แตกหน่อสุกี้ยุคใหม่ เกาะติดทุกกระแส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

31 พฤษภาคม 2560 เวลา 19:15 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/497139

แตกหน่อสุกี้ยุคใหม่ เกาะติดทุกกระแส

โดย…จะเรียม สำรวจ

คงไม่มีใครปฏิเสธได้ว่าร้านสุกียากี้ยุคใหม่ที่เสิร์ฟอาหารใส่ถาดซ้อนกันเป็นคอนโดหลายชั้น มีการเตรียมน้ำซุปที่อุ่นเกือบเดือดเทใส่หม้อไฟฟ้าแวบเดียวก็เดือดพร้อมลวกเนื้อต้มผัก และมีการนำระบบไอทีมาใช้สั่งอาหารเพิ่มความสะดวกรวดเร็ว ร้านที่บุกเบิกยุคใหม่ของวงการสุกี้นี้ก็คือ เอ็มเคสุกี้ ซึ่งปฏิรูปตัวเองจากหนึ่งในร้านอาหารเก่าแก่เมื่อกว่า 50 ปี ที่เป็นร้านอาหารไทยเล็กๆ ตั้งอยู่ในย่านสยามสแควร์ โดยได้ทรานส์ฟอร์มมาจนประสบความสำเร็จมีรายได้ระดับปีละหมื่นล้านบาท

จากจุดเริ่มต้นของร้านอาหารไทยที่ขายข้าวมันไก่ เนื้อตุ๋น ผัดไทย ผัดขี้เมา เนื้อย่างเกาหลี (เตาถ่าน) ยำแซบๆ ทุกชนิด และเค้ก  ในย่านสยามสแควร์เมื่อปี 2505 และต่อมาในปี 2507 ได้เริ่มขยายธุรกิจด้วยการเข้ามาเปิดให้บริการร้านอาหารไทยในศูนย์การค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว ด้วยการใช้ชื่อร้านว่า กรีนเอ็มเค ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีจนปี 2509 มีการขยายธุรกิจออกมาในรูปแบบของร้านสุกี้ ภายใต้ชื่อสุกี้เอ็มเค ที่เซ็นทรัล ลาดพร้าว ด้วยการชูจุดเด่นสุกี้เป็นเมนูเด็ด ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการร้านสุกี้เอ็มเคก็ประสบความสำเร็จ จาก 1 สาขาในวันนั้น ปัจจุบันร้านสุกี้เอ็มเคมีจำนวนสาขาเปิดให้บริการทั่วประเทศไปแล้วมากกว่า 400 สาขา

ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป กล่าวว่า สิ่งที่ทำให้บริษัทประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจร้านอาหาร คือ การทำธุรกิจที่ตามกระแสมากกว่านำกระแส จะเห็นได้ว่าร้านอาหารในเครือทุกแบรนด์สร้างขึ้นมาตามความต้องการของผู้บริโภคและปรับให้เกาะกระแสต่อเนื่อง

นอกจากนี้ ยังใช้กลยุทธ์ทำตลาดด้วยการขยายสาขาให้ครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมาย เพื่อให้ทุกคนสามารถเข้าถึงร้านอาหารในเครือของบริษัทได้ง่าย โดยเฉพาะร้านสุกี้เอ็มเคที่วางราคาสินค้าไม่แพง ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ความสำเร็จของเอ็มเค กรุ๊ป

ปัจจุบัน เอ็มเค กรุ๊ป มีแบรนด์ร้านอาหารในเครือทั้งหมด 8 แบรนด์ ประกอบด้วย ร้านเอ็มเคสุกี้ ร้านเอ็มเคโกลด์ ร้านอาหารญี่ปุ่นยาโยอิ ร้านมิยาซากิ เทปปันยากิ ร้านฮาคาตะราเมน ร้านอาหารไทย ณ สยาม ร้านอาหารไทยเลอสยาม และร้านกาแฟ-เบเกอรี่ ซึ่งจะเป็นร้านอาหารไทยสไตล์ตะวันตก เลอเพอทิท คาเฟ่ ซึ่งทุกแบรนด์ที่กล่าวมามีจำนวนสาขาเปิดให้บริการรวมกันมากกว่า 600 แห่งทั่วประเทศไทย

 

 

จากความสำเร็จที่ได้รับในประเทศไทย ส่งผลให้เอ็มเค กรุ๊ป มีแผนที่จะนำร้านอาหารในเครือไปในตลาดต่างประเทศ โดยมีร้านสุกี้เอ็มเคเป็นหัวหอกหลักในการขยายตลาด ซึ่งหลังจากได้ทดลองทำตลาดในต่างประเทศ พบว่าลูกค้าให้การตอบรับเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นร้านสุกี้เอ็มเค ร้านยาโยอิ หรือร้านมายาซากิ โดยในส่วนของประเทศที่เข้าไปทำตลาดร้านอาหารแล้วตอนนี้ คือ ญี่ปุ่น เวียดนาม สิงคโปร์ และอินโดนีเซีย ส่วนประเทศที่ฤทธิ์ให้ความสนใจอยากจะนำร้านอาหารในเครือเข้าไปเปิดให้บริการ คือ เมียนมา ลาว และมาเลเซีย

ฤทธิ์ กล่าวต่อว่า การที่บริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจแบรนด์ร้านอาหารในเครืออย่างต่อเนื่อง ถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับองค์กรช่วยกระจายความเสี่ยง เพราะการมีร้านอาหารหลายแบรนด์ทำให้การทำธุรกิจจะไม่เหนื่อยมากเมื่อเทียบกับการทำร้านอาหารแบรนด์เดียวที่นอกจากเหนื่อยแล้วยังมีความเสี่ยง ซึ่งกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจดังกล่าวก็เหมือนกับการที่เรามีลูกหลายคน ทุกคนช่วยกันทำงาน ทำให้การทำงานต่างๆไม่เหนื่อยมากเมื่อเทียบกับคนที่มีลูกคนเดียว

แม้ว่าปัจจุบัน เอ็มเค กรุ๊ป จะมีเจเนอเรชั่นใหม่เข้ามาช่วยดูแลธุรกิจแล้ว แต่ฤทธิ์ก็ยังคงช่วยดูแลธุรกิจว่าควรจะเดินไปในทิศทางไหน ซึ่ง ฤทธิ์ บอกว่า แม้ว่าจะถึงวัยที่ต้องเกษียณ แต่ก็ยังเกษียณ 100% ไม่ได้ เพราะคนรุ่นใหม่ที่เข้ามายังต้องใช้เวลาในการทำงานและสะสมประสบการณ์อีกมาก เพื่อสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งในอนาคต

 

ฤทธิ์ และ ทานตะวัน ธีระโกเมน

 

เปิดทางเจน 3 ขยายฐานมิลเลนเนียม

หลังจากเปิดทางให้ทายาทเข้ามาสานต่อธุรกิจ ฤทธิ์ ธีระโกเมน ประธานกรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ก็เปิดโอกาสให้ ทานตะวัน ธีระโกเมน ผู้ช่วยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป ทายาทรุ่นที่ 3 แสดงฝีมือในการทำธุรกิจอย่างเต็มที่ ซึ่งโปรเจกต์แรกที่ทายาทรุ่นที่ 3 ได้แสดงฝีมือการเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ คือ การเปิดร้านเอ็มเค ไลฟ์ (MK Live) ที่ศูนย์การค้า ดิ เอ็มควอเทียร์ ซึ่งหลังจากเปิดให้บริการในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี โดยเฉพาะกลุ่มคนรุ่นใหม่

จุดเด่นของร้านเอ็มเค ไลฟ์ ที่ทำให้สามารถมัดใจผู้บริโภครุ่นใหม่ได้สำเร็จ คือ การนำคำว่าไลฟ์มาเล่นกับกลยุทธ์ในการทำตลาด เริ่มจากความหมายของคำว่า Live คือความสดใหม่ ความมีชีวิตชีวา มาเป็นคอนเซ็ปต์หลักในการรังสรรค์ส่วนต่างๆ ของร้าน เช่น การออกแบบร้านที่นำรูปแบบเรือนกระจกของฟาร์มปลูกผักมาเป็นแรงบันดาลใจในการตกแต่ง เน้นวัสดุจากธรรมชาติในการนำมาตกแต่ง ไม่ว่าจะเป็น ไม้ ต้นไม้ หิน รวมถึงดิสเพลย์ปลูกผักไฮโดรโปนิกส์ที่ผนังร้าน

นอกจากนี้ ยังนำคำว่า ไลฟ์ มาใช้การปรุงอาหารภายใต้ชื่อ Live Showcase หรือครัวเปิด ซึ่งจะมีการโชว์ให้เห็นถึงเมนูที่เชฟจะทำสดภายในร้าน ไม่ว่าจะเป็นลูกชิ้นปั้นสดหรือติ่มซำ

พร้อมกันนี้ยังมีการคัดสรรวัตถุดิบคุณภาพเยี่ยม เช่น ลอปสเตอร์จากแคนาดา หอยเชลล์ยูเอส เนื้อวากิวญี่ปุ่น เพื่อพัฒนามาเป็นเมนูสุดเอ็กซ์คลูซีฟที่มีเฉพาะที่นี่ที่เดียวเท่านั้น ส่วนเมนูสุกี้ต้มแบบดั้งเดิม ได้รับการเพิ่มความถูกปากด้วย 5 น้ำซุป สตีมชาบู ต้นกำเนิดมาจากประเทศญี่ปุ่น มีให้เลือก 3 เซต ได้แก่ หมูคุโรบุตะ เนื้อวัวออสเตรเลีย หรือเนื้อวากิวญี่ปุ่นมาให้บริการเฉพาะร้านเอ็มเค ไลฟ์

ยังไม่หมดแค่นั้น ด้านเมนูเครื่องดื่มและขนม ยังสร้างสรรค์ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้เข้ากับคอนเซ็ปต์ของร้าน เช่นเดียวกับพนักงานภายในร้านที่ชูจุดเด่นในด้านความสดใสและใส่ใจบริการทุกขั้นตอน เติมประสบการณ์ของทุกมื้ออาหารให้สมบูรณ์แบบมากสุด

จากจุดขายดังกล่าวที่ร้านเอ็มเค ไลฟ์ นำเสนอ จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเอ็มเค ไลฟ์ ประสบความสำเร็จ เพราะทุกบริการที่นำเสนอสอดรับกับพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่ใส่ใจสุขภาพได้ดี

“รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย” ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

29 พฤษภาคม 2560 เวลา 20:00 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/496903

"รื้อระบบรัฐ หนทางพัฒนาชีวิตแรงงานไทย" ถอดบทเรียน30ปี วิไลวรรณ แซ่เตีย

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

วันแรงงานของทุกปี เหล่าลูกจ้างมักเรียกร้องให้รัฐบาลยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือในเรื่องสวัสดิการ โครงสร้างค่าจ้างที่เหมาะสมและสอดคล้องกับค่าครองชีพ ตลอดจนระบบประกันสังคมที่เท่าเทียม โปร่งใส และเข้าถึงได้ไม่ยาก

ทว่าปีแล้วปีเล่า ข้อเสนอเหล่านี้กลับกลายเป็นคำเรียกร้องอมตะที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังเสียที

โพสต์ทูเดย์มีโอกาสพูดคุยกับ วิไลวรรณ แซ่เตีย อดีตประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) หนึ่งในผู้เรียกร้องในประเด็นสิทธิสวัสดิการของแรงงานมาอย่างยาวนานกว่า 30 ปี รวมทั้งเป็นอดีตเจ้าของรางวัลสันติภาพและความยุติธรรม ชี ฮัก ซุน (ครั้งที่ 17) รางวัลสำหรับผู้ที่มีบทบาทในการต่อสู้เรื่องสันติภาพและความยุติธรรมในเอเชีย

วันนี้แม้เธอจะยุติบทบาทด้านผู้นำแรงงานไปแล้ว แต่ประสบการณ์ที่พบมาตลอดชีวิตก็สะท้อนชัดถึงหลากหลายปัญหาที่แรงงานไทยต้องเผชิญ

หนทางก้าวข้าม ระบบรัฐ เต่าล้านปี

วิไลวรรณ เปิดบทสนทนาว่า ปัจจุบันผู้ใช้แรงงานมีความรู้เรื่องสิทธิและกฎหมายเพิ่มมากขึ้นกว่าอดีต มีการรวมตัวจัดตั้งสหภาพแรงงานเพื่อต่อรองหรือเรียกร้องสิทธิประโยชน์จากนายจ้างมากขึ้น แต่อย่างไรก็ตามในทางกลับกันฝั่งนายจ้างก็มีความพยายามหลบเลี่ยงหรือหากฎระเบียบข้อบังคับมาตีกรอบลูกจ้างเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ภาครัฐก็รับฟังเสียงของผู้ใช้แรงงานน้อยกว่าเมื่อก่อน

“การเคลื่อนไหวของผู้ใช้แรงงานในสมัยก่อน สามารถผลักดันให้รัฐบาลออกกฎหมายสำคัญต่างๆ ได้ เช่น ประกันสังคมที่คุ้มครองตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิตหรือกฎหมายชราภาพ แต่ปัจจุบันแม้จะพยายามเรียกร้องให้ปรับปรุงกฎหมายให้มีความทันสมัย เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบันมากขึ้น แต่ก็ไม่เป็นผล”

วิไลวรรณ บอกต่อว่า นอกจากไม่เป็นผลแล้ว กฎหมายบางข้อยังไม่สามารถใช้ได้ในทางปฏิบัติจริง เช่น เมื่อมีการเลิกจ้าง ตามกฎหมายระบุว่า นายจ้างต้องจ่ายเงินค่าชดเชยให้ลูกจ้าง แต่ความเป็นจริงหากนายจ้างเกิดบอกว่าไม่มีเงิน ขั้นตอนการเรียกร้องสิทธิตามกฎหมายก็มีความยุ่งยากหลายขั้นตอน ตั้งแต่กรอกเอกสารยื่นขอค่าชดเชย กระบวนการตรวจสอบทรัพย์และหนี้สินว่านายจ้างมีอะไรบ้าง จากนั้นต้องเข้าสู่กระบวนการประเมินทรัพย์ และพิจารณาว่าใครควรเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่เหลือ ซึ่งสุดท้ายลูกจ้างจะอยู่อันดับท้ายๆ ในการได้เงินชดเชย

ส่วนระบบประกันสังคมซึ่งเป็นกองทุนใหญ่ที่สุดของประเทศ ยังมีกฎหมายหลายมาตราที่ไม่เป็นไปตามประสงค์ของผู้ประกันตนในฐานะเจ้าของเงิน แรงงานเหล่านี้ต้องการให้เงินที่เสียไปในแต่ละเดือนย้อนกลับมาดูแลส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีกว่าที่เป็น รวมไปถึงต้องการมีส่วนร่วมในการตรวจสอบระบบบริหารงบประมาณด้วย แต่ในความเป็นจริงคณะกรรมการส่วนใหญ่ในระบบนั้น มาจากภาครัฐ ทำให้การบริหารใช้จ่ายเงินยังมีความซับซ้อน ไม่ทันสมัย และยากต่อการเปิดเผย

“เงินประกันสังคมมีสูงถึงหลักล้านล้านบาท แต่ในการบริหารจัดการนั้นมีปัญหามาก เช่น กรณีเจ็บป่วยถามว่า มีกระบวนการตรวจสอบหรือไม่ คนป่วยแต่ละปีเพิ่มขึ้นหรือลดลง ค่าใช้จ่ายต่อหัวควรเพิ่มขึ้นหรือไม่ กรณีขอรับเงินทดแทนการขาดรายได้ควรจะเพิ่มมากกว่านี้ไหม  เงินสงเคราะห์บุตรปัจจุบันให้ 6 ปี ต้องขยายเพิ่มเติมหรือไม่ และกระบวนการเลือกตั้งคณะกรรมการที่อยากให้ผู้ประกันตนเข้ามามีส่วนร่วมโดยตรง เรื่องเหล่านี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น”

ส่วนการรักษาพยาบาลโดยใช้สิทธิประกันสังคม วิไลวรรณ เสนอว่าหาก สปส.ไม่มีประสิทธิภาพดูแลผู้ประกันตน เทียบเท่าสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ที่บริหารจัดการดูแลเรื่องบัตรทองได้ดีนั้น ก็ควรให้ สปสช. ดูแลแทนเพราะการทำงานขององค์กรเหล่านี้ควรอยู่บนหลักพื้นฐานเพื่อทำให้ผู้ประกันตนได้รับการดูแลอย่างดีที่สุด

อดีตประธาน คสรท. บอกว่าประกันสังคมเป็นหลักการและแนวคิดที่ดี แต่การบริหารจัดการที่ไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ตกอยู่ใต้อำนาจของฝ่ายการเมือง ส่งผลให้การบริหารไม่โปร่งใส ไม่มีความทันสมัย และเป็นเหตุผลให้ผู้ประกันตนไม่รู้สึกมีส่วนร่วมกับเงินส่วนนี้

“เคยสอบถามว่า ปัจจุบันเงินรัฐที่ค้างอยู่ในระบบประกันสังคมเหลือเท่าไหร่ ก็ไม่ได้รับการเปิดเผย หรือแม้แต่กระทรวงแรงงานทุกวันนี้ก็ยังนำเงินไปใช้จัดงานเลี้ยงต่างๆ ที่ไม่เป็นไปตามวัตถุประสงค์อยู่เลย”

วิไลวรรณ ชี้ว่า ถึงเวลาที่ผู้บริหารหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องสั่งการเอาจริงเอาจัง เปลี่ยนแปลงระบบให้มีความทันสมัยและติดตามปัญหาที่เกิดขึ้น ที่สำคัญอยากให้หน่วยงานรัฐกับนายจ้างยุติระบบประนีประนอมได้แล้ว ไม่เช่นนั้นจะทำให้กลุ่มแรงงานรู้สึกเบื่อหน่ายและเอือมระอา

ขอแนะนำว่า ภาครัฐควรนำร่างข้อเสนอของภาคแรงงานที่ได้มีการพิจารณาศึกษา รับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่ายมาใช้เปลี่ยนแปลงพัฒนาระบบบริหาร ตั้งแต่ระบบคณะกรรมการประกันสังคมให้มาจากการเลือกตั้งตรงของผู้ประกันตนเพื่อความโปร่งใส่ พร้อมกับเปิดโอกาสให้ผู้ประกันตนเข้ามามีอำนาจมากขึ้น เพื่อที่ระบบประกันสังคมจะได้ทันสมัยและพัฒนา ทั้งหมดจะเกิดขึ้นไม่ได้ถ้าผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ยังไม่กระตือรือร้นอยากจะเปลี่ยนแปลง

วิไลวรรณ กำลังถ่ายทอดชีวิตของแรงงานไทยจากอดีต-ปัจจุบัน

แรงงานคนยังจำเป็นในยุคหุ่นยนต์

ในการปรับตัวของแรงงานไทยเพื่อเตรียมก้าวเข้าสู่การพัฒนาทางเทคโนโลยีดิจิตอลยุค 4.0  อดีตประธาน คสรท. เชื่อว่า ทุกสถานประกอบการคงไม่ได้นำเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานทั้งหมด เพราะอุตสาหกรรมไทยยังจำเป็นต้องใช้แรงงานคนควบคู่กับเครื่องจักร เช่น งานเสี่ยงอันตราย งานที่เกี่ยวกับสารเคมียังจำเป็นต้องใช้เครื่องจักร

อย่างไรก็ดี หากจำเป็นต้องนำเครื่องจักรเข้ามาใช้จริง หน่วยงานรัฐ นายจ้าง ลูกจ้างต้องร่วมกันออกแบบระบบให้เหมาะสมเพื่อให้คนและเครื่องจักรทำงานร่วมกันได้ และหากจำเป็นต้องนำคนออก ต้องคุยกันให้ชัดเจนเพื่อให้แรงงานได้เตรียมตัวล่วงหน้า เช่น พิจารณาจากประสบการณ์การทำงาน หรือความจำเป็นของแต่ละหน้าที่เพื่อให้เกิดการเตรียมพร้อม แต่หลักสำคัญต้องคำนึงถึงความรู้สึกดีต่อกันระหว่างนายจ้างและลูกจ้าง เพราะส่วนตัวมองว่าความรู้สึกเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนา

ปัญหาแรงงานรัฐบาลต้องจริงจัง

วิไลวรรณ มองการบริหารด้านแรงงานของรัฐบาลชุดนี้ว่ายังไม่มีความชัดเจน เพราะการที่รัฐบาลทหารเข้ามาแบบชั่วคราวจะมีลักษณะการทำงานเฉพาะตัว บางครั้งไม่สามารถจัดการให้ชัดเจนได้หมดทุกเรื่อง มีเพียงเรื่องแรงงานต่างด้าวข้ามชาติที่ชัดเจนมากในช่วงที่ผ่านมา

อดีตผู้นำแรงงาน เล่าว่า ขณะนี้ชีวิตของผู้ใช้แรงงานยังไม่มีความสุขในด้านเศรษฐกิจ เพราะความไม่แน่นอนของแต่ละโรงงานที่ไม่รู้เมื่อไหร่จะปิดตัวลง ส่วนเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างแม้วันที่ 1 ม.ค.ที่ผ่านมา จะปรับขึ้นค่าจ้างบางพื้นที่ในอัตรา 5 ถึง 10 บาท แต่มองว่าเป็นการปรับโครงสร้างที่ไม่มีความชัดเจน เพราะการปรับค่าจ้างต้องทำให้เท่ากันทั่วประเทศ ส่วนการปรับอัตราค่าจ้างตามมาตรฐานฝีมือแรงงานที่เพิ่มขึ้นมา ความเป็นจริงในทางปฏิบัติหากแรงงานไม่ได้ตามที่กำหนด ก็คงไม่มีใครกล้าแจ้งกระทรวงแรงงาน เพราะอาจถูกไล่ออกได้

“รัฐบาลควรทำโครงสร้างการปรับขึ้นค่าจ้างให้เท่ากันทั่วประเทศ จากนั้นออกกฎหมายกำหนดโครงสร้างค่าจ้างเพื่อให้ชัดเจนในทางปฏิบัติ เช่น เมื่ออายุงานครบตามกำหนดควรได้รับการเพิ่มเงินหรือสวัสดิการต่างๆพร้อมกับต้องมีนโยบายควบคุมค่าครองชีพ เรื่องพวกนี้อยู่ที่กระทรวงแรงงานจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ ไม่ใช่ประนีประนอมกับนายจ้างเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นลูกจ้างเสียเปรียบไปตลอด”

ทั้งหมดนี้คือข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะจาก อดีตผู้นำแรงงานและเจ้าของรางวัลสันติภาพและความยุติธรรม ชี ฮัก ซุน ที่ต้องการให้กลุ่มแรงงานไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น

 

วิไลวรรณ วันนี้ยุติบทบาทด้านแรงงานและอาชีพสาวโรงงานเมืองกรุงกลับไปเปิดร้านค้าเล็กๆ ที่บ้านเกิด จ.ขอนแก่น

 

 

“ไอเอส” เกิดยาก ไทยไม่ใช่เป้าหมาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

28 พฤษภาคม 2560 เวลา 10:03 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/496751

"ไอเอส" เกิดยาก ไทยไม่ใช่เป้าหมาย

โดย…ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์

จากเหตุระเบิดโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า เมื่อช่วงสายวันที่ 22 พ.ค. ถูกตั้งคำถามจากสังคมว่าเป็นฝีมือกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ขยายตัวมายังกรุงเทพมหานคร เพราะได้รับอิทธิพลจากกลุ่มไอเอส (Islamic State) หรือจริงแล้วทั้งหมดเป็นเพียงเกมการเมืองภายในเท่านั้น

ศราวุฒิ อารีย์ รองผู้อำนวยการ ศูนย์มุสลิมศึกษา สถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้วิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นผ่าน “โพสต์ทูเดย์” ประการแรก ถ้าดูจากสถิติทางการไม่มีคนไทยไปร่วมรบกับกลุ่มไอเอสในซีเรียและอิรักเลย ประการที่สอง แม้มีกลุ่มก่อความไม่สงบ อาทิ ขบวนการแนวร่วมปฏิวัติแห่งชาติมลายูปัตตานี (บีอาร์เอ็น) และอีกหลายกลุ่ม ก็ไม่เคยสวามิภักดิ์เป็นพวกเดียวกับกลุ่มไอเอส ซึ่งต่างจากฟิลิปปินส์

ประเด็นตรงนี้สบายใจได้ระดับหนึ่งว่าไทยไม่มีลักษณะเชื่อมโยงเครือข่ายระหว่างกลุ่มก่อความไม่สงบหรือประชากรมุสลิมในประเทศร่วมกับกลุ่มก่อการร้ายสากล ทว่าสิ่งสำคัญเรื่องการแพร่กระจายอุดมการณ์ความคิดรุนแรงนั้น มันสามารถเข้าถึงปัจเจกบุคคลได้ทั่วถึง ซึ่งป้องกันยากทั้งในหลายประเทศ

ศราวุฒิ ฉายภาพอีกว่า การมีคนไทยบางส่วนเห็นใจไอเอส ต้องดูเหตุผลเบื้องลึกว่าการแสดงออกนั้น มันเป็นสาเหตุจากปัจจัยใด แต่เท่าที่ทราบไม่ได้ต้องการสร้างรัฐอิสลามในไทย ดังนั้นหน่วยงานความมั่นคงต้องระมัดระวัง ไม่ใช่เหมารวมว่าเป็นผู้ก่อการร้าย

อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ทางการออสเตรเรียได้ส่งข้อมูลให้กับตำรวจไทย ว่ามีคนไทยเข้าไปในซีเรียมากพอสมควร ซึ่งส่วนตัวอธิบายว่ามีคนไทยเข้าไปซีเรียจริง แต่คนกลุ่มนี้เข้าไปช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแล้วกลับมา

“สงครามซีเรียมีหลายมิติที่ต้องทำความเข้าใจ เพราะมีคนเดือดร้อนจากเหตุสงครามกลางเมือง การต่อสู้กับระบอบปกครองแบบเผด็จการ ไม่ได้เชื่อมโยงกลุ่มไอเอส แถมกลุ่มต่างๆ เหล่านี้ต้องมาสู้กับกลุ่มไอเอส นอกจากรัฐบาล”

อย่างไรก็ดี เพื่อนบ้านไทย เช่น ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย อินโดนีเซีย บรูไน และไทย ไม่มีคนเข้าร่วมกับกลุ่มไอเอส เพราะมีพื้นฐานความรู้ทางศาสนาอิสลาม อีกทั้งไทยให้อิสรเสรีภาพนับถือศาสนา พร้อมทั้งส่งเสริมการเรียนและกิจกรรม ตรงนี้เป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้เยาวชนถูกชักจูงจากกลุ่มไอเอสในลักษณะบิดเบือนคำสอน

“หน่วยงานข่าวกรองอังกฤษสรุปผลการศึกษาการก่อการร้ายในยุโรปน่าสนใจมาก เพราะคนที่เป็นผู้ก่อการส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมด ไม่มีพื้นฐานทางด้านศาสนา มีน้อยมากที่อยู่ในครอบครัวยึดหลักการคำสอน ความคิดคนยุโรป เวลามุสลิมเคร่งครัดศาสนามากๆ มันจะนำไปสู่การใช้ความรุนแรง เป็นพวกสุดโต่ง แต่ความเป็นจริงมันไม่ใช่ ยิ่งมีพื้นฐานความรู้ทางศาสนามากเท่าไหร่ มันจะเป็นภูมิคุ้มกันไม่ให้พวกบิดเบือนหลักการทางศาสนา หรือตีความศาสนากันแคบๆ ชักจูงไปได้ง่าย”

รองผู้อำนวยการ ศูนย์มุสลิมศึกษาฯ ยังมองอีกว่า ภูมิภาคเซาท์อีสต์เอเชีย กลุ่มไอเอสอาจสามารถชักจูงคนจำนวนน้อยเข้าร่วมได้ เพราะภูมิภาคนี้มีประชากรมุสลิม 300 กว่าล้านคน ครึ่งหนึ่งเป็นมุสลิม แต่ไปร่วมไม่เกิน 400-500 คน หากคิดเป็นเปอร์เซ็นต์ยังไม่ได้ ด้วยเหตุผลอันนี้กลุ่มไอเอสยังไงก็ไม่สามารถตั้งฐานที่มั่นในภูมิภาคเซาท์อีสต์เอเชียได้ เว้นแต่ประชากรมุสลิมในพื้นที่ยอมรับ

อย่างไรก็ตาม กลุ่มไอเอสต่อสู้โดยใช้หลักจีฮัด คือ ใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบกับศัตรู มองคนอื่นว่าไม่ใช่มุสลิมสามารถฆ่าได้ไม่บาป ซึ่งหลักการนี้ขัดแย้งกับหลักคำสอนทางศาสนาชัดเจน เพียงแต่คนไม่มีพื้นฐานทางศาสนาจะไม่เข้าใจโดยเฉพาะเยาวชน เนื่องด้วยธรรมชาติการใช้ความรุนแรงมีมากอยู่แล้ว มันก็เลยไปกันใหญ่

“เรื่องนี้ต้องเป็นยุทธศาสตร์ระยะยาว แต่ไทยไม่มียุทธศาสตร์อะไรทั้งนั้น แต่ว่าเราให้เสรีภาพในการทำกิจกรรมทางศาสนา จึงเห็นได้ว่าเราสร้างภูมิกันในลักษณะนี้มาตั้งแต่ต้น แต่อินโดนีเซีย มาเลเซีย เป็นมุสลิม 100% เรื่องพวกนี้เขาไม่ได้ให้ความสนใจ อย่างไทยประชากรมุสลิมบ้านเราสิ่งสำคัญสำหรับเขา คือ การดำรงไว้ซึ่งอัตลักษณ์ของตัวเอง วิธีการคือเรียนและศึกษาตั้งแต่เล็กๆ เพื่อทำให้อัตลักษณ์ตัวเองดำรงอยู่เมื่อเติบใหญ่”

สำหรับกรณีภาคใต้ เช่น เหตุการณ์ระเบิดต่างๆ ศราวุฒิ มองว่าคือเรื่องการเมือง และเอาเรื่องศาสนามาเป็นเครื่องมือบ้าง แต่ภาพรวมมุสลิมในไทย เท่าที่สัมผัส หรือกลุ่มคนไปเรียนยังประเทศตะวันออกกลางหลายหมื่นหลายพันคนนั้น ถือว่าเป็นคนมีความรู้ทางศาสนา และไม่มีแม้แต่คนเดียวไปร่วมกับกลุ่มไอเอส หรือแสดงท่าทีสนับสนุน เพราะว่าสถาบันทางด้านศาสนาต่างๆ ที่ไปเรียนไม่ให้การยอมรับกลุ่มไอเอส

“เราต้องไม่ประมาท ผมไม่แน่ใจสถานการณ์จังหวัดในชายแดนใต้ แต่คิดว่าขบวนการก่อความไม่สงบ ไม่ได้มีแค่ขบวนการเดียว อาจจะมีบางกลุ่มต้องการเจรจารัฐบาล เพื่อที่จะร่วมมือกันสร้างสังคมใหม่ขึ้นในภาคใต้ เป็นสังคมที่ให้ความสำคัญกับอัตลักษณ์มลายูมากยิ่งขึ้น จากอดีตที่ผ่านมารัฐไม่ให้ความสำคัญหรือเลือกปฏิบัติ วันนี้คนกลุ่มนี้ยึดแนวทาง ต่อรอง พูดคุย สร้างข้อตกลงระหว่างกัน

แต่ไม่แน่ใจกลุ่มก่อความไม่สงบที่เป็นประชาชนคนรุ่นใหม่ยอมรับแนวทางนี้หรือไม่ และเยาวชนส่วนน้อยเหล่านี้ใช้ความรุนแรงเป็นลักษณะวิธีการก่อการร้ายด้วยซ้ำไป กลุ่มเหล่านี้เสี่ยง ถ้าไม่ให้ความสนใจ อนาคตข้างหน้าอาจกลายเป็นกลุ่มไม่เชื่อมั่นในโซลูชั่นที่รัฐมอบให้ แล้วหันไปยึดแนวทางวิธีการก่อการร้ายและเชื่อมโยงกับเครือข่ายข้างนอกก็เป็นไปได้”

ศราวุฒิ ย้ำว่า สิ่งที่รัฐบาลไทยดำเนินการอยู่ถือว่าถูกทาง คือ ไม่ใช้ความรุนแรง รักษาความยุติธรรม รวมถึงรักษาอัตลักษณ์ และควรร่วมมือกับคนที่มาพูดคุยเจรจา เพื่อให้เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในการแก้ปัญหาเยาวชนคนรุ่นใหม่ และอย่ามองเพียงว่าเจรจาแล้วยังเกิดความรุนแรง ซึ่งการเจรจามีเป้าหมายสร้างสังคมร่วมกันใหม่จากสิ่งที่มันผิดพลาดในอดีต และเดินไปข้างหน้าด้วยกัน กลุ่มใช้ความรุนแรงอาจจะไม่สามารถใช้มาตรการระยะสั้นได้ แต่ทำให้กลุ่มนี้เป็นพวกชายขอบ ไม่มีบทบาท ไร้การยอมรับ ก็จะสลายไปเอง

สำหรับเหตุการณ์ระเบิดที่โรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า ถ้าให้มองยุทธศาสตร์กลุ่มไอเอสไม่เกี่ยวข้อง เพราะเป้าหมาย คือ การสถาปนารัฐอิสลามขึ้น หากการที่กลุ่มไอเอสก่อเหตุในกรุงเทพฯ ไม่มีผลต่อเป้าหมาย และไทยถ้าหากเสี่ยงจากการปฏิบัติการของกลุ่มไอเอส มันจะต้องเป็นพื้นที่ผลประโยชน์ของมหาอำนาจ

“เราไม่ได้เป็นประเทศมุสลิม ดังนั้นไม่สามารถที่จะมาเปลี่ยนไทยเป็นประเทศมุสลิมได้ หากปฏิบัติการจริงและส่งผลต่อภาพลักษณ์หรือต่อบทบาทเขาในพื้นที่นี้ เขาต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพการก่อเหตุกับผลประโยชน์มหาอำนาจ ไม่ใช่เลือกโรงพยาบาล แต่ถ้าโยงภาคใต้ บีอาร์เอ็น ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง”

อย่างไรก็ตาม ส่วนจะโยงหรือไม่นั้น บางครั้งก็โยง เช่น เหตุระเบิดใต้หลายจุดทางภาคใต้ตอนบน และก็ระเบิดอีกหลายครั้ง มันมีส่วนเกี่ยวโยงกับขบวนการก่อความไม่สงบ แม้โรงพยาบาลก็เป็นไปได้ เพราะคนเหล่านี้ยึดแนวทางความรุนแรง ฉะนั้นไม่ต้องการความชอบธรรมใดๆ ทางการเมืองทั้งสิ้น เชื่อว่าส่วนใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มก่อความไม่สงบ ยึดแนวทางการเมือง คือ พูดคุยเจรจา และต้องการความช่วยเหลือจากประชาคมโลก อย่างองค์การความร่วมมืออิสลาม (โอไอซี) หรือแม้แต่สหประชาชาติ (ยูเอ็น)

 

“หมดเวลากลัวตำรวจ (เลว) เเล้ว” มาร์ค-ณัชพล สุพัฒนะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 พฤษภาคม 2560 เวลา 20:12 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/496459

"หมดเวลากลัวตำรวจ (เลว) เเล้ว" มาร์ค-ณัชพล สุพัฒนะ

โดย…วรรณโชค ไชยสะอาด

วันที่ความรู้สึกของประชาชนห่างไกลออกไปจากความไว้วางใจที่มีต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ ชื่อของ “มาร์ค พิทบูล” ณัชพล สุพัฒนะ กำลังโด่งดังเเละได้รับความสนใจจากประชาชนในฐานะจอมวิพากษ์วิจารณ์เจ้าหน้าที่รัฐตัวฉกาจ

หนุ่มใหญ่ผมยาว คิ้วเข้ม มาดเท่ นั่งอย่างสบายอารมณ์บนเก้าอี้ไม้ใน Pitbullzone ร้านกาแฟและร้านล้างรถย่านเฉลิมพระเกียรติ–ศรีนครินทร์ เขาพร้อมแล้วที่จะเปิดเผยประวัติและเส้นทางชีวิตที่ผ่านมา

จากชายผู้เชี่ยวชาญเรื่องพฤติกรรมสุนัขพันธุ์ดุ สู่นักวิจารณ์ตำรวจ ผู้ออกหน้าออกตาและประกาศขอความเป็นธรรมให้กับประชาชน

แจ้งเกิดในฐานะเจ้าของพิทบูล

มาร์ค พิทบูล จบการศึกษาระดับปริญญาตรีจาก คณะบริหารธุรกิจ สาขาวิชาการโฆษณาและการประชาสัมพันธ์ และระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจ จากประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยความชื่นชอบสุนัขและเลี้ยงไว้ตั้งแต่สมัยเรียนที่เมืองนอก เมื่อกลับมาเมืองไทยในปี ค.ศ. 2000 จึงหอบหิ้ว “อเมริกัน พิทบูล เทอร์เรีย” สุนัขพันธุ์ดุที่สุดในโลกกลับมาด้วย ซึ่งไม่เพียงแต่เลี้ยงดู เจ้าตัวยังถ่ายทอดเรื่องราวประสบการณ์ เทคนิคการดูแล ตลอดจนรณรงค์ให้คนเลี้ยงสุนัขอย่างถูกต้องไม่สร้างปัญหาให้กับสังคม โดยเผยแพร่ผ่านทางเว็บไซต์ของตัวเอง

“เขียนเล่าเรื่อง จนมีคนติดตามมากขึ้นเรื่อยๆ เข้ามาถามปัญหาการเลี้ยงหมา ต่อมามีการนัดมิตติ้ง จัดสัมมนา กิจกรรมไปเที่ยววัดทำบุญต่างจังหวัด เรียกว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นมาร์ค พิทบูล เลยครับ”

ชื่อเสียงของมาร์ค เริ่มติดหูในวงการสุนัข นอกจากตอบคำถามและเขียนเรื่องราวผ่านเว็บไซต์แล้ว ยังได้รับโอกาสเขียนคอลัมน์ให้กับนิตยสารประเภทสัตว์เลี้ยงด้วย อย่างไรก็ดีเนื้อหาในบทความดังกล่าว กลับถูกให้น้ำหนักในประเด็นสังคมมากกว่าเรื่องราวของสุนัข

“ให้มุมมองการทำงาน การแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน รัฐบาลประกาศนโยบายแบบนี้ ส่งผลยังไงต่อประชาชน วิเคราะห์กันไป ส่วนใหญ่เขียนเรื่องในกระแส ตอนท้ายค่อยตบด้วยเรื่องหมา เลี้ยงยังไง สัปดาห์นี้มีกิจกรรมอะไร โน่นนี่นั่น”

เหตุผลที่เขาเลือกวิพากษ์วิจารณ์เรื่องอื่นๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสังคมเพราะมองว่า การเลี้ยงสุนัขจะโฟกัสอยู่เพียงแค่การดูแลและฝึกหัดไม่ได้ ชีวิตจริงคนเรามีมากกว่านั้นซึ่งนับเป็นเรื่องสำคัญที่ทุกคนต้องรับรู้

“บางคนเขาก็ถาม คอลัมน์ในหนังสือหมา แต่ทำไมมีเรื่องหมานิดเดียว ผมตอบว่า คนเลี้ยงหมา รักหมา ไม่ใช่ว่าทุกลมหายใจเข้าออกต้องมีแต่หมา คนเราต้องกินข้าว ต้องใช้รถ ใช้ถนน ไฟฟ้า น้ำประปา คนเลี้ยงหมาต้องสนใจเหตุการณ์ความเป็นไป เพื่อนบ้าน ความเดือนร้อนในสังคม เราต้องรู้”

มาร์ค พิทบูล โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ หลังจากมีเหตุการณ์สุนัขทำร้ายและกัดคนตาย สื่อหนังสือพิมพ์ โทรทัศน์ วิทยุ พากันติดต่อขอสัมภาษณ์ในฐานะผู้เชี่ยวชาญและนักปรับพฤติกรรมสุนัข ส่งผลให้เขามีชื่อเสียงวงกว้างในวงการสุนัขโดยเฉพาะพิทบูล

“ตอนนั้นไปออกแทบทุกช่อง แรกๆ พูดแค่เรื่องพิทบูล ตอนหลังก็ไปมันทุกพันธุ์ คนมาปรึกษามากขึ้นเรื่อยๆ”

จากวิจารณ์หมาสู่การวิจารณ์ตำรวจ

จากบทบาทนักปรับพฤติกรรมสุนัข ปัจจุบันมาร์ค พิทบูลมีชื่อเสียงในฐานะนักวิจารณ์เจ้าหน้าที่รัฐและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับประชาชนผู้เดือดร้อน

การแสดงความเห็นทั้งหมดในหน้าเฟซบุ๊กของเขาถูกหล่อหลอมมาจากประสบการณ์ส่วนตัวที่ต้องพบเจอกับตำรวจบ่อยครั้งตลอดการเดินทางขึ้นเหนือล่องใต้ “ผมลงจากรถไปเถียงกับตำรวจประจำ” เขาเอ่ยถึงพฤติกรรมของตัวเองด้วยรอยยิ้ม

“ตำรวจต่างประเทศเป็นมิตรกับประชาชน บ้านเราออกแนวรังแก ใช้อำนาจโดยมิชอบ ขับรถโดนเรียก โบกไถ่ตังค์ ผมชักเริ่มหงุดหงิด เริ่มเถียงมาเรื่อยๆ แต่สมัยนั้นไม่มีเฟซบุ๊กเหมือนทุกวันนี้เลยยังไม่มีคนรู้จัก”

เหตุการณ์ที่ทำให้ผู้ชายคนนี้แจ้งเกิดในด้านการเรียกร้องความเป็นธรรมต่อเจ้าหน้าที่รัฐก็คือ การเปิดประเด็นเรื่อง ป้ายทะเบียนรถแตกลายงา เขาตั้งคำถามว่า ทำไมประชาชนต้องเดือดร้อนด้วยการเดินทางไปเปลี่ยนป้ายทะเบียนถึงขนส่งทางบกด้วย ทำไม่ส่งมาให้เหมือนใบสั่งตำรวจ

“มันไม่ใช่ความผิดประชาชน ทำไมคุณส่งมาไม่ได้ มันไม่เป็นธรรม” ชายหนุ่มบอกถึงเรื่องที่ถูกแชร์ต่ออย่างกว้างขวางในอดีต

เหตุการณ์ที่สองคือการต่อสู้ กรณีปัญหาเรื่องเกียร์พังของรถฟอร์ด จนสุดท้ายสามารถเรียกร้องเงินคืนได้สำเร็จ

เหตุการณ์ที่สามเป็นคลิปอันโด่งดังไปทั่วโลกออนไลน์มีคนดูเกือบ 3 ล้านครั้งและแชร์ต่อนับแสน เป็นภาพเจ้าตัวถกเถียงกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ประเด็นการ “เสริมแหนบ” รถเพื่อทำให้รถยนต์สามารถบรรทุกได้มากขึ้น

อีกเหตุการณ์ที่ทำให้ชื่อของมาร์ค พิทบูลเป็นที่รู้จักเป็นจำนวนมากก็คือการประกาศระดมเงินจำนวน 1 ล้านบาทเพื่อมอบให้กับ จอมทรัพย์ แสนเมืองโคตร อดีตข้าราชการครูที่ถูกตัดสินจำคุกเมื่อปีพ.ศ. 2556 หลังเห็นว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมและต้องสูญเสียหลายสิ่งสำคัญในชีวิต

“ผมและทุกคนมอบเงินเพื่อสะท้อนการทำงานที่ไม่เป็นธรรมของภาครัฐและความล่าช้าในกระบวนการยุติธรรม” มาร์คระบุ

ทั้ง 4 เหตุการณ์เป็นประเด็นตัวอย่างที่เขาออกมาร้องเรียนและได้รับแรงสนับสนุนจำนวนมากจากสังคม ปัจจุบันมีคนติดตามในเฟซบุ๊กแฟนเพจ Pitbullzone กว่า 3.5 แสนคน แต่ละโพสต์ที่อัพเดทนั้นได้ความสนใจอย่างมากและกลายเป็นพื้นที่เรียกร้องขอความเป็นธรรมรวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากประชาชน

“รวมพลคนหัวแข็ง” ปฏิรูปตำรวจเป็นเรื่องของทุกคน

ล่าสุดมาร์ค พิทบูล จับมือกับ เกรียงไกร ไทยอ่อน เจ้าของฉายา ‘จเรโป้งเหน่ง’ ผู้ต่อสู้กับการตั้งด่านผิดกฎหมาย เเละ เกิดผล แก้วเกิด ทนายความอิสระขวัญใจโซเชียลมีเดีย ร่วมปฏิญาณต่อสู้กับความไม่ธรรมในสังคมและเรียกร้องให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง โดยพวกเขาเรียกการรวมตัวครั้งนี้ว่า “รวมพลคนหัวแข็ง”

ประธานชมรมมิตรภาพพิทบูล บอกว่า รวมพลคนหัวแข็งเป็นการรวมตัวของพันธมิตรมากมายหลากหลายกลุ่ม  คอยแลกเปลี่ยนข้อมูล และทำหน้าที่กดดันทางสังคมผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย ซึ่งถือว่ามีพลังค่อนข้างสูง

“สิ่งที่เราพยายามรณรงค์คือ ประชาชนต้องไม่ทำผิดกฎหมาย พยายามสอนให้พวกเขาแข็งแรง แก้ปัญหาและดูแลตัวเองได้มากขึ้น เราเอาความรู้ ประสบการณ์ที่เจอมาถ่ายทอดให้เขาฟัง เริ่มจากบอกให้เขาช่วยเหลือตัวเองก่อนโดยมีเราเป็นพี่เลี้ยง ถ้าไม่ไหวถึงเข้าไปสบทบ ตอนนี้ทุกคนเริ่มตื่นตัว เริ่มไม่กลัว ถ้าไม่ผิดเริ่มสู้ ผมถือว่าเป็นนิมิตหมายอันดีในสังคม”

หนุ่มใหญ่ ยืนยันว่าไม่คิดเป็นปฏิปักษ์ต่อตำรวจหรือเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ต้องการให้ตำรวจกลับมาเป็นที่พึ่งของประชาชน เปลี่ยนแปลงภาพพจน์ขององค์กรที่ตกต่ำให้กลับมาน่าศรัทธาและได้รับการยอมรับอีกครั้ง

“ทำไมผู้ใหญ่ไม่ช่วยกัน  เราพยายามกดดันภาครัฐและผู้นำให้เปลี่ยนแปลง ทุกวันนี้เราพูดเรื่องปฏิรูปแต่ยังไม่มีการปฏิรูปที่เป็นรูปธรรม มีแต่การออกมาตรการรังแกประชาชน  การปฏิรูปมันต้องเริ่มจากตำรวจ ประชาชนพร้อมอยู่แล้ว ทุกคนต้องการตำรวจที่ดี ให้ความเป็นธรรม ไม่รังแกกัน”

เรื่องเร่งด่วนที่มาร์คเห็นว่าเปลี่ยนแปลงได้ไม่ยาก ลดความเกลยีดชังระหว่างตำรวจและประชาชนได้ทันทีก็คือ การปรับวิธีการทำงาน การแก้ไขข้อกฎหมายที่ล้าหลัง ลดการใช้ดุลยพินิจให้น้อยลง รวมถึงอย่าพยายามนำช่องว่างของกฎหมายมาเป็นประโยชน์แก่ตัวเอง

“ความรุนแรงของบทลงโทษนั้นมีการปรับแก้มาเสมอ แต่กฎหมายบางข้อที่ใช้มาตั้งแต่อดีต กลับไม่ได้รับการแก้ไข ถามว่ายุติธรรม สอดคล้องกับการปฏิบัติจริงหรือไม่ ตัวอย่างเช่น การอนุญาตให้รถยนต์วิ่งด้วยความเร็วไม่เกิน 90 กม.ต่อชั่วโมง ทั้งๆ ที่รถยนต์สมรรถนะดีขึ้น ถนนดีขึ้น แต่ความเร็วกลับถูกจำกัดเหมือนเดิม กลายเป็นช่องทางหากินของตำรวจ เรื่องใกล้ตัวแบบนี้ มีผลต่อความรู้สึกระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนมาก” ชายหนุ่มระบายพร้อมกับบอกว่า

“ตั้งด่าน เดินวนรอบคัน ควานหาข้อหาให้ได้เพื่อเอาเปอร์เซนต์จากใบสั่ง มันก็ยิ่งเพิ่มความเกลียดชัง ผมเลยรณรงค์ให้ยกเลิกส่วนแบ่งค่าปรับจราจรซะเถอะ”

 

 

ไม่ใช่แค่ตำรวจเท่านั้นที่ต้องเปลี่ยนแปลง แต่ประชาชนก็ถือเป็นกุญแจสำคัญอันนำไปสู่การพลิกโฉมวงการสีกากี

เจ้าของฉายาเฮียแหนบ บอกว่า ถึงเวลาที่ประชาชนต้องไม่ยอมเพิกเฉยกับการโดนเอารัดเอาเปรียบหรือรังแก จนกลายเป็นนิสัยและวัฒนธรรมผิดๆ ที่ถูกฝังลึกในสังคม

“สมัยก่อนคนไทยชอบใช้คำว่าฟาดเคราะห์ ใช้เงินซื้อปัญหา คิดว่าไม่เป็นไร รู้ว่าตัวเองโดนรังแก ไม่ผิดก็ยอมจ่าย เพราะถ้าเป็นคดีความมันเสียเงิน เสียเวลามาก ต้องลางาน อดหลับอดนอนไปให้ปากคำ ไปพบอัยการ ศาล หมดแรง คนเลยเลือกจ่ายเงิน จบ ซื้อความสบาย แต่อีกด้านมันเท่ากับสร้างนิสัยและกลายเป็นธรรมเนียมไม่ดี ถึงเวลาที่ประชาชนต้องยอมเสียสละตัวเองแล้ว อย่าคิดว่าธุระไม่ใช่  เพราะมันเป็นการสร้างนิสัยไม่ดีให้กับตำรวจ”

มาร์ค เรียกร้องให้ประชาชนปฏิรูปตัวเอง กล้าที่สู้และฟ้องร้องต่อสังคมหากว่าตัวเองไม่ผิด รวมถึงเห็นว่าการพัฒนาความรู้และปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัดก็นับเป็นหน้าที่สำคัญของทุกคนที่ส่งผลดีต่อการปฏิรูปวงการตำรวจเช่นกัน

“อย่ารอให้เป็นหน้าที่ของใคร  การปฏิรูปประเทศหรือตำรวจจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จมันอยู่ที่ประชาชนเป็นสำคัญด้วย ไม่มีทางปฏิรูปประเทศสำเร็จได้ ถ้าประชาชนไม่ยอมปฏิรูปตัวเอง”

เป้าหมายและความฝันของณัชพล คือการตอบแทนคุณแผ่นดินและสังคมด้วยจิตสาธารณะเพื่อยกระดับประเทศให้แข็งแกร่งมีประชาชนและตำรวจที่ทำงานอย่างมืออาชีพ

“เราสร้างเนื่อสร้างตัวจนมีวันนี้ ใช้ทรัพยากรเยอะกว่าคนอื่น ใช้รถมากกว่า ใช้ถนนมากกว่า น้ำไฟมากกว่า เพราะอย่างนั้น เราควรต้องตอบแทน คืนกำไรสู่สังคมบ้าง วันนี้ผมมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ไม่ได้ร่ำรวยมากแต่ไม่ได้เดือดร้อน อยากให้คนร่ำรวยทั้งหลายแหล่ไม่ลืมว่าเราโตมาได้ไง ควรมีจิตสาธารณะ ตอบแทนสังคมบ้าง ประเทศเราจะดีขึ้น” ณัชพล สุพัฒนะ จบด้วยรอยยิ้ม

คลิปที่ได้รับความสนใจอย่างมากเมื่อครั้งถกเถียงเรื่องการติดตั้งเเหนบรถยนต์

 

ปัญหาใหม่แก้น้ำท่วม ไม่บูรณาการ…ต่างคนต่างสร้าง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

25 พฤษภาคม 2560 เวลา 06:20 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/496360

ปัญหาใหม่แก้น้ำท่วม ไม่บูรณาการ...ต่างคนต่างสร้าง

โดย…ธเนศน์ นุ่นมัน

ทุกครั้งที่เกิดฝนตกติดต่อกันหลายวัน กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศว่าจะเกิดฝนตกหนักติดต่อกัน ข้อกังวลเรื่องน้ำท่วมในพื้นที่ต่างๆ ก็ตามมาทันที โดยเฉพาะความกังวลว่าจะเกิดท่วมใหญ่ซ้ำรอยปี 2554

เพื่อหาคำตอบถึงการดำเนินการในมาตรการป้องกันน้ำท่วมที่สามารถคลายความกังวลลง โพสต์ทูเดย์พูดคุยกับดร.สิตางค์ พิลัยหล้า นักวิชาการจากอนุกรรมการวิศวกรรมสถานแหล่งน้ำฯ อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ (มก.) เพื่อให้ได้คำตอบและความกระจ่างในเรื่องนี้

อาจารย์สิตางค์เริ่มสนทนาด้วยการตั้งคำถามว่า หลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่เมื่อปี 2554 รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ดำเนินการอะไรเพื่อรับมือกับเหตุการณ์น้ำท่วมในอนาคตบ้าง  แต่จากที่ได้ติดตามเรื่องนี้พบว่าหลังเหตุน้ำท่วมงบประมาณจำนวนมากถูกอนุมัติไปในการซ่อมแซมส่วนต่างๆ ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ส่วนใหญ่เป็นถนนที่ถูกน้ำกัดเซาะ นอกจากนี้องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ต่างๆ หลายแห่ง ยังได้รับงบประมาณไปยกระดับถนนที่น้ำท่วมถึงให้สูงขึ้นเพื่อป้องกันไม่ให้น้ำท่วมถึงอีกด้วย

อย่างไรก็ดี งบประมาณในส่วนดังกล่าวไม่ถือว่าใช้เพื่อป้องกันน้ำท่วมในอนาคต เพราะไม่ได้ช่วยให้ระบบระบายน้ำดีขึ้น

“เงินที่ท้องถิ่นบางแห่งนำไปปรับปรุงถนน นอกจากจะไม่ช่วยให้ระบายน้ำจากบางพื้นที่แล้ว ยังกลายเป็นการสร้างปัญหาใหม่อีกด้วย การยกพื้นถนนที่ให้สูงขึ้น หลังปี 2554 ก่อให้เกิดปัญหาในทำนองนี้ในหลายพื้นที่” อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ มก.ระบุ

อาจารย์สิตางค์ กล่าวว่า กรณีเรื่องการซ่อมแซมและการยกระดับถนนในหลายเส้นทางโดยไม่ตอบโจทย์การระบายน้ำนั้น ได้รับคำอธิบายจากกรมทางหลวงว่าไม่สามารถเพิ่มงบประมาณเพื่อปรับปรุงทางระบายน้ำ ให้ถนนมีประสิทธิภาพในการระบายน้ำได้ เพราะถนนทั่วประเทศมีกว่า 6 หมื่นกิโลเมตร ต้องใช้งบประมาณสูงถึง 6 หมื่นล้านบาท

ทั้งนี้ งบประมาณหลังอุทกภัย 2554 ที่นอกเหนือจากการซ่อมแซมถนนแล้ว การวางแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมนั้น ยังกระจายไปยังหน่วยงานอื่นๆ ซึ่งแต่ละหน่วยงานมีงานที่ซ้อนกันอยู่

อาจารย์บอกว่า ที่เห็นชัดก็คือเรื่องของการสร้างพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสายหลัก ปิง วัง ยม น่าน ในจังหวัดต่างๆ ที่มีทั้งสร้างขึ้นและพังไปแล้ว จนมีการสร้างใหม่แล้ว หลายพื้นที่กลายเป็นสร้างปัญหาเชิงสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

นอกจากนี้ กำแพงสองฝั่งแม่น้ำยังสร้างผลกระทบทำให้น้ำในหลายจุด ระบายออกจากพื้นที่ไม่ได้อีกด้วย การจัดการในทำนองนี้เป็นตัวอย่างของการจัดการน้ำที่กลัวอุทกภัยเมื่อปี 2554 จนลืมไปว่าน้ำท่วมเมื่อปี 2554 นั้นเกิดจากน้ำเหนือไหลบ่าลงมาตามแม่น้ำจนเกินความจุ ทำให้ไหลบ่าท่วมพื้นที่ริมแม่น้ำ จึงให้ความสำคัญกับการสร้างพนังกั้นไม่ให้ล้นจากแม่น้ำสายหลัก

นอกเหนือจากปัญหาการระบายน้ำที่ตามมาและกลายเป็นภาระที่คาดไม่ถึงแล้ว อาจารย์ประจำคณะวิศวกรรมศาสตร์ยังอธิบายด้วยว่า ตัวพนังกั้นน้ำริมแม่น้ำสายหลักที่ถูกสร้างขึ้นก็กลายเป็นปัญหาเช่นกัน

“การก่อสร้างพนังเพื่อรับมือน้ำท่วมหลังปี 2554 เป็นต้นมายังคงเป็นเรื่องของแต่ละพื้นที่ ต่างคนต่างสร้าง หากสำรวจพื้นที่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก็จะพบว่าพนังกั้นน้ำยังแหว่งเป็นบางช่วง จุดที่เป็นทางระบายน้ำบางจุดก็ยังอยู่ในระหว่างการศึกษาผลกระทบ”

อย่างไรก็ตาม นักวิชาการด้านน้ำท่านนี้ ระบุว่าโอกาสที่จะเกิดน้ำท่วมเหมือนปี 2554 นั้นเป็นไปได้ยาก เพราะหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านนี้ อย่างกรมชลประทานมีประสบการณ์และสรุปบทเรียนจากอุทกภัยในปีนั้นแล้ว

“ถามว่าถ้าตอนนี้มีน้ำมาจะมีน้ำเอ่อท่วมหรือไม่ ก็ต้องตอบว่ามี แต่กรมชลประทานจะเคร่งครัดเรื่องการบริหารจัดการพร่องน้ำไม่ให้เกิดปัญหาซ้ำรอยเหมือนปี 2554 แน่นอน เมื่อน้ำมาในปีนี้จึงเป็นการรับมือตามสภาพด้วยศักยภาพการป้องกันที่มีอยู่ ปัญหาน้ำจะกลายเป็นเรื่องการจัดการปัญหาเฉพาะจุดเร่งสูบออกจากพื้นที่ไปสู่แม่น้ำสายหลักที่ใช้ระบายให้เร็วที่สุด”

สิ่งที่น่ากังวลก็คือ หลังจากปี 2554 เป็นต้นมา ระบบป้องกันน้ำในพื้นที่ของเอกชนที่ต่างคนต่างสร้างนั้นไม่มีหน่วยงานรัฐเข้าไปกำกับดูแล ส่งผลให้สภาพทางกายภาพของสองฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยานั้นเปลี่ยนแปลงไปมาก จนกล่าวได้ว่า ไม่มีหน่วยงานราชการที่มีข้อมูลพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยาที่ถูกต้องเท่าทันความเปลี่ยนแปลงในช่วง 7 ปี ที่ผ่านมามีสิ่งก่อสร้างเพิ่มขึ้นมากมายและเอกชนที่สร้างก็ต่างสร้างและถมพื้นที่เพื่อหนีปัญหาน้ำท่วม นั่นหมายความแบบจำลองสถานการณ์น้ำท่วมที่เคยใช้เพื่อคำนวณความเสียหายกันช่วงก่อนหน้านั้น จะได้ผลลัพธ์ที่ออกมาคลาดเคลื่อนอย่างแน่นอน

“กรณีดังกล่าวหมายความว่า หากมีปริมาณน้ำเท่าปี 2554 ย่อมเป็นไปได้ยาก ที่จะรู้ได้ว่าน้ำที่ท่วมจะไหลไปทางไหนตัวอย่างนี้ สรุปคือตั้งแต่ปี 2554 ถึงปัจจุบัน ประเทศเรายังไม่เคยพร้อมเพื่อรับมือกับปัญหา จริงๆ เลย ดังนั้นการบริหารจัดการเครื่องมือและบุคลากรที่มีอยู่จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด” อาจารย์สิตางค์ กล่าวทิ้งท้าย

 

กว่าถึงวันนี้ ประชารัฐเปลี่ยนชีวิต

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

21 พฤษภาคม 2560 เวลา 07:32 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/495816

กว่าถึงวันนี้ ประชารัฐเปลี่ยนชีวิต

โดย…ปริญญา ชูเลขา, ฐายิกา จันทร์เทพ

2 ปีกับความร่วมมือ 3 ฝ่ายระหว่างภาครัฐ ภาคธุรกิจ และภาคประชาสังคม ภายใต้รูปแบบ “บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี” บริหารจัดการในลักษณะ Social Enterprise หรือวิสาหกิจเพื่อสังคม เป็นการจับมือทำงานร่วมกันเป็นภาคีตั้งเป็น “บริษัท ประชารัฐ” ขึ้นทั้งหมด 76 จังหวัดทั่วประเทศ ในช่วงแรกๆ ของการก่อตั้งภาคธุรกิจจะเป็นพระเอก เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ลงทุนแบบไม่หวังผลตอบแทน

มาวันนี้ดำเนินงานมาแล้วครบ 2 ปี “บริษัท ประชารัฐ” จึงถูกท้าทายว่าแท้จริงแล้วจะกลายเป็น นวัตกรรมใหม่ในการสร้างเศรษฐกิจฐานรากได้จริงหรือไม่ ซึ่งในการขับเคลื่อนภาคประชาสังคม

ผู้ที่เป็นแกนนำสำคัญคือ “นพ.พลเดช ปิ่นประทีป” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สะท้อนผลงานที่ผ่านมาให้ฟังว่า บริษัท ประชารัฐ คือนวัตกรรมใหม่ที่จะสร้างโอกาสและเครื่องมือเพื่อพัฒนาเศรษฐกิจจากฐานรากของประเทศได้จริง เพราะนี่คือการก่อตัวใหม่ของนวัตกรรมที่เป็นกลไกสนับสนุนเศรษฐกิจฐานราก เป็นกลไกที่เป็นสะพานเชื่อมระหว่างเศรษฐกิจมหภาคกับเศรษฐกิจของชุมชน

นพ.พลเดช เป็นหนึ่งในกรรมการกลุ่ม E3 หรือคณะกรรมการเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ด้านเกษตร ผลิตภัณฑ์แปรรูป และการท่องเที่ยวชุมชน โดยมี ฐาปน สิริวัฒนภักดี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ หัวหน้าฝ่ายเอกชน

ขณะที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย เป็นประธานฝ่ายรัฐ และมี นพ.พลเดช เป็นประธานฝ่ายภาคประชาสังคม ในการทำงานที่ผ่านมา เกิดการพูดคุย ประชุม แลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันจนตกผลึกออกมา บริษัท ประชารัฐรักสามัคคีประเทศไทย 1+ บริษัท ประชารัฐ 76 จังหวัด

ผลสำเร็จที่เห็นผลเป็นรูปธรรมชิ้นแรก คือธุรกิจท้องถิ่นต่างๆ ตอนนี้สนใจเข้ามาร่วมกับบริษัท ประชารัฐ จำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเห็นคุณค่าของการทำธุรกิจเพื่อสังคมที่ได้ทั้งกำไรและดูแลสังคมด้วย ที่สำคัญยังได้รับการยกเว้นภาษีด้วย

ที่ผ่านมา 2 ปี จำนวน 76 จังหวัด เกิดการรวมกลุ่มแล้ว 1,782 กลุ่ม สามารถเพิ่มรายได้โดยรวมคิดเป็นมูลค่า 358 ล้านบาท/เดือน โดยในจำนวนนี้มีประชาชนที่ได้รับประโยชน์ 5 หมื่นคน หรือคิดเป็น 1.3 หมื่นครัวเรือน ร่วมกันทำโครงการรวม 201 โครงการ แบ่งเป็นกลุ่มเกษตร 61 โครงการ การแปรรูปผลิตภัณฑ์ 81 โครงการ และ การท่องเที่ยวชุมชน 59 โครงการ ทั้งหมดล้วนเป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี)

จังหวัดตัวอย่างที่อยากนำเสนอถึงความสำเร็จ ล่าสุด จ.นราธิวาส ประสบความสำเร็จอย่างมาก แม้ในตอนเริ่มโครงการแรกๆ จะเกิดปัญหาความมั่นคงกับเหตุการณ์ไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงทำให้เกิดการรวมตัวกันยากมากๆ ดังนั้นจึงต้องขอแรงบริษัทยักษ์ใหญ่ให้เข้ามาช่วยเหลือ จนวันนี้เกิดและแข็งแรงได้ด้วยตัวเอง

เช่น ผลไม้พื้นเมืองอันลือชื่อ “ลองกอง” ที่ อ.ระแงะ ข้าวท้องถิ่นที่ อ.ตากใบ หรือการแปรรูปผลิตภัณฑ์จักสานจากกระจูดที่ อ.ตากใบ ข้าวเกรียบปลากือโป๊ะ และผ้าบาติก เป็นต้น ซึ่งได้รับการสนับสนุนให้นำไปจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ เช่น บิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ หรือเทสโก้ โลตัส สำหรับการท่องเที่ยวชุมชนที่ อ.สุคิริน หรือที่ อ.ระแงะ เป็นต้น ได้รับการสนับสนุน สร้างรายได้จำนวนมากแก่ชาวบ้านและนักธุรกิจท้องถิ่น สิ่งสำคัญหากไม่มีความร่วมมือแบบประชารัฐ คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่ชาวบ้านจะสามารถนำสินค้าตัวเองไปขายในห้างสรรพสินค้าได้

“ประเด็นสำคัญที่อย่ามองข้าม เพราะผลสำเร็จไม่ได้ขึ้นกับรัฐบาล แม้จะเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ไปแล้ว เรายังมีบริษัทที่จดทะเบียนที่ทำงานต่อ คือบริษัททั้งหมด 76 จังหวัด เพราะคนท้องถิ่นถือหุ้นและดำเนินการด้วยตัวเอง ภาครัฐเข้าไปหนุนเท่านั้น เพราะเอาเข้าจริงๆ ถ้าปล่อยให้ภาครัฐทำคงไม่มีน้ำยาใดๆ เลย แต่ตอนนี้เกิดการก่อตัวใหม่ของความร่วมมือภาคธุรกิจกับภาคประชาสังคม”

นพ.พลเดช กล่าวว่า การขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากในช่วง 2 ปี มีปัจจัยที่จะทำให้เกิดความยั่งยืน คือความสามารถของภาคประชาสังคม หรือบริษัท ประชารัฐ ในแต่ละจังหวัด ที่จะมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ามาร่วมกันลงทุน รวมถึงความเชื่อมโยงระหว่างจังหวัด พูดง่ายๆ ว่าเป็นการทำโดยภาคธุรกิจนำ ไม่ใช่ภาคราชการนำเหมือนในอดีต เป็นการเปลี่ยนความคิดในการสร้างความเข้มแข็งชุมชนครั้งสำคัญ โดยให้ “ชุมชนลงมือทำ เอกชนขับเคลื่อน และภาครัฐสนับสนุน” เพราะทราบดีว่าภาคเอกชนมีความเป็นมืออาชีพสูงในการทำธุรกิจ การค้าการลงทุน เก่งด้านวิเคราะห์มอนิเตอร์ข้อมูลตลอดเวลา แต่ถ้าเป็นภาครัฐทำข้าราชการจะบอกแต่สิ่งดีๆ หมดเลย ไม่บอกว่าเกิดอุปสรรคหรือจุดอ่อนตรงไหนบ้างที่ควรปรับปรุงแก้ไข

นพ.พลเดช กล่าวย้ำว่า บริษัท ประชารัฐ ไม่ได้เป็นบริษัทค้าขายเอง แต่เป็น “ตัวเชื่อม” และ “ที่ปรึกษา” ให้ชาวบ้านได้ขายสินค้าให้กับตลาด หรือห้างซูเปอร์สโตร์เหล่านี้ โดยสินค้าของชาวบ้านที่มีโอกาสเข้าไปขายได้ต้องมีความเข้มแข็งพอสมควร กล่าวคือ ต้องเป็นสินค้าที่ขายได้เป็นความต้องการของตลาด มีความคิดสร้างสรรค์ โดยภาคธุรกิจเป็นฝ่ายให้คำปรึกษา เช่น ผลไม้ตามฤดูกาล บริษัท ประชารัฐ ได้ทำให้เกิดการเจรจากัน การตกลงประโยชน์ร่วมกัน ด้านการตั้งราคาขายกันด้วยความเห็นอกเห็นใจระหว่างชาวบ้านกับภาคธุรกิจ แต่ถ้าไม่มีบริษัทกลาง คือ บริษัท ประชารัฐ ชาวบ้านจะเอาของอะไรไปขายในห้างเหล่านี้ได้ ถ้าเข้าไปได้ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงมาก

เช่น ที่ จ.เชียงใหม่ ปกติเกษตรกรขายลำไยได้กิโลกรัมละ 18 บาท แต่พอบริษัท ประชารัฐ เข้ามาเป็นตัวเชื่อมและที่ปรึกษา ไปตกลงกับห้างต่างๆ ตกลงขายกันได้ในราคา 38 บาท/กิโลกรัม นี่คือผลดีของบริษัท ประชารัฐ ทั้งยังให้คำปรึกษาดีๆ ด้วย เช่น วิธีแพ็กเกจจิ้ง การรักษาผลผลิต ระบบขนส่ง และการแบ่งปันผลกำไร ที่สำคัญรายได้เพิ่มที่เพิ่มขึ้นของภาคธุรกิจจะแบ่งส่วนหนึ่งมาสนับสนุนให้บริษัท ประชารัฐ จ้างโครงการคนรักบ้านเกิด จะได้มีรายรับมาหล่อเลี้ยง คนทำงานบริหารบริษัทให้กับภาคประชาสังคม และอีกส่วนหนึ่งมาช่วยขับเคลื่อนดูแลสังคมและสิ่งแวดล้อมด้วย

นพ.พลเดช กล่าวว่า เป้าหมายสำคัญของบริษัท ประชารัฐ คือจะเก็บข้อมูลต่างๆ ไว้หมด พร้อมกับลงพื้นที่โดยนำโครงการรักบ้านเกิดจังหวัดละคน อบรมให้เยาวชนคนรุ่นใหม่เข้ามาเป็นพนักงานประจำจังหวัด ซึ่งการบริหารจัดการส่วนใหญ่เป็นคนจากภาคประชาสังคมกับนักธุรกิจจังหวัด ส่วนใหญ่จะเป็นนักธุรกิจเพื่อสังคม ที่ใส่ใจสังคม สนใจสิ่งแวดล้อม มีการปลูกฝัง รวมกลุ่มกันนับพันๆ คน กลายเป็นแกนนำในการขับเคลื่อนบริษัท ประชารัฐ โดยการนำข้อดีของภาคธุรกิจที่ประสบผลสำเร็จจากการค้าขาย แต่เป็นการค้าขายแบบไม่ใช่การแข่งขันเอาเป็นเอาตาย ขณะที่ภาคประชาสังคมจะเก่งเรื่องเครือข่าย และเรื่องธรรมาภิบาลการดูแลชุมชนและสิ่งแวดล้อมมาประกอบการทำงานร่วมกัน

“ในอนาคต บริษัท ประชารัฐ คือนวัตกรรมใหม่ทางสังคมในการสร้างความเข้มแข็งจากด้านล่าง แต่สิ่งสำคัญรัฐบาลไหนที่เข้ามา ต้องสร้างหลักประกันว่าจะยังคงอยู่ของบริษัท ประชารัฐ เช่น สัตยาบัน หรือกำหนดในยุทธศาสตร์ชาติ หากเปลี่ยนรัฐบาลแล้วภาคธุรกิจยังคงเกิดความมั่นใจที่จะมาร่วมเป็นภาคีในการขับเคลื่อนบริษัท ประชารัฐ ต่อไป เพื่อให้เกิดความยั่งยืนอย่างแท้จริง”

 

‘ซุง วอน เพ็ก’ เด็กหนุ่มเจ้าไอเดีย คิดระบบแก้นํ้าเสียแบบธรรมชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

20 พฤษภาคม 2560 เวลา 08:40 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/495678

‘ซุง วอน เพ็ก’ เด็กหนุ่มเจ้าไอเดีย คิดระบบแก้นํ้าเสียแบบธรรมชาติ

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

เด็กหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีความใฝ่รู้สนใจ ด้านการประดิษฐ์อย่าง ซุง วอน เพ็ก (Seung Won Paek) อายุ 17 ปี นักเรียนเกรด 11 หรือเทียบเท่าระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 5 โรงเรียนนานาชาติกรุงเทพ หรือ International School Bangkok : ISB

เป็นเด็กชาวเกาหลีใต้ที่ติดตามคุณพ่อซึ่งเคยทำงานอยู่ที่องค์การสหประชาชาติ หรือ ยูเอ็น ประจำประเทศไทย เดินทางมาเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 แม้ปัจจุบันพ่อของเขาจะย้ายกลับไปเกาหลีแล้วกว่า 2 ปี แต่เด็กหนุ่มคนนี้ตัดสินใจอยู่กับแม่เพื่อศึกษาต่อมาถึงปัจจุบัน

ซุง วอน เพ็ก เป็นเด็กอายุ 17 ปีที่ไม่ธรรมดา เนื่องจากมีความสนใจด้านการคิดค้นศึกษาสิ่งประดิษฐ์มาตั้งแต่เล็ก ทำให้ปัจจุบันสามารถพัฒนาสร้างเครื่องระบบบำบัดนำเสียด้วยวิธีธรรมชาติ ดูแลธรรมชาติ และขณะนี้ได้รับการสนับสนุนจากทางครอบครัวและพาร์ตเนอร์คนไทยที่เห็นโอกาสทางความคิดของเด็กหนุ่มคนนี้ ร่วมกันเปิดบริษัทรับวางระบบบำบัดน้ำเสีย ด้วยวิธีคิดของเด็กนักเรียนตัวเล็กที่ความคิดไม่เล็กคนนี้

จุดเริ่มต้นการสร้างเครื่องระบบบำบัดน้ำเสียของเด็กชายนักประดิษฐ์รายนี้ เนื่องจากเขาพักอาศัยและเรียนอยู่ย่านถนนแจ้งวัฒนะ เป็นเรื่องปกติที่มักจะไปซื้อของที่ศูนย์การค้าย่านแจ้งวัฒนะเป็นประจำ แต่ทุกครั้งที่ไปแม่ของเขาต้องจอดรถบริเวณอาคารด้านหลัง ก็สังเกตว่าระหว่างทางเดินเข้าตัวอาคาร ต้องผ่านคลองน้ำเสียซึ่งส่งกลิ่นเหม็นรบกวนทำให้เวียนหัวทุกครั้ง

จากนั้นจึงนำปัญหาดังกล่าวมาเป็นโจทย์เริ่มต้น ลองคิดประดิษฐ์เครื่องระบบบำบัดนำเสีย เพื่อต้องการเปลี่ยนน้ำไม่ดีให้กลายเป็นน้ำดี ไม่ส่งผลมลพิษทางกลิ่นและร่างกายต่อคนและสัตว์

 

เริ่มจากศึกษาหาข้อมูลว่า หลักการน้ำที่เสียเกิดขึ้นจากอะไร และต้องทำอย่างไรเพื่อทำให้คุณภาพน้ำเสียดีขึ้น จากนั้นก็ทดลองโดยนำน้ำที่มีระบบบำบัดจากสระในหมู่บ้าน มาเปรียบเทียบกับน้ำคลองที่ไม่มีระบบบำบัดและมีกลิ่นมาทดลอง จากนั้นเมื่อทราบหลักการและมีวิธีแก้ไขก็พยายามติดต่อไปยังบริษัทรับบำบัดน้ำเสียหลายแห่งผ่านทางอีเมล เพื่อขอยืมอุปกรณ์เครื่องมือนำมาใช้ทดลอง แต่ผลที่ได้ ไม่มีบริษัทใดให้ความสนใจติดต่อกลับมา

เขาเล่าว่า บังเอิญมีอยู่วันหนึ่งระหว่างช่วงเวลาพักที่โรงเรียน ได้พบรถที่เข้ามาแก้ปัญหาระบบน้ำเสีย ซึ่งท้ายรถมีสติ๊กเกอร์ข้อความโฆษณาข้างรถระบุชื่อ หจก. ซี.ซี.ที. เวสท์วอเตอร์ ทรีตเม้นท์ จากนั้นจึงตัดสินใจติดต่อไป ไม่น่าเชื่อว่าบริษัทดังกล่าวจะเป็นแห่งเดียวที่ติดต่อกลับมา และยอมรับฟังผลงานไอเดียสิ่งประดิษฐ์ที่ทำขึ้น จากนั้นได้พบกับ คุณชูชาติ ต้นแทน เจ้าของบริษัทก็รับฟังแนวความคิด และให้คำแนะนำการปรับปรุงระบบน้ำเสียที่ตนคิดขึ้น

ซุง วอน เพ็ก อธิบายเพิ่มว่า เครื่องระบบบำบัดน้ำเสียที่คิดขึ้นมา ไม่มีการใช้สารเคมีเหมือนเครื่องทั่วไป เพราะมีจุดเด่นเน้นด้วยวิธีการบำบัดระบบธรรมชาติเป็นตัวหลัก ส่วนอุปกรณ์ที่ใช้เป็นทราย กรวด ถ่านชาร์โคล และผักตบชวา ซึ่งเป็นพืชไม้ที่มีคุณสมบัติช่วยบำบัดน้ำเสีย ภาพรวมระบบดังกล่าวจะเป็นวิธีบำบัดโดยแบบธรรมชาติที่ไม่พึ่งสารเคมี แต่ก็ยอมรับว่าประสิทธิภาพระบบนี้อาจไม่เทียบเท่าเครื่องที่ใช้สารเคมี

แต่หากประเมินผลระยะยาวมั่นใจว่า ไม่เป็นพิษต่อระบบนิเวศอย่างแน่นอน เพราะเทคโนโลยีระบบบำบัดน้ำเสียที่ขายในท้องตลาดส่วนใหญ่เป็นระบบที่ใช้สารเคมีไบโอเคมิคอล หรือสารคลอรีน ทำให้ผลสุดท้ายเป็นวัฏจักรที่จะกลายเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อมระยะยาว และยังมีต้นทุนการผลิตที่สูงกว่า

ขณะที่หลักการทำงานของเครื่องดังกล่าว จะดูดน้ำเสียเข้าไปภายในตัวเครื่อง จากนั้นจะปั๊มอากาศออกซิเจนลงไปในน้ำเสีย เพื่อทำให้แบคทีเรียเจริญเติบโตและกินของเสีย จนเกิดการตกตะกอนและได้น้ำดีขึ้นมาระดับหนึ่ง จากนั้นน้ำตอนแรกจะถูกส่งไปยังระบบกรองผ่านทราย กรวด ถ่านชาร์โคล และพลาสติกเรซิ่น ทำหน้าที่ดูดกลิ่นจับปฏิกูลและธาตุเหล็กขนาดเล็กในน้ำ และเพื่อเป็นการกรองอีกชั้นหนึ่ง

 

จากนั้นน้ำจะถูกส่งต่อไปยังบ่อที่มีผักตบชวา ซึ่งเป็นพืชน้ำที่มีคุณสมบัติช่วยบำบัดน้ำเสียในขั้นตอนสุดท้าย หลังเสร็จสิ้นกระบวนการ จะทำให้ได้น้ำคุณภาพที่ผ่านการบำบัดซึ่งดีกว่าตอนแรก สามารถนำกลับไปใช้ได้หลายอย่าง เช่น ด้านการเกษตร ซึ่งจะเป็นการดีกว่าปล่อยน้ำเสีย ที่ไม่ผ่านการบำบัดลงสู่ธรรมชาติโดยตรง

อย่างไรก็ตาม หากต้องการพัฒนาระบบบำบัดให้น้ำมีคุณภาพดีจนผลิตเป็นน้ำดื่มได้ ต้องมีกระบวนการขั้นตอนอื่นอีกมาก เช่น ใช้ระบบฆ่าเชื้อยูวีเพื่อใช้ทำลายแบคทีเรียที่อยู่ในน้ำ ระบบดังกล่าวจะต้องลงทุนสูง แต่ถึงอย่างไรคาดว่าอนาคตอยากพัฒนาต่อไปให้ถึงขั้นนั้น

ซุง วอน เพ็ก เปิดใจถึงเหตุผลที่ชื่นชอบเรื่องการประดิษฐ์ว่า ปกตินอกจากชอบเล่นกีฬากับดนตรีเป็นประจำ ก็ยังชอบศึกษาหาความรู้ใหม่เกี่ยวกับด้านการประดิษฐ์มาตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น แต่ขณะนั้นด้วยความที่เป็นเด็กไม่รู้ว่าจะต่อยอดอย่างไร จึงทำได้เพียงศึกษามาเรื่อยๆ แต่เมื่อมีโอกาสวิจัยเรื่องบำบัดน้ำและะคิดว่าตนเองรักประเทศไทยเหมือนบ้าน และอยากทำอะไรเพื่อตอบแทนประเทศ เมื่อมีโอกาสจึงลงมือทำ

“อนาคตคิดว่าอยากพัฒนาต่อยอดไปอีก เพราะมองว่าน้ำเป็นสิ่งที่สำคัญต่อสิ่งแวดล้อม จึงควรต้องทำให้เป็นมิตรกับธรรมชาติ จึงอยากพัฒนาน้ำให้มีคุณภาพดีขึ้น ขณะนี้คุณแม่ก็ได้สนับสนุน โดยการร่วมลงทุนกับพาร์ตเนอร์ชาวไทยจัดตั้งบริษัทผลิตระบบบำบัดน้ำเสียขึ้นมาได้ 6 เดือน ภายใต้ชื่อบริษัท เอ็นฟินีตี้ วอเตอร์ เทคโนโลยีส์ ซึ่งเป็นธุรกิจสตาร์ทอัพ โดยนำระบบการบำบัดที่คิดขึ้นมาเป็นจุดขาย และเริ่มใช้ตามพื้นที่ชนบทแล้ว ซึ่งก็ได้ผลดี จึงพร้อมที่จะดัดแปลงระบบดังกล่าวเพื่อรองรับเข้าสู่โรงงานขนาดใหญ่”

ซุง วอน เพ็ก ทิ้งท้ายถึงหลักการทำงานที่แตกต่างจากเด็กรุ่นเดียวกันและก้าวมาถึงจุดนี้ว่า เป็นคนที่มุ่งเน้นเรื่องการทำงานหนัก และพยายามทำเต็มที่ทุกอย่าง เหมือนกับการที่ตนเป็นชาวต่างชาติไม่รู้เรื่องภาษาไทย แต่พยายามติดต่อขอความช่วยเหลือจากบริษัทต่างๆ จนสำเร็จมาถึงวันนี้

 

“เซตซีโร่-ตัดอำนาจ” เกมล้างกกต.คุมเลือกตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

15 พฤษภาคม 2560 เวลา 09:18 น….. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/494871

"เซตซีโร่-ตัดอำนาจ" เกมล้างกกต.คุมเลือกตั้ง

โดย…ทีมข่าวการเมืองโพสต์ทูเดย์

ต้องยอมรับว่าเวลานี้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รับของร้อนไว้หลายเรื่อง โดยเฉพาะร่างกฎหมายที่ต้องออกตามที่รัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 กำหนด ซึ่งเวลานี้มีเข้ามาสู่ สนช.แล้ว 4 ฉบับ

ร่าง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ โดยคณะกรรมาธิการฯ (กมธ.) ของ สนช.ยังคงเนื้อหาว่าด้วยคณะกรรมการยุทธศาสตร์ชาติเอาไว้ตามเดิมที่ให้นายกรัฐมนตรีเป็นประธาน อีกทั้งไม่ได้มีการเปลี่ยนสัดส่วนของผู้นำเหล่าทัพในการเข้ามานั่งเก้าอี้กรรมการยุทธศาสตร์ เท่ากับว่าผู้บัญชาการกองทัพไทย ผู้บัญชาการกองทัพบก ผู้บัญชาการกองทัพอากาศ ผู้บัญชาการกองทัพเรือ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมเป็นกรรมการตามเดิม

ตามกำหนดแล้วคณะ กมธ.จะต้องจัดทำให้เสร็จภายใน 12 มิ.ย. และส่งให้ที่ประชุม สนช.ลงมติเห็นชอบในวันที่ 14 มิ.ย.

ร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ ซึ่งบัญญัติให้ดำเนินการตั้งคณะกรรมการปฏิรูปประเทศเพื่อดำเนินการอย่างเป็นกิจจะลักษณะจำนวน 11 ด้าน

ประกอบด้วย ด้านการเมือง ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ด้านสาธารณสุข ด้านสื่อสารมวลชนเทคโนโลยีสารสนเทศ ด้านสังคม และด้านอื่นตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด โดยจะมีคณะกรรมการปฏิรูปประเทศแต่ละด้านเพื่อทำหน้าที่จัดทำร่างแผนการปฏิรูปประเทศ

ในภาพรวมของของร่าง พ.ร.บ.แผนและขั้นดำเนินการปฏิรูปฯ คณะ กมธ.ของ สนช.ยังไม่ได้ปรับแก้เนื้อหาอย่างมีนัยสำคัญ

ส่วนหนึ่งต้องการให้เป็นไปตามแนวทางที่รัฐบาลในฐานะผู้เสนอร่างกฎหมายกำหนดเอาไว้ เช่นเดียวกับร่าง พ.ร.บ.การจัดทำยุทธศาสตร์ชาติ เพราะ สนช.แก้ไขเนื้อหาจำนวนมาก อาจกระทบต่อแผนการทำงานของรัฐบาลได้ ทำให้ที่สุดแล้วร่างกฎหมายทั้งสองฉบับดังกล่าวอาจจะมีรูปร่างหน้าตาออกมาไม่ต่างไปจากที่รัฐบาลเสนอเท่าไหร่นัก

ผิดกับร่างกฎหมายอีก 2 ฉบับที่อยู่ในมือ สนช.เวลานี้ คือ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง และร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)

ในกรณีของร่างกฎหมายพรรคการเมืองขณะนี้นั้นกำลังพิจารณาเนื้อหากันอย่างเข้มข้นภายใต้การกุมบังเหียนของ “พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม” สมาชิก สนช.ในฐานะประธานคณะ กมธ.พิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฯ ซึ่งได้มีการปรับแก้ไปบางส่วนแล้ว

เช่น การเก็บค่าบำรุงพรรคการเมืองจากสมาชิกพรรค ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) กำหนดให้พรรคการเมืองเก็บ 100 บาทต่อไป เป็นที่มาให้พรรคการเมืองออกมาแสดงความคิดไม่เห็นด้วยเป็นจำนวนมาก ปรากฏว่าคณะ กมธ.วิสามัญฯ ส่งสัญญาณพร้อมปรับแก้ให้เกิดความสมดุล

ขณะที่ร่างกฎหมาย กกต.ที่มี “ตวง อันทะไชย” สมาชิก สนช.ในฐานะประธานคณะ กมธ.วิสามัญฯ ก็มีความเคลื่อนไหวน่าสนใจเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับอำนาจของ 5 เสือ กกต.

พลิกไปดูเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ในมาตรา 224 ได้วางหลักให้ กกต.มีอำนาจพิเศษ คือ “หากพบเห็นการกระทำที่มีเหตุอันควรสงสัยว่าการเลือกตั้งไม่เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม ให้มีอำนาจระงับยับยั้งแก้ไขเปลี่ยนแปลงหรือยกเลิกการเลือกตั้งได้”

ประเด็นนี้คณะ กมธ.วิสามัญฯ กำลังครุ่นคิดว่าเจตนารมณ์ของมาตรา 224 เป็นอย่างไรกันแน่ ระหว่างการให้ กกต.เพียงหนึ่งคนที่พบการกระทำตามมาตรา 224 สามารถสั่งล้มการเลือกตั้งได้เลย หรือเป็นลักษณะของการใช้อำนาจที่ต้องผ่านมติของ กกต.ทุกคนก่อน

ทว่า ท่าทีของคณะ กมธ.วิสามัญฯ โน้มเอียงไปในทำนองว่าไม่ควรให้ กกต.เพียงคนเดียวล้มการเลือกตั้งได้ เพราะอาจเป็นการให้อำนาจกับ กกต.มากเกินไป จึงเตรียมปรับเนื้อหาให้เหมาะสมและให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญต่อไป

ขณะเดียวกัน มีอีกประเด็นหนึ่งที่คณะ กมธ.วิสามัญฯ กำลังพิจารณาเช่นกัน คือ การดำรงอยู่ของ กกต.ชุดปัจจุบัน

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 กำหนดคุณสมบัติของบุคคลที่จะดำรงตำแหน่ง กกต.ไว้ค่อนข้างสูง ไม่เพียงเท่านี้ ยังกำหนดให้สถานะการดำรงอยู่ของ กกต.ชุดปัจจุบันไปแขวนไว้กับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย กกต.

โดยร่างกฎหมายดังกล่าวบัญญัติให้ กกต.ที่ดำรงตำแหน่งก่อนการประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะต้องเป็นบุคคลที่มีคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญเท่านั้นถึงจะมีสิทธินั่งทำงานที่ศูนย์ราชการต่อไปได้ กรณีเช่นนี้ทำให้จะมี กกต.ชุดปัจจุบันอย่างน้อย 2 คนต้องตกเก้าอี้ก่อนเวลาอันควร

ต่างกับกฎหมาย กกต.ฉบับที่ออกตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ที่ยังให้บุคคลที่เป็น กกต.ก่อนที่จะมีรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 ยังสามารถทำหน้าที่ต่อไปได้

ในประเด็นนี้ท่าทีของ สนช.แบ่งรับแบ่งสู้พอสมควร โดยส่วนหนึ่งต้องการให้ กกต.ชุดปัจจุบันทำหน้าที่ต่อไปจนครบวาระ แต่อีกส่วนก็มองว่าควรแก้ไขให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

ส่งผลให้แนวโน้มของ สนช.อาจต้องจำใจเดินตามแนวทางของ กรธ. คือ การให้ กกต.บางคนต้องตกเก้าอี้ไป ซึ่งการตกเก้าอี้ของ กกต.ตามร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญฉบับนี้จะเป็นมาตรฐานที่ใช้กับองค์กรอิสระอื่นๆ ที่ต้องอยู่ภายใต้ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญด้วย

นั่นหมายความว่าบรรดาองค์กรอิสระที่คุณสมบัติไม่ตรงตามรัฐธรรมนูญ จำเป็นต้องโบกมือลาการทำงานก่อนเวลาไปโดยปริยาย ซึ่งทั้งหมดเพื่อเป็นการเปิดทางให้ คสช.ได้ส่งคนมาคุมการเลือกตั้งนั่นเอง

 

“อาม” ชุติมา โสดาภักดิ์ เพชรเม็ดใหม่แห่งวงการเพลงอีสาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 พฤษภาคม 2560 เวลา 19:14 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/494848

"อาม" ชุติมา โสดาภักดิ์ เพชรเม็ดใหม่แห่งวงการเพลงอีสาน

โดย…วิรวินท์ ศรีโหมด

ผู้สาวขาเลาะ , อดีตเคยพัง , บ่ขวางทางอ้าย เพลงลูกทุ่งสุดฮิตที่กำลังโด่งดังเป็นพลุแตก มีผู้ชมผ่านทางเว็บไซต์ยูทูปกว่า 200 ล้านวิว 93 ล้านวิว และ 43 ล้านวิวตามลำดับ

ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังของบทเพลงเหล่านี้ไม่ได้ถูกสร้างสรรค์ขึ้นจากปลายปากกาของนักแต่งเพลงปรมาจารย์ชั้นครู แต่มาจากหญิงสาววัยเพียง 17 ปี “อาม” ชุติมา โสดาภักดิ์

จากเด็กสาวต่างจังหวัดตัวเล็กๆ รอยยิ้มทรงเสน่ห์ เรียนหนังสือ ช่วยพ่อแม่ทำไร่ทำนา เที่ยวนั่งจับกลุ่มร้องเพลง เล่นกีตาร์กับเพื่อนฝูงหน้าบ้าน หนึ่งปีหลังจากนั้นวันนี้ เธอจะกลายเป็นนักร้อง นักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงอีกคนของเมืองไทย

จากเด็กสาวธรรมดาในจ.บึงกาฬ สู่ นักแต่งเพลง 300 ล้านวิว

อาม ชุติมา เป็นชาว อ.พรเจริญ จ.บึงกาฬ เกิดเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2542  เป็นลูกสาวคนกลางของครอบครัวชาวนา โดยมีพี่ชายและน้องสาวอย่างละ 1 คน สายเลือดนักดนตรีถูกถ่ายทอดมาจากคุณยายที่เป็นหมอลำ และคุณปู่ซึ่งเป็นหมอแคน ทำให้เธอหลงใหลและชื่นชอบร้องเพลงมาตั้งแต่เด็ก

อามบอกว่า ชอบฟังเพลงทุกแนวและชื่นชมศิลปินที่แต่งเพลงเองเป็นพิเศษ จุดเริ่มต้นของการเป็นนักร้องเกิดจากเมื่อ 1 ปีก่อน เขียนเพลงแรกในชีวิตขึ้นมา ชื่อเพลงบ่ขวางทางอ้าย ในตอนนั้นเขียนเสร็จยังไม่ได้ทำเลยพักไว้ก่อน จนมีอยู่วันหนึ่งด้วยความที่ชอบร้องเพลงคัฟเวอร์ ผ่านทางเฟซบุ๊กส่วนตัวและเว็บไซต์ยูทูป จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ลองเขียนอีกเพลงขึ้นมา ชื่อเพลงอดีตเคยพัง ก่อนนำมาเผยแพร่ในสื่อออนไลน์

“เพลงอดีตเคยพัง แค่ 2 วันมีคนเข้ามาดูถึง 5 แสนวิว ตกใจมาก แถมยังมีคนเอาไปคัฟเวอร์อีกมากมาย ไม่คิดว่าจะติดหู มีคนชอบมากขนาดนี้ เมื่อก่อนมีคนติดตามในเฟซบุ๊กไม่เท่าไหร่ แต่หลังจากนั้นคนติดตามมากขึ้นจนไปเข้าตา อ.ประจักษ์ชัย เนาวรัตน์ เจ้าของค่ายไหทองคำ อินดี้ เข้า แกเลยติดต่อชักชวนให้เข้ามาเป็นนักร้องของค่ายที่เพิ่งเปิด”

หลังก้าวเข้าสู่วงการนักร้อง ช่วงแรกอามเก็บเกี่ยวประสบการณ์ด้วยการเดินสายร้องเพลงร่วมกับรุ่นพี่ในค่าย “ลำไย ไหทองคำ” เธอยอมรับว่าช่วงแรกนั้นปรับตัวยาก เนื่องจากไม่เคยเรียนหรือมีพื้นฐานการร้องเพลงมาก่อน ทุกอย่างที่ผ่านมาเกิดจากความชอบเท่านั้น

“ขึ้นเวทีเห็นคนเยอะๆ ตื่นเต้น สั่นไปหมด ขนาดร้องเพลงตัวเองยังลืมเนื้อเลย (หัวเราะ) แต่พอขึ้นบ่อยๆ ก็เริ่มปรับตัวได้ ชิน ตอนนี้ผ่านมา 1 ปี ไม่มีอาการเขินอีกแล้ว”

ปัจจุบันสาวน้อยแห่งแดนอีสาน กำลังศึกษาอยู่ชั้น ปวช. ปี 2 ด้านภาษาต่างประเทศ วิทยาลัยเทคโนโลยี เอ็น-เทคอินเตอร์เนชั่นแนล จ.บึงกาฬ ทางโรงเรียนและคุณครูเข้าใจสนับสนุนผลักดันให้เธอทำในสิ่งที่ตัวเองรักอย่างเต็มที่

“ไม่อยากทิ้งการเรียน เวลาเดินสายทำงาน เราก็พยายามติดตามส่งการบ้านย้อนหลังและไปสอบตามกำหนด คิดว่ายังไงก็ไม่ทิ้งการเรียนแน่นอน คุณครูและทางโรงเรียนก็เข้าใจและให้โอกาส”

 

อาม ชุติมา กับ อ.ประจักษ์ชัย

พรสวรรค์นักแต่งวัย 17 ผู้สร้าง..ผู้สาวขาเลาะ

ความเป็นศิลปินของอาม ไม่มีทฤษฎีหรือสมการที่แน่นอน เกิดจากการฟังและศึกษาเนื้อหาจังหวะบทเพลงต่างๆ ก่อนนำมาเรียบเรียงเป็นบทเพลง โดยต้นแบบศิลปินที่ชื่นชอบคือ ครูสลา คุณวุฒิ เบิ้ล ปทุมราช และก้อง ห้วยไร่ ที่มีความสามารถทั้งแต่งและร้อง

“หนูอยากเป็นเหมือนพี่ๆ เลยลองคิดแต่งเพลง แต่ไม่คิดว่า จะมาถึงวันนี้ได้เร็วขนาดนี้  เนื้อหาที่เลือกมาแต่ง ส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในสังคม และจินตนาการขึ้นมาเองด้วยว่า ตัวเองเป็นตัวละครในเพลง ตอนนี้มีผลงานที่แต่งขึ้นเอง  4 เพลง คือ อดีตเคยพัง บ่ขวางทางอ้าย สองเพลงนี้ร้องเอง และมีเพลงที่แต่งให้รุ่นพี่ในค่ายคือ เพลงผู้สาวขาเลาะ และเพลงภาพเก่า”

อาม บอกว่า ระยะเวลาการแต่งแต่ละเพลงใช้เวลาไม่เท่ากันขึ้นอยู่ที่อารมณ์และความรู้สึกขณะนั้น ทุกครั้งที่แต่งจะพยายามจินตนาการว่า หากนำไปร้องหน้าเวทีคนจะชอบหรือไม่ เมื่อได้เนื้อเพลงแล้วจึงจะนำไปสู่ขั้นตอนใส่ทำนองดนตรีโดยมีทางค่ายช่วยเหลือ

สำหรับเพลง ผู้สาวขาเลาะอันโด่งดังในขณะนี้ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เธอบอกว่าเป็นเพลงที่แต่งงานที่สุดและใช้เวลาเพียงแค่ 10 นาที เขียนช่วงกำลังจะนอน

“ตอนที่เรียบเรียง ไม่ได้คิดอะไรมากมาย คิดแต่เพียงว่า เพลงนี้จะดึงวิถีชีวิตและนิสัยของเด็กสาวไทยบ้านทั่วไป มาเรียบเรียงในเนื้อเพลง ใช้ภาษาง่ายๆ เช่น ‘เฮาแค่ผู้สาวขาเลาะ บ่แม่นผู้สาวขาเรียน บ่ได้ขยันหมั่นเพียร ปากกาสิเขียนยังได้ยืมหมู่ แปลว่า เราแค่ผู้หญิงชอบเที่ยว ไม่ใช่ผู้หญิงชอบเรียน ไม่ได้ขยันหมั่นเพียร ปากกาจะเขียนยังยืมเพื่อนมา’ คิดว่าตรงนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้ติดหูคนฟังและก็เข้ากับใครหลายคน”

ส่วนสาเหตุที่เลือกให้ ลำไย มาเป็นผู้ถ่ายทอดนั้น อาม ยอมรับว่า ตอนแรกไม่ได้คิดว่าจะแต่งเพลงนี้ให้ใครร้อง แต่ก่อนหน้านั้นพี่ลำไยได้มาขอให้แต่เพลงให้ ประกอบกับเมื่อเขียนเพลงผู้สาวขาเลาะเสร็จ ก็คิดว่าเนื้อหาตรงกับ พี่ลำไย ไหทองคำ เป็นบุคลิกของคนน่ารัก ขี้เล่น สนุกสนาน

เพชรแห่งวงการเพลงอีสาน

ถึงวันนี้ก้าวแรกแห่งวงการลูกทุ่งของผู้หญิงวัย 17 ปีคนนี้ช่างงดงามเหลือเกิน มีงานเดินสายเล่นคอนเสิร์ตเกือบทุกวัน และแต่ละเพลงที่แต่งขึ้นก็ได้รับการตอบรับที่ยอดเยี่ยม กระแสชื่นชมที่ล้มหลาม นำมาซึ่งความภาคภูมิใจที่เธอคาดไม่ถึง

อาม บอกความรู้สึกวันนี้ว่า ดีใจที่ทำให้ครอบครัวภูมิใจ และเป็นนักร้องได้สำเร็จ ตอนนี้เดินมาครึ่งทางของความฝันแล้ว ถึงแม้จะเร็วกว่าคนอื่น แต่ยังไม่คิดว่าตัวเองประสบความสำเร็จในชีวิตเพราะยังมีความตั้งใจอื่นๆ อีกมากมาย เช่น อยากมีบ้าน รถ ให้พ่อแม่และครอบครัวอยู่อย่างสบาย ส่วนเป้าหมายในอนาคต อยากเป็นนักร้องและนักแต่งเพลงไปตลอดเหมือน ครูสลา หรือหากร้องเพลงไม่ได้ ก็ยังอยากทำงานอยู่เบื้องหลังวงการเพลงต่อไป

นักแต่งเพลงสาว ทิ้งท้ายว่า ถึงแม้จะดังมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ไม่คิดจะปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตไปจากเดิม เพราะเข้าใจว่าสิ่งที่ผ่านมาในอดีต คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เดินมาถึงวันนี้

“หนูเหมือนเดิม เป็นผู้หญิงลุยๆ ชอบเล่นกีตาร์ ขับรถจักรยานยนต์เล่นแถวบ้านเหมือนในเพลงเลย บางครั้งก็ไปตกปลา หาอาหารป่ากับพ่อ ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิมทุกอย่าง  แค่บางครั้งอาจไม่มีเวลามากเหมือนเมื่อก่อนเท่านั้น”  อัจฉริยะร้อยล้านวิวยิ้มด้วยสีหน้ามีความสุข

*************************************

“ผู้สาวขาเลาะ” ผลงานอันโด่งดังของ “อาม” ชุติมา

 

 

 

 

 

“ไม่ประจบคสช.-ไม่เคยทำให้เงินภาษีประชาชนเสียหาย” เปิดใจ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

14 พฤษภาคม 2560 เวลา 10:10 น…. อ่านต่อได้ที่ : http://www.posttoday.com/analysis/interview/494798

"ไม่ประจบคสช.-ไม่เคยทำให้เงินภาษีประชาชนเสียหาย" เปิดใจ พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส

โดย…ธนพล บางยี่ขัน

ความขัดแย้งระหว่างสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) และคณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (คตง.) สะท้อนผ่านกระบวนการสรรหา คตง.ชุดใหม่ที่กำลังจะหมดวาระในเดือน ก.ย.นี้ ที่มองกันว่าอาจมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทั้งการเตะสกัด หรือการหวังยื้ออยู่ในอำนาจช่วงรักษาการให้นานกว่าที่กฎหมายกำหนด

พิศิษฐ์ ลีลาวชิโรภาส ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน เปิดใจกับโพสต์ทูเดย์ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่า ข้อเท็จจริงไม่ใช่การ “งัดข้อ” อย่างที่ปรากฏในข่าว แต่มาจากคำสั่ง คสช. ฉบับที่ 23 /2560 ในข้อ 12 กำหนดให้ต้องมีการสรรหาบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่ง คตง. แทนตำแหน่งที่ว่างลง คือ สุทธิพล ทวีชัยการ และวิทยา อาคมพิทักษ์ ซึ่งลาออกไปก่อนหน้านี้และตำแหน่งที่เหลือจะหมดวาระในเดือน ก.ย.นี้

ทางฝ่ายกฎหมายของเลขาธิการวุฒิสภาโทรศัพท์มาประสานขอให้ สตง.ส่งรายละเอียดว่า คตง.มีใครพ้นตำแหน่งแล้ว และที่เหลือจะครบวาระเมื่อไหร่ อีกทั้งส่วนตัวได้สอบถามไปยังนักกฎหมายผู้ใหญ่ในสภาที่รอบรู้เรื่องคำสั่งของ คสช.เห็นว่า สตง.ควรจะเป็นต้นเรื่องเริ่มกระบวนการสรรหา ไม่ใช่ คตง.ที่จะเป็นผู้มีส่วนได้ส่วนเสียจากการสรรหา

“ผมไม่เห็นจะเสียหายตรงไหนกับการเริ่มต้นกระบวนการสรรหา จากเดิมกำหนดคุณสมบัติผู้สรรหาต้องมีอายุไม่เกิน 70 ปี มาเป็น 68 ปี ดังนั้น หากยิ่งช้าก็ยิ่งจะทำให้คนเสียโอกาส แต่ไม่เกี่ยวกับผม เพราะในคำสั่งกำหนดคุณสมบัติคนที่จะมาข้อ 6 ต้องไม่เคยดำรงตำแหน่งในองค์กรอิสระ ผมเป็นไม่ได้อยู่แล้ว หรือ คตง.ที่รู้กฎหมายก็ต้องรู้ว่าตัวเองก็เป็นอีกสมัยไม่ได้ ทำไมเราต้องมาถ่วงเวลาด้วย แต่จะเสียหายถ้าไม่เริ่มกระบวนการแล้วปล่อยให้คำสั่ง คสช.ไม่มีสภาพบังคับ หรือ คตง.จะหวังอยู่ในตำแหน่งรักษาการช่วงสรรหา คำสั่ง คสช.ก็บอกแล้วว่าเป็นอย่างเก่งก็แค่ 60 วัน” 

“กรณีที่กังวลว่า คตง.ชุดใหม่มาแล้วจะเลือกหรือไม่เลือกคนของผมนั้น ต้องบอกว่าไม่มีใครเป็นคนของผม มีแต่คน สตง. ผมอยู่มาตั้งแต่รักษาการผู้ว่าฯ สมัยคุณหญิงจารุวรรณ เมณฑกา คนใน สตง.ไม่ใช่คนของผม การพิจารณาผลงานขึ้นกับความสามารถ ทุกคนเป็นคนที่เข้ามาคือคนที่เห็นว่ามีความสามารถจะให้มาเป็นผู้บริหาร ดังนั้นเลือกใครใน สตง.ก็ได้ทั้งนั้นเพื่อไม่ต้องมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่”

ส่วนกรณีที่ทาง คตง.ทำหนังสือทักท้วงกระบวนการสรรหาโดยให้เหตุผลว่าควรออกฎหมายลูกให้เสร็จก่อนเพื่อจะได้พิจารณาคุณสมบัตินั้น ผู้ว่า สตง. อธิบายว่า ไม่จำเป็นเพราะรายละเอียดการสรรหากำหนดอยู่ในคำสั่ง คสช.อยู่แล้ว ซึ่งเป็นคนละเรื่องกับเหตุผลเรื่องเวลาน้อยเกินไปพิจารณาส่งตัวแทนร่วมกรรมการสรรหาไม่ทัน ไม่ควรนำมาเป็นเหตุผลรวมกัน ถ้ารัก สตง.จริง ต้องทำให้เกิด คตง.ชุดใหม่ให้เร็วที่สุด แล้วตัวเองส่งมอบงานให้คนใหม่ได้เรียนรู้งาน

พิศิษฐ์ ยืนยันว่า ตามคุณสมบัติที่กำหนดในคำสั่ง คสช. ทำให้ตัวเขาไม่สามารถเป็นทั้ง คตง. และผู้ว่า สตง.ได้อีก ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการอยากอยู่ในตำแหน่งต่อไป หรืออยากมีเงินใช้ เพราะที่ผ่านมาหลังอายุครบ 65 ปี แต่ยังไม่ครบกำหนดวาระดำรงตำแหน่ง ทาง คสช.ก็มีคำสั่งให้ทำงานต่อได้จนครบวาระเดือน ก.ย.นี้ หลังจากนั้นก็ไม่สามารถรับตำแหน่งได้อีก

“ผมประกาศไม่รับเงินเดือนตั้งแต่ เม.ย.ที่มีคำสั่งให้กลับมาทำงานต่อได้ โดยจะสะสมเอาเงินเดือนไปจนถึง ก.ย. ไปตั้งมูลนิธิตรวจเงินแผ่นดิน เพื่อซัพพอร์ตเงินในการทำงานให้กับเจ้าหน้าที่ที่เสียสละทำงานเพื่อรักษาประโยชน์ให้บ้านเมือง ช่วงนี้ผมเหลือเวลาก็รีบทำงานไม่ชะลอเวลา ที่ผ่านมาก็ทำคดีใหญ่ๆ มาหลายเรื่อง ชน ทั้ง จำนำข้าว ซุกหุ้น เชฟรอน ท่อก๊าซ ปตท. ฯลฯ”

“ผมไม่ประจบใครอยู่แล้วเพราะเราเป็นองค์กรอิสระ” ผู้ว่า สตง. ตอบคำถามถึงกรณีที่ระยะหลังถูกมองว่าปกป้อง เอาใจ รัฐบาล คสช.หลายๆ เรื่อง เขายืนยันว่า “เรื่องใดเข้ามาใน สตง.ไม่มีเงียบ บางเรื่องไม่เป็นข่าว แต่ก็ดำเนินการเด็ดขาด เช่น เรื่องยากำจัดศัตรูพืชที่เกี่ยวพันกับคนใน สนช. ก็ไม่เคยเกรงว่าสักวันหนึ่งคนพวกนี้ต้องเห็นชอบ คตง. ต้องเห็นชอบ ผู้ว่าการ สตง. หรือเรื่องท่อก๊าซ ปตท. ถ้าเราซูเอี๋ยกับเขาได้  เกษียณไปแล้วเราก็อาจมีงานทำ ทำไมเราไม่คิดอย่างนั้น ขนาดเงินเดือนผม ผมยังไม่เอาเลย”

ล่าสุดกับการตรวจสอบเรือดำน้ำ พิศิษฐ์ ยืนยันว่า การตรวจสอบต้องดูข้อเท็จจริงหลักฐาน ที่ผ่านมา สตง.ก็เคยทักท้วงเมื่อครั้งจะจัดซื้อเรือดำน้ำจากเยอรมนี 6 ลำ เพราะเห็นว่าเป็นเรือดำน้ำมือสองที่อายุใช้งานสั้นกว่า แถมใช้ไปซ่อมไป นำลำที่เหลือมาเป็นอะไหล่ จนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่กล้าซื้อ

ต่างจากครั้งนี้ ทันทีที่ปรากฏเป็นข่าว สตง.ก็เข้าไปตรวจสอบที่กองทัพเรือเพราะเป็นเอกสารลับ ดูเอกสารย้อนหลังที่พบว่าไม่ได้เพิ่งคิดจะซื้อ แต่ศึกษามานาน ส่วนเรื่องประเด็นไม่สอดรับกับภาวะเศรษฐกิจ พบว่าเขาทยอยจ่าย รัฐบาลนี้ซื้อรัฐบาลหน้ายกเลิกได้ โดยไม่ได้เอางบกลางหรืองบคนจนมาใช้ตามที่มีกระแสกล่าวหา

“เราก็ต้องพูดตามข้อเท็จจริงว่า ไม่พบข้อสังเกตที่มีนัยสำคัญ ผมไม่สามารถปรักปรำเขาได้ เพราะเราตรวจอยู่บนหลักฐานข้อเท็จจริง สิ่งที่ผมพูดนี่ มันผูกพันตัวผม ผูกพัน สตง.คนอื่นไปตรวจแล้วบอกว่าผิดก็เท่ากับไปสนับสนุนเขา ทำไมผมต้องไปเสี่ยง หรือเรื่องสินบนนั้นก็ตรวจไม่พบและทางจีนก็มี สตง.ที่จะช่วยตรวจของเขา”

ถามย้ำว่าทำงานเอาใจ คสช.อย่างที่มีกระแสวิพากษ์วิจารณ์หรือไม่ พิศิษฐ์ กล่าวว่า เขาให้มาทำงาน เขายกเว้นเรื่องอายุเกษียณให้อยู่ครบเทอมก็ไม่ได้สำนึกว่ามีบุญคุณต้องมาตอบแทน ตอบแทนบุญคุณแผ่นดินดีกว่า ทำงานนี้ดีกว่าไปเดินจงกรม วิปัสสนา ส่วนตัวทำงานมา 40 ปี จนเป็นฝ่ายบริหารไม่เคยลาพักร้อนยกเว้นป่วยเข้าโรงพยาบาล เสาร์อาทิตย์ก็มานั่งทำงานไปถาม รปภ.ได้เลย

“แล้วที่เขาให้ทำงานต่อก็ไม่ได้ให้มานั่งเฉยๆ เป็นที่ปรึกษาที่ผ่านมาทำเต็มที่ และตัดข้อครหาก็ไม่เอาสตางค์ สร้างผลงานทิ้งทวนไม่ต้องประจบใครอีกแล้ว จบงานนี้ก็จบ ไม่คิดว่าจะต้องไปเป็นอะไร เพราะทำอาชีพตรวจสอบ คงไปทำหน้าที่บริหารงานไม่เป็นหรอ ถ้าต้องการเอาใจคนมีอำนาจคนมีสตางค์ ทำไมคดีจะจบอยู่แล้วต้องเอาตีนเข้าไปขัดเขา ก็เพราะไม่คิดหาผลประโยชน์”

ผู้ว่า สตง. ระบุว่า ต้องให้เวลาเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบครบ 7 วัน จากนั้นก็จะสรุปผลแล้วมาแถลง สตง.ไม่มีเสื้อเหลืองเสื้อแดง อยู่บนความเป็นธรรม ผิดถูกก็ว่าไป ไม่ไปฟอกความผิดให้กองทัพเรือ แต่จะให้ไปทำบาปปรักปรำทหารหรือส่วนราชการ ก็จะเป็นการทำลายตัวเอง แตกต่างจากหลายเรื่องก่อนหน้านี้ที่ สตง.เคยเข้าไป เช่น เรื่องจ้างประดับไฟของ กทม.ที่พบความผิดปกติชัดเจน

ช่วงเวลาในตำแหน่งอีกไม่กี่เดือนสุดท้าย พิศิษฐ์ มองว่า ไม่ต่างจากทุกวันที่่ผ่านมาเพราะทำงานเต็มที่มาตลอด ทั้งเชิงรุก ป้องปราม อย่างการตั้งสำนักตรวจสอบภาษี ก็กระตุ้นการจัดเก็บเพิ่มขึ้นได้ 1 หมื่นล้านบาท หรือกรณี เชฟรอนที่เรียกเงินคืนได้ 4,000 ล้านบาท หรือกรณีท่อก๊าซ ปตท. 3 หมื่นล้านบาท

“เราทำมาตลอดเพราะการตรวจสอบทำบ้างแผ่วบ้างไม่ได้ ต้องรุกตลอดเวลา คนที่นำทัพไม่สามารถมาศึกษาดูงานได้ ต้องมาถึงบัญชาการสั่งงานได้เลย ผมไม่เคยทำให้เงินภาษีประชาชนเสียหาย ผมทำงานคุ้มค่า ถูกด่าไม่ว่าขอให้ทำงานสร้างผลงานอย่างน้อยความจริงกระจ่างในระยะยาวและทำงานเหมือนทุกวันเป็นโค้งสุดท้าย”พิศิษฐ์ กล่าวทิ้งท้าย