพร้อม

เครื่องมือ วัสดุอุปกรณ์ในการทำงานที่ขาดแคลน ถือเป็นอุปสรรคสำคัญของการพัฒนารวมไปถึงลดทอนความมั่นใจของประชาชนที่มีต่อตำรวจ

“ตำรวจไทยแทบต้องซื้อทุกอย่างเองหมด เสื้อเกราะขอรับบริจาคจากวัดหรือมูลนิธิ  ไม่มีความพร้อมในการทำงาน ออกไปจับยาเสพติด 10 คน มีเสื้อเกราะใส่แค่ 3 ตัว คนไหนเสี่ยงมากก็ได้ใส่ ผิดกับเมืองนอก อย่างอังกฤษเคยมีตำรวจไปจับคนร้ายแล้วพลาดถูกคนร้ายใช้มีดแทง ปรากฎว่าวันรุ่งขึ้นตำรวจทั้งเกาะอังกฤษใส่เสื้อเกราะหมดเลย”

ผศ.พ.ต.ท.ดร กฤษณพงค์ บอกว่า ทุกการเสียชีวิตของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพรัฐในการดูแลความปลอดภัยของประชาชน พูดง่ายๆ ว่า ถ้าตำรวจยังดูแลตัวเองไม่ได้ รัฐก็ไม่สามารถรักษาความปลอดภัยของประชาชนได้

อีกกุญแจสำคัญในการพัฒนาคือ การจัดเก็บข้อมูล ปัจจุบันระบบฐานข้อมูลยุติธรรมทางอาญาของตำรวจ อัยการ ศาล และหน่วยงานพัฒนาพฤตินิสัย มีลักษณะต่างจัดเก็บไม่เป็นมาตรฐานเดียวกัน ไม่เชื่อมโยง และไม่สามารถนำมาวิเคราะห์ใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มที่ การยกระดับจำเป็นต้องพัฒนาระบบการใช้ข้อมูลกลางเพื่อช่วยเหลือในการวิเคราะห์และนำมาใช้ประโยชน์

ข้อมูลจากกองกำกับการพัฒนาทรัพยากรบุคคล ปี 2556 ชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนประชากรในประเทศไทยต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจมีประมาณ 305 ต่อ 1 นักวิชาการด้านอาชญาวิทยา บอกว่าไม่ใช่ปัญหา ใกล้เคียงกับประเทศอังกฤษและสิงคโปร์ แต่สิ่งสำคัญที่ทำให้ตำรวจทำงานได้ดีกว่าคือ การนำเทคโนโลยีเข้ามาช่วย

“อังกฤษขึ้นชื่อเรื่องการใช้กล้องสอดส่องพฤติกรรมคนในพื้นที่ทั่วไปมากที่สุดในโลก โดยมีการเก็บข้อมูลพบว่า คนๆ หนึ่งตั้งแต่ออกจากบ้าน เช้ายันค่ำกระทั่งกลับเข้าบ้าน เขาจะถูกจับภาพโดยกล้องวงจรปิดเฉลี่ย 300 ภาพต่อคนต่อวัน”

 

 

เปลี่ยนระบบการคัดเลือกและฝึกอบรม

ระบบการคัดเลือกผู้สมัครเข้ารับราชการตำรวจถือเป็นปัจจัยสำคัญต่อการยกระดับคุณภาพของผู้ปฏิบัติงาน

ผศ.พ.ต.ท.ดร กฤษณพงค์ เล่าว่า วิธีการคัดเลือกตำรวจของประเทศเยอรมันเน้นให้ความสำคัญเรื่องจิตวิทยา ความคิด และทัศนคติของผู้สมัครมาก

“บ้านเราสอบข้อเขียน ตรวจร่างกาย สอบสัมภาษณ์จากคณะกรรมการ 4-5 คน แต่เยอรมันมีเพิ่มเติมอีกคือการเน้นระบบคัดเลือกที่วัดเจตคติ และความคิดผู้สมัคร โดยการสอบเป็นกลุ่มผ่านโจทย์ที่ท้าทาย มีกล้องวงจรปิดคอยจับพฤติกรรมและการตัดสินใจ

ตัวอย่างเช่น โจทย์บอกว่าหากคนร้ายหลบหนีไปทางนั้น พวกคุณจะทำอย่างไร และปล่อยให้ผู้สมัครถกเถียงกัน ระหว่างถกเถียงจะถูกบันทึกวิดีโอไว้ ภาพทั้งหมดจะถูกส่งไปให้คณะกรรมการที่ประกอบไปด้วย นักจิตวิทยา ตำรวจผู้มีประสบการณ์สูง ผู้ชำนาญการในแต่ละสาขา เพื่อช่วยกันตัดสินว่า คนๆ นี้สมควรจะเข้ามาเป็นตำรวจหรือไม่”

นอกจากกระบวนการคัดเลือกแล้ว การฝึกอบรมอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอของผู้รับราชการ ก็สำคัญไม่แพ้กัน

ผศ.พ.ต.ท.ดร กฤษณพงค์ บอกว่า ตำรวจในหลายประเทศมีการฝึกอบรมทุกๆ 6 เดือนหรือ 1 ปี เพื่อประเมินผลว่า คุณยังทำหน้าที่ได้ดีในสายงานคุณหรือไม่ พัฒนาแนวคิดหรือวิธีปฏิบัติเท่าทันกับการพัฒนาของคนร้ายและอาชญากรรมในยุคปัจจุบันหรือไม่

“หากคุณเป็นตำรวจสายสืบสวน ทบทวนดูสิว่า ความเข้าใจข้อกฎหมายคุณเป็นอย่างไร เจอเคสแบบนี้สามารถไปจับเขาได้ไหม คนร้ายต่อสู้จะทำอย่างไร รวมถึงสอดแทรกเรื่องคุณธรรมจริยธรรมไปตลอดการฝึกอบรม โดยประเทศสิงคโปร์เน้นมากเรื่องการกระทำผิดของตำรวจ มีตัวอย่างบทลงโทษให้เห็นในการอบรม เพื่อให้เห็นตัวอย่างที่ไม่ถูกต้อง แต่บ้านเราตั้งแต่จบออกมาสิบปีผ่านไป ไม่เคยอบรมอีกเลย จนกระทั่งเกษียณเลยก็มี เพราะงบไม่มีหรือขาดแคลนคนทำงานจนไม่มีเวลา

“ปัจจุบันตำรวจจราจรหลายพื้นที่บอกเอง อยากให้วิทยากรมาอบรมด้านกฎหมายจราจรให้ เป็นเรื่องที่แปลกมาก เขาบอกอยากมีความรู้ เพราะเวลาไปทำงาน ถูกประชาชนถาม เถียง โต้กลับ อยากจะเถียงเรื่องกฎหมายกลับบ้าง”

ทั้งนี้ระบบงานตำรวจในประเทศพัฒนาแล้ว มีลักษณะที่แตกต่างจากระบบงานตำรวจในเมืองไทยหลากหลายประเด็น

อาจารย์กฤษณพงค์ มองว่า ระบบงานตำรวจต้องลดความเป็นทหารลงเปลี่ยนเป็นระบบงานตำรวจลักษณะเสรีนิยม ทั้งในแง่วิธีคิด การปฏิบัติตามนโยบายรัฐ ลำดับชั้นยศที่น้อยลง เพื่อลดช่องว่างระหว่างตำรวจกับประชาชน การปฏิบัติต่อผู้กระทำความผิดและการรักษาความสงบเรียบร้อย เช่นเดียวกันกับการให้บริการสาธารณะ ตำรวจจะต้องเปลี่ยนมุมมองในการให้บริการ โดยมองว่าประชาชนเป็นผู้รับบริการหรือลูกค้า

“ระบบงานตำรวจแบบทหารจะเน้นการปฏิบัติตามคำสั่งของผู้มีอำนาจ การแสดงกำลังและมองฝ่ายตรงกันข้ามคือศัตรู ตรงกันข้ามกับระบบงานตำรวจในรูปแบบเสรีนิยมที่จะมุ่งเน้นไปที่การปฏิบัติโดยยึดหลักกฎหมายและความรับผิดชอบที่ต้องมีต่อชุมชนและสังคม ตำรวจก็คือพลเมือง พลเมืองก็คือตำรวจ เป็นหุ้นส่วนกันและกันในการป้องกัน แก้ไขปัญหาอาชญากรรมและรักษาความสงบเรียบร้อยของชุมชน”

นักวิชาการหนุ่มยังแนะนำว่า ถึงเวลาที่ประเทศต้องพัฒนาระบบความโปร่งใสในการทำงาน ด้วยหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี รวมไปถึงการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนในการพิจารณาคดี เพื่อให้ทุกฝ่ายเกิดความมั่นใจและวางใจกันมากขึ้น รวมถึงลดการใช้ดุลยพินิจซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งเช่นหลายกรณีในปัจจุบัน

 

ประชาชนมีสิทธิบริหารและแต่งตั้งโยกย้าย

การบริหารงานบุคคลเป็นเรื่องสำคัญที่ ผศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ บอกว่า มีผลกระทบต่อขวัญกำลังใจในการทำหน้าที่ หากปฏิรูประบบตำรวจด้วยการกระจายอำนาจ คณะกรรมการภาคประชาชนส่วนกลางและส่วนภูมิภาคจะมีส่วนร่วมต่อการเติบโตตามสายงานของตำรวจ ส่งผลให้การโยกย้ายตำแหน่ง มีความเป็นธรรม เกิดการยอมรับจากทุกฝ่ายมากขึ้น เนื่องจากถูกคานอำนาจจากทั้งรัฐบาล ภูมิภาค จังหวัด และท้องถิ่น

“ตำรวจคนไหนทำงานให้กับประชาชน แก้ปัญหาอาชญากรรมได้ดี คนนี้จะได้รับการสนันสนุนเรื่องตำแหน่ง เราต้องสร้างรูปแบบที่ชัดเจน เป็นรูปธรรม โดยประชาชนมีส่วนสะท้อน ประเมินผลได้ว่า ตำรวจคนนี้ทำงานดีเหมาะสมที่จะได้เลื่อนตำแหน่ง วิธีการเช่นนี้ทำให้ตำรวจแข่งขันกันด้วยการทำงาน อย่างเอฟบีไอของสหรัฐฯ ให้ความสำคัญกับทุกคดีไม่เฉพาะแค่ที่สื่อสนใจเหมือนบ้านเรา”

เขา เล่าเรื่องในอดีตทิ้งท้ายให้ฟังว่า เมื่อ 60 ปีก่อน ภายหลังเยอรมันแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 อาชีพตำรวจกลายเป็นอาชีพที่คนในประเทศเกลียดมากที่สุดพอๆ กับนักการเมือง แต่ปัจจุบันพวกเขาทำให้ตำรวจกลายเป็น 1ใน 3 อาชีพที่ประชาชนศรัทธาและอยากเป็นมากที่สุด เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ประเทศไทยต้องเรียนรู้ประสบการณ์และบทเรียนในหลากหลายประเทศทั่วโลก

“อย่าให้ความผิดพลาดในอดีตส่งต่อถึงคนรุ่นถัดไป ต้องจบในเจเนอเรชั่นนี้ อย่าให้คนรุ่นหลานมาถามว่า เมื่อ 30 ปีที่แล้ว คนรุ่นพ่อทำอะไรกัน”

หนทางปฏิรูปตำรวจไปสู่ความเป็นมืออาชีพนั้นต้องได้รับความร่วมมือจากทุกคน ขอปิดท้ายด้วยประโยคสุดคลาสสิคจาก เซอร์โรเบิร์ด พีล (Sir Robert Peel) ผู้ก่อตั้งตำรวจนครบาลแห่งกรุงลอนดอนที่ได้รับการยกย่องให้เป็นบิดาของตำรวจอังกฤษ

“ตำรวจคือประชาชน และประชาชนคือตำรวจ”  (the police are the public and the public are the police)

 

หมายเหตุ-ข้อมูลบางส่วนจากหนังสือ “การป้องกันอาชญากรรมในทศวรรษหน้ากับการพัฒนาระบบงานตำรวจ” ของ ผศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล สำนักพิมพ์มติชน

70 ปี “แพทย์จุฬาฯ’” สู่ศูนย์กลางสุขภาพครบวงจร

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

07 มิถุนายน 2560 เวลา 19:45 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/497982

70 ปี "แพทย์จุฬาฯ’" สู่ศูนย์กลางสุขภาพครบวงจร

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย เป็นสององค์กรทางการแพทย์ที่มีความสำคัญต่อประเทศมาอย่างยาวนาน เป็นทั้งสถาบันผลิตบุคลากรการแพทย์ที่มีชื่อเสียง รวมถึงเป็นแหล่งผลิตผลงานวิจัยที่มีประโยชน์ต่อประเทศจำนวนมาก และยังเป็นหน่วยงานที่คอยดูแลรักษาผู้ป่วยปีละหลายล้านคน

ภายใต้การบริหารของ ศ.นพ.สุทธิพงศ์ วัชรสินธุ คณบดีคณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ผู้ที่เติบโตมาจากรั้วสถาบันคุณภาพแห่งนี้จากเมล็ดพันธุ์ ปัจจุบันก้าวขึ้นมาเป็นหัวเรือใหญ่ ฉายภาพอนาคตของสองสถาบันการแพทย์ที่สำคัญแห่งนี้ว่า ในปี 2560 คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ จะมีอายุครบรอบ 70 ปี ในวันที่ 11 มิ.ย. หลังจากก่อตั้งมาในปี 2490 เป็นคณะแพทยศาสตร์แห่งที่ 2 ของประเทศ ต่อจากคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ระบุว่า ตลอดระยะเวลา 70 ปีที่ผ่านมา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ทำประโยชน์เพื่อสังคมมาอย่างมากมาย ตั้งแต่พัฒนาระบบการเรียนการสอนเพื่อผลิตบุคลากรทางการแพทย์ รวมถึงบุกเบิกเรื่องการพัฒนาแพทย์ชนบทให้เข้ามาเรียนในสถาบันแห่งนี้ ตลอดจนคิดค้นงานวิจัยที่มีประโยชน์อีกมาก

“ช่วงที่ผ่านมาคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ยังคงเดินตามหลักการที่เป็นสถาบันต้นแบบทางการแพทย์ที่มีคุณธรรมด้วยคุณภาพมาตรฐานระดับสากลให้เป็นไปตาม 3 เป้าหมายหลัก คือ 1.สร้างคน เน้นการผลิตบุคลากรทางการแพทย์ที่มีคุณภาพและคุณธรรมเหมาะสมกับสังคมไทย 2.สร้างนวัตกรรมงานวิจัยมาพัฒนาวงการแพทย์ ให้มีความรู้ใหม่ๆ เกิดขึ้น และ 3.สร้างมาตรฐานด้านการรักษาพยาบาลให้เป็นเลิศ มุ่งดูแลผู้ป่วยทุกระดับของประเทศ”

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ระบุว่า บทบาทของคณะฯ แบ่งออกเป็น 3 หลักใหญ่ คือ 1.ด้านการเรียนการสอน 2.การค้นคว้าวิจัย และ 3.การบริการทางการแพทย์ โดยการเรียนการสอนขณะนี้มองว่า ต้องทำให้ผู้เรียนมีความเชี่ยวชาญทั้งในเนื้อหาวิชาและทักษะในการสื่อสารระดับนานาชาติให้มากขึ้น เพื่อเตรียมพร้อมเมื่อต้องก้าวสู่เวทีนานาชาติ แต่อีกด้านก็ไม่ทิ้งขนบธรรมเนียมความเป็นไทย โดยเฉพาะเรื่องคุณธรรมและจริยธรรมแก่ผู้เรียน

ส่วนการปรับปรุงรูปแบบการสอนให้ทันเทคโนโลยียุคศตวรรษที่ 21 ได้มีการนำระบบคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีมาใช้มากขึ้น อีกอย่างที่เป็นจุดเด่นของคณะฯ คือ มีศูนย์ฝึกผ่าตัด และศูนย์แห่งนี้ยังได้คิดค้นองค์ความรู้ใหม่ซึ่งถือว่าเป็นแห่งเดียวในภูมิภาคเอเชีย ที่สามารถคิดค้นทำให้อาจารย์ใหญ่มีรูปร่างสมบูรณ์เสมือนคนปกติ

ขณะที่การพัฒนางานบริการเพื่อแก้ปัญหาความหนาแน่นของผู้ป่วยที่มาใช้บริการ ขณะนี้กำลังเร่งก่อสร้างอาคารบริการทางการแพทย์หลังใหม่ขึ้นมาชื่อ อาคารภูมิสิริมังคลานุสรณ์ เป็นอาคารรักษาพยาบาลที่ได้รับการจัดอันดับว่ามีขนาดใหญ่ติด 1 ใน 10 ของโลก ภายในอาคารหลังดังกล่าวเมื่อสร้างเสร็จจะช่วยแบ่งเบาปัญหางานด้านการให้บริการได้มาก เพราะสามารถรองรับผู้ป่วยในได้ถึง 1,300 เตียง จากทั้งหมด 1,400 เตียงที่มีอยู่ปัจจุบัน

สำหรับการรองรับสังคมผู้สูงอายุในอนาคต ขณะนี้โรงพยาบาลจุฬาฯ มีอาคาร ส.ธ. ซึ่งอาคารหลังนี้เป็นต้นแบบศูนย์ความเชี่ยวชาญรองรับประชากรผู้สูงอายุ โดยจะตั้งแผนกค้นคว้าวิจัยแนวทางการดูแลผู้สูงอายุในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ศูนย์ต้นแบบการดูแลผู้สูงอายุที่สามารถคัดกรองหาโอกาสเสี่ยงการเกิดโรคในผู้สูงอายุ เพื่อจะได้ทราบและหาทางแนะนำป้องกัน เช่น โรคอัลไซเมอร์ โรคเบาหวาน

นอกจากนั้น จะมีการส่งเสริมเรื่องการดูแลผู้สูงอายุภายในครอบครัว โดยจะมีการพัฒนาหลักสูตรให้ความรู้เกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุแก่สมาชิกในครอบครัว และทางโรงพยาบาลจะคอยติดตามดูแลควบคู่กันไป เพื่อทำให้ผู้สูงอายุไม่ต้องมาโรงพยาบาลเป็นประจำ แต่สามารถดูแลตนเองได้ที่บ้าน

ผู้อำนวยการโรงพยาบาลจุฬาฯ มองว่า เมื่อผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ปัญหาอีกอย่างคือมักจะมีโรคอื่นตามมา โดยเฉพาะโรคมะเร็ง จึงมีแผนพัฒนาศูนย์มะเร็งขึ้นมา เบื้องต้นขณะนี้คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยโรคมะเร็งระดับโลกอย่าง MD Anderson ในการส่งแพทย์ไปฝึกอบรมและคาดว่าอนาคตโรงพยาบาลจุฬาฯ จะมีศูนย์ดูแลเฉพาะโรคมะเร็งและศูนย์ดูแลสุขภาพอื่นๆ

อีกด้าน แผนบริหารจัดการคนป่วยไม่ให้หนาแน่นจนเกินไป จะมีความร่วมมือกับโรงพยาบาลเครือข่ายเพื่อประสานรับช่วงส่งต่อหรือหมุนเวียนการดูแลผู้ป่วยที่อาการยังไม่ถึงขั้นวิกฤต เพื่อจะได้ไม่ต้องมาโรงพยาบาลจุฬาฯ หรือโรงพยาบาลขนาดใหญ่เท่านั้น เพราะคิดว่าการเข้ามารักษาในโรงเรียนแพทย์ ควรเป็นผู้ป่วยที่มีอาการหนักและเป็นโรคที่ซับซ้อน ทั้งนี้หากทำได้เชื่อว่าจะทำให้การบริหารทรัพยากรที่มีอยู่เป็นไปอย่างเหมาะสมเต็มที่ในการดูแลรักษาผู้ป่วย

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ย้ำว่า ปัจจุบันคณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ ได้วางเป้าหมายให้สอดรับกับนโยบายรัฐบาล โดยเน้น 3 แนวทาง คือ สร้างบัณฑิตที่จบออกไปให้มีพหุศักยภาพ พร้อมกับพัฒนาแพทย์ทั่วไปให้เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญรองรับการพัฒนาของโลก และสร้างนวัตกรรมให้ได้มาตรฐานจนเป็นที่ยอมรับเพื่อให้เกิดความยั่งยืนในอนาคต แต่ทั้งหมดจะต้องทำควบคู่ไปกับทำให้บุคลากรของสถาบันเป็นผู้มีคุณธรรม มีความรู้ทางภาษาที่ดีเพื่อมุ่งสู่ความเป็นนานาชาติในอนาคต เพราะเชื่อว่าด้วยพื้นที่ตั้งของจุฬาฯ น่าจะได้เปรียบต่อการเป็นศูนย์กลางสุขภาพทางการแพทย์ครบวงจรของประเทศไทยในอนาคต

สำหรับสถานการณ์ที่สังคมมองว่าอนาคตบุคลากรการแพทย์จะมีจำนวนมากถึงขั้นอาจล้นตลาดนั้น ศ.นพ.สุทธิพงศ์ ฉายภาพว่า การทำงานของบุคลากรการแพทย์ไทยในปัจจุบันทำงานหนักมาก เพราะคนหนึ่งต้องทำหลายหน้าที่ ตั้งแต่สอนหนังสือ คิดค้นงานวิจัย ทำงานบริการ

ทั้งนี้ หากเทียบกับแพทย์ในต่างประเทศ ระบบการทำงานของแพทย์จะถูกแบ่งหน้าที่แต่ละบุคคลแบบเบ็ดเสร็จ เรื่องนี้จุฬาฯ กำลังพยายามจัดการระบบให้บุคลากรทางการแพทย์ได้ทำตามความถนัดของตนเอง เพราะคิดว่าหากทำให้บุคลากรทำงานกับสิ่งที่ไม่ถนัดจะยิ่งเป็นการฝืนความรู้สึกของบุคลากร

“หมอบางคนแทบไม่ได้นอน เพราะต้องทำงานหนักมาก บางครั้งนอกจากต้องทำงานในเวลาเมื่อถูกตามให้มาผ่าตัดกลางดึก ก็ต้องออกมา เช้าก็กลับไปทำงานต่อ เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้เหนื่อยมาก และเกิดเป็นปัญหาขึ้นอย่างในปัจจุบัน”

อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าอนาคตบุคลากรการแพทย์อาจมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่กระจุกตัวอยู่ในเมือง ดังนั้นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่างกระทรวงสาธารณสุข ต้องทำให้แพทย์อยากกระจายตัวออกไปพื้นที่ต่างจังหวัด ขณะเดียวกันก็ต้องทำให้รู้สึกว่าพร้อมและมีความสุขที่จะออกไป ดังนั้นควรส่งเสริมเรื่องแพทย์ครอบครัวให้ได้รับการยอมรับจากสังคม โดยเริ่มจากทำหลักสูตรให้ดี เพราะขณะนี้ความเชื่อมั่นของประชาชนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับแพทย์เฉพาะทางมากกว่าจากนั้นควรทำให้แพทย์มีความก้าวหน้าทางอาชีพ ถึงแม้เงินจะไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุดในชีวิต แต่ก็เป็นสิ่งที่ทำให้ครอบครัวอยู่ได้ ดังนั้นเรื่องค่าตอบแทนของแพทย์ไม่ควรทำให้เหลื่อมล้ำกันมากจนเกินไป

ศ.นพ.สุทธิพงศ์ กล่าวทิ้งท้ายว่า จะมุ่งมั่นทำให้คณะแพทย์ จุฬาฯ เป็นต้นแบบทางการแพทย์แก่หน่วยงานอื่นเพื่อนำไปเป็นแนวปฏิบัติใช้ในยุคที่โลกต้องพัฒนา

 

สุเทพยันวางมือการเมือง เดินหน้าหนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

04 มิถุนายน 2560 เวลา 07:38 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/497578

สุเทพยันวางมือการเมือง เดินหน้าหนุนปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง

โดย…ธนพล บางยี่ขัน

ไม่แปลกที่อดีตผู้จัดการรัฐบาล ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์การเมือง รวมเสียงพรรคร่วมจนผลักดัน อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีมาแล้วหนหนึ่ง จะถูกจับตาอีกครั้ง เมื่อออกโรงเชียร์ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่ออีกสมัย จังหวะเดียวกับ​ที่ 8 กปปส.กลับคืนถิ่นประชาธิปัตย์

ลุงกำนัน หรือ สุเทพ เทือกสุบรรณ ที่เวลานี้เหลือเพียงแค่ตำแหน่ง ประธานมูลนิธิมวลมหาประชาชน ​ให้สัมภาษณ์พิเศษกับโพสต์ทูเดย์ ไล่เรียง​ตั้งแต่ประเด็นเรื่อง กปปส.กลับพรรคประชาธิปัตย์ ที่อธิบายว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่จะกลับไปทำหน้าที่นักการเมืองตามเดิม ไม่ใช่ความพยายามเข้าไปเปลี่ยนตัวหัวหน้าพรรคเพราะประชาธิปัตย์มีสมาชิกเป็นล้าน คนของ กปปส. 8 คนที่เข้าไปจะทำอะไรได้

“ผมไม่กลับพรรคประชาธิปัตย์ เพราะฉะนั้น เพื่อนๆ น้องๆ ของผมจะกลับไปพรรคประชาธิปัตย์​ก็เป็นสิทธิที่เขาจะกลับไป  ผมไม่เข้าไปกำกับ แทรกแซง วุ่นวาย ผมมีเรื่องที่ผมต้องทำ ทั้งวิทยาลัยอาชีวศึกษา ชุมชน เศรษฐกิจพอเพียง บ้านพักคนชรา ทำโครงการบวชพระทุกเดือน มีงานของผมอยู่”

ก่อนจะออกตัวว่าทำอะไรตรงไปตรงมา เพราะวางมือแล้ว ไม่มีการเข้าไปแทรกแซง สั่งการ ให้คำปรึกษาอะไรภายในพรรค ทุกวันนี้ทำหน้าที่ตัวแทนมวลมหาประชาชน พูดทำอะไรในฐานะประชาชน เปิดเผยไม่ต้องปิดบังใคร รวมทั้งประกาศ สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์​ ​เป็นนายกรัฐมนตรี

“เราเห็นว่า พล.อ.ประยุทธ์ ​กล้าหาญ ไว้ใจได้ เป็นคนที่จงรักภักดี ซื่อสัตย์​สุจริต กล้าออกมารับผิดชอบบ้านเมือง มองย้อนกลับไป 2556-2557  ถ้า พล.อ.ประยุทธ์​ไม่มีความกล้าเพียงพอออกมายึดอำนาจ ไม่เอาตัวเองแบกรับภาระปกป้องรักษาประเทศ ก็สงสัยว่าสถานการณ์บ้านเมือง จะเลวร้ายกว่านี้เยอะ”​

สุเทพ อธิบายว่า เวลานี้ยังไม่เห็นว่ามีใครเหมาะสมเท่ากับ พล.อ.ประยุทธ์ ที่จะมารับหน้าที่ขับเคลื่อนการปฏิรูปต่อจากเดิมที่ทำไว้แล้ว 3 ปี ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรี มีผลงานหลายอย่างที่หากเป็นรัฐบาล ซึ่งมาจากการเลือกตั้งอาจทำไม่ได้ ​

ล่าสุดกับ 4 คำถาม ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ออกมาหยั่งกระแสสังคม สุเทพ มองว่า ออกมาถูกจังหวะ และเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องของการเตรียมการขยับโรดแมป อีกทั้งยังเชื่อว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นตามกรอบที่กำหนด เพราะหลังรัฐธรรมนูญ 2560 ประกาศใช้ กลไกต่างๆ ก็เดินหน้าทั้งเรื่องทำกฎหมายลูกที่ทั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ​และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) กำลังเร่งดำเนินการ ​​ไม่มีใครมาดึงเกม

“อย่าออกมาปั่นกระแสเลื่อนการเลือกตั้ง ​เชื่อมั่นว่าทุกอย่างจะเดินตามโรดแมป ​ยกเว้นมีระเบิดกันทุกวันก็อีกเรื่อง บ้านเมืองไม่สงบจัดเลือกตั้งไม่ได้ สำหรับพวกผมถ้ายังมีการก่อเหตุกันอยู่ก็จะเรียกร้องอย่าเลือกกันเลย ผมเคยเจอในสมัยเป็นรองนายกฯ ฝ่ายมั่นคง คนออกมายิงตูมตาม เผาบ้านเผาเมือง ​ต้องอพยพไปกรมทหารราบ 11 เหตุการณ์อย่างนั้นไม่อยากให้เกิดอีก”

สุเทพ ขยายความประเด็น 4 คำถาม ของ พล .อ.ประยุทธ์ ว่า ออกมาในจังหวะที่เหมาะสม เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนทั้งประเทศตระหนักถึงภาระหน้าที่กับการแก้ปัญหาประเทศชาติ  เช่น การเลือกตั้งแล้วจะได้รัฐบาลมีธรรมาภิบาลหรือไม่ ตรงนี้เป็นหน้าที่ที่ประชาชนต้องใช้ดุลพินิจตั้งแต่วันนี้ ​ซึ่งต้องถือเอาเรื่องนี้เป็นสำคัญ

ทั้งนี้ ​ต้องการให้การเมืองวันข้างหน้าเป็นการเมืองของประชาชน เพราะการเมืองที่แล้วมาไม่ใช่การเมืองของประชาชน ​เป็นการเมืองของกลุ่มผลประโยชน์ ดังนั้น พรรคการเมืองต้องเป็นของประชาชนก่อน ส่วน พ.ร.บ.พรรคการเมือง ที่ กรธ.เสนอ​แม้บางส่วนจะยังไม่ถูกใจ แต่ภาพรวมก็เป็นหนทางทำให้พรรคการเมืองเป็นของประชาชน

สำหรับ​เรื่องทุนประเดิม ​เดิมอาศัยเงินจากกลุ่มทุน การทำงานการเมืองจึงหนีไม่พ้นเพื่อประโยชน์นายทุน ดังนั้นเงินพรรคการเมืองที่ใช้ต้องมาโดยบริสุทธิ์  แต่ส่วนตัวข้องใจที่ กรธ.กำหนดเก็บเงินจากสมาชิกพรรคปีละ 100 บาท ที่น้อยเกินไป ควรจะเป็นวันละ 1 บาท หรือปีละ 365 บาท หากจ่ายน้อยไป ก็ต้องไปเอาเงินทุนจากที่อื่น นายทุนก็จะมาครอบงำพรรคอีก ​

“​สมมติเก็บเงินจากสมาชิกที่จ่ายได้ 100 ล้านบาท รัฐบาลจ่ายให้เท่ากันอีก 100 ล้านบาท พรรคการเมืองก็บริหารได้  ดังนั้นไม่ต้องเอามาจากท่ี่อื่นก็ไม่ติดหนี้บุญคุณใคร ทำงานอิสระ ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน ต้องทำให้ประชาชนเข้ามามีส่วนในการบริหารพรรค ไม่ใช่ให้การตัดสินใจอยู่แค่หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค 20-30 คน ​ทั้งเรื่องการเลือกกรรมการบริหาร การส่งคนลงสมัครต้องให้สมาชิกตัดสินใจ”

ทั้งนี้ เรื่องเงินเป็นเรื่องละเอียดอ่อน หากกำหนดให้บริจาคให้พรรคการเมืองได้คนละ 10 ล้านบาท สมมติครอบครัวมี 5 คน  บริจาคกันทั้งหมดรวม 50 ล้านบาท รวม 4 ปี 200 ล้านบาท  ก็จะทำให้ครอบครัวนี้มีอิทธิพลเหนือพรรคการเมือง ดังนั้นต้องกำหนดให้ชัดเจนว่าได้เท่าไหร่ อย่างนิติบุคคลไม่ควรเกิน 5 แสนบาท และต้องนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมรายงานต่อที่ประชุมใหญ่

ส่วนเรื่องประเด็นการตั้งพรรคนอมินีนั้น ลุงกำนัน​อธิบายว่า เป็นที่มาถึงต้องกำหนดให้พรรคมีสมาชิก 1 แสนคน ต้องเสียค่าบำรุงพรรคตามกรอบ สิ่งเหล่านี้เป็นหัวใจสำคัญ ดังนั้น หากใครจะตั้งพรรคนอมินี 5 พรรค ก็ต้องทำให้ได้ดังนี้ คือ มีสมาชิกเป็นเจ้าของพรรค 1 แสนคน จ่ายเงินค่าสมาชิก จ่ายแทนกันไม่ได้ ไม่งั้นติดคุกถ้าทำได้อย่างนี้เขาจะตั้งกี่พรรคก็ได้

ย้อนกลับมาคำถามข้อ 3 ของ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องทำให้การเลือกตั้งมีธรรมาภิบาล คำนึงถึงอนาคตประเทศ ยุทธศาสตร์ชาติ หากทำไม่ได้ก็จะเหมือนที่ผ่านมา คือ การเลือกตั้งเป็นแค่พิธีกรรมเข้าสู่การยึดครองอำนาจรัฐ ซึ่งจะต้องทำไม่ให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การเลือกตั้งจึงต้องทำเมื่อเกิดความพร้อม เกิดการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ที่สำคัญ ส่วนที่ยังทำไม่เสร็จก็ทำต่อไป

ส่วนคำถามสุดท้ายข้อที่ 4  หากนักการเมืองมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ​สมควรเข้ามาสู่การเลือกตั้งหรือไม่ ​ส่วนตัวเห็นว่า​ คนทั้งประเทศต้องรับผิดชอบร่วมกัน ส่วนตัวจึงอยากให้คำถามทั้ง 4 ข้อนี้ เป็นการปลุกให้ประชาชนตื่นตัวกับภาระหน้าที่ของประชาชนเตรียมดูแลประเทศ ​

สุเทพ บอกว่า นี่เป็นจุดยืนตั้งแต่แรกเมื่อออกมาเดินขบวนว่าต้องมีการปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง ซึ่งต้องทำให้เสร็จหากไล่ดูความคืบหน้าก็จะพบการดำเนินการที่ผ่านมา ทั้ง พ.ร.บ.กรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่อยู่ระหว่างการจัดทำ ซึ่งมีแนวคิดเลิก กกต.จังหวัด เปลี่ยนเป็นผู้ตรวจนั้น  เป็นเรื่องที่ถูกต้อง แต่ก็ต้องมีกลไกอื่น เช่น ศาลเลือกตั้ง ที่จะต้องไปว่ากันในรายละเอียด

“ที่สำคัญคือกฎหมายที่ออกมา​ต้องทำให้ประชาชนมั่นใจได้ว่า การเลือกตั้งบริสุทธิ์ ยุติธรรม ไม่มีการซื้อขายเสียง ใช้อิทธิพล เอาตำแหน่งหน้าที่เข้าไปช่วย ที่ผ่านมาผมฟ้อง กกต.​ยังติดคุกอยู่เดี๋ยวนี้ เป็นเรื่องที่ต้องช่วยกันทำให้ได้ตัวแทนประชาชนที่ได้รับความไว้วางใจเข้าไปทำหน้าที่แทนเขาจริงๆ ไม่ใช่ประมูลตำแหน่ง สส.หรือโกง​ทุจริต เลือกตั้งได้เข้ามา”​​

รวมไปถึงเรื่องการปฏิรูปการบริหารแผ่นดิน อย่างเรื่องผู้ว่าราชการจังหวัด ส่วนตัวเห็นว่าต้องทำให้เป็นหัวหน้าส่วนราชการ มีอำนาจบังคับบัญชาราชการทั้งหมดในจังหวัด ทำแผนพัฒนาจังหวัด ​สอดคล้องยุทธศาสตร์​การพัฒนาชาติ และอยู่ในระยะเวลาทำแผนเสร็จ คือ 4 ปี ​

สุเทพ อธิบายว่า หากยังไม่พร้อมที่จะเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด ก็ให้นายกรัฐมนตรีเป็นคนแต่งตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด เหมือนแต่งตั้งรัฐมนตรี และให้ยึดโยง ผู้ว่าราชการจังหวัด นายกรัฐมนตรีต้องแต่งตั้ง ต้องเป็นคนที่จังหวัดยอมรับโดยให้สภาจังหวัดเป็นผู้ให้ความเห็นชอบ เหมือนประธานาธิบดีแต่งตั้งรัฐมนตรี​ก็ต้องถามวุฒิสภา​

กรณีการปฏิรูปตำรวจ ที่มีแนวคิดจะให้ไปขึ้นกับกระทรวงยุติธรรม ตรงนี้ไม่ใช่​การปฏิรูป แต่ต้องปรับปรุงโครงสร้าง วิธีบริหารใหม่ ให้ตำรวจเป็นตำรวจประชาชน ดูแลประชาชนได้ ที่แล้วมาตำรวจพยายามจัดองค์กรเลียนแบบกองทัพ มีแม่ทัพภาค ​รวมอำนาจไว้ส่วนกลาง ซึ่งไม่จำเป็น อีกทั้งเห็นด้วยกับการที่จะให้ตำรวจไปขึ้นกับจังหวัด เพื่อสะดวกในการดูแลประชาชน

เรื่องการปฏิรูปการศึกษา ได้ยินรัฐมนตรีว่าการตอบคำถามบอกว่า ต้องสร้างอาชีวศึกษา ให้เกิดประโยชน์ ​มีประสิทธิภาพ ซึ่งมีครูอยู่แล้วตามโรงงานต่างๆ สะท้อนให้เห็นว่า รัฐมนตรีเก่ง มองเห็นปัญหา เพราะหากรออีก 5 ปีไปสร้างครู ก็จะไม่ทันการณ์ เรื่องนี้ควรจะไปเชื่อมโยงกับประชารัฐ กับปฏิรูปการศึกษา และสอนเรื่องศาสนาศีลธรรมควบคู่กันไป

สุเทพ อธิบายว่า การออกมาตั้งคำถามของ พล.อ.ประยุทธ์ ในช่วงนี้จึงถือเป็นการถูกต้อง เหมาะสมที่ทำให้เกิดการปฏิรูป ​​ปลุกให้ทุกฝ่ายต้องช่วยกันคิด รวมไปถึงถ้าประชาชนจำนวนมากคิดตรงกันว่าต้องการให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป ก็ต้องหาคนที่มีความคิดเหมือนกันไปลงเลือกตั้ง มี สส.สนับสนุน ให้พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เดินหน้าปฏิรูปประเทศ หรือจะใช้วิธีไหนก็ต้องมาช่วยกันคิด