ภาพรวมนาแปลงใหญ่ภายใต้การดูแลของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สร้างการต่อรองราคากับท้องตลาด #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/444782

ภาพรวมนาแปลงใหญ่ภายใต้การดูแลของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สร้างการต่อรองราคากับท้องตลาด

ภาพรวมนาแปลงใหญ่ภายใต้การดูแลของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สร้างการต่อรองราคากับท้องตลาด30 กันยายน 2563 – 11:22 น.

ภาพรวมนาแปลงใหญ่ภายใต้การดูแลของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สร้างการต่อรองราคากับท้องตลาด

ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา มีการส่งเสริมเกษตรกรนาแปลงใหญ่ โดยการสนับสนุนให้เกษตรกรผลิตข้าวคุณภาพดี ลดต้นทุนการผลิต และเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น รวมถึงเรื่องของการพัฒนาศักยภาพของชาวนาและองค์กรชาวนาให้มีความเข้มแข็ง ให้เกิดความพร้อมในการทำนาและได้ผลผลิตสูงสุด   

               ภาพรวมนาแปลงใหญ่ภายใต้การดูแลของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สร้างการต่อรองราคากับท้องตลาด
นายกฤษฎิน คำตัน ผู้อำนวยการศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา กล่าวว่า ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมาดูแลนาแปลงใหญ่  21 อำเภอ ของจังหวัดนครราชสีมาซึ่งจังหวัดนครราชสีมาทั้งหมด 32 อำเภอ แบ่งพื้นที่ให้ศูนย์วิจัยข้าวนครราชสีมารับผิดชอบ 11 อำเภอ ทั้งหมด 119 กลุ่ม เกษตรกร 5000 กว่าราย พื้นที่เฉพาะของปี พ.ศ. 5000 กว่าราย แล้วก็มีพื้นที่ทั้งหมดแสนกว่าไร่ ที่รับผิดชอบ ศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวได้เข้าไปติดตามส่งเสริมแล้วก็จัดกระบวนการต่างๆตามขบวนกานของนาแปลงใหญ่  1 การไปทำเวทีจัดเวทีชุมชนเพื่อระดมความคิดเห็นของสมาชิกว่าเขาต้องการพัฒนาด้านใดบ้าง และเราก็จะเอากระบวนการกลุ่มเข้าไป พอกระบวนการกลุ่มเข้าไปเพื่อให้กลุ่มสามารถที่จะดำเนินการได้  ไม่ว่าจะเป็นการผลิตเมล็ดพันธุ์ การผลิตข้าวคุณภาพดี การรวมกลุ่มเพื่อใช้เพื่อใช้เครื่องจักรกลการเกษตร องค์ความรู้ด้านการผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว  การเตรียมดินปลูก การดูแลรักษา การตัดถอนพันธุ์ปน การเก็บเกี่ยว การเก็บรักษา ให้ได้ซึ่งคุณภาพเมล็ดพันธุ์ดีแล้วก็จะส่งมาตรวจสอบ ตรวจสอบเสร็จแล้วก็สามารถที่จะเอาไปขยายเอาไปใช้ในพื้นที่ของชุมชนและชุมชนใกล้เคียงได้ ในส่วนของเมล็ดพันธุ์ดี

และศูนย์ก็จะมีเครื่องหยอดให้ซึ่งตรงนี้จะทำให้สามารถลดต้นทุนได้ เนื่องจากว่าแต่ก่อนเกษตรกรทำนาโดยการหว่านจะใช้เมล็ดพันธุ์ 25-30 กิโลกรัมต่อไร่ แต่พอมาใช้เครื่องหยอดของศูนย์เหลือแค่ 10-15 กิโลกรัม ก็เพียงพอแล้ว จะเห็นได้ชัดว่าเข้าสู่ระบบการเกษตรแบบแปลงใหญ่สามารถช่วงพี่น้องเกษตรกรชาวนาไทยลดต้นทุนการผลิตได้ และต่อยอดไปถึงการมีเมล็ดพันธุ์ที่ดีไว้เพาะปลุกสร้างรายได้อย่างมั่นคง

           ภาพรวมนาแปลงใหญ่ภายใต้การดูแลของศูนย์เมล็ดพันธุ์ข้าวนครราชสีมา ส่งเสริมเกษตรกรผลิตเมล็ดพันธุ์ข้าว สร้างการต่อรองราคากับท้องตลาด
โครงการเนาแปลงใหญ่เริ่มตั้งแต่ปีพ.ศ. 2559 ปัจจุบันนี้เกษตรกรที่อยู่ในการดูแลของศูนย์ ตั้งแต่ปี 59-63 ก็มีการติดตามให้ความรู้แล้วก็พัฒนาไปเป็นศูนย์ข้าวชุมชน เกษตรกรก็ตอบรับในทางที่ดีเพราะว่าสามารถต้นทุนการผลิตได้อย่างชัดเจน แล้วก็มีเจ้าหน้าที่เข้าไปดูแลเข้าไปส่งเสริมในเรื่องของการผลิตเมล็ดพันธุ์ให้ได้มาตรฐานและการผลิตข้าวให้ได้มาตรฐาน บางกลุ่มมีการแปรรูปและส่งออกไปต่างประเทศถือได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีความพร้อมในทุกด้านและกลุ่มมีความเข้มแข็งเป็นอย่างมาก

กรมการข้าว หนุน ‘นาแปลงใหญ่’ นโยบายที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืน #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

https://www.komchadluek.net/news/knowledge/444778

กรมการข้าว หนุน ‘นาแปลงใหญ่’ นโยบายที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืน

กรมการข้าว หนุน 'นาแปลงใหญ่' นโยบายที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืน30 กันยายน 2563 – 11:08 น.

กรมการข้าวหนุน ‘นาแปลงใหญ่’ นโยบายที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืน

นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวว่า การส่งเสริมทำนาแปลงใหญ่เป็นนโยบายสำคัญของรัฐบาล ที่ช่วยให้ชาวนามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ด้วยการปรับเปลี่ยนรูปแบบการผลิตจากคนเดียวสู่การรวมกลุ่มเกษตรกร เพื่อให้ชาวนาได้ร่วมกันคิด ร่วมกันทำ ผลที่ได้คือให้ต้นทุนด้านการผลิตลดลง ผลผลิตเพิ่มขึ้นรวมกันเป็น

กลุ่มเพื่อขายสินค้าที่มีคุณภาพตรงตามความต้องการของตลาด สร้างรายได้และอาชีพที่มั่นคง

กรมการข้าวมีการดำเนินการส่งเสริมการทำนาแปลงใหญ่ มาตั้งแต่ปี 2558 เป็นต้นมา ปัจจุบันมีจำนวนนาแปลงใหญ่ทั้งสิ้น 2,741 แปลง ชาวนา 220,614 ราย พื้นที่ 3,102,303 ไร่ จากการดำเนินงานช่วยชาวนาสามารถลดต้นทุนการผลิตเฉลี่ยประมาณ 470 บาทต่อไร่ หรือลดลง 14% ขณะที่ผลผลิตเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 78 กิโลกรัมต่อไร่ คิดเป็นสัดส่วนที่เพิ่มขึ้น 12% และมีรายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1,136 บาทต่อไร่

“กรมการข้าวได้คัดเลือกกลุ่มนาแปลงใหญ่ที่ประสบความสำเร็จของแต่ละจังหวัดเพื่อนำมาเป็นต้นแบบ ขยายผลสู่พี่น้องชาวนาให้เกิดความตระหนักและเปลี่ยนแปลงจากการทำนาแบบเก่ามาสู่การทำนายุค 4.0 ที่เน้นการรวมกลุ่มใช้เทคโนโลยี และนวัตกรรม เพิ่มศักยภาพการผลิตและมีตลาดรองรับที่แน่นอน อย่างเช่นกลุ่มนาแปลงใหญ่ในพิษณุโลกและอุตรดิตถ์ต้นแบบความสำเร็จ รวมผลิต รวมจำหน่าย ลดต้นทุน เพิ่มรายได้ ชาวนามีรายได้เพิ่มเฉลี่ย 1 พันบาทต่อไร่”

กรมการข้าว หนุน 'นาแปลงใหญ่' นโยบายที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืน

นางสาวนนทิชา วรรณสว่าง รองอธิบดีกรมการข้าว กล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากการส่งเสริมการทำนาในระบบแปลงใหญ่แล้ว กรมการข้าวยังมีกิจกรรมศูนย์เรียนรู้เรื่องข้าวในโรงเรียน เพื่อถ่ายทอดความรู้ด้านการปลูกข้าวสำหรับนักเรียน ครู อาจารย์ ให้เห็นความสำคัญของข้าวและชาวนา พร้อมยกย่องเชิดชูเกียรติชาวนาให้เป็นผู้ที่มีความสำคัญต่อวิถีชีวิตคนไทย ส่งผลให้เยาวชน บุตรหลานชาวนาเกิดความรัก หวงแหน และพร้อมที่จะสืบทอดอาชีพการทำนาต่อไปด้วยความภาคภูมิใจ

กรมการข้าว หนุน 'นาแปลงใหญ่' นโยบายที่ช่วยเหลือเกษตรกรแบบยั่งยืน

พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก. #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.  

พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.  29 กันยายน 2563 – 12:29 น.

พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.

เพื่อให้เด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารได้รับโอกาสในการพัฒนาและมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ ตามเป้าหมายสูงสุดอันจะช่วยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ภายใต้กรอบวัตถุประสงค์ของแผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา เจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร มหาวชิราลงกรณวรราชภักดี สิริกิจการิณีพีรยพัฒน รัฐสีมาคุณากรปิยชาติ สยามบรมราชกุมารี ที่กำหนดเป้าหมายสูงสุดของการพัฒนาว่าเด็กและเยาวชนมีโภชนาการดี สุขภาพแข็งแรง ใฝ่เรียนรู้ ซื่อสัตย์ ประหยัด และอดทน มีความรู้และทักษะทางวิชาการและการอาชีพเพื่อเป็นพื้นฐานของการดำรงชีวิต รักและหวงแหนทรัพยากรธรรมชาติ ภาคภูมิใจในวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย และมีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชนและประเทศชาติได้
สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก. เป็นหนึ่งในหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ที่ร่วมบูรณาการการทำงานร่วมกับทุกงานที่เกี่ยวข้องเพื่อสนองงานอันเนื่องมาจากพระราชดำริตามโครงการ กพด. หรือโครงการเพิ่มศักยภาพระบบงานเกษตร ภายใต้แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริ  สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำขึ้น

พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.  

ทั้งนี้ในการดำเนินงานตามโครงการเพิ่มศักยภาพระบบงานเกษตร ภายใต้แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดาร ตามพระราชดำริฯ เน้นยึดโรงเรียนเป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกลไก ระหว่างโรงเรียน ผู้ปกครอง องค์การบริหารส่วนตำบล สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน ด้วยกิจกรรมที่ประกอบด้วย หนึ่ง ระบบงานเกษตรในโรงเรียน สอง ระบบงานเมนูอาหารกลางวัน สาม งานสหกรณ์นักเรียน สี่ ระบบงานเกษตรสารสนเทศ ห้า ระบบงานครอบครัวผาสุก และ หก ระบบงานเครือข่ายชุมชนโรงเรียน 

               พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.  
ผลการดำเนินโครงการฯ จะทำให้เกิดการพัฒนาอาชีพด้านการเกษตร ลดการพึ่งพาปัจจัยภายนอก นำไปสู่การพึ่งพาตนเอง เสริมสร้างความมั่นคงด้านอาหาร ทำให้ชุมชนมีความเข้มแข็ง และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 
โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านนาชมภู ตั้งอยู่หมู่ที่ 8 ตำบลบ้านก้อง อำเภอนายูง จังหวัดอุดรธานี เป็นหนึ่งในโรงเรียนที่ ส.ป.ก โดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุดรธานี มีส่วนร่วมเข้าไปสนับสนุนการพัฒนาตามโครงการเพิ่มศักยภาพระบบงานเกษตร ภายใต้แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริฯ (กพด.) ที่วันนี้ได้เกิดผลสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้

               พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.  
ด้วยในพื้นที่ของตำบลบ้านก้องนั้น เป็นแหล่งปลูกกล้วยน้ำว้าที่สำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดอุดรธานี และได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เมื่อทรงได้รับทราบถึงความทุกข์ของราษฎรในพื้นที่ ซึ่งส่วนใหญ่ประกอบอาชีพการเกษตร โดยเฉพาะการปลูกกล้วยน้ำว้าจำหน่าย สร้างรายได้ในการยังชีพ ที่ต้องประสบกับปัญหาราคากล้วยน้ำว้าตกต่ำอย่างต่อเนื่องส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอย่างมาก พระองค์ท่านจึงทรงมีพระราชดำริให้หน่วยงานต่าง ๆ ได้เข้ามาดำเนินการช่วยเหลือ 

           พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.  
จากการทำงานแบบบูรณาการของทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการร่วมมือเพื่อแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนตามพระราชดำริ จึงได้นำมาสู่การแก้ไขปัญหาด้วยการเพิ่มมูลค่าผลผลิตโดยการนำกล้วยน้ำว้ามาแปรรูปเป็นกล้วยตาก ซึ่งเป็นทั้งการแก้ไขปัญหาทั้งด้านตลาด ที่ต้องอาศัยพ่อค้าคนกลางเข้ามารับซื้อ และให้ราคาต่ำ อีกทั้งเป็นการเพิ่มมูลค่าผลผลิตทางการเกษตร

                 พัฒนาชีวิตเด็กในถิ่นทุรกันดาร  อีกก้าวการพัฒนาตามพระราชดำริ โดย ส.ป.ก.  
กล้วยตากของบ้านก้องในวันนี้ ได้ใช้เทคโนโลยีในการผลิตที่เรียกว่า เทคโนโลยีระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบพาราโบลาโดม  อันเป็นนวัตกรรมระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์แบบเรือนกระจกใช้หลักการไหลเวียนอากาศร้อน เพื่อระบายความชื้นด้วยวิธีธรรมชาติ ซึ่งได้มีการจัดสร้างโรงอบแห้งขึ้น ในพื้นที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านนาชมภู จำนวน 5 โรงเรือน นอกจากนักเรียนจะได้เรียนรู้และผลิตกล้วยตากเพื่อใช้ในโครงการอาหารกลางวันแล้ว ยังจำหน่ายสร้างรายได้ ที่สำคัญอีกประการ ยังเป็นแหล่งเรียนรู้ของชาวบ้านในพื้นที่ และเข้ามาใช้ประโยชน์ในการผลิตกล้วยตากที่สะอาด อร่อย มีคุณภาพ ออกจำหน่ายเพื่อสร้างรายได้ โดยดำเนินการในรูปแบบของกลุ่ม ภายใต้ชื่อ กลุ่มกล้วยตากพาราโบลาโดมระบบอบแห้งพลังงานแสงอาทิตย์
 ทั้งนี้การดำเนินงานตามโครงการเพิ่มศักยภาพระบบงานเกษตร ภายใต้แผนพัฒนาเด็กและเยาวชนในถิ่นทุรกันดารตามพระราชดำริฯ (กพด.) สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดอุดรธานี ได้เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่มีส่วนร่วมช่วยสนับสนุนเพื่อต่อยอดการผลิตกล้วยตากของนักเรียนในโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านนาชมภู รวมถึงผู้ปกครองที่มีความสนใจ ที่จะยกระดับการผลิตเพื่อสร้างสินค้าคุณภาพ ที่ตรงกับความต้องการของตลาด โดยเฉพาะการผลิตที่ได้มาตรฐาน เช่น  การจัดโครงการฝึกอบรมการผลิตกล้วยตาก มาตรฐานGAP ตามนโยบายด้านการยกระดับคุณภาพมาตรฐานสินค้าเกษตรของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ รวมถึงการมีส่วนร่วมสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์ด้านปัจจัยการผลิต เช่น อุปกรณ์ระบบน้ำแบบสปริงเกอร์ในแปลงปลูกกล้วยน้ำว้าของโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านนาชมภู  นอกจากนี้ยังช่วยสนับสนุนวัสดุอุปกรณ์อื่น ๆที่จำเป็นตามความต้องการ พร้อมทั้งคอยทำหน้าที่เป็นที่ปรึกษาให้คำแนะนำอย่างต่อเนื่อง  เป็นต้น
ผลจากการมีส่วนร่วมในการสนองงานตามโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภายใต้โครงการ กพด. โดย ส.ป.ก. ได้นำมาซึ่งการพัฒนาคุณภาพผลผลิตที่ตรงกับความต้องการของตลาด อันนำไปสู่การเริ่มต้นของความอยู่ดีกินดี เกิดการพึ่งพาตนเองได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืน

ภาคีเครือข่ายกว่า 32 องค์กรผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์แสดงพลัง #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ภาคีเครือข่ายกว่า 32 องค์กรผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์แสดงพลัง

ภาคีเครือข่ายกว่า 32 องค์กรผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์แสดงพลัง29 กันยายน 2563 – 11:57 น.

ภาคีเครือข่ายกว่า 32 องค์กรผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์แสดงพลัง ปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์

เมื่อเร็วๆ นี้ ที่หอประชุมชั้น 2 สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) สมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ (มสช.) ภายใต้การสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และ กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเวทีนโยบายสาธารณะ ประกาศเจตนารมณ์ความร่วมมือเพื่อการปกป้องเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ โดยมีตัวแทนจาก 32 องค์กรร่วมแสดงพลังทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และองค์กรด้านเด็กและเยาวชน และ นายพุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ร่วมเป็นองค์ปาฐก 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ปัจจุบันภัยออนไลน์คุกคามเด็กและเยาวชนอย่างรุนแรงและกว้างขวาง กระทรวงดีอีเอสมีการออกแบบและสร้างกลไกการป้องกันภัยคุกคามทางออนไลน์ในทุกพื้นที่ เฝ้าระวังและระงับข้อมูลคอมพิวเตอร์และเว็บไซต์ที่ไม่เหมาะสม มีการจัดตั้งศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ทั้งยังมีโครงการรณรงค์การหยุดกลั่นแกล้งออนไลน์ เป็นต้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่เด็กและเยาวชนในโลกดิจิทัล โดยการจัดเวทีนโยบายสาธารณะประกาศเจตนารมณ์ในครั้งนี้ ได้แสดงให้เห็นถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของการมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วน ที่จะช่วยกันผสานแนวคิดแนวทางและการทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นเครือข่ายความร่วมมือที่มีพันธกิจร่วมกันในการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ 

ดร.ธีรารัตน์ พันทวี วงศ์ธนะเอนก นายกสมาคมวิทยุและสื่อเพื่อเด็กและเยาวชน (สสดย.) กล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันเด็กและเยาวชนจำนวนมากกำลังได้รับผลกระทบจากภัยออนไลน์ทั้งด้านร่างกาย จิตใจ สังคม และสติปัญญา ส่งผลให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมาอีกมากมาย การแก้ไขปัญหาเรื่องนี้เป็นวาระเร่งด่วนระดับชาติและจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากภาคส่วนต่างๆ ที่ต้องทำงานสอดประสานกันทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับนโยบาย ไปจนถึงระดับปฏิบัติการในพื้นที่ต่างๆ เวทีการประกาศเจตนารมณ์ครั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนของไทยจากภัยออนไลน์ เป็นครั้งแรกที่องค์กรต่างๆ ในสังคมจะมาร่วมขับเคลื่อนเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาให้ครบทุกมิติ 

ภาคีเครือข่ายกว่า 32 องค์กรผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์แสดงพลัง

ดร.นพ.ไพโรจน์ เสาน่วม ผู้ช่วยผู้จัดการสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และรักษาการผู้อำนวยการสำนักสร้างเสริมระบบสื่อและสุขภาวะทางปัญญา สสส. กล่าวว่า ระบบนิเวศสื่อนับเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาวะของคนในสังคม โดยเฉพาะเด็กและเยาวชนไทยที่ปัจจุบันพบว่าใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในโลกออนไลน์ ขณะที่ภัยออนไลน์ก็มีความหลากหลายและทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น นับเป็นความท้าทายของ สสส. และภาคีเครือข่ายที่จะมาร่วมกันขับเคลื่อนประเด็นนี้อย่างเข้มแข็ง ผลักดันให้เกิดการทำงานอย่างเป็นรูปธรรมทั้งด้านของการปกป้องคุ้มครอง ควบคู่ไปกับการส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนตระหนักและรู้เท่าทันสื่อ เป็นพลเมืองที่มีศักยภาพในการนำสื่อและเทคโนโลยีมาใช้อย่างสร้างสรรค์ ซึ่งจะนำสู่การสร้างสังคมสุขภาวะที่ดีและยั่งยืน

นางวรินรำไพ ปุณย์ธนารีย์ รองผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวว่า สื่อออนไลน์มีอิทธิพลต่อความคิดและพฤติกรรม โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กและเยาวชนที่มีความเปราะบาง องค์กรต่างๆ ในสังคมจำเป็นต้องให้ความสำคัญและมีส่วนร่วมในการปกป้องเด็กและเยาวชน ส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้ในการสร้างสื่อที่ปลอดภัย รวมถึงต้องเปิดโอกาสและส่งเสริมบทบาทของเด็กและเยาวชนให้เข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและสร้างสรรค์สื่อที่ปลอดภัยมากยิ่งขึ้น ตั้งแต่การวางแผน การดำเนินกิจกรรม การประเมินผล การเฝ้าระวัง และการติดตามสื่อ ซึ่งจะทำให้เด็กและเยาวชนเกิดการเรียนรู้ พัฒนาตัวเองและครอบครัวอย่างเท่าทัน ไม่ตกเป็นเหยื่อแห่งการถูกล่อลวงหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์จากภัยออนไลน์

นายพงศ์ธร จันทรัศมี ผู้จัดการโครงการฯ มูลนิธิสาธารณสุขแห่งชาติ กล่าวว่า ภาคีเครือข่ายจำนวน 32 องค์กรที่มาร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ในวันนี้ มาจากทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และเครือข่ายเยาวชน ทุกองค์กรมาแสดงพลังร่วมกัน นอกจากเพื่อสร้างความตระหนักถึงภัยออนไลน์ที่กำลังคุกคามเยาวชนในด้านต่างๆ โดยเฉพาะในมิติสุขภาพ ยังเป็นการประกาศเจตจำนงในการที่จะกำหนดประเด็นการปกป้องคุ้มครองเด็กและเยาวชนจากภัยออนไลน์ให้เป็นวาระสำคัญของทุกองค์กร ทั้งนี้เพื่อสร้างความร่วมมือในการแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเป็นระบบต่อไป

ภาคีเครือข่ายกว่า 32 องค์กรผนึกกำลังประกาศเจตนารมณ์แสดงพลัง

“หญ้าแฝก” กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

“หญ้าแฝก” กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย

"หญ้าแฝก" กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย 28 กันยายน 2563 – 15:46 น.

“หญ้าแฝก” กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย

ด้วยพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหา และป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน รวมถึงเพื่อการอนุรักษ์ฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ อันเป็นสิ่งจำเป็นต่อการพัฒนา และให้เกิดความยั่งยืน พระองค์จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้นำหญ้าแฝกมาใช้เพื่อการอนุรักษ์ดินและน้ำ รวมทั้งการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2534 เป็นต้นมา
 ในการนี้ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก. เป็นหนึ่งในหน่วยงานที่ได้สนองงานพระราชดำริตามแผนแม่บทการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2560-2564) ในโครงการพัฒนาและรณรงค์การพัฒนาการใช้หญ้าแฝกอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ภายใต้วัตถุประสงค์ เพื่อดำเนินงานสนองพระราชดำริด้านหญ้าแฝก เพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำ ลดปัญหาการชะล้างพังทลายของดิน และเพื่อส่งเสริม ความรู้ ให้เกษตรกรเกิดความตระหนักและเข้าใจในประโยชน์และวิธีการใช้ประโยชน์จากหญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำ และการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากใบหญ้าแฝก รวมถึงเพื่อส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกร่วมกับพืชอื่น ๆ ในแปลงเกษตรกรรม ให้เหมาะสมกับชนิดพืชและสภาพพื้นที่ เพื่อสร้างความยั่งยืนในพื้นที่แปลงเกษตรกรรม 

"หญ้าแฝก" กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย

การดำเนินงานของส.ป.ก.ได้มุ่งเน้นการรณรงค์ ส่งเสริมการปลูกหญ้าแฝกเพื่ออนุรักษ์ดินและน้ำในเขตปฏิรูปที่ดิน เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากการใช้ประโยชน์ที่ดินเพื่อการเกษตร ที่ยังขาดความรู้ ความเข้าใจ ในการทำการเกษตรที่ถูกวิธี ซึ่งต้องมีการทำการเกษตรแบบอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม 

                      "หญ้าแฝก" กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย
ส.ป.ก.ได้เน้นให้เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินให้ความสำคัญในการเรื่องของการอนุรักษ์ทรัพยากรดิน ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการประกอบอาชีพการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่การเกษตรที่มีความลาดชัน และพื้นที่เสื่อมโทรมหรือเสี่ยงต่อการชะล้างพังทลายของหน้าดิน จำเป็นต้องมีการอนุรักษ์ทรัพยากรดินโดยการใช้หญ้าแฝก 

               "หญ้าแฝก" กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย
 “แปลงเรียนรู้การใช้ประโยชน์ระบบหญ้าแฝก”  เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมสำคัญที่ ส.ป.ก.ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยเล็งเห็นว่า ในการพัฒนานั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปลูกหญ้าแฝกที่ใจคนก่อน เพื่อให้เกษตรกรเกิดความตระหนักเห็นถึงประโยชน์ของหญ้าแฝก และปลูกหญ้าแฝกร่วมกับพืชอื่นๆ ในแปลงเกษตรกรรมอย่างเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ อีกทั้งยังมีการส่งเสริมการแปรรูปผลิตภัณฑ์จากใบแฝก เพื่อสร้างอาชีพ รายได้ ให้เกิดการเกื้อกูลการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน 

                 "หญ้าแฝก" กำแพงมีชีวิต คืนชีวิต คืนความสมบูรณ์ให้ผืนดินที่นครไทย
นายบอวร พิมสารี เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดิน บ้านป่าคาย หมู่ที่ 2 ตำบลห้วยเฮี้ย อำเภอนครไทย จังหวัดพิษณุโลก เป็นหนึ่งในตัวอย่างความสำเร็จในฐานะแปลงเรียนรู้การใช้ประโยชน์ระบบหญ้าแฝก ที่ได้รับการสนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาโดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพิษณุโลก  

“พื้นที่ตรงนี้ แต่ก่อนปลูกพืชเชิงเดี่ยว คือ ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้อย่างเดียว ปลูกผักปลูกอะไรอย่างอื่นไม่ได้เลย ปัญหานั้นมาจากหลายสาเหตุ ทั้งเป็นพื้นที่ลาดชัน กักเก็บน้ำได้น้อย และดินขาดความอุดสมบูรณ์ ชีวิตลำบากมากครับ แต่พอมีโครงการฯเข้ามา มีหน่วยงานต่าง ๆเข้ามาช่วยเหลือ อย่าง ส.ป.ก. อย่างกรมพัฒนาที่ดิน ที่เข้ามาส่งเสริมให้ปลูกหญ้าแฝกตามพระราชดำริ สนับสนุนทั้งองค์ความรู้ ทั้งพันธุ์หญ้าแฝก  และอื่น ๆ”
“ไม่นานครับ เห็นผลเลย หลังจากปลูกหญ้าแฝกไม่นานสังเกตเห็นชัดเลยว่า ดินเริ่มมีความชุ่มชื้น ไม่มีการพังทลายของหน้าดินเหมือนเมื่อก่อน จากนั้นมา ผมก็ลุยปลูกหญ้าแฝกอย่างเต็มที่”นายบอวร กล่าว
เหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะหญ้าแฝกมีคุณสมบัติพิเศษที่จะหาจากพืชอื่น ๆ ไม่ได้ นั่นคือเป็นหญ้าที่มีระบบรากแผ่กว้าง สานกันแน่น หยั่งลึกลงไปในดินได้ถึง 1.5-3 เมตร จนมีการเปรียบเทียบว่า เป็นกำแพงที่มีชีวิต ทำให้สามารถเก็บกักน้ำและรักษาความชื้นในดินได้ดี และที่สำคัญอีกประการคือ ไม่ระบาดแพร่กระจายเหมือนวัชพืชอื่นๆ 
สำหรับการปลูกหญ้าแฝกของนายบอวรนั้น จะใช้วิธีการปลูกในหลายรูปแบบตามความเหมาะสมของพื้นที่บริเวณนั้น ๆ เช่น การปลูกแบบขั้นบันไดดิน เพื่อลดความลาดชันและชะล้างของหน้าดิน ด้วยการปลูกหญ้าแฝกให้เป็นแถวตามแนวคันดิน ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 5 เซนติเมตร  ปัจจุบันมีหญ้าแฝกที่ปลูกในลักษณะดังกล่าว จำนวน 18 คัน  รวมระยะทางประมาณ 2,000 เมตร 
พร้อมกันนี้ยังมีการปลูกหญ้าแฝกรอบขอบบ่อเก็บน้ำ ซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แถว แถวแรกห่างจากขอบบ่อประมาณ 50 เซนติเมตร และแถวที่ 2 จะปลูกในจุดที่เป็นทางน้ำไหลเข้าบ่อ โดยใช้ระยะระหว่างต้น 5 เซนติเมตร และสุดท้ายปลูกตามทางลงลำเลียง โดยปลูกบริเวณสองข้างของทางลำเลียงข้างละ 1 แถว ใช้ระยะห่างระหว่างต้น 5 เซนติเมตร
นายบอวร กล่าวถึงเทคนิคการจัดการดูแลหญ้าแฝกที่ปลูกว่า หลังจากปลูกแล้ว ปล่อยให้หญ้าแฝกเติบโตตามธรรมชาติ เมื่อมีความสูงประมาณ 30 เซนติเมตร ให้ทำการตัดใบหญ้าแฝกออก จะเป็นการช่วยเร่งให้เกิดการแตกกอมากขึ้น และเจริญเติบโตเร็วขึ้น ส่วนใบหญ้าแฝกที่ตัดออกมา สามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากมาย ทั้งการใช้คลุมดินคลุมโคนต้นไม้ที่ปลูก หรือนำไปทำเป็นปุ๋ยหมัก
“ต้องขอบคุณหน่วยงานต่าง ๆ ที่เข้ามาช่วยเหลือผม ทำให้ชีวิตของผมดีขึ้น วันนี้ดินผมดีขึ้น หน้าดินไม่มีการพังทลาย ทำให้ปลูกพืชหมุนเวียนชนิดอื่น ๆได้เพิ่มขึ้น  มีรายได้จากการขายผลผลิตเพิ่มกว่าเดิม จากเดิมปีหนึ่งจะมีรายได้จากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ประมาณ 100,000 บาท ตอนนี้สามารถปลูกพืชหมุนเวียนอื่น ๆ เพิ่ม ทำให้มีรายได้มากขึ้นเป็นปีละ 300,000 บาท ทำให้สามารถเลี้ยงดูครอบครัวได้อย่างมีความสุข” นายบอวร กล่าว
สำหรับการทำหน้าที่เป็นแปลงเรียนรู้การใช้ประโยชน์ระบบหญ้าแฝก เกษตรกรผู้นี้บอกว่า ยินดีต้อนรับทุกคนที่มีความสนใจและต้องการปรับปรุงสภาพพื้นที่ของตนเองด้วยการปลูกหญ้าแฝก โดยผู้ที่เดินทางมาเยี่ยมชมจะได้รับความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหญ้าแฝก การปลูก การดูแลรักษา รวมถึงการใช้ประโยชน์ต่าง ๆ  เช่น การแปรรูปผลิตภัณฑ์จากใบหญ้าแฝก เป็นต้น
ในวันนี้ แฝกที่ปลูกในตำบลห้วยเฮี้ย ไม่ได้มีประโยชน์เฉพาะการใช้เป็นพืชคลุมดินป้องกันการชะล้างพังทลายเท่านั้น แต่ยังเป็นพืชเศรษฐกิจที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับผู้สูงอายุ ที่ใช้เวลาว่างในการสานตับแฝก จำหน่ายให้กับผู้ที่ต้องนำไปใช้งานเพื่อมุงหลังคาที่พักอาศัย สามารถสร้างรายได้เสริมอย่างน่าพอใจ
แฝก กำแพงมีชีวิต ในวันนี้ ได้สร้างชีวิตใหม่ให้กับเกษตรกร ดั่งที่เกิดขึ้นกับ นายบอวร พิมสารี เกษตรกรต้นแบบในเขตปฏิรูปที่ดิน ที่สามารถมีรายได้จากการทำการเกษตรในผืนดินที่กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้งด้วยการเดินตามแนวพระราชดำริ “หญ้าแฝก” ของในหลวงรัชกาลที่ 9 พ่อหลวงของปวงชนชาวไทย 

“มีความรู้ มีความสำเร็จ” แนวคิดทำเกษตรของ “ประมวลชัย ทองใส” #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

 “มีความรู้ มีความสำเร็จ” แนวคิดทำเกษตรของ “ประมวลชัย ทองใส”

 "มีความรู้ มีความสำเร็จ" แนวคิดทำเกษตรของ "ประมวลชัย ทองใส" 28 กันยายน 2563 – 12:59 น.

 “มีความรู้ มีความสำเร็จ” แนวคิดทำเกษตรของ “ประมวลชัย ทองใส” ต้นแบบแห่งฟาร์มตัวอย่างฯ ที่คำตากล้า

เพราะพระมหากรุณาธิคุณในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวงที่ทรงพระราชทานความช่วยเหลือแก่ราษฎรในคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฎร ณ ศูนย์ศิลปาชีพดอนคำเสนานฤมิตร ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร เมื่อวันที่ 20 ธันวาคม 2548 และได้มีราษฎรในพื้นที่ยื่นคำร้องต่อสำนักราชเลขาธิการ เพื่อขอพระราชทานความช่วยเหลือ โดยเฉพาะปรับปรุงสภาพพื้นที่ และการขุดขยายแหล่งน้ำเพื่อเป็นแหล่งน้ำกินน้ำใช้ ด้วยพื้นที่แห่งนี้ เป็นพื้นที่เสื่อมโทรมที่ดินมีสภาพไม่เหมาะสม เกษตรกรสามารถปลูกพืชได้ปีละ 1 ครั้ง อาศัยน้ำฝนเป็นหลัก เมื่อหน้าแล้งจะขาดแคลนทั้งน้ำกินและน้ำใช้ 
เมื่อทรงทราบถึงความเดือดร้อนของราษฎร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ได้ทรงมีพระราชดำริให้หน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้อง ได้เร่งดำเนินการช่วยเหลือ พร้อมทั้งโปรดเกล้าให้ดำเนินการจัดตั้งโครงการฟาร์มตัวอย่างขึ้น เพื่อเป็นการช่วยเหลือราษฎรในพื้นที่นี้ 
 

วันนี้ ทุกข์ของราษฎรชาวอำเภอคำตากล้า ได้หมดไป จากผลการร่วมมือทำงานเพื่อแก้ปัญหาให้กับราษฎรตามแนวพระราชดำริ  โดยมีสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ  ส.ป.ก.เป็นหนึ่งในหน่วยงานหลักที่ได้มีส่วนร่วมดำเนินงานให้ความช่วยเหลือมาตั้งแต่พ.ศ. 2549   

                "มีความรู้ มีความสำเร็จ" แนวคิดทำเกษตรของ "ประมวลชัย ทองใส"
 ส.ป.ก. ได้ดำเนินการจัดตั้งนิคมเศรษฐกิจพอเพียง ภายใต้ “โครงการขยายผลฟาร์มตัวอย่างในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง” ขึ้น โดยน้อมนำปรัชญาขอเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร มาเป็นแนวทางสำคัญในการขับเคลื่อนให้ความช่วยเหลือเกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินของอำเภอคำตากล้า ประกอบด้วยพื้นที่ตำบลนาแต้ และตำบลคำตากล้า  เช่น การปรับพื้นที่แปลงเกษตรกรรม ขุดขยายแหล่งน้ำเพื่อให้เหมาะสมต่อการทำการเกษตร และให้การสนับสนุนกิจกรรมด้านการผลิตเพื่อลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ ควบคู่กับการพัฒนาองค์ความรู้ของเกษตรกรพร้อมทั้งสนับสนุนปัจจัยการผลิต

                   "มีความรู้ มีความสำเร็จ" แนวคิดทำเกษตรของ "ประมวลชัย ทองใส"
จากผลการดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง วันนี้ได้สร้างชีวิตใหม่ให้กับเกษตรกรในพื้นที่ ดั่งเช่น นายประมวลชัย ทองใส บ้านเลขที่ 193 บ้านหนองเม็ก หมู่ที่ 12 ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร ที่วันนี้ได้รับการพัฒนาจนสามารถยกระดับการประกอบอาชีพก้าวมาสู่ความสำเร็จในฐานะเกษตรกรต้นแบบ เจ้าของศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านหนองเม็ก ตำบลนาแต้ 

 "มีความรู้ มีความสำเร็จ" แนวคิดทำเกษตรของ "ประมวลชัย ทองใส"

                                                     ประมวลชัย ทองใส

“ก่อนนี้ลำบากมากครับ ปลูกข้าวอย่างเดียว และทำได้ปีละครั้งเท่านั้น อีกทั้งยังประสบปัญหาดินเสื่อมสภาพ ทำให้ได้ผลผลิตข้าวต่ำมากในขณะที่ต้องประสบกับปัญหาต้นทุนการผลิตสูง แต่ทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อเจ้าหน้าที่จาก ส.ป.ก.จังหวัดสกลนคร มาแนะนำและชักชวนให้เข้าร่วมโครงการขยายผลฟาร์มตัวอย่างฯ ในปี 2549 จากนั้นมาชีวิตดีขึ้นเลยครับ”

      "มีความรู้ มีความสำเร็จ" แนวคิดทำเกษตรของ "ประมวลชัย ทองใส"
“เพราะทางส.ป.ก.ช่วยเยอะมาก ตั้งแต่เข้าร่วมโครงการฯ ทั้งเข้ามาสนับสนุนองค์ความรู้ด้วยการจัดฝึกอบรม และพาไปศึกษาดูงาน โดยพิจารณาถึงความต้องการของเกษตรกรเป็นหลัก ทำให้เราได้องค์ความรู้มาพัฒนาการประกอบอาชีพ ถึงแม้ว่าวันนี้เราจะสามารถก้าวขึ้นในระดับที่พออยู่พอกินแล้ว ส.ป.ก.ก็ไม่ทิ้ง ยังคงเข้ามาติดตามสอบถาม และสนับสนุนให้การช่วยเหลือเหมือนเดิม”

                 "มีความรู้ มีความสำเร็จ" แนวคิดทำเกษตรของ "ประมวลชัย ทองใส"
บนที่ดินส.ป.ก.เนื้อที่ 14 ไร่ ของนายประมวลชัย ที่ทางส.ป.ก.ได้เข้ามาช่วยพัฒนาปรับพื้นที่แปลงเกษตรกรรม และสร้างแหล่งน้ำเพื่อการเกษตร ถูกปรับเปลี่ยนจากการทำนาเพียงอย่างเดียว มาสู่การทำเกษตรผสมผสาน ที่มีทั้งการเลี้ยงปลา และเพาะขยายพันธุ์จำหน่าย การเพาะเห็ด การปลูกพืชผักสวนครัว การปลูกไม้ผลและไม้ยืนต้น และอื่น ๆ สามารถสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรผู้นี้เป็นอย่างดี ในขณะเดียวกัน มีการลดรายจ่ายด้วยการผลิตปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ขึ้นใช้เอง ลดการใช้สารเคมีต่าง ๆในการทำการเกษตรลง ทำให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงไปได้มาก
“การทำอาชีพการเกษตรภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียงยังมีอีกสิ่งที่สำคัญ คือ การสร้างภูมิคุ้มกัน ลดความเสี่ยงในการประกอบอาชีพ นั่นคือ ต้องมีการลดต้นทุนการผลิต มีการรวมกลุ่มเพื่อสร้างอำนาจต่อรองในการจำหน่ายผลผลิต และอีกข้อที่อยากฝากถึงเพื่อนเกษตรกรทุกคนคือ ต้องแสวงหาความรู้มาพัฒนาและปรับปรุงเทคนิคการบริหารจัดการพืชผลการเกษตรของเรา อย่างผมนี่ ก็ได้องค์ความรู้มาจากเจ้าหน้าที่ ส.ป.ก.เยอะมาก จนสามารถพัฒนาการเลี้ยงปลากินพืช ประเภท ปลายี่สก ปลานิล ปลาดุก ปลาตะเพียน ปลาหมอ เพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานดำ เห็ดขอนดำ เห็นขอนขาว พืชผักสวนครัวหลังฤดูทำนา จนประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดี” นายประมวลชัยกล่าว
ความสำเร็จที่เกิดขึ้น แนวคิดของการพัฒนาจากการปฏิบัติจริงของเกษตรกรผู้นี้ ได้ถูกถ่ายทอดไปสู่เพื่อนเกษตรกรที่สนใจในฐานะแปลงเรียนรู้ต้นแบบในเขตปฏิรูปที่ดินภายใต้ชื่อ ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงบ้านหนองเม็ก ที่นี่ มีเรื่องราวต่าง ๆที่พร้อมถ่ายทอดหลายอย่าง ซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการประกอบอาชีพได้ เช่น การฝึกอบรมหลักสูตร การเพาะเห็ดนางฟ้าภูฐานดำ หลักสูตรการเลี้ยงปลาในนาข้าว หลักสูตรการผลิตปุ๋ยน้ำหมักชีวภาพ และปุ๋ยอินทรีย์ เป็นต้น 
“ทุกคนที่สนใจสามารถมาได้ทุกวันเลยครับ ณ บ้านเลขที่ 193 บ้านหนองเม็ก หมู่ที่ 12 ตำบลนาแต้ อำเภอคำตากล้า จังหวัดสกลนคร เบอร์โทร 06-1276-9142 หรือสามารถติดตามกิจกรรมในแปลงผ่านFacebook ในชื่อเพจ ประมวลชัย ทองใส ผมนั้นพร้อมที่จะถ่ายทอดความรู้ที่มีอยู่ให้กับเพื่อนเกษตรกร เพื่อไปใช้ในการประกอบอาชีพทางการเกษตรและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การใช้ประโยชน์ที่ดินของเพื่อนเกษตรกรโดยใช้พื้นที่น้อยที่สุดให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งสุดท้ายผมอยากฝากกับทุกคนว่า วันนี้เกษตรกรเราต้องมีข้อมูล มีองค์ความรู้ และมีความขยัน จึงทำให้เราสามารถก้าวไปสู่ความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางได้ ” นายประมวลชัย กล่าวในที่สุด

ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน 

ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน 26 กันยายน 2563 – 18:06 น.

ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน 

ฉะเชิงเทรา เป็น 1 ใน 5 จังหวัด ที่อยู่ในพื้นที่ดำเนินการภายใต้โครงการผืนดินพระราชทาน 5 จังหวัด ที่รับผิดชอบโดยสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม หรือ ส.ป.ก. และได้เป็นหน่วยงานหลักในการพัฒนาเกษตรกรในพื้นที่ ตั้งแต่โครงสร้างพื้นฐาน เช่น การพัฒนาเส้นทางคมนาคม การชลประทาน และที่สำคัญคือ การพัฒนาเกษตรกรตามหลัก “เศรษฐกิจพอเพียง” เพื่อสร้างโอกาส “การเข้าถึงองค์ความรู้” “การเข้าถึงระบบตลาด”และ “การเข้าถึงแหล่งทุน” โดยจากผลการดำเนินการได้นำมาซึ่งความอยู่ดีกินดี สร้างโอกาสและอนาคตให้กับเกษตรกร 
 

ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน 

นางจำเรียง  ด้วงคต ผู้เป็นแม่ และนายธวัชชัย คงปัญญา ผู้เป็นลูกชาย คือหนึ่งในครอบครัวเกษตรกรของตำบลหนามแดง อำเภอเมือง  จังหวัดฉะเชิงเทรา ที่อยู่ภายใต้โครงการฯ และได้รับการสนับสนุนพัฒนาจนสามารถสร้างความมั่นคงในอาชีพ

               ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน 
“เดิมนั้นครอบครัวผมไม่มีที่นาทำกินครับ ตายายผมต้องเช่าที่ดินเพื่อทำนา แต่วันหนึ่งทุกอย่างเปลี่ยนไป เมื่อตาและยายได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการผืนดินพระราชทาน 5 จังหวัด ในพื้นที่ 20 ไร่ ซึ่งได้กลายเป็นผืนดินที่ครอบครัวเราทำมาหากินสืบต่อกันมา จากตายาย มาสู่พ่อแม่ และผมกำลังเริ่มต้นเพื่อสืบสานสร้างประโยชน์จากผืนที่ดินพระราชทานผืนนี้ต่อไป”ธวัชชัย กล่าว

       ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน 
ผืนดินพระราชทาน จำนวน 20 ไร่ ได้ถูกนำมาใช้ทั้งเพื่อทำการเกษตร และอยู่อาศัย โดยเดิมนั้นเน้นการทำนาเป็นหลัก แต่เมื่อธวัชชัย ได้วางแผนอนาคตว่าหลังจากปลดเกษียณจากงานประจำแล้ว เขาจะกลับมาทำเกษตร มาสร้างรายได้จากผืนดินแห่งนี้ ภายใต้แนวทางเกษตรทฤษฎีใหม่ภายใต้หลักเศรษฐกิจพอเพียง

          ธวัชชัย คงปัญญา พอเพียงเพื่อยั่งยืนบนผืนดินพระราชทาน 
 “การทำงานประจำก็ต้องมีการเกษียณ แต่ว่าจะมาทำเกษตรตอนเกษียณผมว่ามันช้าไป การทำเกษตรไม่ได้ทำครั้งเดียวจะประสบความสำเร็จต้องลองผิดลองถูกและการที่ผมคิดมาทำเกษตรตรงนี้ ผมได้น้อมนำพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 เรื่องเศรษฐกิจพอเพียงมาปรับใช้ในพื้นที่ทำนาของผม จากตอนแรกก็ทำนาอย่างเดียว ก็ปลูกพืชผสมผสาน ให้มีพืชที่ว่าหลายๆอย่างในพื้นที่เดียวกัน ผมมองว่าเป็นแนวทางที่ช่วยสร้างความยั่งยืนให้เป็นอย่างดี ขอเพียงเราดำเนินชีวิตตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงเท่านั้น” 
 “พืชเสริมเหล่านี้ ผมเริ่มมาได้ประมาณ 2 ปีแล้วครับ ปรับพื้นที่บางส่วนจากเดิมที่เคยทำนามาปลูกพืชชนิดอื่นที่ตลาดต้องการ เช่น บัว และพืชผักสวนครัว อย่างข่า ตะไคร้ รวมถึงเตย โดยได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีจาก สำนักงาน ส.ป.ก.จังหวัดฉะเชิงเทรา”
 ในวันนี้ บัวที่ปลูกพื้นที่ประมาณ 1 ไร่ พืชผักสวนครัวรวมถึงต้นเตยที่ปลูกแซมในพื้นที่ว่าง เช่น คันบ่อปลูกบัว ซึ่งธวัชชัยใช้เวลาว่างในช่วงเลิกงานและวันหยุดมาจัดการดูแล ได้เริ่มให้ผลผลิต สามารถเก็บจำหน่าย สร้างรายได้เสริมให้เป็นอย่างดี
 “ทำไมถึงเลือกปลูกพืชดังกล่าว เพราะ พอดีว่า ใกล้ๆบ้านผมมีตลาด ผมจึงไปสำรวจตลาดว่า มีอะไรที่ต้องการ และพบว่า ดอกบัว ต้นเตย รวมถึงพืชผักสวนครัว เป็นสิ่งที่ตลาดต้องการมาก เลยกลับมาเริ่มปลูก เริ่มทำแบบค่อยเป็นค่อยไป เพราะเป็นพืชใหม่ที่เรายังไม่เคยทำมาก่อน”
จากการค่อยๆเรียนรู้ จากการลงมือทำจริง สร้างสมเป็นองค์ความรู้ เขาเริ่มจับทางถูกว่า พืชแต่ละชนิดต้องมีการจัดการดูแลอย่างไร จึงจะให้ผลผลิตได้ดี ทั้งการใส่ปุ๋ย การป้องกันกำจัดแมลง รวมถึงแนวทางการจัดการด้านตลาด
“อย่างเทคนิคการดูแลบัว อันดับหนึ่งเลย น้ำต้องประมาณสักครึ่งหน้าแข้งเรา สอง ดูแลพวกหนอนแล้วก็ต้องใส่ปุ๋ยให้เขา ฉีดฮอร์โมนให้เขาบ้าง เขาถึงจะดอกใหญ่” 
ส่วนต้นเตย ซึ่งเน้นปลูกพันธุ์เตยหอม ธวัชชัยบอกว่า ลักษณะการจัดการคล้ายๆกับบัว 
“คือ ปลูกครั้งเดียวจบ ถ้ายิ่งตัดเขาก็ยิ่งแตก และที่สำคัญต้องใส่ปุ๋ย ฉีดฮอร์โมนให้ต้นเตยที่ปลูกบ้าง เพื่อที่ว่าแตกหน่อเร็วและต้นสวย ศัตรูพืชก็เป็นหนอน นาน ๆที จะมีทีหนึ่งก็ต้องฉีดยาหนอน”
ที่สำคัญ ถือเป็นเทคนิคด้านการเพิ่มรายได้ที่น่าสนใจ นั่นคือ การวางแผนการผลิตให้สอดคล้องกับความต้องการของตลาดในช่วงเวลาสำคัญ
“อย่างช่วงเทศกาลต่าง ๆ ตลาดจะมีความต้องการทั้งดอกบัว และต้นเตยมาก ดังนั้นหากอยากมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ต้องวางแผนก่อน เช่น สารทจีน ตรุษจีน ดอกบัวจะขายดีมีเท่าไรก็ไม่พอ ผมจะวางแผนก่อนเข้าสู่ช่วงเทศกาลเดือนหนึ่ง จัดการให้ได้ผลผลิตที่เพิ่มมากขึ้น เช่น การใส่ปุ๋ยฉีดฮอร์โมน บำรุงต้นสร้างความสมบูรณ์ให้กับต้น เพื่อที่ ถึงเทศกาลเราจะได้ดอกบัวและต้นเตยให้ตัดได้เยอะมากขึ้น” 
“ดังนั้นผมบอกได้เลยว่า หากไม่มีโครงการผืนดินพระราชทาน 5 จังหวัด ผมคงไม่มีวันนี้ วันที่เรามีที่ดิน มีที่ทำกิน มีที่อยู่อาศัย สามารถสร้างอนาคตที่เป็นของเราได้ และยิ่งวันนี้ผมได้น้อมนำแนวทางตามพระราชดำริ ได้รับการสนับสนุนจาก ส.ป.ก. ยิ่งทำให้ชีวิตดีขึ้นกว่าแต่ก่อนเยอะเลย เพราะว่ามีรายได้เสริมจากพืชผัก จากบัวที่ปลูกเข้ามา เงินที่ได้ก็เอามาเป็นค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ซึ่งรวมรายได้จากการขายข้าวแล้ว ในแต่ละปี เมื่อหักค่าใช้จ่ายทำให้มีเงินเหลือเก็บด้วย” ธวัชชัยกล่าวในที่สุด

สมบูรณ์ นาไพรวัลย์ เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต้นแบบความสำเร็จ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

สมบูรณ์ นาไพรวัลย์ เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต้นแบบความสำเร็จ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  

สมบูรณ์ นาไพรวัลย์ เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต้นแบบความสำเร็จ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  26 กันยายน 2563 – 17:43 น.

สมบูรณ์ นาไพรวัลย์ เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต้นแบบความสำเร็จ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  

ที่บ้านเลขที่ 580/42 บ้านเขาเล็บงา หมู่ที่ 15 ตำบลหนองกลับ อำเภอหนองบัว จังหวัดนครสวรรค์ ของนายสมบูรณ์ นาไพรวัลย์ ในวันนี้ คือ ที่ตั้งของศูนย์ต้นแบบในด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดนครสวรรค์ ภายใต้โครงการนิคมเศรษฐกิจพอเพียงในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดินนิคมเศรษฐกิจพอเพียงในเขตพื้นที่ปฏิรูปที่ดิน

 นับเป็นอีกหนึ่งรูปแบบในการดำเนินงานที่มุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ที่ดินให้เกิดประโยชน์สูงสุด ภายใต้ศักยภาพของพื้นที่และเกษตรกรในพื้นที่นั้น ๆโดย ส.ป.ก. มุ่งหวังให้นิคมมีการพัฒนาที่สอดคล้องกับนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รวมถึงนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความยากจนศูนย์ต้นแบบ จะทำหน้าที่ถ่ายทอดองค์ความรู้ไปสู่เกษตรกร เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เน้นทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์ในที่ดิน เพิ่มศักยภาพการผลิตโดยการสร้างและพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ และศักยภาพของเกษตรกร ผ่านกระบวนการเรียนรู้และการมีส่วนร่วม การเชื่อมโยงตลาด อันจะส่งผลให้ เกษตรกรสามารถลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ นำไปสู่การพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

นับตั้งแต่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นศูนย์ต้นแบบ นายสมบูรณ์ ในฐานะปราชญ์เกษตรได้ดำเนินการถ่ายทอดองค์ความรู้เกี่ยวกับการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไปสู่เพื่อนเกษตรกรที่สนใจ โดยใช้องค์ความรู้จากภูมิปัญญาที่สร้างสมมาจากประสบการณ์การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมมาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถช่วยสร้างแรงจูงใจให้เพื่อนเกษตรกรได้เกิดการปรับเปลี่ยนอาชีพ มีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม เป็นรายได้หลักรวมถึงรายได้เสริมให้กับครอบครัว อีกทั้งยังมีถ่ายทอดแนวทางในการลดต้นทุนการผลิต ด้วยการพึ่งพาตนเอง เช่น การผลิตถ่านชีวภาพไบโอชาร์ขึ้นใช้เอง เพื่อเป็นวัสดุสำคัญในการปรับปรุงบำรุงดินให้คืนความอุดมสมบูรณ์ ลดการใช้ปุ๋ยเคมี ส่งผลให้สามารถลดต้นทุนการผลิตลงได้อย่างดี

                                              สมบูรณ์ นาไพรวัลย์ เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต้นแบบความสำเร็จ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  
 “ผมจบการศึกษาชั้น ป.7 ครับเดิมทำนาอย่างเดียวโดยการเช่าที่ทำนา แต่ต่อมาในปี 2540 โชคดีได้รับคัดเลือกให้มีสิทธิ์เช่าที่ดินทำกินของ ส.ป.ก.จำนวน 10 ไร่ ปรับที่ขุดบ่อน้ำ ปลูกมะม่วงขาย ช่วงแรก ๆ ก็ดีครับอยู่ได้ประมาณ 4 ปี ต้องประสบทั้งปัญหาผลผลิตล้นตลาด และปัญหาภัยแล้ง น้ำในบ่อที่มีอยู่ไม่เพียงพอ ทนไม่ไหวเลยต้องเปลี่ยนมาปลูกพืชผักสวนครัว เป็นรายได้อยู่ระยะหนึ่ง” นายสมบูรณ์กล่าว

                                              สมบูรณ์ นาไพรวัลย์ เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต้นแบบความสำเร็จ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  
 แต่ระหว่างนั้นชีวิตของเกษตรกรผู้นี้ได้พลิกเปลี่ยนอีกครั้ง เมื่อได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จึงเกิดความสนใจ เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพที่ไม่ต้องใช้สารเคมีทางการเกษตร อีกทั้งยังมีตลาดรองรับที่แน่นอน ในปี 2552 เขาจึงเริ่มต้นใหม่กับอาชีพการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วยการเข้าร่วมกับบริษัทเอกชนที่ส่งเสริมการเลี้ยงแห่งหนึ่ง

                สมบูรณ์ นาไพรวัลย์ เกษตรกรในเขตปฏิรูปที่ดินต้นแบบความสำเร็จ ปลูกหม่อนเลี้ยงไหม  
 จากการเริ่มต้นในจุดเล็ก ๆ โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อย่าง  ส.ป.ก.เข้ามาช่วยติดตามดูแลอย่างต่อเนื่อง ความสำเร็จในอาชีพการเลี้ยงหม่อนไหมของเกษตรกรผู้นี้ค่อย  ๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะในด้านรายได้ ที่เพิ่มขึ้นตามความชำนาญในการเลี้ยง โดยสูงสุดสามารถสร้างรายได้ถึง 7,000 บาทต่อการเลี้ยงไหม 1 กล่อง
 “จากแรก ๆก็เลี้ยงไหมเป็นรายได้เสริม แต่ตอนนี้เป็นรายได้หลักอีกทางแล้วครับ นอกจากการขายข้าวที่ปลูก และพืชผักต่าง ๆ และจากความสำเร็จที่เกิดขึ้น ได้มีเพื่อนเกษตรใกล้เคียงให้ความสนใจเข้ามาศึกษา มาสอบถามอย่างต่อเนื่อง และทาง ส.ป.ก. ก็เห็นว่าผมมีความรู้ความชำนาญ จึงได้จัดตั้งให้เป็นศูนย์เรียนรู้ เพื่อนเกษตรกรที่อยู่ในเขตปฏิรูปที่ดินจากจังหวัดต่าง ๆ ก็เดินทางมาเรียนรู้กันตลอดครับ นอกจากหลักเทคนิคการเลี้ยงที่ต้องรู้แล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเน้นและให้กับทุกคน คือ การยึดการดำเนินชีวิตตามแนวหลักเศรษฐกิจพอเพียงตามพระราชดำริของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้ผมมีวันนี้ได้”
นายสมบูรณ์ กล่าวถึงการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมว่า สามารถทำได้ในทุกพื้นที่ทุกภูมิภาคของประเทศไทย การที่จะประสบความสำเร็จหรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับการเอาใจใส่ดูแล เรียนรู้เทคนิคทั้งเรื่องการดูแลต้นหม่อน เทคนิคการจัดการหนอนไหม เป็นต้น
 สำหรับต้นหม่อนที่ปลูกไว้เพื่อเป็นอาหารของไหมนั้น ควรเลือกสถานที่ปลูกที่เหมาะสม คือ อยู่ในพื้นที่มีสภาพดินร่วนซุย หน้าดินลึก มีการระบายน้ำดี สำหรับพันธุ์หม่อนที่ปลูก มีให้เลือกหลากหลายพันธุ์ แต่ที่นิยมปลูกกันมาก เช่น พันธุ์สกลนคร เป็นพันธุ์ที่สามารถปลูกได้ในทุกสภาพพื้นที่ ให้ผลผลิตใบหม่อนเฉลี่ย 3,507 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปีพันธุ์บุรีรัมย์ 60 ซึ่งให้ผลผลิตใบหม่อน เฉลี่ย 4,300 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี
 “เทคนิคหนึ่งที่สำคัญในการปลูกหม่อนนั้นคือ ต้องมีการตัดแต่งกิ่งหม่อน เพื่อเป็นการเพิ่มผลผลิต และรักษาทรงพุ่มของต้นหม่อน วิธีการคือ ใช้กรรไกรหรือเลื่อยตัดแต่งให้เหลือลำต้นสูงจากพื้นที่ประมาณ 20-30 เซนติเมตร โดยในการตัดแต่งนั้นต้องระวังอย่าให้ต้นช้ำโดยเด็ดขาด หลังจากนั้นให้ทำการบำรุงต้นด้วยการใส่ปุ๋ยหมักผสมกับปุ๋ยคอก ปล่อยให้ต้นหม่อนเจริญเติบโตประมาณ 3 เดือน จะสามารถตัดใบมาเลี้ยงไหมได้ 
 ขณะที่การเลี้ยงตัวหนอนไหมนั้น ปราชญ์เกษตรแห่งศูนย์ต้นแบบในด้านการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมเน้นย้ำว่า สิ่งสำคัญคือ เรื่องของความสะอาดที่ต้องใส่ใจทุกขั้นตอน 
“เราต้องมีการเตรียมทำความสะอาดก่อนนำไหมเข้าเลี้ยง ไม่ว่าจะเป็นโรงเลี้ยงและอุปกรณ์ต่าง ๆที่ใช้ ต้องนำมาล้างและตากแดดให้แห้ง รวมถึงต้องพ่นยาฆ่าเชื้อ ส่วนไข่ไหมนั้นจะต้องซื้อจากแหล่งผลิตที่เชื่อถือได้เท่านั้น ซึ่งสายพันธุ์ไหมที่เลี้ยงขึ้นอยู่กับการตกลงกับทางบริษัทว่า ทางบริษัทจะรับซื้อไหมแบบใด”
 ด้วยในการเลี้ยงไหมนั้น ช่วงระหว่างการเป็นหนอน ไหมจะกินอาหารตลอดเวลาดังนั้น แปลงปลูกหม่อน ควรต้องอยู่ใกล้กับโรงเรือนเพื่อให้สามารถตัดมาให้ไหมกินได้สะดวก โดยวันหนึ่งจะให้ใบหม่อนเป็นอาหารประมาณ 4 มื้อ ได้แก่ช่วงเวลา 06.00 น. 13.00 น. 16.00 น. และ 20.00 น. 
“การเลี้ยงไหมนั้นต้องให้การดูแลอย่างดี อย่างในช่วงเลี้ยงไหมวัยอ่อน ก็ต้องเน้นดูแลให้หนอนแข็งแรงและสมบูรณ์ ส่วนการเลี้ยงหนอนไหมวันแก่ จะต้องมีการจัดพื้นที่เลี้ยงให้เหมาะสมกับปริมาณไหม เพราะจะเป็นช่วงที่หนอนกำลังเจริญเติบโต อาหารต้องพอ พื้นที่ต้องเหมาะสม” นายสมบูรณ์กล่าว
หลังจากเข้าวัยที่ 5 หรือหนอนมีอายุ 5-6 วัน จะเริ่มเข้าสู่ช่วงการสร้างรังไหม โดยหนอนไหมจะพ่นเส้นใยทำรังอยู่นานประมาณ 2 วัน จากนั้นจะเข้าสู่ช่วงดักแด้ อีกประมาณ 2-3 วันดักแด้จะแข็งตัวมีผิวสีน้ำตาล แสดงว่า สามารถเก็บเกี่ยวรังไหมได้ โดยจะลอกรังไหมออกจากกระด้งเลี้ยง จากนั้นจะนำรังไหมมาคัดเลือก เพื่อให้มีลักษณะที่ตรงตามเกณฑ์ที่กำหนด เช่น ไม่เป็นรังแฝด รังไม่มีลักษณะบาง รังเปื้อน รังยุบ รังที่มีลักษณะผิดปกติ เป็นต้น หากมีรังลักษณะดังกล่าวปนไป จะทำให้ถูกตัดราคารับซื้อได้
“การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไม่ใช่เรื่องยาก แม้ไม่เคยทำก็สามารถมาเรียนรู้ได้ ที่ศูนย์ฯแห่งนี้เปิดกว้างสำหรับทุกคน โดยจะใช้เวลาในการเรียนรู้เพียง 15 วันในทุกขั้นตอนการเลี้ยงการจัดการดูแล จากนั้นก็สามารถกลับไปปลูกหม่อนเลี้ยงไหมได้เลย ซึ่งหากสนใจขอเพียงให้เดินทางมา แล้วจะรู้ว่า ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมนั้นเป็นอาชีพที่น่าสนใจไม่น้อยทีเดียว” นายสมบูรณ์ กล่าวในที่สุด

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย26 กันยายน 2563 – 00:00 น.

เมื่อจอมพลถนอม กิตติขจร บัญชาให้สร้าง”พระอู่ทองออกศึก” แจกทหารจงอางศึก พกไปลุยศึกสงครามเวียตนาม คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย…  เอก อัคคี  FB: Akeakkee Ake

พระอู่ทองออกศึก รุ่นแจกทหารจงอางศึก ปี ๒๕๑๐ สร้างที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ หรือวัดพระธาตุ จ.สุพรรณบุรี อันเป็นสถานที่พบ ” พระผงสุพรรณ ” ซึ่งเป็นหนึ่งในห้าของพระชุดเบญจภาคี ที่เล่นหากันองค์เป็นแสน และบางองค์ราคาเป็นล้าน

อ่านข่าว…  เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

จอมพลถนอม กิตติขจร


 เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๐ ประเทศไทยได้จัดส่งกองกำลังทหาร ” รุ่นจงอางศึก “ เข้าร่วมรบกับกองกำลังสหรัฐ ในสงครามเวียดนามเพื่อรบกับกองกำลังทหารเวียตนามเหนือที่รุกลงใต้ และในการนี้เอง หลวงปู่โพธิ์ เจ้าอาวาสวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ซึ่งเป็นพระเกจิอาจารย์ชื่อดัง ได้จัดสร้าง ” พระอู่ทองออกศึก ” แจกแก่ทหาร ” รุ่นจงอางศึก ” นี้โดยเฉพาะ ตามดำริของนายกรัฐมนตรีในขณะนั้นคือ จอมพลถนอม กิตติขจร ที่ต้องการต้านภัยคอมมิวนิสต์


“พระอู่ทองออกศึก” เป็นพระเครื่องที่นำเนื้อพระโบราณที่ชำรุดแตกหักจากกรุต่าง ๆ มาบดเป็นส่วนผสมหลัก อาทิเช่น พระผงสุพรรณ จากกรุวัดพระศรีมหาธาตุ, พระกรุวัดพระรูป, พระกรุวัดสำปะซิว, พระกรุวัดบ้านกร่าง, พระกรุถ้ำเสือ, พระกรุวัดบางยี่หน และพระเนื้อดินชำรุดแตกหักของพระเกจิอาจารย์ เท่าที่จัดหาได้จากในเขตเมืองสุพรรณ,อู่ทอง อีกมากมาย


พุทธลักษณะคล้ายพระผงสุพรรณ แต่เป็นพระปางสมาธิ ด้านหลังเป็นรูปองค์พระปรางค์ อันเป็นสัญลักษณ์ประจำวัดพระศรีมหาธาตุ และเป็นสถานที่พบพระผงสุพรรณ และพระเนื้อชินพิมพ์ต่าง ๆ ยอดนิยมของวงการฯ เนื้อพระมีทั้งสีดำ สีเทา และสีแดง ครั้งแรก นำเข้าพิธีมหาพุทธาภิเษก ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองสุพรรณบุรี วันที่ ๑๓ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๑๐ โดยมีพระเกจิคณาจารย์ชื่อดังนั่งปรกปลุกเสก ๖๙ รูป ดังมีรายพระนามต่อไปนี้

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

พระอู่ทองรุ่นจงอางศึก ลงข่าวครึกโครมในยุคนั้น


๑. หลวงพ่อมุ่ย วัดดอนไร่ จ.สุพรรณบุรี
๒. หลวงพ่อถิร วัดป่าเลไลยก์ จ.สุพรรณบุรี
๓. หลวงพ่อขอม วัดไผ่โรงวัว จ.สุพรรณบุรี
๔. หลวงพ่อคำ วัดหน่อพุทธางกูร จ.สุพรรณบุรี
๕. หลวงพ่อใจ วัดวังยายหุ่น จ.สุพรรณบุรี
๖. หลวงพ่อเปลื้อง วัดสุวรรณภูมิ จ.สุพรรณบุรี
๗. หลวงพ่อแต้ม วัดพระลอย จ.สุพรรณบุรี
๘. หลวงพ่อดี วัดพระรูป จ.สุพรรณบุรี
๙. หลวงพ่อโต๊ะ วัดลาดตาล จ.สุพรรณบุรี
๑๐. หลวงพ่อเจริญ วัดธัญเจริญ จ.สุพรรณบุรี
๑๑. หลวงพ่อบุญ วัดโคกโคเฒ่า จ.สุพรรณบุรี
๑๒. หลวงพ่อฮวด วัดดอนโพธิ์ทอง จ.สุพรรณบุรี
๑๓. หลวงพ่อเก็บ วัดดอนเจดีย์ จ.สุพรรณบุรี
๑๔. หลวงพ่อดี วัดท่าเจริญ จ.สุพรรณบุรี
๑๕. หลวงพ่อเหมือน วัดไทรย์ จ.สุพรรณบุรี
๑๖. หลวงพ่อเมี้ยน วัดโพธิ์เจริญ จ.สุพรรณบุรี
๑๗. หลวงพ่อเจิม วัดกุฎีทอง จ.สุพรรณบุรี
๑๘. หลวงพ่อเลียบ วัดช่องลม จ.สุพรรณบุรี
๑๙. หลวงพ่อวิจิตร วัดบ้านทึง จ.สุพรรณบุรี
๒๐. หลวงพ่อแขก วัดหัวเขา จ.สุพรรณบุรี
๒๑. หลวงพ่อสุบิน วัดท่าช้าง จ.สุพรรณบุรี
๒๒. หลวงพ่อนาถ วัดศรีโลหะ จ.กาญจนบุรี
๒๓. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จ.สิงห์บุรี
๒๔. หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จ.สิงห์บุรี
๒๕. หลวงปู่โต๊ะ วัดสระเกษ จ.อ่างทอง
๒๖. หลวงพ่อสนิท วัดศิลาขันธ์ จ.อ่างทอง
๒๗. หลวงพ่อสาย วัดท้องคุ้ง จ.อ่างทอง
๒๘. หลวงพ่อไวย์ วัดบรม จ.อยุธยา
๒๙. หลวงพ่อต่วน วัดกล้วย จ.อยุธยา
๓๐. หลวงพ่อชม วัดเขาดิน จ.อยุธยา
๓๑. หลวงพ่อทิม วัดพระขาว จ.อยุธยา
๓๒. หลวงพ่อมี วัดมารวิชัย จ.อยุธยา
๓๓. หลวงพ่ออั้น วัดพระญาติการาม จ.อยุธยา
๓๔. หลวงพ่อเทียม วัดกษัตราธิราช จ.อยุธยา
๓๕. หลวงพ่อนก วัดกลางท่าเรือ จ.อยุธยา
๓๖. หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม จ.นครปฐม
๓๗. หลวงปู่เพิ่ม วัดกลางบางแก้ว จ.นครปฐม
๓๘. หลวงปู่เพิ่ม วัดสรรเพชญ จ.นครปฐม
๓๙. หลวงพ่อน้อย วัดธรรมศาลา จ.นครปฐม
๔๐. พระอารย์เจียม วัดไร่ขิง จ.นครปฐม
๔๑. หลวงพ่อสุด วัดกาหลวง จ.สมุทรสาคร
๔๒. หลวงพ่อแก้ว วัดช่องลม จ.สมุทรสาคร
๔๓. หลวงพ่อทองอยู่ วัดใหม่หนองพะองค์ จ.สมุทรสาคร
๔๔. หลวงพ่อทองอยู่ วัดท่าเสา จ.สมุทรสาคร
๔๕. หลวงพ่อเนื่อง วัดจุฬามณี จ.สมุทรสาคร
๔๖. หลวงปู่โต๊ะ วัดประดู่ฉิมพลี กรุงเทพฯ
๔๗. หลวงปู่นาค วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ
๔๘. หลวงปู่ธูป วัดแคนางเลิ้ง กรุงเทพฯ
๔๙. หลวงพ่อทูรย์ วัดโพธินิมิตร กรุงเทพฯ
๕๐. หลวงปู่เพิ่ม วัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ
๕๑. หลวงพ่อผ่อง วัดสามปลื้ม กรุงเทพฯ
๕๒. หลวงพ่อหวล วัดพิกุล กรุงเทพฯ
๕๓. หลวงพ่อบุญนาค วัดเศวตฉัตร กรุงเทพฯ
๕๔. หลวงพ่อผล วัดหนังบางขุนเทียน กรุงเทพฯ
๕๕. หลวงพ่อเส่ง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ
๕๖. หลวงพ่อเฮง วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ
๕๗. หลวงพ่อบุญมี วัดกลางอ่างแก้ว กรุงเทพฯ
๕๘. หลวงปู่หนู วัดทุ่งแหลม จ.ราชบุรี
๕๙. หลวงปู่สิมมา วัดบ้านหมอ จ.สระบุรี
๖๐. หลวงพ่อโอด โคกเดื่อ จ.นครสวรรค์
๖๑. หลวงพ่ออ๋อย วัดหนองบัว จ.นครสวรรค์
๖๒. หลวงพ่อน้อย วัดหนองโพธิ์ จ.นครสวรรค์
๖๓. หลวงพ่อเชื้อ วัดใหม่บำเพ็ญบุญ จ.ชัยนาท
๖๔. หลวงพ่อบุญมี วัดเขาสมอคอน จ.ลพบุรี
๖๕. พระอธิการถนอม วัดนางพญา จ.พิษณุโลก
๖๖. หลวงพ่อทบ วัดชนแดน จ.เพชรบูรณ์
๖๗. พระอาจารย์สำราญ วัดเขาตะเครา จ.เพชรบุรี
๖๘. หลวงพ่ออบ วัดถ้ำแก้ว จ.เพชรบุรี
๖๙. หลวงพ่อนิ่ม วัดเขาน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์
 

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

ทหารไทยรุ่นจงอางศึกไปรบเวียตนาม

หลังจากประกอบพิธีมหาพุทธาภิเษกครั้งแรกแล้ว กองบัญชาการทหารสูงสุดโดยคำสั่งของ จอมพลถนอม กิตติขจร ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่เดินทางมารับมอบ พระอู่ทองออกศึก จำนวน ๒๕,๗๐๐ องค์ เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารอาสาสมัครรุ่น ” จงอางศึก ” ที่กำลังจะเคลื่อนพลเดินทางไปร่วมรบในสงครามเวียดนาม


นอกจากนี้ ทางวัดยังนำพระที่เหลือประกอบพิธีพุทธาภิเษกอีกสองครั้ง ในวันที่ ๒-๑๐ มี.ค. ๒๕๑๑ และวันที่ ๑๓ เม.ย. ๒๕๑๑ ก่อนที่จะแจกไปตามหน่วยราชการต่าง ๆ ทั่วประเทศ และได้นำพระที่เหลือทั้งหมดบรรจุไว้ในองค์พระปรางค์ที่วัดพระธาตุ เมื่อวันที่ ๒๘ ม.ค. ๒๕๑๒


ว่ากันว่า พระอู่ทองออกศึก รุ่นแจกทหารจงอางศึกนั้น มีประสบการณ์อิทธิปาฏิหารย์มากมาย จนพวกเวียตกงเรียกทหารรับจ้างไทยรุ่นนี้ว่า ทหารผี ในทุกสมรภูมิรบของสงครามเวียดนาม ทหารหาญของไทยรุ่นนี้ให้ความเชื่อมั่นในพุทธคุณ และมั่นใจเป็นอันมาก ไม่ว่าจะโดนยิง โดนแทง หรือโดนระเบิด ต่างก็รอดจากเงื้อมมือมัจจุราชมาได้อย่างน่าอัศจรรย์ ปัจจุบัน พระอู่ทองออกศึกมีอายุการสร้างผ่านไป ๕๓ ปีแล้ว จึงเป็นพระที่มีอายุพอสมควร น่าบูชา และสะสมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในด้านพุทธคุณแล้ว ต้องยอมรับว่าเป็น ” หนึ่ง ” ไร้เทียมทาน

ชุดเปิดกรุพระเครื่องนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย

ทหารไทยรุ่นจงอางศึกไปรบเวียตนาม


แต่ขอบอกเสียก่อนว่า พระชุดนี้มีของปลอมออกมาเยอะมาก
และฝีมือการปลอมก็ไร้เทียมทานเช่นเดียวกัน
เพราะเขาปลอมกันมาตั้งแต่สมัยนั้นแล้วล่ะคุณ!!!
เรียกว่า แท้เก่าเก็บกับปลอมเก่าเก็บ…อายุพระแทบจะพอๆกัน


อยากเก็บพระรุ่นนี้
ตาดีได้ตาร้ายเสีย 
ระวังอยากได้รุ่นจงอางศึก 
อาจจะได้แค่รุ่นงูเขียวพระอินทร์นะคร้าบ

“มิว สเปซ” เปิดแผนสร้างเทคโนโลยี ดันไทยสู่อุตสาหกรรมอวกาศ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

“มิว สเปซ” เปิดแผนสร้างเทคโนโลยี ดันไทยสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

"มิว สเปซ" เปิดแผนสร้างเทคโนโลยี ดันไทยสู่อุตสาหกรรมอวกาศ25 กันยายน 2563 – 13:16 น.

“มิว สเปซ “เผยแผนพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ หลังจากทำการส่งวัตถุและอุปกรณ์การทดลอง (payload) ขึ้นไปยังอวกาศเป็นครั้งที่ 4 ร่วมกับ Blue Origin บนจรวด New Shepard (NS-13)

นายเจมส์ วรายุทธ เย็นบำรุง วิศวกรไทยและประธานกรรมการบริหาร บริษัทด้านอุตสาหกรรมดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศ เปิดเผยว่า “ส่วนประกอบต่าง ๆ ของดาวเทียม HTS (high throughput satellite) กว่า 40%  ผลิตโดย มิว  สเปซ และ ผู้ผลิตภายในประเทศ ด้วยเทคโนโลยีของคนไทยที่ได้มาตรฐานสากล โดยคาดว่าจะสามารถปล่อยดาวเทียมสู่วงโคจรภายในปี 2024  เพื่อให้ มิว สเปซ เป็นผู้ให้บริการดาวเทียมต่างชาติแห่งแรกของไทย เมื่อมีการเปิดเสรีดาวเทียม ดาวเทียมวงโคจรต่ำ หรือ LEO Satellite จะเป็นประโยชน์และมีความสำคัญอย่างมากต่อระบบการสื่อสารในอนาคต

อีกทั้งยังเป็นการยกระดับเทคโนโลยีทางด้านการสื่อสารของไทยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีศักยภาพทัดเทียมกับนานาชาติ รวมไปถึงการรองรับเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ 5G, Cloud storage, Online Transaction และความปลอดภัยในการทำธุรกิจต่าง ๆ ให้สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

"มิว สเปซ" เปิดแผนสร้างเทคโนโลยี ดันไทยสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

ทั้งนี้ มั่นใจว่า มิว สเปซ คือทางเลือกใหม่ของคนไทย ที่จะสามารถพัฒนารูปแบบการให้บริการในทิศทางใหม่ๆ ได้อย่างตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างทั่วถึง พร้อมช่วยทำให้การรับส่งสัญญาณมีประสิทธิภาพและเข้าถึงพื้นที่ต่าง ๆ ได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น 
เป้าหมายหลักของ มิว เปซ คือการพัฒนาเทคโนโลยีและอุปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อนำประเทศไทยมุ่งสู่ธุรกิจทางด้านอุตสาหกรรมอวกาศ อย่างเช่น โครงการวิจัยและพัฒนาหุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ (Autonomous Robot) เพื่อใช้ในภารกิจทางด้านอวกาศในอนาคตอันใกล้  มิว สเปซ จึงมุ่งเน้นการพัฒนาเทคโนโลยีที่จะสามารถสนับสนุนการค้นหาทรัพยากร ประกอบกับการนำไปพัฒนาต่อยอดด้านการสื่อสารดาวเทียม ให้มีคุณภาพสูงแต่มีค่าใช้จ่ายต่ำ เพื่อเข้าถึงกลุ่มลูกค้าทุกรูปแบบและสอดคล้องกับความต้องการในตลาดอย่างลงตัว รวมทั้งเป็นการสร้างงาน สร้างโอกาส ขยายตลาดแรงงานทักษะสูง ตลอดจนถึงบุคลากรผู้มีความรู้ความสามารถ ในการยกระดับและพัฒนาอุตสาหกรรมอวกาศของไทยสู่นานาชาติ

"มิว สเปซ" เปิดแผนสร้างเทคโนโลยี ดันไทยสู่อุตสาหกรรมอวกาศ

สำหรับไฮไลท์ในการเปิดตัวนี้ คือแผนการสร้าง Spaceship หรือพาหนะทางอวกาศขนาดเล็กลำแรกของไทย โดยมีวัตถุประสงค์หลัก คือ  สร้าง Data Center นอกชั้นบรรยากาศของโลก ซึ่งสามารถลดปัญหาสำคัญของการสร้างศูนย์เก็บข้อมูล เช่น การควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมต่อการปฏิบัติการของระบบภายใต้สภาวะอุณหภูมิต่ำ ซึ่งใช้ปริมาณมากถึง 40% ของพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การนำ Data Center ออกไปยังสภาวะอวกาศที่เย็นกว่า -270°C ทำให้สามารถกำจัดเรื่องของอุณหภูมิไปได้อย่างมาก ใช้พลังงานบริสุทธิ์อย่างแท้จริง ไม่พึ่งพาพลังงานจากโลก โดย Spaceship จะโคจรค้างฟ้า และรับพลังงานจากแสงอาทิตย์บริเวณใต้ท้องตลอดเวลา จึงสามารถปฏิบัติงานด้วยตนเอง ไม่ต้องพึ่งพลังงานจากโลก 

            "มิว สเปซ" เปิดแผนสร้างเทคโนโลยี ดันไทยสู่อุตสาหกรรมอวกาศ
ความปลอดภัย โดยทำให้ spaceship  ที่ลอยค้างฟ้าและเชื่อมต่อกันเป็นโครงข่าย constellation มีความปลอดภัยจากอุบัติเหตุต่าง ๆ ที่มักเกิดขึ้นบนโลก เช่น ไฟไหม้ หรือ น้ำท่วม ยิ่งไปกว่านั้น การเชื่อมต่อกันเป็นกลุ่มขนาดใหญ่ครอบคลุมทั้งโลก จะทำให้การเชื่อมต่อมีความลื่นไหลเข้าถึงได้ทุกมุมโลก
 ในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา มิว สเปซ ได้มีการทดสอบวัสดุที่เหมาะสมต่อการนำมาสร้าง โดยทดสอบความแข็งแรงของวัสดุ จากการจำลองกระสุนปืนชนิดพิเศษ ที่มีความเร็วเทียบเท่ากับความเร็วของเศษขยะอวกาศ อยู่ที่ความเร็วมากกว่า 1,100 m/s ทั้งนี้ผลทดสอบพบว่า ผ่านมาตราฐานการป้องกันกระสุนในระดับ 3  และมิว สเปซ ได้เตรียมสร้างโรงงานขนาดกลางภายในปลายปีนี้ เพื่อให้สามารถเริ่มผลิต Spaceship อย่างเต็มรูปแบบในปี 2021  
มิว สเปซ มีจุดเริ่มต้นมาจากนายเจมส์ วรายุทธ เย็นบำรุง กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิว สเปซ แอนแอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด   โดยปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีประสบการณ์ด้านอุตสาหกรรมการบินและอากาศยาน จบการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาวิศวกรรมการบินและอากาศยาน ปริญญาโทสาขาวิศวกรรมเครื่องกลจากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ลอสแอนเจลิส (UCLA) เคยทำงานในตำแหน่งวิศวกรระบบดาวเทียมในโครงการของ นอร์ทธรอป กรัมแมน (Northrop Grumman) บริษัทด้านอวกาศและเทคโนโลยีการป้องกัน จนได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าทีมโครงการระบบพาหนะไร้คนขับ ในขณะที่กำลังรุ่งโรจน์ในหน้าที่ในอุตสาหกรรมการบินระดับท็อปของโลก ได้ตัดสินใจเดินทางกลับสู่ประเทศไทย โดยมีความตั้งใจที่จะนำความรู้ความสามารถกลับมาพัฒนาประเทศ อีกทั้งยังมุ่งมั่นที่พัฒนาธุรกิจด้านดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศของไทยอีกด้วย  
นายเจมส์ วรายุทธ เย็นบำรุง ยังมีวิสัยทัศน์ที่ชัดเจนในการก้าวสู่ธุรกิจด้านดาวเทียม โดยมีความมุ่งมั่นที่จะผลักดันให้ธุรกิจดาวเทียมและอวกาศให้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว  การนำส่ง payload ในครั้งที่ 4 ของมิว สเปซ แสดงให้เห็นว่า นี่คือสัญญานที่ดีในความก้าวหน้าด้านอุตสาหกรรมอวกาศ ที่จะเป็นประโยชน์สูงสุดให้กับคนไทยทุก ๆ คนในอนาคต”
ส่งผลให้ บริษัท มิว สเปซ แอนแอดวานซ์ เทคโนโลยี จำกัด กลายเป็นองค์กรผู้ดำเนินกิจการดาวเทียมและเทคโนโลยีอวกาศรายเดียวของประเทศไทย ที่ได้รับการยอมรับและเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย โดยเติบโตอย่างรวดเร็วอย่างมีศักยภาพสูง ภายใต้พันธกิจที่จะนำพาธุรกิจและอุตสาหกรรมอวกาศของไทย ให้มีศักยภาพในสามารถในการแข่งขันได้ทัดเทียมกับนานาประเทศนั่นเอง สำหรับผู้สนใจติดตามชม Highlight การ Unveil ผ่านช่อง Youtube ของ muSpacetech สามารถรับชมได้ที่ https://youtu.be/C-5XJY-giqk