ซิลิงโก้ทุ่ม7พันล. รุกแฟชั่นออนไลน์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/583098

  • วันที่ 13 มี.ค. 2562 เวลา 11:40 น.

ซิลิงโก้ทุ่ม7พันล. รุกแฟชั่นออนไลน์

เรื่อง ปากกาด้ามเดียว

จากอุตสาหกรรมแฟชั่นทั่วโลกที่มีมูลค่ามากถึง 3 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ รวมถึงการเติบโตของตลาดอี-คอมเมิร์ซในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ขยายตัวรวดเร็วที่สุดในโลก ทำให้ซิลิงโก้ (Zilingo) แพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์เกี่ยวกับแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ มองเห็นโอกาสรุกตลาดในภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่อง

แอนกิติ โบส ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้งของซิลิงโก้ (Zilingo) เปิดเผยว่า จะใช้งบรวม 226 ล้านดอลลาร์ หรือกว่า 7,000 ล้านบาท เพื่อเดินหน้าบุกตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยในปี 2561ที่ผ่านมา ซิลิงโก้ (Zilingo) ได้ขยายแพลตฟอร์ม B2B เพิ่มเติมในประเทศเวียดนาม บังกลาเทศ และกัมพูชา รวมไปถึงการก่อตั้งสำนักงานที่กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์

ปัจจุบันซิลิงโก้ให้บริการผู้ซื้อและผู้ขายทั้งทาง B2B และ B2C กว่า 15 ประเทศทั่วโลก ประกอบด้วย ไทย สหรัฐอเมริกา บราซิล อินเดีย บังกลาเทศ เกาหลีใต้ ฮ่องกง จีน กัมพูชา เวียดนาม อินเดีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ออสเตรเลีย และฟิลิปปินส์ มีคู่ค้าทางธุรกิจรวมกันกว่า 2.5 หมื่นราย มีพนักงานกว่า 400 คน และมีโรงงานที่เข้าร่วมธุรกิจกว่า 1,200 แห่งทั่วโลก

“เราตั้งเป้าหมายว่าซิลิงโก้จะเป็นผู้นําที่รวบรวมความแตกต่างไว้อย่างเท่าเทียม โดยให้ความสำคัญและช่วยเหลือลูกค้า B2C และ B2B ไปพร้อมกัน เพราะวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจ คือ การช่วยเหลือลูกค้าทั้งสองกลุ่มให้เติบโตไปพร้อมกับเรา” โบส กล่าว

นอกจากนี้ ยังพบว่าอุตสาหกรรมแฟชั่นและไลฟ์สไตล์ต้องอาศัยผู้ขายและผู้ผลิตจํานวนมาก ซึ่งจากการแข่งขันที่รุนแรงทำให้ธุรกิจขนาดเล็กต้องเผชิญกับพ่อค้าคนกลาง ผนวกกับที่ผ่านมาเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นเครื่องมือช่วยในการค้าขายค่อนข้างล้าสมัย ซิลิงโก้ จึงมองเห็นโอกาสในการเข้ามาทำธุรกิจอี-คอมเมิร์ซแฟชั่นและไลฟ์สไตล์เพื่อปลดล็อกปัญหาต่างๆ และลดขั้นตอนที่ซับซ้อนยุ่งยาก โดยเฉพาะระบบซัพพลายเชน ด้วยการสร้างแพลตฟอร์มครบวงจรที่สมบูรณ์แบบให้กับร้านค้าขนาดเล็ก ขณะที่ผู้ซื้อก็จะได้รับข้อเสนอที่ดี ทั้งด้านราคาและคุณภาพของสินค้า

สำหรับการทำตลาดในประเทศไทยนั้น ปัจจุบันมีสินค้ามากกว่า 1 แสนเอสเคยู ที่คัดสรรมาเพื่อคนไทย อีกทั้งผู้จัดจำหน่ายส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น จึงทำให้สินค้าที่จำหน่ายในซิลิงโก้ตรงกับความต้องการลูกค้าคนไทย

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผู้จัดจำหน่ายของซิลิงโก้ในแต่ละประเทศจะมีความแตกต่างกัน แต่ในด้านวิสัยทัศน์การดำเนินธุรกิจยังคงอยู่ภายใต้กรอบเดียวกัน คือ ต้องการที่จะสนับสนุนผู้คนให้เป็นตัวของตนเอง เชื่อในความเท่าเทียมและสิทธิมนุษยชน

ขณะเดียวกันยังมีแผนพัฒนาเครื่องมือใหม่ๆ เพื่อช่วยให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เช่น ซื้อก่อนจ่ายทีหลัง เป็นต้น หลังจากตอนนี้มีนโยบายเกี่ยวกับคืนสินค้า ซึ่งจะสามารถคืนได้ภายใน 15 วัน เป็นต้น

“เอกลักษณ์และความพิเศษของเรา คือ แฟชั่นและไลฟ์สไตล์ ด้วยฐานลูกค้าของเราใน 4 ประเทศ ทั้งไทย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และ ฟิลิปปินส์ ทำให้สามารถอัพเดทเทรนแฟชั่นและเสนอสินค้าที่เราคัดสรรมาอย่างดีที่สุดให้กับลูกค้า” โบส กล่าวปิดท้าย

เอไอเอสงัดเอไอเรียกลูกค้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/583070

  • วันที่ 13 มี.ค. 2562 เวลา 07:00 น.

เอไอเอสงัดเอไอเรียกลูกค้า

เอไอเอส ปลุกกลยุทธ์ เอไอ ขยายฐานลูกค้าเจนซี พร้อมจัดเต็มสิทธิพิเศษเรียกลูกค้าใหม่

นางบุษยา สถิรพิพัฒน์กุล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานบริหารลูกค้าและการบริการ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือ AIS เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2562 นี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับกลยุทธ์ “เอไอเอส360 ที่ 1 ตัวจริง ครบทุกการดูแล” มาต่อยอดบริการลูกค้าของเอไอเอส ซึ่งปัจจุบันมีอยู่กว่า 41.2 ล้านรายทั่วประเทศ และลูกค้าของเอไอเอสไฟเบอร์ที่ปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 7.8 แสนราย ด้วยการมอบสิทธิให้กับลูกค้าอย่างครบวงจร แบ่งเป็น ร้านอาหารกว่า 2.8 หมื่นร้านค้า 60-70% ความบันเทิง เช่น โรงหนัง และธีมปาร์ค 15% ช็อปปิ้ง 10% และบริการอื่นๆ อีกประมาณ 5-15%

ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้บริษัทให้ความสำคัญกับการมอบสิทธิพิเศษด้านร้านอาหารมากกว่าบริการอื่นๆ เพราะจากการศึกษาพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านฐานข้อมูลของสื่อโซเชียลมีเดีย พบว่า ผู้บริโภคให้ความสนใจการรับประทานอาหารมากที่สุด บริษัทจึงให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว

นอกจากนี้ บริษัทยังให้ความสำคัญกับการนำเทคโนโลยี AI, Chatbot และ Smart Knowledge Base เพื่อให้บริการในด้านของข้อมูลข่าวสารและสิทธิพิเศษต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามข้อมูลต่างๆ จากน้องอุ่นใจ ซึ่งจะตอบคำถามผ่านระบบ Chatbot ในเฟซบุ๊ก โดยในส่วนของบริการดังกล่าวบริษัทมั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับจากผู้บริโภคในกลุ่มเจนซีเป็นอย่างดี

“กลยุทธ์ดังกล่าว นอกจากจะเป็นการรักษาฐานลูกค้าเดิมของเอไอเอส และเอไอเอสไฟเบอร์แล้ว บริษัทยังมั่นใจว่ากลยุทธ์นี้จะขยายฐานลูกค้าใหม่ได้อย่างแน่นอน” นางบุษยา กล่าว

นางบุษยา กล่าวอีกว่า ในปีนี้บริษัทได้เตรียมงบประมาณ 2,000 ล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา เพื่อทำกิจกรรมการตลาดตลอดทั้งปี โดยในสิ้นปี 2562 นี้ ตั้งเป้าว่าจะมียอดดาวน์โหลด My AIS App เพิ่มเป็น 15 ล้านดาวน์โหลด จากปัจจุบันมีลูกค้าดาวน์โหลดแล้ว 10 ล้านดาวน์โหลด และเพิ่มเป็น 20 ล้านดาวน์โหลดในปี 2563

ผลโพลไมโครซอฟท์ ธุรกิจไทยใช้เอไอต่ำ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/583061

  • วันที่ 13 มี.ค. 2562 เวลา 05:45 น.

ผลโพลไมโครซอฟท์ ธุรกิจไทยใช้เอไอต่ำ

ไมโครซอฟท์ ชี้เอไอเพิ่มศักยภาพองค์กรได้ไม่ต่ำกว่า 20% ภายใน 3 ปีจากนี้

นายธนวัฒน์ สุธรรมพันธุ์ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า ไมโครซอฟท์ เอเชีย แปซิฟิก และไอดีซี ร่วมกันทำรายงานวิจัยในหัวข้อ Future Ready Business : Assessing Asia Pacific’s Growth Potential Through AI โดยสำรวจองค์กร 101 แห่งในไทย พบว่า มีองค์กร 26% นำปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ) เข้ามาใช้เพียง 26% เท่านั้น ซึ่งแม้ว่า 85% จะเข้าใจถึงผลเชิงบวกในการใช้เอไอ

ทั้งนี้ องค์กรธุรกิจในไทยคาดว่าจะเพิ่มอัตราการสร้างนวัตกรรมได้ 66% และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานได้ 32% ในปี 2564 และจะเพิ่มศักยภาพการแข่งขันสูงขึ้น 81%

นอกจากนี้ องค์กรที่เริ่มนำเอไอมาใช้ขับเคลื่อนธุรกิจ 5 อันดับแรก คือ 1.ประสบการณ์ที่ดีขึ้นของลูกค้า 2.ความสามารถทางการแข่งขันสูงขึ้น 3.ส่วนต่างกำไรที่เพิ่มขึ้น 4.เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของพนักงาน และ 5.สร้างสรรค์นวัตกรรมได้รวดเร็วขึ้น ซึ่งองค์กรที่เริ่มใช้เอไอสามารถเพิ่มศักยภาพด้านต่างๆ ได้ 28-36% และคาดว่าจะเพิ่มขึ้นได้อีกไม่ต่ำกว่า 20% ใน 3 ปีจากนี้

จับกระแสไอที เพิ่มโอกาสธุรกิจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/582962

  • วันที่ 12 มี.ค. 2562 เวลา 10:30 น.

จับกระแสไอที เพิ่มโอกาสธุรกิจ

เรื่อง สุภัค ลายเลิศ กรรมการอำนวยการ และประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ บริษัท ยิบอินซอย จำกัด

บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยชั้นนำของโลก ต่างก็เห็นตรงกันว่า ปีนี้ “คลาวด์ คอมพิวติ้ง บิ๊กดาต้า และการวิเคราะห์ข้อมูล ไอโอที ปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน และความปลอดภัยทางไซเบอร์” จะยังคงมีบทบาทสำคัญอย่างน้อยอีก 3-5 ปีข้างหน้า

ที่ผ่านมา การเริ่มใช้งาน “คลาวด์ คอมพิวติ้ง” จะมองถึงความคุ้มทุนที่เกิดจากการแชร์ใช้ทรัพยากรไอทีร่วมกันทั้งออนไลน์และออฟไลน์ แต่จากนี้ไปคลาวด์จะมีบทบาทสนับสนุนการทำงานเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางธุรกิจมากขึ้น และในปีนี้ มัลติคลาวด์จะถูกพูดถึงเป็นพิเศษ ด้วยแนวทางที่เปิดกว้างให้กับองค์กรในการใช้งานคลาวด์จากผู้ให้บริการหลายๆ รายควบคู่กันไป รวมถึง เอดจ์ คอมพิวติ้ง ที่จะมาช่วยลดโหลดการทำงานบนคลาวด์ โดยให้อุปกรณ์ปลายทางสามารถจัดการตัวเองได้ เสริมด้วยแอพพลิเคชั่นในแบบไมโครเซอร์วิส ซึ่งเป็นการพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่แยกออกเป็นส่วนย่อยๆ ตามฟังก์ชั่นใช้งานเพื่อให้ง่ายต่อการปรับปรุงผ่านคลาวด์ด้วยเวลาที่รวดเร็ว

การหลั่งไหลของข้อมูลผ่านอุปกรณ์ไอโอที หรือการประกอบธุรกรรมออนไลน์ ทำให้ “บิ๊กดาต้า” เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในระดับที่เราไม่คุยเป็นเทราไบต์กันแล้ว แต่เป็นการโตในระดับ เซตตาไบต์ เครื่องมือวิเคราะห์บิ๊กดาต้า จึงกำลังถูกพัฒนาให้ทำงานได้ฉลาดขึ้นในการกลั่นกรองและวิเคราะห์ข้อมูลที่ใช่ และส่งต่อสู่กระบวนการสนับสนุนการตัดสินใจทางธุรกิจ หรือบิซิเนส อินเทลลิเจนซ์ เพื่อเพิ่มมุมมองใหม่จากข้อมูลที่หลากหลายให้กับผู้บริหาร รวมถึงต่อยอดสู่การสร้างนวัตกรรม

“ไอโอที” กลายเป็นแพลตฟอร์มที่สามารถสร้างและขยายพื้นที่แสดงผลและส่งต่อข้อมูลที่หลากหลายแบบไม่จำกัดโครงสร้าง ซึ่งองค์กรเอาไปประยุกต์ใช้ได้หลายทาง การใช้งานไอโอทีในการผลักดันการเติบโตของตลาดการค้าบนโลกออนไลน์ทำให้สามารถขยายพื้นที่การขาย เพิ่มเติมฐานลูกค้า หรือพบช่องทางการสร้างรายได้ใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ

ปัญญาประดิษฐ์ หรือเอไอ นอกจากจะสามารถสร้างการรับรู้ โต้ตอบ หรือปฏิบัติการได้ทันทีที่ร้องขอแล้ว ยังเป็นการยกระดับความเป็นนวัตกรรมของแบรนด์ในสายตาลูกค้า อีกทั้งข้อมูลหรือพฤติกรรมการโต้ตอบของลูกค้ากับเอไอ ยังนำไปใช้ในการวิเคราะห์ปรับปรุงเพื่อเพิ่มรายได้และสร้างโอกาสการขาย โดยเน้นการนำเสนอในจุดที่ลูกค้าสนใจ หรือจากมุมที่ดีที่สุดของสินค้าและบริการ จนสามารถเปลี่ยนการตัดสินใจจาก “เดี๋ยวค่อยซื้อ” เป็น “อยากซื้อเดี๋ยวนี้”

“บล็อกเชน” เป้าหมายคือ สร้างความน่าเชื่อถือ โปร่งใส และตรวจสอบได้ ด้วยหลักการ การจัดเก็บฐานข้อมูลแบบกระจาย ที่ต่อตรงถึงกันทั้งหมดภายในเครือข่าย การปรับปรุงทุกฐานข้อมูลในเครือข่ายให้ทันสมัยจึงทำได้พร้อมกันทันที ซึ่งลดทั้งเวลาและขั้นตอนการทำงาน สามารถตรวจสอบย้อนกลับไป-มาซึ่งกันและกัน ทำให้บล็อกเชนได้รับการยอมรับว่า มีความปลอดภัยสูง

สุดท้ายคือประสิทธิภาพของ “ระบบความปลอดภัยทางไซเบอร์” ที่ต้องตอบโจทย์ให้ตรงจุดในเรื่อง ป้องกันความเสี่ยงและสร้างความไว้วางใจ โดยไอดีซี ได้เสนอแนะแนวคิด “ซีโร่ ทรัสต์ ซีเคียวริตี้” บนหลักการที่ว่า อย่าไว้ใจกันง่ายๆ โดยปัญญาประดิษฐ์ บล็อกเชน จะเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาเป็นส่วนสำคัญในการสร้างความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์หรือออนไลน์ในการตรวจจับผู้บุกรุกจากภายนอกและป้องกันการรั่วไหลโดยคนใน

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยที่จะช่วยเติมพลังให้กับองค์กร เพื่อพร้อมสู้ศึกการแข่งขันในโลกยุคดิจิทัล โลกซึ่งความได้เปรียบด้านเทคโนโลยีและข้อมูล คือหนึ่งในตัวชี้วัดความสำเร็จทางธุรกิจ

“เฟซบุ๊ก” ปรับแผนใหญ่ ลุยซูเปอร์แอพตาม”วีแชต”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/582848

  • วันที่ 11 มี.ค. 2562 เวลา 08:30 น.

"เฟซบุ๊ก" ปรับแผนใหญ่ ลุยซูเปอร์แอพตาม"วีแชต"

เฟซบุ๊กประกาศปรับแผนธุรกิจมุ่งสู่บริการ “รับ-ส่งข้อความส่วนตัว” หวังให้เป็นซูเปอร์แอพในชีวิตประจำวันที่รวมบริการหลากหลายคล้ายวีแชต

**********************************

โดย…ทีมข่าวต่างประเทศโพสต์ทูเดย์

หลังจากเจอคดีอื้อฉาวมากมายเรื่องการปล่อยข้อมูลผู้ใช้รั่วไหล มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เฟซบุ๊ก บริษัทโซเชียลมีเดียชื่อดัง ประกาศแผนปรับเปลี่ยนธุรกิจครั้งใหญ่ของเฟซบุ๊ก ด้วยการมุ่งสู่ “บริการรับส่งข้อความส่วนตัว” จากเดิมที่เน้นการแชร์เรื่องราวและการพูดคุยในพื้นที่สาธารณะ เพื่อเร่งกู้ศรัทธาผู้ใช้ และรองรับการส่งข้อความส่วนตัวที่กำลังจะได้รับความนิยมสูงกว่าการพูดคุยผ่านทางนิวส์ฟีด

ทั้งนี้ ซัคเกอร์เบิร์ก ระบุว่า เฟซบุ๊กจะเน้นการแชตส่วนตัวให้เป็นแหล่งที่มีความปลอดภัยสูงสุด พร้อมกับมีแผนเพิ่มช่องทางให้ผู้ใช้ได้มีปฏิสัมพันธ์กันนอกเหนือจากการส่งข้อความพูดคุย รวมถึงการโทรหากัน การพูดคุยผ่านทางวิดีโอ การตั้งกลุ่ม แชร์เรื่องราว ธุรกิจ การชำระเงิน การซื้อขายสินค้า และแพลตฟอร์มสำหรับบริการอื่นๆ

นิวยอร์กไทม์ส รายงานว่า แผนดังกล่าวนับว่าเป็นรูปแบบที่เหมือนกับ “วีแชต” (WeChat) แอพพลิเคชั่นรับส่งข้อความของเท็นเซนต์ ยักษ์อินเทอร์เน็ตจีน ที่พัฒนาจากแอพรับส่งข้อความธรรมดาไปเป็นซูเปอร์แอพในชีวิตประจำวันหรือแอพเดียวที่รวบรวมบริการหลากหลายประเภทไว้ด้วยกัน

แม้ว่าผู้ใช้เฟซบุ๊กมักจะเห็นโฆษณาปรากฏบนหน้านิวส์ฟีดเป็นปกติ แต่ผู้ใช้วีแชตจะเห็นโฆษณาปรากฏผ่านทางหน้าฟีดเพียง 1-2 ครั้ง/วัน เนื่องจากวีแชตไม่ได้พึ่งพารายได้จากการโฆษณาเป็นช่องทางหลัก เพราะวีแชตมี “วีแชตเพย์” บริการชำระเงินทางมือถือที่มีผู้ใช้แพร่หลายในจีน ซึ่งสร้างรายได้มหาศาลให้วีแชต

เจฟฟรีย์ ทาวสัน ศาสตราจารย์ด้านการลงทุนของมหาวิทยาลัยปักกิ่งในจีน กล่าวว่า วีแชตได้แสดงให้เห็นว่าบริการรับส่งข้อความส่วนตัว โดยเฉพาะการส่งข้อความในกลุ่มเล็กๆ คืออนาคตแห่งการสื่อสารทางออนไลน์

ขณะที่ โธมัส ฮัสสัน นักวิเคราะห์อาวุโสของบริษัทที่ปรึกษา ฟอร์เรสเตอร์ กล่าวว่า เฟซบุ๊กกำลังเข้าสู่ระยะเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเฟซบุ๊กจะต้องขายโฆษณาแบบเจาะกลุ่มบนโซเชียลเน็ตเวิร์กต่อไป พร้อมกับคิดค้นรูปแบบธุรกิจใหม่

“ในการพูดคุยแบบส่วนตัว ถ้ามีการทำธุรกรรม ก็อาจจะเป็นโอกาสสำหรับตลาดสินค้าหรือการทำรายได้จากค่านายหน้าเหมือนกับวีแชต ผมคิดว่ารูปแบบนี้เหมาะสำหรับการพยายามเพิ่มความหลากหลายของช่องทางรายได้เฟซบุ๊ก” ฮัสสัน กล่าว

นอกจากการเป็นต้นแบบสำหรับเฟซบุ๊กแล้ว นิวยอร์กไทม์ส ระบุด้วยว่า วีแชตยังเป็นต้นแบบให้บริษัทเทคโนโลยีรายอื่นได้ด้วย เพราะปัจจุบันยักษ์ใหญ่

ด้านเทคโนโลยีหลายแห่งในซิคิลอน วัลเลย์ยังพึ่งพารายได้จากการโฆษณาทางออนไลน์สำหรับการขยายธุรกิจและพัฒนาบริการใหม่ อีกทั้งมีบริษัทบางแห่งที่พึ่งพาโฆษณาทางออนไลน์เป็นช่องทางเดียวสำหรับความอยู่รอด

กังขาแผนปรับธุรกิจ

อย่างไรก็ดี นิวยอร์กไทม์สรายงานว่า ยังไม่แน่ชัดว่าซัคเกอร์เบิร์กจะนำฟีเจอร์ทั้งหมดมาอยู่ภายในเฟซบุ๊กได้จริงหรือไม่ เพราะวีแชตมีวีแชตเพย์ไว้รองรับการทำธุรกรรมของบริการอื่นๆ เช่น การสั่งอาหาร จองโรงแรม เรียกรถรับส่ง ชำระค่าบริการ การโอนเงิน และการซื้อสินค้าต่างๆ ขณะที่เฟซบุ๊กยังไม่มีบริการชำระเงินของตัวเอง ซึ่งเฟซบุ๊กจะต้องได้รับใบอนุญาตสำหรับการทำธุรกรรมและการชำระเงินจากหน่วยงานในประเทศต่างๆ

สำหรับประเด็นการคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ เฮนรี ฟาร์เรลล์ ศาสตราจารย์ของมหาวิทยาลัยจอร์จ วอชิงตัน ในสหรัฐ กล่าวว่า ความพยายามครั้งนี้เป็นเพียงการปรับรูปแบบธุรกิจเฟซบุ๊กเท่านั้น เนื่องจากแผนปรับธุรกิจเกิดขึ้นในช่วงที่เฟซบุ๊กถูกกดดันจากรัฐบาลหลายชาติในการกวาดล้างข้อความเชิงเกลียดชัง และเนื้อหาไม่เหมาะสมบนแพลตฟอร์ม ซึ่งการทำให้การสื่อสารของผู้ใช้เป็นส่วนตัวและมีการเข้ารหัสลับจะทำให้การบิดเบือนข้อมูลในระดับวงกว้าง เพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมืองยากลำบากขึ้น อีกทั้งรัฐบาลหลายชาติก็จะไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลการสนทนาของประชาชนด้วย

ฟาร์เรลล์ ระบุด้วยว่า ซัคเกอร์เบิร์กไม่ได้ปรับแผนเฟซบุ๊กเพราะสถานการณ์กดดันเท่านั้น แต่เป็นการแสวงหา โอกาสใหม่ด้วย ซึ่งอาจนำไปสู่รูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืนกว่าเดิมในแง่ของการเมือง

ภาพ เอเอฟพี

เฟซบุ๊กปรับทัพรุกแชตส่วนตัวเร่งกู้ศรัทธาผู้ใช้

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/582615

  • วันที่ 08 มี.ค. 2562 เวลา 08:25 น.

เฟซบุ๊กปรับทัพรุกแชตส่วนตัวเร่งกู้ศรัทธาผู้ใช้

เฟซบุ๊กหันเน้นความเป็นส่วนตัวแอพแชต รองรับผู้ใช้เมินนิวส์ฟีด หวั่นเสียรายได้โฆษณา

มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) เฟซบุ๊ก บริษัทโซเชียลมีเดียชื่อดัง เปิดเผยว่า เฟซบุ๊กจะเน้นการพัฒนาผลิตภัณฑ์การสื่อสารที่มีความเป็นส่วนตัว ใช้งานในระยะสั้น และมีการเข้ารหัสลับ เนื่องจากการส่งข้อความส่วนตัวจะได้รับความนิยมสูงกว่าการพูดคุยผ่านทางนิวส์ฟีด ซึ่งเป็นพื้นที่เปิดให้โพสต์สาธาณะภายในไม่กี่ปีข้างหน้า นับว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่สำหรับเฟซบุ๊ก หลังผู้ใช้สูญเสียความเชื่อมั่นไปจากกรณีข้อมูลรั่วไหล

“อนาคตแห่งการสื่อสารจะเปลี่ยนไปสู่บริการส่วนตัวและมีการเข้ารหัสลับ ซึ่งเป็นบริการที่ผู้ใช้สามารถไว้วางใจว่าการสื่อสารจะปลอดภัย และข้อความที่พูดคุยกันจะไม่คงอยู่ตลอดไป” ซัคเกอร์เบิร์ก กล่าว พร้อมระบุว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊กจะสามารถสื่อสารกับผู้ใช้วอตส์แอพแม้มีเพียงบัญชีเดียวเท่านั้น และผู้ใช้จะมีตัวเลือกมากขึ้นว่าจะเก็บแชตไว้ในระบบได้นานเท่าใด

อย่างไรก็ดี อัชคาน โซลทานี อดีตหัวหน้าฝ่ายผู้เชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีของคณะกรรมาธิการการค้าแห่งชาติสหรัฐ กล่าวว่า สนับสนุนความเป็นส่วนตัวของ ผู้ใช้ในการสื่อสารทางออนไลน์ แต่ความเคลื่อนไหวของเฟซบุ๊กเป็นเพียงกลยุทธ์ที่จะใช้ความเป็นส่วนตัวเป็นเครื่องมือในการแข่งขันให้เฟซบุ๊กเป็นผู้นำตลาดแพลตฟอร์มรับส่งข้อความ

เจมส์ คอร์ดเวลล์ นักวิเคราะห์ด้านการเงินของบริษัทที่ปรึกษา แอตแลนติก อีควิตีส์ กล่าวว่า กลยุทธ์ใหม่ทำให้เฟซบุ๊ก เสี่ยงเสียรายได้จากการโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม แต่ถ้าเฟซบุ๊กสามารถใช้กลยุทธ์เหมือนกับวีแชท แอพพลิเคชั่นของจีน ที่มีทั้งการโฆษณา แหล่งตลาดสำหรับเกม สินค้า และบริการ เช่น เรียกรถรับส่ง ภายในแอพเดียวกัน เฟซบุ๊กก็อาจสร้าง รายได้ช่องทางใหม่นอกเหนือจากโฆษณาได้ ซึ่งเป็นสิ่งที่นักลงทุนต้องการ

“ฝรั่งเศส” ลุยเก็บภาษีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/582589

  • วันที่ 07 มี.ค. 2562 เวลา 19:33 น.

"ฝรั่งเศส" ลุยเก็บภาษีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านดิจิทัล

รัฐบาลฝรั่งเศสประกาศเก็บภาษีดิจิทัล 3% จากบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง กูเกิล-แอมะซอน-เฟซบุ๊ก

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศเรียกเก็บภาษีดิจิทัล 3% จากธุรกิจออนไลน์ยักษ์ใหญ่เช่น กูเกิล แอมะซอน และเฟซบุ๊ก โดยคาดว่าจะสามารถเก็บรายได้เข้ารัฐได้ราว 500 ล้านยูโร (565 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ในแต่ละปี

รายงานข่าวระบุว่า รัฐบาลฝรั่งเศสจะเรียกเก็บภาษีดิจิทัลจากบริษัทที่มีรายได้จากการให้บริการระบบดิจิทัลทั่วโลกอย่างน้อย 750 ล้านยูโร (847 ล้านดอลลาร์) และมีรายได้จากภายในฝรั่งเศสอย่างน้อย 25 ล้านยูโร (28 ล้านดอลลาร์)

ทั้งนี้แม้การเรียกเก็บภาษีดิจิทัลของฝรั่งเศส จะแทบไม่ส่งผลกระทบต่อรายได้ที่มีเป็นจำนวนมากของบริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้ แต่ก็ถือว่าเป็นการปูทางไปสู่การจัดเก็บภาษีดิจิทัลในประเทศต่างๆทั่วยุโรป หลังจากที่ประสบความล้มเหลวในปีที่แล้ว เนื่องจากบางประเทศ เช่น ไอร์แลนด์ และเยอรมนี วิตกว่าอาจถูกตอบโต้จากทางสหรัฐ

ภาพ เอเอฟพี

พัฒนานวัตกรรม สู่ความเสมอภาคทางเพศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/582509

  • วันที่ 07 มี.ค. 2562 เวลา 11:40 น.

พัฒนานวัตกรรม สู่ความเสมอภาคทางเพศ

เวเรน่า เซียว กรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดไชน่า เอสเอพี

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าผู้หญิงได้เข้ามามีบทบาทในการพัฒนาเศรษฐกิจและความเจริญในสังคมทั่วโลก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่ผู้หญิงเข้ามามีส่วนร่วมในแวดวงธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และได้ดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงในภูมิภาคอาเซียนมากขึ้น

ขณะที่ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในสิบประเทศที่มีความเท่าเทียมทางเพศสูงสุดในทวีปเอเชีย สังเกตจากสัดส่วนของผู้หญิงที่ทำงานในภาคการเมืองที่ปรับตัวสูงขึ้น สัดส่วนชายและหญิงในภาคแรงงานเชิงเทคนิคที่สมดุล และอัตราการเข้าถึงระบบการศึกษาระดับอุดมศึกษาของผู้หญิงที่พัฒนาขึ้น นอกจากนี้ องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก ยังระบุว่านักวิจัยในด้าน STEM (วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรม และคณิตศาสตร์) ในประเทศไทยเป็นเพศหญิงถึง 53% ซึ่งสูงกว่าประเทศญี่ปุ่น (12%) และเกาหลีใต้ (18%) การได้เห็นผู้หญิงไทยลุกขึ้นมามีบทบาทสร้างความเสมอภาคทางเพศในสังคมของตนเองเช่นนี้ถือเป็นสัญญาณที่ดีอย่างยิ่ง

สำหรับบริษัทชั้นนำของโลกจำนวนมากในปัจจุบัน ให้ความสำคัญกับการสร้างความหลากหลายทางเพศในองค์กร เพราะเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ต่อผลประกอบการทางธุรกิจ โดยงานวิจัยของแมคคินซีย์ได้ระบุว่า ความหลากหลายทางเพศมีส่วนช่วยเพิ่มระดับกำไรทางธุรกิจขององค์กรได้ถึง 2.2 เท่า และช่วยเพิ่มมูลค่าหุ้นได้ถึง 2 เท่า อีกทั้งพบว่าองค์กรที่มีกลุ่มผู้บริหารทั้งเพศชายและเพศหญิงจะสามารถสร้างผลกำไรได้ดีกว่าถึง 40%

นอกจากนี้ รายงานของ National Center for Women & Information Technology (NCWIT) ยังบ่งชี้ว่า ยิ่งมีสัดส่วนของผู้หญิงในบอร์ดบริหารมากเท่าใด ผลตอบแทนทางธุรกิจ ความคิดสร้างสรรค์ และความรู้สะสม (Collective Intelligence) ก็ยิ่งมีมากเท่านั้น

นอกจากนี้ ความหลากหลายทางเพศยังนำไปสู่ศักยภาพที่สูงขึ้นของภาคอุตสาหกรรมใหม่และชุมชนที่กำลังพัฒนา ดังที่ อูชา ราว-โมนารี อดีตผู้อำนวยการ International Finance Corporation (IFC) Sustainable Business Advisory เคยกล่าวไว้ว่า การมีส่วนร่วมของผู้หญิงนั้นสำคัญอย่างยิ่งต่อการแก้ปัญหาความขาดแคลนแรงงานฝีมือในกลุ่มตลาดเกิดใหม่ การลงทุนโดยการให้โอกาสผู้หญิงได้ทำงาน ถือเป็นทางเลือกที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย ทั้งต่อความก้าวหน้าขององค์กรเองและความเจริญในสังคมโดยรวม ซึ่งล้วนมีส่วนยกระดับเศรษฐกิจของทุกประเทศทั่วโลก

สิ่งที่น่าสนใจคือ ปัจจุบันการยกระดับความเสมอภาคทางเพศในองค์กร สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยนวัตกรรมล้ำสมัย นับตั้งแต่กระบวนการในฝ่ายบริหารทรัพยากรบุคคล ไปจนถึงการปฏิบัติงานในแต่ละวันของพนักงาน เทคโนโลยีในวันนี้ สามารถแปลงหน่วยธุรกิจทุกขนาดให้กลายเป็น อินเทลลิเจนต์ เอ็นเตอร์ไพรซ์ ที่เอื้อให้พนักงานทุกเพศสามารถปฏิบัติหน้าที่ร่วมกันได้อย่างเต็มศักยภาพและเท่าเทียมกัน

ในฐานะผู้นำระดับโลกด้านระบบซอฟต์แวร์สำหรับองค์กร เอสเอพี ได้พัฒนาเทคโนโลยีขั้นสูง ซึ่งขับเคลื่อนด้วยคุณสมบัติของแมชชีน เลิร์นนิ่ง ที่สามารถตรวจจับและป้องกันการมีอคติทางเพศโดยไม่รู้ตัวภายในองค์กรได้ โดยเทคโนโลยีดังกล่าวถูกพัฒนาขึ้น ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อช่วยปลดล็อกศักยภาพทางธุรกิจและขจัดอคติจากทุกกระบวนการตัดสินใจขององค์กร นับตั้งแต่การว่าจ้างไปจนถึงการเลื่อนตำแหน่ง โดยเอสเอพีได้สร้างกลไกการเรียนรู้ที่แปลงไปสู่ฟังก์ชั่นการปฏิบัติการที่ชาญฉลาดในวงจรการทำงานของทุกโซลูชั่น อีกทั้งยังใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของบริษัทที่มีอยู่ทั่วโลกและระบบนิเวศน์ที่ทรงพลัง เพื่อต่อยอดกรณีศึกษาจากเคสของลูกค้าชั้นนำสู่วิถีแห่งความเสมอภาคในองค์กรที่ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

สำหรับเอสเอพี ความเสมอภาคทางเพศ คือ ค่านิยมองค์กรและหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ด้านการบริหารบุคลากร และจากการใช้โซลูชั่นดังกล่าวเพื่อการบริหารองค์กรของเอสเอพีเอง ปัจจุบันเอสเอพีมีผู้หญิงในตำแหน่งผู้บริหารขององค์กรกว่า 25% และด้วยความตั้งใจที่จะเพิ่มสัดส่วนผู้หญิงในตำแหน่งดังกล่าว 1% ทุกปี เรามีเป้าหมายที่จะเห็นผู้หญิงดำรงตำแหน่งผู้บริหารในองค์กรในสัดส่วน 30% ภายในปี 2565 ทั้งนี้ ในปี 2559 เอสเอพีถือเป็นบริษัทข้ามชาติบริษัทแรกได้รับการรับรองโดย Economic Dividends for Gender Equality (EDGE) โดยบริษัทได้รับการรับรองอีกครั้งในปี 2018

เอสเอพีสนับสนุนให้เกิดความเสมอภาคทางเพศ ผ่านโซลูชั่นเพื่อการขับเคลื่อนองค์กรธุรกิจที่มีประสิทธิภาพและการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้คน สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน ประการที่ 5 ขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งมุ่งมั่นในการยุติการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงและเด็กผู้หญิงทั่วโลก มุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมเพื่อการขับเคลื่อนขององค์กรอย่างมีความเท่าเทียมทางเพศ ซึ่งเป็นประโยชน์แก่พนักงาน ลูกค้า และพันธมิตรทางธุรกิจทุกราย

เพิ่มลงทุนแกร็บขยายบริการ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/582484

  • วันที่ 07 มี.ค. 2562 เวลา 07:02 น.

เพิ่มลงทุนแกร็บขยายบริการ

แกร็บ ประกาศได้รับเงินลงทุนมูลค่า 1,460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกองทุนซอฟต์แบงก์ วิชั่น ฟันด์ มุ่งเดินหน้าขยายบริการรอบด้าน

นายแอนโธนี ตัน ผู้ร่วมก่อตั้งและ ซีอีโอของแกร็บ เปิดเผยว่า แกร็บได้รับเงินลงทุน 1,460 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากกองทุนซอฟต์แบงก์ วิชั่น ฟันด์(เอสวีเอฟ) ซึ่งส่งผลให้แกร็บมีเงินทุน จากการระดมทุนรอบซีรี่ส์เอชรวมเป็นมูลค่าทั้งหมดกว่า 4,500 ล้านดอลลาร์ โดยนักลงทุนรายอื่นๆ ในรอบเดียวกันนี้ ได้แก่ โตโยต้า มอเตอร์ คอร์ปอเรชั่น กองทุน ออพเพ่นไฮเมอร์ กลุ่มฮุนไดมอเตอร์ บุ๊กกิ้ง โฮลดิงส์ บริษัท ไมโครซอฟท์ ผิงอันแคปิตอล และยามาฮ่ามอเตอร์

“การลงทุนดังกล่าวสะท้อนถึงความเชื่อมั่นในวิสัยทัศน์ของแกร็บในการพัฒนาระบบนิเวศด้านเทคโนโลยีของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในอนาคตจะมุ่งมั่น ยกระดับการใช้ชีวิตของผู้คนในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้หลายล้านคน ด้วยการมอบโอกาสสร้างรายได้เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์ม รวมถึงมอบความสะดวกสบายแก่ผู้ใช้มากขึ้น” นายตัน กล่าว

ทั้งนี้ แกร็บจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปพัฒนาเพื่อต่อยอดวิสัยทัศน์ในการเป็นซูเปอร์แอพในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมีเป้าหมายคือการเพิ่มบริการที่เกี่ยวข้องกับการใช้ชีวิตประจำวัน การเข้าถึงที่ง่ายขึ้น และการอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังวางแผนที่จะขยายบริการต่างๆ ทั้งบริการทางการเงิน การจัดส่งอาหาร การจัดส่งพัสดุ การทำธุรกรรมผ่านช่องทางดิจิทัล นอกจากนี้ จะเปิดตัวบริการใหม่ ภายใต้ กลยุทธ์โอเพ่นแพลตฟอร์ม “แกร็บแพลตฟอร์ม” ได้แก่ แอพดูหนังออนไลน์ที่ร่วมมือกับฮู้ก (HOOQ) บริการดูแลสุขภาพออนไลน์ ซึ่งร่วมมือกับผิงอันกู้ด ด็อกเตอร์ ประกันภัย ซึ่งร่วมมือกับจงอันอินเตอร์แนชั่นแนล และบริการจองโรงแรมออนไลน์ ซึ่งร่วมมือกับบุ๊กกิ้งโฮลดิงส์

4ข้อเท็จจริงต้องรู้ “พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์” มุ่งป้องกันภัยคุกคาม-ไม่ได้ให้อำนาจส่องข้อมูลบุคคล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/582469

  • วันที่ 06 มี.ค. 2562 เวลา 19:22 น.

4ข้อเท็จจริงต้องรู้ "พรบ.ความมั่นคงไซเบอร์" มุ่งป้องกันภัยคุกคาม-ไม่ได้ให้อำนาจส่องข้อมูลบุคคล

กระทรวงดิจิทัลฯชี้แจง 4 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ ย้ำเพื่อรับมือการโจมตีทางไซเบอร์เพื่อประโยชน์ประเทศ

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยมีเนื้อหาน่าสนใจดังนี้

ประการแรก ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เป็นกฎหมายเพื่อประโยชน์ของประเทศและประชาชนโดยรวม

ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยดูแลและปกป้องโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทาสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure : CII) เนื่องจากปัจจุบันระบบสาธารณูปโภคและบริการพื้นฐานสำคัญของประเทศได้ถูกพัฒนาหรือถูกควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ทำให้มีความเสี่ยงจากการถูกโจมตีทางไซเบอร์ เช่น ไวรัส มัลแวร์ ฯลฯ ซึ่งอาจนำไปสู่การหยุดชะงัก หรือการทำลายให้ระบบไม่สามารถทำงานได้ ก่อความเสียหาย และกระทบกับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนหรือการทำธุรกิจทั้งด้านสังคมและเศรษฐกิจ

การมีกฎหมายฉบับนี้เพื่อรักษาความมั่นคงของระบบสารสนเทศของโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญทางเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล อันเป็นสากลที่นานาประเทศมีกฎหมายลักษณะนี้ ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ฉบับนี้จึงเป็นประโยชน์ต่อประชาชน ธุรกิจ นักลงทุน ทั้งไทยและต่างชาติ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า โครงสร้างพื้นฐานสำคัญและบริการหลักของประเทศสามารถให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง

ประการที่สอง ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เป็นกฎหมายเพื่อรับมือการโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของประเทศ

ซึ่งปัจจุบันบริหารควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งในกฎหมายนี้เรียกว่า โครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ (Critical Information Infrastructure : CII) ประกอบด้วย 7 ด้าน ได้แก่ ด้านความมั่นคง บริการภาครัฐที่สำคัญ การเงิน-การธนาคาร เทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ระบบขนส่งและโลจิสติกส์ พลังงาน-สาธารณูปโภค และสาธารณสุข หากระบบคอมพิวเตอร์ของโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศทั้ง 7 ด้านนี้ถูกโจมตีจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ ทำให้ระบบหยุดชะงักหรือระบบล่ม จะส่งผลกระทบให้บริการพื้นฐานสำคัญไม่สามารถให้บริการได้ต่อเนื่อง และอาจทำให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิตหรือความปลอดภัยของประชาชน

โดยร่างพ.ร.บ.กำหนดให้หน่วยงานทั้งรัฐและเอกชนที่รับผิดชอบการกิจในการให้บริการทั้ง 7 ด้านนี้ ต้องมีแผนป้องกัน การเฝ้าระวัง การรับมือและแผนเผชิญเหตุเมื่อเกิดการโจมตีทางไซเบอร์ขึ้น นอกจากนั้นร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้กำหนดให้มีคณะกรรมการและองค์กรที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยตรงเพื่อช่วยดูแลเมื่อหน่วยงานที่รับผิดชอบโดยตรงรับมือไม่ไหว โดยอำนาจของกรรมการและสำนักงานมีกรอบกำหนดชัดเจน มีกลไกตรวจสอบได้

ประการที่สาม ร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ ไม่มีบทบัญญัติใดๆที่เกี่ยวกับการเฝ้าระวัง สอดส่องติดตาม ข้อมูล เนื้อหา ในโซเชียลมีเดีย

เพราะเป็นกฎหมายที่ไม่ได้บังคับใช้กับประชาชนทั่วไป ไม่เข้าไปตรวจสอบข้อมูลที่เป็นเนื้อหาที่อาจเป็นความเท็จหรือหมิ่นประมาทบุคคลอื่น ซึ่งเพราะมี พ.ร.บ.การกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ดูแลอยู่แล้ว

ทุกมาตราในร่างพ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์มีไว้เพื่อดูแลให้เกิดความปลอดภัยของระบบคอมพิวเตอร์เท่านั้น โดยในร่างพ.ร.บ.ฉบับนี้ กำหนดโทษไว้เพียง 2 ประเภท ได้แก่ ความผิดของเจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ปฏิบัติตามหน้าที่ และ ความผิดของผู้รับผิดชอบในหน่วยงานที่มีหน้าที่ดูแลปกป้องระบบที่มีความสำคัญ แต่ละเลยการปฏิบัติหน้าที่หรือไม่ให้ความร่วมมือในยามที่มีภัยรุนแรง ร่างพ.ร.บ.นี้จึงไม่มีบรรทัดใดเลยที่ระบุถึงการขอดูข้อมูลประชาชนและละเมิดสิทธิ์ข้อมูลส่วนบุคคล

ประการที่สี่ การเข้าไปในสถานที่ เพื่อตรวจค้น ยึด อุปกรณ์ และการเข้าถึงระบบคอมพิวเตอร์ทุกกรณีต้องอาศัยคำสั่งศาล

โดยเจ้าพนักงานเข้าตรวจค้น ยึด อุปกรณ์ คอมพิวเตอร์ เครื่องมือสื่อสารเฉพาะเท่าที่จำเป็นเพื่อระงับหรือหยุดภัยคุกคาม เมื่อเกิดภัยไซเบอร์ในระดับร้ายแรงที่ทำให้ระบบของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศไม่สามารถทำงานได้เท่านั้น

ซึ่งร่างพ.ร.บ.นี้มีนิยามของภัยคุกคามไว้ 3 ระดับ คือ กรณีที่เป็นภัยคุกคามทางไซเบอร์ในระดับไม่ร้ายแรง เป็นหน้าที่ของหน่วยงานนั้นๆ และหน่วยงานกำกับดูแบต้องดำเนินการตามมาตรฐนที่กำหนดไว้ หากเป็นกรณีที่เป็นภัยคุกคามระดับร้ายแรง ที่ทำให้การทำงานของหน่วยงานโครงส้รางพื้นฐานสำคัญหยุดชะงัก สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงไซเบอร์จะให้ความช่วยเหลือในารแก้ปัญหา โดยการเข้าไปในสถานที่ หรือเข้าไปตรวจ โดยเจ้าหน้าที่จะต้องขอหมายศาลก่อนดำเนินการ และในกรณีเป็นภัยระดับวิกฤติ ที่ระบบของหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศของชาติถูกโจมตีจนล่ม ไม่สามารถให้บริการได้ในวงกว้าง หรือมีประชาชนเสียชีวิต และมีผลกระทบต่อความมั่นคงของประเทศ จึงจะสามารถใช้อำนาจตามกฎหมายด้านการรักษาความมั่นคง

อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่จะต้องดำเนินการแก้ไขอย่างเร่งด่วนพร้อมกับแจ้งศาลโดยเร็ว

ทั้งนี้ แนวทางของร่างพ.ร.บ.ไซเบอร์ฯฉบับนี้เป็นแนวทางเดียวกับที่ประเทศต่างๆ อาทิ สิงคโปร์ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และประเทศในสหภาพยุโรป ใช้อยู่ในปัจจุบัน ในขั้นการปรับปรุงร่าง พ.ร.บ. กระทรวงดิจิทัลฯ ได้มีการหารือหน่วยงานที่เกี่ยวข้งทั้งภาครัฐและเอกชน และได้จัดให้มีการรับฟังความคิดเห็นกับประชาชนและผู้เกี่ยวข้อง รวมถึงมีการเผยแพร่ร่างพ.ร.บ. ในสื่อเว็บไซต์มาโดยตลอด

นอกจากนี้ในการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาปรับปรุงแก้ไข ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากส่วนต่างๆที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ และประสบการณ์ มีการรับฟังความคิดเห็นจากผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทั้งภาครัฐเอกชน และภาคประชาสังคม คณะกรรมาธิการฯ มีการประชุมกันถึงกว่า 20 ครั้ง เพื่อปรับปรุงแก้ไขร่างให้มีความสมบูรณ์มากที่สุด ตลอดช่วงเวลาหลายเดือนก่อนการนำเสนอ มิได้รวบรัดเร่งรีบแต่อย่างใด