มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563 ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล (komchadluek.net)

 มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล

 มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล

20 พฤศจิกายน 2563 – 15:14 น.

 มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล  เดินหน้าเสริมแพลตฟอร์มออนไลน์ เพิ่มทางเลือกเรียนรู้วิทย์ในยุคโควิด

เปิดอย่างเป็นทางการกับงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2563” รูปแบบใหม่ Virtual Science Fair ตั้งแต่วันนี้ – 23 พฤศจิกายนนี้ ที่ อาคารชาเลนเจอร์ 2  อิมแพ็ค เมืองทองธานี  โชว์ผลงานและศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีที่ทันสมัยทั้งในและต่างประเทศจาก 93 หน่วยงานชั้นนำ 11 ประเทศร่วมจัด ย้ำจัดแสดงงานตามรูปแบบวิถีใหม่ (New Normal) วางมาตรการคัดกรองผู้เข้าชมงานอย่างเคร่งครัดตามข้อกำหนดของรัฐบาล พร้อมชวนเปิดประสบการณ์ใหม่ Virtual Science Fair จำลองบรรยากาศงานจริงสู่โลกออนไลน์ เพิ่มทางเลือกการเรียนรู้วิทย์ฯ ในยุคโควิด 

 มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล

ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวในฐานะเป็นประธานเปิดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563 ว่า วิทยาศาสตร์เป็นสิ่งที่มีคุณประโยชน์อย่างมาก ไม่เพียงประโยชน์ต่อสังคม บ้านเมือง แต่ยังให้ความเพลิดเพลินกับผู้คนจำนวนมากทำให้เด็กๆ ใฝ่เรียนรู้ รักการเฝ้าสังเกต ทดลอง ทดสอบ สรุปให้เป็นทฤษฎี ยิ่งไปกว่านั้นวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เป็นหัวใจสำคัญที่จะนำพาประเทศให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และทำให้ไทยหลุดพ้นกับดักสำคัญ 4 ด้าน คือกับดักรายได้ปานกลาง ความเหลื่อมล้ำ คุณภาพการศึกษาและความขัดแย้ง  โดยบทบาทภารกิจของ กระทรวง อว. เปรียบได้กับหัวรถจักรที่จะขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต  ประเทศของเราต้องมีการเปลี่ยนแปลงอย่างก้าวกระโดด ซึ่งหุ้นส่วนสำคัญที่จะนำพาการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ให้เกิดขึ้นจริงคือ ‘คน’  ขณะเดียวกัน เราต้องเตรียม ‘คน’ ของเราให้พร้อมเผชิญกับความผันผวนในโลกยุคใหม่และความเปลี่ยนแปลงในทุกด้าน  และพร้อมเข้าสู่ศตวรรษที่ 21  โดยสิ่งที่กระทรวง อว. กำลังดำเนินการอยู่ คือ การทำให้เยาวชนไทย รวมทั้งนักศึกษาพัฒนาความรู้ไปทั้งศาสตร์และศิลป์ ต้องทำวิจัยเป็น คิดอย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผล มองรอบด้าน โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นพื้นฐาน รวมทั้งผลักดันให้เยาวชนและคนรุ่นใหม่มีส่วนร่วมและมีบทบาทในการสร้างสรรค์ผลงาน นวัตกรรมที่ตอบโจทย์สังคมเพื่อรับมือกับบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลง       
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า พระมหากษัตริย์ไทยท่านทรงมีบทบาทสำคัญในการสร้างให้เกิดวิทยาศาสตร์ในไทย ทรงนำความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ ดังเช่น สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงศึกษาเรื่องการดูดาวโดยเรียนรู้จากเปอร์เซียและฝรั่งเศส, รัชกาลที่ 4 “พระราชบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”  ทรงคำนวณการเกิดสุริยุปราคาได้อย่างแม่นยำจนเป็นที่ประจักษ์ไปทั่วโลก พระบาทสมเด็จพระปวเรนทราเมศมหิศเรศรังสรรค์ พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นสมาชิกวารสารสิทธิบัตรของต่างประเทศ ท่านทรงแปลลิขสิทธิ์ทางปัญญาเรื่องเรือและปืน จนสามารถผลิตปืนของประเทศไทยได้เอง และรัชกาลที่ 9 ท่านทรงเป็น “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” และ “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย” ที่ทรงเป็นแบบอย่างในการนำองค์ความรู้และกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ มาใช้แก้ไขปัญหาความทุกข์ยากและ ยกระดับคุณภาพชีวิตของพสกนิกรชาวไทย จนเป็นที่ประจักษ์ชัดและเป็นที่ยอมรับในนานาประเทศในเมืองไทยวิทยาศาสตร์มีความเกี่ยวข้องกับกษัตริย์และขุนนางมาโดยตลอด

 มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล

ในต่างประเทศก็เช่นเดียวกันวิทยาศาสตร์ถือเป็นงานอดิเรกของพระมหากษัตริย์ หรือขุนนางทางยุโรป เช่น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 แห่งฝรั่งเศสเป็นผู้คิดค้นบอลลูน ในอดีตยังไม่มีอาชีพนักวิทยาศาสตร์ คำว่า ‘นักวิทยาศาสตร์’ เริ่มมีในศตวรรษที่ 19 ในสมัยเซอร์ไอแซคนิวตัน เราเรียกวิทยาศาสตร์ว่า ‘ปรัชญาว่าด้วยธรรมชาติ’  จนเมื่อถึงยุคของพวกเรา วิทยาศาสตร์ได้กลายเป็นอาชีพ

 มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  ออนกราวด์แบบนิวนอร์มัล

ศาสตราจารย์ นายแพทย์สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่าการจัดงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563” ระหว่างวันที่ 13 – 23 พฤศจิกายน 2563 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรมอย่างยั่งยืน” มีประเด็นสื่อสารถึงเรื่อง “BCG Model: Bio-Circular-Green Economy”เป็นนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจแบบองค์รวม,  ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง การถอดรหัสศาสตร์พระราชา, กระบวนการและเป้าหมายการพัฒนาประเทศไปสู่Thailand 4.0 รวมทั้งการเฉลิมฉลอง2 วาระสำคัญทางวิทยาศาสตร์และสังคมของโลกในปี 2020 ได้แก่ ปีสากลแห่งสุขภาพพืช และปีสากลแห่งการพยาบาลและผดุงครรภ์ก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 มีผู้เข้าชมงานมหกรรมวิทย์ฯ วันละประมาณ 1 แสนคนต่อวัน ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความสนใจของไทยกับวิทยาศาสตร์  และสำหรับการจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ

ในปีนี้ กระทรวง อว. ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ รวม 93 หน่วยงานชั้นนำ จาก 11 ประเทศร่วมจัด เพื่อส่งต่อแรงบันดาลใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เกิดขึ้นแก่เยาวชนและสังคมไทย พร้อมทั้งสร้างสรรค์วิธีการ รูปแบบการนำเสนอใหม่ เสริมแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามา ที่ไม่เพียงช่วยลดช่องว่างการเข้าถึงงานจากผู้เข้าชมงานที่อยู่พื้นที่ห่างไกลหรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางมา  แต่ยังเพิ่มโอกาสการเรียนรู้ เพิ่มช่องทางเลือกให้ผู้เข้าชมงาน ให้สนุกไปกับกิจกรรมและเปิดมุมมองการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านช่องทางใหม่นี้  มี 2 ช่องทางในการเข้าชมงาน ช่องทางแรกคือเข้าชมงานในสถานที่จริงที่จะจัดขึ้น ตั้งแต่วันนี้ – 23 พฤศจิกายน 63 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2  อิมแพ็ค เมืองทองธานี ตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. เข้าชมฟรี! ไม่มีค่าใช้จ่าย พร้อมด้วยมาตรการจำกัดผู้เข้าชมงาน และมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19 ตามข้อกำหนดของรัฐบาล

และช่องทางที่สองคือ ช่องทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์งาน http://www.thailandnstfair.com และสามารถรับชมกิจกรรมและนิทรรศการต่างๆ ที่จัดขึ้น เช่น การเยี่ยมชมงานของพรีเซนเตอร์และเหล่าคนดังที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผ่านการถ่ายทอดสดในมุมมอง 360 องศา ทางเฟสบุ๊กของงาน NSTFair Thailand http://www.facebook.com/nstfairTH  รวมทั้งร่วมสนุกกับกิจกรรมแจกของรางวัล Limited Edition ตลอดการจัดงานทุกวัน
สำหรับไฮไลท์ที่ไม่ควรพลาด! กระทรวง อว. ได้คัดเลือกนิทรรศการหลักที่มีเนื้อหาอยู่ในกระแสความสนใจของประชาชน มีความเป็นสากล และมุ่งเน้นการนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติ, นิทรรศการเจาะนวัตกรรมเกม I Tech behind Games เรียนรู้นวัตกรรมในการพัฒนาเกมจนกลายมาเป็นกีฬาออนไลน์, ตื่นตาตื่นใจกับการจำลองชีวิตบนดาวอังคาร ในนิทรรศการหนึ่งวัน… (บนดาว)อังคาร | A Day on Mars, มาเรียนรู้ สู้มหันตภัยจิ๋วในนิทรรศการมหันตภัยจิ๋ว | Micro Monster,  เรียนรู้และสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม ในนิทรรศการอนาคตออกแบบได้ I Sustainable Design และยังมีกิจกรรมอื่นๆ อีกมากมาย ทั้งกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์ การประกวดแข่งขัน การประชุมสัมมนาทั้งระดับชาติและระดับนานาชาติ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ความรู้ ตลอดจนสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้านวิทยาศาสตร์
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า งานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ เปรียบเสมือนตลาดความรู้ขนาดใหญ่ที่รวบรวมองค์ความรู้และกิจกรรมมากมาย ที่สามารถมาเรียนรู้ พัฒนาความคิด และนำไปต่อยอดและใช้ประโยชน์ได้จากนิทรรศการต่างๆ มากมาย ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ จึงขอเชิญชวนพ่อแม่ครูอาจารย์ เยาวชนและประชาชนทุกท่านเข้าชมงานมหกรรมวิทย์ฯ ทั้ง 2 ช่องทาง
ภายหลังจากกล่าวเปิดงาน ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก ให้เกียรติเป็นประธานมอบรางวัล Prime Minister’s Science Award 2020  เพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับเยาวชนและครู ในการสร้างสรรค์ผลงานทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นำไปสู่การต่อยอด ยกระดับให้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจ เกิดเป็นนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์สังคมในอนาคต

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life) #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life) (komchadluek.net)

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life)

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life)

20 พฤศจิกายน 2563 – 14:56 น.

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life)

 ดร.อรรชกา สีบุญเรือง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน (สำนักงาน กกพ.) และ ผู้ช่วยศาสตราจารย์รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ให้เกียรติเป็นประธานเปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life) “ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน”ภายในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563 หนึ่งในโครงการนำร่องของ“โครงการคิด (KIDS) เพื่อพลังงานแห่งอนาคต” (Future Kids Future Energy)  ซึ่งได้รับการสนับสนุงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ. ตามมาตรา 97(5) ปี 2563 โดยหวังสร้างความตระหนักด้านพลังงานสะอาด เสริมความเข้าใจในการกำกับดูแลกิจการพลังงานไฟฟ้า และการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืน  

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life)

ดร.อรรชกา สีบุญเรือง คณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(กกพ.)กล่าวว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน(สำนักงาน กกพ.)เป็นผู้รับผิดชอบในการควบคุมกํากับดูแลกิจการพลังงานทั้งหมดอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน และส่งเสริมการแข่งขันที่เหมาะสมเป็นธรรม รวมทั้งสนับสนุนการใช้พลังงานสะอาดเพื่อสร้างความยั่งยืนให้กับภาคพลังงานของประเทศ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมสังคมและประชาชนให้มีความรู้ความตระหนัก และมีส่วนร่วมกับพลังงานของประเทศ ภายใต้วิสัยทัศน์หลักของสำนักงาน กกพ.

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life)

ในปีนี้สำนักงาน กกพ. ได้จัดโครงการ Clean Energy for Life “ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน” ซึ่งเป็นโครงการสื่อสารที่ต้องการสื่อถึงภาพความสำคัญและประโยชน์ของพลังงานสะอาดที่ไม่ใช่เพียงต่อผู้ใช้โดยตรง แต่ยังครอบคลุมถึงประชาชนโดยรวม ภายใต้การสื่อสาร 6 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1. พลังงานไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ 2. พลังงานไฟฟ้าจากขยะ 3. พลังงานไฟฟ้าจากชีวมวล 4. พลังงานไฟฟ้าจากก๊าซชีวภาพ 5. การใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่หรือสื่อสังคมออนไลน์ และ 6. การส่งเสริมการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ ผ่าน 25 ภาคีเครือข่ายเพื่อพัฒนาองค์ความรู้ด้านพลังงานไฟฟ้า  ซึ่งองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ เป็น 1 ใน 25 ภาคีเครือข่ายที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในการจัด “โครงการคิด (KIDS) เพื่อพลังงานแห่งอนาคต” (Future Kids Future Energy) เพื่อสร้างความตระหนักรับรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องร่วมกันด้านพลังงานสะอาดให้กับเยาวชน ครู ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป ผ่านการจัดแสดงนิทรรศการ การแสดงสาธิต การทดลอง และค่ายเยาวชน โดยนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life) “ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน” ซึ่งจัดขึ้น ณ มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2563 ถือเป็นกิจกรรมแรก

อพวช. ร่วมกับ กกพ. เปิดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life)

 สำนักงาน กกพ. คาดหวังว่านิทรรศการชุดนี้จะสามารถสื่อสารความสำคัญในการพัฒนาพลังงานสะอาด นำไปสู่การสร้างแรงบันดาลให้ประชาชนได้รับรู้และตระหนักถึงความสำคัญของพลังงานมากขึ้น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนในสังคมและในอนาคต  ทั้งนี้ สำนักงาน กกพ. และอพวช. จะยังดำเนินการร่วมมือกันในการพัฒนานิทรรศการและกิจกรรมด้านพลังงานที่จะเกิดขึ้นต่อไป

ดร.อรรชกา สีบุญเรือง กล่าวเพิ่มเติมว่า “ดิฉันหวังว่าความร่วมมือในการจัดนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต จะทำให้ผู้เข้าชมได้เข้าใจว่าการใช้พลังงานสะอาดจะส่งผลให้คุณภาพชีวิตของทุกคนดีขึ้น จากสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น โดยการใช้และผลิตพลังงานสะอาดที่ไม่ก่อผลกระทบ และทุกคนสามารถเข้าถึงพลังงานสะอาดได้ในราคาที่เหมาะสมเพื่อสร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจ ทุกคนในสังคมเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากทิศทางการพัฒนาที่มีพลังงานสะอาดเป็นตัวขับเคลื่อนสังคม ทำให้เกิดสมดุลในทุกมิติจากครัวเรือน สู่ชุมชน สู่สังคมโดยรวม และสู่ระดับโลก ภายใต้เป้าหมาย Clean Energy for Life ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน”

            ผู้ช่วยศาสตราจารย์รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม กล่าวว่า อพวช. มีภารกิจหลัก คือการถ่ายทอดความรู้และสร้างความตระหนักด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี นวัตกรรมและสิ่งแวดล้อม ให้กับเยาวชนและประชาชนไทยผ่านการจัดแสดงนิทรรศการ กิจกรรมสื่อสารวิทยาศาสตร์ ที่มุ่งสร้างความรู้ ความเข้าใจ ทัศนคติ และจิตวิทยาศาสตร์แก่สังคมไทย

            สำหรับนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life) “ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน” ซึ่งจัดขึ้น ณ งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563  อพวช. ได้รับการสนับสนุงบประมาณจากกองทุนพัฒนาไฟฟ้า สำนักงาน กกพ. ตามมาตรา 97(5) ปี 2563 ซึ่งเป็นกิจกรรมนำร่อง ภายใต้ “โครงการคิด (KIDS) เพื่อพลังงานแห่งอนาคต” (Future Kids Future Energy) โดยมีเป้าหมายเพื่อสร้างการตระหนักและเรียนรู้ด้านพลังงานสะอาดเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีและสร้างความเข้าใจในการกำกับดูแลกิจการพลังงานไฟฟ้า และการพัฒนาพลังงานอย่างยั่งยืนของประเทศให้กับเยาวชน ครู ผู้ปกครอง และประชาชนทั่วไป

            ภายในนิทรรศการนี้ ประกอบไปด้วยสื่อส่งเสริมการเรียนรู้ที่สนุกสนานมากมาย อาทิ เครื่องกำเนิดไฟฟ้าสถิต แวนเดอร์กราฟ, เกมบ้านพลังไดนาโม เพื่อเรียนรู้ที่มาของการผลิตกระแสไฟฟ้า, เมืองพลังงานทดแทน เมื่อวันที่โลกไม่มีไฟฟ้า พลังงานทดแทนใดบ้างที่สามารถนำมาผลิตเป็นกระแสไฟฟ้าได้, พร้อมย้อนเวลาไปพบกับอัจฉริยะที่โลกลืม “นิโคลา เทสลา” (Nikola Tesla) นักประดิษฐ์ นักฟิสิกส์ และวิศวกรไฟฟ้า ผู้พัฒนาระบบไฟฟ้ากระแสสลับอันเป็นระบบพลังงานพื้นฐานที่ใช้งานทั่วโลกในปัจจุบัน แต่กลับถูกมองว่าเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่องทำให้บั้นปลายชีวิตต้องโดดเดี่ยวไร้คนเหลียวแล และโทมัส อัลวา เอดิสัน พ่อมดนักประดิษฐ์ ผู้จดลิขสิทธิ์สิ่งประดิษฐ์มากกว่า 1,200 ชนิดจนกลายเป็นสุดยอดนักประดิษฐ์ของโลก หนึ่งในผลงานประดิษฐ์ที่โลกประจักษ์ คือ การเปลี่ยนโลกด้วยผลงานประดิษฐ์หลอดไฟ ทำให้ทุกวันนี้โลกมีแสงสว่างตลอด 24 ชั่วโมง

            นอกจากนี้ ผู้เข้าเยี่ยมชมจะได้เรียนรู้นวัตกรรมพลังงานสะอาดและพลังงานทดแทน ทั้งจากพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Power) พลังงานชีวมวลและชีวภาพ (Bio Energy) พลังงานลม (Wind Energy) และพลังงานขยะ (Waste to Energy) หรือจากแหล่งเชื้อเพลิงชนิดใดก็ตามที่ผลิตและใช้อยู่ในปัจจุบันและอนาคต เพื่อให้ประชาชนวางใจ และมั่นใจได้ว่าพลังงานไฟฟ้าที่เกิดขึ้นเป็นพลังงานสะอาด

            มาร่วมกันค้นหาคำตอบ “จริงหรือที่พลังงานไฟฟ้าจะหมดไป” และ ”ชีวิตจะเป็นอย่างไร เมื่อไม่มีพลังงานไฟฟ้า” เพื่อเตรียมพร้อมรับมือ พร้อมทั้งร่วมกันสร้างเมืองอนุรักษ์พลังงานไปกับเกม Start! Smart City และกิจกรรมการประดิษฐ์สนุก ๆ ใน Work Shop เราคือทีมเดียวกัน     

            “เด็กๆ และผู้เข้าชมงานจะได้รับความทั้งความสนุก และความรู้ผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อปลูกฝังพื้นฐานการสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพลังงานไฟฟ้าและพลังงานสะอาด และทำให้เขาได้ตระหนักเห็นความสำคัญของพลังงานไฟฟ้าซึ่งเป็นพลังงานที่มีวันหมดไป และได้เรียนรู้กับพลังงานสะอาดซึ่งจะเข้ามาแทนที่ในอนาคต หลังจากจบงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแล้ว นิทรรศการดังกล่าวจะถูกนำไปจัดแสดงต่อที่ อพวช. เพื่อสร้างความตระหนักรู้ให้กับเด็กและเยาวชนต่อไป ผมขอเชิญชวนทุกท่านเข้าร่วมชมนิทรรศการพลังงานไฟฟ้า พลังชีวิต (Clean Energy for Life)“ใช้พลังงานสะอาด เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของทุกคน” ได้ที่งานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563 จัดถึงวันที่ 23 พฤศจิกายนนี้ ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี” ผู้ช่วยศาสตราจารย์รวิน กล่าวทิ้งท้าย

“นาวิน ต้าร์-เนย โชติกา” พาลูกทดลองเรียน COPEL THALAND หลักสูตรพัฒนาสมองเด็กเล็กจากญี่ปุ่น #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/449494

“นาวิน ต้าร์-เนย โชติกา” พาลูกทดลองเรียน COPEL THALAND หลักสูตรพัฒนาสมองเด็กเล็กจากญี่ปุ่น

"นาวิน ต้าร์-เนย โชติกา" พาลูกทดลองเรียน COPEL THALAND หลักสูตรพัฒนาสมองเด็กเล็กจากญี่ปุ่น

19 พฤศจิกายน 2563 – 09:33 น.

COPEL THALAND สถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กในไทย ได้ฤกษ์เปิดสาขาแรกที่เอ็มควอเทียร์ ตอบโจทย์พ่อแม่ที่ต้องการเน้นการเรียนการสอนแบบ Academic learning สร้างสมดุลสมองซ้าย-ขวา โดยนาวิน ตาร์-เนย โชติกา จูงลูกเรียนทึ่งประสิทธิภาพ

กอบสุข แต่โสภาพงษ์ CEO COPEL THAILAND จากธุรกิจครอบครัว หนึ่งในผู้นำด้านแพคเก็จจิ้งโลหะในอาเซียน สู่การขยายธุรกิจด้านการศึกษา เล่าถึงที่มาของการเป็นมาสเตอร์แฟรนไชน์สถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กแบรนด์ COPEL จากประเทศญี่ปุ่นว่า เป็นคุณแม่ลูก 2 ที่เคยพาลูกไปเรียนตามสถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กในไทยหลายแห่ง แต่ไม่ตรงกับความต้องการ จึงเกิดแนวคิดที่จะมองหาสถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กมาเปิดเอง โดยได้เดินทางไปดูสถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กในหลายๆ ประเทศ ทั้งอเมริกา อังกฤษ ฟินแลนด์ สวีเดน อิสราเอล และญี่ปุ่น ก็ค้นพบว่าสถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กที่ญี่ปุ่นมีความน่าสนใจมากที่สุด เพราะทฤษฎีของญี่ปุ่นตอบโจทย์คนเอเชียมากกว่า

"นาวิน ต้าร์-เนย โชติกา" พาลูกทดลองเรียน COPEL THALAND หลักสูตรพัฒนาสมองเด็กเล็กจากญี่ปุ่น

ในเมืองไทยเรามีสถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กมีอยู่หลายแห่ง แต่ส่วนใหญ่มาจากทางฝั่งตะวันตก จะเน้นเรื่อง Play Based Learning หรือกระบวนการเรียนรู้ผ่านการเล่น   สำหรับทางฝั่งเอเชียจะเป็น Academic Learning หรือการเรียนรู้เชิงวิชาการ เป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาสมองโดยตรง ซึ่งโดยทั่วไปมีความเชื่อในด้านการพัฒนาสมองว่า การพัฒนาสมองซีกซ้ายจะเป็นส่วนของการคิด ตรรกะ ตัวเลข  และการสร้างอัจฉริยะจะเกิดจากการพัฒนาสมองซีกขวา  ที่มีส่วนเรื่องของการจดจำและจินตนาการ

"นาวิน ต้าร์-เนย โชติกา" พาลูกทดลองเรียน COPEL THALAND หลักสูตรพัฒนาสมองเด็กเล็กจากญี่ปุ่น

แต่ศาสตราจารย์  Nobuyuki Otsubo CEO ของ COPEL World และเป็นอาจารย์กิตติมศักดิ์เกี่ยวกับสมองและการพัฒนาของเด็กเล็กให้กับมหาวิทยาลัยชั้นนำทั่วประเทศญี่ปุ่น เป็นประธานสมาคมการศึกษาและอบรมด้านการศึกษาแห่งประเทศญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเป็นที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ให้กับสมาคมจิตวิทยาแห่งประเทศญี่ปุ่น (ในด้านจิตวิทยาเด็กเล็ก) เชื่อว่าเด็กทุกคนควรได้รับการพัฒนาสมองทั้งสองข้างไปพร้อม ๆ กันเพื่อให้เกิด Neuron (นิวรอน คือเซลล์ประสาทที่เชื่อมโยงระหว่างสมองซีกซ้ายและซีกขวา) ยิ่ง Neuron มากเท่าใดยิ่งทำให้เด็กฉลาดมากเท่านั้น และงานวิจัยของญี่ปุ่นยังพบว่า อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ มีนิวรอนมากกว่าคนปกติ 1.5 เท่า การสร้างนิวรอนที่ดีในเด็กสามารถทำได้ตั้งแต่แรกเกิดจนถึง 6 ปี เพราะสมองจะเติบโตประมาณ 90% เมื่ออายุ 6 ปี และพฤติกรรมของเด็กก็จะถูกพัฒนาในช่วงอายุนี้ด้วย  โดย COPEL มาจากคำว่า Copernicus Turn คือ การเปลี่ยนแนวความคิดเดิม 180 องศา จากสังคมที่ใช้ตรรกะการพัฒนาของสมองซีกขวาเป็นหลัก  มาเป็นสังคมที่พัฒนาสมองแบบองค์รวม บวกความรู้สึกนึกคิดผ่านการศึกษา   

กอบสุข กล่าวต่อว่า จุดเด่นที่ทำให้ COPEL THAILAND แตกต่างจากสถาบันพัฒนาสมองเด็กเล็กแบรนด์อื่น ๆ คือ การมีสื่อการเรียนการสอนที่ผ่านการพัฒนาและวิจัยแล้วมากกว่า 360,000 ชิ้น ทำให้เด็กไม่รู้สึกเบื่อ และเป็นการเรียนที่ไม่ยากหรือง่ายเกินไปสำหรับเด็กในแต่ละวัย  โดยการเรียนในแต่ละครั้ง ใช้เวลา 1 ชั่วโมง เด็ก ๆ จะได้ทำกิจกรรมมากถึง 25 กิจกรรม ๆ ละ 1-2 นาที และทุกอาทิตย์กิจกรรมจะไม่ซ้ำกัน เพราะ COPEL THAILAND มีสื่อการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาสมองเด็กเล็กมากที่สุดในโลกโดยได้รับการรับรองจาก Guinness World Book of Record  โดยสื่อการสอนเหล่านี้จะถูกส่งมาจาก COPEL JAPAN อย่างเช่น Flashcard จะมาเป็นภาษาญี่ปุ่นก็จะนำมาแปลเป็นภาษาอังกฤษก่อน และมีการอัพเดทใหม่ทุกปี  ในปัจจุบัน COPEL THAILAND มีทั้งหลักสูตรภาษาอังกฤษ และภาษาจีน 

"นาวิน ต้าร์-เนย โชติกา" พาลูกทดลองเรียน COPEL THALAND หลักสูตรพัฒนาสมองเด็กเล็กจากญี่ปุ่น

ด้านคุณพ่อนักร้องและพระเอกชื่อดังนาวิน ต้าร์ หรือ ดร.นาวิน เยาวพลกุล ได้พาน้องลูก้า ลูกสาวคนโตเข้ามาทดลองเรียนที่สถาบัน COPEL และได้พูดถึงประสบการณ์ในครั้งนี้ว่า ได้เข้าไปเรียนกับลูก้าด้วย ก็สนุกดี และประทับใจ เพราะว่าเป็นครั้งแรกที่ให้ลูก้าได้มีบททดสอบแบบนี้ ทำให้ได้รู้ว่าเขาชอบอะไร เขามีสมาธิอยู่กับอะไร เขาถนัดในด้านไหน เคยสอนลูก้าให้นับ 1 ถึง 10 แต่เขาไม่เคยนับ 1 ได้ถึง 10 ได้เลย แต่ในครั้งนี้สามารถนับ 1 ถึง 20 ได้ด้วย ที่แปลกใจมากคือวันนี้ลูก้าสามารถต่อจิ๊กซอว์ได้เก่งมาก จะเห็นเวลาเขามองรูป เขาจะจำสีได้ จำการเคลื่อนไหวของรูปภาพได้ มันเหมือนเราได้ส่องเข้าไปในหัวของลูกของเราว่าเขาชอบด้านไหน ก็เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ น่าสนใจมาก เพราะเราไม่รู้เลยว่าความจำของเขาดีขนาดนี้ อย่าง Flash Card ไม่ถึงวินาที จะจำได้ยาวกว่าที่เราคิด คือตัวผู้ใหญ่เองเนี่ยทำไม่ได้อยู่แล้วแต่เด็กความจำเขาจะมีวิธีที่ต่างกับเรานิดหน่อยซึ่งก็เป็นเรื่องน่าสนใจ อยากให้ลูก้ามาลองเรียนดูอีก เพื่อจะได้รู้ว่าวิธีคิดของเขาเป็นอย่างไร ลูก้าเองก็บอกว่าชอบเรียนที่นี่ด้วย

"นาวิน ต้าร์-เนย โชติกา" พาลูกทดลองเรียน COPEL THALAND หลักสูตรพัฒนาสมองเด็กเล็กจากญี่ปุ่น

ส่วนนักแสดงสาวชื่อดัง เนย โชติกา พร้อมด้วยอาร์ม จันทร์สิริ สามี ก็ไม่พลาดที่จะพา น้องอคิณ ลูกชายคนโตมาทดลองเรียนที่ COPEL ด้วยเช่นกัน โดยเจ้าตัวได้พูดถึงความประทับใจในครั้งนี้ว่า สนุกดีค่ะ แต่ด้วยความที่น้องอาจจะเป็นครั้งแรกเขาอาจจะตื่นเต้นนิดนึง แต่เท่าที่เคยไปเรียนมาหลายที่ คือเนยชอบให้น้องเรียน เริ่มพาน้องไปเรียนตั้งแต่ตอน 9 เดือน ตั้งแต่เริ่มจะนั่งได้แล้ว

“ที่ COPEL ค่อนข้างที่จะดีมาก ๆ ใน 1 ชั่วโมงมีอะไรให้เขาเรียนรู้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็น Flash card, คำศัพท์, นัมเบอร์  เนยว่ามันครอบคลุมเลยค่ะ ใน 1 ชั่วโมง มันเหมือนกับเด็ก Concentrate คือน่าสนใจทำให้เด็กตั้งใจฟัง เด็ก ๆ น่าจะได้อะไรจากคลาสนี้เยอะมาก ๆ เลยค่ะ ไม่ว่าจะเป็น Flash card, คำศัพท์ มีนิทานนะคะ มีเพลง คือเนยคิดว่าครอบคลุมมาก ๆ  สำคัญเลยคือในเรื่องของ Teacher ซึ่งภาษาดีมากเลยค่ะ สำเนียง แล้วก็อัธยาศัย Lively น่ารักมากค่ะ แล้วก็สนุกด้วยค่ะ ต้องพาน้องมาอีกแน่นอนค่ะ แล้วก็กำลังเล็งว่าเดี๋ยวเบบี๋ลลิณก็อาจจะมาเรียนด้วย ก็เลยอยากให้เปิดสาขาให้ทั่วประเทศเร็วๆ นะคะ ก็อยากให้น้อง ๆ ทดลองมาเรียนที่ COPEL กันดูนะคะ” เนย โชติกา กล่าว

พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง “นายควง อภัยวงศ์” นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/448801

พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง “นายควง อภัยวงศ์” นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์

พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง "นายควง อภัยวงศ์" นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์

14 พฤศจิกายน 2563 – 00:00 น.

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง “นายควง อภัยวงศ์” นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์ คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน   โดย…   เอก  อัคคี

ต้องเข้าใจกันก่อนนะครับว่า นายกรัฐมนตรีของประเทศไทยเราในอดีตล้วนแต่เป็นผู้เคารพเสื่อมใสในพระพุทธศาสนาแทบทุกคน เชื่อมั่นในพุทธคุณด้วยกันทั้งนั้น ที่สำคัญไม่มีใครสร้างพระเครื่องหรือว่าสะสมพระเครื่องเพื่อเป็นการฟอกเงินอย่างแน่นอน แต่มุ่งจะฟอกใจชำระล้างบาปขอบารมีคุณพระคุ้มครองมากกว่า

อ่านข่าว…  “นพ.ดนัย” เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้

พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง "นายควง อภัยวงศ์" นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์

นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรีคนที่ ๔ ของไทย

เพราะว่าวีรกรรมของแต่ละ ฯพณฯ
กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้นี่
ต้องบอกว่า โชกโชนและโชกเลือดพอสมควร 

และมีความเชื่อมั่นศรัทธาอย่างเต็มเปี่ยม แม้แต่การจะยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๕๗๕ ยังต้องทำพิธีเสี่ยงทายเหมือนในสมัยกรุงศรีอยุธยายังไงยังงั้น 

เรื่องของเรื่องคือว่า เมื่อ คณะราษฎรประชุมวางแผนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศ พวกเขาไปรวมตัวกันที่พระอุโบสถ์ วัดแคนอก เมืองนนทบุรี ก่อนที่ทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๗๕ รัชสมัยรัชกาลที่ ๗

วันนั้นมีบันทึกว่า ก่อนวันที่ ๒๔ พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนา(พจน์ พหลโยธิน) หัวหน้าคณะราษฎร ได้นัดหมายให้ผู้ร่วมก่อการปฎิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองมาพบปะกันที่วัดแคนอกริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา (ฝั่งตะวันออก) ต.บางกระสอ อ.เมืองนนทบุรี เพื่อประกอบพิธีบวงสรวงตั้งสัตยาธิฐานและใช้พระอุโบสถเป็นสถานที่ประชุมเตรียมแผนการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชมาเป็นประชาธิปไตย

เนื่องจากทำเลที่ตั้งวัดแคนอก ตั้งอยู่ในระยะที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลทอดตัวตรง สามารถมองเห็นเกาะเกร็ดได้อย่างชัดเจน ทำให้พันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนามีความคิดว่าเป็นสถานที่ที่มีลักษณะเป็นสิริมงคล อยู่ ๒ประการคือ

๑.บริเวณที่ตั้งวัดแคนอกเปรียบเสมือนเป็นส่วนหัวมังกร เกราะเกร็ดเป็นท้องมังกร หัวมังกรมีความหมายถึงสัญลักษณ์ของนักบริหาร และการบัญชาการ
๒.บริเวณที่ตั้งวัดแคนอกอยู่ในระยะที่แม่น้ำเจ้าพระยาไหลทอดตัวตรง มีความหมายถึงความซื่อสัตย์ เป็นสิ่งที่คณะผู้ร่วมก่อการพึงจักต้องมีต่อกันเป็นอย่างยิ่ง การทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จ เรียบรอยแล้วโดยไม่เสียเลือดเสียเนื้อแต่ประการใด

หลังประกาศใช้รัฐธรรมนูญเป็นครั้งแรก พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้กลับมาสร้างหอระฆังรูปทรงดอกบัวตูมถวายเป็นพุทธบูชา และแก้เคล็ดเพราะเคยพูดไว้ว่า “เราเคยชนะคนอื่นด้วยหอกด้วยดาบ อีกไม่ช้านานหอกและดาบนั้นคงคืนสนอกแก่เรา” 

พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง "นายควง อภัยวงศ์" นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์

หนังสือพระเครื่องชั้นนำล้วนให้การยอมรับพระกริ่งนายควงศ์

และหนึ่งในคณะผู้ก่อการสายพลเรือนก็มีนายควง อภัยวงศ์ รวมอยู่ด้วยและต่อมาก็ได้ก้าวขึ้นนั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีกับเขาด้วย

กบ่าวสำหรับฉายา“ตลกหลวง” แห่งทำเนียบรัฐบาลไทยของนายควง อภัยวงศ์ นั้นก็ใช่ว่าจะได้มาเพราะโชคช่วย แต่เพราะเป็นผู้นำที่มีอารมณ์ขันมักจะใช้อารมณ์ขันแก้ไขสถานการณ์คับขันได้จริง

อาทิเช่น เมื่อคราวแม่ทัพญี่ปุ่นไปขอพบหลังรับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อขอให้ไทยส่งกองทัพไปช่วยญี่ปุ่นรบที่พม่าและอินเดีย ฯพณฯ “ตลกหลวง” ก็ยิ้มรับตอบตกลงทันที แต่ขอให้ญี่ปุ่นช่วยหาเครื่องแบบทหารและอาวุธให้ทหารไทยด้วย โดยให้เหตุผลว่าอาวุธทหารไทยมีแต่ล้าสมัย 

เจอลีลาไม้เด็ดแบบนี้เข้าไป แม่ทัพญี่ปุ่นถึงกับไปไม่เป็น เดินกลับออกจากทำเนียบรัฐบาลไทยไปแบบงงๆ เพราะไม่แน่ใจว่าส่งปืนให้แล้ว ทหารไทยจะหันปากกระบอกปืนไปที่ฝ่ายไหนกันแน่(ฮา)

และแม้นายควงจะใช้อารมณ์ขันพาตัวรอด และพาชาติรอดมาหลายครั้ง แต่ในที่สุดก็โดนจี้ให้ลาออกจากนายกรัฐมนตรี โดยขุนพลของ ฯพณฯจอมพล ป.พิบูลย์สงคราม อยากจะกลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง เพราะหลังจากที่กลุ่มนายทหารนำโดย พล.ท.ผิน ชุณหะวัณ (ยศขณะนั้น) ได้ทำการรัฐประหารรัฐบาล พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ เมื่อวันที่ ๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๙๐ แล้วได้แต่งตั้งให้ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร รักษาการในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อจัดการเลือกตั้งทั่วไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในวันที่ 6 มกราคม พ.ศ. ๒๔๙๑ และผลการเลือกตั้งพรรคประชาธิปัตย์ ชนะการเลือกตั้งได้รับเสียงสูงสุดในสภาฯ นายควง อภัยวงศ์ ในฐานะ หัวหน้าพรรคได้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสืบต่อ

แต่หลังจากนั้นในวันที่ ๖เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ กลุ่มนายทหารจำนวน๔ นาย นำโดย น.อ.กาจ กาจสงคราม แต่งเต็มยศพร้อมคาดกระบี่ที่เอว มือถือปืนเข้าพบ นายควง อภัยวงศ์ ที่บ้านพัก ไปทวงเงินจำนวน ๒๘ล้านบาท ว่าเป็นค่าใช้จ่ายระหว่างเดินทางกลับจากศึกเชียงตุง หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งเบิกจาก กระทรวงการคลังไปล่วงหน้าแค่ ๙ ล้านบาท แต่นายควงไม่ยอมจ่าย ทำให้นายควงกับทหารกลุ่มนี้มีเรื่องเคืองใจกันมาตลอด จนสบโอกาสเมื่อ จอมพล ป.ส่งสัญญานมา นายกลุ่มนี้จึงรัฐประหารเงียบ 

วันนั้น นายควงได้พยายามติดต่อกับ ผู้บัญชาการทหารเรือ และผู้บัญชาการทหารอากาศ เพื่อขอความคุ้มครองแต่ไม่เป็นผล ท้ายที่สุดกลุ่มนายทหาร ยื่นคำขาดให้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ภายใน ๒๔ ชั่วโมง ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติให้ นายควงพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ในวันที่ ๘เมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ และปลายเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๔๙๑ คณะรัฐมนตรีมีมติให้ จอมพล ป. พิบูลสงคราม กลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี

พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง "นายควง อภัยวงศ์" นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์

พระกริ่งสุจิตโต บัวบวรนิเวศ

เป็นการเริ่มต้นครองอำนาจของ จอมพล ป. ครั้งใหม่ที่ยาวนานถึงเกือบ 10 ปี แต่ช่วงแรกๆก็ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้น ในยุคนั้นคนเฒ่าคนแก่เล่าว่ามีไข่เป็ดออกมาวางขายเต็มตลาด

จนท่านอดีตนายกฯตลกหลวง นายควงยังไม่วายหยอดอารมณ์ขันว่า
“แหม….ถ้าผมรู้ว่าผมลาออก เป็ดมันถึงจะไข่ ผมลาออกเสียนานแล้ว”

อ้าว…เดี๋ยวๆแล้วมันเกี่ยวกับอะไรกับพระเครื่อง-พระกริ่ง?
เอาน่า—เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง….ลื้อใจเย็นๆ

……………….

พระกริ่งนายควง ในวงการเขาเรียกว่า พระกริ่งแบบวัดบวร สูตรวัดสุทัศน์ จัดสร้างปี ๒๔๘๘ โดยนายควง อภัยวงค์ นายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น นายควงเป็นอดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ ๔  ดำรงตำแหน่ง๔ สมัย 

เป็นผู้ร่วมก่อตั้งและหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนแรก และเป็นสมาชิกคณะราษฎรสายพลเรือนซึ่งร่วมการปฏิวัติแปลกเปลี่ยนการปกครอง พ.ศ. ๒๔๗๕  สำหรับประวัติการสร้างพระกริ่งรุ่นนี้ คุณหมูตู้ วัตถุมงคล เล่าเอาไว้ว่า เมื่อ ปี พ.ศ.๒๔๘๘  นายควง อภัยวงศ์ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมีความคิดที่จะสร้างพระกริ่งขึ้นมาเพื่อให้ได้สักการะบูชากัน

จึงไปปรึกษากับเพื่อสนิทคนหนึ่งของฯพณฯ มีชื่อ นายแพทย์เจริญ ว่าต้องการจะสร้างพระกริ่งให้ประชาชนเอาไว้บูชา แต่อยากจะยึดเอาตามองค์พระกริ่งสุจิตโต หรือพระกริ่งบัวรอบ ที่จัดสร้างโดย วัดบวรนิเวศวิหาร โดยสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ชื่น นพวงศ์) ที่พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลมอบให้นายควงมาเป็นต้นแบบ 

กล่าวสำหรับ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล นั้นทรงสร้างพระกริ่งสุจิตโตเพื่อเฉลิมฉลองในวาระครบ ๖ รอบ ของสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ (ชื่น นพวงศ์) โดย สมเด็จพระสังฆราชเจ้ากรมหลวง วชิรญาณวงศ์ เสด็จเททองหล่อพระกริ่งที่หน้าพระอุโบสถวัดบวรนิ เวศวิหาร ในวันที่ ๒๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๘๗ เวลา ๑๓.๕๑ น. จึงกล่าวได้ว่า พระกริ่งที่เททองคราวนี้จัดได้ว่าเป็นพระกริ่งรุ่นแรกของ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ผู้จัดสร้างมีพระประสงค์ให้เรียกนามว่า “พระกริ่งสุจิตโต” ตามพระนามฉายาของสมเด็จพระสังฆราชเจ้าฯ

เมื่อ นายแพทย์หมอเจริญเข้าใจในเจตนาอันดีงามของนายควง จึงรับเป็นธุระจัดการเรื่องการสร้างพระกริ่งรุ่นนี้ให้ กอปรกับตนเองเคยบวชอยู่วัดสุทัศน์ฯ คณะ ๘ อีกทั้งเป็นลูกศิษย์ของท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) ด้วยแล้วจึงได้นำเรื่องไปปรึกษากับท่านเจ้าคุณศรี(สนธิ์) ท่านก็เห็นเป็นเรื่องดีงามและสนับสนุนเตรียมการหาฤกษ์หายามซึ่งก็ได้ฤกษ์เททองอยู่ช่วงต้นปี พ.ศ.๒๔๘๘ การจัดสร้างพระกริ่งนายควงนั้นมีดังต่อไปนี้ 

ประการที่ ๑. ท่านเจ้าคุณศรีฯ(สนธิ์) ท่านได้ประกอบพิธีเททองหล่อและปลุกเสกที่วัดสุทัศน์ฯ โดยนิมนต์พระสงฆ์ร่วมพิธีพุทธาภิเษก๔รูป ได้แก่ พระครูธรรมกถาสุนทร (หลี), พระครูพรหมวิหาร(เข็ม),พระครูพิมลสรภาณ (วัน), พระมหาประสาร

ประการที่๒  นายควง อภัยวงศ์ นิมนต์พระคณาจารย์ ชื่อดังจากวัดต่างๆ อีก ๙ รูปร่วมพิธีปลุกเสก พิธีจัดขึ้นที่หน้าทำเนียบรัฐบาล (แต่บางกระแสข่าวบอกจัดที่หน้ารัฐสภา) ท่านเจ้าคุณศรี (สนธิ์) มาเป็นองค์ประธานในพิธีพระกริ่งที่เททองหน้าทำเนียบรัฐบาล ซึ่งมีพุทธลักษณะแบบเดียวกับพระกริ่งบัวรอบสุจิตโตองค์ที่พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคลมอบให้นายควง อภัยวงศ์มาเป็นแม่แบบ

พระกริ่งของนายกฯตลกหลวง "นายควง อภัยวงศ์" นายกรัฐมนตรีผู้ก่อตั้งพรรคประชาธิปัติย์

พระกริ่งบัวรอบนายควง อภัยวงศ์

สรุปว่า พระกริ่งรุ่นนี้ มีสองพิมพ์สองวาระแต่ใช้ชื่อเดียวกัน??

แต่อย่างไรก็ดี พระกริ่งดังกล่าวทั้งสองมีส่วนที่แตกต่างกันอยู่สองจุด คือ
จุดแรก พระกริ่งบัวรอบสุจิตโต ก้นเทกลวง บรรจุเม็ดกริ่งแล้วปิดก้นด้วยทองฝาบาตร ส่วนพระกริ่งบัวรอบรุ่นของนายควง ก้นเทตัน เจาะก้นด้วยสว่าน บรรจุเม็ดกริ่งแล้วปิดรูเจาะด้วยทองแดงบ้าง ทองเหลืองบ้าง บางองค์ยังไม่ได้อุดกริ่ง หรือบางองค์เทแบบกริ่งในตัว 

จุดที่สอง เนื้อในของพระกริ่งบัวรอบสุจิตโต เป็นชนิดเหลืองทอง เมื่อผ่านการใช้แล้วกระแสจะออกเขียว ส่วนเนื้อในของพระกริ่งบัวรอบนายควงเป็นชนิดเหลืองนวล เมื่อผ่านการใช้แล้ว กระแสจะออกแดงนิดๆ สำหรับผิวพระของพระกริ่งสองรุ่นนี้ องค์ที่อยู่ในสภาพเดิม ผิวพระจะออกคราบน้ำตาลแก่บ้าง อ่อนบ้าง ซึ่งจะแยกไม่ออกว่า องค์ใดเป็นรุ่นไหน นอกจากจะต้องพลิกดูก้นแล้วจะแยกออกได้ทันที 
กล่าวสำหรับพระกริ่งบัวรอบรุ่นนายควงมีจำนวนการสร้างนั้นไม่ปรากฏแน่ชัด แต่โดยประมาณแล้ว บรรดาเซียนพระฟันธงว่า คงไม่เกิน๑,๐๐๐ องค์และหลังจากผ่านการเททอง ปลุกเสกบรรจุเม็ดกริ่งเรียบร้อยแล้ว นายควงก็ได้มอบให้คณะรัฐมนตรีไปท่านละ ๑ องค์ ที่เหลือก็ได้แจกจ่ายให้กับประชาชนไปบูชากันจนหมด 
พระกริ่งนายควง รุ่นนี้เป็นพระกริ่งอีกรุ่นของวัดบวรนิเวศวิหาร (พิมพ์วัดบวร สูตรวัดสุทัศน์)ที่ได้รับความนิยมมาอย่างยาวนาน ประสบการณ์มากมาย พุทธคุณเด่นด้าน เมตตามหานิยม โภคทรัพย์ แคล้วคลาดปลอดภัย มหาอำนาจบารมี ช่วยเสริมลาภยศ ตำแหน่ง ชื่อเสียงโด่งดัง ตามตำราพระกริ่งทั้งสิ้นครับ
แฮ่มมมม…..ใครอยากเป็นนายกฯ
และอยากเป็นตลกหลวงบนหอคอยงาช้าง….
น่าจะลองหามาพกพาบูชาติดตัวนะครับ!?!

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/448925

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ 

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ 

13 พฤศจิกายน 2563 – 14:58 น.

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ 

เมื่อวันที่ 12 พฤศจิกายน 2563 เวลา 14.00 น.  นายอนุสันต์ เทียนทอง รองประธานกรรมการมูลนิธิบ้านบางแคและที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสถานีวิทยุกรายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(สถานีวิทยุม.ก.)  เป็นประธานในพิธีลงนามความร่วมมือทางวิชาการ(MOU) ระหว่าง ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ ผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุ ม.ก. กับ นายเอกกมล แพทยานันท์ นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ณ ชั้น 4 ห้องประชุม 401 สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ดินแดง 
โดยในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือทางวิชาการครั้งนี้ ภายใต้ “โครงการต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ”  ผ่านช่องทางสื่อวิทยุกระจายเสียงและสื่อดิจิทัลของเครือข่ายสถานีวิทยุ ม.ก.ทั้ง 4 ภูมิภาคในทุกแพลตฟอร์ม    

ทั้งนี้เพื่อให้คนพิการสามารถพัฒนาการเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ได้ตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของตนเอง อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมสนับสนุนให้คนพิการสามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ข้อมูลข่าวสาร บริการสื่อสาธารณะ เพื่อยกระดับคุณภาพการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และสามารถปรับตัวให้อยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุข

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ 

                          นายอนุสันต์ เทียนทอง รองประธานกรรมการมูลนิธิบ้านบางแค

นายอนุสันต์ เทียนทอง รองประธานกรรมการมูลนิธิบ้านบางแคและที่ปรึกษาคณะกรรมการบริหารสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์(สถานีวิทยุม.ก.)  กล่าวระหว่างเป็นประธานในพิธีลงนามครั้งนี้ว่าจากการคาดประมาณขององค์การอนามัยโลกได้ระบุว่า ในประเทศที่กำลังพัฒนาทั้งหลายจะมีจำนวนผู้พิการทางการเห็นอยู่ราวร้อยละ 1 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ ประเทศไทยจึงน่าจะมีผู้พิการทางการเห็นไม่น้อยกว่า 680,000 คน และจากประมาณการของมูลนิธิคนตาบอดไทยและสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย คาดว่ามีคนตาบอดไม่ถึงร้อยละ 20 ที่ได้รับโอกาสทางการศึกษาในระดับใดระดับหนึ่งได้  
 ปรึกษา คกก.สถานีวิทยุม.ก. กล่าวต่อว่า ในสถานการณ์ปัจจุบัน เทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร (ICT) และสื่อโซเชียล ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในการอำนวยความสะดวก รวมทั้งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำกิจกรรมต่าง ๆ ให้แก่คนในสังคมเป็นอย่างมาก ซึ่งก็รวมถึงการสร้างประโยชน์ในด้านต่าง ๆ ให้แก่ผู้พิการทางสายตา และ    ผู้พิการทุกประเภทที่ขาดโอกาส และความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูลที่มีอยู่รอบตัวในปัจจุบัน และกลุ่มคนเหล่านี้จะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนที่มีความรู้ ความสามารถมีศักยภาพที่จะพัฒนาสังคมและประเทศ     ให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างยั่งยืนได้เช่นกัน 
“หากแต่ต้องมีการส่งเสริมสนับสนุนในด้านความสะดวก และเครื่องมือหรืออุปกรณ์เฉพาะทาง ที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงข้อมูล การใช้สื่อโซเชียล การผลิตสื่อ และความรู้ด้าน ICT สำหรับคนพิการทุกประเภทได้อย่างทั่วถึง” 
 นายอนุสันต์ ย้ำด้วยว่าความร่วมมือนี้ จึงมั่นใจว่าจะนำไปสู่การพัฒนา การส่งเสริม และสร้างให้คนพิการ  ที่ยังขาดโอกาสในสังคมได้มีคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น และยังเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตให้แก่คนพิการได้อย่างมากมาย และขอเป็นกำลังใจให้กับทุกท่านที่ได้อุทิศตนด้วยความทุ่มเทแรงกาย อุทิศแรงใจ ร่วมกันทำงานอย่างเต็มที่ และร่วมกันที่จะพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนพิการ สู่การยกระดับคุณภาพชีวิตของตนเองในที่สุด เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สู่ความยั่งยืนต่อไปในอนาคต

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ 

                             ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ ผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุ ม.ก.
 ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ ผู้อำนวยการใหญ่สถานีวิทยุ ม.ก.  กล่าวว่าสถานีวิทยุม.ก.ได้เล็งเห็นและให้ความสำคัญแก่คนพิการ และผู้สูงอายุมาโดยตลอด ซึ่งที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการก้าวย่างที่มั่นคง โดยการนำไม้เท้าค้ำยัน รถ Whellchair และเตียงลม ไปมอบให้กับคนพิการและผู้สูงอายุที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ตามชุมชนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องภายใต้โครงการความรับผิดชอบต่อสังคมตั้งแต่ ปี พ.ศ.2549 จนถึงปัจจุบัน
  และในปี พ.ศ.2563 นี้ เพื่อให้การดำเนินงานการช่วยเหลือคนพิการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง สถานีวิทยุ ม.ก. จึงร่วมกับ สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย ดำเนินโครงการต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคนพิการ”  โดยการผลิตสื่อเสียงเพื่อการเรียนรู้ออกอากาศตามผังรายการหลักของสถานีฯ โดยถ่ายทอดผ่านสัญญาณเครือข่ายของสถานี  ด้วยระบบ เอ.เอ็ม.สเตอริโอ ทั้ง 4 ภูมิภาคและสื่อดิจิทัลในทุกแพลตฟอร์ม โดยสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย จะร่วมส่งเสริมสนับสนุนการเผยแพร่ ประชาสัมพันธ์ข้อมูล ข่าวสารต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อคนพิการ และประชาชนทั่วไป  
 “เพื่อให้คนพิการสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตัวเองอย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต ได้ตระหนักถึงคุณค่าและศักดิ์ศรีของตนเอง สามารถเข้าถึงข้อมูล ข่าวสาร ทันต่อความเปลี่ยนแปลงของโลก และปรับตัวอยู่ในสังคมอย่างมีความสุข  โดยสถานีวิทยุ ม.ก.ทำหน้าที่เป็นสื่อกลางเสมือนห้องเรียน ที่มีการเรียนการสอนแบบทางไกลสู่ผู้ฟัง” ผศ.อนุพรกล่าวย้ำ

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ 

                       นายเอกกมล แพทยานันท์ นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทย
 ด้านนายเอกกมล แพทยานันท์ นายกสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยกล่าวว่าสมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยเป็นองค์การระดับชาติที่ก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 2510   ตลอดระยะเวลา 53 ปีที่ผ่านมา สมาคมฯได้ดำเนินการงานส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการมาอย่างต่อเนื่อง 
 ไม่ว่าจะเป็นการผลักดันให้เกิดบทบาทและนโยบายสาธารณะด้านสวัสดิการ อย่างเช่นพ.ร.บ.ส่งเสริมคุณภาพชีวิตคนพิการอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการแห่งสหประชาชาติ  การแก้ไขพ.ร.บ.ลิขสิทธิ์ให้มีคำสั่งดัดแปลงสิ่งต่าง ๆ เพื่อใช้ประโยชน์แก่คนพิการเป็นเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมาย เป็นต้น 

สถานีวิทยุม.ก.จับมือสมาคมคนตาบอดฯจัดทำหลักสูตรต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศเพื่อคุณภาพชีวิตคนพิการ 


 นอกจากนี้ได้มีการส่งเสริมด้านการประกอบอาชีพสำหรับคนพิการ โดยเฉพาะคนตาบอดเช่น การส่งเสริมให้คนตาบอดสามารถค้าสลากฯได้ การฝึกอบรมสร้างงาน สร้างอาชีพให้คนตาบอดและการให้บริการนวดแผนไทยกับคนทั่วประเทศที่ปัจจุบันมีมากกว่า 1 หมื่นคน การส่งเสริมให้มีการรับรองนักดนตรีคนตาบอด การส่งเสริมอาชีพหัตถกรรมคนตาบอดผ่านโครงการปักจิตปักใจ  เป็นต้น 
 “ผมเชื่อมั่นว่าโครงการต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศสำหรับผู้พิการทางสายตาจะทำให้คนพิการเข้าถึงเนื้อหาที่เป็นประโยชน์ได้มากขึ้น ไม่ว่าเนื้อหาการประกอบอาชีพ เรื่องของสุขภาวะ เรื่องของการใช้ชีวิตประจำวัน นอกจากนั้นจะมีการอบรมให้คนพิการสามารถผลิตเรื่องราวและเผยแพร่ผ่านสื่อต่าง ๆ ทางสถานีวิทยุม.ก.ทำให้คนพิการต่อไปไม่เป็นเพียงแค่ผู้รับเท่านั้น แต่จะเป็นผู้สร้างสื่อ ผู้ผลิตสื่อและเผยแพร่ในสื่อต่าง ๆ  เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้องและทัศนคติในทางบวกให้กับคนในสังคมและคนพิการด้วย”นายเอกกมลกล่าว
 นางสาววันดี สันติวุฒิเมธ ผู้จัดการหลักสูตรฝึกอบรมโครงการต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศสำหรับผู้พิการทางสายตา สมาคมคนตาบอดแห่งประเทศไทยกล่าวว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาถ้าสังเกตุดูเรื่องราวของคนพิการในสังคมไทยจะผลิตโดยคนที่ไม่พิการ เหตุผลหนึ่งคือการเข้าถึงองค์ความรู้การผลิตสื่อสำหรับคนพิการนั้นมีน้อยมากในสังคมไทย และโอกาสที่คนพิการจะได้เรียนการผลิตสื่อและผลิตเรื่องราวของตัวเองออกมาจึงมีน้อย  เพราะฉะนั้นโครงการต้นแบบนำร่องโรงเรียนทางอากาศสำหรับผู้พิการทางสายตาเป็นการสร้างความร่วมมือกันในระดับสถาบันวิชาการที่จะสร้างองค์ความรู้ให้กับกลุ่มผู้พิการในการผลิตเรื่องเราวของตัวเอง 
“สิ่งที่สังคมไทยจะได้รับจากการความร่วมมือในครั้งนี้ก็คือการเปิดมิติใหม่ให้กับสังคมไทยในการรับรู้เรื่องราวคนพิการและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ทั้งสองหน่วยงานได้เห็นความสำคัญของคนพิการในการร่วมมือกันครั้งนี้” นางสาววันดีย้ำทิ้งท้าย

สกสว.เร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถ-แก้วิกฤตชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม เปิดเวทีชี้แจงงบอุดหนุนงานวิจัยนวัตกรรม 2.4 หมื่นล้านปี 65 #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/448698

สกสว.เร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถ-แก้วิกฤตชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม เปิดเวทีชี้แจงงบอุดหนุนงานวิจัยนวัตกรรม 2.4 หมื่นล้านปี 65

สกสว.เร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถ-แก้วิกฤตชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม เปิดเวทีชี้แจงงบอุดหนุนงานวิจัยนวัตกรรม 2.4 หมื่นล้านปี 65

11 พฤศจิกายน 2563 – 12:36 น.

   สกสว. เปิดเวทีแจงแนวทางปฏิบัติเพื่อเสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณ ววน. ปี 65 จำนวน 24,000 ล้านบาท มุ่งเชิญชวนประชาคมวิจัยสร้างความเข้าใจร่วมกันผ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-book) การยื่นคำของบประมาณด้าน ววน.

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สุทธิพร  จิตต์มิตรภาพ ประธานกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เปิดเผยว่า สกสว. ขานรับนโยบายมุ่งสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ของประเทศให้เป็นทั้งคนเก่งและคนดี รองรับการเปลี่ยนแปลงทุกมิติทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคม เทคโนโลยี และวิถีชีวิต โดยเฉพาะทักษะที่จำเป็นต่อชีวิตในยุคปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งเพิ่มคุณลักษณะที่พึงประสงค์บางประการสำหรับสังคมไทย อาทิ คุณธรรมจริยธรรม ความรับผิดชอบ ระเบียบวินัย ภูมิคุ้มกันทางใจ เป็นต้น ซึ่งเป็นคุณลักษณะที่จำเป็นสำหรับการอยู่ร่วมกันอย่างปกติสุขในสังคม และเพื่อสานต่อภารกิจเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไปสู่การเป็นประเทศที่มีรายได้สูง รวมทั้งแก้ไขวิกฤตประเทศ เผยปี 64 ได้รับอนุมัติงบประมาณ 19,917 ล้านบาท เน้นด้านเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อม และสาธารณสุข ในขณะที่ปี 63 ได้รับงบประมาณ 12,555 ล้านบาท ได้ผลักดันหลายโครงการแล้วเสร็จ ประสบความสำเร็จเป็นที่ประจักษ์ อาทิ พัฒนาชุดตรวจวินิจฉัยที่สามารถตรวจวินิจฉัย SARS-CoV-2 ด้วยวิธี Real-Time PCR ที่สามารถตรวจจากสารคัดหลั่งที่เก็บได้ง่าย เช่น น้ำลาย ซึ่งจะเพิ่มความปลอดภัยกับผู้ปฏิบัติงาน ลดขั้นตอนการสกัดสารพันธุกรรมทำให้การตรวจวินิจฉัยมีความรวดเร็ว ประหยัด และปลอดภัย, ชุดตรวจแลมป์เปลี่ยนสีสำหรับการตรวจคัดกรองโควิด-19 โดยพัฒนาปรับปรุงชุดตรวจคัดกรองจนมีประสิทธิภาพสูง ทราบผลภายใน 1 ชั่วโมง มีต้นทุนการวิเคราะห์ถูก, ชุด PPE และอุปกรณ์ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อใช้ในประเทศ และสร้างนวัตกรรมเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ภายในประเทศซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเร่งด่วน เพื่อให้ประเทศไทยสามารถพึ่งพาตนเองได้ในสภาวะวิกฤต ซึ่งสามารถทดแทนการนำเข้าได้ถึง 300 ล้านบาท/ปี เป็นต้น 

สกสว.เร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถ-แก้วิกฤตชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม เปิดเวทีชี้แจงงบอุดหนุนงานวิจัยนวัตกรรม 2.4 หมื่นล้านปี 65

รองศาสตราจารย์ ดร.ปัทมาวดี โพชนุกูล ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม เสริมว่า สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (สกสว.) มีภารกิจสำคัญในการส่งเสริม สนับสนุน ขับเคลื่อนระบบ ววน. ให้หน่วยงานต่าง ๆ สร้างงานวิจัยและนวัตกรรมที่ตอบโจทย์ความต้องการของประเทศและสอดคล้องยุทธศาสตร์ชาติ มุ่งนำผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนและยกระดับศักยภาพประเทศให้พัฒนาอย่างยั่งยืน จึงได้จัดงานประชุมชี้แจงระบบ แผน แนวทางการจัดทำคำขอและการขอรับการจัดสรรงบประมาณ ประจำปีงบประมาณ 2565 ขึ้น เพื่อสร้างความเข้าใจในการยื่นขอเสนองบประมาณแก่หน่วยงานที่สนใจ ภายใต้กรอบงบประมาณปี 2565 จำนวน 24,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2564 ร้อยละ 22.50 (4,483 ล้านบาท)                  

สกสว.เร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถ-แก้วิกฤตชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม เปิดเวทีชี้แจงงบอุดหนุนงานวิจัยนวัตกรรม 2.4 หมื่นล้านปี 65


ภายใต้กรอบงบประมาณด้าน ววน. ประจำปีงบประมาณ 2565 ที่มีแผนงานต่อเนื่องใน 4 แพลตฟอร์ม และโปรแกรมการปฏิรูประบบ ววน. ตามแผนด้าน ววน. พ.ศ. 2563 – 2565 (ฉบับปรับปรุง) ซึ่งประกอบด้วย แพลตฟอร์มที่ 1 การพัฒนากำลังคน ยกระดับสถาบันความรู้ และระบบนิเวศด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม โดนเน้นการพัฒนากำลังคน สถาบันความรู้ การวิจัยขั้นแนวหน้า ดิจิทัล รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานด้านคุณภาพของประเทศ (National Quality Infrastructure: NQI) แพลตฟอร์มที่ 2 การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ท้าทายของสังคม มุ่งเน้นการบริหารจัดการน้ำ และคุณภาพสิ่งแวดล้อม

สกสว.เร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถ-แก้วิกฤตชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม เปิดเวทีชี้แจงงบอุดหนุนงานวิจัยนวัตกรรม 2.4 หมื่นล้านปี 65

 แพลตฟอร์มที่ 3 การวิจัยและสร้างนวัตกรรมเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน พร้อมทั้งยกระดับการพึ่งพาตนเองในระดับประเทศ มุ่งเน้นประเด็น SMEs Startup, Genomics และ BCG เพื่อนำพาประเทศไทยให้มีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจและสังคมเพื่อก้าวข้ามกับดักประเทศรายได้ปานกลาง ด้วยการใช้เศรษฐกิจชีวภาพ (Bio-economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) ไปพร้อมๆ กัน โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นกลไกขับเคลื่อน

สกสว.เร่งเครื่องพัฒนาขีดความสามารถ-แก้วิกฤตชาติ ฟื้นฟูเศรษฐกิจ-สังคม เปิดเวทีชี้แจงงบอุดหนุนงานวิจัยนวัตกรรม 2.4 หมื่นล้านปี 65

และแพลตฟอร์มที่ 4 การวิจัยและสร้างนวัตกรรม เพื่อการพัฒนาเชิงพื้นที่และลดความเหลื่อมล้ำ มุ่งเน้นงานวิจัยและนวัตกรรมเชิงพื้นที่เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนของประชาชน และในปี 2565 นี้ได้เพิ่มโปรแกรมการแก้ไขปัญหาวิกฤตเร่งด่วนของประเทศ โดยมีแผนงานใหม่ที่น่าสนใจ อาทิ แผนงานธรรมาภิบาลการบริหารจัดการภาครัฐและลดคอรัปชั่น, แผนงานด้านนวัตกรรมเพื่อพัฒนาระบบการเรียนรู้ตลอดชีวิต, แผนงานด้านมนุษยศาสตร์-สังคมศาสตร์, แผนงานด้านการพึ่งพาตนเองทางเทคโนโลยีเพื่อความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ, แผนงานด้าน Open Society เป็นต้น ซึ่งการดำเนินงานของ สกสว. สอดคล้องกับการตอบโจทย์ความต้องการของประเทศ มุ่งผลลัพธ์ในการสนับสนุนกลุ่มเป้าหมายทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียมและทั่วถึง อีกทั้งเน้นการดำเนินการอย่างมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้โดยกลไกสาธารณะ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่สาธารณชนได้ว่าการจัดสรรเงินงบประมาณซึ่งมาจากภาษีของประชาชนได้นำมาจัดสรรเป็นงบประมาณด้านวิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมอย่างคุ้มค่า มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผลอย่างแท้จริง
ศาสตราจารย์ ดร. สมปอง  คล้ายหนองสรวง ผู้อำนวยการกลุ่มภารกิจบริหารระบบงบประมาณ สกสว. กล่าวว่า สำหรับแนวทางการจัดสรรงบประมาณให้หน่วยงานในระบบ ววน. ปี 2564-2566 ได้กำหนดแนวทางการบริหารงบประมาณแบบมุ่งผลสัมฤทธิ์ เช่น มีการจัดสรรงบประมาณแบบวงเงินรวม (Block Grant) มีความคล่องตัวและยืดหยุ่นทันต่อการเปลี่ยนแปลงของประเทศ จัดสรรงบประมาณแบบต่อเนื่องแบบหลายปี(Multi-year Budgeting) มีการพิจารณาผลการทำงานแต่ละแพลตฟอร์มของปีที่ผ่านมาและมีการจัดลำดับความสำคัญ (Priority) เป็นต้น โดยใช้ระบบข้อมูลสารสนเทศวิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติเชื่อมโยงข้อมูลทุกระดับ เพื่อลดความซ้ำซ้อนของงาน สกสว. แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ 1) ทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund) ที่แบ่งย่อยออกเป็น Basic Research Fund ที่จะจัดสรรงบประมาณเพื่อสนับสนุนงานวิจัยพื้นฐานที่เป็นการพัฒนานักวิจัย และสร้างความเข้มแข็งของงานวิจัยให้กับสถาบันอุดมศึกษา และ Function-based Research Fund จัดสรรงบประมาณให้กับหน่วยงานที่มีภารกิจเฉพาะ ที่มิใช่สถาบันอุดมศึกษา เพื่อสร้างความเข้มแข็งของหน่วยงาน และตอบสนองพันธกิจของหน่วยงานเพื่อประชาชน  ซึ่งทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund) สามารถยื่นข้อเสนอโครงการผ่านหน่วยงานต้นสังกัดภายใต้คําของบประมาณของหน่วยงาน ผ่านระบบ National Research Innovation Information System (NRIIS) ได้ที่ เว็บไซต์ http://www.nriis.in.th ระหว่างวันที่ 2 พฤศจิกายน 2563 ถึง 9 ธันวาคม 2563 และ 2) ทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund) โดยจัดสรรงบประมาณตาม 4 แพลตฟอร์ม  17 โปรแกรมดังกล่าวข้างต้น ซึ่งบริหารจัดการโดยหน่วยบริหารและจัดการทุน (PMU) เป็นการทำงานวิจัยที่เน้นตอบยุทธศาสตร์ของประเทศ โดยสามารถยื่นข้อเสนอโครงการได้ตลอดทั้งปีผ่าน 7 PMU ตามโปรแกรม สำหรับสัดส่วนงบประมาณระหว่างทุนสนับสนุนงานเชิงกลยุทธ์ (Strategic Fund) ต่อ ทุนสนับสนุนงานพื้นฐาน (Fundamental Fund) อยู่ที่ 60: 40 
นอกจากนี้ในปีนี้ สกสว. ได้พัฒนาช่องทางการสื่อสารข้อมูลเพื่อทำความเข้าใจกับหน่วยงานให้ชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย E-Book คู่มือการยื่นของบประมาณ ววน. โดยสามารถดาวน์โหลดผ่าน QR Code หรือเว็บไซต์ สกสว. http://www.tsri.or.th 

“นพ.ดนัย” เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/448319

“นพ.ดนัย” เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้

"นพ.ดนัย" เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้

7 พฤศจิกายน 2563 – 08:47 น.

“นพ.ดนัย” เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้ คอลัมน์… ตามรอยตำนานแผ่นดิน   โดย…  เอก อัคคี

เมื่อวันที่ 1พฤศจิกายน2563ที่ผ่านมา ภายหลังจากเสร็จสิ้นการทรงเปลี่ยนเครื่องทรงฤดูฝน พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร (พระแก้วมรกต)เพื่อทรงเครื่องสำหรับฤดูหนาว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระดำเนินพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และพระบรมวงศานุวงศ์ จากบริเวณหน้าศาลาสหทัยสมาคม เสด็จออกเพื่อทรงทักทายประชาชนที่มาเฝ้าฯรับเสด็จอย่างใกล้ชิด ทุกพระองค์แย้มพระสรวลและโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนไปถึงด้านหน้าพระบรมมหาราชวัง แล้วทรงพระดำเนินเลี้ยวขวาไปบนถนนหน้าพระลานถึงหน้าศาลหลักเมือง ไปจนถึงหน้าศาลฎีกา

โดยมีพสกนิกรมารอเฝ้าฯ รับเสด็จตลอดเส้นทาง ต่างโบกธงชาติไทย ธงพระปรมาภิไธย วปร ธงพระนามาภิไธย สท ปลิวไสว พร้อมเปล่งเสียง “ทรงพระเจริญดัง” กึกก้อง

บางคนชูพระบรมฉายาลักษณ์ พระฉายาลักษณ์ไว้เหนือศีรษะ บางคนกอดแนบอก ด้วยความรักความศรัทธาและความจงรักภักดีที่มีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างสุดหัวใจ โดยมีพสกนิกรจำนวนมากได้นำสิ่งของมาทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อถวายเป็นกำลังพระทัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อาทิ นายถวัลย์ เมืองช้าง เจ้าของโรงหล่อเอเซียไฟน์อาร์ต ที่ได้นำพระรูปหล่อเหมือนจริงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ขนาด 1 ฟุต พระรูปหล่อเสมือนจริงพระสุพรรณกัลยา ขนาดความสูง 5 นิ้ว พระสุนทรีวาณี ซึ่งเป็นเทวดาประจำวัดสุทัศน์เทพวราราม มาทูลเกล้าฯถวาย 

และหนึ่งในพสกนิกรผู้จงรักภักดีต่อสถาบันฯคือ นพ.ดนัย โอวัฒนาพานิช ซึ่งเป็นนายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้ป่วยด้านโรคมะเร็งเม็ดเลือดและขณะเดียวกันก็เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า เป็นผู้ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในศาสตร์สรรพวิชาวิทยาคมและเป็นผู้ที่ดำเนินการจัดสร้างพระเครื่อง,วัตถุมงคลถวายวัดวาอารามต่างๆเพื่อการกุศลมายาวนาน ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าในหลวงรัชกาลที่10 ด้วย เพื่อทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญที่จัดสร้างขึ้นมา ด้วยความเชื่อมั่นพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้ 

"นพ.ดนัย" เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้

นายแพทย์ดนัย โอวัฒนาพานิช เข้าเฝ้าทูลเกล้าฯถวายพระพุทธรูปอิติปิโสปางสมาธิ
ตะกรุดมหาระงับเนื้อเงิน ผ้ายันต์พระเจ้านิโรธสมาบัติ 

นั้นคือพระพุทธรูปอิติปิโสปางสมาธิ ตะกรุดมหาระงับเนื้อเงิน ผ้ายันต์พระเจ้านิโรธสมาบัติ มาทูลเกล้าฯ ถวายด้วยความน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ

นายแพทย์ดนัย โอวัฒนาพานิช กล่าวภายหลังเหตุการณ์แห่งความปลาบปลื้มผ่านไปว่า “ผมพยายามใช้เวลาที่จำกัด และช่วงที่ทุกคนเปล่งเสียงทรงพระเจริญ ผมพยายามทำสมาธิช่วงที่ทุกคนกำลังใช้เสียงและประกอบกับความตื่นเต้น ผมต้องการกราบทูลในหลวงว่า ประชาชนทุกคนที่จงรักภักดี ต่างมาเพื่อให้กำลังใจพระองค์ท่าน ผมเลยกล่าวประโยคที่สั้นที่สุดว่า

“มาถวายพระกำลังใจพระองค์ และหวังว่าด้วยอำนาจของพุทธานุภาพของพระพุทธคุณให้บ้านเมืองเราสงบสุข”

ปรากฏว่า พระองค์ทรงประทับยืนนิ่งแล้วหลับพระเนตรลงอึดใจ เป็นวินาทีที่ทรงพลังมาก แล้วทรงเปล่งพระสุรสิงหนาทอันมีพลังที่ประหลาดใจทำให้เสียงของพระองค์วิ่งเข้าสู่ใจของกระผม

ท่านมีพระราชดำรัส ที่เรียบง่าย ทรงพลัง และ สั้น ได้ใจความที่สุด และทรงธรรมที่สุดว่า

“บ้านเมืองเราจะสงบสุขได้ ไม่ใช่เรื่องของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องของเราคนเดียวแต่เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องช่วยกันนะ บ้านเมืองจะสงบสุข”

"นพ.ดนัย" เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงแย้มพระสรวลและตรัสกับนายแพทย์ดนัย โอวัฒนาพานิช

ก่อนที่พระองค์จะแย้มพระโอษฐ์ยิ้มพิมใจที่สุดและมีคนสอบถามผมเรื่องความตื่นเต้นของผมก็ต้องบอกว่า 

“การได้ถวายของมหามงคลที่เราสร้างเอง และ การถวายกำลังใจในหลวง ถือเป็นเกียรติประวัติและเป็นวาสนาในชีวิตของตนเองและตระกูล และ รอยยิ้มของพระโอษฐ์ ทำให้ผมหัวใจพองโตที่สุด ปีติใจที่สุด ขอเป็นข้ารองพระบาททุกชาติไปครับบ้านเมืองที่สงบสุขคือความสุขของในหลวงคือความสุขของพระราชาและผมขอกระจายความสุขนี้แด่ประชาชนชาวไทยทุกคนครับ”

นอกจากนี้นายแพทย์ดนัย ยังกล่าวอีกว่า หลังจากช่วงเวลามหามงคลของชีวิตผ่านไป ตนได้มีโอกาสดูภาพถ่ายในช่วงเวลาขณะนั้น ซึ่งมีคุณปารภัทร โศภารักษ์ เป็นผู้บันทึกภาพนาทีประวัติศาสตร์นี้เอาไว้ ถือว่า เป็นสุดยอดภาพถ่ายมาก คือองค์ประกอบครบถ้วน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

"นพ.ดนัย" เข้าเฝ้าในหลวง ร.10 ทูลเกล้าถวายพระพุทธรูปสำคัญ เชื่อพุทธานุภาพช่วยบ้านเมืองสงบได้

ห้วงเวลามหามงคลแห่งชีวิตของเหล่าพสกนิกรผู้จงรักภักดีที่ได้เข้าเฝ้าฯ

และรอยยิ้มแย้มพระโอษฐ์ ถือเป็นนิมิตรหมายดี เป็นมหามงคลของแผ่นดิน 

“ผมจึงขออำนาจของคุณพระรัตนตรัยและพระสยามเทวาธิราชและอดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าทุกพระองค์ โปรดอำนวยถวายพระพรชัยมงคลให้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เป็นพระร่มโพธิ์ร่มไทร เป็นศูนย์รวมจิตใจของปวงชนชาวไทยตราบนานเท่านาน

และจะเป็นภาพแห่งความทรงจำของข้าพระพุทธเจ้าตลอดไป”นายแพทย์ดนัย โอวัฒนาพานิช กล่าวทิ้งท้าย

อว.ประกาศความพร้อมจัด “มหกรรมวิทย์ฯ 63” รูปแบบใหม่ ชู Hybrid event ผสาน On Ground และ Online #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/448296

อว.ประกาศความพร้อมจัด”มหกรรมวิทย์ฯ 63″ รูปแบบใหม่ ชู Hybrid event ผสาน On Ground และ Online

อว.ประกาศความพร้อมจัด"มหกรรมวิทย์ฯ 63" รูปแบบใหม่ ชู Hybrid event ผสาน On Ground และ Online

6 พฤศจิกายน 2563 – 17:50 น.

อว.ประกาศความพร้อมจัด”มหกรรมวิทย์ฯ 63″ รูปแบบใหม่ ชู Hybrid event ผสาน On Ground และ Online ชวนสัมผัสประสบการณ์เรียนรู้วิทย์วิถีใหม่ ผ่านนิทรรศการเสมือน 3 มิติ ใน 2 ช่องทาง

กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ประกาศความพร้อมจัดงานไฮบริดอีเว้นท์ “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ 2563” ภายใต้แนวคิด “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วยวิทยาศาสตร์ เสริมสร้างชาติด้วยเทคโนโลยี สู่วิถีแห่งนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน”ผนึกพันธมิตร 88 หน่วยงาน จาก 11 ประเทศ ร่วมโชว์ผลงานและศักยภาพทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ทันสมัย พร้อมชวนเยาวชนเปิดประสบการณ์เรียนรู้วิทย์วิถีใหม่ผ่านนิทรรศการเสมือน 3 มิติ ได้ 2 ช่องทาง คือเข้าชมงานในสถานที่จริง (on ground) ที่จะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 13-23 พฤศจิกายน 63 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2  อิมแพ็ค เมืองทองธานี และรับชมแบบออนไลน์ ผ่านwww.thailandnstfair.comตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 63 เป็นต้นไป
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เผยว่านับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมากระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม(อว.)โดย องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) ได้จัดงาน “มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ” ซึ่งเป็นกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีในช่วงเดือนสิงหาคม เพื่อเฉลิมฉลองในโอกาสวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18 สิงหาคมของทุกปี แต่ในปีนี้เนื่องจากสถานการณ์ไวรัสโควิค-19 ที่อยู่ในช่วงการเฝ้าระวังและป้องกันการแพร่ระบาด จึงได้เลื่อนการจัดงานไปเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายน ระหว่างวันที่ 13-23 พฤศจิกายน 2563 ที่อิมแพ็ค เมืองทองธานี พร้อมจัดขึ้นในรูปแบบไฮบริดอีเว้นท์ ที่ผสมผสานระหว่างการเข้าชมงานในฮอลล์ หรือเลือกรับชมจากที่บ้านก็ได้ ตอบโจทย์การใช้ชีวิตวิถีใหม่ โดยงานมหกรรมวิทย์ฯ ในปีนี้ ได้สร้างพื้นที่แห่งการเรียนรู้เชิงสร้างสรรค์ผ่านกิจกรรมต่างๆ เพื่อให้เยาวชนได้มีบทบาทภายในงานมากขึ้น มีส่วนร่วมและมีการแสดงออกมากขึ้น เช่น การแสดงละครวิทยาศาสตร์ กิจกรรมการสื่อสารวิทยาศาสตร์ รวมถึงให้ความสำคัญกับความเท่าเทียมในการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านกิจกรรมแบบออนไลน์ และการจัดนิทรรศการทั้งในและต่างประเทศ โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจาก 88 หน่วยงาน 11 ประเทศ เพื่อสร้างความตระหนักและแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ นำไปสู่การต่อยอดความคิดสู่การเป็นนวัตกรรุ่นใหม่ของประเทศในอนาคต ตลอดจนโชว์ศักยภาพผลงานวิจัยและนวัตกรรมที่นำไปใช้ได้จริง ตามกรอบนโยบายของ อว.    

อว.ประกาศความพร้อมจัด"มหกรรมวิทย์ฯ 63" รูปแบบใหม่ ชู Hybrid event ผสาน On Ground และ Online

 ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนก กล่าวย้ำว่า “งานมหกรรมวิทย์ฯ จะแสดงให้ทุกคนเห็นว่า ชาติที่จะเจริญจะขาดวิทยาศาสตร์ไม่ได้  ดั่งเช่นที่พระมหากษัตริย์ไทยหลายพระองค์ทรงให้ความสำคัญกับการพัฒนาวิทยาศาสตร์มาโดยตลอด และทรงนำความรู้ด้านวิทยาศาสตร์มาใช้ในการพัฒนาประเทศ อาทิ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช, พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว “พระราชบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย”, พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร “พระบิดาแห่งเทคโนโลยีของไทย” และ “พระบิดาแห่งนวัตกรรมไทย”, พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดจนพระบรมวงศานุวงศ์หลายพระองค์ที่ทรงมีคุณูปการต่องานด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และการศึกษาของประเทศไทย  ซึ่งในส่วนนี้จะนำมาจัดแสดงภายในโซนนิทรรศการเทิดพระเกียรติ (Royal Pavillion) ทั้งหมดนี้ งานมหกรรมวิทย์ฯ จะแสดงให้เห็นว่า การพัฒนาประเทศจะขาดวิทยาศาสตร์ไม่ได้  ประเทศที่เจริญต้องตระหนักและให้ความสำคัญกับวิทยาศาสตร์ การลงทุน การวิจัยและการพัฒนา, ประเทศยิ่งจนต้องยิ่งวิจัย  ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือคำกล่าวของอดีตนายกรัฐมนตรีอินเดีย ชวาหะร์ลาล เนห์รู ว่า “เพราะอินเดียจน อินเดียจึงต้องวิจัย อินเดียสละงบประมาณมาสร้างคนและทำวิจัย จนบัดนี้กลายเป็นประเทศมหาอำนาจทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมหนึ่งในสิบของโลก” 

                  

อว.ประกาศความพร้อมจัด"มหกรรมวิทย์ฯ 63" รูปแบบใหม่ ชู Hybrid event ผสาน On Ground และ Online


  สำหรับไฮไลท์ของงานปีนี้ ทาง อว. ได้คัดเลือกนิทรรศการหลักที่มีเนื้อหาอยู่ในกระแสความสนใจของประชาชน มีความเป็นสากล และมุ่งเน้นการนำความรู้ที่ได้ไปปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้ มาจัดแสดงในรูปแบบออนไลน์ (Virtual Science Fair) เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าชมงานให้แก่เยาวชนและผู้สนใจทั่วประเทศ อาทิ นิทรรศการเทิดพระเกียรติ I Royal Pavillion, นิทรรศการเจาะนวัตกรรมเกม I Tech behind Games เรียนรู้นวัตกรรมในการพัฒนาเกมจนกลายมาเป็นกีฬาออนไลน์, ตื่นตาตื่นใจกับการจำลองชีวิตบนดาวอังคาร! ในนิทรรศการหนึ่งวัน… (บนดาว)อังคาร | A Day on Mars, มาเรียนรู้ สู้มหันตภัยจิ๋วในนิทรรศการมหันตภัยจิ๋ว | Micro Monster,  เรียนรู้และสร้างสรรค์เพื่อความยั่งยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและรับผิดชอบต่อสังคม ในนิทรรศการอนาคตออกแบบได้ I Sustainable Design 

อว.ประกาศความพร้อมจัด"มหกรรมวิทย์ฯ 63" รูปแบบใหม่ ชู Hybrid event ผสาน On Ground และ Online

 ด้าน ผศ.ดร.รวิน ระวิวงศ์ ผู้อำนวยการองค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) กล่าวเพิ่มเติมว่า งานมหกรรมวิทย์ฯ ปีนี้ นับเป็นมิติใหม่ของจัดกิจกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งปีของประเทศ ในรูปแบบไฮบริดอีเว้นท์ ไม่เพียงลดช่องว่างการเข้าถึงงานจากผู้เข้าชมงานที่อยู่พื้นที่ห่างไกลหรือผู้ที่ไม่สะดวกเดินทางมา  แต่ยังเป็นการเพิ่มโอกาสการเรียนรู้และเสนอช่องทางเลือกให้ผู้เข้าชมงาน สามารถเพลิดเพลินไปกับกิจกรรมและเปิดมุมมองการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ผ่านช่องทางใหม่นี้  โดยมี 2 ช่องทางในการเข้าชมงาน ช่องทางแรกคือเข้าชมงานในสถานที่จริง (On ground platform) ที่จะจัดขึ้น ระหว่างวันที่ 13-23 พฤศจิกายน 63 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2  อิมแพ็ค เมืองทองธานี เปิดให้เข้าชมงานฟรี! ตั้งแต่เวลา 09.00-19.00 น. โดยมีมาตรการจำกัดผู้เข้าชมงาน และมาตรการเฝ้าระวังการแพร่ระบาดของโควิด-19  พร้อมเปิดให้ลงทะเบียนจองสิทธิ์เข้าชมงานล่วงหน้าผ่านทางเว็บไซต์งาน และช่องทางที่สองคือเข้าชม 6 นิทรรศการเสมือน 3 มิติ พร้อมกิจกรรมออนไลน์ ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 63 เป็นต้นไป ผ่านช่องทางออนไลน์ (Online Platform) ที่เว็บไซต์งาน http://www.thailandnstfair.com และสามารถรับชมกิจกรรมและนิทรรศการต่างๆ ที่จัดขึ้น การเยี่ยมชมงานของพรีเซนเตอร์และเหล่าคนดังที่มาเยี่ยมชมงานที่ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ผ่านการถ่ายทอดสดในมุมมอง 360 องศา ทางเฟสบุ๊กของงาน NSTFair Thailand http://www.facebook.com/nstfairTH  รวมทั้งร่วมสนุกกับกิจกรรมแจกของรางวัล Limited Edition ตลอดการจัดงานทุกวัน 
  ในด้านความพร้อมของการจัดงาน ผศ.ดร.รวินฯ เผยว่า ด้วยประสบการณ์ตลอด 14 ปีของการจัดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์ฯ การปรับการเที่ยวชมพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ของ อพวช.เป็นรูปแบบออนไลน์ Virtual Museum และการบริหารการเข้าชมงานทั้ง 4 พิพิธภัณฑ์แบบ New Normal ของ อพวช. หลังปลดล็อคดาวน์ เราได้เตรียมความพร้อมในการรองรับผู้เข้าชมในแต่ละวัน มีการประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อความสมบูรณ์พร้อมในทุกด้าน ทั้งด้านสถานที่ ระบบสาธารณูปโภค มาตรการป้องกันโควิด-19 ระบบการจราจร การบริการรถรับ-ส่งภายในงาน การปฐมพยาบาล การรักษาความปลอดภัย การบริการต้อนรับ ร้านค้า ร้านอาหาร พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ที่มีประสบการณ์ในการดูแลต้อนรับและอำนวยความสะดวกผู้เข้าชมงาน

  ศาสตราจารย์พิเศษ ดร. เอนกฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า วิกฤตโควิด-19 ที่เกิดขึ้น ไม่ใช่อุปสรรคของการจัดงานมหกรรมวิทย์ฯ แต่เป็นโอกาสที่จะทำให้คนไทยได้มีโอกาสเรียนรู้วิทยาศาสตร์อย่างทั่วถึง เท่าเทียมกันผ่านช่องทางออนไลน์ ซึ่งสนุกไม่น้อยกว่าการมาชมงานที่สถานที่จริง พร้อมขอเชิญชวนพ่อแม่ครูอาจารย์ เยาวชนและประชาชนทุกท่านเข้าชมงานมหกรรมวิทย์ฯ ในปีนี้ พร้อมกล่าวขอบคุณหน่วยงานร่วมจัด ที่มาร่วมกันสร้างสรรค์นิทรรศการและกิจกรรม และสร้างโอกาสครั้งสำคัญกับการเรียนรู้ ด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม เสริมสร้างแรงบันดาลใจให้แก่เยาวชนไทย ให้คิดอย่างสร้างสรรค์ มีเหตุมีผล มองรอบด้าน โดยใช้วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมเป็นพื้นฐาน 
     สำหรับโรงเรียนที่ต้องการเข้าชมงานเป็นหมู่คณะ ติดต่อจองเข้าชมงานได้ที่เว็บไซต์งาน หรือ ติดต่อ อพวช. โทร 02 577 9960 ติดตามข้อมูลข่าวสารและรายละเอียดงาน ได้ที่ http://www.thailandnstfair.com หรือ  Facebook งาน NSTFair Thailand http://www.facebook.com/nstfairTH  หรือสอบถามข้อมูลที่ อพวช. โทร. 0 2577 9960

ตามรอย…หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/447402

ตามรอย…หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ

ตามรอย...หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ

31 ตุลาคม 2563 – 00:00 น.

ตามรอย…หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ คอลัมน์… ตามรอยตำนานแผ่นดิน โดย… เอก อัคคี FB : Akeakkee Ake

    
หากเอ่ยนามของ พระครูสุขุมธรรมธาดา หรือ หลวงพ่อรวย อคคฺสาโร เจ้าอาวาสแห่งวัดมาบตาพุด แล้ว ย่อมเป็นที่ประจักษ์ว่า ท่านคือพระผู้ซึ่งปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเป็นพระนักพัฒนา อีกทั้งยังเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของพุทธศาสนิกชนชาวมาบตาพุด จังหวัดระยอง และเป็นที่เคารพของประชาชนโดยทั่วไป ซึ่งเส้นทางชีวิตของท่านนั้นน่าสนใจยิ่ง

ตามรอย...หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ

พระครูสุขุมธรรมธาดา หรือ หลวงพ่อรวย อคคฺสาโร

หลวงพ่อรวย ท่านเกิดเมื่อวันเสาร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ ปีพุทธศักราช 2477 ปีระกา ณ บ้านทุ่งโตนด ตำบลเนินพระ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง มีจำนวนพี่น้องรวมกันทั้งสิ้น 9 คน หลวงพ่อท่านเป็นชาวระยองตั้งแต่กำเนิด ในวัยฉกรรจ์ท่านได้มีโอกาสเข้ารับราชการทหาร ตามหน้าที่ของลูกผู้ชายไทย หลังปลดประจำการเป็นที่เรียบร้อย ประกอบกับเป็นช่วงอายุครบบวชท่านจึงได้ตัดสินใจเข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ ในวันที่ 8 มิถุนายน ปีพุทธศักราช 2501 ณ พัทธสีมาวัดเนินพระ ตำบลเนินพระ อำเภอเมือง จังหวัดระยอง โดยมีพระครูวิจารณ์ธรรมกิติ หรือหลวงปู่หิน วัดหนองสนม เป็นพระอุปัชฌาย์ มีพระปลัดกิมหลง วัดโขดทิมธาราม เป็นพระกรรมวาจาจารย์ และพระสมุห์ฉอ้อน วัดเนินพระ เป็นพระอนุสาวนาจารย์     

ตามรอย...หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ

พระครูสุขุมธรรมธาดา หรือ หลวงพ่อรวย อคคฺสาโร

เดิมทีหลวงพ่อท่านมีความปรารถนาที่จะขออุปสมบทเป็นเวลาเพียง 2 พรรษา แต่คงเป็นด้วยเพราะบุญญาบารมี และจะได้เป็นหน่อเนื้อแห่งพุทธองค์ผสมกับมหากุศลในเคยสร้างไว้ในครั้นอดีตกาล จึงทำให้หลวงพ่อท่านบังเกิดความซาบซึ่งในรสแห่งพระธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันเป็นเหตุให้ท่านครองสมณเพศ และเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางจิตใจของชาวบ้านอยู่เรื่อย ๆ มาจวบจนถึงปัจจุบัน ในกาลแรกท่านได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเนินพระ ต่อมาได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดมาบตาพุด ปีพุทธศักราช 2504 และได้รับการแต่งตั้งเป็นเจ้าอาวาส ในปีพุทธศักราช 2507 เป็นต้นมา     

หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุดท่านนี้ เป็นศิษย์สายตรงของพระครูวิจารณ์ธรรมกิติ หรือที่สาธุชนรู้จักกันในนาม หลวงปู่หิน วัดหนองสนม ยอดพระเกจิ คณาจารย์ผู้เรืองเวทย์แห่งจังหวัดระยอง ซึ่งกิตติศัพท์คำร่ำลือด้านพระเวทย์นี้ เรียกได้ว่าเข้มขลังเป็นยิ่งนัก     

โดยเฉพาะด้านคงกระพันชาตรีถึงขนาดที่ว่าหากใครมีวัตถุมงคลของหลวงปู่หินไว้ติดตัวเชื่อกันว่า “ไม่มีวันเสียเลือดเสียเนื้อให้ใครแม้แต่แมลงวันก็ไม่มีโอกาสได้ตอมเลือด” ด้วยเพราะท่านได้รับการถ่ายทอดวิทยาคมมาจากหลวงปู่สังข์เฒ่า วัดเก๋งจีน ปรมาจารย์ผู้เรืองเวทย์แห่งจังหวัดระยอง และเป็นปู่แท้ๆ ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เทพเจ้าแห่งภาคตะวันออก อีกที     

ตามรอย...หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ

พระครูสุขุมธรรมธาดา หรือ หลวงพ่อรวย อคคฺสาโร

สำหรับทำเนียบวัตถุมงคลของหลวงพ่อรวยที่น่าสนใจและน่าเสาะแสวงหามาพกพาบูชาติดตัว ประกอบด้วย
รุ่น 1 เหรียญเสมา สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2559 หลวงพ่อสิริมายุครบ 82 ปี ซึ่งรุ่นนี้เป็นรุ่นที่หลวงพ่อดูแลในเรื่องการจัดสร้างและรูปแบบของเหรียญ รวมถึงการลงมือตอกโค้ดด้วยตัวของท่านเอง ถือได้ว่าเป็นรุ่นแรกของวัดมาบตาพุด 

รุ่น 2 เหรียญเจริญพร สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2560 ทรงเหรียญรูปไข่เจริญพรบนเต็มองค์ 

รุ่น 3 เหรียญเสมาพิมพ์หัวเสือ สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2561 รุ่นนี้ตรงกับอายุครบ 8 รอบของหลวงพ่อ อายุ 84 ปี     

รุ่น 4 เหรียญมังกรคู่เจ้าสัวรวยพันล้าน สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2562 เป็นเหรียญที่มีใบหน้าคล้ายคลึงกับหลวงพ่อมากที่สุด โดยมีมังกรคู่ขนาบข้าง พึ่งพาบุญบารมีของหลวงพ่อ     

รุ่น 5 เหรียญรวยพันล้าน สร้างเมื่อปีพุทธศักราช 2563 พิมพ์นั่งพาน จัดสร้างในวาระพิธียกช่อฟ้าอุโบสถหลังใหม่ รุ่นนี้จะเรียกได้เป็นปฐมบทรุ่นเปิดโบสถ์หลังใหม่ ปลุกเสกในอุโบสถหลังใหม่ เป็นรุ่นที่ชาวบ้านมาบตาพุดกล่าวขานกันมากที่สุด ถึงเรื่องของความสวยงาม และความลงตัวของเหรียญรุ่นนี้ และเป็นที่ต้องการของนักสะสม จึงทำให้เหรียญรุ่นนี้มีราคาค่อนข้างสูง     

ตามรอย...หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ

บรรดานักธุรกิจเจ้าของกิจการรถบรรทุกในภาคตะวันออกล้วนให้ความเคารพศรัทธา
ต้องนำรถมาให้ท่านเจิมเพราะเชื่อมั่นว่าแคล้วคลาด

ส่วนประสบการณ์เกี่ยวกับวัตถุมงคล และความศรัทธาเลื่อมใส ในตัวของหลวงพ่อรวยนั้นมีมากมายหลากหลาย แต่ที่พอจะนำมาบอกเล่าเป็นตัวอย่าง อาทิ  เรื่องเล่าจาก “น้าศรี หญิงไทยที่อาศัยอยู่ที่อเมริกา” น้าศรีประกอบกิจการค้าขายอยู่ที่นั้น น้าศรีมีวันนี้ได้เพราะบารมีหลวงพ่อรวย ก่อนหน้าน้าศรีไปอยู่ที่อเมริกา จะมีเพียงรูปถ่ายของหลวงพ่อรวย แล้วได้นำรูปถ่ายของหลวงพ่อไปเข้ากรอบเลี่ยมทอง ในทุก ๆ ตอนเช้า น้าศรีจะสวดมนต์ภาวนาขอให้หลวงพ่อช่วยให้ทำกิจการค้าขายร่ำรวย และน้าศรีได้สมตามความปรารถนาจากการภาวนาและขอพรหลวงพ่อ จนปัจจุบันทำให้มีฐานะร่ำรวย จึงทำให้เกิดความเลื่อมใสในบารมีของหลวงพ่อ     

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจคือ เรื่องเล่าจาก “คุณ Nookke Anu” ผู้ศรัทธาในบารมีของหลวงพ่อรวย และเป็นแอดมินเพจ “กลุ่มศรัทธาบารมี หลวงพ่อรวย วัดมาบตาพุด จ.ระยอง” ผู้มีอาชีพค้าขายรถมอเตอร์ไซค์มือสองในมาบตาพุด ได้ฟังเรื่องเล่าจาก “น้าศรี หญิงไทยที่อาศัยอยู่ที่อเมริกา” เกี่ยวกับบารมีหลวงพ่อรวย จึงลองไปทำตามบ้าง แล้วก็เป็นได้เกิดปาฏิหาริย์จริง ทำให้กิจการเจริญรุ่งเรือง จึงเกิดความเลื่อมใสศรัทธาในบารมีหลวงพ่อรวยเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้     

นอกจากนี้ยังมีเรื่องเล่าจาก แฟนเพจ “กลุ่มศรัทธาบารมี หลวงพ่อรวย วัดมาบตาพุด จ.ระยอง” คุณแมลงปอ พระใหม่ ได้เล่าว่า รถผมชนเมื่อต้นปีวันที่ 11 มกราคม 2563 จากสภาพรถที่ลากมาที่อู่ เจ้าของอู่ได้ถามคนขับตายไหม ผมเลยบอกว่าผมขับเองครับ เจ้าของอู่ถามมีอะไรดี ผมเลยบอกว่าในกระเป๋ามีหลวงพ่อรวยรุ่นเจริญพรคับ ถ้าไม่เชื่อก็มาตรวจสอบได้ครับ รถผมซ่อมหมดไปแสนกว่าบาทครับ     

ตามรอย...หลวงพ่อรวย แห่งวัดมาบตาพุด จ.ระยอง อัญมณีแห่งดินแดนบูรพาทิศ

บรรดานักธุรกิจเจ้าของกิจการรถบรรทุกในภาคตะวันออกล้วนให้ความเคารพศรัทธา

ต้องนำรถมาให้ท่านเจิมเพราะเชื่อมั่นว่าแคล้วคลาด

รวมไปถึงเรื่องเล่าจาก คุณ Nattawat Tor เกี่ยวกับบารมีของหลวงพ่อรวย เรื่องโชคลาภ ด้วยบารมีของหลวงพ่อรวยว่า ทำให้เขาถูกหวยสองงวดติดกัน โดยเขาได้บูชาเหรียญเสมาพิมพ์หัวเสือ  ขณะเดียวกันชาวบ้านมาบตาพุดก็เล่าขานกันเกี่ยวกับศรัทธาเลื่อมใสในบุญบารมีหลวงพ่อรวยว่า ใครผ่านไปผ่านมาวัดมาบตาพุดก็จะได้เห็นภาพที่หลวงพ่อเจิมรถอยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ส่วนบุคคล หรือรถบรรทุกเล็กใหญ่ของโรงงานอุตสาหกรรมมาบตาพุดที่ได้นำมาให้หลวงพ่อท่านเจิม ในส่วนของห้างร้านบริษัทก็จะนิมนต์หลวงพ่อไปเจิมเช่นกัน เพื่อให้กิจการเจริญรุ่งเรือง ค้าขายร่ำรวย     

เรียกว่า ท่านคือ อัญมณีแห่งพระพุทธศาสนาของบูรพาทิศที่ควรหาโอกาสไปกราบสักการะขอพรเพื่อความเป็นสิริมงคลกับชีวิตและครอบครัวอย่างแท้จริง

“มิว สเปซ” เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอวกาศ คาดมูลค่าหลังระดมทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ #SootinClaimon.Com

#SootinClaimon.Com : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/447561

“มิว สเปซ” เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอวกาศ คาดมูลค่าหลังระดมทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 

"มิว สเปซ" เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอวกาศ คาดมูลค่าหลังระดมทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 

30 ตุลาคม 2563 – 11:47 น.

“มิว สเปซ” เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอวกาศ คาดมูลค่าหลังระดมทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 

บริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด บริษัทผู้ให้บริการด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศ นำโดย คุณเจมส์ วรายุทธ เย็นบำรุง วิศวกรด้านการบินและอวกาศ อยู่ในช่วงของการระดมทุน 25 ล้านดอลลาร์ในซีรีส์ B โดยมูลค่าบริษัทก่อนการระดมทุนอยู่ที่ 75 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.3 พันล้านบาท)
 “มิว สเปซ” เปิดเผยในงานแถลงข่าว เรื่องการทำข้อตกลงความร่วมมือ MoU ระหว่างบริษัท มิว สเปซ และบริษัท ทีโอที ที่ผ่านมา ว่าด้วยเรื่องการวางแผนบริหารเงินทุนใหม่ เพื่อใช้ในการให้บริการอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ผ่านดาวเทียม สร้างโรงงานอัจฉริยะ(Smart Factory) และระบบการผลิตอัตโนมัติด้วยระบบปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) และระบบ ML (Machine Learning) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตชิ้นส่วนดาวเทียมและระบบการทำงานของยานพาหนะแบบอัตโนมัติ ตลอดจนเทคโนโลยีในการพัฒนา Data Center Constellation

"มิว สเปซ" เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอวกาศ คาดมูลค่าหลังระดมทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 

สำหรับเป้าหมายสูงสุดของ มิว สเปซ คือการแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและปัญหาอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกอย่างรวดเร็วโดยวางแผนที่จะสร้างอาณานิคมและโรงงานบนดวงจันทร์เพื่อเป็นแหล่งทรัพยากรแห่งใหม่
 มิว สเปซ บริษัทผู้ให้บริการด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศ นำโดย เจมส์ วรายุทธ เย็นบำรุง วิศวกรด้านการบินและอวกาศ อยู่ในช่วงของการระดมทุนในซีรีส์ B ประมาณตัวเลขอยู่ที่ 25 ล้านดอลลาร์ โดยมูลค่าของบริษัทก่อนการระดมทุนอยู่ที่ 75 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 2.3 พันล้านบาท) จากการอ้างอิงของกลุ่มนักลงทุนคาดการณ์ว่าการระดมทุนครั้งใหม่นี้จะเพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท มิว สเปซ ถึง 100 ล้านดอลลาร์ 

          

"มิว สเปซ" เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอวกาศ คาดมูลค่าหลังระดมทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 


 เงินระดมทุนในซีรีย์ B จำนวน 25 ล้านดอลลาร์ จะถูกนำมาใช้ในการพัฒนาเทคโนโลยีดาวเทียมที่สามารถรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลที่มากขึ้น รวมถึงการขยายพื้นที่จุดรับส่งสัญญาณตามความต้องการของผู้ใช้งาน (High Throughput Satellite: HTS) โดยวิศวกร จาก มิว สเปซ จะเป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนของดาวเทียม และดาวเทียมดังกล่าวจะนำมาใช้ประโยชน์ด้านการให้บริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ในไทย รวมถึงภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก นอกจากนี้ทางมิว สเปซยังมีแผนในการเร่งสร้างโรงงานอัจฉริยะขนาดกลาง เพื่อเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยีที่สำคัญเพื่อการให้บริการในอนาคต ทั้งเทคโนโลยีดาวเทียม ระบบอัติโนมัติ และระบบหุ่นยนต์ โดยในการพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวนั้น ทาง มิว สเปซ คาดว่าจะสามารถเพิ่มโอกาสในการลงทุนรวมถึงเพิ่มอัตราการจ้างงานแรงงานชั้นสูง อีกทั้งยังสามารถตอบสนองความต้องการในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีอวกาศที่เติบโตอย่างรวดเร็วได้ในอนาคตและ คาดว่าทาง มิว สเปซ จะสามารถสรุปจำนวนตัวเลขของการระดมทุนครั้งใหม่นี้ได้ในไตรมาสที่สี่นี้

              

"มิว สเปซ" เร่งพัฒนาอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีอวกาศ คาดมูลค่าหลังระดมทุนมากกว่า 100 ล้านดอลลาร์ 


 มิว สเปซ ได้ร่วมมือกับบริษัท ทีโอที พัฒนาและใช้ประโยชน์จากโครงสร้างพื้นฐานภาคพื้ดิน(Infrastructure) โดยระดมทุนในการสร้างระบบเกตเวย์ (Gateway System) และการให้บริการภาคพื้นดินในส่วนของพื้นที่ที่สำคัญในประเทศไทย นอกจากนี้ทาง มิว สเปซ ยังมีแผนที่จะสาธิตการใช้เทคโนโลยี 5G ในโรงงานที่อยู่ภายในพื้นที่ของโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor: EEC) โดยได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล ตลอดจนโอกาสในการสร้างอาชีพและรายได้ต่างๆ ซึ่งในปัจจุบันอุตสาหกรรมการป้องกันประเทศ รวมทั้งอุตสาหกรรมการบินและ อวกาศกำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก
 รองกรรมการผู้จัดการอาวุโสบริษัทหลักทรัพย์กสิกรไทย กล่าวในงานแถลงข่าว “การทำข้อตกลงความร่วมมือ MoU ระหว่างบริษัท มิว สเปซ แอนด์ แอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด และบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เพื่อร่วมพัฒนาและลงทุนในธุรกิจดาวเทียม”  ว่าบริการอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์และ การเชื่อมต่อไร้สายโดยตรงผ่านระบบ Mobile Backhaul ของตลาดดาวเทียมท้องถิ่นในประเทศไทยนั้น มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องถึง 1.3 พันล้านดอลลาร์ต่อปี  อีกทั้งมีความเป็นไปได้สูงที่บริษัท มิว สเปซ จะกลายเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำรายใหม่ในอุตสาหกรรมดาวเทียมและ จะเป็นผู้บุกเบิกด้านการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศของไทย มีรายงานเพิ่มเติมจากสถาบันการเงินรายใหญ่ของสหรัฐอย่าง Morgan Stanley ว่ามูลค่าของเศรษฐกิจอวกาศจะเพิ่มขึ้นเป็น 1.1 ล้านล้านดอลลาร์ทั่วโลกภายในปี 2583 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงโอกาสทางธุรกิจที่กำลังเติบโตอย่างก้าวกระโดดในอนาค
นักลงทุนรายเดิมของมิว สเปซ ได้แก่ ประสพ จิรวัฒน์วงศ์ เจ้าของบริษัท Nice Group Holding Corp Ltd. ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ผลิตเครื่องแต่งกายกีฬารายใหญ่ให้แก่แบรนด์ Nike และ Adidas กลุ่มบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ รวมถึงบริษัทกองทุนด้านเทคโนโลยี Majuven Venture Capital ตลอดจนพันธมิตรอื่นๆมีความเชื่อมั่นและ ให้ความไว้วางใจ ยืนยันการเข้าร่วมในการระดมทุนในรอบนี้ พร้อมกับนักลงทุนรายใหม่ที่ตกลงเข้ามาเพิ่มเติมเช่นกัน

 มิว สเปซ เป็นบริษัทเทคโนโลยีด้านดาวเทียมและอวกาศ ก่อตั้ง ในปี พ. ศ. 2561 บริษัท ได้สร้างประวัติศาสตร์โดยการส่ง payload ครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียไปยังอวกาศ ด้วยจรวด New Shepard ของบริษัท Blue Origin นอกจากนี้ทาง มิว สเปซ ยังมีแผนจะสร้างดาวเทียมเป็นของตนเอง รวมถึงการเป็นผู้นำการพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศในเอเชียแปซิฟิก เป้าหมายสูงสุดของทาง มิว สเปซ คือการแก้ปัญหาการขาดแคลนทรัพยากรและปัญหาอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรโลกอย่างรวดเร็วโดยการค้นหาทรัพยากรใหม่ๆ นอกโลก เพื่อสร้างอาณานิคมของมนุษย์ อีกทั้งแหล่งอุตสาหกรรมบนดวงจันทร์  และมิว สเปซ ยังมุ่งมั่นที่จะทำให้การท่องเที่ยวทางอวกาศเชิงพาณิชย์เป็นไปได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้านี้
 *สามารถรับชมคลิป Unveil technology ได้ที่: https://www.youtube.com/watch?v=BTNg7qTpOBM