จีนโวยหลายประเทศกีดกันหัวเว่ยทั้งที่ไร้หลักฐานว่าเป็นภัยคุกคาม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580280

  • วันที่ 13 ก.พ. 2562 เวลา 20:19 น.

จีนโวยหลายประเทศกีดกันหัวเว่ยทั้งที่ไร้หลักฐานว่าเป็นภัยคุกคาม

กระทรวงการต่างประเทศจีนออกแถลงการณ์ อัดสหรัฐ-ประเทศต่างๆกีดกัน “หัวเว่ย” ทั้งที่ไม่มีหลักฐานว่าเป็นภัยคุกคาม

สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงการต่างประเทศของจีน ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า สหรัฐและประเทศอื่นๆยังไม่ได้แสดงหลักฐานที่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะเชื่อได้ว่าบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศ และประเทศเหล่านี้กระพือกระแสความกลัวหัวเว่ยเนื่องจากต้องการปกป้องผลประโยชน์ของตนเอง

“ผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์หัวเว่ยกำลังกุเรื่องภัยคุกคาม และใช้อำนาจรัฐในการกดขี่สิทธิในการพัฒนาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และผลประโยชน์ของบริษัทจีน รวมทั้งใช้การเมืองเพื่อแทรกแซงเศรษฐกิจ” นางหัว ชุนหยิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน กล่าว

“ทุกประเทศควรดำเนินการในเรื่องนี้อย่างเป็นธรรม และมีเหตุผล มากกว่าที่จะสร้างเรื่องกล่าวหาเพื่อผลประโยชน์ของตนเอง ซึ่งเป็นการกระทำที่เสแสร้ง และไม่ยุติธรรม” นางหัวกล่าว

แถลงการณ์ของจีนในครั้งนี้ถือว่ารุนแรงที่สุด นับตั้งแต่ที่สหรัฐและอีกหลายประเทศได้สั่งห้ามหัวเว่ยเข้าร่วมโครงการ 5G เนื่องจากวิตกว่าบริษัทอาจทำการจารกรรมข้อมูลให้แก่รัฐบาลจีน

ภาพ เอเอฟพี

ออฟฟิศ ยุคใหม่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580177

  • วันที่ 13 ก.พ. 2562 เวลา 11:00 น.

ออฟฟิศ ยุคใหม่

ปากกาด้ามเดียว

ผลสำรวจล่าสุดโดย นีลเส็น ประเทศไทย ร่วมกับโครงการเดอะ ปาร์ค ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท ทีซีซี แอสเซ็ท (ประเทศไทย) และบริหารงานโดย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) เผยเทรนด์ความต้องการที่กำลังมาแรงของมนุษย์เงินเดือนในกรุงเทพฯ ชี้ว่าออฟฟิศซึ่งมีทำเลที่ตั้งสะดวกสบายและเข้าถึงระบบขนส่งมวลชนได้สะดวกคือปัจจัยสำคัญที่สุดที่จะพิจารณาเมื่อเปลี่ยนงาน

นอกจากนี้ กระแสความต้องการด้านสุขภาวะที่ดี การมีบริการที่อำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างครบครัน และเทคโนโลยีล้ำสมัยภายในอาคารสำนักงานก็สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปของพนักงานออฟฟิศ ซึ่งบ่งบอกถึงเทรนด์ใหม่ที่จะพลิกโฉมรูปแบบอาคารสำนักงานชั้นนำของกรุงเทพฯ ในอนาคต

ทั้งนี้ สมาร์ทเทคโนโลยี คือหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทุกกลุ่มอายุเห็นพ้องต้องกันว่าทุกอาคารสำนักงานจำเป็นต้องมี โดย 62% ของผู้ร่วมตอบแบบสำรวจ ระบุว่า เทคโนโลยีการจัดการด้านการรักษาความปลอดภัยคือสิ่งที่สำคัญที่สุดที่พวกเขาต้องการ รองลงมาคือระบบการจัดการพลังงานอย่างยั่งยืน (50%) แสดงให้เห็นถึงกระแสของชาวออฟฟิศที่มีต่ออาคารรักษ์สิ่งแวดล้อม และระบบที่จอดรถพร้อมเทคโนโลยีอันชาญฉลาด(47%) ก็ติดอยู่ในสามอันดับแรกนี้เช่นกัน

ที่น่าสนใจคือเมื่อพิจารณาตามเพศชายหญิง พบว่า เพศหญิงมากถึง 46% ต้องการระบบห้องน้ำอัตโนมัติมากกว่าผู้ชาย ขณะที่กลุ่มผู้ชายนั้นให้ความสำคัญกับสถานีอัดประจุสำหรับรถยนต์ไฟฟ้า (EV) มากกว่าเพศหญิงซึ่งมีเพียง 9%

นอกจากนี้ หนุ่มสาวชาวออฟฟิศรุ่นใหม่ 46% ยังอยากให้มีแอพพลิเคชั่นบนอุปกรณ์ที่ให้บริการแก่ผู้เช่าอาคาร ซึ่งมีจำนวนมากกว่ากลุ่มคนวัยทำงานที่สูงวัยกว่าถึง 2 เท่า

เอไอสู่สเต็ปทำนาย ทั่วโลกแห่ลงทุนเพิ่ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580172

  • วันที่ 13 ก.พ. 2562 เวลา 07:40 น.

เอไอสู่สเต็ปทำนาย ทั่วโลกแห่ลงทุนเพิ่ม

โดย…รัชนีย์ ศรีวัฒนชัย

เอไอ หรือปัญญาประดิษฐ์ เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานที่นำธุรกิจไปสู่การทรานส์ฟอร์ เมชั่นก้าวสู่อุตสาหกรรม 4.0 ในปีนี้ภาคธุรกิจทั่วโลกจึงลงทุนเทคโนโลยีเอไอ เพิ่มขึ้นถึง 5 เท่าตัว

โกศล ทรัพย์ประเสริฐ ผู้ก่อตั้งบริษัท เฮ็ดบอท เปิดเผยว่า ปีนี้ธุรกิจที่ลงทุนเอไอมานานหลายปี เพื่อนำดาต้ามาวิเคราะห์ข้อมูล หรือพฤติกรรมของผู้บริโภคจะก้าวสู่สเต็ปของการ พรีดิก (Predic) หรือทำนายสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างแม่นยำด้วยการใช้ข้อมูลต่างๆ ของบุคคลเป็นพื้นฐานของการคาดเดา

ทั้งนี้ มี 3 กลุ่มธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการลงทุนเอไอเพิ่มขึ้น ประกอบด้วย ในกลุ่มธุรกิจเฮลท์แอนด์เวลเนส เนื่องจากทั่วโลกกำลังก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ นำเอไอมาวิเคราะห์การรักษาพยาบาล ผู้ป่วย และธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ถือว่าเป็นช่องทางการค้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ส่วนธุรกิจสถาบันการเงิน ลงทุนเอไอเพื่อบริหารความเสี่ยง การอนุมัติเงินกู้ รวมถึงบริการอื่นได้อีกด้วย

ขณะที่ในกลุ่มเฮลท์แอนด์เวลเนส พบว่าอุปกรณ์แวร์เอเบิล (Wearable) จากเดิมจะเป็นเหมือนอุปกรณ์ไม่ต่างจาก เครื่องคิดเลขที่มีตัวเลขจับพฤติกรรมต่างๆ เช่น การเผาผลาญแคลอรี การเต้นของหัวใจ หรือเตือนภัยเมื่อผู้ป่วยประสบอุบัติเหตุ จะเปลี่ยนเป็นการทำนายว่าผู้ที่ใช้ชีวิตและไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันทุกวัน มีโอกาสเสี่ยงที่จะป่วยหรือเป็นโรคได้ในอนาคต

โกศล กล่าวว่า ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซเดิมที่เอาเอไอมาใช้ในแพลตฟอร์มใน รูปแบบของเท็กซ์ ออโตเมชั่น หรือข้อความโต้ตอบอัตโนมัติ เช่น เฟซบุ๊ก มาสู่การทำตลาดเพอร์ซันนัลไลซ์ ธุรกิจอี-คอมเมิร์ซรายใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ลาซาด้า ช้อปปี้ เจดี เซ็นทรัล ที่เริ่มเก็บข้อมูลจากพฤติกรรมของผู้บริโภคมา ในระยะหนึ่งแล้ว

“ปีนี้จะเริ่มพรีดิกว่าพฤติกรรมของ ผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าประเภทดังกล่าวเป็นคนกลุ่มใด ต้องนำเสนอสินค้าประเภทใด โปรโมชั่นไหนให้กับลูกค้า รวมถึงการ ลงโฆษณา เอไอจะเข้ามาช่วยวิเคราะห์ รูปแบบ เพื่อส่งโฆษณาบนโลกออนไลน์ให้ตรงกับแต่ละบุคคลที่สุด เพื่อกระตุ้นให้เกิดการซื้อสินค้า” โกศล กล่าว

ขณะที่กลุ่มสถาบันการเงินเริ่มใช้เอไอสำหรับการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยเป็นรูปแบบของการทำนาย แตกต่างจากเดิมจะใช้ดาต้าเข้ามาวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อลดความเสี่ยงของการปล่อยสินเชื่อ ส่วนด้านเทคโนโลยีเอไอซึ่ง ขณะนี้มี 3 รูปแบบ คือ แมชีนเลิร์นนิ่งจากภาพ เสียง และตัวอักษร จากนั้นจะวิเคราะห์จากสิ่งที่เกิดขึ้น

สำหรับการใช้เทคโนโลยีเอไอจากภาพ มีการลงทุนมาในระยะหนึ่งแล้ว ส่วนเทคโนโลยีจากเสียงจะถูกนำมาใช้งานมากขึ้นในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นการยืนยันตัวตนผ่านเสียงจากธนาคาร เพื่อลดความเสี่ยงการปลอมแปลงข้อมูล ลดความเสี่ยงการเกิดอุบัติเหตุ เช่น คอยรับฟังเสียงผู้ต้องการความช่วยเหลือ ส่วนเอไอด้านภาษา ขณะนี้เทคโนโลยียังไม่พัฒนาใช้งาน 100%

ปัจจุบันมีธุรกิจจำนวนมากที่ลงทุน เอไอ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจโลจิกติกส์ ประกันภัย เพราะเอไอเป็นจุดเปลี่ยนของทุกๆ อุตสาหกรรม โดยเป็นเทคโนโลยีที่สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจ ต้องจับตาในยุคนี้ ใครเป็นผู้ทำนายอนาคตได้อย่างแม่นยำ และรับรู้ถึงความต้องการลูกค้าได้มากกว่า จะเป็นผู้ชนะในสมรภูมิการค้า

“วอยซ์ ทีวี”เตรียมฟ้องศาลปกครองปมถูกระงับออกอากาศ เรียกค่าเสียหาย100ล้าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580101

  • วันที่ 12 ก.พ. 2562 เวลา 15:10 น.

"วอยซ์ ทีวี"เตรียมฟ้องศาลปกครองปมถูกระงับออกอากาศ เรียกค่าเสียหาย100ล้าน

ซีอีโอวอยซ์ ทีวีเผยเตรียมยื่นอุทธรณ์คำสั่งระงับออกอากาศต่อศาลปกครอง พร้อมเรียกค่าเสียหายกว่า 100 ล้านบาท

เมื่อวันที่ 12 ก.พ.62 นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) วอยซ์ ทีวี กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) มีมติให้พักใบอนุญาตวอยซ์ ทีวี เป็นเวลา 15วันว่า รอบนี้ถึงเวลาต้องอุทธรณ์คำสั่งต่อศาลปกครอง พร้อมเรียกค่าเสียหาย ซึ่งคำนวนย้อนหลังแล้วมากกว่า 100 ล้านบาท

นายเมฆินทร์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาวอยซ์ ทีวีให้ความร่วมมือด้วยดีมาตลอด แม้จะเห็นแย้งในประเด็นกฎหมายเรื่องหลักการใช้อำนาจของ กสทช. ที่มักอ้างคำสั่ง คสช. และเอ็มโอยูที่ทางสถานีมองว่าไม่มีผลบังคับ แต่ที่ไม่ดำเนินการทางกฎหมายเพราะหวังว่าการให้ความร่วมมือจะทำให้สถานีได้ทำงานต่อโดยราบรื่น

“วอยซ์ ทีวีอยู่ในสถานะถูกเลือกปฏิบััติมาพอสมควรแล้ว และในเวลานี้ใกล้จะมีเลือกตั้ง สื่อยิ่งต้องการเสรีภาพ จึงเห็นว่าเป็นเวลาที่เหมาะสมที่จะใช้สิทธิในการอุทธรณ์ต่อศาลปกครอง เพื่อปกป้องเสรีภาพสื่อและวางบรรทัดฐานในการใช้อำนาจของ กสทช.”

“ในสถานการณ์ที่ประเทศกำลังเดินหน้าสู่การเลือกตั้งภายในไม่กี่สัปดาห์ ข้อตกลงหรือข้อบังคับใดๆ สำหรับเหตุการณ์พิเศษควรยุติลงเพราะสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการตัดสินใจเลือกตั้งของประชาชนคือข้อมูลข่าวสารที่ครอบคลุม รอบด้าน มีคุณภาพ”

“วอยซ์ ทีวีเห็นว่าเราถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมซ้ำแล้วซ้ำเล่า และนี่เป็นเวลาที่สมควรที่จะต้องยืนหยัดปกป้องเสรีภาพของตัวเองรวมทั้งใช้กระบวนการทางกฎหมายในการวางบรรทัดฐานการใช้อำนาจของ กสทช. ให้เป็นไปตามหลักนิติรัฐ นิติธรรม และบนพื้นฐานของความเคารพในเสรีภาพสื่อมวลชน ซึ่งถูกตั้งคำถามและท้าทายอย่างยิ่งมาตลอดระยะเวลาหลังการรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา” นายเมฆินทร์ระบุ

กสทช.แจงระงับออกอากาศวอยซ์ทีวี15วัน เหตุรายการมีเนื้อหายั่วยุ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580097

  • วันที่ 12 ก.พ. 2562 เวลา 14:41 น.

กสทช.แจงระงับออกอากาศวอยซ์ทีวี15วัน เหตุรายการมีเนื้อหายั่วยุ

เลขาฯกสทช.แจงระงับออกอากาศ วอยซ์ทีวี 15 วัน เหตุรายการมีเนื้อหาทำให้เกิดความสับสน-ยั่วยุ ชี้สามารถอุทธรณ์คำสั่งได้ภายใน 30 วัน

เมื่อวันที่ 12 ก.พ. 62 นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า กสทช.ได้มีคำสั่งทางปกครองให้พักใช้ใบอนุญาตช่อง Voice TV เป็นเวลา 15 วันนับตั้งแต่เวลา 00.00 น. ของวันที่ 13 ก.พ.62 เนื่องมาจาก Voice TV ได้มีการกระทำความผิดในการออกอากาศรายการที่มีเนื้อหาทำให้เกิดความสับสน และยั่วยุให้เกิดความแตกแยก

ทั้งนี้ การออกคำสั่งทางปกครองกรณีนี้ ใช้อำนาจตามมาตรา 64 มาตรา 16 และมาตรา 37 แห่งพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. ในการระงับการออกอากาศ

“กสทช.จะส่งคำสั่งให้ Voice TV ภายในวันที่ 12 ก.พ.นี้ โดยหลังได้มีคำสั่งทางปกครอง Voice TV สามารถอุทธรณ์คำสั่งทางปกครองภายใน 30 วัน”นายฐากร กล่าว

ด้าน พล.ท.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการ กสทช. กล่าวว่า หากเมื่อครบกำหนดระงับการออกอากาศและกลับมาออกอากาศแล้วยังมีการกระทำผิดอีก จะมีการพิจารณาคำสั่งทางปกครองที่มีความรุนแรงมากขึ้น

จากสถิติปี 2558 มีการกระทำความผิด 4 กรณี ปี 2559 มี 11 กรณี, ปี 2560 มี 10 กรณี, ปี 61 มี 9 กรณี คณะอนุกรรมการฯ ได้ตรวจสอบและเคยมีคำสั่งทางปกครอง และมีการตักเตือนไปแล้วหลายครั้งตั้งแต่ปี 2558 จนปัจจุบัน โดยล่าสุดพบว่ายังมีการกระทำผิดอีก จากรายการทูไนท์ไทยแลนด์วันที่ 16 ธ.ค. 2561 รายการเบรกกิ้งนิวส์ วันที่ 21 , 28 , 29 ม.ค. และวันที่ 4 ก.พ. 2562 จึงมีคำสั่งทางปกครองให้ Voice TV ปรับปรุงตัวเอง

“มาตรการที่ดำเนินการไปถือเป็นมาตรการที่สมควรแก่เหตุ เพราะหากย้อนไปดูสถิติจะพบว่ามีการกระทำความผิดอย่างต่อเนื่อง” พล.ท.พีระพงษ์ กล่าว

ค้าปลีกเชื่อเทคโนโลยี เพิ่มยอดขาย หนุนบริการ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/580030

  • วันที่ 12 ก.พ. 2562 เวลา 11:40 น.

ค้าปลีกเชื่อเทคโนโลยี เพิ่มยอดขาย หนุนบริการ

เรื่อง ซีบรา เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น

ซีบรา เทคโนโลยีส์ คอร์ปอเรชั่น เผยผลสำรวจ Global Shopper Study ซึ่งเป็นการสำรวจทัศนคติ ความคิดเห็น และความคาดหวังของผู้บริโภค พนักงานขายหน้าร้าน และผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก พบว่า 66% ของพนักงานขายที่ตอบผลสำรวจเชื่อว่าจะสามารถให้บริการลูกค้าได้มีประสิทธิภาพมากขึ้นหากมีอุปกรณ์แท็บเล็ตเป็นตัวช่วย

ผลสำรวจยังพบว่า 55% ของพนักงานขายที่ตอบแบบสำรวจเห็นตรงกันว่า บริษัทที่ทำงานอยู่นั้นมีจำนวนพนักงานไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า และ 49% รู้สึกว่าพวกเขาทำงานหนักเกินไป

นอกจากนี้ พนักงานยังให้ความเห็นว่า รู้สึกคับข้องใจที่ไม่สามารถให้บริการลูกค้าได้อย่างเต็มที่ โดยราว 42% ให้เหตุผลว่ามีหน้าที่อื่นที่ต้องรับผิดชอบควบคู่กันให้เสร็จตามกำหนดจึงไม่สามารถให้เวลากับลูกค้าได้เท่าที่ควร ขณะที่อีก 28% ให้เหตุผลว่า มีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสามารถบริการลูกค้าได้

ขณะเดียวกัน ยังพบว่า 83% ของกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีก และ 74% ของพนักงานขายหน้าร้านเห็นตรงกันว่า อุปกรณ์เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือที่จะสามารถช่วยเพิ่มประสบการณ์การซื้อสินค้าที่ดีขึ้นให้แก่ลูกค้าได้

เมื่อสำรวจไปในฝั่งของผู้บริโภคพบว่า มีเพียง 13% ที่ให้ความมั่นใจในร้านค้าที่พวกเขาซื้อสินค้าว่าจะปกป้องข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา ซึ่งถือเป็นเปอร์เซ็นต์ความเชื่อมั่นที่ต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ 10 อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่ถูกสำรวจ และ 73% ของผู้บริโภคลงความเห็นตรงกันว่า มีความพอใจมากกว่าเมื่อสามารถควบคุมการใช้ข้อมูลส่วนตัวได้เอง

ศิวัจน์ โรจนเต็มศักดิ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย ซีบรา เทคโนโลยีส์ กล่าวว่า จากผลสำรวจพบว่า ความคาดหวังของผู้บริโภคนั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่หน้าร้านค้าส่วนใหญ่ยังคงประสบปัญหาอย่างการจัดส่งสินค้า การสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และการสร้างประสบการณ์การซื้อสินค้าที่น่าประทับใจให้กับลูกค้าไม่ว่าสินค้านั้นจะเป็นอะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ และอย่างไร

เมื่อกล่าวถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีออโตเมชั่นพบว่า ผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกและพนักงานขายหน้าร้านมีความคาดหวังต่อระบบออโตเมชั่นที่ต่างกัน โดยเกือบ 80% ของผู้ประกอบการ และ 49% ของพนักงานขายหน้าร้านเห็นว่าเคาน์เตอร์ชำระค่าสินค้าเริ่มเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นเมื่อลูกค้าสามารถใช้เทคโนโลยีในการชำระเงินได้เอง

ที่สำคัญคือ พบว่า 52% ของผู้ประกอบการได้เปลี่ยนจุดชำระเงิน (Point-of-Sale) ให้เป็นระบบอัตโนมัติที่ผู้บริโภคสามารถดำเนินการชำระเงินได้ด้วยตัวเอง และอีก 62% กำลังเปลี่ยนจุดชำระเงินเป็นสถานที่รับสินค้าจากการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์

ศิวัจน์ กล่าวว่า มากกว่าครึ่งของผู้บริโภค หรือ 51% เชื่อว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลของสินค้าผ่านสมาร์ทโฟนของตัวเองได้ดีกว่าการสอบถามข้อมูลจากพนักงานขายหน้าร้าน ซึ่งผู้ประกอบการหลายแห่งได้มีการลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อแก้ไขความเหลื่อมล้ำดังกล่าว

ทั้งนี้ เห็นได้จากเกือบ 60% ของผู้ประกอบการวางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนขึ้นมากกว่า 6% จากงบลงทุนเดิม เพื่อซื้ออุปกรณ์คอมพิวเตอร์แบบพกพา และ 1 ใน 5 หรือ 21% วางแผนที่จะเพิ่มการลงทุนมากกว่า 10% ในการซื้อแท็บแล็ตสำหรับการใช้งานในอุตสาหกรรมภายในอีก 3 ปีข้างหน้า

ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ผู้ประกอบการค้าปลีกให้ความสำคัญของเทคโนโลยีและพร้อมที่จะลงทุน เนื่องจากเชื่อมั่นว่าจะช่วยส่งผลให้การขายสินค้าและบริการมีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้น แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวังคือ ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่ยังไม่แน่ใจในเรื่องความปลอดภัยในการให้ข้อมูลส่วนตัวมากนัก

ไมโครซอฟท์เตือนองค์กรเลี่ยงใช้ “IE” เป็นบราวเซอร์มาตรฐาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/579891

  • วันที่ 10 ก.พ. 2562 เวลา 16:43 น.

ไมโครซอฟท์เตือนองค์กรเลี่ยงใช้ "IE" เป็นบราวเซอร์มาตรฐาน

ไมโครซอฟท์เตือนองค์กรต่างๆควรเลี่ยงใช้ “Internet Explorer” เป็นบราวเซอร์มาตรฐาน เหตุหยุดการพัฒนามาตั้งแต่ปี58แล้ว

คริส แจ็คสัน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์จากบริษัทไมโครซอฟท์ เตือนให้องค์กรต่างๆ หลีกเลี่ยงการใช้ อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ หรือ ไออี (Internet Explorer : IE) เป็นบราวเซอร์มาตรฐานขององค์กร เนื่องจากไมโครซอฟท์ได้หยุดพัฒนาอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์มาตั้งแต่ปี 2558 ทำให้การใช้งานในปัจจุบันมีความเสี่ยงต่อภัยคุกคามทางไซเบอร์

แจ็คสันระบุเรื่องดังกล่าวในบทความหัวข้อ “The perils of using Internet Explorer as your default browser” ซึ่งถูกเผยแพร่อยู่บนบล็อก Windows IT Pro Blog ในเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์

แจ็คสันระบุว่า มักจะมีคนเข้ามาถามเขาเกี่ยวกับการใช้งานอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ กับองค์กรธุรกิจ ซึ่งเขาได้อธิบายไปว่า ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตส่วนใหญ่ในตอนนี้ได้หันไปใช้งาน Google Chrome, Firefox หรือ Microsoft Edge ขณะที่บริษัทบางแห่งยังคงเลือกใช้เว็บไซต์ที่ถูกออกแบบมาสำหรับใช้งานบนอินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์ แทนที่จะพัฒนาเทคโนโลยีให้ทำงานได้บนบราวเซอร์ใหม่ๆแทน

“อินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ไม่ควรถูกเรียกว่าเป็นเว็บบราวเซอร์อีกต่อไป เพราะแม้ขณะนี้จะยังทำงานกับเว็บไซต์ต่างๆได้ แต่นักพัฒนาไม่ได้ทำการทดสอบมันมานานแล้ว”แจ็คสันระบุ

เขาระบุด้วยว่า บริษัทต่างๆ ยังสามารถใช้อินเทอร์เน็ต เอ็กซ์พลอเรอร์์ ได้หากมีความจำเป็น เช่น การใช้งานกับโซลูชั่นบางโซลูชั่นของบริษัท แต่ไม่ควรใช้เป็นบราวเซอร์มาตรฐานขององค์กรอีกต่อไป

ภาพ เอเอฟพี

เดินหน้าควบรวมกสท-ทีโอที

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/579738

  • วันที่ 09 ก.พ. 2562 เวลา 08:28 น.

เดินหน้าควบรวมกสท-ทีโอที

คนร.เร่งเครื่องควบรวม กสทฯ-ทีโอที เคลียร์คดีพิพาทกับเอกชนกว่า 1 หมื่นล้าน ปูทางสู่บริษัทโทรคมนาคมแห่งชาติ

นายดนันท์ สุภัทรพันธุ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท กสท โทรคมนาคม เปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างสรุปข้อชัดเจนในประเด็นข้อกฎหมาย โดยเฉพาะกรณีพิพาทฟ้องร้องระหว่าง กสทฯ กับคู่สัญญาเอกชน เพื่อนำส่งคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (คนร.) ซึ่งถือเป็นหนึ่งในประเด็นเร่งด่วนที่ต้องรีบดำเนินการ เพื่อให้แผนควบรวมกิจการกับบริษัท ทีโอที เสร็จตามเป้าหมายที่ คนร.วางไว้ในช่วงไตรมาส 2 ของปี 2562ทั้งนี้ ประเด็นหลักที่ คนร. ให้กสทฯ และทีโอทีชี้แจงเพิ่มเติม คือประเด็นความชัดเจนเรื่องกฎหมายและข้อพิพาทที่ยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ ซึ่งในส่วนข้อพิพาทระหว่าง กสทฯ และทีโอทีนั้นคาดว่าไม่น่าเป็นปัญหา เพราะสามารถยุติลงได้หลังการควบรวม คงเหลือแต่ประเด็นฟ้องร้องต่างๆ ที่เคยเกิดขึ้นระหว่างหน่วยงานทั้งสองกับเอกชนคู่สัญญาสัมปทานเอกชน

สำหรับคดีหลักๆ ที่เป็นกรณีพิพาท คือ ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (แอ็กเซสชาร์จ) มูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ที่ทีโอทีได้ฟ้องเอกชนคู่สัญญาของ กสทฯ ซึ่งมีความกังวลว่าหากควบรวมแล้วเอกชนอาจใช้เป็นข้ออ้างในการไม่จ่ายค่าเอซี เนื่องจากเป็นบริษัทใหม่ คือ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ

ขณะที่การควบรวมที่เกิดขึ้นในครั้งนี้เป็นไปตามมติ คนร. เพื่อหวังลดความซ้ำซ้อนในการดำเนินธุรกิจ และต้องการใช้จุดแข็งด้านโครงข่ายโทรคมนาคมที่ครอบคลุมทั่วประเทศ มาช่วยสร้างรายได้ให้กับบริษัทใหม่แทนที่จะแข่งขันกันทำธุรกิจอย่างที่ผ่านมา เนื่องจากทั้งสองเป็นหน่วยงานโทรคมนาคมของรัฐ

นายดนันท์ กล่าวว่า ระหว่างนี้ กสทฯ ยังคงเดินหน้าให้บริการตามแผนธุรกิจที่วางไว้ โดยให้ความสำคัญกับการผลิตคอนเทนต์ที่หลากหลายบนเครือข่ายบริการที่มีคุณภาพ ซึ่งเป็นไปตามเทรนด์ธุรกิจในขณะนี้ที่เป็นการผนวกรวมของทั้งบริการโทรคมนาคม บริการสื่อ และบริการคอนเทนต์

นอกจากนี้ กสทฯ ยังให้การสนับสนุนกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อร่วมพัฒนาคอนเทนต์สู่วงกว้าง โดยในปีนี้ยังคงสานต่อโครงการประกวดหนังสั้น (CAT Short Film)ภายใต้แนวคิดเสน่ห์ไทยที่คุณไม่เคยรู้เพื่อต้องการเป็นช่องทางหนึ่งที่จะช่วยประชาสัมพันธ์เสน่ห์ของไทย ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม อาหาร สถานที่ท่องเที่ยวของประเทศไทยให้ได้เข้าถึงผู้ชมผ่าน รูปแบบหนังสั้นเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายมากขึ้น ซึ่งหนังสั้นที่ได้รับรางวัลของโครงการนี้จะถูกนำไปฉายผ่านแคท ชาแนล (CAT Channel) ของ กสทฯ

ทั้งนี้ ในปี 2561 กสทฯ มีผลกำไรมากกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท และในปี 2562 กสทฯ จะมีรายได้จากการลงนามเซ็นสัญญาระงับข้อพิพาทกับดีแทคอีก โดยเงินงวดแรกตามที่ดีแทคแจ้ง 6,840 ล้านบาท จากทั้งหมด 9,510 ล้านบาท หากสามารถบันทึกเข้ามาในปีนี้ จะทำให้ กสทฯ มีรายได้พิเศษเข้ามา 1 รายการ ซึ่งจะทำให้ผลประกอบการในปี 2562 นี้เพิ่มขึ้น จากเดิมที่คาดว่าจะมีรายได้ 4.5 หมื่นล้านบาท เป็นมากกว่า 5.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ กสทฯ ยังคงเดินหน้าทำสัญญากับทรูในรูปแบบเดียวกับดีแทคด้วย

มือถือไตรมาสแรกซึม ลุ้นจอพับได้ช่วยบูมกลางปี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/579614

  • วันที่ 08 ก.พ. 2562 เวลา 05:57 น.

มือถือไตรมาสแรกซึม ลุ้นจอพับได้ช่วยบูมกลางปี

โดย…รัชนีย์ ศรีวัฒนชัย

สมรภูมิสมาร์ทโฟนปีที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ ในภาวะติดลบ จากการที่เทคโนโลยียัง ไม่น่าสนใจพอที่จะกระตุ้นให้ลูกค้า ต้องการเปลี่ยนมือถือ ได้มีแรงส่งหรือโมเมนตัมทำให้สมาร์ทโฟนช่วงไตรมาสแรกปีนี้ ตกอยู่ในภาวะที่ไม่แตกต่างกันมาก

โอภาส เฉิดพันธุ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอ็ม วิชั่น (เอ็มวีพี) ผู้จัดงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป 2562 มหกรรมมือถือ ครั้งที่ 32 ให้ความเห็นว่า ช่วงไตรมาสแรกตลาดสมาร์ทโฟนไม่มีเทคโนโลยีที่หวือหวา แต่คาด แนวโน้มช่วงกลางปีจะเริ่มมีความคึกคัก จากการที่แบรนด์มือถือจากประเทศจีน เข้ามาเปิดตลาดมือถือในรุ่นของหน้าจอพับได้ มองว่าจะช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อมือถือใหม่มากขึ้น

สำหรับปีนี้หัวเว่ย นับว่าเป็นแบรนด์ที่รุกธุรกิจอย่างหนักในกลุ่มสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต ขณะเดียวกันสตูดิโอ เซเว่น ตัวแทนจำหน่ายสินค้าแอปเปิ้ล ก็มาร่วมงานเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ยังมีอุปกรณ์ที่น่าจับตามอง เช่น เครื่องฟอกอากาศอัจฉริยะ โดรน แกดเจ็ตรุ่นใหม่

ขณะที่งานโมบายเอ็กซ์โปครั้งนี้จะจัดด้วยคอนเซ็ปต์ “Mobile RelatedExpo” อุปกรณ์ทุกอย่างจะสามาถเชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือได้ทั้งหมด ภายในงานมีพันธมิตรมือถือกว่า 40 แบรนด์ และด้านไอทีร่วมกับโอเปอเรเตอร์รายใหญ่ทั้ง 3 ค่าย ได้แก่ เอไอเอส ดีแทค และทรู จัดวันที่ 7-10 ก.พ.ที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

ด้าน ทศพร นิษฐานนท์ รองผู้อำนวยการ บริษัท หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า บริษัทวางเป้าปี 2563 สมาร์ทโฟนหัวเว่ยขึ้นเป็นผู้นำตลาด จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งอันดับสองไล่เลี่ยกับซัมซุงผู้นำตลาด โดยทุ่มงบ 10-15% ของรายได้ เพื่อลงทุนค้นคว้าวิจัยและพัฒนา จากเมื่อปีที่ผ่านมาใช้กว่าหมื่นล้านเหรียญยูโร มากติดอันดับ 5 ของโลก

ทั้งนี้ แผนธุรกิจไตรมาสแรก จะเปิดเกมรุกด้วยการจัดงานภายในไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป รวมกว่า 1,212 ตร.ม. พร้อมกับเปิดตัวสินค้าไฮไลต์ 4 กลุ่ม อาทิ หัวเว่ย โนวา 4 แบบเอ็กซ์คลูซีฟ ราคา 16,990 บาท และเปิดตัวหัวเว่ย MediaPad T5 และเว่ย วอช จีที เป็นต้น คาดว่ารายได้บริษัทปีนี้โต 50% จากเมื่อปีที่ผ่านมารายได้เติบโต 60%

สำหรับในส่วนของโอเปอเรเตอร์อเล็กซานดรา ไรช์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และรักษาการรองประธาน เจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มการตลาด บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น (ดีแทค) กล่าวว่า ได้จับมือกับบริษัท เอ็มวิชั่น ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายจักรยานยนต์ไฟฟ้า และฟอร์ท สมาร์ท เซอร์วิส ผู้ให้บริการชาร์จแบตนำร่องเปิดจุดให้บริการ 10 จุด พร้อมกับร่วมกันสร้างแพลตฟอร์มการใช้งานรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้าอีวี โดยที่ผู้ใช้งานรถจักรยานยนต์ไฟฟ้า ต้องใช้ซิมของดีแทค ตั้งเป้าเตรียมทำตลาดอย่างเต็มรูปแบบประมาณปลายเดือน พ.ค.หรือต้นเดือน มิ.ย.นี้

นอกจากนี้ ในการสำรวจงานไทยแลนด์ โมบาย เอ็กซ์โป 2562 ทุกค่ายสมาร์ทโฟน ต่างอัดโปรโมชั่นกันอย่างรุนแรง ทั้งลดราคา การเปิดให้จองสินค้ารุ่นใหม่ในราคาพิเศษ รับประกันหน้าจอแตก และแจกอุปกรณ์ไอทีที่ต้องใช้งานเพิ่ม เพื่อกระตุ้นยอดขายกันอย่าง เต็มที่ คาดเงินสะพัดภายในงาน 2,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่จัดงานไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา

ฟูจิตสึส่งแอพแทร็กกิ้ง หนุนองค์กรทรานส์ฟอร์ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์

https://www.posttoday.com/it/579528

  • วันที่ 07 ก.พ. 2562 เวลา 10:30 น.

ฟูจิตสึส่งแอพแทร็กกิ้ง หนุนองค์กรทรานส์ฟอร์ม

เรื่อง รัชนีย์ ศรีวัฒนชัย

ในอีก 10 ปีข้างหน้าธุรกิจต่างๆ จะก้าวสู่ยุคของเอไอ ไอโอที จากปัจจุบันอยู่ในยุคของการเปลี่ยนถ่ายจากอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ ทำให้บริษัท ฟูจิตสึ เล็งเห็นถึงศักยภาพของธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่น ซึ่งปีนี้ได้ปลุกปั้นกลุ่มธุรกิจเป็นปีที่ 3 แล้ว

ไกวัลย์ บุญเสรฐ หัวหน้ากลุ่มงานดิจิทัลโซลูชั่น บริษัท ฟูจิตสึ เปิดเผยว่า การนำเทคโนโลยีมาทรานส์ฟอร์เมชั่นสู่ยุค 4.0 องค์กรขนาดใหญ่ส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับการลงทุนทางด้านเทคโนโลยีอยู่แล้ว สวนทางกับผู้ดำเนินธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม หรือเอสเอ็มอี ที่ยังตื่นตัวน้อย ซึ่งต้องให้ความรู้และความเข้าใจความสำคัญของเทคโนโลยีกับกลุ่มดังกล่าว

สำหรับภาพรวมการลงทุนเทคโนโลยีของไทยจะอยู่ในระดับค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งปีนี้ไม่เติบโตเพิ่มขึ้น สำหรับกลุ่มดิจิทัลโซลูชั่น บริษัทวางแผนที่จะขยายดิจิทัล เวิร์ก แอนด์ โอเปอเรชั่น แทร็กกิ้ง (DWOT) หรือแอพพลิเคชั่นเพื่อติดตามการทำงานของบุคลากร ซึ่งเป็นแอพที่ถูกพัฒนาขึ้นในประเทศไทย เน้นทำตลาดภายในประเทศและขยายไปสู่ตลาดอาเซียน อาทิ มาเลเซีย ฟิลิปปินส์

ขณะที่แอพพลิเคชั่นดิจิทัล เวิร์ก แอนด์ โอเปอเรชั่น แทร็กกิ้ง มุ่งเน้นในกลุ่มสมาร์ทรีเทล สมาร์ทแฟกตอรี และสมาร์ทเวิร์กเพลส เพื่อใช้ในการติดตามการทำงานว่าคนอยู่ทำงานหรือไม่ หรือกระทั่งการเก็บข้อมูลของบุคลากร แล้วเชื่อมโยงกับการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพ การรับออร์เดอร์ลูกค้าที่เข้ามาและเลือกพนักงานที่มีความพร้อมในการจัดส่งสินค้า

นอกจากนี้ ในด้านของความปลอดภัยจะช่วยมอนิเตอร์บุคลากรที่เข้าไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงสูง หรือการติดตามระบบโลจิสติกส์ สำหรับแอพพลิเคชั่นดังกล่าวเหมาะกับองค์กรที่มีธุรกิจขนาดใหญ่ มีระดับพนักงานมากกว่า 300 รายขึ้นไป ผลที่ได้รับจากการใช้งานส่วนใหญ่จะประหยัดต้นทุนต่างๆ ลดลง รวมทั้งประหยัดเวลาในการทำงานและเพิ่มประสิทธิภาพได้มากขึ้น

ทั้งนี้ กลุ่มธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่นของบริษัทมีด้วยกัน 4 ด้านหลัก ได้แก่ ดิจิทัลอินโนเวชั่น การบริหารจัดการงานบริการ ซีเคียวริตี้ และเออาร์พี (Address Resolution Protocol) เป็นโปรโตคอลที่ใช้ในการสื่อสาร โดยบริษัทจะมุ่งเน้นการนำเทคโนโลยีมาประยุกต์ใช้เชื่อมต่อกับการทำงานในองค์กร เพื่อตอบโจทย์ในยุคที่องค์กรไม่เน้นของการเพิ่มคน แต่ต้องการเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ดียิ่งขึ้น

สำหรับรายได้ในกลุ่มธุรกิจดิจิทัลโซลูชั่นปีนี้ (เม.ย. 2562-มี.ค. 2563) คาดว่าจะมีเติบโตมากกว่า 10% ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการ 5-6 ราย แบ่งเป็นรายได้จากโรงงานและอุตสาหกรรมกว่า 40% และกลุ่มเวิร์กเพลสหรือศูนย์กลางการติดต่อที่เชื่อมโยงทุกคนในองค์กรจะเติบโตเพิ่มขึ้น เพราะพฤติกรรมการทำงานของคนที่เปลี่ยนไป ต้องใช้เทคโนโลยีเข้ามาผสานในการทำงาน

วันนี้องค์กรไทยกำลังเข้าสู่ยุคดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชั่น จึงต้องนำเทคโนโลยีมาปรับปรุงกระบวนการทำงาน พัฒนาธุรกิจ ซึ่งต้องจับตาฟูจิตสึกับการขนโซลูชั่นใหม่ๆ มาตอบโจทย์องค์กรและรับมือกับการแข่งขันของกลุ่มธุรกิจ มีทั้งองค์กรไทยและต่างชาติที่ต่างชิงเค้กในตลาดดังกล่าวเป็นจำนวนมาก