มกธ. ล้ำ! เปิดสอนระบบทางไกลสุดทันสมัย ทั้งในและต่างประเทศ รับ New Normal #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

มกธ. ล้ำ! เปิดสอนระบบทางไกลสุดทันสมัย ทั้งในและต่างประเทศ รับ New Normal

มกธ. ล้ำ! เปิดสอนระบบทางไกลสุดทันสมัย ทั้งในและต่างประเทศ รับ New Normal8 กันยายน 2563 – 15:03 น.

มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.) เปิดการเรียนการสอนระบบการศึกษาทางไกลสมบูรณ์แบบ ทันสมัย ตอบสนองความต้องการของนักศึกษา ทำให้ผู้เรียนได้เรียนในห้องเรียน ไม่ต่างจากนักศึกษาภาคปกติ

ว่าที่ ร.ต.ดร.อนันต์  โพธิกุล ผอ.สถาบันการศึกษาทางไกล มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี (มกธ.)  กล่าวว่า มกธ.ได้จัดการเรียนการสอนด้วยระบบทางไกลขึ้นอย่างจริงจังและเป็นระบบ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้เรียน โดยเฉพาะในยุค New Normal ซึ่งพบว่ามีผู้สนใจสมัครเรียนเพิ่มขึ้นจำนวนมากอย่างเห็นได้ชัดโดยรูปแบบการเรียนนั้น มีตั้งแต่การอ่าน ค้นคว้าด้วยตนเอง การเรียนกับคณาจารย์ทางทีวีออนไลน์และสื่อในระบบออนไลน์ที่จำลองห้องเรียนให้นักศึกษาที่เรียนผ่านระบบทางไกลได้เรียนในห้องไม่ต่างจากนักศึกษาภาคปกติ

นอกจากนี้ รศ.ดร.บังอร เบ็ญจาธิกุล อธิการบดี มกธ. มีไอเดียที่จะให้โค้ชการแสดงมืออาชีพมาเทรน เพิ่มทักษะการใช้ภาษากาย ท่าทาง การสอน นักศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนในระบบทางไกล และระบบปกติ มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้นด้วย

มกธ. ล้ำ! เปิดสอนระบบทางไกลสุดทันสมัย ทั้งในและต่างประเทศ รับ New Normal

ดร.อนันต์ กล่าวต่อไปว่า หลังช่วงโควิด-19 ยุคนิว นอร์มอล ที่การเรียนระบบออนไลน์เข้ามามีบทบาทกับการศึกษาในทุกระดับชั้น ทำให้มีนักศึกษาสมัครเรียนในระบบทางไกลของ มกธ. เพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน และตอนนี้ก็ยังสามารถสมัครเรียนได้ตลอด ทั้งระดับ ป.ตรี และ ป.โท คณะรัฐศาสตร์ และคณะบริหารธุรกิจ

                    มกธ. ล้ำ! เปิดสอนระบบทางไกลสุดทันสมัย ทั้งในและต่างประเทศ รับ New Normal
    
“การเรียนระบบทางไกลของ มกธ. มีการสอบเก็บคะแนน ทั้งแบบพรีเทสต์  โพสต์เทสต์ รวมทั้งการให้ความช่วยเหลือนักศึกษาโดยแอดมิน ที่ประจำการในระบบออนไลน์ และอาจารย์ที่ปรึกษาให้นักศึกษาสอบถาม หรือปรึกษาเรื่องเรียนได้ตลอด ขอยืนยันว่า มกธ.มีความพร้อม และสมบูรณ์แบบ เพื่อให้ผู้เรียนระบบทางไกลสามารถเรียนได้ไม่ต่างกับระบบปกติ และมีการดูแลนักศึกษาเช่นเดียวกับภาคปกติ จึงเชื่อมั่นได้ว่าจะเรียนจบออกไปอย่างมีคุณภาพ
    
ดร.อนันต์ กล่าวต่อไปว่า มกธ.มีโครงการขยายโอกาสทางการศึกษาไปยังแรงงานไทยในต่างประเทศ ให้สามารถลงทะเบียนเรียนผ่านระบบทางไกลของ มกธ.ได้ โดยขอใช้สถานที่ของสถานทูตในประเทศนั้น ๆ เป็นศูนย์สอบ ซึ่งประโยชน์ที่แรงงานไทยในต่างประเทศจะได้รับจากการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติมจนจบปริญญาตรีคือ จะเป็นแรงงานมีฝีมือ ได้รับค่าจ้างสูงขึ้น มีการพัฒนาตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศที่มีแรงงานไทยไปทำงานจำนวนมาก เช่นไต้หวัน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ตลอดจนในแถบยุโรป และสหรัฐอเมริกา
 “ในส่วนนี้จะช่วยให้แรงงานไทยมีความรู้ ความสามารถเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ค่าจ้างเพิ่มขึ้น ส่งผลดีต่อภาพรวมของการส่งรายได้กลับประเทศ และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไทย”  ผอ.สถาบันการศึกษาทางไกล มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี กล่าว
 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ โทรศัพท์ 02-889-1701, 02-800-6800-5 ต่อ 2121 เว็บไซด์ : http://www.bkkthon.ac.th  Facebook : มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี – มกธ. BANGKOKTHONBURI UNIVERSITY- BTU ที่อยู่ 16/10 ถนนเลียบคลองทวีวัฒนา แขวงทวีวัฒนา เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ 10170  หรือติดต่อด้วยตนเอง ที่ห้องรับสมัครนักศึกษา ตึกอธิการบดี ชั้น 1 มหาวิทยาลัยกรุงเทพธนบุรี ทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ระหว่างเวลา 08:30 น.-16:30 น.

เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว 

 เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว 7 กันยายน 2563 – 07:42 น.

เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว  คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย…  เอก อัคคีส่อง

หลังจากเปลี่ยนแปลงการปกครองได้สำเร็จ คณะราษฏร์ ที่นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ ก็ได้เชิญ พระยามโนปกรณนิติธาดา ให้ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร์ชุดแรกที่มีด้วยกันทั้งหมด 70 คนที่มาจากการแต่งตั้ง และในสภาได้คัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศ

อ่านข่าว…   เปิดตัวอลังการณ์ “แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว” ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

ด้วยหวังว่าท่านจะเป็นคนกลางประสานความเข้าใจระหว่างกลุ่มผู้นิยมการปกครองแบบเก่า และกลุ่มผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยพระยามโนปกรณ์นิติธาดาได้ถูกทาบทามตั้งแต่วันแรกที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง แต่ทว่ายังไม่ตอบรับเลยในทันที เพียงแต่ขอเวลาไปตัดสินใจหนึ่งคืน และได้ให้คำตอบรับในเช้าวันถัดมา

 เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว 

ด้านหน้าของเหรียญเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗

ซึ่งจะว่าไป หมากการเมือง หมากนี้ก็ล้ำลึกมากและอำมหิตต่อจิตใจขุนนางฝ่ายราชสำนักมากเพราะพระยามโนปกรณนิติธาดา  ก่อนหน้าเหตุการเปลี่ยนแปลงการปกครองได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ให้เป็นที่ปรึกษาส่วนพระองค์และคุณหญิงนิตย์ มโนปกรณนิติธาดา (สกุลเดิม สาณะเสน) ภริยาของท่าน ผู้เป็นธิดาของพระยาวิสูตรโกษา (ฟัก สาณะเสน) คือนางสนองพระโอษฐ์ของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี

แต่เสียชีวิต ขณะตามเสด็จประพาสอาณานิคมอินโดจีนของฝรั่งเศส ที่กำหนดไว้ระหว่างวันที่ 6 เมษายน – 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2473 แต่วันที่ 4 พฤษภาคมนั้น ได้เกิดอุบัติเหตุเมื่อรถยนต์ที่เธอนั่งพุ่งชนเข้ากับเสาโทรเลข เนื่องจากความประมาทของพลขับ ทำให้คุณหญิงมโนปกรณนิติธาดาบาดเจ็บสาหัสที่ศีรษะมีบาดแผลฉกรรจ์ ภายหลังคุณหญิงทนพิษบาดแผลไม่ไหวจึงเสียชีวิตลงในเวลา 12.35 นาฬิกา ของวันที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2473

จึงยกเลิกพระราชกรณีกิจทั้งหมด เสด็จกลับประเทศไทยทันที อีกทั้งยังโปรดเกล้าให้สร้างอนุสาวรีย์เสาหินรูปหน้านางสี่หน้าเพื่อเก็บอังคารของคุณหญิงที่วัดปทุมวนาราม ตราบจนทุกวันนี้

แต่เอาเถอะ….ไม่อยากลงลึกเรื่องการเมือง มาว่ากันเรื่อง วัตถุมงคลดีกว่า

 เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว 

ด้านหลังของเหรียญมีรูปอุณาโลมภายในกรอบพุ่มข้าวบิณฑ์ อยู่บนสมอเรือและคันไถ มีรวงข้าวล้อมรอบ

………..

เหรียญนี้มีข้อมูลว่า นายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศสยาม(สมัยนั้นยังไม่เปลี่ยนนามเป็นประเทศไทย) อนุญาตให้กองทัพเรือ เป็นผู้ดำเนินการจัดสร้าง เหรียญที่ระลึกที่ราษฎรได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๔๗๕ 

ลักษณะเป็นเหรียญรูปทรงหยดน้ำ มีห่วงด้านบนของเหรียญ ด้านหน้าของเหรียญเป็นพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ฉลองพระองค์ด้วยพระบรมราชภูษิตาภรณ์ประดับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เต็มพระยศประทับบัลลังก์เต็มองค์ ผินพระพักตร์ ไปทางด้านซ้าย พระราชทานรัฐธรรมนูญ อันเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงให้เห็นว่า การพระราชทานพระราชอำนาจที่ทรงได้รับเมื่อวันเสด็จฯขึ้นครองราชย์สมบัติแก่ปวงชนชาวไทยนั้นทรงกระทำด้วยเต็มพระราชหฤทัย

ล้อมรอบด้วยข้อความที่เป็นตัวอักษรและตัวเลขไทยว่า “ที่ระลึกราษฎรได้รับรัฐธรรมนูญ ๒๗.๓.๗๕” หมายถึง เป็นที่ระลึกที่ราษฎรไทยได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) จากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ โดย “๒๗” หมายถึงวันที่ ๒๗ ส่วน “๓” หมายถึง เดือนที่ ๓ ของปี คือเดือนมิถุนายน เนื่องจากในสมัยนั้นประเทศไทยนับเดือนเมษายนเป็นเดือนที่ 1 ของปี จึงนับเดือนมิถุนายน เป็นเดือนที่สามของปี และ “๗๕” หมายถึง ปีพุทธศักราช ๒๔๗๕
ส่วนด้านหลังของเหรียญมีรูปอุณาโลมภายในกรอบพุ่มข้าวบิณฑ์ อยู่บนสมอเรือและคันไถ มีรวงข้าวล้อมรอบ สื่อความหมายว่า อุณาโลมในกรอบทรงพุ่มข้าวบิณฑ์ หมายถึง “ความรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนา” ถัดลงมาเป็นรูปสมอเรือ หมายถึง “ทหารเรือ” บนสมอเรือมีรูปคันไถ หมายถึง “ประชาชนพลเมืองที่เป็นเกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ (ในยุคนั้น)” ใต้สมอเรือมีหนังสือเล่มหนึ่ง หมายถึง “ความเจริญรุ่งเรืองด้านวิทยาการของพลเมือง” ด้านข้างของสมอเรือจะมีรวงข้าวมัดรวมกันอยู่ หมายถึง “ความอุดมสมบูรณ์”

 เหรียญที่ระลึกคณะราษฏร์ยุค ๒๔๗๕ พระยามโนปกรณนิติธาดา นายกฯคนแรกหลวงพ่ออี๋ ปลุกเสกเดี่ยว 

 สี่ทหารเสือแห่งคณะราษฏร์
นักสะสมเหรียญเชื่อกันว่า เป็นเหรียญที่ระลึกที่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ เพนสะได้รับการปลุกเสกจากพระเกจิอาจารย์ในสมัยนั้นคือ “หลวงพ่ออี๋” หรือ พระครูวรเวทมุนี (อี๋ พุทธสโร) ผู้ถูกขนานนามว่า “เทพเจ้าแห่งลุ่มแม่น้ำทะเลตะวันออก” ทำให้ได้รับความนิยมจากนักสะสมเหรียญและของเก่าเป็นอย่างมาก  
แม้ว่า พฤติกรรมของนักการเมืองยุคต่อมาตราบจนทุกวันนี้ มันจะน่า…อี๋….ที่สุด 
แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกับหลวงพ่ออี๋นะขอรับ!?!

เปิดตัวอลังการณ์ “แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว” ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

เปิดตัวอลังการณ์ “แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว” ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย29 สิงหาคม 2563 – 00:00 น.

เปิดตัวอลังการณ์ “แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว” ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย คอลัมน์… ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย… เอก อัคคีFb:Akeakkee Ake

นาทีนี้ ผมเชื่อว่า ไม่มีกล้าปฏิเสธว่า ไม่รู้จัก เซียนแปะโรงสี หรือ อาจารย์โง้ว กิมโคย อย่างแน่นอน เพราะตอนนี้ทั้งนักธุรกิจน้อยใหญ่ ทั้งพ่อค้าแม่ขายและบุคคลทั่วไปต่างเดินทางไปกราบไหว้สักการะขอพรกันไม่ขาดสาย 

อ่านข่าว… จับตา “ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์”  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

เหรียญเซียนแปะโรงสีเนื้อผงธูปอธิษฐาน(หน้า-หลัง)

เซียนแปะหรือชื่อขณะยังมีชีวิตอยู่ท่านชื่อ นที ทองศิริ และ กิมเคย แซ่โง้ว เป็นชายชาวจีนที่มีความเชี่ยวชาญด้านพิธีกรรม ความเชื่อจีน และ ฮวงจุ้ย ท่านอาศัยและประกอบธุรกิจโรงสีอยู่ในจังหวัดปทุมธานี 

หลังท่านเสียชีวิตลงได้รับการยกขึ้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์และได้รับการเคารพนับถือในหมู่ชาวไทยเชื้อสายจีนในกรุงเทพมหานครและปทุมธานี ท่านเป็นที่รู้จักจากความศักดิ์สิทธิ์ในทางปลดหนี้ การค้า และกันภัย โดยเฉพาะเครืองรางของท่านคือ “ยันต์ฟ้าประทานพร” ซึ่งเป็นยันต์ประจำตัวของท่านซึ่งได้รับการเคารพบูชาในหมู่นักธุรกิจที่มีเชื้อสายจีนอย่างมาก

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

มวลสารสำคัญในการทำเนื้อผง

แม้แต่เจ้าสัวใหญ่หมื่นล้านสายแห่งตระกูลเครือCPยังให้ความเคารพนับถือเชื่อมั่นศรัทธาและว่ากันว่า เป็นผู้ร่วมออกทุนทรัพย์ในการสร้างเหรียญเซียนแปะโรงสีรุ่นแรกด้วย แต่ก็เป็นเสียงลือเสียงเล่าอ้างกันมา 

ส่วน’ยันต์ฟ้าประทานพร” นั่นเป็นชื่อเรียกแต่นั้นมา ผู้สร้างยันต์นี้คือเถ้าแก่วันชัย หรือเจ๊กซิม แห่ง “ร้านไทยสงวน” ก็ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสร้างเหรียญเซียนแปะโรงสีรุ่นแรก ปี 2519 ด้วย เป็นผู้สร้างผ้ายันต์ฟ้าประทานพร 3 ขนาด คือยันต์ หนึ่งดวงเล็ก ยันต์หนึ่งดวงใหญ่และ ยันต์สิบดวงใหญ่ แยกเป็น 2 บล็อก เป็นบล็อกเทียนเต็มและบล๊อกเทียนแหว่ง เจตนาสร้างแจกให้บูชา แต่ทุกวันนี้ราคาแพงระยับ

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

แปะโรงสีขนาดบูชา9นิ้ว

แต่เรามาทำความรู้จักกับเรื่องราวชีวิตของเซียนแปะกันก่อนดีกว่า เซียนแปะนามเดิมของท่านคือ นายกิมเคย แซ่โง้ว เป็นชาวจีน เกิดที่ตำบลเท้งไฮ้ เมื่อราวปี พ.ศ. 2440 – 2441 เดินทางเข้ามายังประเทศไทยเมื่อายุได้ราว 10 ปี ต่อมาประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป ค้าข้าวเปลือก เมื่อตั้งตัวได้จึงร่วมหุ้นก่อตั้งโรงสีข้าวบริเวณปากคลองบางโพธิ์ล่าง ปัจจุบันคือตำบลบางเดื่อ อำเภอเมืองปทุมธานี

เมื่ออายุได้ 22 ปี ท่านได้สมรสกับนางนวลศรี เอี่ยมเข่ง มีบุตรธิดารวม 10 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิตตั้งแต่ยังเด็ก 4 คน หลังจากนั้นท่านได้ตั้งกิจการโรงสีของตนเองบริเวณปากคลองเชียงราก ใกล้กับวัดศาลเจ้าปุงเถ่ากง พร้อมทั้งได้รับสัญชาติไทย และเปลี่ยนชื่อเป็นนายนที ทองศิริ

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

พิธีปลุกเสกเข้มขลัง

ท่านมีความสำคัญมากต่อการดำเนินงานของศาลเจ้าปุงเถ่ากง ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ในบริเวณวัดศาลเจ้าบูรณะซ่อมแซม และจัดการพิธีกรรมต่าง ๆ ในงานสำคัญของศาลเจ้าปุงเถากงตั้งแต่ยังเป็นเพียงอาคารไม้เก่า ๆ 

ในหลายครั้งท่านได้แสดงปาฏิหารย์ในพิธีกรรมต่าง ๆ จนเป็นที่เชื่อกันว่าท่านเป็นบุคคลที่ “มีองค์” ของเจ้าพ่อปุงเถากง แห่งวัดศาลเจ้าประทับในร่างตน 

นอกจากนี้ท่านเป็นผู้มีเมตตาชอบช่วยเหลือและให้คำปรึกษาด้านความเชื่อจีน จึงทำให้มีผู้ศรัทธาทั่วไป ท่านเสียชีวิตลงเมื่อปี พ.ศ. 2526 ด้วยวัย 85 ปี ที่โรงพยาบาลพญาไท 
สำหรับวัตถุมงคลเซียนแปะที่ศาลเจ้าปุงเถ่ากง วัดศาลเจ้าดำเนินงานจัดสร้างอย่างเป็นทางการนั้นที่ผ่านมามีเพียง 4รุ่นเท่านั้น และรุ่นที่5 ที่ชื่อว่า รุ่นเจ้าสัว เพิ่งมีการประกอบพิธีปั้มเหรียญทองคำพิมพ์นำฤกษ์ ที่ศาลเจ้าปุงเถากง เมื่อวันที่22 ส.ค.ที่ผ่านมา

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

เกจิดังนั่งปรกอธิฐานจิตหน้าศาลเจ้า
ท่ามกลางพี่น้องประชาชนผู้เชื่อมั่นศรัทธาไปร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก เพราะถือว่า นี่คือวัตถุมงคลของศาลเจ้าเก่าแก่ดั้งเดิมที่อาแปะโรงสีรับใช้เจ้าพ่อปุงเถากงอยู่ที่นี่
โดยมีพระเกจิอาจารย์ชื่อดังแห่งยุคมาร่วมนั่งปรกอธิษฐานจิตวัตถุมงคลทั้งหมดของรุ่นนี้ อาทิ หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน(ธารทหาร),หลวงปู่บุญมา สำนักสงฆ์เขาแก้วทอง,หลวงพ่อรวย วัดป่ามหาลาภ,หลวงพ่อชอุ่ม ฯลฯและมีการประกอบพิธีแบบสายจีนในฤกษ์นกชุมรัง โดยเจ้าอาวาสวัดเล่งเน่ยยี่ 2 บางบัวทอง

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

การปั้มพิมพ์นำฤกษ์เนื้อทองคำ
สำหรับวัตถุมงคลรุ่นที่5ของศาลเจ้าปุงเถ่ากง (ศาลริมน้ำ)วัดศาลเจ้ามีมากมายหลากหลายรูปแบบ อาทิ รูปหล่อบูชา,เหรียญ,เลสข้อมือ,ผ้ายันต์ ฯลฯ ต์ผู้ที่สนใจสามารถเข้าไปดูข้อมูลต่างๆได้เพจเฟสบุ๊ก’เอกสิริมงคล’หรือที่เฟสของ’แพท ราชพฤกษ์’ 

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

นายทหารนายตำรวจนักธุรกิจร่วมงานพรึบ

แต่ผมว่าที่น่าสนใจเป็นพิเศษคือ เหรียญเซียนแปะโรงสีเนื้อผง เพราะราคาเบาๆเพียง59บาทเท่านั้น มีการจัดสร้างทั้งหมด 4เนื้อคือ เนื้อผงธูปอธิษฐาน,เนื้อผงเกษรดอกไม้บูชา,เนื้อผงพญาคชสารและเนื้อผงว่าน ๑๐๘ มงคล สร้างเพียงเนื้อละ 22,222 เหรียญ โดยวัตถุมงคลทั้งหมดจะมีการประกอบพิธีมหาพุทธา ภิเษกใหญ่อีกครั้งในวันที่31ธันวาคมปีนี้…..

ทุกวันนี้บารมีของแป๊ะโรงสีแผ่ไพศาลผู้ที่กราบไหว้ขอพรต่างได้รับโชคลาภสมดังใจปราถนาและ วัตถุมงคลต่างๆล้วนมีอานุภาพคุ้มครองและบันดาลโชค ไม่ว่ารุ่นใหม่หรือรุ่นเก่าเพราะเชื่อว่า ใครที่มีไว้ต่างถือว่ามีของดีเกื้อหนุนตัวเอง ถ้าเป็นของแท้ผ่านพิธีกรรมอย่างถูกต้อง

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

ประชาชนให้ความสนใจมากมาย
ซึ่งการไหว้ขอพรอาแป๊ะโรงสีจริงๆนั้นควรอธิษฐานตั้งสัจจะกินเจถวายเป็นเวลาหนึ่งวันบ้างสามวันบ้างเจ็ดวันบ้าง จะทำให้ประสบผลสำเร็จดีที่สุด ข้อนี้นับเป็นเคล็ดลับในการขอพรท่านที่คนทั่วไปไม่ค่อยรู้!?!

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

หลวงพ่อพัฒน์ วัดห้วยด้วน

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

หลวงปู่บุญมา สำนักสงฆ์เขาแก้วทอง

เปิดตัวอลังการณ์ "แปะโรงสี รุ่น เจ้าสัว" ตอกย้ำพลังแห่งศรัทธาหนุนชะตาค้าขายร่ำรวย

หลวงพ่อรวย วัดป่ามหาลาภ

จับตา “ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์” ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

จับตา “ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์”  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย

จับตา "ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์"  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย22 สิงหาคม 2563 – 00:00 น.

จับตา “ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์”  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย คอลัมน์… ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย… เอก อัคคี  Fb:Akeakkee Ake

ท่ามกลางกระแสความนใจของผู้คนจำนวนมากที่ให้ความเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งสักดิ์สิทธิ์ที่เรียกกันว่า กุมารเทพ “ไอ้ไข่”เด็กวัดที่สร้างทานบารมีช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากมายที่เดินทางมากราบไหว้สักการะบูชา จนทุกวันนี้แทบทั่วทุกภาคของประเทศไทยเริ่มมีเสียงจุดประทัดดังสนั่นหวั่นไหวแทบทุกวัดวาอารามที่มีการตั้งองค์บูชาที่เรียกขานนามกันว่า ไอ้ไข่ 

อ่านข่าว…   นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม

จับตา "ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์"  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย

ไอ้ไข่โคตรรวย วัดบางแพรก นนทบุรี

เมืองนนทบุรี ซึ่งเป็นเมืองใหญ่ในที่เขตที่เรียกว่าปริมณฑลคือ อยู่ชานกรุงติดกับเมืองหลวงกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองสำคัญมาตั้งแต่ครั้งโบราณ ที่มีความอุดมสมบูรณ์และการคมนาคมสะดวก 

ดังปรากฏในบันทึกจดหมายเหตุรายวันของบาทหลวง เดอ ชัวซีย์ เดินทางเข้ามากับคณะราชทูตของพระเจ้าหลุยส์ที่14ประเทศฝรั่งเศส เพื่อเจริญสัมพันธไมตรีกับกรุงศรีอยุธยาในรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ปี พ.ศ. 2228ว่า…

“ ทั้งสองฝั่งฟากแม่น้ำเต็มพรีดไปด้วยต้นหมากกับต้นมะพร้าว อันเป็นต้นไม้ใบเขียว มีผลดอก เต็มไปด้วยฝูงลิงและนก นกนั้นมีสีสันต่างๆ บ้างก็เป็นสีฟ้า บ้างก็แดง บ้างก็เหลืองอ๋อย ที่สวยที่สุดเห็นจะเป็นนกยางขาว ซึ่งขาวผ่องทั้งตัวราวกับหิมะ และบนหัวมีแผงจนเป็นช่อในประเทศนี้มีสัตว์มากหลายชนิด เพราะไม่มีใครกล้าฆ่ามัน ด้วยเกรงว่าจะไปฆ่าเอาบิดา ตนเองเข้า เป็นเรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด อันเป็นความเชื่อมั่นอยู่ในหมู่ชนชาวสยาม…เราเห็นทุ่งนากว้างเป็นบางครั้งคราว มีต้นข้าวเขียวขจีอยู่กันไปดังนั้น จนกระทั่งถึงเดือนธันวาคม อันเป็นฤดูน้ำลด…”

จับตา "ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์"  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย

หนังสือพิมพ์ฉบับภาษาจีนในต่างประเทศลงข่าวครึกโครก

ย่อมแสดงให้เห็นว่า เมืองนนทบุรีเป็นเมืองหน้าด่านสำคัญของกรุงศรีอยุธยา เมื่อครั้งยังเป็นเมืองหลวงหรือราชธานีของอาณาจักรนี้ ก่อนที่เมืองหลวงจะย้ายมาอยู่ที่กรุงธบนบุรีและกรุงเทพมหานครในทุกวันนี้ จนมีคำกล่าวกันว่า เมืองนนทบุรีคือบ้านของคนกรุงเทพฯเพราะคนที่ทำงานอยู่ในกรุงเทพ โดยเฉพาะทางด้านทิศเหนือและทิศตะวันตกของกรุงเทพ มักจะมีบ้านพักอาศัยอยู่ในเมืองนนทบุรี

เพราะฉะนั้นเมืองนนทบุรีจึงเป็นทั้งบ้านและเป็นที่พักพิงทางใจ เพราะทุกวันนี้สังคมกำลังบีบรัดในทุกด้านโดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ โรคภัยไข้เจ็บ สถานที่แห่งหนึ่งที่ผู้คนมุ่งเข้าไปพักพิงคือ วัดวาอาราและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดนั้นๆ

วัดบางแพรก ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 1 หมู่ที่ 11 ตำบล บางรักใหญ่ อำเภอบางบัวทอง จังหวัดนนทบุรีในชุนชนชาวสวน ริมคลองบางแพรก ซึ่งเป็นคลองแยกออกจากคลองอ้อมนนท์ มีถนนเข้าวัดแยกมาจากถนนรัตนาธิเบศร์ วัดบางแพรกเป็นวัดโบราณวัดหนึ่งที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนปลายประมาณพุทธศักราช2240 เดิมชื่อวัดละครทำแต่เนื่องจากวัดตั้งอยู่ริมคลองบางแพรกมีผู้เรียกชื่อวัดตามชื่อคลองในเวลาต่อมาชื่อวัดจึงเรียกกันทั่วไปว่าวัดบางแพรก

จับตา "ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์"  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย

 พระอาจารย์มหาธีร์ ท่ามกลางอาจารย์ฆราวาสที่มาร่วมสมโภชน์ไอ้ไข่ เมื่อวันที่ 4 ก.ค.63

ตามหนังสือทำเนียบคณะสงฆ์ของกระทรวงธรรมการ พิมพ์เมื่อ ร.ศ.123 (พ.ศ. 2448 ได้มีชื่อวัดบางแพรกแล้ว ดังนี้ “วัดบางแพรก ตำบลบางไผ่ อำเภอบางบัวทอง พระเหลี่ยมเจ้าอาวาสและตามหนังสือที่กรมการศาสนาได้รวบรวม ชื่อไว้เมื่อวันที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2472 ได้มีชื่อวัดบางแพรกด้วยวัดบางแพรกได้เป็นวัดร้างในช่วงเวลาที่กรุงศรีอยุธยา ล่มสลายเช่นเดียวกับวัดอื่นๆอีกหลายวัดในบริเวณคลองอ้อมนนท์นี้จนถึงสมัยรัตนโกสินทร์มีชาวบ้านมาอยู่ที่ชุมชนบางแพรก และมีพระสงฆ์มาอยู่จำพรรษาที่วัดบางแพรกและได้บูรณะจนเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่ประจำเรื่อยมา

วัดบางแพรก ได้มีการบูรณะสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัดต่อเนื่องกันมาจนถึง พุทธศักราช 2364ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการขอพระราชทานวิสุงคามสีมาได้รับพระราชทาน วิสุงคามสีมา เมื่อ วันที่ 27ธันวาคม พุทธศักราช 2550

มีพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่ยึดเหนี่ยวชาวบ้านคือหลวงพ่อศิลาแรงหรือหลวงพ่อหิน พระคู่คนคลองบางแพรก ที่บนบานสิ่งใดมักจะต้องได้นำไข่ต้มขนมตะไลมาแก้บนกันไม่ขาด

ปัจจุบันมีพระครูเกษมธีร์คุณ(สรธร ญาณเมธี) ปธ.พธ.บ.หรือพระอาจารย์มหาธีร์ ดำรงตำแหน่ง เจ้าอาวาส (พ.ศ. ๒๕๕๒ – ปัจจุบัน)  ท่านเจ้าอาวาสรูปนี้เป็๋นศิษย์หลวงพ่อปัน อดีตเจ้าอาวาสผู้เรืองเวทย์,ศิษย์หลวงอนันต์ วัดบางพลีน้อย,หลวงสมบูรณ์ วัดหงส์รัตนารามและเป็นศิษย์อาจารย์ฆราวาสคือ อ.เปลี่ยนหัทยานนท์ แห่งสำนักเขาอ้อและเป็นศิษบ์ อ.เทียม ซิวใจเอื้อ เคยสร้างพระเครื่องอันเปี่ยมในพุทธคุณและโด่งดังในวงการพระเครื่อง จนได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างตำนานพระขุนแผนเมืองนนท์ คือ พระขุนแผนพรายชมจันทร์,พระขุนแผนพรายเทวะประสิทธิ์และพระขุนแผนพรายเสน่ห์จันทร์ นั่นเอง

จับตา "ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์"  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย

พี่น้องชาวภาคอีสานก็เดินทางมาไหว้กันอย่างคึกคัก

และอีกหนึ่งวัตถุมงคลทีท่านสร้างจนกลายเป็นกระแสอือฮาไปทั่วกรุงเทพ,เมืองนนท์และทั่วไทยรวมไปไกลถึงต่างประเทศคือ ไอ้ไข่โคตรรวย จนมิสเตอร์ kenny lim ผู้สื่อข่าวของหนังสือพิมพ์ฉบับภาษาจีนคือ หนังสือพิมพ์ 新生活报 และหนังสือพิมพ์ 风水周刊  นำไปเขียนเป็นบทความพิเศษลงในหนังสือพิมพ์ทั้งสองฉบับ ซึ่งพิมพ์วางจำหน่ายในประเทศมาเลเซีย,สิงคโปร์ค,ไต้หวัน,ฮ่องกง ซึ่งเป็นชุมชนชาวจีนที่มีความเคารพเชื่อมั่นศรัทธาในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของไทย  โดยเขาให้เหตุผลสั้นๆว่า เพราะคนจีนติดตามข่าวสารต่างๆผ่านทางโซเชี่ยลมีเดียส์และเชื่อมั่นในความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์ ที่ทราบข่าวว่ามีนักธุรกิจชาวมาเลเซีย,ชาวสิงคโปร์คหลายคนที่อยู่ในกรุงเทพฯเดินทางมาไหว้ขอพรแล้วประสบความสำเร็จและได้มีโอกาสสัมภาษณ์ จึงสนใจที่จะนำไปเขียนเป็นบทความจนเป็นข่าวครึกโครมอยู่ในต่างประเทศเวลานี้

สำหรับไอ้ไข่โคตรรวย เด็กสร้างวัดบางแพรกนั้น เป็นดำริของท่านพระครูเกษมธีรคุณ ที่ต้องการพัฒนาวัดให้กลายเป็นแหล่งรวมจิตใจของผู้คนที่ต้องการหนีร้อนมาพึ่งเย็น เพราะถ้ามีปัญหาทุกข์ร้อนใจจากการทำงาน จากการใช้ชีวิตการได้เข้าวัดมานั่งพัก มาฟังธรรมะมากราบไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ใช้ยึดเหนี่ยวจิตใจก็ทำให้มีสติมากขึ้น ไอ้ไข่ก็เป็นสัญลักษณ์หนึ่งแทนตัวของเด็กวัดที่เชื่อมั่นในคุณงามความดี การทำงานของเด็กวัดในอดีตที่รับใช้พระสงฆ์บำรุงวัดวาอารามก็ถือเป็นมงคลชีวิต การสร้างรูปเหมือนของเด็กวัดไว้ก้เพื่อเป็นอนุสรณ์เตือนใจ ส่วนการมากราบขอพรแล้วได้สมใจปราถนาของแต่ละคนนั้นก็ถือเป็นเรื่องบุญของโชควาสนาของใครของมัน สุดแท้แต่จะใช้วิจารณญานของแต่ละบุคล

จับตา "ไอ้ไข่โคตรรวย วัดแพรก เมืองนนท์"  ทำไมสื่อต่างชาติให้ความสนใจในกระแส ขอได้-ไหว้รวย

ผู้คนเดินทางมาแน่นขนัดทุกวัน

อย่างไรก็ตามต้องบอกว่า กระแสความนิยมของไอ้ไข่โคตรรวย วัดบางแพรก เมืองนนทบุรีนั้นตอนนี้กำลังมาแรงจริงๆเพราะวัตถุมงคลที่ออกมาทั้งสองรุ่นคือ รุ่นแรก โคตรรวยและร่นที่สอง เทพเทวประสิทธิ์ ถูกเช่าหากันไปอย่างกว้างขวางจนราคาขัยบสูงขึ้นเรื่อยๆในขฯะที่รุ่นที่ 3 ยกฐานะ ที่จะออกมาเป็นที่ระลึกงานทอดผ้าพระกฐินในวันที่ 18 ตุลาคม 2563 นี้ก็กำลังได้รับความสนใจในการจับจอง ทั้งในกลุ่มชาวไทยและในชาวต่างชาติ โดยเฉพาะชาวจีน ที่นิยมการทำมาค้าขายการทำธุรกิจ เพราะมีการบอกกันปากต่อปากว่า ไอ้ไข่เมืองนนท์ ที่วัดบางแพรก ขอได้-ไหว้รวย ส่วนจะทำให้ถูกหวยบ่อยๆหรือเปล่านั้น ต้องมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง!!!!

นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม

นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม15 สิงหาคม 2563 – 00:00 น.

นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม คอลัมน์… ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย… เอก อัคคี  Fb:Akeakkee Ake

ในพื้นที่รอบทะเลสาบสงขลา ลุ่มน้ำทะเลน้อยสมัยโบราณ
เป็นพื้นที่ห่างไกลความเจริญแบบคนเมือง ยิ่งขึ้นชื่อว่าแถบนี้ ดงคนดุ นักเลง โจรผู้ร้ายชุกชุมยิ่งกว่ายุงในปลักควาย!!

อ่านข่าว…  หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ “เณรดอย เมืองตรัง”

นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม


แต่ไม่ว่า ไอ้เสือร้ายขนาดไหน มันก็ชอบความบันเทิง
เพราะฉะนั้นนักเดินทาง ที่หาญกล้านำพามหรสพความบันเทิง
ไปมอบให้กับชาวบ้านชายป่า ชายเลจึงมีเพียงคณะหนังตะลุง คณะมโนราห์และแน่นอนว่า พวกเขาต้องมีดีพอตัว

มีความเป็นลูกผู้ชายตัวจริง ฉลาดหัวไว ปากดีมีเสน่ห์และมีวิชา
นายหนังตะลุงสมัยก่อนมักเป็นนักเลงไสยศาสตร์และต้องมีหมอประจำตัวนายหนัง ที้เรียกกันว่า หมอกบโรง ซึ่งต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาคมพิธีกรรมต่าง ๆ ป้องกันไม่ให้นายหนังถูกคุณไสยของฝ่ายตรงกันข้ามและถ้าเกิดมีขึ้นสามารถแก้ไขได้  ยังทำหน้าที่ทำของใส่ฝ่ายตรงข้ามด้วย  ถ้าสังเกตุหมอกบโรงจะนั่งติดกับหัวหยวกปักรูปเสมอ แม้แต่ในปัจจุบันนี้

ยกเว้นบางคณะที่ตัวนายหนังตะลุงเอง
อาจจะเป็นคนมีวิชาก็สามารถเป็นหมอกบโรงไปด้วยในตัว

ในอดีต การถูกคุณไสยของฝ่ายตรงกันข้ามของคณะนายหนังตะลุงนั้นมีอยู่จริง แม่พลอย หัทยายนท์ เคยเล่าให้ผมฟังว่ามีหลากหลายรูปแบบ ท่านก็เคยเห็นกับตาตัวเองสมัยยังสาวๆ  เช่น  ทำให้เสียงแห้ง  ของลงท้อง  ชักจนหน้ามืด  หรือจู่ๆหน้าโรงอากาศเย็นผิดปกติ 

คือฝ่ายคู่แข่งหรือหมอประจำถิ่นอาจจะมีเจตนาร้ายโดยใช้พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ มาลองของด้วยการใช้ชินหรือภูตผีมารังควานหมอกบโรงต้องทำหน้าที่เป็นผู้แก้

เพราะฉะนั้นการเตรียมพร้อมเพื่อเดินทางไปทำการแสดงต่างถิ่นต่างที่นั้นต้องมีการทำพิธีกรรมยกเครื่องคือก่อนจะมีการยกขนเครื่องประโคมต่าง ๆ  ตลอดถึงลูกคู่  ก่อนออกจากบ้านนายหนัง  ให้มีการประโคมเพลงเพื่อให้การเดินทางปลอดภัย มีผู้คนนิยมชมชอบ  หมอกบโรงจะประกอบพิธีร่ายเวทมนตร์  ๓  เที่ยวสวดว่า”นะเมตตา  โมกรุณา  พุทปราณี  ธายินดี  ยะเอ็นดู  นะยอออลือออทม”  ซึ่งเป็นคาถาของสายสำนักเขาอ้อนั้นเอง!

นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม


แล้วนำเครื่องออกเดินทาง เมื่อไปถึงสถานที่แล้ว ก่อนที่ลูกคู่หรือทีมงานจะนำอุปกรณ์ต่าง ๆ  วางบนโรงหนังที่เจ้าภาพสร้างไว้ นายหนังหรือหมอกบโรง เดินเวียนโรง  ๓  รอบ แล้วบริกรรมคาถาว่า  “ออนอ  ออพ่อ  ออแม่  อออา  ออแอ”  ต่อจากนั้นจึงจะขึ้นบนโรงได้ 

การสำรวจที่ตั้งโรงหนังตะลุง ในปัจจุบันต้องดูทำเลในการปลูกโรง เช่น การตั้งโรงซึ่งมีข้อห้าม คือ ในงานศพเขาไม่นิยมหันหน้าโรงหนังตะลุงไปหน้าโลงศพแต่ถ้าไม่สามารถเลี่ยงได้ให้ตั้งโรงหนังตะลุงเฉียงออกจากหน้าโลงศพ

ซึ่งมีความเชื่อกันหากตั้งโรงหนังตะลุงหันหน้าไปหน้าโลงศพจะเป็นสิ่งอัปมงคล ว่าอาจจะหนังเล่นหนังไม่ออก คือ เล่นหนังไม่ลื่นไหลอาจมีปัญหา อุปสรรค หรือเกิดสิ่งที่ไม่เป็นมงคล ซึ่งการยึดถือปฏิบัติของนายหนังจะไม่เหมือนกันและแตกต่างกันออกตามความเชื่อ

ส่วนการเบิกโรงก่อนจะทำการแสดงนั้นเจ้าภาพต้องเตรียมอาหารคาวหวานใส่ถ้วยเล็ก ๆ วางบนถาด๑๒อย่าง  เรียกว่า  “แต่งเท่(ที่)สิบสอง” และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือเหล้า พร้อมด้วยหมากพลู ๙คำ  เทียน๙เล่ม เงินเบิกโรง ๑ บาท ดอกไม้ธูปเทียน ใส่ในพาน

นายหนังหรือหมอกบโรง  จะประกอบพิธีชุมนุมเทวดาว่าโองการธรณีสาร  ไหว้สัดดี  อัญเชิญดวงวิญญาณของครูหนัง  ให้มาปกป้องผองภัยทั้งปวง  แล้วปักเทียนที่ทับกลองพร้อมด้วยหมากพลูแห่งละหนึ่งคำ  นายหนังเคาะทับกลองเบาๆลูกคู่ขึ้นกลองลงโรง  เงินค่าลงโรงเป็นกรรมสิทธิ์ของคนแบกแผงปัจจุบันเงินค่าเบิกโรงไม่น้อยกว่า  ๑๐๐  บาท  แต่ทุกวันนี้ไม่ค่อยมีการยกที่สิบสองเหมือนสมัยก่อนแล้วมีเทียนหมากพลูเป็นอันใช้ได้

จากนั้นก็ทำพิธีแทงหยวกกล้วย ซึ่งหยวกที่ใช้ปักรูปต้องเป็นหยวกกล้วยที่ตัดมาใหม่ ๆ  หยวกที่โรงหนังอื่นใช้แล้วไม่เอา  แต่ถ้าหนังโรงนั้นแสดงต่อ  เป็นกี่คืนก็ได้ไม่ต้องเปลี่ยนใหม่  การวางหยวกให้หัวหยวกอยู่ทางขวาของจอ  กลางหยวก  ใช้มีดครูแทงเป็นรูปสามเหลี่ยม  ฐานอยู่ล่าง  เอาหยวกที่แทงออก  เสกหมากพลูฝังใน  1  คำ  ใช้มือขวาวางเหนือหยวกตรงรอยแทง  และใช้กาบหยวกที่แทงออกปิดให้เรียบร้อย  เสกคาถาผูกใจคนดู  3  คาบ  ”อิตถีโย  บุรุสโส  โรตันตัง  จาระตัง  เรเรรัง  เอหิ  อาคัตฉายะ  อาคัตฉาหิ”

นายหนังตะลุง-หมอกบโรงเขาคือจอมขมังเวทหลังจอมายาผู้ร่ายมนต์คาถาผ่านตัวหนังลงอาคม


บางคณะจะตั้งนโม ๓ จบแล้วไหว้พระ ตั้งสัคเค ตั้งธรณีศาลและมีคาถาเบิกโรง โดยทำพิธีบริเวณหน้าจอหนังตะลุงจากนั้นจุดธูปเทียน จากนั้นนำหมากที่เตรียมไหว้มาเขียนอักขระด้วยกัน ๓ คำ โดยหมากคำแรกเขียนคำว่า “มะ” หมากคำที่สองเขียนคำว่า “อะ” และหมากคำที่สามเขียนว่า “อุ” โดยนำหมากคำแรกไปจุดในหยวกกล้วยหรือที่เรียกว่าจุกอกแล้วท่องคาถา หมากคำที่สองจะเสกหมากแล้วใส่ในทับพร้อมบริกรรมคาถา และหมากคำที่สามไหว้บนเพดานหนังตะลุง

แต่ในปัจจุบันโรงหนังตะลุงได้มีการเปลี่ยนแปลงไปโดยหมากคำแรกจะใส่ไว้ที่หัวหยวก หมากคำที่สองจะใส่ไว้ที่หลอดไฟหน้าจอหนังตะลุง และหมากคำที่สามใส่ไว้ที่ปลายหยวก ซึ่งมีความเชื่อกันว่าอักขระที่เขียนลงบนหมากได้รับอิทธิพลมากจากศาสนาพราหมณ์คือเทพเจ้าทั้ง 3โลก ได้แก่ พระวิษนุ พระนารายณ์และพระศิวะ ซึ่งเชื่อว่าเป็นการขอเจ้าที่เจ้าทางและขจัดปัดเป่าอุปสรรคในการแสดงหนังตะลุงในค่ำคืนนั้น

หลังจากเสร็จพิธีเบิกโรงหนังตะลุง นายหนังจะทำพิธีปลุกตัวให้ขลังก่อนกานแสดง (การขับกลอนไหว้ครู) โดยมีความเชื่อว่าเป็นการทำสมาธิ แน่วแน่ ไม่วอกแหวกเนื่องจากนายหนังตะลุงต้องทำบริกรรมคาถาสมาธิจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง

หลังจากแทงหยวกเรียบร้อยก็จะทำพิธีเบิกปากรูป  รูปตัวหนังตะลุงที่ออกเป็นครั้งแรกลูบขึ้น  3  ครั้ง  แล้วร่ายมนต์เบิกปาก  เฉพาะรูปตลกสำคัญ  เช่นด้วยเหล้า  โดยเอาหางจากหรือก้านธูปจุ่มลงในเหล้าแล้วนำไปจิ้มที่ปากรูปพร้อมกับชักปากร่ายมนต์มหาละลวยว่า  “ดอล่อหี  หีล่อดอ”  สามคาบหรือสามจบ

จากนั้นก็จะชักฤาษี  คือการเชิดรูปฤาษี  “แล้วสอนให้ออกยักษ์ชักฤาษี”  ซึ่งมีวิธีเชิด  โดยเฉพาะกว่าจะชักได้ถูกต้องใช้เวลาฝึกฝนพอสมควร  ถือเป็นศิลปะชั้นสูง  มีชื่อเรียกต่างกัน  เช่น  ฤาษีท่องโรงฤาษีตกบ่อ  ฤาษีขุดมัน

แล้วทำพิธี ลูบจอ  จะลูบจอก่อนออกปรายหน้าบทใช้มือทั้งสองไปจรดกันที่จอกราบสามครั้งแล้ว ร่ายมนต์มหาเสน่ห์คนดูรักหลงใหล  “นะคำนึง  ดมคิดถึง  พุทตามมา  ธาร่ำไร  นะรักสนิท  โมปลอบจิต  ยะปลอบใจ  ยะอะอย่าลืมรัก  รักแล้วอย่าลืม”

จากนั้นก็ชักเสียง  ก่อนออกเสียงขับบทครั้งแรก  นายหนังใช้หัวแม่มือขวากดที่เพดานปากแล้วเอาน้ำลายมาปลุกเสก  ทำให้เสียงดังฟังไพเราะเสียงไม่แห้ง  “โอมส่งเสียงกูไป  เข้าในหัวใจมนุษย์หญิงชาย  โอมระรวย  พระพายพัดหวย  ระรวยเป็นบ้า  พระพายพัดพา  โอมระรวยมหาระลวย”  สามเที่ยว

ในการแสดงหนังตะลังนั้น หัวใจสำคัญคือการชักกาก หรือการเชิดรูปตัวตลก  นายหนังสมัยก่อนมีคนชักกากให้โดยเฉพาะ  แต่ปัจจุบันนายหนังตะลุงเป็นผู้ชักกากเอง  ซึ่งรูปกากหรือรูปตลกมีความสำคัญมากต้อง ชักปากได้ทุกตัวและมีสำเนียงพูดไม่เหมือนกันทุกตัว คนดูจะนิยมดูหนังตะลุงคณะนี้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเสน่ห์ของตัวตลกครับ

เพราะฉะนั้น ตัวกากหรือตัวตลกประจำคณะจึงเป็นตัวที่มีการลงอาคมไว้อย่างเต็มที่ บางคณะใช้ผิวหนังส้นเท้าของครูอาจารย์ที่ตายไปแล้วมาเย็บเป็นริมฝีปากล่างไว้ชักและเรียกดวงจิตวิญ ญานมาสถิตย์ เรียกกันว่า การกินรูป  คือการเชิดรูปและออกสำเนียงพูดเข้ากับลักษณะนิสัยและรูปร่างของรูปหนังตัวนั้น ๆ

อย่างเช่น   หนังกั้น  ทองหล่อ   ศิลปินแห่งชาติ  ท่านชักปากพูดพูดผ่านรูปหนังตัวสะหม้อ ที่ใครก็นำไปเลียนแบบไม่เหมือน หรือ หนังกิ้มเส้ง  เมืองพัทลุง  พูดอ้ายทองบ้านาย  และพูดนางเบียนหรือนาง  2  แขน  ได้อย่างที่หาตัวจับยากหรือหนังพร้อมน้อย  ตะลุงสากล เมืองพัทลุง  ก็พูดเสียงนางหรือเสียงผู้หญิงได้ดียอดเยี่ยม

ในอดีตนั้น ปรมาจารย์ของเขาอ้อที่นายหนังตะลุงหลายคณะต้องเอ่ยนามไหว้ครูทุกครั้งก่อนทำการแสดงคือ พระอาจารย์ทองเฒ่า วัดเขาอ้ออละพระอาจารย์เกลี้ยง วัดดอนศาลา บิดาของพระอาจารย์นำ ชินวโร

โดยเฉพาะพระอาจารย์เกลี้ยง นั้น เคยมีผู้บันทึกเอาไว้ว่า ท่าน
เคยไปทำพิธีซัดทรายใต้โรงหนังตะลุง จนนายหนังเสียงดับมาแล้ว โทษฐานที่ให้ครูหมอกบโรงมาทำของ เล่นไสยศาสตร์ใส่
คณะหนังตะลุงที่เป็นของศิษย์ของท่าน!?!

ใครนักเลงมาก็ต้องนักเลงไป
แหลงไหรกันให้เทือน!!
(พูดอะไรกันให้วุ่นวาย)

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์ ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ “เณรดอย เมืองตรัง” #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ “เณรดอย เมืองตรัง”‘

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ "เณรดอย เมืองตรัง"'8 สิงหาคม 2563 – 00:00 น.

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ “เณรดอย เมืองตรัง”‘ โดย… เอก อัคคี  Fb:akeakkee ake

……..
วิชาสร้างหุ่นพยนต์เป็นไสยศาสตย์เป็นวิชาเก่าเเก่เเขนงหนึ่ง ได้มีการสร้างอย่างยาวนานอาจจะก่อนพุทธกาลก็ว่าใด้ สมัยหลังพุทธกาลก็มีตำนานที่ว่าพระมหากัสปะผูกหุ่นพยนต์เเล้วอธิฐานให้เฝ้าพระธาตุก่อนที่ท่านจะนิพพาน หลังจากนั้นคนทั่วไปก็เข้าไปเอาพระบรมสารีริกธาตุไม่ใด้ จึงร้อนถึงพระอินทร์เเปลงลงมาเป็นมานพหนุ่ม ใช้ศรยิงหุ่นพยนต์นั้นเพื่อทำลายอาถรรถ์จึงเข้าไปเอาพระบรมสารีริกธาตุเอามาเเจกจ่ายได้

ซึ่งตั้งแต่อดีตกาลนานมาหุ่นพยนต์มีการสร้างด้วยวัษดุหลายเเบบหลายอย่างที่หาใด้เช่น ไม้ ใบไม้ ฟาง โลหะ ดิน ฯลฯ 

อ่านข่าว…  มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑)

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ "เณรดอย เมืองตรัง"'


เณรดอย เมืองตรัง อาจารย์ฆราวาสขมังเวทเมืองตรัง เปิดเผยว่า หุ่นพยนต์นั้นทุกเเบบจะต้องผูกจิตรสมมุติตั้งธาติสี่อาการ32ขึ้นมาทั้งสิ้น

แต่รุ่นล่าสุดนี้คือ หุ่นพยนต์ชุดนี้จะสร้างจากโลหะธาตุโดยการหล่อขึ้นมาเป็นรูปคน มียันต์กำกับต่างๆให้มีความขลังที่สมบูรณ์เเบบตามตำรา มียันต์ธาตุ4ธาตุกรณี หัวใจพ่อ หัวใจเเม่ หัวใจเลข ยันต์วิญญาณมนุษย์ หัวใจเจตภูติทั้ง4. หัวใจนิพานสูติ หัวดานกำเนิด หัวใจ4เกลอ ฯลฯ 

หุ่นพยนต์นี้ให้คุณวิเศษด้านเเก้อาถรรพ์กันภัยต่างๆ รับเคราะการกระทำย่ำยีเเทนผู้บูชา การที่ทำด้วยโลหะนั่นเมื่อต้องอาถรรพ์กระทำมามันจะคงทนไม่ผุพังง่าย

การเสกหุ่นพยนต์นั้นจะต้องอาศัยจิตของผู้เสกเป็นหลักรวมถึงพระคาถาอัญเชิญทวยเทพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เชิญบารมีครูบาอาจารย์ให้มาช่วยประสิทธิให้สำเร็จ 

หุ่นพยนต์ประเภทนี้บูชาง่ายไม่มีอันตราย ไม่ทำลายเจ้าของไม่กินตัว ไม่มีผลเสียในภายหน้า ถ้าจิตพร้อมสื่อถึงกันกับหุ่นพยนต์ได้ก็สามารถเป็นพรายกระซิบหรือเเสดงลางบอกเหตุการณ์ต่างๆใด้ เตือนเหตุเภทภัยต่างๆในฝันก็ใด้ ให้โชคให้ลาภ เเคล้วคลาดปลอดภัย รวมไปถึงด้านคงกระพันก็ใด้ ถ้าบูชาดีจะมีอิทธิฤทธิ์ความเก่งกล้า

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ "เณรดอย เมืองตรัง"'


เเละที่สำคัญความขลังของหุ่นพยนต์นั้นขึ้นอยู่กับจิตเเละความรู้ของครูบาอาจารย์ที่ร่ำเรียนมาและการทำพิธีกรรมปลุกเสกด้วยว่าทำถูกต้องครลถ้วนหรือไม่ ต้องทำด้วยใจตั้งมั่นและ

เพราะต้องปลุกหรือผูกวิญญาณให้มาสิงในหุ่นเเละสะกดอธิฐานสำทับกันเสื่อมกันปลองใด้ หุ่นพยนต์ถึงจะขลังสมบูรณ์เเบบ(หุ่นพยนต์คือวิชาอีกเเขนงหนึ่งที่ขึ้นชื่อของสายเขาอ้อ)
ทั้งนี้ในการจัดสร้างครั้งนี้ อ.เณรดอย เมืองตรังได้ลงอัขระในด้านต่าง ๆทั้ง ในทางโภคทรัพย์ ร่ำรวย เเละกันสิ่งไม่ดีทั้งหลาย 

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ "เณรดอย เมืองตรัง"'

โดยนำเอา ชนวนเก่าโบราณสำคัญดังนี้ 
1.เหล็กตรึงโลงผี
2.ตรวนนักโทษประหาร 
3.สลักปื่นไฟโบราณ 
4.เหล็กรอดตะราง
5.ฆ้องโบราณ 
6.ตะข้อช้าง 
7.เหล็กตรึงเรือ 
8.ตะแกรงเผาผี 
9.ปอฉ้อ 
10.เหล็กหมุดรางรถไฟ
11.ตะปูตอกฝาโลง 
12.เหล็กไหลเขาอึมครึม
13.กันกริซ9คต
14.เหรียญสตางค์รู 
15.กำไรสัมฤทธิ์
16.ตะปูสังฆวานร
17.ผาลไถเก่า
18.เหล็กตรึงตะโพน 
19.ระฆังโบราณ  

หุ่นพยนต์ มหาภูติ มหายันต์  ไอ้เณรแก้วพิธี๗วาระ ของ "เณรดอย เมืองตรัง"'


นับว่าชนวนโลหะในการนำมาหล่อเป็นชนวนโลหะที่มีความสำคัญมากที่เดียวและย่อมมีพุทธคุณอยู่ในตัวอยู่แล้วโดยมีพิธี ปลุกเสก 7 วาระด้วยกัน. 
เรียกว่าเป็นของดีเมืองตรังที่ไม่ควรมองข้ามในยุคนี้ เพราะรูปลักษณะแบบนี้กำลังอยู่ในกระแสความนิยมของนักสะสมเครื่องรางของขลัง

มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑) #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑)

มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑)1 สิงหาคม 2563 – 00:00 น.

มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑) คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย…  เอก อัคคี  FB :akeakkee ake

ผมจำความได้ก็จำได้ว่า ผมโตมากับลานหินหน้าถ้ำ….!?!
ถ้ำที่ว่านั้นคือ ถ้ำน้ำเย็นแห่งเขาชัยสน เมืองพัทลุง
เพราะที่นาและสวนยางพาราของตายายผมอยู่บริเวณหน้าถ้ำและเชิงเขาในสมัยโน่นนะ ผมน่าจะมีอายุไม่เกิด ๙ ขวบ แปลกแต่จริงคือ ยิ่งแก่ยิ่งจำเรื่องสมัยเด็กๆได้

อ่านข่าว…   จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ

มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑)

ห้องโถงถ้ำฉัททันบรรพตของเขาอ้อ ด้านในสุดที่ไม่อนุญาตให้บุคคลทั่วไปเข้าชม

ถ้ำน้ำเย็นอยู่ทางหัวเขาด้านเหนือ
ถ้ำน้ำร้อนอยู่ค่อนไปทางด้านใต้
ถ้ำพระที่สมัยนั้นมีตาหลวงเหียนปฏิบัติธรรมอยู่ช่วงกลางๆของเขาชัยสนฟากตะวันออก ตาผมเคยทำกิจการ “มายา”คือ ปุ๋ยขี้ค้างคาวบนเขาลูกนี้(แม่เล่าให้ฟัง)

การเข้าถ้ำ มุดถ้ำ ผมทำมาตั้งแต่เด็กๆ
ในถ้ำน้ำเย็น ผมเคยขี่คอน้าชายลุยเข้าไป 
ในถ้ำน้ำลึก-น่ากลัว(สำหรับเด็กน้อยอย่างผม-แต่น้าผมเขาคงสนุก)

มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑)

อ.เปลี่ยน หัทยานนท์ ประกอบพิธีกรรมขอเจ้าถ้ำใช้พื้นที่

….ผมเคยกลับไปนั่งคิดอะไรเงียบๆที่นั่น….

ผมว่า ถํ้าน่าจะเป็นบ้านหลังแรกของมนุษย์เรา 
ก่อนที่มนุษย์เราจะรู้จักตัดไม้มาสร้างบ้าน 
บรรพบุรุษของเผ่าพันธุ์พวกเราเคยเป็น มนุษย์ถ้ำมาก่อน
เพราะมีหลักฐานทางโบราณคดีมากมายในโลกนี้ที่บ่งชี้
ให้เห็นความผูกพันของมนุษย์กับถ้ำ

หลังจากตายายเสียชีวิต แม่ผมและพี่น้องก็ตัดสินใจขายที่นาที่สวนผืนนั้นให้ญาติฝ่ายยายและต่อมาก็ทราบว่ามีการขายต่อให้คนอื่น จนทุกวันนี้บริเวณนั้นได้รับการพัฒนาปรับปรุงจนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยว รีสอร์ตและมีความสวยงามร่มรื่นมาก

 แต่นอกจากจะเป็นอยู่ที่กินที่หลับนอนหลบภัยแล้ว 
ถ้าเราศึกษาหลักฐานทางโบราณคดีของมนุษย์ทั้งในยุคก่อนประวัติศาสตร์และยุคที่เริ่มมีประวัติศาสตร์ ชี้ให้เห็นว่า มนุษย์เราก็ใช้ถ้ำเป็น ศาสนาสถาน,เทวสถาน บำเพ็ญเพียรภาวนา
มาตั้งแต่ยุคมนุษย์บูชาดำ น้ำ ลม ไฟ จนถึงมีศาสนา

เพราะในความมืดมิด รูปทรงที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ให้หินงอกหินย้อยมีส่วนโค้งเว้า นูนต่ำเมื่อมีแสงเงาตกกระทบย่อมที่จะเกิดปรากฏรูปร่างทรวดทรงที่แตกต่างกันไปตามแสงหักเห
เสียงสะท้อนที่ก้องกังวานสะท้อนกระทบไปมา 

ผมว่าน่าจะทำให้มนุษย์เราเกิดความรู้สึกกริ่งเกรงและจินตนาการถึง “พลังงานบางอย่าง” ภายในถ้ำ 

ยิ่งเป็นการบำเพ็ญเพียรภาวนาสวดมนต์ย่อมทำให้เกิดความรู้สึกสะกดข่มและสงบงามในท่วงท่าทีที่นั่งฝึกจิตสู่ห้วงภวังค์ที่ดำดิ่งลงในสมาธิ ก่อให้เกิดฌานสมาบัติ

ไม่ว่าจะเป็น นักพรต ฤาษี นักบวช พระสงฆ์ ในลัทธิ นิกาย ศาสนาต่างๆสุดแท้แต่ จึงนิยมเข้าถ้ำจำศีล!

มนุษย์กับถ้ำ เขาอ้อกับคติความเชื่อของพราหมณ์และที่นี่คือ เทวสถานแห่งเทพเจ้า(๑)

 ถ้ำฉัททันต์บรรพต ที่ปรมาจารย์สำนักเขาอ้อ ใช้ประพิธีกรรมามาตั้งแต่โบราณ
…………………………………

หากถ้ำ…อยู่ในภูเขาโดดๆลูกเดียว
อันเปรียบเหมือน เขาพระสุเมรุ,เขาไกลลาศที่ประทับของพระศิวะเจ้า  ผมรู้สึกว่า ถ้ำก็เหมือนท้องเหมือนครรภ์ของพระแม่ธรณี  พระแม่อุมาเทวี นั้นแหละครับ และบางแห่งอาจจะมีสายโลหิตของพระแม่คงคาหล่อเลี้ยงอยู่ไม่ไกลหรือไม่ก็อยู่ในท้องถ้ำเป็นอุทกธารนั้นแหละ.
แม้ว่าในกาลต่อมา มนุษย์ออกจากถ้ำมาสร้างบ้านแปลงเมืองแล้ว แต่ถ้ำก็ยังมีความหมายในด้านของการเป็นที่ “เร้นกาย”ของนักพรต ดาบส ผู้ทรงศีลที่ปลีกวิเวกจากสังคมมนุษย์ ก่อนศาสนาพราหมณ์จะเกิดและศาสนาพุทธจะมีตามมา

คือที่เก่าก่อนในถ้ำคือที่อยู่ของศาสนาผี ผีป่าผีเขาผีถ้ำผีน้ำ
เพราะมนุษย์มักไปฝังศพในถ้ำ เชิงเขา หรือใต้ซอกหินหลืบผา

ปัจจุบันยังมีถ้ำในบ้านเราอีกหลายแห่งที่เชื่อว่ายังคงมี  “ผีศักดิ์สิทธิ์”ครอบครองอยู่ อย่าง เช่น ถ้ำหลวง ขุนน้ำนางนอน ถ้ำเชียงดาวที่ เชียงใหม่ ถ้ำขุนตาล ฯลฯ

หรือแม้แต่ถ้ำฉัททันต์บรรพต เขาอ้อ พัทลุง ก็เชื่อกันว่า
ดวงจิตอันศักดิ์สิทธิ์ของบรรดาฤาษี นักพรต บูรพาจารย์แห่งสำนักปาฏิโมกเขาอ้อ ยังคงสถิตย์อยู่ในถ้ำแห่งนี้มากมาย

ในอินเดีย ในจีนและในเมืองไทยเราเอง ผมว่า ถ้ำยังคงเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของแทบทุกศาสนา หากใครไปอินเดียจะพบว่า มีถ้ำที่เป็นเทวสถานต่างๆทั้งศาสนาพราหมณ์ฮินดู ,ศาสนาพุทธ ล.ศาสนาไชนะ, ฯลฯรวมไปถึงในจีนและไทย 

อาจเป็นเพราะถ้ำเป็นที่ “วิเวก” เหมาะแก่การเจริญจิตภาวนาและศึกษาพระธรรม ผมเคยไปชมถ้ำที่เมืองลั่วหยาง ประเทศจีน 
พบว่ามีการเจาะผนังภูเขาหินและถ้ำทำเป็นช่องเล็กๆ มากมาย  
นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า เพื่อให้เป็นที่นั่งจำศีลภาวนาของพระภิกษุและจัดวางพระพุทธรูปเพื่อเป็นพุทธบูชา

พระภิกษุฝ่าย “อรัญวาสี”หรือ พระป่ามักนิยมแสวงหาที่พำนักวิเวกตามถ้ำต่างๆไม่ว่า อินเดีย พม่า ไทย เนปาล ทิเบต จีน ลาว  ฯลฯ

และก็น่าจะคล้ายกันครับ!…คือถ้ำไม่ได้เป็นพื้นที่เฉพาะของศาสนาเดียว กล่าวคือ พุทธศาสนาก็ไปซ้อนทับกับพื้นที่ของศาสนาอื่นที่อาจจะอยู่มาเก่าก่อน อย่างศาสนาผีอาจจะอยู่แต่เดิมในถ้ำเหล่านั้นที่ถูกทดแทนด้วยศาสนาพราหมณ์ และต่อมาศาสนาพุทธก็เข้าไปแทนที่แล้วถ้ำหลายแห่งจึงอยู่ทั้งพุทธ พราหมณ์และผีครับ 

ผมเคยอ่านบทความของคมกฤช อุ่ยเต็งเค่ง ในมติชนสุดสัปดาห์ เขาเล่าเอาไว้ว่า แม้ว่าจะมีเทพเจ้าพราหมณ์ไม่กี่องค์ที่เกี่ยวข้องกับถ้ำ แต่ในหนังสือ The Hindu Temple : An Introduction to Its Meaning and Forms ของ George Michell กล่าวว่า ที่จริงเทพเจ้าในเทวสถานทุกองค์ก็อยู่ใน “ถ้ำ” อยู่แล้ว
…………………………

(อ่านต่อตอนต่อไป)

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ25 กรกฎาคม 2563 – 00:00 น.

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ คอลัมน์…  ตามรอยตำนานแผ่นดิน  โดย… เอก อัคคี  Fb:Akeakkee Ake

ถ้าเอ่ยถึงพระเกจิอาจารย์สายเหนียว เมืองนครปฐมยุคนี้ ไม่มีใครไม่ยอมรับหลวงปู่แผ้ว ปวโร ท่านเป็นศิษย์หลวงพ่อหว่าง เจ้าอาวาสวัดกำแพงแสน หลวงพ่อหว่างเป็นศิษย์หลวงพ่อทา วัดพะเนียงแตก จ.นครปฐม หลวงปู่แผ้วจึงได้ศึกษาพระธรรมวินัยจากหลวงพ่อหว่างพระอุปัชฌาย์ของท่านและได้ศึกษาวิชาอาคมจากหลวงปู่ดุลย์ วัดบูรพารามที่มาพักจำพรรษาที่วัดกำแพงแสน

อ่านข่าว…   เปิดความลับของความลี้ลับ แห่งยันต์ทม-หลังไอ้ไข่เปลี่ยนชีวิต ๑ ในนอโม ๒๙ สุดยอดวิชาเขาอ้อ

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ

หลวงปู่แผ้วกับตัวอย่างเหรียญที่สร้าง


เมื่อปี 2524  หลวงปู่แผ้วได้ย้ายมาอยู่ที่วัดรางหมันหรือวัดประชาราษฎร์บำรุงเมื่อวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2551 ถึงปัจจุบันโดยมี พระอธิการสมศักดิ์ อินฺโท เจ้าอาวาสวัดรางหมัน 


ล่าสุดทาง สภ.บางหลวง อ.บางเลนจ.นครปฐมมีดำริจะสร้างพระเครื่องขึ้นมาเพื่อหาทุนมาซ่อมแซมอาคารที่ชำรุดทรุดโทรมและหล่อพระพุทธรูปองค์ใหญ่ประดิษฐานไว้ที่บริเวณด้านหน้าโรงพัก จึงไปขอบารมีของหลวงปู่แผ้วโดยจะออกเหรียญในนามของท่าน ซึ่งท่านก็เมตตาให้ดำเนินการได้


และในการจัดสร้างในครั้งนี้ ทาง สภ.บางหลวง ได้เชิญ อ.เปลี่ยน หัทยานนท์” ศิษย์พระอาจารย์ปาน ปาลธมฺโม คนสุดท้าย เจ้าพิธีกรรมไสยศาสตร์อาวุโสแห่งสำนักเขาอ้อ อาวุโสสูงสุดในสายฆราวาส ผู้เป็นศิษย์คนสุดท้ายที่ได้รับการถ่ายทอดสรรพวิชาจากพระอาจารย์สายเขาอ้อ มาเป็น “เจ้าพิธีกรรมไสยศาสตร์เขาอ้อ” 

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ


และยังได้เรียนเชิญ อ.นุ้ย บุตรชายของ พล.ต.ต.ขุนพันธ์ฯ นายตำรวจจอมขมังเวทย์ชื่อดังของเมืองไทย ซึ่งได้รับการถ่ายทอดวิชาอาคมมาจากท่านขุนพันธ์ฯ บิดาของท่าน และเป็นผู้ครอบครองดาบศักดิ์สิทธิ์ ดาบประจำตัวของท่านขุนพันธ์ฯ ที่เชื่อกันว่าคือดาบของพระยาพิชัยดาบหัก ซึ่งก็จำนำดาบศักดิ์สิทธิ์ มาร่วมพิธีในครั้งนี้ด้วย


สำหรับรูปแบบวัตถุมงคล จะเป็นเหรียญรูปไข่ ขนาด 3.9 ซม.ด้านหน้า มีรูปพระพุทธปฏิมาเจษฎากร และมังกรคู่ ซึ่งแสดงถึงอำนาจวาสนา บารมีแก่ผู้ครอบครอง 


ด้านหลัง ใช้ยันต์สวน ซึ่งถือว่าเป็นยันต์มหาอุดหยุดลูกปืน ยันต์ประจำตัวของหลวงปู่แผ้ววัดรางหมัน และมีตราโล่เขน ของตำรวจ จึงถือได้ว่า ครบเครื่องของเหรียญดี ที่ทุกคนไม่ควรพลาดอย่างแน่นอน 


โดยจะทำการเปิดจองที่ สภ.บางหลวง อ.บางเลน จ.นครปฐม และศูนย์จองชั้นนำทั่วไทย จึงไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ

สภาพโรงพักบางหลวงที่ทรุดโทรม

กล่าวสำหรับ สภ.บางหลวง อ.บางเลน จ.นครปฐม นั้นได้ตั้งขึ้นมาบริการและดูแลประชาชนในพื้นที่ตามเขตความรับผิดชอบ มาตั้งแต่ปี 2538 จนถึงปัจจุบันนี้ นับได้ว่า เป็นระยะเวลา 25 ปี และสังคมในพื้นที่มีการเจริญเติบโตมากขึ้นอย่างรวดเร็ว 


แต่ ข้าราชการตำรวจ และชาวบ้าน ในพื้นที่ข้างเคียง เมื่อมายังสถานีตำรวจ ไม่มี พระพุทธรูปประจำโรงพัก ไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ และ กราบไหว้บูชา และที่ทำการของสถานี รวมทั้งอาคารบ้านพักได้ชำรุดทรุดโทรม ไปตามสภาพการใช้งาน ยังเป็นโรงพักแบบเก่า ตลอดจนข้าราชการตำรวจยังขาดสวัสดิการ ในการดูแลตัวเองและครอบครัว 


เป็นเหตุผลที่ทำให้ทาง พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผู้กำกับหนุ่มไฟแรงได้เห็นถึงความจำเป็น จึงได้ไปขอความเมตตา จากทางวัดรางหมัน โดยทางพระอธิการสมศักดิ์ อินโท เจ้าอาวาสวัดรางหมัน ได้เมตตาอนุญาตให้ทาง สภ.บางหลวง จัดสร้างเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากรหลวงปู่แผ้ว วัดรางหมันขึ้นและจะปลุกเสกโดยหลวงปู่แผ้ว วัดรางหมัน เกจิชื่อดังของ จ.นครปฐม ที่วัดรางหมัน และวาระสุดท้ายในวันตำรวจ 17 ต.ค.63  ที่หน้า สภ.บางหลวง และรับพระวันที่ 18 ต.ค.63 เป็นต้นไป เพราะใครอยากได้ของดีจากตำรวจ ที่ผสานพลังพุทธาคมสายนครปฐมกับสายเขาอ้อ ไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ

พ.ต.อ.เจษฎา ยางนอก ผู้กำกับการหนุ่มไฟแรง

จับตาเหรียญพระพุทธปฏิมาเจษฎากร เหรียญเหนียวแห่งเมืองนครปฐมผสานพลังเขาอ้อ

เหรียญดี อนาคตไกล

กรมราชทัณฑ์ เตรียมฌาปนกิจ 23 ก.ค.2563 ปิดตำนาน 60ปี “ซีอุย” #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

กรมราชทัณฑ์ เตรียมฌาปนกิจ 23 ก.ค.2563 ปิดตำนาน 60ปี “ซีอุย”

กรมราชทัณฑ์ เตรียมฌาปนกิจ 23 ก.ค.2563  ปิดตำนาน 60ปี "ซีอุย"20 กรกฎาคม 2563 – 18:10 น.

กรมราชทัณฑ์ เตรียมฌาปนกิจ ปิดตำนาน 60ปี “ซีอุย” หลังได้สิทธิความเป็นมนุษย์กลับคืน 23 ก.ค. 2563 นี้ นำร่างทำพิธี ที่วัดบางแพรกใต้ จังหวัดนนทบุรี

เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2563 พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์  กระทรวงยุติธรรม  เปิดเผยว่า วันที่ 23 ก.ค. 2563 กรมราชทัณฑ์จะทำพิธีฌาปนกิจศพ น.ช.ซีอุย หรือ หลีอุย แซ่อึ้ง ผู้ต้องหาคดีฆาตกรรมเด็ก 7 ราย เมื่อ 60 ปีที่แล้ว

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

4 ก.พ.2501 เผยโฉม”ซีอุย แซ่อึ้ง”มนุษย์กินคน

:เผยความจริงอีกด้าน “ตำนาน ‘ซีอุย’ มนุษย์กินคน”

ซึ่งหลังจาก นายซีอุย เสียชีวิตทางคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล  มหาวิทยาลัยมหิดล(มม.) ได้ขอผ่าศพเพื่อทำการศึกษาและพิสูจน์หาความผิดปกติเป็นกรณีพิเศษ เนื่องจากนายซีอุย มีลักษณะเป็นฆาตกรที่เรียกว่า serial killer เมื่อการผ่าพิสูจน์เสร็จสิ้น จึงมีการดองศพเพื่อให้ความรู้กับประชาชนที่พิพิธภัณฑ์นิติเวชศาสตร์ อาคารอดุลยเดชวิกรม รพ.ศิริราช

จนมีชาวบ้าน อ.ทับสะแก จ.ประจวบคีรีขันธ์ เข้าร้องต่อคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนว่า การจัดแสดงศพซีอุย ถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้เสียชีวิต เนื่องจากผู้ต้องหาได้เสียชีวิตไปนานแล้ว ไม่ควรจะลิดรอนสิทธิ จึงได้ประสานไปยังโรงพยาบาลศิริราช เพื่อขอให้แก้ไขปัญหาดังกล่าว

ซึ่งทางกรมราชทัณฑ์เห็นว่า นายซีอุย เป็นบุคคลไร้ญาติและอยู่ในอำนาจหน้าที่ของกรมราชทัณฑ์ สามารถดำเนินการได้ จึงกำหนดให้มีการเผาศพนายซีอุย โดยจะเชิญคณะกรรมการสิทธิมนุษยชน ตัวแทนชาวบ้าน อ.ทับสะแก และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ร่วมเป็นสักขีพยานในการฌาปนกิจ วันที่ 23 ก.ค. 2563 เวลา 10.00 น.ที่วัดบางแพรกใต้ ต.สวนใหญ่ อ.เมืองนนทบุรี

ทำไมต้องนำนำศพ นายซีอุย มาฌาปนกิจที่วัดบางแพรกใต้ เนื่องจากวัดแห่งนี้เวลามีนักโทษถูกประหาร จะนำศพออกมาทางประตูผี ซึ่งติดกับด้านหน้าโบสถ์ มาเก็บไว้ที่ป่าช้าที่ใช้เก็บเฉพาะนักโทษ ทางญาติจะมารับกลับไปทำพิธีทางศาสนาที่บ้านเกิด แต่บางรายไม่มีญาติมารับพอถึงเวลาที่กำหนดก็จะฌาปนกิจให้

ทั้งนี้ นายซีอุย ถูกประหารชีวิตเมื่อวันที่ 16 ก.ย.2502 ต่อมาวันที่ 27 ก.ย. ทางคณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลศิริราช ได้ทำเรื่องขอศพซีอุยมาทำการศึกษา เพื่อหาเหตุแห่งความวิปริตผิดมนุษย์ โดยเก็บไว้ที่ตึกกายวิภาค และร่างของซีอุยเป็นอาจารย์ใหญ่ให้กับนักศึกษาแพทย์ 

“กริ่งไฟดับ” หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี #ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย

#ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

“กริ่งไฟดับ” หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี19 กรกฎาคม 2563 – 08:55 น.

“กริ่งไฟดับ” หลวงพ่อใหญ่วัดตาล พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์และวัตถุมงคล ที่คนหล่มเก่า “ต้องมี” ไว้ครอบครองบูชา … เรียบเรียง โดย ชัยวัฒน์ ปานนิล

หลวงพ่อใหญ่” วัดตาล เป็นพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ เป็นมิ่งขวัญและศูนย์รวมศรัทธา ของชาวอำเภอหล่มเก่า ทุกรูปทุกนาม ใครได้ไปนมัสการขอพรจากหลวงพ่อใหญ่ นับว่าเป็นสิริมงคลกับตัวเองอย่างยิ่ง

และสิ่งที่จะลืมมิได้ ก็คือการอาราธนา วัตถุมงคลของหลวงพ่อใหญ่วัดตาล ซึ่งใครก็ตามที่เป็นชาวอำเภอหล่มเก่า ต้องมีไว้คล้องคอ

และนับเป็นสุดยอดปรารถนาของทุกคน คงจะหนีไม่พ้น กริ่งรูปจำลองหลวงพ่อใหญ่ ที่สร้างในปี 2516 หรือที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากว่า กริ่งไฟดับ องค์นี้เพียงองค์เดียวก็สามารถเอาเป็นเกาะป้องกันภยันตรายได้เกินพอ

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

เมื่อปี 2516 พระวีรญาณมุณี เจ้าคณะจังหวัดเพชรบูรณ์ ในขณะนั้น ได้จัดสร้างวัตถุมงคล หลวงพ่อใหญ่วัดตาล ขึ้น มีหลายแบบด้วยกัน เช่น รูปจำลองหลวงพ่อใหญ่ ในลักษณะพระกริ่ง แหวนเก้ามงคล และเหรียญรูปกลมเล็ก รูปกลมใหญ่ และทรงเสมาคว่ำ เป็นต้น เพื่อหาทุนทรัพย์รวบรวมไปสร้างและซ่อมวิหารอันเป็นที่ประดิษฐ์ของหลวงพ่อใหญ่วัดตาล

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

วัตถุมงคลเหล่านี้ ได้จัดให้มีพิธีพุทธาภิเศกในวิหารหลวงพ่อใหญ่ โดยอาราธนาพระคณาจารย์ผู้โด่งดังด้วยเกียรติคุณในพุทธาคมร่วมบริกรรมปลุกเสก เช่น

1. หลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง จังหวัดสิงห์บุรี

2. หลวงพ่อจวน วัดหนองสุ่ม จังหวัดสิงห์บุรี

3. หลวงพ่อทบ วัดช้างเผือก จังหวัดเพชรบูรณ์

4. หลวงพ่อพริ้ง วัดโบสถ์ จังหวัดลพบุรี

5. หลวงพ่อถม วัดธรรมปัญญาราม จังหวัดสุโขทัย

6. หลวงพ่อไซ่ วัดจูงนาง จังหวัดพิษณุโลก

7. หลวงพ่อลมัย วัดพระศรีมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก

8. หลวงพ่อเปรื่อง วัดบางคลาน จังหวัดพิจิตร

9. หลวงปู่จันทร์ วัดลานเขื่อน จังหวัดอุบลราชธานี

10. หลวงพ่อทองรักษ์ วัดธาตุพนม จังหวัดนครพนม

11. หลวงพ่อชัย วัดพระธาตุสามหมื่น จังหวัดชัยภูมิ

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

กริ่งเล็ก-หน้า

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

กริ่งเล็ก-หลัง

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

กริ่งใหญ่-หน้า

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

กริ่งใหญ่-หลัง

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

เหรียญกลมใหญ่จากตอนต้น กล่าวได้ว่า หลวงพ่อใหญ่วัดตาล เป็นพระพุทธรูปอันศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่เคารพสักการะของชาวอำเภอหล่มเก่า และชาวจังหวัดเพชรบูรณ์ ด้วยเจตนาอันบริสุทธิ์ของคณะผู้จัดสร้าง หลวงพ่อใหญ่วัดตาล ในชุดแรก จึงทำให้วัตถุมงคลชุดดังกล่าว ทรงไว้ด้วยอนุภาพแห่งความมหัศจรรย์ อย่างล้ำลึก เป็นเกาะแก้วคุ้มครองป้องกันภยันตราย แคล้วคลาดและปลอดภัย จากอุปัทวเหตุ ดังปรากฏประสบการณ์ในอิทธิปาฏิหาริย์ ในวัตถุมงคลหลวงพ่อใหญ่วัดตาล มีให้เห็นอยู่เสมอ ตั้งแต่ตอนเริ่มสร้าง เมื่อปี พ.ศ.2517 

คุณทรงศักดิ์ พจี ครูใหญ่โรงเรียนบ้านพรวน ในขณะนั้น ได้เดินทางไปกับภรรยาและบุตร อีก 5 คน ด้วยรถยนต์ส่วนตัว มี คุณทรงศักดิ์ พจี เป็นคนขับ ได้เกิดอุบัติเหตุชนกับรถยีเอ็มซีของทหาร ที่ทางแยกของอำเภอหล่มเก่า อย่างแรง เป็นเหตุให้รถของคุณทรงศักดิ์พลิกคว่ำไปหลายตลบ คนขับสลบไม่ได้สติต้องนำส่งโรงพยาบาล ส่วนภรรยาและบุตรบาดเจ็บเล็กน้อย 

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

แต่พอ คุณทรงศักดิ์ ฟื้นได้สติก็สามารถกลับบ้านได้เลย โดยไม่มีร่องรอยการได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด ส่วนผู้ที่เห็นเหตุการณ์และสภาพรถ ต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไม่น่ารอด” แต่ที่ปลอดภัยมาได้นั้นต่างเชื่อว่าเป็นด้วยพุทธานุภาพจาก “เหรียญหลวงพ่อใหญ่วัดตาล” ที่บูชาอยู่บนคอของ คุณทรงศักดิ์ ภรรยาและบุตรทุกคน

"กริ่งไฟดับ" หลวงพ่อใหญ่วัดตาล คนหล่มเก่าต้องมี

นอจากเหตุการณ์ในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ในปัจจุบันก็ยังมีประสบการณ์ในอิทธิปาฏิหาริย์ ในวัตถุมงคลหลวงพ่อใหญ่วัดตาล ให้เห็นอยู่เสมอ โดย ผู้เขียนจะนำมาเสนอให้ทราบในตอนต่อไป รวมทั้งรายละเอียดการจัดสร้างวัตถุมงคล ของ หลวงพ่อใหญ่วัดตาล ในแต่ละรุ่นตามลำดับ