การเมืองกระเพื่อม ‘ทักษิณ’ ขยับ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160228/223247.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 28 กุมภาพันธ์ 2559
การเมืองกระเพื่อม 'ทักษิณ' ขยับ

คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : การเมืองกระเพื่อม ‘ทักษิณ’ ขยับ : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

                      ย่างก้าวการขยับของการเมืองในขณะนี้ เรียกได้ว่า คึกคักและเปี่ยมด้วยนัยอย่างยิ่ง จนต้องลุ้นว่า บ้านเมืองเราจะเดินไปในทางไหนต่อไป เพราะการออกมาเคลื่อนไหวของ “ทักษิณ ชินวัตร” และเครือข่ายนั้น สร้างแรงกระเพื่อมได้ไม่น้อยทีเดียว
                      “ทักษิณ” เดินหน้าให้สัมภาษณ์สื่อระดับโลกอย่าง วอลล์สตรีท เจอร์นัล, ไฟแนนเชียล ไทม์ส, รอยเตอร์ส และอัลจาซีรา แบบติดๆ กัน จึงเชื่อได้ว่า การขยับครั้งนี้มีการเซตจังหวะจะโคนอย่างมีวาระ  มิใช่การให้สัมภาษณ์เพราะมีการติดต่อมาเท่านั้น
                      อีกทั้งเนื้อหาที่ให้สัมภาษณ์ก็มีความสอดคล้องและเป็นการโจมตีการทำงานของผู้ถืออำนาจในปัจจุบันอย่างรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร่างรัฐธรรมนูญ เรื่องเศรษฐกิจ และยื่นข้อเสนอที่ผู้ติดตามต้องรับฟังอย่างใจจดใจจ่อ ซึ่งก็คือ การขอ “เจรจา”
                      ภายหลังการขยับของ “ทักษิณ” แน่นอนว่ากลุ่มการเมืองของเขาอย่างพรรคเพื่อไทยก็ออกมารับลูกกันอย่างต่อเนื่อง
                      แต่ที่น่าสนใจคือ การเปิดตัวของ “พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” ที่ออกมาแจกจดหมายเปิดผนึกและท่าทีที่ค่อนข้างรุนแรงต่อ คสช. เช่น การระบุว่าการทำงานของ คสช.เสี่ยงต่อการที่จะทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรง และเรียกร้องให้คืนอำนาจแก่ประชาชนโดยเร็ว
                      ท่าทีอันสอดคล้องนี้ ทำให้คนสงสัยว่า เกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ทำไมการเมืองจึงขยับ หลังจากนิ่งมานาน
                      แน่นอนว่า เรื่องเจรจาถูกหยิบมาเป็นประเด็นใหญ่ เพราะชัดเจนว่า “ทักษิณ” เองนั้น ถูกมองอยู่ในสถานะคู่ขัดแย้งอย่างชัดเจน  แต่สิ่งที่ต้องถามคือ เจตนาของเขา ณ นาทีนี้คือการเจรจาจริงหรือ ที่ถามเช่นนี้เพราะยังสงสัยกันว่า เขาอยู่ในสถานะอะไร และเขายังมีอำนาจต่อรองอะไรอีกหรือไม่
                      การเจรจานั้น อย่างแรกที่ต้องมีคือ ข้อที่จะไปเจรจาตกลงแลกเปลี่ยนกัน  แต่นาทีนี้ “ทักษิณ” กำลังจะตกลงเจรจาแลกเปลี่ยน “อะไร” กับ “ใคร” สิ่งที่เขาต้องการได้คืออะไร  ประชาธิปไตย  รัฐธรรมนูญที่ดี หรือการหยุดคดีที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัวของเขา?
                      เขาจะเอาอะไรไปแลก การหยุดเคลื่อนไหว การเลิกเล่นการเมือง การยอมรับกติกาที่จะมีขึ้นใหม่…หรืออะไรที่มากกว่านั้น?
                      นอกจากนี้ที่คิดจะเจรจาด้วยคือใคร แน่นอนว่า ฟากหนึ่งของขั้วความขัดแย้งมีเขาเป็นตัวยืนหลัก แต่อีกด้านหนึ่งของปลายเชือกที่เขามองเห็นเป็นใครกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้น นาทีนี้เขาอาจจะไม่ใช่ผู้ที่มีอำนาจสิทธิขาดในการเจรจาอีกแล้ว เพราะแม้เขาจะเป็นตัวใหญ่ของฟากหนึ่ง แต่เขาก็ไม่ใช่ทั้งหมดของความขัดแย้ง เพราะคนที่อยู่อีกด้านของความขัดแย้งก็มีอยู่อีกมากมายและตัวเขาเองก็กำลังอยู่ในสถานะที่ยากลำบากเช่นกัน เพราะสายตาที่มองมาที่เขาของคนคุ้นเคยเริ่มไม่เป็นมิตรเหมือนที่ผ่านมา
                      มุมหนึ่งเป็นเพราะท่าทีของเขาที่นิ่งเฉยยามทหารเข้ารุกไล่ผู้สนับสนุนประชาธิปไตย และการหยุดนิ่งเป็นเวลานานยิ่งคล้ายกับการปล่อยให้มวลชนต้องต่อสู้ด้วยตนเองโดยที่ไม่มีเขาอยู่ในขบวนมาเป็นเวลานาน รวมถึงในอดีตที่มองข้ามมวลชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเร่งผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยจนเป็นการเปิดประตูสู่รัฐประหาร
                      การเจรจาจึงเป็นเพียงวาทะเรียกแขกให้หันมามองเขาเท่านั้น  แต่เป้าหมายหลักคือ เขาต้องการที่จะกลับเข้าสู่ขบวนการเมืองที่กำลังจะเคลื่อนไหวไปข้างหน้า
                      ทั้งนี้เพราะมีสัญญาณมาจากคนในกลุ่มพวกพ้องว่า นาทีนี้ถึงเวลาที่ “ทักษิณ” จะต้องกลับเข้าสู่เวทีแล้ว เพราะชัดเจนว่า ครั้งหน้า “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” น่าจะลงสนามการเมืองไม่ได้อีก ไม่ว่าจะเป็นจากกติกาที่ถูกขีดเขียนห้ามเอาไว้ หรือจากความต้องการของตัวเธอเอง
                      จังหวะนี้นี่เองที่ คสช.ตกอยู่ในสถานะเพลี่ยงพล้ำ หรือที่เรียกกันว่า อยู่ในขาลงอย่างเห็นได้ชัด จากเรื่องต่างๆ ที่ทำให้คนเกิดความไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการละเมิดสิทธิ หรือการบัญญัติกติกาที่ไม่เป็นธรรมอย่างร่างรัฐธรรมนูญ  แต่ที่สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดที่ทำให้ทุกเรื่องดูแย่ลงไปกว่าเดิมคือ สภาพเศรษฐกิจที่อยู่ในขาลงอย่างเห็นได้ชัดจนชาวบ้านร้านตลาดรู้สึกได้เอง
                      มีคำกล่าวว่า ความรู้สึกใดๆ จะไม่ถูกรู้สึกหากปากท้องยังอิ่ม เศรษฐกิจยังดี แต่เรื่องเพียงเล็กน้อยก็พร้อมจะลุกลามหากเศรษฐกิจย่ำแย่ ข้าวยากหมากแพง เงินทองที่มีเริ่มไม่เพียงพอ
                      ดังนั้นจึงไม่มีจังหวะไหนที่จะเหมาะสมไปกว่านี้ในการเปิดตัว โดยการใช้จุดเด่นของตัวเองเรื่องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจมาเป็นตัวกดดันผู้อยู่ในอำนาจ
                      นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งปัจจัยที่ไม่สามารถปฏิเสธได้คือ ไม่ว่าอย่างไรพวกเขายังมั่นใจว่า ถ้าเลือกตั้ง ต่อให้ภายใต้เงื่อนไขแบบไหน หรือกติกาแบบใด ก็ยังจะชนะเลือกตั้ง ซึ่ง คสช.เองก็คงเชื่อแบบนั้น ดังนั้นกติกาที่ออกมาจึงไม่ใช่การทำให้กลุ่มที่ใกล้ชิดกับเขาพ่ายแพ้ หากแต่อยู่ที่ “ชนะแล้วจะมีค่าอะไร?”
                      กลไกที่ออกแบบมานั้น เน้นทำให้พรรคอ่อนแอลง และเมื่อได้รับเลือกตั้ง รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งแม้จะมีอำนาจ แต่ก็ไม่สามารถใช้อำนาจได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบที่ออกแบบมามีการควบคุมรัฐบาลอย่างใกล้ชิด ชนิดที่เรียกได้ว่า กระดิกอะไรแทบไม่ได้
                      ที่สำคัญ ยังจะมี “กลไกระยะเปลี่ยนผ่าน” เพื่อการันตีว่า ไม่ว่าอย่างไรจะมี “เจตนารมน์” ของ คสช.ฝังอยู่ในบ้านเมืองต่อไปอย่างน้อยก็ 5 ปี ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบที่แข็งกร้าว หรือแบบที่แนบเนียนก็ตาม   คณะกรรมการตามร่าง พ.ร.บ.ยุทธศาสตร์ชาติเองก็ถูกมองว่าเป็นหนึ่งในกลไกนี้ และนี่คือสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวยิ่งกว่าการออกแบบให้เลือกตั้งยากเสียอีก
                      ดังนั้นการออกมาในช่วงเวลานี้ จึงเป็นการประกาศเดินหน้าชนกับร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งแน่นอนว่าองคาพยพของพวกเขาก็พร้อมที่จะขับเคลื่อนไปพร้อมๆ กัน แม้หลายคนจะไม่เห็นด้วยกับ “ทักษิณ” ในหลายๆ เรื่อง แต่เมื่อเป้าหมายในประการนี้ตรงกัน ก็น่าที่จะเคลื่อนไหวไปในทางเดียวกันคือคว่ำร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้เกิดกติกาเช่นว่า
                      อีกสัญญาณหนึ่งทีี่ “ทักษิณ” น่าจะได้รับจนถึงขนาดต้องกลับเข้าสู่การเมืองคือ “สัญญาณ” เลือกตั้งที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้าจากพรรคการเมืองขนาดเล็กและขนาดกลางที่ขยับอย่างมีนัยสำคัญ ทำให้เชื่อได้ว่า การเลือกตั้งจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอันใกล้ อีกทั้งคำพูดของ “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เองก็บอกว่า จะมีการเลือกตั้งตามโรดแม็พ  ทำให้น่าเชื่อว่า ไม่เกินกลางปีหน้าน่าจะมีเลือกตั้ง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นภายใต้กติกาแบบใด และการล่าช้าหรือนิ่งเฉยไม่ยอมกลับเข้าสู่ขบวนก็อาจทำให้ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
                      ทั้งหมดจึงน่าจะเป็นเหตุและผลให้การเมืองจากนี้ขยับอย่างมีนัยสำคัญ แต่ที่ต้องถามคือ ผู้กุมอำนาจปัจจุบันจะยอมให้มีการขยับถึงขนาดไหน เพราะคงไม่ยอมให้เจตนารมณ์แห่งการรัฐประหารสูญเปล่าอย่างแน่นอน
———————
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : การเมืองกระเพื่อม ‘ทักษิณ’ ขยับ : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ)

4 ทางเลือก หาก ‘ประชามติไม่ผ่าน’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160214/222411.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 14 กุมภาพันธ์ 2559
4 ทางเลือก หาก 'ประชามติไม่ผ่าน'

คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : 4 ทางเลือก หาก ‘ประชามติไม่ผ่าน’ : โดย…โอภาส บุญล้อม

                      เคาะออกมาเรียบร้อยแล้วว่า วันที่  31 กรกฎาคมนี้ เป็นวันลงประชามติ หลังจาก “สมชัย ศรีสุทธิยากร ” กกต.ด้านการบริหารงานการเลือกตั้ง ได้หารือกับ วิษณุ เครืองาม  รองนายกรัฐมนตรี และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และหลังจากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้เปิดเผยร่างรัฐธรรมนูญเบื้องต้นออกมาก็มีเสียงสะท้อนกลับมา ทั้งที่เห็นด้วย เห็นแย้ง                       ซึ่งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็รับฟังความคิดเห็นข้อเสนอแนะจากฝ่ายต่างๆ เพื่อแก้ไขนำไปสู่ร่างรัฐธรรมนูญฉบับสมบูรณ์ต่อไป
                      แต่นาทีนี้คำถามว่า หากประชามติไม่ผ่านจะทำอย่างไรกันต่อไป ดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ
                      ขณะที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557  แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) เขียนแต่เพียงว่า “ในการออกเสียงประชามติ ถ้าผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติโดยเสียงข้างมากเห็นชอบด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญ ให้นายกรัฐมนตรีนำร่างรัฐธรรมนูญขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายภายใน 30 วัน นับแต่วันประกาศผลการออกเสียงประชามติ” แต่กลับไม่ได้เขียนว่า “ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ จะให้ดำเนินการอย่างไรต่อไป”
                      ดังนั้น หากเกิดกรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ  คนที่จะเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรต่อไปก็คงหนีไม่พ้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้า คสช. เพราะก่อนหน้านี้ “วิษณุ” เคยให้สัมภาษณ์ว่า “หากประชามติไม่ผ่าน…หัวหน้า คสช.จะเป็นผู้ตัดสินใจ”
                      ซึ่งขณะนี้มีวิธีการเพื่อให้ได้มาซึ่งร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อยู่ 2 วิธี หาก “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์” ไม่ผ่านประชามติ คือ 1.แก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน 2.ใช้มาตรา 44
                      ก่อนอื่นขอกล่าวถึงมาตรา 44  ซึ่งเป็นมาตราที่ค่อนข้างครอบจักรวาล หลายคนจึงมองว่า มาตรา 44 ทำให้หัวหน้า คสช.มีอำนาจเหนือนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ และมีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำไป เป็นการใช้อำนาจในฐานะ “รัฏฐาธิปัตย์” แปลว่า อะไรที่รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติไว้ หัวหน้า คสช.อาจใช้มาตรา 44 เขียนอุดช่องได้
                      อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้่  “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ มือกฎหมายของรัฐบาล เคยบอกว่า การนำมาตรา 44 มาใช้ในกรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติว่าจะทำอย่างไร อาจจะไปแย้งกันเองกับรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) เพราะว่ารัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ไม่ได้เขียนเอาไว้ว่า กรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะทำอย่างไรต่อไป เขียนแต่ในกรณีที่ร่างรัฐธรรมนูญผ่านประชามติว่าให้นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายเท่านั้น   ในขณะที่มาตรา 44  ก็เป็นมาตราหนึ่งในรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ซึ่งตามหลักกฎหมายขัดแย้งกันเองไม่ได้ ดังนั้นโอกาสที่จะใช้มาตรา 44 จึงค่อนข้างต่ำ อีกทั้งมาตรา 44 เป็นอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้า คสช. ดังนั้นการที่ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้อำนาจของตัวเองในการเขียนรัฐธรรมนูญภาพจะไม่สวยเท่าไหร่
                      ดังนั้น กรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะดำเนินการอย่างไรต่อไป จึงน่าจะใช้วิธีแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) มากกว่า
                      อีกทั้งขณะนี้มีประเด็นที่จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) อยู่แล้ว เช่น เสียงการผ่านประชามติของร่างรัฐธรรมนูญ  ซึ่งรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ใช้คำว่า “ผู้มีสิทธิออกเสียงโดยเสียงข้างมาก” ซึ่งหากดูตามถ้อยคำที่ใช้ ก็ต้องหมายถึง เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิออกเสียง แต่ฝ่าย คสช.กลับแปลความว่า เสียงข้างมากของผู้ออกเสียงใช้สิทธิ ซึ่งขัดแย้งกับถ้อยคำที่ใช้  ดังนั้นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ(ฉบับชั่วคราว)  ให้ชัดลงไปว่า “ใช้เสียงข้างมากของผู้ออกมาใช้สิทธิออกเสียง” หากต้องการให้ร่างรัฐธรรมนูญผ่านโดยง่าย
                      นอกจากนี้้ยังมีประเด็นขึ้นมาใหม่ ซึ่งได้มาจากการพูดคุยระหว่าง กกต.กับตัวแทนรัฐบาล เกี่ยวกับกรณีที่รัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ซึ่งบัญญัติว่า “ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศกําหนดวันออกเสียงประชามติ นับแต่วันที่คณะกรรมการการเลือกตั้งส่งร่างรัฐธรรมนูญให้แก่ผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของครัวเรือนทั้งหมดที่ผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ” ซึ่ง กกต.เห็นว่า เป็นเรื่องอันตราย เพราะหาก กกต.ส่งร่างรัฐธรรมนูญได้ไม่ถึงร้อยละ 80 ของครัวเรือนของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติ ก็ไม่สามารถลงประชามติกันได้  ดังนั้นจึงจะยกเลิกเกณฑ์เกี่ยวกับการส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ได้ถึงร้อยละ 80 ของครัวเรือน จึงจะลงประชามติได้ เปลี่ยนเป็นว่า เมื่อคณะรัฐมนตรีส่งร่างรัฐธรรมนูญถึง กกต. ให้จัดให้มีการลงประชามติภายในเวลาไม่เกิน 120 วัน ซึ่งเป็นหลักประกันว่า การลงประชามติเกิดขึ้นได้แน่ๆ จึงเป็นที่มาของการกำหนดวันลงประชามติในวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ และการยกเลิกเกณฑ์ส่งร่างรัฐธรรมนูญให้ได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80 ของครัวเรือนของผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติก่อนลงประชามติ ก็ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเช่นกัน
                      ส่วนประเด็นสำคัญที่ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะเอาอย่างไรต่อ จะนำรัฐธรรมนูญฉบับไหนมาใช้ก็ควรจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ไปพร้อมกันก่อนที่จะถึงวันลงประชามติ เพื่อให้ประชาชนมีข้อมูลครบถ้วนในการตัดสินใจลงประชามติว่า หากไม่เอาร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย ฤชุพันธุ์ จะได้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดมาใช้แทน และน่าจะเป็นที่ยอมรับได้กว่าไปแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ว่าจะเอารัฐธรรมนูญฉบับไหนมาใช้หลังผลประชามติออกมาแล้วว่าร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยไม่ผ่านประชามติ เพราะเท่ากับว่าประชาชนไม่มีโอกาสรู้มาก่อนเลยว่าจะต้องเจอกับอะไรหากลงประชามติไม่ผ่าน “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย”
                      อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ “วิษณุ” รองนายกฯ ได้พูดถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) กรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติว่าจะเอารัฐธรรมนูญฉบับไหนมาใช้ ว่า จะทำให้เกิดอคติขึ้นในการลงประชามติ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย” เหมือนมีสินค้า 2 ชิ้นมาเทียบกัน ซึ่งมันไม่ดีไม่ควรจะมาล่อใจกันแบบนั้น หรืออาจจะกลายเป็นความขัดแย้งขึ้นมาใหม่ในสังคม เพราะนอกจากกระแสไม่เห็นด้วยกับ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย” แล้ว อาจมีกระแสขึ้นมาใหม่ที่ไม่เห็นด้วยกับร่างรัฐธรรมนูญที่จะหยิบนำเอามาใช้แทนด้วย ซึ่งถ้าแปลความจากคำพุูดของ “วิษณุ” ว่า จะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) กรณีร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติว่าจะเอาอย่างไรต่อ น่าจะทำหลังผลประชามติออกมาแล้วว่า “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย” ไม่ผ่าน
                      อีกทั้ง “ยุทธศาสตร์” ของ คสช.ที่ผ่านมา จะดำเนินการเรื่องอะไรก็ต่อเมื่อมีความจำเป็นจริงๆ เท่านั้น ดังนั้นจึงน่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ในประเด็นนี้หลังผลประชามติออกมาแล้วว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัยไม่ผ่าน เว้นแต่ คสช.ทนกระแสเรียกร้องที่ต้องการความชัดเจนในประเด็นนี้้ ซึ่งขณะนี้แรงขึ้นเรื่อยๆ ไม่ไหว ก็อาจแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวว่าจะเอาอย่างไรกรณี “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย” ไม่ผ่านก่อนผลประชามติจะออกมาก็ได้ เหมือนกับที่เคยแก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) มาแล้วในเรื่องให้มีการ “ลงประชามติ” ร่างรัฐธรรมนูญเพราะทนกระแสเรียกร้องในขณะนั้นไม่ไหว ทั้งที่ตอนแรกรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ไม่มีเรื่องการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ
                      ส่วนแนวทาง กรณีที่ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย” ไม่ผ่านประชามติ มีอยู่ 4 ทางเลือก ซึ่งขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะเลือกแนวทางใด ได้แก่ 1.นำเอา “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับมีชัย” มาเป็นต้นร่างแล้วปรับปรุง จากนั้นประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญ ซึ่งแนวทางนี้มีโอกาสเป็นไปได้มากที่สุด 2.นำร่างรัฐธรรมนูญฉบับใดฉบับหนึ่งมาปรับปรุง เช่น รัฐธรรมนูญในอดีต ปี 2540, ปี 2550 หรือร่างรัฐธรรมนูญฉบับของบวรศักดิ์ อุวรรณโณ หรือนำเอารัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) มาปรับปรุงแล้วประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญฉบับถาวรก็ได้ หรือนำเอารัฐธรรมนูญหลายฉบับมายำรวมกัน แล้วประกาศใช้
                      3.เริ่มกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญกันใหม่ โดยตั้งกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่ รับฟังความคิดเห็นกันใหม่ นับหนึ่งใหม่ แต่เป็นไปได้น้อย เพราะทั้ง พล.อ.ประยุทธ์และวิษณุเคยบอกตั้งแต่แก้ไขรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) ครั้งแรกว่า คงไม่ปล่อยให้ทำกันไม่รู้จบ อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ได้ย้ำแล้วย้ำอีกว่า ปี 2560 ต้องเลือกตั้งให้ได้ ดังนั้นหากยกร่างกันใหม่ เลือกตั้งไม่ทันกำหนดแน่
                      4.ให้อำนาจหัวหน้า คสช.ยกร่างรัฐธรรมนูญเป็นของตัวเองเลย เป็นร่างรัฐธรรมนูญฉบับ พล.อ.ประยุทธ์  ซึ่งที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ก็เคยพูดทำนองนี้ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่าน ผมก็ทำของผมเอง เพื่อไม่ให้เสียของ และต้องหารัฐธรรมนูญมาให้เลือกตั้งจนได้ อาจมีมาตราเดียว หรือ 2-3 มาตรา ก็พอแล้ว คือ 1.ให้มีการเลือกตั้ง 2.เรื่องสิทธิมนุษยชน 3.เรื่องประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ  อีกทั้งก่อนหน้านี้ มีกระแสข่าวว่า นายกฯ เตรียมร่างรัฐธรรมนูญไว้ 50 มาตรา ซึ่งหากใช้ทางเลือกนี้ “ร่างรัฐธรรมนูญฉบับประยุทธ์” น่าจะมีดีกรีแรงกว่า “ฉบับของอาจารย์มีชัยและบวรศักดิ์”
                      ทั้งนี้ทางเลือกทั้ง 4 ทาง จะไม่มีการทำประชามติอีก ประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญให้หมดปัญหากันไปเลย
——————-
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : 4 ทางเลือก หาก ‘ประชามติไม่ผ่าน’ : โดย…โอภาส บุญล้อม)

ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ปัจจัยแห่งอารมณ์ ‘ท่านผู้นำ’

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160207/221940.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ 2559
ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ปัจจัยแห่งอารมณ์ 'ท่านผู้นำ'

คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ปัจจัยแห่งอารมณ์ ‘ท่านผู้นำ’ : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

                      โบราณท่านว่าไว้ ไม่มีไฟย่อมไม่มีควัน เช่นเดียวกับพุทธศาสนาก็มีคำกล่าวที่ว่า “สิ่งใดทั้งปวงล้วนเกิดแต่เหตุ” ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นลอยๆ หรือไม่มีเหตุได้ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัจธรรม และเกิดขึ้นกับทุกเรื่องโดยไม่มีข้อยกเว้น การเมืองก็เช่นกัน
                      สัปดาห์ที่ผ่านมาเราได้เห็นอารมณ์โกรธของ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ชนิดที่ทำเอาหลายๆ คนตกใจ จริงอยู่ที่ตลอดมาเรารู้กันแล้วว่า “นายกฯ ลุงตู่” ไม่ได้ใจดีเหมือนชื่อเล่นหรือฉายาที่เราเรียกกันอย่างน่ารักๆ หากแต่ติดอันดับนายกฯ อารมณ์ร้าย และยืนซดปะฉะดะกับทุกคนไม่เว้นหน้าอินทร์หน้าพรหม โดยเฉพาะกับผู้สื่อข่าวชนิดที่เรียกกันว่าเป็นไม้เบื่อไม้เมา
                      หากย้อนกลับไปในสมัยอดีต เราแทบจะไม่เห็นนายกฯ ที่มีภาพลักษณ์เช่นนี้ ต่อหน้าสาธารณะ หากแต่เราจะพบนายกฯ ที่มีบุคลิกท่าทีที่นิ่มนวล พูดจาดี ไม่แสดงอารมณ์ แม้จะมีความรู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าจะเป็นนายกฯ ที่มาจากรัฐบาลปกติ ไม่ว่าจะเป็น นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ หรือกระทั่งนายกฯ ที่มาในสถานการณ์พิเศษอย่าง นายกฯ สุรยุทธ์ จุลานนท์
                      มีนายกฯ เพียงสองคนเท่านั้น ที่มีบุคลิกคล้ายคลึงกับ “พล.อ.ประยุทธ์” หนึ่งคือ นายกฯ สมัคร สุนทรเวช และอีกหนึ่งคือ นายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ซึ่งแน่นอนว่าบุคลิกของทั้งสองโดยรวมแล้วไม่เป็นที่พึงใจของชนชั้นกลางเท่าใดนัก รวมทั้งทำให้ถูกเกลียดชังจากคนที่อยู่ขั้วตรงข้าม และลักษณะเช่นนี้ทำให้หลายครั้งถูกค่อนแคะค่อนขอดว่า “ตายเพราะปาก”
                      “พล.อ.ประยุทธ์” ก็เช่นกัน ซึ่งก็พอเข้าใจได้ว่านี่คือบุคลิกแห่งความมั่นใจของคนที่มีอำนาจเต็มแบบไม่ต้องเกรงใจใคร
                      แต่ที่ผ่านมาแม้จะดูอารมณ์ร้ายอยู่บ้างแต่ก็ไม่เท่าที่เป็นในสัปดาห์ที่ผ่านมา และหากย้อนกลับไปเมื่อช่วงปีใหม่ เรายังเห็นคำพูดของนายกฯ ที่บอกว่าจะเป็นกู๊ดกาย แต่พ้นปีใหม่ไม่นาน นายกฯ ก็กลับมาอารมณ์ฉุนเฉียวอีกหลายๆ ครั้ง
                      กระทั่งครั้งล่าสุดที่หลายคนตั้งข้อสงสัยว่านายกฯ อาจจะอารมณ์ไม่ดีมาจากที่อื่น แล้วเมื่อมาเจอผู้สื่อข่าวจึงระเบิดอารมณ์ใช่หรือไม่
                      จึงเกิดคำถามว่าอะไรที่ทำให้ “ลุงตู่” หัวเสียถึงปานนั้น หากดูตามที่ “พล.อ.ประยุทธ์” บอก ได้อ้างถึงสาเหตุของอารมณ์ฉุนเฉียวว่า  “ที่ผมหงุดหงิดมาหลายวัน เพราะเจอแต่คำถามเดิมๆ ถ้าฟังคำถามที่ถาม ผมน่าจะหงุดหงิดมากกว่านี้ อะไรที่เป็นความขัดแย้งขอให้ลดลงหน่อย มีแฟนคลับบอกชอบผมพูดรุนแรง แต่อีกพวกบอกว่าทำตัวแบบนี้เป็นนายกฯ ได้อย่างไร  เอาเป็นว่าผมนะดีแล้ว แต่วันนี้ผมหงุดหงิดมากกว่าเป็น ผบ.ทบ. ตอนเป็น ผบ.ทบ.ดูแลทหารสองแสนคน ยังไม่หงุดหงิดเท่านี้เลย”
                      สรุปความได้ว่าหลักๆ หงุดหงิดที่ถูกถามย้ำเรื่องเดิมๆ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเรื่องเดิมๆ ที่ถูกถามแบบย้ำๆ คือการเลือกตั้งจะมีขึ้นเมื่อไหร่
                      แต่หากดูจากคำให้สัมภาษณ์ของ “พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด”  ที่ว่า “ผมเชื่อว่านายกรัฐมนตรีรู้สึกไม่สบายใจ เพราะต้องเข้ามาแบกรับปัญหาต่างๆ รวมทั้งพยายามปรับปรุงแก้ไขและสร้างกติกาใหม่ๆ รวมถึงปรับปรุงกฎหมายต่างๆ เพื่อวันข้างหน้า จึงอาจมีแรงกดดันมาก เนื่องจากแบกรับภาระในการแก้ไขปัญหาให้ประเทศ และอาจเกิดความรู้สึกเหมือนเดินอยู่คนเดียว และรู้สึกอ้างว้างเดียวดาย จึงอยากเรียกร้องให้สื่อมวลชนได้ทำหน้าที่เพิ่มมากขึ้น และให้ความร่วมมือในการนำเสนอข่าวที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมมากกว่านำเสนอข่าวในแง่ลบ”
                      ถอดความแล้ว ดูเหมือนจะค่อนข้างหนักกว่าที่นายกฯ ระบุเอาไว้ เพราะหากเป็นไปตามนี้เท่ากับว่านายกฯ มีอาการเครียดไม่น้อยจากแรงกัดดันและที่สำคัญคือ ความรู้สึก “เหมือนเดินคนเดียว”  “อ้างว้างเดียวดาย” อะไรทำให้นายกรัฐมนตรีรู้สึกเช่นนั้น ทั้งที่มีคนอยู่รายล้อมรายรอบ
                      ดังนั้นจึงมาถอดรหัสความเครียดของนายกฯ ที่มีอย่างมากมายจนสุดท้ายสะท้อนออกมาทางอารมณ์จนเป็นประเด็นใหญ่โตช่วงที่ผ่านมา
                      เรื่องแรก คือเรื่องการเลือกตั้งที่ถูกถามย้ำว่าจะมีขึ้นเมื่อไหร่ ในมุมของสื่อมวลชนและคนนอกอาจต้องการความมั่นใจว่าโรดแม็พยังคงเดินหน้าตามเดิมและที่สำคัญต้องการคำมั่นว่าเมื่อเลือกตั้งแล้ว ผู้กุมอำนาจปัจจุบันจะไม่สืบทอดอำนาจต่อไป เพราะสัญญาณจากต่างชาตินั้นต่างก็กดดันให้เราคืนสู่สภาวะปกติโดยเร็วและการกดดันไม่ได้กดดันเฉพาะคำพูด หากแต่กดดันผ่านวิธีต่างๆ เช่น การชะลอหรือระงับความร่วมมือด้านต่างๆ
                      แต่ในมุมของนายกฯ ต้องยอมรับว่ากดดันไม่น้อยกับคำถามนี้ เพราะท่านนายกฯ เองก็ยอมรับว่าท่านมาในสถานการณ์ไม่ปกติ และถืออำนาจที่ไม่ปกติ เช่นเดียวกับหอกดาบทั่วไปที่ยิ่งถือนานยิ่งมีโอกาสทำร้ายตัวเองสูง แต่หากรีบปล่อยก็หวั่นว่าสิ่งที่คาดหวังไว้จะไม่ประสบความสำเร็จ และที่สำคัญปัจจัยภายนอกอาจหวนกลับมาทิ่มแทงท่านภายหลังลงจากอำนาจได้เช่นกัน คำถามนี้จึงสร้างความกระอักกระอ่วนแก่ผู้นำไม่น้อย
                      เรื่องที่สอง เกี่ยวพันกับเรื่องแรก กล่าวคือปัญหาเศรษฐกิจที่ประเดประดังเข้ามา มีคำกล่าวว่าต่อให้รัฐบาลจะเป็นอย่างไรลิดรอนสิทธิแค่ไหนแต่หากปากท้องยังอิ่ม เศรษฐกิจยังดี รัฐบาลก็สามารถอยู่ได้ แต่ขณะนี้ไม่ใช่อย่างนั้น เศรษฐกิจเป็นที่รู้กันว่ายังคงดิ่งลงไม่หยุดซึ่งมิใช่เพียงเกิดจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำเท่านั้น แต่รวมถึงการร่วมมือระงับการค้าการลงทุนกับไทย เหมือนกลายเป็นสองแรงบวกที่กระทำต่อสภาวะเศรษฐกิจในขณะนี้
                      เมื่อเศรษฐกิจยังเป็นบาดแผลสำคัญ ย่อมทำให้รัฐบาลอยู่ในสภาวะโงนเงน โดยเฉพาะในยามที่ต้องรักษาสถานะของอำนาจ และความรู้สึกของประชาชนต่อการถูกละเมิดหรือถูกจำกัดสิทธิจะสะท้อนอย่างรุนแรงมากยิ่งขึ้น รวมถึงเรื่องราคาสินค้า ราคาพืชผล สิ่งที่อยากให้ถูกกลับแพง สิ่งที่อยากให้แพงกลับถูก ยิ่งสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย
                      การแก้ปัญหาต่างๆ ก็ดูเหมือนไม่ค่อยประสบผลสำเร็จ หนึ่งอาจเป็นเพราะความเชื่อถือและสองอาจเป็นเพราะความไม่ชำนาญของทหารในการแก้ปัญหา เพราะไม่ได้ถูกฝึกมาให้ทำเรื่องแบบนี้
                      เรื่องที่สาม เรื่องรัฐธรรมนูญที่เมื่อเปิดออกมา ปรากฏว่าเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มเสียยิ่งกว่าฉบับของ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” เสียอีก คนที่เคยหนุนก็ออกมาวิจารณ์ไม่น้อย รวมถึงเริ่มมีการรณรงค์ให้คว่ำร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งอาจจะบานปลายเป็นเรื่องการเมืองและกระทบ คสช.ในตอนท้ายที่สุด
                      เรื่องที่สี่ เรื่องความโดดเดี่ยว เพราะแม้นายกรัฐมนตรีจะมีการตั้งคณะกรรมการ คณะทำงาน ขึ้นมาจำนวนมากเพื่อแก้ปัญหาเพื่อร่วมทำงาน แต่ด้วยลักษณะการปกครองในปัจจุบัน ที่นายกฯ เป็นเหมือนศูนย์กลางของประเทศทุกเรื่องแม้จะถูกทำในชั้นกรรมการหรือคณะทำงานก็จะย้อนกลับมายังนายกฯ อยู่ดีและในลักษณะเดียวกัน ปัญหาทุกเรื่องก็จะประเดประดังมาที่นายกฯ คนเดียว
                      นี่คือลักษณะพิเศษของการปกครองในลักษณะรวมศูนย์อำนาจอยู่ที่คนคนเดียว ซึ่งเป็นชะตากรรมที่ต้องรับเพราะเลือกเป็นคนที่จะก้าวเข้ามาด้วยตัวเอง
                      ไม่แปลกที่อารมณ์ของนายกฯ จะฉุนเฉียวแต่ด้วยความเป็นผู้นำอาจต้องคุมอารมณ์ให้มากกว่านี้ เพราะต้องไม่ลืมว่าทุกอารมณ์ของผู้นำย่อมส่งผลถึงการทำงาน และบรรยากาศของบ้านเมือง ซึ่งอยู่ในสถานะผู้ที่ต้องรับผิดชอบในฐานะ “นายกรัฐมนตรี” ของประเทศไทย
—————–
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ผลย่อมเกิดแต่เหตุ ปัจจัยแห่งอารมณ์ ‘ท่านผู้นำ’ : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ)

เลือกตั้งปลายปี2560จริงหรือ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160131/221523.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 31 มกราคม 2559
เลือกตั้งปลายปี2560จริงหรือ?

เลือกตั้งปลายปี2560จริงหรือ? : คมวิเคราะห์การเมืองรอบสัปดาห์ โดยสมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์

           คำถามใหญ่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา คือ ในปี 2560 จะมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นหรือไม่ จะเป็นตามปฏิทินเดิมคือ ประมาณกลางปี หรือจะต้องเลื่อนออกไปปลายปี หรือจะนานกว่านั้น?

จุดเริ่มของคำถามนี้มาจาก “มีชัย ฤชุพันธุ์” ประธานคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ออกมาให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราว 2557 เรื่องการทำประชามติเพื่อให้เกิดความชัดเจนว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ โดยนายมีชัยบอกทำนองว่า ไม่จำเป็นต้องแก้ไข เพราะจะทำให้ประชาชนไม่สนใจดูเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญ แต่จะไปดูที่เงื่อนไขมากกว่า

ประโยคที่ทำให้เป็นประเด็นขึ้นมาคือ เมื่อนักข่าวถามว่า หากไม่แก้รัฐธรรมนูญชั่วคราวแล้วร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติ จะทำอย่างไร ซึ่งมีชัยตอบว่า “ถ้าประชามติไม่ผ่าน รัฐธรรมนูญปัจจุบันก็บังคับใช้ต่อไป” ซึ่งมีบางคนไปตีความว่า หมายถึงจะเอารัฐธรรมนูญชั่วคราวมาใช้เป็นการถาวร หมายถึงจะไม่มีการเลือกตั้งในปี 2560 ตามโรดแม็พที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เคยกำหนดไว้หรือไม่

ร้อนถึง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” นายกฯ ในฐานะหัวหน้า คสช. ต้องออกมายืนยันว่า จะให้มีการเลือกตั้งในปี 2560 ให้ได้ โดยระบุลงไปด้วยว่า เป็นเดือนกรกฎาคม 2560 ยกเว้นถ้าให้ไปเลือกตั้งแล้วยังทะเลาะกันไม่ไปเลือกตั้ง อันนั้นนายกฯ บอก ก็ช่วยไม่ได้แล้ว

แค่วันเดียวหลัง พล.อ.ประยุทธ์ออกมาการันตีว่าจะให้มีการเลือกตั้ง กรกฎาคม 2560 ก็มีข่าวออกมาว่า การเลือกตั้งอาจขยับไปเป็นปลายปี 2560 เพราะในบทเฉพาะกาลได้เขียนกำหนดระยะเวลาในการออกกฎหมายลูก หรือกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญที่ต้องออกให้เสร็จก่อนเลือกตั้งว่า ให้ใช้เวลาไม่เกิน 8 เดือน และให้ไปเลือกตั้งภายใน 5 เดือน หลังทำกฎหมายลูกเสร็จ

นั่นหมายความว่า ระยะเวลาที่จะเดินไปสู่การเลือกตั้งตามโรดแม็พที่ คสช.เคยกำหนดไว้ และตามที่ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกฯ เคยบอกออกมาเป็นสูตร 6+4+6+4 คือ เลข 6 ตัวที่สอง ซึ่งหมายถึงระยะเวลาในการทำกฎหมายลูกถูกขยายเข้าไปเพิ่มไปอีก 2 เดือน และเลข 4 ตัวที่สองคือระยะเวลาในการไปสู่วันเลือกตั้งก็ขยายไปอีก

คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเองก็ออกมายอมรับว่า ข้อกำหนดในบทเฉพาะกาลจะทำให้การเลือกตั้งลากยาวไปเป็นปลายปี

เมื่อพิจารณารายละเอียดก่อนไปสู่การเลือกตั้งที่กำหนดไว้ในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญที่เพิ่งเปิดออกมา จะมี 3 ส่วนที่เกี่ยวข้อง คือ 1.ระยะเวลาร่างกฎหมายลูก 2.ระยะเวลาที่ สนช.พิจารณาร่างกฎหมายลูก 3.ระยะเวลาในการเลือกตั้ง

เรื่องแรก กำหนดไว้ในมาตรา 259 ว่า ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญจัดทำกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญและกฎหมายอื่นที่จำเป็นรวม 10 ฉบับให้เสร็จภายใน 8 เดือน หากทำไม่เสร็จภายในกำหนด “ให้หัวหน้า คสช.ตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่มาทำ” ซึ่งไม่ได้กำหนดระยะเวลาไว้ว่าต้องให้เสร็จภายในเวลาเท่าใด

แน่นอน ทันทีที่ปรากฏเนื้อหาส่วนนี้ออกมาย่อมเกิดคำถามว่า ตั้งใจเขียน “เปิดช่อง” เพื่อยื้อเวลาในการเลือกตั้งออกไปหรือไม่ เพราะคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญทั้งชุดเดิมและชุดใหม่ที่จะตั้งขึ้นมาหากชุดปัจจุบันทำภารกิจไม่เสร็จ ก็ล้วนมาจากการแต่งตั้งของหัวหน้า คสช.

ผู้สื่อข่าวจึงซักถามนายมีชัยอย่างหนัก ภายหลังการแถลงเปิด “ร่างรัฐธรรมนูญเบื้องต้น” เมื่อวันศุกร์ (29 ม.ค.) ซึ่งแม้นายมีชัยจะบอกว่า มั่นใจว่าจะร่างทันภายใน 8 เดือน นักข่าวยังซักต่ออีก จนสุดท้ายนายมีชัย จึงบอกว่า “ถ้าติดใจกันมากจะไปตัดออก”

อย่างไรก็ตาม การเขียน “เปิดช่อง” ไว้อย่างนี้ ทำให้บางคนมองไปถึงข้อกำหนดเรื่องการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญชั่วคราว ที่ไม่ได้เขียนเอาไว้ว่า หากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านประชามติจะทำอย่างไร รวมถึงเรื่องเสียงที่จะใช้ในการผ่านประชามติจะต้องเป็นเท่าใดแน่ เพราะในรัฐธรรมนูญชั่วคราวเขียนว่า “ผู้มีสิทธิออกเสียงประชามติโดยเสียงข้างมาก” ซึ่งนักกฎหมายส่วนใหญ่ตีความว่า หมายถึง “เสียงข้างมากของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง” ขณะที่ฝ่าย คสช.ยืนยันว่า หมายถึง “เสียงข้างมากของผู้มาใช้สิทธิ” ซึ่งหากไม่แก้ไขรัฐธรรมนูญชั่วคราวเสียก่อนอาจจะทำให้เกิดปัญหาตามมาภายหลังได้

นอกจากนี้ยังมีคำถามถึงประเด็นที่ให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญต้องร่างกฎหมายลูกและกฎหมายที่จำเป็น ที่กำหนดไว้ทั้ง 10 ฉบับ ให้เสร็จก่อน จึงจะไปสู่ขั้นตอนการเลือกตั้งได้ จากที่รัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้หรือกระทั่งร่างรัฐธรรมนูญของ “บวรศักดิ์ อุวรรณโณ” จะกำหนดกฎหมายที่ต้องทำให้เสร็จก่อนไปเลือกตั้งเพียง 3-4 ฉบับ หลักๆ คือ กฎหมายว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. กฎหมายว่าด้วยการได้ว่าของ ส.ว. กฎหมายว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง และกฎหมายพรรคการเมือง ซึ่งระยะเวลาจะอยู่ที่เพียง 3 เดือนเท่านั้น

และทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ฝ่ายรัฐบาล และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญเองก็เคยให้สัมภาษณ์ทำนองว่า กฎหมายที่จำเป็นต้องทำให้เสร็จก่อนก็มีเพียง 3-4 ฉบับนี้ เมื่อตัวบทบัญญัติกำหนดว่าต้องเสร็จก่อนทั้ง 10 ฉบับ จึงทำให้เกิดคำถามขึ้นมาเช่นกัน

ทั้งนี้กฎหมายที่ถูกกำหนดไว้ว่าต้องทำให้เสร็จภายใน 8 เดือน ได้แก่

1.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

2.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา

3.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง

4.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 90

5.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ

6.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง

7.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยผู้ตรวจการแผ่นดิน

8.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต

9.พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการตรวจเงินแผ่นดิน

10.กฎหมายว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐ

ส่วนที่สอง เรื่องการส่งร่างกฎหมายให้ สนช.พิจารณา ซึ่ง สนช.ต้องพิจารณาให้เสร็จภายใน 2 เดือน ดูจะไม่ค่อยมีคำถาม เพราะถือเป็นขั้นตอนปกติ แต่อีกส่วนที่มีคำถามเช่นกัน คือ ระยะเวลาในการเลือกตั้ง ทำไมต้องยาวถึง 5 เดือน ทั้งที่ตามรัฐธรรมนูญที่ผ่านมารวมถึงร่างรัฐธรรมนูญของนายบวรศักดิ์ก็อยู่ที่ 3 เดือนเท่านั้น

มีการตั้งข้อสังเกตว่า การกำหนดเวลาในการเลือกตั้งไว้นานถึง 5 เดือนนั้น เพราะต้องการอำนวยความสะดวกให้แก่บรรดาสมาชิก คสช., สนช.และ สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ที่ต้องการลงสมัคร ส.ส.หรือไม่

ทั้งนี้ ในบทเฉพาะกาลกำหนดไว้ว่า หาก คสช. สนช. หรือ สปท. ต้องการจะลงสมัครเลือกตั้ง ส.ส. หรือสมัครรับเลือกตั้ง ส.ว.จะต้องลาออกภายใน 90 วัน ขณะที่มีข้อกำหนดสำหรับผู้ที่จะลงสมัคร ส.ส.ว่า ต้องสังกัดพรรคการเมืองไม่น้อยกว่า 90 วัน

จากทั้ง 3 ปัจจัยดังกล่าวที่จะเป็นตัวชี้ว่าการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นได้เมื่อใด ในเบื้องต้นจึงบอกได้ว่า หากคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญสามารถทำกฎหมายลูกได้เสร็จตามเวลาที่กำหนด คือ 8 เดือน ระยะเวลาในการเลือกตั้งจะไปตกที่ประมาณเดือนตุลาคม 2560 และในร่างรัฐธรรมนูญกำหนดว่า ภายหลังการเลือกตั้งคณะกรรมการการเลือกตั้งจะต้องประกาศผลการเลือกตั้งให้เสร็จไม่ช้ากว่า 60 วัน เท่ากับว่าจะมีรัฐบาลใหม่ได้ประมาณปลายปี 2560

นั่นคือ คสช.จะยังคงอยู่ต่อไปโดยมีอำนาจเต็มทุกประการตามที่บทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญกำหนดไว้จนถึงปลายปี 2560

ยกเว้น! 1.นายมีชัยไม่ได้ไปตัดบทบัญญัติที่เขียนเปิดช่องให้หัวหน้า คสช.สามารถตั้งคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญชุดใหม่มาจัดทำกฎหมายลูกใหม่ได้ 2.คณะกรรมการชุดนายมีชัยไม่สามารถทำกฎหมายลูกทั้ง 10 ฉบับได้เสร็จภายในกำหนดเวลา 3.ทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญแล้วไม่ผ่าน และ 4.ปัจจัยอื่น

การเลือกตั้งจะเกิดภายในปี 2560 หรือไม่ จึงยังไม่แน่นอน!!

รัฐธรรมนูญ’มีชัย’เข้าทาง? สร้างรัฐบาลเป็ดง่อย-ฟื้นรัฐราชการ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160124/221118.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม 2559
รัฐธรรมนูญ'มีชัย'เข้าทาง? สร้างรัฐบาลเป็ดง่อย-ฟื้นรัฐราชการ

คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : รัฐธรรมนูญ ‘มีชัย’ เข้าทาง..? สร้างรัฐบาลเป็ดง่อย-ฟื้นรัฐราชการ : โดย…ขนิษฐา เทพจร

                      แม้ว่าตอนนี้ ร่างรัฐธรรมนูญฉบับรับฟังความคิดเห็น ที่ คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) นำโดย “มีชัย ฤชุพันธุ์” จัดทำ จะยังไม่ปรากฏรายละเอียดเป็นรายมาตราทั้งฉบับต่อสายตาสาธารณะ
                      แต่จากเนื้อหารายประเด็นที่ “กรธ.” เผยแพร่หลังการพิจารณาร่างบทบัญญัติเป็นรายมาตรา ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา พบหลายประเด็นที่เป็นมาตรการใหม่ โดยเฉพาะการขจัดปัญหาการทุจริต คอร์รัปชั่นของผู้ใช้อำนาจ และนักการเมืองขั้นสูงสุด
                      ซึ่ง “ซือแป๋มีชัย” ได้ยอมรับกับเนื้อหาปราบโกง และให้คำจำกัดความเป็นรัฐธรรมนูญฉบับป้องกันทุจริต
                      เมื่อตรวจทานจากบทบัญญัติร่างรัฐธรรมนูญที่ยังไม่เป็นทางการ พบมาตรการการควบคุม กำกับ และตรวจสอบการใช้อำนาจการบริหาร ผ่านตัวอักษรของร่างรัฐธรรมนูญ รวมถึงเพิ่มบทบาทขององค์กรอิสระให้ตรวจสอบและเสนอแนะฝ่ายรัฐบาล เพื่อถ่วงดุลฝ่ายการเมืองที่ชอบอ้างเสียงข้างมากและใช้อำนาจสร้างกำไรให้ตัวเองมากกว่าการสร้างประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมและประเทศชาติ
                      เมื่อพิจารณาอย่างเรียงลำดับ ถือว่าเป็นมาตรการสกัดคนโกงแบบบูรณาการ ทั้งต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ
                      ในมาตรการต้นน้ำ ที่มุ่งป้องกันคนไม่ดี ให้เข้าสู่อำนาจทางการเมือง สะท้อนอยู่ในร่างมาตราว่าด้วยคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามเข้าสู่ตำแหน่ง ในที่นี้ “กรธ.” ใช้คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. เป็นฐานคัดกรองบุคคลเข้าสู่ตำแหน่งทางการเมืองทุกระดับ
                      สำหรับลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่ไม่มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส. นั้น ถูกเขียนไว้ทั้งสิ้น 18 กรณี และเพิ่มประเด็นที่เข้มงวดมากขึ้น เมื่อเทียบกับรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สรุปสาระสำคัญได้ว่า ผู้ที่ต้องโทษ ถูกคำพิพากษา ฐานกระทำทุจริตต่อการเลือกตั้ง ทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ เคยทำทุจริตเกี่ยวกับทรัพย์ ฐานฉ้อโกงประชาชน รวมถึงทำผิดตามกฎหมายว่าด้วยยาเสพติดฐานะผู้ส่งออก นำเข้า และขยายรวมถึงการกระทำผิดฐานฟอกเงิน หรือค้ามนุษย์ด้วย
                      มาตรการกลางน้ำคือ กลไกที่ใช้กำกับการทำงานของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เพื่อไม่ให้นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลใช้อำนาจที่ฉ้อฉลจนสร้างความล้มเหลวการบริหารราชการแผ่นดิน โดยร่างรัฐธรรมนูญวางหลักการให้นักการเมืองในตำแหน่งทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต พร้อมกำหนดแผนพิฆาตคนชอบโกง ด้วยการลงโทษให้พ้นจากตำแหน่งเมื่อพบพฤติกรรมทุจริต โดยเฉพาะทุจริตต่องบประมาณแผ่นดิน
                      แม้ประเด็นนี้ยังไม่เห็นบทบัญญัติทั้งหมด แต่ “ประธาน กรธ.” พูดไว้ชัดเจนว่า หากมีประเด็นที่พบการร่วมมือทุจริตแบบเป็นองคาพยพ เช่น การจัดสรรงบประมาณให้ ส.ส.นำไปใช้ ซึ่งเป็นการกระทำที่ร่วมมือกันระหว่าง ส.ส. ส.ว. สำนักงบประมาณ กระทรวง ทบวง กรม และ ครม. ในร่างรัฐธรรมนูญใหม่กำหนดบทแซงชั่นว่า ต่อไปนี้หากใครทำต้องพ้นจากหน้าที่ หากสภาผู้แทนราษฎรอนุมัติงบประมาณในลักษณะดังกล่าว ต้องพ้นไปทั้งสภา, หาก ครม.อนุมัติโครงการลักษณะดังกล่าว ครม.ต้องพ้นจากตำแหน่งทั้งคณะ เป็นต้น แม้ประเด็นนี้จะทำให้รัฐบาลบริหารงานลำบาก แต่ต้องยอมเพื่อไม่ให้รัฐบาลคิดทุจริต
                      นอกจากนั้นยังกำหนดกรอบการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลชุดหน้า ที่นอกจากต้องยึดรัฐธรรมนูญ กฎหมายและนโยบายที่ได้แถลงต่อรัฐสภาแล้ว ต้องปฏิบัติใน 5 เงื่อนไขดังต่อไปนี้ 1.ปฏิบัติหน้าที่และใช้อำนาจด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เสียสละ เปิดเผยและมีความระมัดระวังในการดำเนินกิจการต่างๆ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประเทศและประชาชนส่วนรวม 2.ใช้จ่ายเงินแผ่นดินตามพระราชบัญญัติว่าด้วยวินัยการเงินการคลังของรัฐอย่างเคร่งครัด 3.ยึดถือและปฏิบัติตามหลักการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี 4.สร้างเสริมให้ทุกภาคส่วนในสังคมอยู่ร่วมกันอย่างผาสุก และ 5.คุ้มครองป้องกันไม่ให้มีการแทรกแซงกิจการภายในของชาติ
                      นอกจากนี้ เพื่อความรอบคอบอย่างที่สุด “กรธ.” ได้วางหลักการให้ ครม.ทั้งคณะต้องรับผิดชอบร่วมกัน ทั้งการทำนโยบายและการดำเนินงานตามนโยบาย เพื่อไม่ให้ใครใช้ข้ออ้างว่าไม่ใช่ผู้ปฏิบัติงาน ปัดความรับผิดแห่งนโยบายที่สร้างผลกระทบหรือความเสียหายแก่ประเทศและสังคม
                      ในประเด็นที่เกี่ยวเนื่องมีบทบัญญัติเพื่อปรับบทบาทองค์กรอิสระที่ทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลให้ทำงานเชิงรุกมากขึ้น คือ องค์กรอิสระที่มีอำนาจตามบทบาทสามารถนำเรื่องเข้าที่ประชุมพิจารณาได้ โดยไม่ต้องรอให้มีผู้ร้องเรียน ขณะเดียวกันยังเพิ่มมาตรการสอดส่อง และกำกับงานของรัฐบาล ให้แก่ 3 องค์กรอิสระ คือ
                      คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ฐานะผู้จัดการเลือกตั้ง-ดูนโยบายของพรรคการเมือง, คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ฐานะหน่วยงานที่ตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ฐานะผู้ตรวจสอบทุจริตทุกระดับ ร่วมหารือเพื่อวิเคราะห์และมองรอบด้านถึงการกระทำ หรือนโยบายของรัฐบาลที่ส่อว่าจะสร้างความเสียหาย หากพบความสุ่มเสี่ยงหรือส่อว่าจะสร้างความเสียหายแก่ประเทศระยะยาว สามารถส่งคำตักเตือนไปยังรัฐบาลให้ทราบ โดยไม่มีผลในทางบังคับให้ทำตาม
                      สำหรับความมุ่งหมายของประเด็นนี้ “กรธ.” ย้ำว่า แค่ตักเตือนเพื่อระงับความเสียหายเท่านั้น ไม่ใช่เพิ่มอำนาจให้องค์กรอิสระเข้าไปแทรกแซงการบริหารราชการแผ่นดิน แต่ประเด็นนี้ถูกตั้งข้อสงสัยจากบรรดาฝ่ายการเมืองถึงการสร้างมาตรการล้วงลูกที่ให้อภิสิทธิ์แก่ผู้จ้องทำลายรัฐบาลในอนาคตได้
                      ขณะที่การถ่วงดุลในสภาผู้แทนราษฎรได้ให้สิทธิ “ฝ่ายค้านในสภา” ขอเปิดประชุมสภา เพื่อให้ข้อเสนอแนะต่อการทำงานไปยังรัฐบาลได้ จากเดิมที่ให้สิทธิเฉพาะคณะรัฐมนตรีขอสภาเปิดประชุมเพื่อรับฟังความเห็นของส.ส. นอกจากนั้นยังมีมาตรการให้ประชาชนร่วมตรวจสอบการทำงานของรัฐบาลได้ หากพบว่าการกระทำใดของ “ครม.” ไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ ขัดหลักนิติธรรม หรือไม่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของประเทศและความผาสุกของประชาชนโดยรวม ด้วยการให้สิทธิยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุด หรือศาลรัฐธรรมนูญ มีคำวินิจฉัย หรืออีกนัยหนึ่งคือ มอบอำนาจการกำกับรัฐบาลให้ศาลรัฐธรรมนูญ โดยใช้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญเป็นทางผ่าน
                      ส่วนมาตรการปลายน้ำ คือ บทบัญญัติที่ตัดสิทธิการเมืองตลอดไป หรือ ชั่วชีวิตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่กระทำทุจริตทุกกรณี ซึ่งมาตรการนี้ “กรธ.” หวังเป็นยาแรง ที่สร้างความหวาดกลัวกระทำผิดของผู้มีอำนาจ
                      นอกจากนั้นในร่างบทบัญญัติยังมีมาตรการที่เป็นกลไกซึ่งแก้ปัญหาทางการเมืองรอบที่ผ่านมา อาทิ ปัญหาเสียงข้างมากเด็ดขาดในสภา และใช้อภิสิทธิ์ของ ส.ส.เพื่อประโยชน์ของตนเองหรือนายทุน “กรธ.” มีมาตรการและกลไกที่วางหลักการเพื่อให้ ส.ส.ได้ทำหน้าที่โดยอิสระ และปราศจากการครอบงำของนายทุนพรรคการเมือง โดยสำคัญคือ การสร้างระบบเลือกตั้งส.ส.ที่เป็นไปตามคะแนนนิยมแท้จริง คือ ระบบเลือกตั้งแบบจัดสรรปันส่วนผสม ที่ใช้บัตรลงคะแนนเพียงใบเดียว เพื่อหาตัว ส.ส.แบบแบ่งเขตเลือกตั้ง และ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ
                      ตามหลักการที่ “กรธ.” อธิบายไว้ เกี่ยวกับบัตรเลือกตั้งใบเดียวนั้น เพื่อเป็นมาตรการทางอ้อมให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งใช้ดุลพินิจเลือกคนที่ดีที่สุดมาเป็น ส.ส. ขณะเดียวกันเป็นมาตรการทางตรงให้พรรคการเมืองเลือกสรรตัวแทนที่ดีที่สุดลงเลือกตั้ง แต่แม้จะสามารถอธิบายความในข้อดี แต่ยังพบในข้อเสีย ที่ระดับ “มีชัย ฤชุพันธุ์” ออกปากเองว่า “หากปล่อยให้โกงกันได้ ระบบเลือกตั้งใหม่ก็พังไม่เป็นท่าได้”
                      ดังนั้นในร่างรัฐธรรมนูญจึงถูกวางหลักปราบและลงโทษคนโกงไว้ แต่เนื้อหายังไม่ถูกเปิดเผยอย่างเป็นทางการ
                      ส่วนอนาคตทางการเมืองที่ถูก “นักการเมือง-นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์” วิเคราะห์หลังจากเห็นสาระร่างรัฐธรรมนูญเป็นเบื้องต้น คือ จะทำให้เกิดรัฐบาลผสมที่อ่อนแอได้ เพราะไม่มีทางที่พรรคไหนจะได้เสียงข้างมากเกินครึ่งอย่างแน่นอน เว้นแต่จะชนะเลือกตั้งเขตแบบถล่มทลายขณะที่กรณีที่เพิ่มความเข้มงวดการบริหารราชการแผ่นดินที่ต้องเดินตามกรอบที่รัฐธรรมนูญกำหนด รวมถึงเพิ่มบทบาทขององค์กรอิสระ รวมถึงศาลรัฐธรรมนูญเข้ามาถ่วงดุลรัฐบาล ประกอบกับมีมาตรการลดความเข้มแข็งของฝ่ายการเมือง โดยอ้างว่าป้องกันทุจริต อาจเป็นปัญหาที่ทำให้เกิดภาวะรัฐบาลเป็ดง่อยขึ้นได้ ขณะที่กลไกภาคประชาชนที่มีสถานะต่อรองอำนาจของรัฐบาล-ราชการได้ กำลังถูกบางมาตรการบอนไซการเติบโต สะท้อนให้เห็นจุดหมายรัฐธรรมนูญ “ฉบับมีชัย” ว่า พยายามฟื้นรัฐราชการ และเมื่อเป็นเช่นนั้นจริง จะเป็นจุดที่ทำให้ประเทศวกกลับมาสู่วงจรอุบาทว์ที่ลงท้ายด้วยการรัฐประหารได้อีก
                      อย่างไรก็ตาม “กรธ.” กำหนดให้เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ในวันที่ 29 มกราคม ดังนั้นเมื่อเห็นรายละเอียดทั้งหมดแล้ว คงพอเดาเจตนารมณ์ของคณะผู้ทำรัฐธรรมนูญต่ออนาคตการเมืองได้ไม่ยากว่า พวกเขาต้องการพลิกโฉมอนาคตประเทศไทยไปทางไหน?
———————
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : รัฐธรรมนูญ ‘มีชัย’ เข้าทาง..? สร้างรัฐบาลเป็ดง่อย-ฟื้นรัฐราชการ : โดย…ขนิษฐา เทพจร)

‘รัฐฮุบสื่อ’ ?…ผ่านร่าง รธน.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160117/220683.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2559
'รัฐฮุบสื่อ' ?...ผ่านร่าง รธน.

คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ‘รัฐฮุบสื่อ’ ?…ผ่านร่าง รธน. : โดย…โอภาส บุญล้อม

                      “หมกเม็ด” หรือไม่ กับการที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ได้โยกเรื่อง “คลื่นความถี่” จากหมวด “สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย“ ไปอยู่หมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” และเปลี่ยนสถานะของคลื่นความถี่จาก “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ”
                      ทั้งนี้รัฐธรรมนูญทั้งปี 2540 และปี 2550 ได้บัญญัติเรื่อง “คลื่นความถี่” ไว้ในหมวด “สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย” โดยในรัฐธรรมนูญปี 2540 อยู่ในมาตรา 40 ส่วนในรัฐธรรมนูญปี 2550 อยู่ในมาตรา 47
                      มีใจความในวรรคแรกว่า “คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” ส่วนในวรรคสอง มีเนื้อหาใจความว่า “ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็นอิสระองค์กรหนึ่งทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ตามวรรคหนึ่งและกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม”
                      นำมาซึ่งการก่อกำเนิด “คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ” (กสทช.) ซึ่งเป็น “องค์กรอิสระ” ทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่ ออกใบอนุญาต ให้แก่ผู้ประกอบการด้านสื่อ  ทำให้ “คลื่นความถี่” ไม่ตกอยูในมือของ “รัฐ” แต่เพียงผู้เดียวเหมือนแต่ก่อน
                      ดังนั้น การที่ “คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ” ย้ายหมวด และใช้คำว่า “คลื่นความถี่ฯ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” นั้น ทำให้มีการตั้งข้อสังเกตกันว่า จะทำให้คลื่นความถี่ฯ ตกไปอยู่ในมือของ “รัฐ” เหมือนในอดีตหรือไม่
                      “คำนูณ สิทธิสมาน” สมาชิกสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ และอดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ได้โพสต์ข้อความลงเฟซบุ๊กของเขา แสดงความเป็นห่วงในเรื่องนี้
                      ระบุว่า “คลื่นความถี่“ เป็น “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” และให้มี “องค์กรของรัฐที่เป็นอิสระ” ทำหน้าที่จัดสรรฯ และกำกับ ซึ่งหลักการทั้งสองเป็นผลส่วนหนึ่งมาจากการต่อสู้เดือนพฤษภาคม 2535 ที่เกิดการปิดกั้นข่าวสาร จึงเกิดกระแสรณรงค์ให้เกิดสื่อเสรี กระทั่งเปลี่ยนหลักการสำคัญว่า คลื่นความถี่ไม่ใช่ของรัฐ แต่เป็นของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ และนำมาบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญปี 2540 และ ปี 2550
                      ดังนั้นเห็นว่า หลักการใดก็ตามที่ถูกบัญญัติไว้ในหมวด “สิทธิ” แปลว่าเมื่อรัฐธรรมนูญมีผลใช้บังคับแล้ว หลักการนั้นจะเป็นผลเต็มร้อยทันที รัฐมีหน้าที่ต้องกระทำต้องจัดให้ ประชาชนมีสิทธิตามรัฐธรรมนูญและสิทธิทางศาลทันที ซึ่งต่างกับหมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” ที่เป็นกรอบให้รัฐออกนโยบายปฏิบัติแต่รัฐจะทำเมื่อไร แค่ไหน อย่างไร ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
                      “คำนูณ” ยังชี้ให้เห็นว่า ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยังมีการเปลี่ยนแปลงถ้อยคำที่น่าจะกระทบหลักการ คือ 1.เปลี่ยนสถานะของคลื่นความถี่จาก “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” 2.เปลี่ยนองค์กรกำกับฯ จากองค์กร “อิสระ” เป็นองค์กร “ที่มีความเป็นอิสระในการปฏิบัติหน้าที่” และเป็นถ้อยคำที่น่าจะกระทบหลักการและยังเสมือนไปสอดคล้องกับภาพรวมของชุดร่างกฎหมายเศรษฐกิจดิจิทัล 10 ฉบับ ที่เผยแพร่ออกมาเมื่อต้นปีที่แล้ว รวมทั้งร่างกฎหมาย กสทช.ฉบับใหม่ที่มีเนื้อหาลดความเป็นองค์กรอิสระของ กสทช.ลงโดยเสมือนให้อยู่ในกำกับของคณะกรรมการเศรษฐกิจดิจิทัลที่มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน
                      พร้อมกับทิ้งท้ายว่า “พูดง่ายๆ ว่า เสมือนนำคลื่นความถี่และการจัดสรร รวมทั้งการกำกับกลับไปอยู่ในมือของรัฐอย่างเนียนๆ”
                      “คำนูณ” ได้กล่าวถึงเจตนาที่โพสต์ข้อความดังกล่าวลงในเฟซบุ๊กว่า เพื่อบอกให้ กรธ.ได้รับทราบว่า คลื่นความถี่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมาตั้งแต่ปี 2535 และได้ลงหลักปักฐานตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540 ดังนั้นถ้ามีการแก้ไขแล้วไปขัดกับหลักการเดิมก็น่าเป็นห่วง
                      “อะไรก็ตามที่อยู่ในหมวดสิทธิเสรีภาพของประชาชน เท่ากับว่ารัฐต้องมีหน้าที่ปฏิบัติ หากรัฐไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ประชาชนสามารถใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญและทางศาลได้ ผมเห็นว่า คลื่นความถี่อยู่ในหมวดนี้ น่าจะดีที่สุด”
                      ขณะที่ “นรชิต สิงหเสนี” โฆษกคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ยอมรับว่า ได้มีการย้าย “คลื่นความถี่” จาก หมวด “สิทธิเสรีภาพของชนชาวไทย” ไปอยู่ในหมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” จริง แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ในชั้นนี้
                      “แต่ไม่ว่า ”คลื่นความถี่“ จะอยู่ตรงหมวดไหน หลักการสำคัญของคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญก็คือ คลื่นความถี่เป็นของประชาชนเป็นของชาติ ไม่ใช่ให้คลื่นความถี่กลับไปเป็นของรัฐหรือหน่วยงานของรัฐ เช่น กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ เหมือนในอดีต ผมยืนยันได้ตรงจุดนี้ ส่วนผู้ดูแลคลื่นก็ต้องทำเพื่อประโยชน์ของชาติและประชาชนเช่นกัน หมายความว่า กสทช.ก็ยังเป็นองค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ ออกใบอนุญาตให้แก่เอกชน ประชาชน ซึ่งทำให้ประชาชนทั่วไป และเอกชน สามารถได้รับสัมปทานและบริหารคลื่นได้เองเหมือนเดิม และสิทธิเสรีภาพของสื่อในการแสดงความคิดเห็นในการเขียนในการพูดในการวิพากษ์วิจารณ์ก็ไม่ถูกลิดรอน มีสิทธิเหมือนเดิมทุกประการ และยืนยันว่า ที่ผ่านมาในเรื่องคลื่นความถีี่ไม่เคยมีใบสั่งจาก คสช.ขอมาด้วยเหตุผลของความมั่นคงแต่อย่างใด”
                      อย่างไรก็ตาม จากการที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญได้เปลี่ยนแปลงในเรื่องคลื่นความถี่ทั้งการย้ายหมวด และใช้ถ้อยคำที่เปลี่ยนไปจาก “ทรัพยากรของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” นั้น ทำให้มีความเห็นตามมาจากทั้งนักวิชาการ อดีตกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ กรรมการ กสทช. และสื่อ ในทิศทางที่แสดงความห่วงใย
                      “รศ.ดร.พิรงรอง รามสูต รณะนันทน์” อาจารย์คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาฯ เล่าให้ฟังว่า ตอนที่ร่างรัฐธรรมนูญปี 2540 ที่สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญมาจากการเลือกจากจังหวัดและวิชาชีพ ตอนนั้นมีการถกเถียงกันในที่ประชุมของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญว่า จะใช้คำว่า คลื่นความถี่เป็น “ทรัพยากรของชาติ” หรือ “ทรัพยากรสาธารณะ” นำมาซึ่งการพบกันครึ่งทาง โดยใช้คำว่า คลื่นความถี่เป็น “ทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ”
                      “ก่อนมีรัฐธรรมนูญปี 2540 คลื่นถวามถี่เป็นของรัฐ หน่วยงานของรัฐ เช่น กองทัพบก กรมประชาสัมพันธ์ เป็นเจ้าของ เป็นผู้ยึดถือคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมด และรัฐเป็นผู้เลือกว่าจะให้เอกชนหรือประชาชนรายใดเข้ามาเป็นคู่สัญญาสัมปทานกับรัฐ ทำให้เอกชนหรือประชาชนไม่สามารถบริหารคลื่นความถี่ได้เอง แต่จากการต่อสู้ในเดือนพฤษภาคม 2535 และปรากฏว่ามีการปิดกั้นข่าวสาร เพราะรัฐเป็นผู้ยึดถือคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมด จึงเกิดกระแสรณรงค์ให้เกิดสื่อเสรี และนำมาซึ่งรัฐธรรมนูญปี 2540 และ 2550  และเกิด กสทช.เป็นองค์กรอิสระจัดสรรคลื่นความถี่ในปี 2553 ทำให้เอกชน ประชาชน ได้รับใบอนุญาตและสามารถบริหารคลื่นความถี่ได้เอง ดังนั้นการที่จะมีการเขียนร่างรัฐธรรมนูญให้ “คลื่นความถี่เป็นของรัฐ“ จะเป็นการถอยหลังกลับไปสู่ก่อนรัฐธรรมนูญปี 2540 และจะทำให้กลับไปสู่แบบเดิม คือ รัฐยึดถือคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมดเหมือนในอดีตหรือไม่”
                      เช่นเดียวกับ “มานิจ สุขสมจิตร” กรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2550 และสื่อมวลชน บอกว่า ตอนที่ยกร่างรัฐธรรมนูญปี 2550 ได้แยกคลื่นความถี่ออกมาอยู่ในหมวด “สิทธิเสรีภาพของประชาชน” ก็เพื่อคุ้มครองสื่อให้มีความเป็นอิสระในการแสดงความคิดเห็น ในการพูด ในการเขียน แต่การที่ให้  “คลื่นความถี่” กลับไปอยู่ในหมวด “แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ” ซึ่งเป็นแค่กรอบให้รัฐออกนโยบายปฏิบัติ แต่รัฐจะทำเมื่อไหร่ แค่ไหน อย่างไร เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
                      “ผมยังไม่เห็นร่างรัฐธรรมนูญในเรื่องคลื่นความถี่ แต่หากเป็นไปตามข่าวที่ว่าจะใช้คำว่า “คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรของรัฐ” ก็ต้องรอดูว่าจะตีความคำว่า “รัฐ” ว่าอย่างไร หาก “รัฐ” หมายถึง “state” หรือ “country” หรือประเทศ ก็พอรับได้ แต่หากตีความว่า “รัฐ” หมายถึง  “government” หรือ “รัฐบาล” ซึ่งทำให้สื่อของรัฐยึดถือครองคลื่นความถี่ไว้ทั้งหมด ก็เป็นเรื่องน่าเสียดายที่กลับไปเหมือนในอดีต”
                      ขณะที่ “สุภิญญา กลางณรงค์” กรรมการ กสทช. ได้ทวิตแสดงความเห็นว่า การจะแก้รัฐธรรมนูญ เปลี่ยนตัวบท “คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสาธารณะ” เป็น “ทรัพยากรของรัฐ” เราจะย้อนเวลากลับกันทุกเรื่องหรืออย่างไร
                      “อย่าแก้หลักการสำคัญในรัฐธรรมนูญและกฎหมายเรื่องคลื่นความถี่ จนเมื่อดิฉันหมดวาระจาก กสทช.แล้ว ต้องไปเริ่มทำงานรณรงค์ปฏิรูปนับหนึ่งใหม่อีก..ตลก กว่าจะมีกฎหมาย กสทช.กับการปฏิรูปคลื่นความถี่ ก็ใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษ แก้เฉพาะจุดที่จำเป็น ไม่ใช่ย้อนยุค สังคมไทยเคยผ่านการถกเถียงอย่างตกผลึกมาแล้วช่วงปี 2540 ว่า ”คลื่นความถี่“ ควรเป็นของใคร ในตัวบทรัฐธรรมนูญจะไป “เปิดขวดแม่นาค” อีกทำไม ปัญหาคือไม่ใช่กลับไปถกเถียงว่าคลื่นความถี่ควรเป็นของใครในตัวบทรัฐธรรมนูญ แต่คือการผลักดันให้ กสทช.ทำให้เป็นจริงตามเจตนารมณ์เดิมมากกว่า”
พร้อมตบท้ายว่า “ร่างรัฐธรรมนูญกันหลายรอบในชีวิตนี้ขอสักเรื่องละคร “คลื่นความถี่นี้เป็นของใคร” คงไม่ต้องฉายซ้ำเป็น “มหากาพย์” กันอีก”
                      ต้องรอดูกันต่อไปว่า บทสรุปในเรื่องนี้ี่จะเป็นอย่างไร.. “คลื่นความถี่” ยังจะเป็นสมบัติของชาติ ของประชาชน หรือถูกรัฐฮุบไปจนหมดสิ้น
—————–
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ‘รัฐฮุบสื่อ’ ?…ผ่านร่าง รธน. : โดย…โอภาส บุญล้อม)

‘ประชารัฐ’ ฝันที่อาจไม่เป็นจริง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160110/220235.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันอาทิตย์ที่ 10 มกราคม 2559
'ประชารัฐ' ฝันที่อาจไม่เป็นจริง

คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ‘ประชารัฐ’ ฝันที่อาจไม่เป็นจริง : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ

                      คำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 1/2559 เรื่อง ประกาศรายชื่อเจ้าหน้าที่ของรัฐที่อยู่ระหว่างการถูกตรวจสอบเพิ่มเติม ครั้งที่ 3 สร้างแรงกระเพื่อมได้ไม่น้อย  เพราะในคำสั่งดังกล่าวมิได้มีเฉพาะการพักงานข้าราชการที่ต้องสงสัยว่าเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับการทุจริตคอร์รัปชั่น  หากแต่พ่วงมาด้วยคำสั่งปลด  7 คณะกรรมการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)  ที่นำทีมโดย นพ.วิชัย โชควิวัฒน ที่ปัจจุบันเป็นอดีตรองประธานบอร์ด สสส. ส่วนกรรมการอื่นอีก 6 คน ได้แก่ นายสงกรานต์ ภาคโชคดี นายเอ็นนู ซื่อสุวรรณ นายยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ นายสมพร ใช้บางยาง รศ.ประภัทร นิยม และนายวิเชียร  พงศธร
                      ข้อกล่าวหาที่นำมาซึ่งการปลดก็เป็นเรื่องที่ว่าด้วยผลประโยชน์ทับซ้อน
                      แน่นอนว่าผู้ที่ถูกปลดย่อมไม่ยอมถูกกระทำแต่ฝ่ายเดียว เมื่อ “หมอวิชัย” ออกมาโต้ตอบว่า การปลดบอร์ดทั้ง 7 คน นั้นเป็นเพราะมีความพยายามที่จะเข้าไปจัดการกับองค์กร สสส. เพราะที่ผ่านมาพวกเขาสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเรื่องการรณรงค์เรื่องเหล้าและบุหรี่ จนบริษัทเอกชนเสียผลประโยชน์ จนต้องเข้ามาแทรกแซงการทำงาน
                      อย่างไรก็ตามหากว่ากันตามเนื้อผ้าแล้ว หลายคนตั้งข้อสงสัยถึงการทำงานและการใช้งบประมาณของ สสส.มาพักใหญ่ เพราะองค์กรแห่งนี้มีงบประมาณมหาศาล และการใช้จ่ายเงินในหลายๆ ครั้งก็ถูกตั้งคำถามถึงความเหมาะสมรวมถึงคนที่มารับงานของ สสส.  ก็ถูกครหาด้วยเช่นกัน
                      รัฐบาลนี้ก็ได้เข้าไปตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณของ สสส. โดยให้  คณะกรรมการติดตามและตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณภาครัฐ (คตร.) เป็นผู้ทำหน้าที่  รวมถึงมีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินเข้าไปร่วมด้วย
                      ข้อสงสัยสองข้อหลักๆ ที่มีคือ 1.การใช้จ่ายงบประมาณที่ถูกมองว่าไม่เกี่ยวข้องกับการสร้างเสริมสุขภาพ  เช่น โครงการสวดมนต์ข้ามปี  และ 2.ข้อสงสัยเรื่องมูลนิธิที่มารับงานของ สสส. มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวพันกับบอร์ด สสส.หลายคน
                      ทั้งสองข้อสงสัยก็มีข้อชี้แจง เช่น การใช้งบประมาณที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเสริมสร้างสุขภาพ พวกเขาก็ระบุว่าเป็นการตีความคำว่าสุขภาวะ และการเสริมสร้างสุขภาพอย่างกว้าง ซึ่งเป็นการตีความตามกฎหมายและหลักการสากล หรือเรื่องมูลนิธิที่มีความเกี่ยวข้องกับกรรมการบอร์ดก็ถูกชี้แจงว่าเป็นไปตามกฎหมายที่ไม่มีข้อห้ามเอาไว้
                      ต่อมาก็มีการทำงานร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและเตรียมแก้ระเบียบต่างๆ รวมทั้งกฎหมายแม่เพื่อความรัดกุมและตีความสุขภาวะในอย่างแคบ และเตรียมจะนำเข้าหารือในบอร์ด สสส.  แต่สุดท้ายก็เกิดเหตุการณ์ปลดบอร์ดทั้ง 7 คน
                      หากย้อนไปดูในการร่างรัฐธรรมนูญก่อนหน้านี้ในชุดกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญก็มีความพยายามที่จะจำกัดการใช้งบประมาณของ สสส. โดยจะให้นำมาเป็นเงินแผ่นดิน
                      หรือการที่รัฐมนตรีว่าการสาธารณสุขออกมาระบุเรื่องการปรับปรุงโครงการหลักประกันสุขภาพก็ทำให้กลุ่มแพทย์ที่เกี่ยวกับ สสส. ไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ เพราะมองว่ารัฐบาลจ้องเล่นงาน และต่อไปในการทำงานพวกเขาก็เชื่อว่าจะลำบากมากขึ้น
                      ที่น่าสนใจคือต่อไปนี้โครงการ “ประชารัฐ” ของรัฐบาลจะเดินไปทางไหน   นอกจากสองขาอย่างภาครัฐ และเอกชน การขับเคลื่อนยังต้องมีประชาชน  โดยอาศัยภาคประชาสังคมในการขับเคลื่อน
                      เบื้องต้นรัฐบาลเริ่มต้นทำงานร่วมกับภาคประชาสังคมโดยอาศัยเครือข่ายของ สสส. เป็นหลักแต่มาวันนี้ดูเหมือนความสัมพันธ์จะไม่มีดังเดิมอีกแล้ว
                      ยิ่งไปดู คณะทำงานร่วมรัฐ-เอกชน-ประชาชน (ประชารัฐ) ภายใต้กรอบคณะกรรมการภาครัฐและเอกชนเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ที่รัฐบาลเพิ่งตั้งขึ้นมาจำนวน 12 คณะ สิ่งที่เราจะเห็นคือ ในรายนามคณะทำงานองค์ประกอบที่เห็นชัดที่สุดคือ เหล่าบรรดานักลงทุน เจ้าสัวนักธุรกิจ เจ้าของกิจการยักษ์ใหญ่ ที่เข้าไปพบกับนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ทำเนียบรัฐบาล สัดส่วนรองลงมาคือภาครัฐ แต่ที่แทบไม่เห็นเลยคือภาคประชาสังคม    สิ่งนี้น่าจะสะท้อนให้เห็นอะไรบางประการ
                      ความไม่ลงรอยครั้งนี้ใครๆ ก็จับอาการได้ และทันทีที่มีคำสั่งก็มีการพบปะพูดคุยเพื่อเคลียร์กับคนระดับแกนนำเครือข่ายประชาสังคมอย่าง “นพ.พลเดช ปิ่นประทีป” ซึ่งท่าทีของหมอพลเดชดูเหมือนจะไม่เข้าใจกับท่าทีที่เกิดขึ้นเหมือนกัน
                      เขาถึงกับใช้คำว่า “เป็นอุบัติเหตุ” เนื่องจากมองว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในการตรวจสอบกำลังคลี่คลาย  และระเบียบกฎหมายที่แก้ไขก็กำลังจะผ่าน แต่กลับมีคำสั่งปลดออกมาเสียก่อน
                      พร้อมทั้งแสดงความเห็นใจผู้ที่ถูกปลดว่า  “สำหรับกรณีที่ นพ.วิชัย ที่ออกมาให้ข้อมูลและมองว่าการปลดบอร์ดทั้ง 7 คน เพราะมีกลุ่มนายทุนอยู่เบื้องหลัง ผมมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องเห็นใจ นพ.วิชัย เพราะเป็นผู้ได้รับผลกระทบโดยตรง หากดูข้อมูลของทั้ง 7 คน ถือเป็นผู้ที่มีเกียรติภูมิ ทำงานเรื่องการต่อต้านคอร์รัปชั่นทั้งชีวิต แต่โดนคำสั่ง คสช. ประเด็นปลด มารวมกับผู้ที่ทุจริต ถือเป็นสิ่งที่เจ็บปวด และเป็นสิ่งที่ไม่มีข้อเท็จจริง เกี่ยวกับการทุจริต การพูดของ นพ.วิชัยเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองและชี้แจงให้สังคมเข้าใจ”
                      แต่อย่างไรก็ตามการแตกหักระหว่างรัฐบาลกับเครือข่ายของ สสส. คงยังไม่เกิดขึ้นง่ายๆ แม้จะมีความไม่พอใจกันอยู่บ้าง เพราะเป็นที่รู้กันว่า ทั้งสองต่างก็พึ่งพากันและกัน  รัฐบาลยังต้องอาศัยเครือข่ายนี้ในการทำงานต่างๆ อีกมาก รวมถึงการได้รับแรงหนุนจากคนระดับนี้ถือเป็นต้นทุนที่สูงพอสมควร
                      ขณะที่เครือข่าย สสส.เอง ก็ย่อมรู้ว่านาทีนี้การไปขัดแย้งกับรัฐบาลที่มีอำนาจเด็ดขาดย่อมไม่มีผลดีอะไร ดังเราจะได้เห็นจากการที่พวกเขายอมรับทุกการกระทำที่รัฐบาลทำ แม้แต่การปลดบอร์ดทั้ง 7 คน ก็ยังไม่ได้ตำหนิรัฐบาลตรงๆ แต่กลับโยนไปให้บริษัทเอกชนในการเข้าแทรกแซง และยังไว้ไมตรีกับ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” อยู่ไม่น้อย
                      ทั้งนี้พอจะเห็นบทจบของความระหองระแหงครั้งนี้ เพื่อ “หมอพลเดช” เปิดเผยว่า นายกฯเองก็เตรียมที่จะระงับการตรวจสอบ สสส.แล้ว หากเรื่องการปรับปรุงระเบียบกฎหมายเรียบร้อยลงและมีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น
                      อย่างน้อยทั้งรัฐบาลและ สสส.ก็คงต้องทำงานร่วมกันต่อไปและประคับประคองกันไปเรื่อยๆ
                      แต่ที่แน่ๆ สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมติดค้างอยู่ในใจไม่มากก็น้อย ความร่วมมือที่เคยมีให้แม้จะไม่หมดไป แต่ความเต็มที่ก็อาจจะไม่เหมือนเคย และประชารัฐที่หวังจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจก็จะไม่ราบรื่น เพราะสามขาจะมีขาหนึ่งที่เดินไปไม่เต็มกำลัง
                      ต้องดูกันว่า “ประชารัฐ” จากนี้จะเป็นไปในรูปแบบไหน เป็นเหมือนที่ออกแบบไว้แต่ต้นหรือไม่
——————-
(คม วิเคราะห์ การเมืองรอบสัปดาห์ : ‘ประชารัฐ’ ฝันที่อาจไม่เป็นจริง : โดย…อรรถยุทธ บุตรศรีภูมิ)