สสส.เสริมสร้างความมั่นคงอาหารปลอดภัย โรงเรียน ชุมชนท้องถิ่น #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

สสส.เสริมสร้างความมั่นคงอาหารปลอดภัย โรงเรียน ชุมชนท้องถิ่น 

สสส.เสริมสร้างความมั่นคงอาหารปลอดภัย โรงเรียน ชุมชนท้องถิ่น 23 กันยายน 2563 – 16:02 น.

สสส.เสริมสร้างความมั่นคงอาหารปลอดภัย โรงเรียน ชุมชนท้องถิ่น 

เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2563 สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)โดยโครงการขับเคลื่อนระบบอาหารปลอดภัยและโภชนาการเพื่อสุขภาพที่ดีของประชาชน โดย ดร.ณัจยา แก้วนุ้ย  ร่วมกับ  ผอ.ดำเนิน คำดา ผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีราษฎร์บำรุง และภาคีเครือข่าย จ.ปทุมธานี ณ.ห้องประชุมโรงเรียนสามัคคีราษฎร์บำรุง ได้จัดเวทีอบรมให้ความรู้และการแลกเปลี่ยน ความร่วมมือเกื้อหนุนในการดำเนินกิจกรรมจากประสบการณ์ที่แตกต่างกัน และร่วมกันดำเนินกิจกรรมอันเป็นประโยชน์เพื่อสังคม ชุมชนท้องถิ่น ส่งเสริม สนับสนุนให้ประชาชนได้บริโภค ผัก ผลไม้ที่ปลอดภัยอย่างพอเพียง หรือเพิ่มมากขึ้น ได้เข้าถึงระบบการเพาะปลูก เพื่อได้บริโภคผัก ผลไม้ที่ปลอดภัย ในยามวิกฤติจากโรคระบาดโควิด 19   สร้างความตระหนักด้านอาหารปลอดภัย และสุขาภิบาล โภชนาการที่ดี  ควบคู่การสร้างพื้นที่แหล่งเรียนรู้ในการให้บริการอาหารและการจัดการปัจจัยแวดล้อมด้านอาหารเพื่อสุขภาวะ  ลดอัตราของภาวะโรคอ้วนในวัยเรียน  พัฒนาองค์ความรู้เชิงวิชาการเพื่อใช้ใน โครงการอาหารกลางวันที่ปลอดภัยสำหรับเด็กนักเรียน

 ทั้งนี้มีสมาชิกภาคีเครือข่ายได้ให้ความสนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนมาก อาทิ รร.บ้านบึง รร.วัดบัวขวัญ  รร.ปากคลองสอง รร.ชุมชนวัดเสด็จ  รร.สามัคคีประชาราษฎร์บำรุง   ชุมชนหมู่บ้านเจริญลาภ3  ชุมชนบ้านคลองขวางบน  ชุมชนธัญยพร   ชุมชนวัดเสด็จ   ชมรมตลาดสีเขียวเทศบาลนครรังสิต  สมาคมธุรกิจการค้าอาหาร และศูนย์เรียนรู้เกษตรปลอดสาร อาหารปลอดภัยบ้านคลองขวางบน (ฟาร์มเห็ดป้านา) อ.ลาดหลุมแก้ว จ.ปทุมธานี 

สสส.เสริมสร้างความมั่นคงอาหารปลอดภัย โรงเรียน ชุมชนท้องถิ่น 

ทั้งนี้ทางคณะครูโรงเรียนสามัคคีราษฎร์บำรุง ได้มีการแบ่งปันองค์ความรู้ในการส่งเสริมการออกกำลังและลดภาวะเด็กน้ำหนักตัวเกิน การสร้างขบวนการให้เกิดสภาพแวดล้อม สุขภาพที่ดี ภายในสถานศึกษาด้วยการมีส่วนร่วมของเด็กนักเรียน  นอกจากนี้คุณขัวญเมือง ฤทธิ์เดช ผู้นำชุมชนเจริญลาภ 3 ได้แนะนำแนวทางการสร้างความมั่นคงทางอาหารในชุมชน ด้วยปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง “ปลูกผักสวนครัวทุกรั้วกินร่วมกันได้” ในด้านวิชาการสมาชิกผู้เข้าร่วมอบรมได้รับความรู้เรื่องการทานอาหารเพื่อสุขภาพและโภชนาการที่ดี จาก คุณวไลลักษณ์ ศรีสุระ อดีตนักโภชนาการชำนาญการพิเศษ และ ผอ.ธนชีพ พีระธรณิศร์  ศุนย์ปฎิบัติการฯ กรมอนามัย ในเรื่องอาหารกับการป้องกันภัยห่างไกลโรคโควิด 19 ด้วย วิธีการ HDC   คุณพิมพ์ปวีณ์ ทองประสงค์  เจ้าของร้านอาหารครัวริมน้ำท้ายเกาะ ได้อบรมสอนวิธีการเตรียม ปรุงดิน ที่ปลูกผัก”วอเตอร์เครส” พืชเศรษฐกิจยุคใหม่ ปลอดภัยและส่งต่อเมนูอาหารถึงโต๊ะ 

              สสส.เสริมสร้างความมั่นคงอาหารปลอดภัย โรงเรียน ชุมชนท้องถิ่น 
 ผอ.ดำเนิน คำดา ผู้อำนวยการโรงเรียนสามัคคีราษฎร์บำรุง กล่าวว่า“ต้องขอขอบคุณ ทาง สสส. ที่ได้นำโครงการดีดีเช่นนี้มาที่จังหวัดปทุมธานีของเรา โครงการนี้ เป็นจุดเริ่มต้นของกิจกรรมหลายๆอย่างที่เกิดขึ้น ในสถานศึกษา ชุมชน สังคม ซึ่งสามารถต่อยอด พัฒนาไปสู่การทำงานเชิงนโยบายของภาครัฐได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านสุขภาพที่ดีของเด็กนักเรียน การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองนักเรียน ผู้นำและคนในชุมชน รวมถึงหน่วยงานองค์กรภาครัฐ ทำให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชน โดยเฉพาะ เด็ก เยาวชนซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศชาติต่อไปในอนาคต”  

                  สสส.เสริมสร้างความมั่นคงอาหารปลอดภัย โรงเรียน ชุมชนท้องถิ่น 
 ดร.ณัจยา แก้วนุ้ย ผู้จัดการโครงการฯ กล่าวว่า “โครงการนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าถึงแหล่งบริการอาหารปลอดภัยเพื่อสุขภาพได้อย่างง่าย สะดวก เสริมสร้างความมั่นคงทางอาหารของชุมชน เกิดความตระหนักรับรู้ในการบริโภคอาหารที่ปลอดภัยและ มีโภชนาการ ลดหวาน มัน เค็ม เพิ่มการบริโภคผักผลไม้มากขึ้น สู่การมีสุขภาพที่ดีและแข็งแรง  เราพร้อมที่จะส่งเสริมสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนได้ปลูกพืช ผักที่ปลอดภัยไว้บริโภคเอง ควบคู่ไปกับการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนและเศรษฐกิจที่เข้มแข็งไปพร้อมๆ กัน   ไม่ได้รับความลำบาก คือ มีกิน มีใช้ และมีเหลือเก็บ ไม่ว่าจะในยามปกติหรือเกิดเหตุภัยพิบัติต่างๆ ซึ่งจะส่งผลด้านการสร้างความยั่งยืนให้เกิดเป็นชุมชนอาหารต่อไปได้ในอนาคต” 

NIA เผยความสำเร็จ ‘โลกนวัตกรรมเสมือนจริง’ งาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

NIA เผยความสำเร็จ ‘โลกนวัตกรรมเสมือนจริง’ งาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020

NIA เผยความสำเร็จ 'โลกนวัตกรรมเสมือนจริง' งาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020 22 กันยายน 2563 – 12:50 น.

NIA เผยความสำเร็จ ‘โลกนวัตกรรมเสมือนจริง’ งาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020 ปีหน้าชวนคนไทยก้าวสู่ ‘DeepTech Rising’ 

ดร.พันธุ์อาจ ชัยรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) เผยถึงความสำเร็จของงานสตาร์ทอัพไทยแลนด์และอินโนเวชั่นไทยแลนด์เอ็กซ์โป 2020 (Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020)  ที่เพิ่งผ่านพ้นไปว่า เป็นการผนึกกำลังครั้งสำคัญของเหล่าสตาร์ทอัพและนวัตกรรมชั้นนำของไทยที่ เข้ามาร่วมกันแสดงศักยภาพด้านนวัตกรรมของประเทศในการจัดงานในรูปแบบโลกนวัตกรรมเสมือนจริง ‘Virtual World’ ครั้งแรกของประเทศ เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้ประเทศผ่านพ้นจากวิกฤติที่เกิดขึ้นทั่วโลก นับเป็นการเปิดมิติใหม่แห่งนวัตกรรมการจัดงานเสมือนจริงที่สมบูรณ์แบบที่ไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงศักยภาพด้านนวัตกรรมที่แข็งแกร่งของประเทศไทย แต่ยังสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้เกิดขึ้น ในการรวมหน่วยงานทุกภาคส่วนทั้งสตาร์ทอัพ เอสเอ็มอี บริษัทขนาดใหญ่ หน่วยงานรัฐและสถาบันการศึกษาชั้นนำของไทยหรือระดับโลกมารวมกันในงานเดียว เพื่อให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการพัฒนาระบบนวัตกรรมของประเทศให้เข้มแข็งขึ้น โดยปีนี้ได้รับความร่วมมือจาก 133 องค์กรพันธมิตร 412 หน่วยงานร่วมจัดแสดงผลงาน กับองค์ความรู้ด้านนวัตกรรมรับมือภาวะวิกฤต จาก 6 ธีมสำคัญ 47 หัวข้อโดยวิทยากรชื่อดังกว่า 100 ท่าน ตลอดระยะเวลาจัดงานได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการ นักลงทุน นักศึกษา และประชาชนผู้สนใจ ลงทะเบียนเข้าร่วมงาน 15,462 คน มียอดผู้เข้าชมงานผ่านเว็บไซต์กว่า 190,000 ครั้ง ซึ่งขณะนี้เปิดให้เข้าชมย้อนหลังได้แล้วทุกช่องทางผ่านทางเว็บไซต์ STxITE.nia.or.th และ NIA Youtube Channel เพื่อเปิดประสบการณ์ด้านนวัตกรรมต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
 

NIA เผยความสำเร็จ 'โลกนวัตกรรมเสมือนจริง' งาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020

การจัดงาน Startup Thailand x Innovation Thailand 2020 นอกจากสร้างกระแสตื่นตัวเรื่องนวัตกรรมเพื่อรับมือภาวะวิกฤตในระดับโลกที่อาจจะมาในหลากหลายรูปแบบมากขึ้นในอนาคตแล้ว ยังก่อให้เกิดผลกระทบในมิติต่างๆ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม อาทิ เกิดการสร้างเครือข่ายทางธุรกิจและการลงทุนมากกว่า 15,000 ราย สร้างเม็ดเงินที่พร้อมลงทุน มูลค่ารวม 20,000 ล้านบาท เกิดการเข้าถึงสินค้าและบริการของ 200 สตาร์ทอัพผ่านตลาดสินค้าออนไลน์ กว่า 42,000 ครั้ง / คาดว่าจะเกิดการจ้างงานด้านนวัตกรรมไม่น้อยกว่า 1,500 อัตรา ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่และเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ / เกิดแพลตฟอร์มใหม่ในการจัดงานอีเว้นท์ เพื่อใช้ขับเคลื่อนธุรกิจในยุคนิวนอร์มัลที่ช่วยเติมเต็มประสบการณ์ในรูปแบบใหม่ในโลกเสมือนจริง ตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป / เกิดเครือข่ายความร่วมมือระหว่างภาครัฐกับเอกชนในการพัฒนาวิชาชีพและการศึกษา/ เกิดสินทรัพย์ใหม่ด้านข้อมูลจากการนำศาสตร์การวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลเชิงลึก (Data Analytics) มาใช้ในงานเพื่อคาดการณ์สิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตและสร้างโอกาสทางธุรกิจนวัตกรรม และเกิดการใช้นวัตกรรมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยข้อมูล (Data driven innovation) 

                    NIA เผยความสำเร็จ 'โลกนวัตกรรมเสมือนจริง' งาน Startup Thailand x Innovation Thailand Expo 2020
 ดร.พันธุ์อาจ กล่าวย้ำว่า NIA มุ่งมั่นที่จะขับเคลื่อนอนาคตประเทศด้วยนวัตกรรม ซึ่งงาน Startup Thailand x Innovation Thailand 2020 จึงไม่ใช่เพียงแค่งานอีเว้นท์ออนไลน์เท่านั้น แต่เป็นนโยบายส่งเสริมและสนับสนุนสตาร์ทอัพ ผู้ประกอบการนวัตกรรมอย่างรอบด้าน รวมทั้งเป็นเครื่องมือหนึ่งเพื่อสร้างความตระหนักถึงการใช้ ‘นวัตกรรมเพื่อรับมือภาวะวิกฤติ’ อย่างเป็นรูปธรรม ซึ่งหลังจากนี้ โลกนวัตกรรมเสมือนจริงที่เราสร้างขึ้นมาจะไม่จบลง แต่จะกลายเป็นกลไกของการสร้างนวัตกรรมและการพัฒนาระบบนิเวศนวัตกรรมต่อไป  
 เขาย้ำด้วยว่า เราจำเป็นต้องปรับกระบวนทัศน์ในการสร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อรับมือกับวิกฤตต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั้งวิกฤตไวรัสโควิด-19 วิกฤตด้านสิ่งแวดล้อมและวิกฤตเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นทั่วโลก จากเวทีเสวนาออนไลน์ภายในงาน พบว่าเทรนด์โลกมุ่งไปที่เรื่องของ Deep Tech ที่จะก้าวมามีบทบาทสำคัญในการตอบโจทย์ประเด็นความท้าทายที่ไม่อาจรับมือด้วยการตั้งรับเพียงอย่างเดียวอย่างที่ผ่านมา ดังนั้น ก้าวต่อไปของงาน Startup Thailand x Innovation Thailand 2021 จะมุ่งเน้นด้าน ‘DeepTech Rising’ เทคโนโลยีขั้นสูงที่จะเข้ามาขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงโลก 

กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน”IP4B2020″ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน”IP4B2020″  

กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน"IP4B2020"  

20 กันยายน 2563 – 13:43 น.

กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs  ไทยติดปลีกความรู้ หลังฝ่าภัยโควิด  พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน”IP4B2020″  

กรมทรัพย์สินทางปัญญา กระทรวงพาณิชย์ เชิญชวนผู้ประกอบการวิสาหกิจรายย่อยและขนาดย่อม ในกลุ่มเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) สมัครเข้าร่วมโครงการ Intellectual Property for Business 2020 (IP4B2020) ซึ่งกรมฯ จัดขึ้นเพื่อช่วยผู้ประกอบการ SMEs โดยการติดปีกความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญา ร่วมพัฒนาและต่อยอดธุรกิจโดยนักพัฒนาผลิตภัณฑ์มืออาชีพ พร้อมชิงทุนพัฒนาผลิตภัณฑ์และรางวัลรวมกว่า 500,000 บาท ผู้สนใจสามารถสมัครเข้าร่วมโครงการได้ถึง 22 กันยายน นี้

                กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน"IP4B2020"  
 นายทศพล ทังสุบุตร อธิบดีกรมทรัพย์สินทางปัญญา กล่าวว่า “โครงการ Intellectual Property for Business 2020 หรือ IP4B2020 เป็นโครงการที่กรมทรัพย์สินทางปัญญาจัดขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมให้ผู้ประกอบการวิสาหกิจรายย่อย (Micro) และผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดย่อม (Small) สามารถนำเทคโนโลยี นวัตกรรม และงานวิจัยต่างๆ มาพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันของสินค้าและบริการ และสามารถทำตลาดโดยใช้ประโยชน์ในเชิงพาณิชย์ได้อย่างแท้จริง ตลอดจนได้รับความคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาเพื่อเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะได้รับคำแนะนำเชิงลึกรายบุคคลจากผู้เชี่ยวชาญในสาขาต่างๆ  และเรียนรู้วิธีสร้างโอกาสทางการตลาดทั้งออนไลน์และออฟไลน์อย่างเหมาะสมกับสถานการณ์และแนวทางการขับเคลื่อนเศรษฐกิจยุค New Normal”

กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน"IP4B2020"  

โครงการ IP4B2020 มุ่งพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ด้วยทรัพย์สินทางปัญญาให้สอดคล้องกับโมเดลเศรษฐกิจแบบใหม่ (BCG Model)ได้แก่ เศรษฐกิจชีวภาพ (Bioeconomy),เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (Green Economy) อันจะนำไปสู่การพัฒนาศักยภาพในการสร้างสรรค์และพัฒนาผลิตภัณฑ์ และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางการค้าของคนไทยด้วยการนำทรัพย์สินทางปัญญาไปใช้ประโยชน์ โดยเฉพาะข้อมูลจากเอกสารสิทธิบัตรที่จะสามารถนำไปใช้ในการพัฒนาต่อยอดผลิตภัณฑ์ได้ ซึ่งจะช่วยประหยัดต้นทุนและเวลาในการศึกษาวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างดี

                  กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน"IP4B2020"  
ทั้งนี้ กรมทรัพย์สินทางปัญญา ขอเชิญชวนผู้สนใจสมัครเข้าร่วมโครงการฯ ได้ตั้งแต่บัดนี้ ถึง 22 กันยายน 2563  ทางเว็บไซต์ http://www.ip4b2020.com โดยผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการคัดเลือกรอบสุดท้าย จะได้รับโล่และประกาศนียบัตร รวมทั้งเงินทุนในการพัฒนาผลิตภัณฑ์และของรางวัลรวมมูลค่ากว่า 500,000 บาท นอกจากนี้ จะได้รับการอบรมความรู้ด้านทรัพย์สินทางปัญญา การพัฒนาธุรกิจและผลิตภัณฑ์อย่างเข้มข้น การให้คำปรึกษาแนะนำแนวทางการต่อยอดธุรกิจจากผู้เชี่ยวชาญเป็นรายบุคคล การออกแบบและพัฒนาต้นแบบผลิตภัณฑ์โดยนักพัฒนาผลิตภัณฑ์มืออาชีพ การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) ช่วยหาช่องทางการจำหน่ายให้ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยผู้ที่ผ่านการคัดเลือกเข้าร่วมโครงการรอบสุดท้ายจะได้รับความรู้และหลักสูตรสุด exclusive กับ Shopee (ประเทศไทย) ตลอดจนโปรโมชั่นพิเศษจากโครงการต่อไป

                   กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน"IP4B2020"  
ติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ http://www.ip4b2020.com แอพพลิเคชั่น LINE : @ip4b2020 E-mail : comtact@ip4b2020 หรือโทร. 061-662-1095

กรมทรัพย์สินทางปัญญาปลุก SMEs ไทยติดปลีกความรู้ พลิกโอกาสธุรกิจด้วยทรัพย์สินทางปัญญา ครั้งแรกในไทยกับงาน"IP4B2020"  

สทน.จัดรอบชิงชนะเลิศ โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

สทน.จัดรอบชิงชนะเลิศ  โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี

สทน.จัดรอบชิงชนะเลิศ  โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี20 กันยายน 2563 – 13:25 น.

สทน.จัดรอบชิงชนะเลิศ  โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี ภายใต้แนวคิด อาหารพื้นถิ่นไทย พัฒนาได้ ด้วยเทคโนโลยีนิวเคลียร์

หลังจากประกาศรับสมัคร โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี ภายใต้แนวคิด อาหารพื้นถิ่นไทย พัฒนาได้ ด้วยเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ชิงทุนการศึกษา มูลค่า 130,000  บาท โดยสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) ร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร และมีน้องๆ นิสิต นักศึกษา ให้ความสนใจและสมัครเข้าร่วมโครงการเป็นจำนวนมาก ทาง สทน. พร้อมด้วยคณะกรรมการได้มีการคัดเลือกรอบแรกและนำที่มที่ผ่านเข้ารอบไปร่วมฝึกประสบการณ์เรียนรู้ภาคปฏิบัติเพื่อเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ
 โดยทีมที่ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศมีด้วยกัน 7 ทีม ซึ่งแบ่งออกเป็น 2 รุ่น ได้แก่   รุ่นอุดมศึกษา (ระดับปริญญาตรี) และ รุ่นบัณฑิตศึกษา (ระดับปริญญาโทและเอก) รุ่นอุดมศึกษา รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล รับทุนการศึกษา  30,000 บาท พร้อมโล่ห์รางวัลและประกาศนียบัตร 
 

สทน.จัดรอบชิงชนะเลิศ  โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี

รุ่นอุดมศึกษา ได้แก่ทีม “ใครไม่คัดมังคุดคัด” จากมหาวิทยาลัยมหิดล รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล รับทุนการศึกษา 30,000 บาท พร้อมโล่รางวัลและประกาศนียบัตร   ชื่อผลงาน Green Mangsirra
  รุ่นบัณฑิตศึกษา (ระดับปริญญาโทและเอก) รางวัลชนะเลิศ 1 รางวัล รับทุนการศึกษา  30,000 บาท พร้อมโล่ห์รางวัลและประกาศนียบัตร  ได้แก่ทีม.ยิ่งฉาย ยิ่ง Shine จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ชื่อผลงาน“หรอยแรง หนมจีนไม่ไร้น้ำยา” 

            สทน.จัดรอบชิงชนะเลิศ  โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี
 โดย รศ.ดร.ธวัชชัย อ่อนจันทร์  ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน)  เปิดเผยว่า       
 “กิจกรรมครั้งนี้ เป็นการเปิดโอกาสทางความคิดให้กับคนรุ่นใหม่ ที่จะช่วยสื่อสารข้อมูลอาหารฉายรังสีที่ถูกต้องออกไปในวงกว้างและยกระดับการรับรู้เรื่องการฉายรังสีในอาหารอย่างครอบคลุมให้กับคนไทย ซึ่งปีนี้ถือเป็นปีแรกของกิจกรรม เป็นการนำร่อง แต่ก็ได้รับการตอบรับจากน้องๆ เยาวชน ทั้ง 2 รุ่นที่เราเปิดรับสมัครเป็นอย่างดี ทั้งรุ่นอุดมศึกษาและบัณฑิตศึกษา ทุกผลงานมีไอเดียการนำเสนอที่ดีมาก ซึ่งปีหน้า ทาง สทน.ก็จะมีกิจกรรมดีๆ แบบนี้ต่อไป”

              สทน.จัดรอบชิงชนะเลิศ  โครงการประกวดนวัตกรรมอาหารฉายรังสี
 สามารถติดตามความเคลื่อนไหวของโครงการได้ที่  www.tint.or.th และ http://www.facebook.com/thai.nuclear

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย19 กันยายน 2563 – 00:00 น.

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดินโดย…  เอก  อัคคี   FB:Akeakkee Ake

หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง
พระขลังเมืองกรุงศรี
อาจารย์ของนายทวี 
นายกรัฐมนตรีบารมี ๑๗ วัน
………………….

ในสมัยรัชกาลที่ ๕และรัชกาลที่ ๖ นั้น เมืองพระนครศรีอยุธยายังมีพระเกจิอาจารย์ผู้เรืองวาวิทยาคมอยู่ไม่น้อย  และหนึ่งในจำนวนนั้นได้แก่ “หลวงพ่ออ่ำ” หรือ “พระพุทธวิหารโสภณ” แห่งวัดวงษ์ฆ้องเนื่องจากท่านเป็นพระที่เก่งกล้าเชี่ยวชาญ ทั้งในด้านไสยศาสตร์และแพทยศาสตร์ ขนาดแพทย์แผนปัจจุบันยังศรัทธาเลื่อมใส เพราะสามารถทายทักอาการป่วยต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแม่นยำ โดยไม่ต้องนำตัวคนไข้มาหา แต่สามารถให้ญาติจดชื่อยาไปเจียดจากร้านซินแสได้เลย

อ่านข่าว…  หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย

นายกรัฐมนตรีคนที่ ๕ ของไทย นายทวี บุณยเกตุ

หลวงพ่ออ่ำ ท่านเป็นอาจารย์ของนายกรัฐมนตรีคนที่ ๕ ของไทย นายทวี บุณยเกตุ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งคนสำคัญที่เข้าร่วมกับคณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕  นายทวีได้รับแต่งตั้งเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (รัฐบาลของ จอมพล ป.พิบูลสงคราม) ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(สมัยรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์)ก่อนจะลี้ภัยการเมืองไปปีนังและกลับมาได้เข้าดำรงตำแหน่งในสภาร่างรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ โดยทำหน้าที่เป็นประธานสภา

หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง อยุธยา ไม่ธรรมดา ท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อฟัก วัดธรรมิกราช ในสมัยรัชกาลที่ ๕เล่ากันว่า“ พระพุทธเจ้าหลวง ”มักเสด็จฯมาที่วัดนี้อยู่เนืองๆเนื่องจากทรงศรัทธาเลื่อมใสในวิชาอาคมของ“ หลวงพ่อฟัก ”ซึ่งดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่ในขณะนั้นและมีเกร็ดที่เล่าขานกันสืบมาในหมู่ลูกศิษย์ว่า ในโอกาสที่เสด็จฯมาวัดธรรมิกราชคราวหนึ่ง ทรงมีพระประสงค์จะเสด็จฯขึ้นไปทอดพระเนตรภายพระวิหารหลวง ซึ่งตั้งอยู่บนโคกสูงกว่าเสนาสนะทั่วไป ขณะที่ทรงพระดำเนินขึ้นบันไดได้ทรงจูงมือ“หลวงพ่อฟัก”ซึ่งชะรอยจะทรงเห็นว่าค่อนข้างชราและเดินเหินไม่สันทัด 

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย

หลวงพ่ออ่ำกับ หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ 

แต่หลังเสด็จฯออกจากวัดไปได้ครู่เดียวเท่านั้น “ พระญาณไตรโลก ( อาจ ) ”  วัดศาลาปูนซึ่งเป็นเจ้าคณะเมืองกรุงเก่า ได้เรียกให้เข้าไปหาและต่อว่าต่อขานทำนองว่า ท่านละลาบละล้วงจ้วงจาบจับพระกรพระเจ้าแผ่นดิน และได้สั่งลงทัณฑกรรมให้ตักน้ำจากตีนท่ามารดโคนโพธิ์ในวัดจำนวน ๑๐๐บาตร โดยเริ่มเมื่อไหร่ก็ได้

 แต่ยังไม่ทันที่ท่านจะปฏิบัติตาม ความได้ทราบถึงพระกรรณ“ พระพุทธเจ้าหลวง ”เสียก่อน จึงได้โปรดฯให้สังฆการี(เจ้าหน้าที่วัด)มาแจ้งแก่“ เจ้าคุณญาณฯ ”ว่า“หลวงพ่อฟัก”หาได้ทำผิดตามที่สั่งลงทัณฑ์ไม่ แต่เป็นพระองค์เป็นฝ่ายจูงมือท่านเอง

ถามว่า“ หลวงพ่อฟัก ” องค์นี้มีดีอะไร จึงได้เป็นที่โปรดปรานถึงเพียงนั้น-ตอบยาก แต่ก็เล่าสืบต่อกันมาว่า ท่านเก่งทางด้านเมตตามหานิยม โดยเฉพาะ“ นะหน้าทอง ”เพราะเพียงเขียน“ ยันต์เฑาะว์ ”ลงบนฝ่ามือแล้วลูบหน้า ก็ได้ผลเป็นเมตตามหานิยมแล้ว แม้ตัวท่านเจ้าของตำราเองก็ทำแบบเดียวกัน โดยบุคคลที่รู้ไม่ทันมักเข้าใจว่า ท่านคงจะลูบหน้าเพื่อให้หูตาสว่างเหมือนผู้สูงอายุทั่วๆ ไป( ในสมัยโบราณ เขาเชื่อกันว่า คนแก่ที่มีวิชามักจะทำแบบนี้)

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย

 ภาพถ่ายหลวงพ่ออ่ำ

ในส่วนที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่าง“ พระพุทธเจ้าหลวง ”กับ“ หลวงพ่อฟัก ”นอกจากคำบอกเล่าแบบ“ มุขปาฐะ ”ที่สืบทอดต่อกันมาแล้ว ยังพบใน“ จดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ” (ลงวันที่๑พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๓๑ ) ว่า  “ เวลาค่ำแล้วพระเจ้าอยู่หัวเสด็จฯออกท้องพระโรง (ในพระราชวังบางปะอิน) เจ้าอธิการฟัก วัดธรรมิกราช เฝ้าถวายป้าน พระราชทานเงิน ๑ ชั่ง…”

เพราะฉะนั้นเมื่อมีพระอาจารย์วิชาดี บารมีสูง
 หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง จึงย่อมไม่ธรรมดา!?!

เมธี ไทยนิกรเคยเขียนเล่าไว้ในนิตยสารลานโพธิฉบับที่ ๑๐๓๒ปักษ์แรกเดือน ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๒ :หลวงพ่ออ่ำ อินฺทปญฺโญ ( พระพุทธวิหารโสภณ ) วัดวงษ์ฆ้อง พระนครศรีอยุธยา พระเกจิผู้เก่งกล้าทั้งเรื่องไสยศาสตร์และแพทยศาสตร์  ความตอนหนึ่งว่า“ พระอธิการประสิทธิ์ ธารีศรี ”อายุ ๙๒ ปี อดีตเจ้าอาวาสวัดป้อมรามัญ ( ปัจจุบันท่านมรณภาพแล้ว ) ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์ของท่านนั้น“ พระอธิการประสิทธิ์ ”กล่าวว่า หากใครไม่เห็นกับตาก็ต้องว่าโกหกพกลม อย่างเช่น กรณีที่ท่านสั่งให้เด็กไปตักน้ำมากรอกใส่ขวดโหล๒ใบ ซึ่งตั้งอยู่ติดกัน 

จากนั้นท่านได้ใช้มีดโกนตัดใบจากเป็นรูปปลา แล้วทิ้งลงไปในขวดโหลนั้นที่ละใบ พลันก็กลายเป็นปลากัดสีฉูดฉาดว่ายเข้าหากัน ราวกับจะกัดอีกตัวให้ตายไปข้าง แต่ท่านได้สั่งกำชับว่า “ ขอให้ดูแต่ตาอย่าเอานิ้วไปแหย่มันเป็นอันขาด มีเด็กบางคนที่ค่อนข้างทะเล้นบอกกับท่านว่า ปลาดุๆ แบบนี้อยากขอเอาไปกัดที่บ่อน แต่ท่านกลับสั่งสอนว่าเป็นการทรมานสัตว์ และอาจนำไปสู่การพนันขันต่อ ซึ่งล้วนเป็นเรื่องบาปกรรมและอบายมุขไม่ควรประพฤติ เพราะที่อุตส่าห์ทำให้ดูนี้ก็เพื่อแก้เหงาเท่านั้น ไม่ได้ต้องการยั่วยุให้ผิดศีลผิดธรรมอะไรเลย ”

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย

เหรียญแจกที่ระลึกงานศพหลวงพ่อ (หน้า-หลัง)

หลวงพ่ออ่ำ เป็นพระเกจิอาจารย์ ยุคเดียวกับ หลวงปู่จีน วัดเจ้าเจ็ดใน หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ หลวงพ่อจั่น วัดบางมอญ หลวงพ่อสุ่น วัดบางปลาหมอ หลวงพ่อปั้น วัดพิกุลโสคันธ์ หลวงพ่อรอด วัดสามไถ หลวงพ่อชม วัดพุทไธสวรรค์ หลวงพ่อฉาย วัดพนัญเชิง เป็นต้น

ศิษย์เอกของหลวงพ่ออ่ำที่โด่งดังมากที่สุด คือ หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ พระเกจิสายสักยันต์ หนึ่งในตำนานแห่งกรุงเก่า เจ้าของลายสักยันต์ เอกลักษณ์หนึ่งเดียวของสยามประเทศ นั้นคือลายยันต์ “บุตร ลบ (ลูกพระราม)”หนังเหนียวชนิดแมลงวัน ไม่ได้กินเลือด เหนียวขนาดที่สมัยนักเลงโบราณยุคนั้น มีเรื่องทะเลาะวิวาทกัน ต่อให้เลือดขึ้นหน้าขนาดไหน โมโหมาขนาดไหน ถ้ารู้ว่าอีกฝ่ายเป็นลูกศิษย์ของ หลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ เป็นต้องยอมหมอบราบคาบแก้ว ให้ทุกรายไป ไม่อยากมีเรื่องมีราวต่อ เพราะว่ากันว่า ตียังไงก็ตีไม่แตก เคี้ยวไม่ลง ยิ่งตี ยิ่งสู้ เป็นที่โจษจันไปทั่วทั้งทุ่งอยุธยา ว่า”ใครที่สักยันต์จาก หลวงพ่อขัน จะถูกฟันถูกตีก็ไม่ต้องกลัว ” 

ตำนานยันต์บุตรลบ แห่งเมืองกรุงเก่า นั้น ศิษย์วัดสะพานสูง แอดมินเพจชื่อดัง เคยเล่าเอาไว้ว่า เป็นยันต์พระบุตรพระลบ บายยันต์รูปเด็กสองคน หมายถึงบุตรของพระราม กล่าวกันว่ามีอิทธิฤทธิ์มาก แม้แต่หนุมานยังต่อกรไม่ได้ เมื่อนำมาสักที่ตัวคน ย่อมดลบันดาลให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์มาก ยันต์บุตรลบนิยมสักที่ชายโครง หรือที่หัวไหล่ เพราะยันต์นี้เวลาปลุกต้องเอามือลูบด้วย

เปิดกรุพระเครื่องและคณาจารย์ ของนายกรัฐมนตรีประเทศไทย

เหรียญพระแก้วมรกต ที่หลวงพ่อเคยมาร่วมปลุกเสก

ยันต์บุตรลบมีชื่อเสียงมาก ในสมัยหลวงพ่อขัน วัดนกกระจาบ นอกจากหลวงพ่อขันแล้วยังมี หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว ก็สักยันต์บุตรลบเหมือนกัน ตามประวัติหลวงพ่อซวง ท่านเรียนวิชาสักยันต์นี้มาจากอ.คำ ช่างประดับ ซึ่ง อ.คำท่านไปเรียนสักยันต์บุตรลบจากหลวงพ่ออ่ำ วัดวงฆ้อง อาจารย์ของหลวงพ่อขัน หลวงพ่อขันคงจะเรียนจากหลวงพ่ออ่ำเช่นกัน

การสืบทอดยันต์บุตรลบ มีอยู่สองสาย คือสายกรุงเก่ากับสายสิงห์บุรี สำหรับสายกรุงเก่านั้น หลวงพ่อขัน ได้ถ่ายทอดให้หลวงพ่อพรหม วัดขนอนเหนือ และหลวงพ่อพรหมได้ถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่พระอาจารย์โม่งวัดเดียวกัน ส่วนสายสิงห์บุรี อ.คำ ช่างประดับ เป็นผู้ไปเรียนมา ได้ถ่ายทอดให้หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว เมื่อหลวงพ่อซวง มรณภาพ แล้วยังไม่สามารถสืบได้ว่า ท่านถ่ายทอดวิชานี้ให้แก่ใคร

จากบันทึกของหม่อมเจ้าหญิงเริงจิตรแจรง อาภากร พระธิดาของเสด็จในกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ กล่าวไว้ว่า พระองค์(กรมหลวงชมพรฯ)ได้สักยันต์ “นะ” วิเศษกับหลวงพ่อขันวัดนกกระจาบ กรุงเก่า ที่กัณฐมณี(ลูกกระเดือก) และมีคนในรั้วในวัง อย่าง พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าเฉลิมพลฑิฆัมพร , พระยาอุภัยพิพากสา, พ.ต.อ.พระยาอนันต์ยุทธกาจ ฯลฯก็เช่นกัน 

ขนาดลูกศิษย์อย่างหลวงพ่อขัน ยังขลังขนาดนี้ 
แล้วลองคิดดูว่า หลวงพ่ออ่ำ ศิษย์หลวงพ่อฟักจะขลังขนาดไหน!?!

ในสมัยนั้นเรื่องราวความขลังของหลวงพ่ออ่ำนั้นโด่งดังไปทั่วแผ่นดิน กิตติศัพท์ของหลวงพ่อวัดวงษ์ฆ้อง ได้ยินมาถึงนายทวี บุณยเกตุ (ในสมัยนั้นยังไม่ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี)แต่มีความเคารพศรัทธามาก จึงไปฝากตัวเป็นศิษย์

วิชาที่เด่นมากของหลวงพ่ออ่ำอีกศาสตร์หนึ่งคือการเป็นหมอยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่เจ็บป่วยด้วยโรคต่างๆ ที่ไปขอความเมตตาจากท่านเป็นจำนวนมาก เพราะท่านได้แผ่เมตตาให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ไม่เลือกว่ายากดีมีจน ร่ำรวยหรือยาจกเข็ญใจ  ว่ากันว่าแม้กระทั่งสัตว์เดรัจฉาน ทั้งเป็ด ทั้งไก่ ทั้งหนู เต็มไปทั้งใต้ถุนกุฏิ รวมทั้งวัว ควาย ที่เขาจะฆ่า ถ้าท่านทราบเข้า ท่านก็จะขอบิณฑบาตชีวิตไว้ ถึงจะต้องเสียปัจจัยในการซื้อชีวิตนี้เท่าใดก็ตามท่านก็ยอม

 ประกอบกับท่านเป็นแพทย์แผนโบราณ ท่านเล่าให้ฟังว่าท่านไปเรียนที่อินเดีย ท่านไปอินเดียด้วยการเดินธุดงค์ เมื่อหลายปีมาแล้ว ไปอยู่อินเดียหลายปี เรียนวิปัสสนากรรมฐานที่อินเดียโน่นด้วย ท่านก็ใช้วิชาแพทย์โบราณที่เรียกว่าช่วยเหลือมนุษย์และสัตว์ที่เจ็บไข้ได้ ป่วย เพื่อการกุศลอย่างเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องกระดูกหัก ท่านเก่งมาก ที่ใต้ถุนกุฏิของท่านจะมีกองเฝือกที่แกะออก ผ่าออก จากแขน ขา ลำตัว คนไข้กองโตพะเนินเทินทึก กิตติศัพท์ของท่านได้ทราบกันทั่วไปในสมัยนั้น

หลายครั้งหลายเหตุการณ์ที่หลวงพ่ออ่ำ วัดวงษ์ฆ้อง ท่านไม่ได้มาที่บ้านผู้ป่วยเลย แต่ท่านจะทำการตรวจสมมุติฐานโรคโดยวิธีนั่งเพ่งเทียนที่ปากบาตรในวัด ก่อนจะบอกความให้ไปหาซื้อยาหรือจ่ายยาสมุนไพรกลับไปให้ต้มกินแล้วทุกคนก็หายจากโรคร้ายได้อย่างน่าอัศจรรย์ 

นพ. อาจินต์ บุณยเกตุ  น้องชายของนายทวี บุณยเกตุ เคยเขียนเล่าเอาไว้ว่า อย่างเช่นมีอยู่รายหนึ่งมาหาท่านจะขอให้ท่านช่วยรักษาให้ โดยที่ป่วยมานานแล้วไม่หาย หลวงพ่อท่านว่า “ไปทำสังฆทาน กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้เจ้าบุญนายคุณ เจ้ากรรมนายเวรเสีย รีบๆ ไปทำเสียเร็วๆ” 

พอคนนั้นกลับไปแล้ว ผมถามท่านว่า “ทำไมหลวงพ่อไม่ช่วยรักษาให้เขา”
ท่านตอบว่า “นาฬิกาหมดลานแล้ว เหมือนเรือถึงท่าแล้ว ก็ขึ้นจากเรือเดินต่อไปก็แล้วกัน จะแจวจะพายไปไหนกันอีก” ต่อมาภายหลังจึงทราบว่า ผู้นั้นหมดอายุแล้ว และถึงแก่กรรมต่อมาในเวลาไม่กี่วันหลังจากวันนั้น

……..

หลวงพ่ออ่ำ ท่านเคยเป็นแม่กอง ไปซ่อมแซมบูรณะพระปฐมเจดีย์ ในสมัยรัชกาลที่๔ ซึ่งตอนนั้นชำรุดทรุดโทรม แต่จะชำรุดแค่ไหน ซ่อมแซมมากน้อยเท่าไร ไม่ทราบ ทราบแต่ว่าท่านทำการบูรณะจนเสร็จการ หลวงพ่อได้พระราชทานสมณศักดิ์เป็น “พระพุทธวิหารโสภณ”

หลวงพ่อท่านมีความสนิทสนมกับในหลวงรัชกาลที่ ๕ มาก ได้รับพระราชทานเรือกันยาสองแจว สำหรับที่เข้าไปเฝ้าในวัง และได้รับพระมหากรุณาธิคุณ ให้ถวายอักษรแด่ล้นเกล้ารัชกาลที่ ๖ เมื่อยังทรงพระเยาว์ ท่านจึงมีความสนิทสนมกับในหลวงรัชกาลที่ ๖  มาก ด้วยบารมีและวัตรปฏิบัติของท่าน จึงไม่ใช่เรื่องเกินความคาดหมายอะไรที่นายทวี บุณยเกตุนายกรัฐมนตรีคนที่ ๕ (๓๑สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๘๘ -๑๗กันยายน พ.ศ. ๒๔๘๘) จะไปฝากตัวเป็นศิษย์ แม้ว่าเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีเพียงแค่ ๑๗ วัน ซึ่งตั้งและปลดโดย คณะราษฏร์ก็ขึ้นชื่อว่า เป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ล่ะน่า!?!

สำหรับวัตถุมงคลเหรียญรุ่นแรกที่สร้าง ไม่ได้สร้างเป็นรูปเหมือนของท่าน หากแต่สร้างเป็นเหรียญฝาบาตรพระพุทธชินราช ในราวปี  พ.ศ. ๒๔๖๐  ขอบเหรียญเหมือนกับขอบสตางค์ เหตุเพราะโรงกษาปณ์ในสมัยนั้นเป็นผู้ผลิต คณะลูกศิษย์ซี่งเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ได้ดำเนินการจัดสร้างเหรียญดังกล่าวขึ้นเป็นเนื้อฝาบาตรห่วงเชื่อมขอบสตางค์

นับว่าเป็นเหรียญพระพุทธเหรียญเก่าเหรียญหนึ่งที่น่าเก็บสะสมมากเหรียญหนึ่งเพราะใน สมัยนั้นมีพระเกจิอาจารย์ที่เป็นสหธรรมิกของท่าน ได้ร่วมปลุกเสกโดยเล่ากันว่าท่านนิมนต์ทางจิต ได้แก่ หลวงพ่อกลั่น วัดพระญาติ, หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า, หลวงพ่อเงิน วัดบางคลาน, หลวงพ่อยิ้ม วัดหนองบัว หลวงพ่อปั้น วัดพิกุล ,หลวงพ่อฉาย วัดพนัญเชิง, หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว ,หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก, หลวงพ่อน้อย วัดศรีษะทอง และอีกหลายคณาจารย์ที่มาร่วมพิธีปลุกเสก เหรียญรุ่นนี้ สร้างจำนวนน้อย มีพุทธคุณเหรียญนี้เด่นด้านแคล้วคลาดปลอดภัย คงกะพันชาตรี เสน่ห์เมตามหานิยม โชคลาภวาสนา กลับร้ายกลายเป็นดี ส่วนเหรียญรูปเหมือนของท่านรุ่นแรกสร้างแจกในงานพระราชทานเพลิงศพ 

หลวงพ่ออ่ำ ท่านมรณภาพถึงแก่มรณภาพไปเมื่ออายุของท่านประมาณ ๙๐ ปีโดยสภาพที่นั่งหลับทำสมาธิในกุฏิ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๘๘ ขณะนั้นยังอยู่ในภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก่อนที่จะถึงมรณภาพ ท่านได้บอกลูกศิษย์ที่รับใช้ท่านอยู่ว่า “พรุ่งนี้ไม่ฉันเช้า ไม่ฉันเพล ไม่ต้องปลุก เพลแล้วจึงค่อยเข้าไปหาในกุฏิ ก่อนจะไปหาในห้อง ให้หาอาหารนก ให้ไก่ ให้แมว ให้สุนัข และสัตว์ที่ซื้อชีวิตเขามาเลื้ยงไว้ในถุนกุฏิ ให้อิ่มเสียก่อนด้วย” 

วันรุ่งขึ้น ลูกศิษย์ก็ปฏิบัติตามที่ท่านสั่งอย่างเรียบร้อย เหมือนกับที่ปฏิบัติมาทุกวัน แต่ก็นึกแปลกใจว่า “วันนี้ทำไมหลวงพ่อไม่ตื่นออกมาฉันเช้าและฉันเพล” ทั้งๆ ที่อยากรู้ แต่ก็ไม่กล้าถามท่าน พอได้เวลาเลยไปแล้ว ลูกศิษย์ก็เปิดประตูกุฏิเข้าไปหาท่านตามสั่ง  จึงพบว่า ท่านได้ถึงแก่มรณภาพแล้ว ในลักษณะนั่งสมาธิบนเบาะพิงหมอนขวาน มือทั้งสองของท่านวางที่หน้าตัก ศีรษะเอียงไปข้างหนึ่ง จากนั้น ข่าวก็กระจายไปทั่วอยุธยาและทั่วประเทศ ลูกศิษย์ลูกหาผู้เคารพนับถือศรัทธาต่างก็หลั่งไหลไปที่วัดเพื่อกราบ นมัสการด้วยความเคารพและอาลัยยิ่ง


สำหรับเหรียญยอดนิยมทั้งสองรุ่นของท่าน
โปรดอย่าถามว่า มีของเก๊ของปลอมหริอไม่
เซียนโดนปาดคอมานักต่อนักแล้ว-ขอบอก!!

กินลดเสี่ยง เลี่ยงโรค บริโภคปลอดภัย ใส่ใจ”ปศุสัตว์ OK” #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

กินลดเสี่ยง เลี่ยงโรค บริโภคปลอดภัย ใส่ใจ”ปศุสัตว์ OK”

กินลดเสี่ยง เลี่ยงโรค บริโภคปลอดภัย ใส่ใจ"ปศุสัตว์ OK"

18 กันยายน 2563 – 15:54 น.

ความปลอดภัยในอาหาร หรือ Food Safety ที่เป็นกระแสที่ผู้บริโภคให้ความสนใจมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้เกิดการพัฒนาและยกระดับมาตรฐาน โดยเฉพาะด้านการเลี้ยงและจัดจำหน่ายเนื้อสัตว์ของประเทศไทย

กรมปศุสัตว์ ถือเป็นหน่วยงานของรัฐที่ดูแลเรื่องนี้โดยตรง โดยได้เดินหน้าผลักดันมาตรฐานสินค้าปศุสัตว์และความปลอดภัยของผู้บริโภคมาตั้งแต่ปี 2543 ครอบคลุมตั้งแต่ระบบการเลี้ยงสัตว์ (ฟาร์มมาตรฐาน GAP) และขยายงานด้านมาตรฐานสินค้าในส่วนของโรงงานผลิตและแปรรูปสินค้าปศุสัตว์อย่างต่อเนื่อง

อธิบดีกรมปศุสัตว์ น.สพ.สรวิศ ธานีโต กล่าวว่า เนื้อสัตว์ที่ผลิตภายในประเทศไทยทั้งหมด มุ่งเน้นความปลอดภัยเป็นสำคัญ นอกจากปลอดภัยในเรื่องโรคแล้ว ต้องปลอดภัยจากสารตกค้างด้วย จึงเป็นที่มาของการกรมปศุสัตว์ต้องดำเนินการด้านมาตรการ และผลักดันโครงการต่างๆ เพื่อให้ผู้บริโภคซื้อเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัย ดังเช่น โครงการ “ปศุสัตว์ OK” ที่กรมปศุสัตว์ร่วมกับผู้ประกอบการและร้านจำหน่ายเนื้อสัตว์ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 6 ที่ต่อยอดมาจากโครงการเขียงสะอาด และโครงการนี้เป็นการยกระดับอุตสาหกรรมการเลี้่ยงสัตว์ และยกระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเนื้อสัตว์ของประเทศไทย

กินลดเสี่ยง เลี่ยงโรค บริโภคปลอดภัย ใส่ใจ"ปศุสัตว์ OK"

                                          น.สพ.สรวิศ ธานีโต  อธิบดีกรมปศุสัตว์

ทำให้ตรา “ปศุสัตว์ OK” กลายเป็นสัญลักษณ์สำหรับสถานที่จำหน่ายเนื้่อสัตว์ที่ได้รับการรับรองจากกรมปศุสัตว์ว่าจำหน่ายเนื้อสัตว์ที่ถูกสุขลักษณะที่ดี มีกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานทุกขั้นตอน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค ในการเลือกซื้อเนื้อสัตว์ที่ปลอดภัย

โดยสถานที่จัดจำหน่ายที่จะเข้าร่วมโครงการ ต้องผ่านหลักเกณฑ์ 4 ข้อ ได้แก่ สินค้าที่นำมาขายต้องมาจากฟาร์มมาตรฐาน (GAP) ผ่านการเชือดและชำแหละจากโรงฆ่าสัตว์ที่ได้รับใบอนุญาต ถูกกฎหมาย มีสุขอนามัยที่ดี ปลอดภัยจากยาและสารตกค้าง ส่วนไข่ไก่ก็ต้องผลิตจากสถานที่รวบรวมไข่ที่ได้รับการรับรอง วางจำหน่ายในสถานที่จำหน่ายที่สะอาดถูกสุขลักษณะตามมาตรฐานกรมปศุสัตว์ และต้องสามารถตรวจสอบย้อนกลับถึงแหล่งที่มาของสินค้าได้

กินลดเสี่ยง เลี่ยงโรค บริโภคปลอดภัย ใส่ใจ"ปศุสัตว์ OK"

เรียกได้ว่าเนื้อสัตว์และไข่ไก่ที่ได้รับตราสัญลักษณ์”ปศุสัตว์ OK” จะต้องมีคุณภาพตั้งแต่ต้นทางกระบวนการผลิต และสิ่งที่ผู้ประกอบการต้องปฏิบัติตามมาตรฐาน อย่างเช่น เขียงต้องสะอาด ภาชนะเป็นสแตนเลส การแต่งกายของผู้จำหน่ายต้องสะอาด และสวมถุงมือสำหรับหยิบจับสินค้า เป็นต้น

โครงการนี้ได้รับความร่วมมืออย่างดีจากผู้ที่จำหน่ายสินค้าเนื้อสัตว์ที่ทุกคนต่างมุ่งหวังให้เนื้อสัตว์ที่มาจำหน่ายสู่ผู้บริโภค เป็นเนื้อสัตว์ที่สะอาดปลอดภัย ได้มาตรฐาน เมื่อเห็นโครงการนี้ว่าเป็นโครงการที่สามารถตรวจสอบย้อนกลับได้จึงมาร่วมมือกัน ทำให้ทั้งฝ่ายผู้จำหน่ายได้ประโยชน์ตรงที่มีการตรวจรับรองจากกรมปศุสัตว์ที่ช่วยตรวจเช็คให้ว่าสินค้าที่นำมาขายนั้นมีที่มาที่ไป มีการตรวจสอบที่ถูกต้อง ผู้บริโภคสามารถซื้อหาได้อย่างมั่นใจ เมื่อนำไปรับประทาน แล้วเกิดมีปัญหารขึ้นมาเจ้าหน้าที่กรมปศุสัตว์ก็จะสามารถเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการให้

ปัจจุบันโครงการปศุสัตว์ OK ให้การรับรองสินค้า 7 ชนิด ได้แก่ เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อเป็ด เนื้อโค ไข่ไก่สด ไข่เป็ดสด และไข่นกกระทาสด และมีสถานที่จำหน่ายเข้าร่วมโครงการฯแล้ว 7,000 แห่ง ใน 77 จังหวัดทั่วประเทศ ทั้งในตลาดสด และสถานที่จำหน่ายในห้างสรรพสินค้า Modern trade โดยสถานที่จำหน่ายที่ผ่านการรับรองภายใต้โครงการฯ จะได้รับใบประกาศและป้ายสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ไว้แสดง ณ จุดจำหน่าย

เมื่อผู้บริโภคเห็นตราสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK” ณ สถานที่จำหน่าย จึงมั่นใจได้ว่า เนื้อสัตว์ และไข่ไก่ ที่ซื้อไปบริโภคนั้น มีคุณภาพ ปลอดภัย และผ่านการตรวจสอบรับรองจากกรมปศุสัตว์ … เลือกซื้อเนื้อสัตว์และไข่ไก่ปลอดภัยครั้งใด อย่าลืมสังเกตสัญลักษณ์ “ปศุสัตว์ OK”

หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒

หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒12 กันยายน 2563 – 00:00 น.

หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒ ของประเทศต้องดั้นด้นไปอาบน้ำมนต์ คอลัมน์…  ตามรอยแผ่นดิน  โดย…  เอก  อัคคี       FB:Akeakkee Ake    

ต้องบอกว่า สยามประเทศของเราก่อนเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี ๒๔๗๕เราก็เป็นแผ่นดินแห่งพุทธศาสนามีความเชื่อมีความศรัทธาในพระเครื่องวัตถุมงคลมาตั้งแต่ไหนแต่ไรที่สำคัญไม่มีใครออกมาโจมตีว่าร้ายให้เสื่อเสียว่า เป็นเรื่องงมงาย ไร้สาระ เพราะการสร้างพระเครื่อง การปลุกเสกวัตถุมงคลนั้นทำอย่างเต็มที่ ปลุกเสกอย่างเข้มขลังเรียกว่า เชื่อมั่นได้เลยว่า ไม่ธรรมดา

อ่านข่าว..  เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว 

อย่างในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของบ้านเมือง ซึ่งในเวลายังไม่มีสัญญานใดๆที่จะส่อเค้าว่าจะมีเหตุการณ์พลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน สยามประเทสเรายักปกครองด้วยระบบสมบูรณาญาสิทธิ์ราช ปี พ.ศ. ๒๔๗๐ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ แห่งราชวงศ์จักรกรี .ทรงโปรดเกล้าแต่งตั้งคณะกรรมการ เพื่อปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามหรือวัดพระแก้วให้เสร็จเรียบร้อยทันกับการจัดงานสมโภชกรุงเทพมหานครครบ ๑๕๐ ปี ใน พ.ศ.๒๔๗๕ 

โดยมี สมเด็จพระบรมวงศ์เธอเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต ซึ่งในยุคนั้นถือว่าเป็นผู้เรืองอำนาจที่สุดทรงเป็นประธานคณะกรรมการ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชศรัทธา อุทิศพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ รัฐบาลอนุญาตเงินแผ่นดินอุดหนุน ส่วนที่ยังขาดอยู่ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าฯ ให้กรรมการจัดดำเนินการเรี่ยไรพระบรมวงศานุวงศ์ ข้าราชการ และประชาชนทั่วไป เพื่อให้ได้มีโอกาสบำเพ็ญกุศลร่วมกัน โดยให้กระทรวงพระคลัง มหาสมบัติจัดพนักงานรับเรี่ยไร โดยมีใบเสร็จ และเหรียญพระแก้วตอบแทน เป็นที่ระลึก

หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒

เหรียญพระแก้วมรกต                

แน่นอนว่า เมื่อมีการจัดสร้างเหรียญพระแก้วมรกต ขึ้นมาก็ต้องนิมนต์พระเกจิอาจารย์ ที่เข้าร่วมพิธีพุทธาภิเษกที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม (วัดพระแก้ว) พ.ศ.๒๔๗๕ จากทั่วประเทษ เอกสารภายในของสำนักงานวัดพระแก้ว ระบุว่า พระเกจิอาจารย์ที่มาร่วมในพิธีพุทธา ภิเษก  ประกอบด้วย 
๑. พระเจ้าวรวงศ์เธอกรมหลวงชินวรสิริวัฒน์ สมเด็จพระสังฆราชเจ้า วัดราชบพิตร
๒. สมเด็จพระวันรัต ( แพ ติสสเทโว ) วัดสุทัศน์
๓. พระโพธิวงศาจารย์(นวม) วัดอนงคาราม
๔. สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เข้ม) วัดโพธิ์
๕. หลวงพ่อคง วัดซำป่าง่าม ฉะเชิงเทรา
๖. หลวงพ่อเข้ม วัดม่วง ราชบุรี
๗. หลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้ว
๘. หลวงพ่อจันทร์ วัดนางหนู ลพบุรี
๙. หลวงปู่รอด วัดทุ่งศรีเมือง อุบลฯ
๑๐. หลวงพ่อเปี้ยน วัดโพธิราม สุพรรณบุรี
๑๑. หลวงพ่อกรัก วัดอัมพวัน ลพบุรี
๑๒. เจ้าคุณอุบาลี สิริจันโท วัดบรมนิวาส
๑๓. หลวงพ่อช่วง วัดปากน้ำ สุมทรสงคราม
๑๔. หลวงพ่อแฉ่ง วัดพิกุลเงิน นนทบุรี
๑๕. หลวงพ่อพุ่ม วัดบางโคล่
๑๖. หลวงพ่อพริ้ง วัดบางปะกอก
๑๗. หลวงพ่อฉาย วัดพนัญเชิง อยุธยา
๑๘.หลวงพอลา วัดแก่งคอย สระบุรี
๑๙. หลวงพ่อไปล่ วัดกำแพง
๒๐. หลวงพ่อเดิม วัดหนองโพธิ์ นครสวรรค์
๒๑. หลวงพ่อบ่าย วัดช่องลม สุมทรสงคราม
๒๒. หลวงพ่อลา วัดโพธิ์ศรี สิงห์บุรี
๒๓. หลวงพ่อเปลี่ยน วัดใต้ กาญจนบุรี
๒๔. หลวงพ่ออี๋ วัดสัตหีบ ชลบุรี
๒๕. หลวงพ่อทอง วัดเขากบ นครสวรรค์
๒๖. หลวงพ่อคง วัดท่าหลวงพล ราชบุรี
๒๗. หลวงพ่อสอน วัดป่าเลไลย์ สุพรรณบุรี
๒๘. หลวงพ่อคง วัดบางกะพ้อม สุมทรสงคราม
๒๙. หลวงพ่อชม วัดพุทไธสวรรค์ อยุธยา
๓๐. หลวงพ่อรุ่ง วัดท่ากระบือ สุมทรสงคราม
๓๑. หลวงพ่อพวง วัดหนองกระโดน นครสวรรค์
๓๒. หลวงพ่อคง วัดใหม่บำเพ็ญบุญ
๓๓. หลวงพ่อญัติ วัดสายไหม ปทุมธานี
๓๔. หลวงพ่อพร วัดดอนเมือง
๓๕. หลวงพ่อเผือก วัดกิ่งแก้ว
๓๖. หลวงพ่อศรี วัดพระปรางค์ สิงห์บุรี
๓๗. หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก อยุธยา
๓๘. หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา
๓๙. หลวงพ่อพิธ วัดฆะมัง พิจิตร
๔๐. หลวงพ่อจันทร์ วัดบ้านยาง ราชบุรี
๔๑. หลวงพ่อสด วัดปากน้ำ
๔๒. หลวงพ่อเปี่ยม วัดเกาะหลัก
๔๓. หลวงพ่อสนธิ์ วัดสุทัศน์
จะเห็นได้ว่ารวมสุดยอดเกจิแห่งยุคนั้นเลยก็ว่าได้ครับ
 

หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒

พระยาพหลฯ    

จึงเป็นธรรมดาที่ตราบจนทุกวันนี้ เหรียญพระแก้วมรกต ปี๒๔๗๕ จึงยังเป็นเหรียญยอดนิยมตลอดกาล แต่ประเด็นที่ผมจะเล่าให้ฟังไม่ใช่เรื่องของ เหรียญพระแก้วมรกต แต่อยากจะเล่าถึงเรื่องราวของ พระเกจิอาจารย์รูปหนึ่งที่ถูกนิมนต์ให้เข้ากรุงเทพมหานคร เพื่อมาร่วมในพิธีพุทธาภิเษก นั่นคือ หลวงพ่อลา วัดแก่งคอย จ.สระบุรี

……………………..

นักเลงโบราณว่ากันว่า พลังจิตของ พลวงพ่อลา นั้นไม่ธรรมดา ที่สำคัญท่านร่ำเรียนวิชาไสยศาสตร์ ศึกษาพุทธคุณและถือว่าเป็นพระดังและขลังจริง

สรรพวิชาวิทยาคมที่เก่งกาจของท่านมากที่สุดอีกศาสตร์หนึ่ง คือ การเสกน้ำมนต์ให้ได้อาบเพื่อล้างเสนียดจัญไร โดยที่ผู้มาอาบน้ำมนต์เขียนใส่ในกระดาษนั้นแล้วม้วนเก็บไว้  แต่หลวงพ่อท่านสามารถล่วงรู้ได้โดยไม่ต้องบอกเล่าหรือบรรยายความทุกข์ความโศกในใจ

มีเรื่องเล่ากันว่า ในปี ๒๔๗๕ มีคณะนายทหารกลุ่มหนึ่งเดินทางจากพระนคร ไปกราบขออาบน้ำมนต์จากหลวงพ่อลา เมื่อถึงช่วงที่ให้เขียนความปรารถนาลงในกระดาษเสร็จแล้วใส่พานถวายท่าน  หลวงพ่อลาท่านพูดขึ้นมาทั้งที่ยังไม่ได้หยิบกระดาษมาคลี่เปิดออกอ่านดูว่า “มีอยู่ผู้หนึ่งในพิธีกรรมครั้งนี้ที่ไม่อธิษฐานให้แก่ตนเอง แต่กลับอธิษฐานให้แก่ชาติบ้านเมืองส่วนร่วมโดยทั่วไป”เล่นเอานายทหารคณะนั้นนั่งเงียบกริบ

ซึ่งต่อมาก็มีการสืบค้นกันว่า บุคคลผู้อธิษฐานที่หลวงพ่อลากล่าวถึงคือ พระยาพหลพลพยุหเสนา หนึ่งในคณะนายทหารผู้ก่อการล้มล้างการปกครองในนาม คณะราษฏร์ โดยท่านมาบอกภายหลังว่า ในตอนนั้นท่านตั้งจิตอธิษฐานว่า 

“ประเทศชาติขณะนี้ได้ระส่ำระสายมีแต่การแตกแยกกัน ขอให้อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายจงช่วย ให้เกิดความร่วมเย็นเป็นสุขในประเทศ และมีความเจริญวัฒนายิ่ง ๆ ขึ้นไป อย่าได้สูญเสียเอกราชตกเป็นทาสของชาติใดเลย” 

น่าแปลกที่หลวงพ่อลาท่านสามารถล่วงรู้คำอธิษฐานในใจผู้อื่นได้

…………….


อย่างที่บอกว่า เมื่อทุกคนเขียนคำอธิษฐานเสร็จเรียบร้อย หลวงพ่อลาท่านจะนำกระดาษสาลงยันต์กับกระดาษเขียนคำอธิษฐานของแต่ละคนมาพันห่อเข้ากับด้ายดิบเพื่อทำเป็นไส้เทียน โดยมีไม้ไผ่เป็นแกนกลาง จากนั้นหลวงพ่อลาท่านจะนำเอาขี้ผึ้งหนัก ๔ บาท ที่ไปอังไฟจนอ่อนนิ่มใช้มือคลี่ให้ขี้ผึ้งบานออกเป็นแผ่น นำใส่เทียนที่เตรียมไว้วางตรงกลาง แล้วใช้มือกลึงฟั่นเทียนให้เป็นเทียนเล่มใหญ่พอควร โดยฟั่นเทียนให้มีโคนใหญ่เพื่อเป็นฐานสามารถตั้งเทียนไม่ให้ล้ม เสร็จสิ้นกรรมวิธีสร้างเทียนตั้งธาตุ จากนั้นหลวงพ่อลา ท่านจะนำเทียนนี้ไปติดไว้ใจกลางขันใบเล็กที่เตรียมไว้ เมื่อติดเทียนจะใช้นิ้วกดโคนเทียนให้แบออกเพื่อให้ติดก้นขัน ต่อมาท่านให้จุดเทียนน้ำมนต์แล้วให้เจ้าของเทียนทำการอธิษฐานสำทับอีกครั้ง เสร็จแล้วหลวงพ่อลาท่านจะนำเอาเทียนน้ำมนต์ที่ติดอยู่กับขันวางลงในถังน้ำมนต์ที่บรรจุน้ำอยู่เต็ม

…………….

หลวงพ่อลา วัดแก่งคอยสุดยอดอาจารย์ขลังพลังเวท ที่พระยาพหลพลพยุหเสนา นายกฯคนที่๒

หลวงพ่อลา

มีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ขณะที่หลวงพ่อลาท่านนั่งทำสมาธิสวดมนต์ภาวนาตามตำราของท่านอยู่นั้น  เพียงครู่หนึ่งผู้เข้าร่วมพิธีต่างต้องประหลาดใจ เมื่อเทียนในถังน้ำมนต์ที่จุดสว่างไสวอยู่เบื้องหน้า เปลวเทียนที่ลุกโชติช่วงนั้นกลับไม่มีน้ำตาเทียนไหลลงมาเช่นเทียนปกติทั่วไป กลับกันกลายเป็นส่วนฐานของเทียนด้านล่างที่หลอมละลายอยู่ในขัน ดูไปคล้ายเทียนโดนความร้อนจากด้านล่าง

…………….

สำหรับคุณวิเศษของวิชาน้ำมนต์เทียนตั้งธาตุนี้ นับเป็นวิชาทำน้ำมนต์ที่มหัศจรรย์ยิ่งนัก ว่ากันว่าหากผู้ใดได้อาบกินแล้วถือได้ว่าสำเร็จตามความปรารถนาที่ได้อธิษฐานไว้ทุก ประการ ถึงแม้ว่ามีความขึ้นโรงขึ้นศาลเรื่องราวปัญหาชีวิตต่างๆ ที่หนักหนาสาหัสก็จะบรรเทาเบาบางลง ส่วนเรื่องที่ไม่หนักหนาก็จะสูญหายไปอย่างน่าอัศจรรย์ 

…………….

อย่างที่บอกว่า หลวงพ่อท่านมีชื่อเสียงโด่งดังมาตั้งแต่ม่านยังดำรงขันธ์อยู่นั้น มีผู้มาขอให้หลวงพ่อลาทำพิธีอาบน้ำมนต์ให้ทุกวันตั้งแต่เช้ายันดึก ไม่เว้นแต่ละวันและหลวงพ่อก็ไม่เคยทำให้ผู้ใดผิดหวังกลับไปแม้แต่รายเดียว 

บรรดาผู้มีอำนาจปกครองบ้านเมืองในสมัยนั้น ต่างเดินทางเข้ามาฝากตัวเป็นศิษย์กันมากมาย โดยเฉพาะบุคคลสำคัญในคณะเปลี่ยนแปลงการปกครองหรือคณะราษฎร์ ที่มาตั้งแต่ก่อนการลงมือก่อการฯอย่าง พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) , จอมพล ป.พิบูลสงคราม , หลวงวิสุชาญแพทย์ , นายควง อภัยวงศ์ ฯลฯ บรรดายอดขุนพลขุนศึกทั้งหลายก็มากันตลอด ยิ่งเมื่อยึดอำนาจสำเร็จแล้วก็ยิ่งมาด้วยความเคารพศรัทธาเชื่อมั่น 

แต่ในบรรดาลูกศิษย์ ที่หลวงพ่อลา เมตตาเป็นพิเศษ  คือ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่๒  และคงจะอบรมสั่งสอน แนะขนำให้ พระยาพหลฯ เป็นนายกรัฐมนตรีที่มีความซื่อสัตย์ มีคุณธรรม   ฯพณฯท่านจึงเป็นนายกฯที่มีความเป็นอยู่ที่เรียบง่าย สมถะ ไม่สะสมทรัพย์สินเงินทองใดๆ

ว่ากันว่า ตอนท่านพระยาพหลฯ ถึงแก่อสัญกรรม เมื่อพ.ศ.๒๔๙๐ ด้วยวัยอายุ ๖๐ ปี ครอบครัวท่านไม่มีเงินที่จะจัดพิธีพระราชทานเพลิงศพให้สมเกียรติเลยแม้แต่น้อย จนทางรัฐบาล คือ พล.ร.ต.ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือจัดงานศพให้สมเกียรติอดีตนายกรัฐมนตรี 

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า คนที่เคยเป็นนายกรัฐมนตรีถึง ๕ สมัย อยู่ในตำแหน่งที่มีอำนาจล้นฟ้าบารมีประเทศตั้ง ๕ ปีครึ่ง แต่ไม่ได้คิดแสวงหาความร่ำรวยเลย ผิดกับอดีตนายกรัฐมตรียุคต่อมาอีกหลายท่านที่ล่อเสียจนพุงกาง ต้องตามยึดทรัพย์กันให้วุ่นวาย ลูกหลานเหลนโหลนอับอายขายขี้หน้า.

สมควรแล้วที่ พระยาพหลพลพยุหเสนา (พจน์ พหลโยธิน) ได้รับคำยกย่องว่า เป็น เชษฐบุรุษประชาธิปไตย

เหรียญรุ่นแรกหลวงพ่อลา สภาพงามๆ สวยสมบูรณ์ ปัจจุบันี้นี้ ราคา ๗ หลักยังไม่ค่อยมีใครขาย เพราะหายาก ขลังสุดและเป็นเหรียญหลักยอดนิยม ของเมืองสระบุรี

นิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายผลิตภัณฑ์ไร้ควัน #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

นิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายผลิตภัณฑ์ไร้ควัน 

นิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายผลิตภัณฑ์ไร้ควัน 11 กันยายน 2563 – 14:26 น.

นิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายผลิตภัณฑ์ไร้ควัน  ท่ามกลางข่าวการจับกุมผู้ลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย

ท่ามกลางข่าวการจับกุมผู้ลักลอบขายบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย ที่ล่าสุดมีการบุกยึดศูนย์กระจายสินค้าย่านบางแก้ว ได้ของกลางกว่า 2 ล้านบาท ในประเทศนิวซีแลนด์กลับมีความก้าวหน้าที่น่าสนใจและแตกต่างจากแนวทางของประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง โดยนิวซีแลนด์ที่เพิ่งผ่านร่างกฎหมายสำคัญ “พระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมและการควบคุมผลิตภัณฑ์ไร้ควัน” เมื่อด้นเดือนสิงหาคมซึ่งกระทรวงสาธารณสุขเชื่อว่าจะทำให้นิวซีแลนด์รักษาชีวิตผู้สูบบุหรี่หลายพันคนได้และทำให้คนรุ่นใหม่มีอนาคตที่ปราศจากควันบุหรี่
 พ.ร.บ. สิ่งแวดล้อมและการควบคุมผลิตภัณฑ์ไร้ควัน กำหนดกฎกติกาที่ชัดเจนในการอนุญาตให้ใช้ผลิตภัณฑ์ เพื่อเป็นทางเลือกสำหรับผู้เสพติดบุหรี่แบบมีควันที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพมากกว่า และเตรียมมาตรการควบคุมการใช้อย่างเข้มงวดภายในช่วงเวลาสองปีต่อจากนี้ไป ทั้งนี้ข้อจำกัดที่เข้มงวดก็ยังถูกตั้งคำถามถึงผลลัพธ์ที่อาจจะไม่เปิดโอกาสในการเข้าถึงทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าได้จริง โดยกระทรวงสาธารณสุขนิวซีแลนด์คาดหวังว่ากฎหมายฉบับนี้ จะช่วยสนับสนุนการสร้างทางเลือกให้แก่ผู้เสพติดบุหรี่ได้อย่างปลอดภัย

นิวซีแลนด์ผ่านกฎหมายผลิตภัณฑ์ไร้ควัน 

เจนนี เซลเลสซา รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุขนิวซีแลนด์ กล่าวผ่านแถลงการณ์ที่เผยแพร่ต่อสาธารณชนว่า เรารู้ว่าผลิตภัณฑ์ไร้ควันยังมีความเสี่ยงอยู่ แต่เมื่อเทียบกับการสูบบุหรี่ซิกาแร็ตต์ทั่วไป มันมีอันตรายน้อยกว่าถึง 95 เปอร์เซ็นต์ กฎหมายฉบับนี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่ต้องการ “เลิกบุหรี่โดยใช้ผลิตภัณฑ์ไร้ควันเป็นทางเลือก” และ ช่วยกระตุ้นให้เด็กและเยาวชนห่างไกลจากบุหรี่ที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพมากกว่าด้วย 
 “พ.ร.บ. ฉบับนี้ เอื้อให้เราสามารถควบคุมการสื่อสารข้อมูลและกำหนดข้อปฏิบัติที่เหมาะสมสำหรับคนที่ต้องการเปลี่ยนจากการสูบบุหรี่แบบเผาไหม้ควันมาเป็นผลิตภัณฑ์ไร้ควันทดแทนได้” รมช. สธ. กล่าว

 โดยเนื้อหาในร่างพ.ร.บ.ฯ ระบุรายละเอียดการอนุญาตการขายผลิตภัณฑ์ไร้ควัน ไว้ชัดเจน 2 แบบ โดยแบบแรก อนุญาตให้มีการขายผลิตภัณฑ์ไร้ควันในร้านค้าปลีกทั่วไป สถานีให้บริการต่าง ๆ เช่น ปั๊มน้ำมัน และซูเปอร์มาร์เก็ตทั่วไป เฉพาะผลิตภัณฑ์ฯแต่งรสและกลิ่น 3 รสเท่านั้น ได้แก่ ใบยาสูบ มินต์ และเมนทอล ส่วนผลิตภัณฑ์ฯ รสอื่น ๆ  กฎหมายอนุญาตให้ขายเฉพาะในร้านค้าปลีกเฉพาะทางและขายทางเวบไซต์หรือร้านออนไลน์ของผู้ผลิตโดยตรงเท่านั้น
ปัจจุบันการสูบบุหรี่เป็นสาเหตุการตายของพลเมืองนิวซีแลนด์จากโรคไม่ติดต่อเรื้อรังที่เกี่ยวข้องกับการสูบบุหรี่ เฉลี่ยปีละ 5,000 คนต่อปีการออกกฎหมายควบคุมผลิตภัณฑ์ไร้ควันเป็นกระบวนการที่นิวซีแลนด์เล็งเห็นว่า จะเอื้อประโยชน์ต่อพลเมืองของประเทศได้ ภายใต้การควบคุมเรื่องการประชาสัมพันธ์ข่าวสารและการใช้งานผลิตภัณฑ์ เช่น ห้ามใช้ในที่ทำงาน ห้ามการขายผลิตภัณฑ์ให้เยาวชนอายุต่ำกว่า 18 ปี 
 ขณะที่ สื่อชื่อดังอย่างนิวซีแลนด์ เฮรัลด์ เผยบทวิเคราะห์ของ ดร. เมอร์เรย์ เลอเกเซน จากมูลนิธิต่อต้านบุหรี่ของนิวซีแลนด์ที่ระบุว่า ยอดขายบุหรี่ลดลงเฉลี่ยปีละ 8% หรือมากกว่า 410 ล้านมวนภายในสองปีที่ผ่านมา เพราะผู้สูบบุหรี่เปลี่ยนไปบุหรี่ไฟฟ้าทดแทนการสูบบุหรี่ ซึ่งมากกว่าในช่วง 6 ปีแรกที่รัฐบาลประกาศแผนสร้างสังคมปลอดควันปี 2025 ถึง 3 เท่า ซึ่งในครั้งนั้น รัฐบาลใช้วิธีการขึ้นภาษีบุหรี่จาก 16.39 เหรียญนิวซีแลนด์ ในปี 2011 จนเป็น 41.89 เหรียญนิวซีแลนด์ในปัจจุบัน
ด้านบริษัทผู้ผลิต ผลิตภัณฑ์ไร้ควัน อาทิ Shosha อิมพีเรียล และ VTANZ พร้อมขานรับกฎหมายนี้ ด้วยการเตรียมเปิดร้านค้าปลีกอีกหลายแห่งทั่วประเทศในสามเดือนข้างหน้า และเห็นว่ากฎหมายฉบับใหม่นี้มีความชัดเจนให้กับร้านค้าปลีก และเปิดโอกาสให้ผู้ผลิตนำเสนอผลิตภัณฑ์ไร้ควันเข้าถึงผู้บริโภคแบบมีระเบียบชัดเจนได้มากขึ้นทั่วประเทศ
 ตามรายงานของ The SunLive สื่อออนไลน์ในนิวซีแลนด์ระบุว่ากฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายในการปกป้องเด็กและเยาวชน โดยมีข้อกฎหมายกำหนดชัดเจนว่า ผลิตภัณฑ์แบบไร้ควัน ไม่ได้รับอนุญาตให้มีการทำการตลาดกับกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเด็กและเยาวชน ในขณะเดียวกันก็ไม่ตัดโอกาสของผู้เสพติดบุหรี่วัยผู้ใหญ่ที่ยังไม่สามารถเลิกเด็ดขาดและต้องการใช้ผลิตภัณฑ์ไร้ควันเป็นทางเลือก เพื่อลดสารก่ออันตรายต่อสุขภาพ 
 ทั้งนี้ ยังมีข้อวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายผู้ผลิตและผู้บริโภคว่า การมีข้อจำกัดด้านพื้นที่และประเภทผลิตภัณฑ์ในการขายที่เข้มงวดเกินไป อาจจะไม่ส่งผลลัพธ์ที่ชัดเจนนัก หากรัฐต้องการสนับสนุนการใช้ผลิตภัณฑ์ยาสูบไร้ควัน เพื่อช่วยลด “การได้รับสารก่ออันตรายต่อสุขภาพ” ในผู้ยังเลิกบุหรี่เด็ดขาดไม่ได้

อย่างไรก็ตาม น่าติดตามต่อไปว่าหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ของไทย ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงพาณิชย์ สคบ. สองหน่วยงานเจ้าของประกาศห้ามนำเข้าและห้ามให้บริการ รวมทั้งกระทรวงสาธารณสุข จะเห็นด้วยตามแนวทางของนิวซีแลนด์หรือไม่ หรือจะไล่จับไล่ปราบปรามผู้ค้า-ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้ากันต่อไป

ดีเดย์วันที่ 9 เดือน 9 “ม.เกริก” เปิดตัวหลักสูตรใหม่ “นักพัฒนาธุรกิจการค้า ไทย-จีน” รุ่นที่ 1 #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

 ดีเดย์วันที่ 9 เดือน 9 “ม.เกริก” เปิดตัวหลักสูตรใหม่ “นักพัฒนาธุรกิจการค้า ไทย-จีน” รุ่นที่ 1

 ดีเดย์วันที่ 9 เดือน 9 "ม.เกริก" เปิดตัวหลักสูตรใหม่ "นักพัฒนาธุรกิจการค้า ไทย-จีน" รุ่นที่ 19 กันยายน 2563 – 22:33 น.

ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเกริก และ สถาบันพัฒนาธุรกิจการค้าแห่งมหาวิทยาลัยเกริก เชิญผู้สนใจทำการค้ากับจีนทุกท่านร่วมงาน “โอเพ่นเฮ้าส์” หลักสูตร “นักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน” หรือ นพธ.รุ่นที่ 1 ในวันที่ 9 เดือน 9 นี้ 13.00 น.เป็นต้นไป ที่มหาวิทยาลัยเกริก

ดร.วิริยะ ลิขิตวงศ์  ผู้อำนวยการ หลักสูตร “นักพัฒนาธุรกิจการค้า ไทย-จีน” (นพธ.รุ่นที่ 1) สถาบันพัฒนาธุรกิจการค้าแห่งมหาวิทยาลัยเกริก กล่าวถึงการเปิดหลักสูตรฯนี้อย่างเป็นทางการในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2563 ว่า  ทางสถาบันพัฒาธุรกิจการค้าแห่งมหาวิทยาลัยเกริก ได้ประชาสัมพันธ์หลักสูตรนักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน หรือ นพธ.รุ่นที่ 1 มาร่วม 2 เดือนแล้ว จึงได้ฤกษ์เปิดตัวหลักสูตรนี้อย่างเป็นทางการ ในวันที่ 9 กันยายนนี้ หรือ ตรงกับวันที่ 9 เดือน 9
 สำหรับผู้ที่สนใจทำการค้าร่วมกับจีนเพื่อปรับตัวรับกับโลกยุคใหม่ทางการค้า หลักสูตรนักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน หรือ นพธ. รุ่นที่ 1 ตอบโจทย์ให้กับนักธุรกิจไทยที่ต้องการเรียนรู้หลักวิชาการและภาคปฏิบัติที่เข้มข้น โดยชั่วโมงสุดท้ายของการเรียนจะเปิดให้นักลงทุนชาวจีน เช่น  ธนาคารพาณิชย์ของจีน เข้าร่วมฟังการเสนอนำเสนอแผนของนักศึกษาในหลักสูตรนี้ โดยปัจจุบันมีผู้ลงทะเบียนเรียนแล้วกว่า 50 คน ซึ่งมาจากลุ่มนักธุรกิจชาวไทย ข้าราชการ และ ผู้บริหารจากองค์กรเอกชน รวมทั้งสื่อมวลชน เพื่อพัฒนาตนเองสู่เส้นทางการค้าไทย-จีน ในโลกยุคใหม่
“ถ้าท่านคิดจะทำการค้ากับจีน ต้องไม่พลาดหลักสูตรนี้ รู้เขา รู้เรา ท่านต้องคิดว่า ในหลักสูตรนี้ ช่วยให้ท่านเริ่มต้นทำธุรกิจ รู้ถึงวัฒนธรรม รู้ถึงสังคม รู้ถึงนิสัยใจคอของคู่ค้าเรา ผมว่าหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ทั้งหมด ด้วยราคาค่าลงทะเบียนไม่กี่พัน แต่ท่านได้ทำแผนธุรกิจและที่สำคัญคัมภีร์ที่จะได้จากหลักสูตรฯนี้คือ ท่านได้ทำแผนธุรกิจในลักษณะบิสซิเนสแมทชิ่ง(Business Matching)  มีพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษาท่านตลอดเวลา ผมว่า ท่านคุ้มค่า หลังเรียนจบได้รับประกาศนียบัตรจากทางมหาวิทยาลัยเกริกและของทางสถาบันพัฒนาธุรกิจการค้าแห่งมหาวิทยาลัยเกริกที่ร่วมกันจัดทำตรงนี้ขึ้นมา ผมว่าหลักสูตรนี้เป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ผู้ที่สนใจทำการค้าร่วมกับจีน” ผู้อำนวยการหลักสูตรฯ กล่าว
 

 ดีเดย์วันที่ 9 เดือน 9 "ม.เกริก" เปิดตัวหลักสูตรใหม่ "นักพัฒนาธุรกิจการค้า ไทย-จีน" รุ่นที่ 1

                                                  ดร.วิริยะ ลิขิตวงศ์  

ดร.วิริยะ กล่าวเพิ่มเติมว่าเรียนเชิญผู้สนใจทำการค้าร่วมกับจีนทุกท่านมาร่วมงานเปิดบ้าน หรือ โอเพ่นเฮ้าส์ (open house) ที่มหาวิทยาลัยเกริก ในวันที่ 9 กันยายน พ.ศ.2563 เวลา 13.00 นาฬิกา เพื่อมาเยี่ยมชมหลักสูตร มาชมสถานที่ของมหาวิทยาลัยเกริก มาชมห้องสมุดที่มีความพร้อมมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งในประเทศไทยโดยทางศาสตราจารย์นายแพทย์ ดร.กระแส ชนะวงศ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกริก เคยกล่าวว่าคนที่มาเรียนในหลักสูตรนี้ สามารถมาใช้ห้องสมุดในการศึกษาหาความรู้ได้เต็มที่และ สำหรับผู้ที่ต้องการคำปรึกษาทางด้านธุรกิจไทย-จีน สามารถมาขอคำปรึกษาได้ที่ชั้น 3 อาคารเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยเกริก มีเจ้าหน้าที่คอยให้คำแนะนำท่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทำการค้า การติดต่อ การประสานงาน เราเป็นธุระให้ เพราะเรามีผู้เชี่ยวชาญชาวจีนพร้อมในหลักสูตรฯนี้ด้วย” ดร.วิริยะ กล่าว  

 ดีเดย์วันที่ 9 เดือน 9 "ม.เกริก" เปิดตัวหลักสูตรใหม่ "นักพัฒนาธุรกิจการค้า ไทย-จีน" รุ่นที่ 1

                             ศาสตราจารย์นายแพทย์ ดร.กระแส ชนะวงศ์ อธิการบดี มหาวิทยาลัยเกริก

 สำหรับโปรโมชั่นช่วงโอเพ่นเฮ้าส์(open house) ท่านที่สนใจสมัครเรียนหลักสูตร “นักพัฒนาธุรกิจการค้าไทย-จีน” หรือ นพธ.รุ่นที่ 1 จะได้รับแพ็กเก็จซื้อ 1 แถม 1 โดยจ่ายในราคาเพียง 48,500 บาท (ไม่รวมภาษี) สามารถเรียนได้ 2 ที่นั่ง 
 หลักสูตร “นักพัฒนาธุรกิจการค้า ไทย-จีน” หรือ นพธ.รุ่นที่ 1 เป็นหลักสูตรที่ตอบโจทย์ผู้ที่สนใจศึกษาการค้าไทย-จีน อย่างเป็นระบบ ทั้งเนื้อหาทางวิชาการที่เข้มข้น และ ภาคปฏิบัติ โดยแบ่งเป็นการเรียนภาคทฤษฎี จากคณาจารย์ชาวจีน หรือ เหล่าซือ 6 ครั้ง และ คณาจารย์ชาวไทยอีก 6 ครั้ง รวม 12 ครั้ง ส่วนที่เหลืออีก 3 ครั้ง แบ่งเป็นงานเสวนาใหญ่2 ครั้ง และ ชั่วโมงสุดท้ายนักศึกษาเสนอแผนธุรกิจ หรือ บิสซิเนสแมท์ชิ่ง (Business Matching)  โดยมีภาคเอกชนเข้าร่วมฟัง อาทิ ตัวแทนจากธนาคารกสิกรไทย เป็นต้น
ผู้ที่สนใจสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เบอร์โทร.063-751-6318 และ เฟสบุ๊ค หลักสูตรนักพัฒนาธุรกิจการค้า-นพธ. หรือ เบอร์ตรงของ ดร.วิริยะ ลิขิตวงศ์ โทร.087-305-8888, อ.ณัฐฐินีย์ ตลับนาค โทร.094-862-4465

สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ”วาสนะเวศม์โมเดล”ผ่านโรงเรียนทางอากาศ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ”วาสนะเวศม์โมเดล”ผ่านโรงเรียนทางอากาศ

สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ"วาสนะเวศม์โมเดล"ผ่านโรงเรียนทางอากาศ9 กันยายน 2563 – 14:37 น.

สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุสานต่อ”วาสนะเวศม์โมเดล”เมืองกรุงเก่าผ่านโรงเรียนผู้สูงอายุทางอากาศ  หลังประสบความสำเร็จ”แม่เหี๊ยะโมเดลและขอนแก่นโมเดล” ผอ.สถานีวิทยุฯชี้ก้าวต่อไปเชื่อมโยงผู้สูงอายุทุกภูมิภาคร่วมสนทนาผ่านทุกแฟลทฟอร์มของสถานี

ผศ.อนุพร สุวรรณวาจกกสิกิจ  ผอ.สถานีวิทยุมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์หรือสถานีวิทยุม.ก.(Kurplus+)กล่าวภายหลังนำคณะเจ้าหน้าที่สถานีดูความก้าวหน้าการดำเนินงานความร่วมมือระหว่างสถานีวิทยุม.ก.กับกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)ณ ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ ต.บ่อโพง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา 
โดยระบุว่าสถานีวิทยุม.ก.ส่งกระจายเสียงด้วยระบบเอเอ็มเชื่อมโยงกับสถานีใน 4 ภูมิภาค เชียงใหม่ ขอนแก่นและสงขลาครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ  ออกอากาศทั้งในระบบอนาลอคและดิจิทัลในทุกแฟลตฟอร์ม มีทั้งภาพและเสียง ภายใต้เคอร์พลัส(Kurplus+) และยังเป็นหน่วยงานต้นแบบของกสทช.ในการจัดการเนื้อหาหรือคอนเท้นต์ที่สม[บูรณ์แบบและครบวงจรที่สุดในปัจจุบัน
                                     สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ"วาสนะเวศม์โมเดล"ผ่านโรงเรียนทางอากาศ

 “ทำไมเราจึงมาทำเรื่องผู้สูงอายุ เริ่มต้นมาจากการที่เราเป็นสื่อ มองว่าขณะนี้สังคมผู้สูงอายุในประเทศไทยได้เริ่มขึ้นอย่างเต็มตัวแล้ว ทำอย่างไรที่จะหากิจกรรมหรือความต้องการทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุจริง ๆมาถ่ายทอดให้กับกลุ่มคนเหล่านี้ จึงเป็นที่มาของการร่วมมือเอ็มโอยู(MOU)กับกรมกิจการผู้สูงอายุ  ข้อหนึ่งในเอ็มโอยูระบุว่าเราจะพัฒนาเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับผู้สูงอายุร่วมกัน”

สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ"วาสนะเวศม์โมเดล"ผ่านโรงเรียนทางอากาศ

                   บรรยากาศภายในูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา
 

ผอ.สถานีวิทยุม.ก.กล่าวต่อว่าหลังจากที่ทางสถานีมองหาจุดเด่นจะต้องทำให้เกิดผลอย่างจริงจัง ก็พบว่าเรามีความเชี่ยวชาญด้านโรงเรียนทางอากาศ ซึ่งไม่เหมือนโรงเรียนผู้สูงอายุปกติ  จากนั้นจึงได้เริ่มดำเนินการแห่งแรกที่เทศบาลเมืองแม่เหียะ จ.เชียงใหม่ เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยเทศบาลเมืองแม่เหียะนั้นมีพื้นที่ครอบคลุมตัวเมืองเชียงใหม่ ซึ่งมีผู้สูงอายุส่วนใหญ่เป็นที่พักอาศัยของข้าราชการเกษียณ  ปรากฏว่ามีผู้สุงอายุให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก แต่สามารถรับได้เพียง 100 คน เนื่องจากมีงบประมาณจำกัด แต่ถึงอย่างไรก็ทำให้ที่นี่กลายเป็นโมเดลโรงเรียนผู้อายุทางอากาศเป็นแห่งแรกของประเทศไทย  โดยความร่วมมือระหว่างกรมกิจากรผู้สูงอายุ เทศบาลเมืองแม่เหียะและสถานีวิทยุม.ก. ภายใต้โครงการ”แม่เหียะโมเดล”
“โครงการแม่เหียะโมเดล ถือเป็นจุดกเริ่มต้นโรงเรียนผู้สูงอายุทางอากาศที่ร่วมกับกรมกิจการผู้สูงอายุ  เราเปิดให้ผู้สูงอายุจำนวน 100 คนมาลงทะเบียนกับเทศบาลแล้วมีการกำหนดหลักสูตรร่วมกับกรมกิจการผู้อายุแล้วผลิตรายการผู้สูงอายุจำนวน 25 ตอน ในวันปฐมนิเทศน์เราแจกวิทยุให้กลับบ้านไปคนละเครื่อง  แล้วนัดหมายกันฟังโดยกลุ่มผู้อายุเอง บอกเขาตื่นเช้าก่อนตีห้า  พอตีห้าเราปล่อยรายการออกไปเฉพาะเสียงอย่างเดียวผ่านเครื่องวิทยุที่เราแจกไป จากนั้น 4 โมงเย็นเราปล่อยอีกรอบดูได้ทั้งภาพและเสียงผ่านโทรศัพท์มือถือ  พอ 3 ทุ่มปล่อยอีกรอบในยูทูป ใน 1 วิชาเขาจะดูได้ถึง 3 ครั้ง”

                 สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ"วาสนะเวศม์โมเดล"ผ่านโรงเรียนทางอากาศ
ผศ.อนุพร ระบุอีกว่า  หลังจากจบที่แม่เหียะก็มาต่อที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ ต.บ่อโพง อ.นครหลวง จ.พระนครศรีอยุธยา ภายใต้โครงการ”วาสนะเวศม์โมเดล” ผ่านการศึกษาตามอัชธยาศัย โดยมีรายการมีอยู่ 1 รายการที่ทางสถานีวิทยุม.ก.ออกอากาศในทุกวันศุกร์ชื่อรายการว่า”ศุกร์สูงวัยสุขใจใช่เลย” ออกอากาศทุกวันศุกร์ในทุกแฟลตฟอร์ม 

                   สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ"วาสนะเวศม์โมเดล"ผ่านโรงเรียนทางอากาศ
“รายการศุกร์สูงวัยสุขใจใช่เลย” ข้อมูลทั้งหมดถูกส่งไปจากที่นี่นะครับ  เราเริ่มเปิดตัวที่งานปิดโรงเรียนผู้สูงอายุร่วมกับท่านผู้ว่าฯอยุธยา จากวันนั้นจนถึงบัดนี้ดำเนินการมาได้เกือบ 2 ปีแล้ว ความตั้งใจจริง ๆ อยากให้กลุ่มผู้ฟังผู้สูงอายุได้มีโอกาสพูดคุยกันสด ๆ จากทุกภูมิภถาคของประเทศเช่น กลุ่มผู้ฟังทางใต้คุยกับกลุ่มผู้ฟังทางเหนือ ทางอีสานหรือทางภาคกลางเพื่อจะได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ซึ่งตรงนี้เป็นโจทย์ที่เราจะต้องดำเนินการต่อไป”ผอ.สถานีวิทยุม.ก.กล่าวและว่า
 หลังจากวาสนะเวศม์โมเดลเกิดขึ้น จากนั้นก็ไปทำต่อที่จ.ขอนแก่น ภายใต้โครงการ”ขอนแก่นโมเดล”เมื่อต้นปีที่ผ่านมา ขณะที่เริ่มโครงการโรงเรียนผู้สูงอายุทางอากาศที่จ.ขอนแก่น เริ่มมีการระบาดของโควิด-19 แล้ว จึงมีการเปลี่ยนวิธีการปฐมนิเทศจากปกติเป็นปฐมนิเทศน์ทางอากาศผ่านแอพพลิเคชั่นของสถานีวิทยุม.ก.ในโทรศัพท์มือถือแทน ซึ่งก็ประสบผลสำเร็จด้วยดี โดยมีผู้ว่าฯขอนแก่นและอธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุเป็นประธานร่วมเปิดโครงการฯ 
 ขณะที่ นางกันตา ดีเติม ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์ จ.พระนครศรีอยุธยา  กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์(พม.)กล่าวเสริมว่าสำหรัยบศูนย์ฯแห่งนี้ได้เปิดดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2530  โดยสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่18  เป็นผู้ริเริ่มสร้างสถานสงเคราะห์แห่งนี้  ปัจจุบันทางศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ 3 กลุ่ม กลุ่มเอ กลุ่มบีและกลุ่มซี มีผู้สูงอายุอยู่ในความดูแลรวมจำนวนทั้งสิ้น 200 คน 

สถานีวิทยุม.ก.ผนึกกรมกิจการผู้สูงอายุ สานต่อ"วาสนะเวศม์โมเดล"ผ่านโรงเรียนทางอากาศ

                                                                          กันตา ดีเติม

                                       
“เรามีกิจกรรมให้กับผู้สูงอายุผ่านมิติต่าง ๆ ไม่ว่ามิติด้านสุขภาพ เรามีนางพยาบาลคอยฟื้นฟู ในเรื่องการพาออกกำลังกาย ด้านเศรษฐกิจ เรามีอาคารอายุชีวะบำบัดที่จะให้ผู้สูงอายุในนี้ได้ผ่อนคลายความตึงเครียดโดยการสร้างงานสร้างอาชีพแล้วก็มีกิจกรรมอื่น ๆ เช่นโรงเรียนผู้สูงอายุเราดำเนินการร่วมกับภาคีเครือข่ายในจังหวัดที่จะนำวิทยากรมาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในเรื่องของภูมิปัญญากับผุ้สูงอายุ”
นางกันตา เผยต่อว่า นอกจากนี้ยังได้ร่วมบูรณาการทุกหน่วยงานทั้งภายในและภายนอกแม้กระทั่งกับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์โดยสถานีวิทยุม.ก.ในเรื่องของโรงเรียนผู้สูงอายุทางอากาศ  ซึ่งได้ขับเคลื่อนมาเกือบ 2 ปีแล้วเพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีกิจกรรมและรับองค์ความรู้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน
“ปัญหาตอนนี้คือเรื่องการตลาด สินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผู้อายุทำมาแล้วขายไม่ได้ เพราะไม่มีตลาดรองรับ ส่วนลูกค้าที่ซื้อไปส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ตั้งใจซื้อแต่อยากช่วยผู้สูงอายุมากกว่า เมื่อสินค้าขายไม่ได้ พวกเขาก็ไม่มีกำลังใจที่จะทำ สิ่งที่อยากจะให้ทางสถานีวิทยุม.ก.ช่วยเหลือเพิ่มเติมก็คืออยากให้หาช่องทางการตลาดเพิ่ม ซึ่งลูกค้าที่ซื้อทุกวันนี้มาจากผู้เข้ามาเยี่ยมชมศูนย์ฯเป็นหลัก”ผอ.ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุวาสนะเวศม์กล่าว 
ด้านนายวีระพันธ์ สังขมาลย์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมและฝึกอบรม มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ บางเขน หนึ่งในคณะอนุกรรมการดำเนินการของสถานีฯกล่าวยอมรับว่าการค้าขายทางออนไลน์ เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่สินค้าและผลิตภัณฑ์เป็นที่รู้จักของตลาดผู้ซื้อมากขึ้น ซึ่งการทำประชาสัมพันธ์ในช่องทางนี้ จึงจำป็นต้องมีเจ้าหน้าที่หรือคนรุ่นใหม่ในชุมชนของกลุ่มผู้สุงอายุที่อยู่ในความดูแลของศูนย์ฯได้รับการพัฒนาทักษะการผลิตสื่อออนไลน์อย่างมืออาชีพ ซึ่งจะช่วยเพิ่มช่องทางการตลาดการจำหน่ายสินค้าชุมชนนั้น ๆ มากขึ้นด้วย
“ทางสำนักส่งเสริมฯยินดีที่จะมาทำการฝึกอบรมเทรนนิ่งการทำสื่อออนไลน์ให้กับทางเจ้าหน้าที่และกลุ่มคนรุ่นใหม่ในชุมชนที่สนใจ ทั้งการถ่ายภาพ การไลน์สด การตัดต่อเพื่อทำเป็นสารคดี แม้กระทั่งการผลิตวิดีทัศน์เพื่อถ่ายทอดเรื่องราวผลิตภัณฑ์ชุมชนจากภูมิปัญญาผ่านผู้สูงอายุ เช่น กลุ่มทำมีดเหรัญญิก กลุ่มทำตุ๊กตา หรือกลุ่มทำขนมกระยาสารท ขอให้ทางศูนย์ฯทำหนังสือเสนอมา ทางสำนักส่งเสริมพร้อมส่งทีมงานดำเนินการให้ทันที” ผช.ผอ.สำนักส่งเสริมและฝึกอบรมฯกล่าวย้ำทิ้งท้าย