บำรุงราษฎร์ฝ่ากระแสดิสรัป สู่โรงพยาบาลอัจฉริยะ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/581522

  • วันที่ 26 ก.พ. 2562 เวลา 11:40 น.

บำรุงราษฎร์ฝ่ากระแสดิสรัป สู่โรงพยาบาลอัจฉริยะ

เรื่อง ปากกาด้ามเดียว

วิสัยทัศน์ที่จะให้การบริบาลสุขภาพแบบองค์รวมระดับโลก (World-class holistic healthcare) ทำให้โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์มุ่งมั่นยกระดับการบริบาลทางการแพทย์ให้มีคุณภาพที่สูงขึ้น ทั้งในด้านนวัตกรรม ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ประสิทธิผลของการดำเนินงาน เพื่อให้ทันกับภาวการณ์อยู่ตลอดเวลา

ในภาวะที่กระแสเทคโนโลยีดิสรัปชั่นเข้ามามีบทบาทในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงธุรกิจสุขภาพ ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ด้านการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ จึงประกาศวิสัยทัศน์การทำงานตอกย้ำการเป็นผู้นำ World-class holistic healthcare ที่สร้างความแตกต่างด้วยนวัตกรรมภายในปี 2565

ภก.อาทิรัตน์ จารุกิจพิพัฒน์ ผู้อำนวยการด้านบริหาร โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ เปิดเผยว่า จากการกำหนดกลยุทธ์ในการดำเนินงานไว้ใน 5 ปีข้างหน้า มุ่งเน้นให้ความสำคัญใน 3 ส่วนหลักๆ ประกอบด้วย 1.การปรับเปลี่ยนจากการรักษาผู้ป่วย เป็นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม (Holistic Care) 2.การประมวลข้อมูลที่มีอยู่จำนวนมากเข้าด้วยกันเพื่อประโยชน์ของการบริบาลอย่างมีประสิทธิภาพและเหมาะสม (Big Data) ตลอดจนการนำเทคโนโลยีทางด้านปัญญาประดิษฐ์เข้ามาปรับใช้ (Artificial Intelligence) และ 3.การเชื่อมโยงระหว่างกันของทุกส่วนที่เกี่ยวข้องกับคน เทคโนโลยี และศาสตร์ที่เกี่ยวข้อง (Connected, Team)

สำหรับปัจจัยที่จะทำให้โรงพยาบาลก้าวไปสู่การเป็น World-class holistic healthcare ได้จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีทางการแพทย์มาใช้เพื่อสุขภาพเชิงรุก ซึ่งให้ผลดีกว่าการตั้งรับรักษาอาการเจ็บป่วย โดยเทคโนโลยีต่างๆ ที่โรงพยาบาลนำมาใช้จะคำนึงถึงผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง รวมถึงนำระบบบริหารจัดการในลักษณะ Operational Excellence มาใช้ในองค์กร เพื่อให้เกิดความปลอดภัยกับผู้ป่วยมากที่สุด

พร้อมกันนี้ ได้ยกตัวอย่างเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่นำมาใช้ อาทิ Next-Generation Sequencing Technology (NGS) ช่วยให้สามารถคาดการณ์ความเสี่ยงในการเกิดโรค การนำบิ๊กดาต้าและเอไอมาใช้ในการให้บริการอย่างต่อเนื่อง โดยร่วมมือกับ BIOTIA ผู้นำสตาร์ทอัพด้านบริการเทคโนโลยีสุขภาพ สหรัฐอเมริกา ในการเก็บข้อมูลและค้นคว้าวิจัย เป็นต้น

ด้าน นพ.กรพรหม แสงอร่าม ที่ปรึกษาซีอีโอ ด้านมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ป่วย กล่าวว่า โรงพยาบาลบำรุงราษฎร์ มีนโยบายด้านคุณภาพและความปลอดภัยต่างๆ ภายในโรงพยาบาลเพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นให้ได้มากที่สุด ซึ่งถือเป็นศาสตร์แรกในแขนงเพื่อยับยั้งความผิดพลาดในการรักษาพยาบาล และยังช่วยลดอัตราผู้ป่วยเสียชีวิตจากการติดเชื้อภายในโรงพยาบาลได้อีกด้วย

ทั้งนี้ มีการนำระบบบริหารนิรภัย หรือ Safety Management System (SMS) ที่ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมการบินมาใช้ในโรงพยาบาล ประกอบไปด้วย นโยบายในเรื่อง Blameless ส่งเสริมให้บุคลากรได้รายงานเมื่อเปิดปัญหาเพื่อที่จะได้แก้ไขในเชิงระบบได้อย่างทันท่วงทีและตรงจุด Risk Management สามารถประเมินและจัดการความเสี่ยงได้ล่วงหน้า Assurance รับประกันคุณภาพผ่านการตรวจสอบจากหน่วยงานต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก และ Safety Promotion เป็นการรณรงค์สร้างจิตสำนึกในเรื่องความปลอดภัยของบุคลากรในระบบเดียวกับ Crew Resource Management ที่ใช้ในธุรกิจสายการบินเช่นกัน

“การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในโรงพยาบาล เราจะมองจากเทรนด์และคุณภาพการรักษาผู้ป่วยเป็นหลักมากกว่า ดังนั้นเราจึงไม่มีข้อจำกัดในการใช้งบเพื่อลงทุนกับเทคโนโลยีการรักษาและบริหารจัดการในแต่ละปี ในทางกลับกันเราจะมีวิธีการนำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์และความคุ้มค่ามากที่สุด เพื่อส่งมอบประสบการณ์รักษาพยาบาลที่ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ให้แก่ผู้ป่วยของเราทุกคน” ภญ.อาทิรัตน์ กล่าว

ซัมซุงบุกหนักยอดจองเอส10กระฉูด

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/581497

  • วันที่ 26 ก.พ. 2562 เวลา 06:22 น.

ซัมซุงบุกหนักยอดจองเอส10กระฉูด

ซัมซุง ชี้ จองกาแล็คซี่ เอส 10 โดยยังไม่เห็นเครื่องในไทย 2 หมื่นราย จะได้รับเครื่องวันนี้ที่แรกของโลก

นางวรรณา สวัสดิกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดสมาร์ทโฟนปีนี้ยังมีการเติบโตแต่ไม่มากและไม่หวือหวา โดยตลาดระดับพรีเมียมยังคงเติบโตในแง่ของมูลค่า ซึ่งมีการเติบโตด้วยตัวเลขหลักเดียวแต่ในด้านของจำนวนยูนิตไม่ได้มีการเติบโต

ทั้งนี้ ในส่วนของบริษัทยังคงรุกทำตลาดด้วยเรือธงโปรดักต์ที่เป็นแฟล็กชิป ราคา 600 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 2 หมื่นบาทขึ้นไป สำหรับรักษาส่วนแบ่งในตลาดประเทศไทย เชื่อว่าตลาดยังมีการแข่งขันด้านนวัตกรรมและอินโนเวชั่น ทั้งนี้พบว่ากลุ่มลูกค้าระดับพรีเมียมมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนเครื่องช้าและจงรักภักดีต่อแบรนด์สินค้าที่ใช้ แต่ยังคงมองหานวัตกรรมใหม่ๆ ที่ออกแบบเพื่อตอบสนองการใช้งานที่เปลี่ยนไปและให้ประสิทธิภาพการทำงานที่ดีขึ้น รวมไปถึงทางเลือกด้านราคา

อย่างไรก็ดี ล่าสุดได้เปิดตัว กาแล็คซี่ เอส 10 ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการเปิดบลายด์บุ๊กกิ้งครั้งแรกในประเทศไทย โดยมียอดจองแบบไม่เห็นเครื่อง 2 หมื่นราย ซึ่งผู้จองซื้อจะได้รับสินค้าวันนี้เป็นแห่งแรกในไทยและแห่งแรกในโลก ถือว่าเป็นการร่วมฉลองซัมซุงครบรอบ 10 ปี รวมทั้งผู้จองในรอบบลายด์บุ๊กกิ้งจะได้รับของสมนาคุณมูลค่าราว 1 หมื่นบาท

ขณะที่มีการเปิดให้จองกาแล็คซี่ เอส 10 และเอส 10 พลัส รอบพรีบุ๊กกิ้งวันนี้-4 มี.ค. 2562 สำหรับซัมซุง กาแล็คซี่ 10 เปิดตัวในไทย 3 รุ่น ได้แก่ กาแล็คซี่ เอส 10e เอส 10 และเอส 10 พลัส มี 5 สี วางขายทางการวันที่ 8 มี.ค. ซึ่งกาแลคซี่ เอส 10e ราคาเริ่มต้น 26,900 บาท

นางวรรณา กล่าวว่า ส่วนกิจกรรมตลาดจะใช้ 3 กลยุทธ์ คือ 1.การเร่งสร้างแบรนด์ 2.โปรดักต์ดีไซน์ ราคาที่คุ้มค่าเหมาะสม และ 3.การสร้างประสบการณ์ผ่านเลนส์กล้องคุณภาพ ซึ่งตอบโจทย์เจเนอเรชั่นใหม่โดยเฉพาะกลุ่มโมเดิร์นลักซ์ชัวรี่ที่เป็นผู้รักการสร้างสรรค์คอนเทนต์ทั้ง การถ่ายภาพและเทรนด์ในรูปแบบวิดีโอมากขึ้น

ด้านแผนการเปิดตัวสินค้าใหม่ปีนี้จะเปิดตัวราว 10 รุ่น เช่น กาแล็คซี่ โฟลด์ (Galaxy Fold) กำหนดเปิดตัวไตรมาส 2 ปีนี้ ทั้งนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของ ซัมซุงในตลาดระดับบนขึ้นไปอีก โดย คาดว่า กาแล็คซี่ เอส 10 จะได้รับการตอบรับที่ดีจากฐานลูกค้าเดิมที่ให้ ความสนใจและจงรักภักดีต่อแบรนด์มาอย่างต่อเนื่อง หรือประมาณ 70% ส่วนอีก 30% จะเป็นลูกค้าใหม่จากแบรนด์อื่นที่ต้องการอัพเกรดเทคโนโลยี โดยใน ช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กาแล็คซี่ มียอดขายรวมทั่วโลกกว่า 2,000 ล้านเครื่อง ทั้งนี้บริษัทจะทำเอ็กซ์ไซเมนมาร์เก็ตติ้งและทำการตลาดแบบครบวงจรเพื่อให้เข้ากลุ่มเป้าหมาย

‘เอไอเอส’โล่งไม่ต้องจ่ายTOT 3.3หมื่นล้านบ.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/581197

  • วันที่ 23 ก.พ. 2562 เวลา 07:16 น.

'เอไอเอส'โล่งไม่ต้องจ่ายTOT 3.3หมื่นล้านบ.

เอไอเอสเผยอนุญาโตฯ มีมติยกคำเสนอข้อพิพาทของทีโอที กรณีโอนย้ายลูกค้าเรียกชดใช้ 3.3 หมื่นล้าน

บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (ADVANC) หรือ เอไอเอส แจ้งว่า ตามที่บริษัท ทีโอที ได้ยื่นคำเสนอข้อพิพาทต่อคณะอนุญาโตตุลาการ ในปี 2557 ให้มีคำชี้ขาดให้เอไอเอสหยุดการให้ลูกค้าย้าย ผู้ให้บริการไปยังบริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค (เอดับบลิวเอ็น) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของเอไอเอส เนื่องจากเป็นการผิดสัญญาอนุญาตระหว่างเอไอเอสและทีโอที และเรียกร้องค่าเสียหายจำนวน 3.28 หมื่นล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา คณะอนุญาโตตุลาการได้มีมติเป็นเอกฉันท์ยกคำเสนอข้อพิพาทของทีโอทีข้อเรียกร้องข้างต้น ด้วยเหตุที่เอไอเอสไม่ได้เป็นผู้กระทำความผิดตามสัญญาตามที่ทีโอทีกล่าวหา

อย่างไรก็ดี ทีโอทีสามารถยื่นคำร้องขอเพิกถอนคำชี้ขาดดังกล่าวต่อศาลปกครองกลางได้ภายใน 90 วัน นับจากวันที่ได้รับคำชี้ขาดจากคณะอนุญาโตตุลาการ

ราคาหุ้น ADVANC ปิดที่ 178.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.50 บาท หรือ 0.28% มูลค่าการซื้อขาย 1,210.94 ล้านบาทเอไอเอสรายงานปี 2561 มีรายได้การให้บริการหลักอยู่ที่ 1.3 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 3.8% เทียบกับปีก่อน มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายภาษีและค่าเสื่อม (อีบิตดา) อยู่ที่ 7.3 หมื่นล้านบาท เติบโต 4.7% เทียบกับปีก่อน หรือคิดเป็นอัตรากำไรอีบิตดา (ไม่รวมรายได้ค่าเช่าเครื่องและอุปกรณ์) เท่ากับ 45.2% เพิ่มขึ้นจาก 44.7% ในปีก่อน

ขณะที่มีกำไรสุทธิ 2.9 หมื่นล้านบาท ลดลง 1.3% เทียบกับปีก่อน จากการลงทุนในโครงข่ายต่อเนื่อง สำหรับปี 2562 เอไอเอสคาดการณ์รายได้จากการให้บริการหลักจะเติบโตในอัตราเลขตัวเดียวระดับกลางจากการเติบโตของทุกธุรกิจ และคาดว่าจะมีอัตรากำไรอีบิตดาใกล้เคียงกับปีก่อน พร้อมวางแผนใช้งบลงทุนประมาณ 2-2.5 หมื่นล้านบาท

“ยุโรป”ปัดแบนหัวเว่ยร่วมสร้าง 5จี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/581085

  • วันที่ 21 ก.พ. 2562 เวลา 20:23 น.

"ยุโรป"ปัดแบนหัวเว่ยร่วมสร้าง 5จี

เยอรมนี-อังกฤษ ไม่กีดกันหัวเว่ยเข้าร่วมสร้างเครือข่าย 5จี เมินแรงกดดันจากสหรัฐ

ปีเตอร์ อัลท์ไมเออร์ รัฐมนตรีเศรษฐกิจเยอรมนี กล่าวว่า รัฐบาลเยอรมนีกำลังพิจารณาเรื่องการใช้อุปกรณ์ของบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ บริษัทโทรคมนาคมสัญชาติจีน ในการสร้างเครือข่าย 5จี หลังวอลสตรีท เจอร์นัล รายงานว่า หลายกระทรวงของเยอรมนีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ตัดสินใจให้หัวเว่ยสามารถเข้าร่วม 5จี ท่ามกลางแรงกดดันจากสหรัฐที่ต้องการให้ชาติพันธมิตรเลิกใช้อุปกรณ์หัวเว่ยด้วยความกังวลเรื่องการสอดแนมของรัฐบาลจีน

ขณะที่รอยเตอร์สรายงานอ้างแหล่งข่าวรัฐบาลอังกฤษว่า อังกฤษไม่เห็นด้วยกับการห้ามหัวเว่ยเข้าร่วมเครือข่าย หลังจากไฟแนนเชียลไทมส์ รายงานว่า สภาความมั่นคงอังกฤษ (เอ็นซีเอสซี) มั่นใจว่าสามารถรับมือกับความเสี่ยงของการใช้อุปกรณ์หัวเว่ย แม้เอ็นซีเอสซีเคยระบุเมื่อปีที่แล้วว่าปัญหาทางเทคนิคและซัพพลายเชนของหัวเว่ยสร้างความเสี่ยงต่อเครือข่ายโทรคมนาคม

ด้านนายกรัฐมนตรี จาซินดา อาร์เดิร์น แห่งนิวซีแลนด์ กล่าวว่า รัฐบาลยังไม่ตัดสินใจเรื่องการแบนหัวเว่ยเข้าร่วม 5จี แม้สำนักงานหน่วยข่าวกรองเคยเตือนให้บริษัทโทรคมนาคมหยุดใช้อุปกรณ์ของหัวเว่ยในเดือน พ.ย. โดยระบุว่าเป็นความเสี่ยงต่อความมั่นคง

ภาพ เอเอฟพี

ซัมซุงเผยโฉม “Galaxy Fold” สมาร์ทโฟนจอพับได้ ราคา6.1หมื่นบาท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/581053

  • วันที่ 21 ก.พ. 2562 เวลา 15:18 น.

ซัมซุงเผยโฉม "Galaxy Fold" สมาร์ทโฟนจอพับได้ ราคา6.1หมื่นบาท

ซัมซุงเผยโฉม “Galaxy Fold” สมาร์ทโฟนหน้าจอภับได้ ตั้งราคาที่ 1,980 ดอลลาร์สหรัฐ เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการเดือนเม.ย.นี้

บริษัท ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ ได้เผยโฉมสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ “Galaxy Fold” ที่มีคุณสมบัติเด่นคือเป็นสมาร์ทโฟนแบบพับหน้าจอได้ โดยเตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 26 เม.ย.นี้ ซึ่งซัมซุงได้ตั้งราคาจำหน่ายไว้ที่ 1,980 ดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 6.1 หมื่นบาท

รายงานข่าวระบุว่า สมาร์ทโฟน Galaxy Fold จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 7.3 นิ้ว (18.5 เซนติเมตร) ที่สามารถพับให้มีขนาดกะทัดรัดและมีฝาครอบหน้าจอ

นอกจากนี้ ซัมซุมยังเปิดตัวซีรีส์สมาร์ทโฟนรุ่น Galaxy S10, Galaxy S10 Plus และ Galaxy S10e ซึ่งจะเริ่มวางขายทั่วโลกในเดือนมี.ค. โดย Galaxy S10 จะมาพร้อมหน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ขณะที่ Galaxy S10 Plus มีหน้าจอขนาด 6.4 นิ้ว และ Galaxy S10e มาพร้อมหน้าจอขนาด 5.8 นิ้ว

ในส่วนของกล้องนั้น จะมีฟีเจอร์ที่พัฒนาระบบการซูมเข้าออกพร้อมเลนส์ที่กว้างเป็นพิเศษ ซึ่งทำให้สามารถถ่ายภาพพาโนรามาได้กว้างตั้งแต่พื้นดินจรดท้องฟ้า ขณะที่ Galaxy S10 Plus มีกล้อง 5 ตัว พร้อมโหมดเซลฟี่กล้องหน้าที่มีความคมชัด 10 ล้านพิกเซล

อินเว้นท์หนุนอีคาร์ทสตูดิโอ ลุยพัฒนารับยุคสมาร์ท

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/581001

  • วันที่ 21 ก.พ. 2562 เวลา 10:30 น.

อินเว้นท์หนุนอีคาร์ทสตูดิโอ ลุยพัฒนารับยุคสมาร์ท

เรื่อง วันเพ็ญ พุทธานนท์

หลังจากเปิดดำเนินธุรกิจมากว่า 10 ปี ล่าสุดบริษัท อีคาร์ทสตูดิโอ หนึ่งในผู้นำด้านการพัฒนาและให้คำปรึกษาเกี่ยวกับโปรแกรมประยุกต์ทางด้านภูมิศาสตร์ (Enterprise Location-Based Application) ก็ได้เวลาติดปีกลุย เมื่อได้ผู้สนับสนุนรายใหญ่อย่าง บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ โดยโครงการอินเว้นท์ (InVent) เข้ามาร่วมลงทุนด้วยมูลค่า 40 ล้านบาท

วุฒิกร มโนมัยวิบูลย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อีคาร์ทสตูดิโอ เปิดเผยว่า บริษัทเติบโตมาจากการทำธุรกิจแผนที่ภูมิศาสตร์หรือโลเกชั่นเบส และซุ่มพัฒนาสมาร์ทซิตี้แพลตฟอร์มในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ล่าสุดพร้อมที่จะเปิดตัวใช้งานอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งการร่วมลงทุนจากอินทัชครั้งนี้ ถือเป็นโอกาสทางธุรกิจที่ดี ที่ทางอีคาร์ทสตูดิโอจะได้ร่วมเป็นพันธมิตรธุรกิจกับอินทัช เพราะจะช่วยต่อยอดและเสริมศักยภาพให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้าและเครือข่ายทางธุรกิจในกลุ่มลูกค้าบุคคล ลูกค้าองค์กร รวมทั้งช่วยให้เข้าถึงตลาดใหม่ในระดับภูมิภาคเอเชีย

ทั้งนี้ เงินลงทุนที่ได้รับบริษัทวางแผนที่จะนำไปพัฒนาผลิตภัณฑ์และบริการ รวมทั้งเสริมทัพทีมงาน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายในอีก 3 ถึง 5 ปีข้างหน้า ที่จะเป็นผู้นำด้าน สมาร์ทซิตี้ แพลตฟอร์มของประเทศที่ตอบโจทย์การใช้งานในทุกๆ ด้าน ทั้งในด้านบุคคล องค์กรและประเทศ

ขณะเดียวกัน การเข้ามาของ 5จี จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่างๆ ได้แก่ การที่สมาร์ทซิตี้จะขึ้นไปอยู่บนสมาร์ทโฟน แอพพลิเคชั่นต่างๆ จะเปลี่ยนรูปแบบเป็นเว็บไซต์และมีความหลากหลายมากขึ้นของแอพพลิเคชั่นใหม่ๆ การที่ข้อมูลจะมีปริมาณมหาศาล ทำให้การพัฒนาหรือเลือกข้อมูลต้องเลือกให้ตรงกับความต้องการของแต่ละบุคคลมากขึ้น เป็นต้น

นอกจากนี้ เทคโนโลยีสมาร์ทโฟนที่เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของคนมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นในด้านของการติดต่อสื่อสาร การค้นหาและรับข้อมูล หรือดูกิจกรรมบันเทิงต่างๆ บริษัท จึงมองเห็นโอกาสทางธุรกิจที่จะพัฒนานวัตกรรมการให้บริการเพื่อตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่ทันสมัย เพื่อให้คนสามารถใช้ชีวิตได้ง่าย สะดวก คุ้มค่า บริษัทจึงคิดค้นแพลตฟอร์มสำหรับลูกค้าทั่วไป หรือบีทูซี ทั้งในด้านของการอยู่อาศัย การเดินทาง การพกบัตรต่างๆ ด้านสุขภาพและการแพทย์ รวมถึงด้านการช็อปปิ้ง เป็นต้น

สำหรับกลุ่มบีทูซีจะเป็นการใช้งานผ่านแอพพลิเคชั่นต่างๆ เช่น แอพพลิเคชั่น ServLive เพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในคอนโดมิเนียม แอพพลิเคชั่น ServCard เพื่อลดความยุ่งยากในการพกบัตรสมาชิกต่างๆ เปลี่ยนเป็นเก็บในรูปแบบบัตรดิจิทัล แอพพลิเคชั่น Taxi-Beam และ Bus-Beam เพื่อให้สามารถเข้าถึงรถสาธารณะได้ง่ายและสะดวก และแอพพลิเคชั่น InMall เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเดินห้างเสมือนจริง พร้อมทั้งเพลิดเพลินไปกับเกม AR และลุ้นรับส่วนลดโปรโมชั่นมากมาย

ในส่วนของสมาร์ทซิตี้แพลตฟอร์มเพื่อลูกค้าองค์กร หรือบีทูบี นั้น ได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีทางด้านแผนที่เพื่อออกแบบและพัฒนาระบบ LBIS (Location Based Information System) LIMS (Location Information Management System) และ EcartMap ให้สามารถรองรับการสร้างและบริหารการวางระบบสาธารณูปโภค (Infrastructure) ต่างๆ ของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยครอบคลุมทั้งระบบคมนาคม ระบบพลังงาน ระบบการจัดการน้ำ และระบบสื่อสาร เป็นต้น

ปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนลูกค้าองค์กรภาคเอกชนประมาณ 40% และลูกค้าองค์กรภาครัฐประมาณ 60% ทั้งนี้ บริษัทได้ตั้งเป้าจะขยายฐานลูกค้าไปยังกลุ่มลูกค้าเอกชนและลูกค้าบุคคลทั่วไปมากยิ่งขึ้น โดยภายในปี 2563 คาดว่าจะมีฐานลูกค้าบุคคลประมาณ 1 ล้านคนทั่วประเทศ

พร้อมกันนี้ ยังมีแผนงานที่จะขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเริ่มจากประเทศบรูไนและอินโดนีเซียก่อน ด้วยการนำเสนอบริการระบบ ServLive และ ServCard เนื่องจากยังมีคู่แข่งน้อย ทำให้มีโอกาสเติบโตและขยายฐานลูกค้าได้มาก

ด้าน ณรงค์พนธ์ บุญทรงไพศาล หัวหน้าโครงการบริษัทร่วมทุนอินเว้นท์ บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ กล่าวเพิ่มเติมว่า อีคาร์ทสตูดิโอ เป็นผู้นำในการพัฒนาเทคโนโลยี Location Based Services เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค กลุ่มธุรกิจ และองค์กรภาครัฐในการให้บริการต่างๆ ที่ช่วยให้การบริหารจัดการสามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ สร้างรายได้ และลดต้นทุนได้เป็นอย่างดี

“เรามองว่าการนำเทคโนโลยี Location Based Services มาใช้ในธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจบริการ ธุรกิจค้าปลีก ธุรกิจขนส่ง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ธุรกิจสื่อโฆษณา และธุรกิจอื่นๆ มีแนวโน้มเติบโตได้อีกมากในอนาคต” ณรงค์พนธ์ กล่าว

สร้างนวัตกรรมองค์กร ขับเคลื่อนธุรกิจ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580889

  • วันที่ 20 ก.พ. 2562 เวลา 10:30 น.

สร้างนวัตกรรมองค์กร ขับเคลื่อนธุรกิจ

เรื่อง ThoughtWorks

ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยีขององค์กรขนาดใหญ่แห่งหนึ่งกล่าวไว้ว่า “เรื่องนวัตกรรมไม่ใช่ปัญหา เรามีนวัตกรรมมากมาย มีคนเก่งๆ อยู่ในทุกแผนกและทุกระดับ แต่ปัญหาคือต่างคนต่างทำงาน ศักยภาพความสามารถเลยแยกส่วนกระจัดกระจายกัน ซึ่งถ้าเราเชื่อมต่อกันได้ รวมทั้งมุ่งมั่นที่เป้าหมายและมียุทธศาสตร์ร่วมกัน เราจะพุ่งไปข้างหน้าแบบหยุดไม่อยู่เลย”

ในการสร้างนวัตกรรมในบริษัท หรือในองค์กรขนาดใหญ่ที่มีความหลากหลายนั้น ต้องเชื่อมต่อและกะเทาะไอเดีย ความสามารถ และข้อมูลเชิงลึกของแต่ละแผนกออกมาให้ได้และที่สำคัญคือ ต้องเปิดรับการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร เพื่อเตรียมพร้อมไปสู่อนาคตที่มาถึงอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นเรื่องที่องค์กรส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้วิธีที่จะทำ ซึ่งการมีส่วนร่วมของพนักงานเป็นสิ่งสำคัญ และการผลักดันให้เกิดความร่วมมือกันนั้นต้องอาศัยขั้นตอนการทำงานที่ยืดหยุ่นและคล่องตัว

ที่ผ่านมา มีองค์กรจำนวนมากที่เปิดรับความเปลี่ยนแปลง โดยการใช้วัฒนธรรมส่งเสริมนวัตกรรมและความเป็นผู้ประกอบการ นอกจากนี้ยังมีการใช้ยุทธศาสตร์การทำงานแบบทีมเล็กเหมือนสตาร์ทอัพ ผ่านวงจรการเรียนรู้แบบเร่งด่วน (Rapid Learning Cycles) การทดลอง การให้อิสระแก่ทีมงาน เพื่อสรรค์สร้างนวัตกรรมออกมาให้ได้ทันใจ รวมทั้งในส่วนของผลิตภัณฑ์และบริการสำหรับลูกค้า

โดยปกตินวัตกรรมมักจะเกิดขึ้นจากทีมที่ประกอบด้วยตัวแทนจากหลายภาคส่วนในองค์กร ซึ่งได้รับการสนับสนุนให้ทดลองและเรียนรู้ เพื่อสร้างโมเดลธุรกิจและแหล่งรายได้ใหม่ๆ หัวใจสำคัญที่จะทำให้ประสบความสำเร็จได้ก็คือ ทีมต้องมีขนาดเล็กและร่วมมือกันให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อให้พวกเขาสามารถมุ่งความสนใจไปที่ไอเดียหลักอย่างเดียว ซึ่งควรเป็นภารกิจหลักสำคัญอันดับแรกของทีม โดยทีมนั้น ควรประกอบด้วยบุคลากรหลายระดับและหลากประสบการณ์

นอกจากนี้ ควรมีแพลตฟอร์มเพื่อการสื่อสารการทดลอง การเรียนรู้ ความคืบหน้า ข้อมูลเชิงลึก และผลลัพธ์ ออกไปสู่พนักงานภายนอกทีมได้ ซึ่งจะช่วยกระตุ้นให้เกิดวัฒนธรรมการเรียนรู้ในองค์กรด้วย

ทีมนี้เปรียบเสมือนเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม หรือ “Innovation Hub” ที่จะสร้างวัฒนธรรมแห่งการทดลองเรียนรู้ ไปสู่วิสัยทัศน์ในอนาคตของบริษัท ภารกิจหลักของศูนย์กลางนั้น ควรเป็นการคิดค้นผลิตภัณฑ์ หาตลาดและโมเดลธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงช่วยเติมเต็มวิสัยทัศน์ในอนาคตขององค์กรด้วย อย่างไรก็ตาม ท้ายสุดแล้ว “นวัตกรรมควรเป็นงานของทุกคน” เพราะฮับควรเป็นหน่วยฟูมฟักและขับเคลื่อนวัฒนธรรมนวัตกรรมภายในองค์กรมากกว่า

สำหรับศูนย์กลางนวัตกรรมที่เข้มแข็งควรมีองค์ประกอบ อาทิ การสนับสนุนจากผู้บริหารที่ช่วยชี้นำทิศทางที่ถูกต้องเพื่อเปิดรับวัฒนธรรมการทดลองและการคิดเชิงอนาคต มีการพิจารณาแบบเจาะลึก โดยใช้ประโยชน์จากตลาดที่มีอยู่แล้วหรือเชื่อมถึงกัน เพื่อหาตลาดใหม่ๆ

นอกจากนี้ ยังควรเป็นทีมที่ประกอบด้วยบุคลากรมากความสามารถจากหลายแผนก เพื่อทำงานร่วมกันให้ได้ผลลัพธ์ตามที่ต้องการ รวมถึงการวางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการเชื่อมโยงโมเดลธุรกิจ แหล่งรายได้ รวมทั้งผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ เข้ากับธุรกิจหลักของบริษัท

พร้อมกันนี้ยังควรทยอยเพิ่มการลงทุนเมื่อไอเดียนั้นๆ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีคุณค่า ในขณะเดียวกันก็ต้องกล้าที่จะหยุดการลงทุนในสิ่งที่ไม่ประสบความสำเร็จเช่นกัน

สิ่งสำคัญคือ บริษัทต้องสนับสนุนให้เกิดการพัฒนานวัตกรรมขึ้นในองค์กร ซึ่งจำเป็นต้องมีการโฟกัส ประสานความร่วมมือ และสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกัน และให้อิสระในการดำเนินงาน มีเสรีภาพในการแสดงออก และแรงสนับสนุนเพื่อความสำเร็จ

ซีดีจีหนุนรัฐ-ธุรกิจ ทรานส์ฟอร์มรับเทรนด์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580793

  • วันที่ 19 ก.พ. 2562 เวลา 12:44 น.

ซีดีจีหนุนรัฐ-ธุรกิจ ทรานส์ฟอร์มรับเทรนด์

จากการที่ไอดีซี คาดการณ์ประเทศไทยจะมีเงินหมุนเวียนในตลาดไอทีสูงถึง 4.7 แสนล้านบาท ในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งเป็นผลมาจากการเดินหน้าดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น โดยภายในปี 2563 กว่า 20% จะปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กรให้เป็นดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ จึงถือเป็นโอกาสสำคัญของกลุ่มบริษัทซีดีจีเพื่อรุกเจาะตลาดทั้งภาครัฐและองค์กรธุรกิจ

นาถ ลิ่วเจริญ ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท ซีดีจี เปิดเผยว่า การเดินหน้าดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น ขององค์กรของหน่วยงานภาครัฐและเอกชน โดยคลาวด์ เซอร์วิส ยังคงเป็นส่วนที่ได้รับความสนใจ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะทำรายได้ให้ตลาดไอทีได้สูงกว่า 4.8 หมื่นล้านบาท

ไอดีซียังระบุว่า ภายในปี 2563 มากกว่า 20% ขององค์กรจะปรับเปลี่ยนรูปแบบองค์กรให้เป็นดิจิทัลอย่างสมบูรณ์ เพื่อเสริมศักยภาพและพร้อมแข่งขันในยุคเศรษฐกิจดิจิทัลอย่างมีประสิทธิภาพ

ทั้งนี้ ซีดีจียังคงมุ่งมั่นเป็นผู้นำด้านธุรกิจเทคโนโลยีสารสนเทศในรูปแบบ System Integrator เพื่อตอบรับการเปลี่ยนแปลงของโลกที่เร็วและใหม่ขึ้นทุกวัน ด้วย 3 จุดเด่นโซลูชั่นที่จะเข้ามาสนับสนุนการทำงานให้กับองค์กรภาครัฐและรัฐวิสาหกิจ ได้แก่ 1.บิ๊กดาต้า/ดาต้า อะนาไลติกส์ 2.ไอโอที และ 3.ซีเคียวริตี้

ในส่วนของบิ๊กดาต้าและดาต้าอะนาไลติกส์นั้น ปัจจุบันพบว่าทั้งภาครัฐและเอกชนยังไม่ได้นำข้อมูลที่มีอยู่มหาศาลมาใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งที่ข้อมูลเหล่านั้นเป็นโอกาสที่สามารถนำมาจัดการและรวบรวมให้เป็นหมวดหมู่เพื่อให้ง่ายต่อการวิเคราะห์เพื่อใช้ประโยชน์ต่อไป

ขณะเดียวกัน เทรนด์ในการพัฒนาเมืองของภาครัฐสู่ความเป็นเมืองอัจฉริยะ หรือสมาร์ทซิตี้ ก็จำเป็นต้องใช้เทคโนโลยีไอโอทีในการบูรณาการเข้ากับระบบ เสริมด้วยงาน อี-ซิติเซ็น เซอร์วิส เพื่อการบริการประชาชนที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น และเมื่อข้อมูลกลายเป็นหัวใจของการทำงาน ความปลอดภัยหรือการจัดการระบบการเข้าถึงข้อมูลและการปกป้องข้อมูล จึงเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับทุกหน่วยงาน

“ทั้งหมดนี้จะเป็นสิ่งที่บริษัทให้การผลักดันให้เกิดเป็นโซลูชั่นใหม่ๆ เพื่อตอบทุกโจทย์ความต้องการให้ลูกค้า ตั้งเป้าเติบโต 10% จากปีที่ผ่านมา โดยยังคงสัดส่วนหลักจากภาครัฐที่ 90%” นาถ กล่าว

นอกจากนี้ จากการคาดการณ์ของการ์ตเนอร์ ระบุว่า เทคโนโลยีเทรนด์ที่น่าจับตามองและมีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อภาคธุรกิจหลักๆ คือ บล็อกเชน,เอไอ, เออาร์, วีอาร์ และไอโอที

จากการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยี ทำให้ทุกภาคส่วนมีการปรับตัวเพื่อสอดรับการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว โดยปัจจุบันจะเห็นได้จากการทรานส์ฟอร์มของหน่วยงานทั้งภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่ต่อเนื่องและชัดเจนขึ้น ซึ่งเป็นผลจากการร่วมกันผลักดันของทุกภาคส่วนตามแผนยุทธศาสตร์ประเทศสู่ไทยแลนด์ 4.0

ขณะที่ข้อมูลจากบีโอไอ ระบุว่า ภาครัฐมีการเดินหน้าโครงการต่างๆ เพื่อผลักดันให้เกิดความพร้อมในการใช้ระบบ E-documents โดยตั้งเป้าในปี 2564 มากกว่า 80% ของหน่วยงานภาครัฐ ต้องเข้าสู่เปเปอร์เลส ออฟฟิศ ซึ่งหมายถึงโอกาสในการบริการประชาชนที่มีศักยภาพมากขึ้น และในปี 2563 สัดส่วนของธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมจะเติบโตถึง 10% ซึ่งเป็นผลมาจากโมบายเพย์เมนต์ ดังนั้นโอกาสที่น่าจับตามองในการเติบโตของธุรกิจไอที คือ เทคโนโลยีที่เชื่อมโยงถึงโซลูชั่นในการรองรับความปลอดภัย

“วิษณุ”ปัดม.44 อุ้มค่ายมือถือรอรัฐบาลหน้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580432

  • วันที่ 15 ก.พ. 2562 เวลา 07:31 น.

"วิษณุ"ปัดม.44 อุ้มค่ายมือถือรอรัฐบาลหน้า

ยืนยันไม่มีข้อสรุปใช้มาตรา 44 ยืดจ่ายค่าประมูลมือถือ กสทช.ระบุเอกชนพร้อมจ่าย แต่ขอยืดเวลา

นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า กรณีนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) นำผู้บริหารจากค่ายโทรศัพท์มือถือ 3 ราย ได้แก่ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส (เอไอเอส) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คแซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น (ทรู) เข้าพบเพื่อขอให้ใช้มาตรา 44 ขยายระยะเวลาการชำระเงินค่างวดประมูลคลื่นความถี่ 900 เมกะเฮิรตซ์ ออกไปเป็นปี 2563 นั้น ขณะนี้ยังไม่มีข้อสรุปและยังไม่มีการใช้คำสั่งตามมาตรา 44 เพื่อแก้ไขในเรื่องดังกล่าว

“กสทช.อาจทำอะไรให้ไม่ได้เพราะติดกฎหมาย ก็ต้องแก้กฎหมาย และก็ต้องมาดูอีกว่า จะแก้ด้วยวิธีปกติหรือวิธีอื่น จะทำในสมัยรัฐบาลนี้หรือรัฐบาลหน้า ซึ่งเอาไว้ค่อยพูดกัน” นายวิษณุ กล่าว

นายฐากร กล่าวว่า ผู้ให้บริการทั้ง 3 ราย ยืนยันชำระเงินค่าประมูล 4จี แต่ทั้งนี้ด้วยการลงทุนในระบบ 4จี ยังไม่คุ้มทุน ดังนั้นหากจะใช้ลงทุน 5จี อีก จึงไม่มีเงินทุนเพียงพอ ซึ่งเป็นห่วงว่าหากไทยไม่สามารถลงทุน 5จี ได้ภายในปี 2563 ไทยจะล้าหลังประเทศอื่นในการแข่งขัน ส่งผล กระทบต่อภาคการผลิต การลงทุนระบบหุ่นยนต์อัตโนมัติ ไอโอที เป็นต้น

“ไม่สามารถระบุได้ว่ามาตรการช่วยเหลือทั้งกิจการทีวีดิจิทัลและกิจการโทรคมนาคม จะเสร็จสิ้นก่อนการเลือกตั้งหรือไม่ ต้องติดตามต่อไปว่าการพิจารณาจะมีความชัดเจนอย่างไร” นายฐากร กล่าว

องค์กรปฏิรูปดิจิทัล ประหยัดงบลงทุน 80%

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580311

  • วันที่ 14 ก.พ. 2562 เวลา 10:00 น.

องค์กรปฏิรูปดิจิทัล ประหยัดงบลงทุน 80%

เรื่อง รัชนีย์ ศรีวัฒนชัย

ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เผยรายงาน Global Digital Transformation Benefits Report 2562 เกี่ยวกับผลประโยชน์ที่ได้รับจากการปฏิรูปสู่ดิจิทัลทั่วโลกประจำปี 2562 ซึ่งเป็นการนำเสนอบทพิสูจน์ที่เห็นเป็นรูปธรรมของพลังแห่งการปฏิรูปสู่ดิจิทัลที่แผ่ขยายไปทั่วโลกทั้งในอุตสาหกรรม การพาณิชย์ และภาครัฐ

ฌอง ปาสคาล ตริคัวร์ ประธานบริษัทและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชไนเดอร์ อิเล็คทริค เปิดเผยว่า จากการศึกษา 230 โครงการลูกค้าของบริษัท ได้ให้บริการเสร็จสิ้นสมบูรณ์ 5 ปีที่ผ่านมา จาก 41 ประเทศ พบว่า ประโยชน์หลักที่ธุรกิจจะได้รับจากการปฏิรูปสู่ดิจิทัลใน 12 เรื่อง ซึ่งแยกออกเป็น 3 ประเภท ที่สร้างประโยชน์ทั้งในเชิงลึกและในเชิงปริมาณ

ทั้งนี้ แต่ละประเภทล้วนเป็นปัจจัยสำคัญต่อการแข่งขันในตลาดอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนได้มากถึง 80% (ค่าใช้จ่ายด้านวิศวกรรม และการเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้เวลา) และยังประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (การใช้พลังงาน) ได้สูงถึง 85% และช่วยลดค่าใช้จ่ายการใช้สินทรัพย์ ระบบงานใหม่เฉลี่ย 29%

ขณะที่การเปลี่ยนกระบวนการทำงานสู่ระบบดิจิทัล เพื่อควบคุมการใช้ ไอโอที ให้ผลลัพธ์ในการประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานได้มาก นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงประสิทธิภาพ ความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย และความยั่งยืน ภาคธุรกิจต่างรายงานถึงการประหยัดค่าใช้จ่ายในส่วนของการใช้พลังงานได้ถึง 24% ซึ่งเป็นผลจากการปรับปรุงกระบวนการทำงานสู่ระบบดิจิทัล

“การประยุกต์ใช้งานในอุตสาหกรรม การปฏิรูปสู่ดิจิทัล ช่วยให้องค์กรธุรกิจใช้ทรัพยากรน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์มากขึ้น เช่น เพิ่มผลผลิตมากขึ้นแต่ใช้พลังงานน้อยลงโดยสามารถเพิ่มผลผลิตได้มากถึง 50% เป็นผลที่ได้จากการบริหารจัดการพลังงานและระบบออโตเมชั่นผ่านห่วงโซ่แห่งคุณค่า เช่น ความสามารถในการติดตามไอโอที ช่วยให้สายการผลิตดำเนินงานอัตโนมัติ”

ตริคัวร์ กล่าวว่า ทศวรรษแห่งประสบการณ์ในการปฏิรูปสู่ดิจิทัล โดยบริษัทปฏิรูปดิจิทัลนับตั้งแต่ปี 2552 ได้เปิดตัว EcoStruxure™ ซึ่งเป็นทั้งสถาปัตยกรรมและแพลตฟอร์ม ที่ให้ศักยภาพด้านไอไอที ซึ่งเป็นระบบเปิด สามารถทำงานร่วมกันกับระบบอื่นๆ

ปัจจุบันบริษัทได้เพิ่มบริการด้านคลาวด์และดิจิทัล เพื่อให้ EcoStruxure™ นำเสนอประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น ทั้งความปลอดภัย ประสิทธิภาพ การเชื่อมต่อ โดยสามารถนำความล้ำหน้าด้านไอโอที โมบิลิตี้ ระบบเซ็นเซอร์ คลาวด์ การวิเคราะห์ และไซเบอร์ซีเคียวริตี้ มาช่วยในการนำเสนอนวัตกรรมในทุกระดับ

สำหรับที่ผ่านมา EcoStruxure™ ได้ติดตั้งใช้งานกว่า 4.8 แสนไซต์งาน มีการเชื่อมต่อการทำงานร่วมกับอุปกรณ์กว่า 1.6 ล้านรายการ ซึ่งในจำนวน 45%ของยอดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ชไนเดอร์ อิเล็คทริค ในปี 2560 เป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับไอโอทีสร้างบนแพลตฟอร์ม EcoStruxure™ ดังนั้นไอโอทีจึงเป็นหนึ่งในหัวใจสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจ

การปฏิรูปสู่ดิจิทัล เป็นหนทางเดียวที่จะสร้างเสถียรภาพ และประสิทธิภาพให้กับทั้งบริษัท ด้วยเทคโนโลยี เช่น อินเทอร์เน็ต ออฟ ธิงส์ หรือไอโอที รวมถึงเอไอ และการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ หรือบิ๊กดาต้า ทำให้หลายบริษัทสามารถสร้างประสิทธิภาพและนวัตกรรม เพื่อเพิ่มข้อได้เปรียบทางการแข่งขัน