ปรองดอง…ยังห่างไกล?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

http://www.komchadluek.net/detail/20160118/220728.html

การเมือง : ข่าวทั่วไป
วันจันทร์ที่ 18 มกราคม 2559
ปรองดอง...ยังห่างไกล?

ปรองดอง…ยังห่างไกล? : โดย ประภาศรี โอสถานนท์ (@prapasri_nna) สำนักข่าวเนชั่นรายงาน

             จากวิกฤติความขัดแย้งของบ้านเมืองที่เกิดขึ้นมากว่า 10 ปี ได้มีความพยายามในการสร้างความปรองดองของหลายองค์กร ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ และภาคประชาสังคม มีการตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ เพื่อศึกษาหาวิธีหาแนวทางสร้างความปรองดอง แต่ผลการศึกษาเหล่านี้ไม่ถูกนำใช้ในการปัญหาให้ได้ผลอย่างเป็นรูปธรรม

เมื่อมองย้อนกลับไปปี 2552 มีการตั้งคณะกรรมการเพื่อสร้างความปรองดองหลายชุด โดยเริ่มจาก “คณะกรรมการสมานฉันท์เพื่อการปฏิรูปการเมืองและศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ”  ที่มี “ดิเรก ถึงฝั่ง” อดีตส.ว.นนทบุรี เป็นประธาน ซึ่งตั้งในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ

คณะกรรมการชุดนี้ได้ศึกษาและมีข้อเสนอในเรื่องหลักการสมานฉันท์ 3 ข้อ ประกอบด้วย

1.ลดวิวาทะ อคติ และการตอบโต้ใส่ร้ายทางการเมือง

2.รัฐบาลและฝ่ายค้านควรลดเงื่อนไขความขัดแย้งที่มีอยู่เดิม และไม่สร้างเงื่อนไขใหม่ที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งเพิ่มขึ้น

3.อาศัยสื่อมวลชนในการสร้างสังคมสมานฉันท์

ส่วนแนวทางการแก้ปัญหาด้านการเมืองนั้น ได้เสนอ 6 ประเด็น คือ

1.ให้ยกเลิกโทษการยุบพรรคการเมือง ส่วนการเพิกถอนสิทธิ ให้เพิกถอนสิทธิเฉพาะตัวผู้สมัครที่ทำความผิด ส่วนถ้าบุคคลนั้นเป็นหัวหน้าพรรคหรือกรรมการบริหาร ก็ควรได้รับโทษที่สูงกว่าสมาชิกปกติ

2.ที่มาของ ส.ส.ให้ใช้ระบบปี 2540 โดยไม่กำหนดเกณฑ์ขั้นต่ำของส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ และให้มีระบบเลือกตั้งแบบเขตเดียวคนเดียว

3.ให้มี ส.ว.จำนวน 200 คนมาจากการเลือกตั้งทั้งหมด

4.การทำหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบของรัฐสภา (มาตรา 190) โดยกำหนดประเภทของหนังสือสัญญาที่ต้องได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภา

5.ให้ ส.ส.สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมือง อาทิ เลขาฯ หรือที่ปรึกษารัฐมนตรีได้ เพื่อให้ ส.ส.มีโอกาสตอบสนองความต้องการของประชาชน

6.เพื่อให้ ส.ส. และส.ว. ช่วยเข้าไปแก้ปัญหาของประชาชนผ่านส่วนราชการได้
นอกเหนือจากคณะกรรมการชุดนายดิเรกแล้ว ก็มีการตั้ง “คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ” (คอป.) โดยมี “คณิต ณ นคร” เป็นประธานกรรมการ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อดำเนินการตรวจสอบและค้นหาความจริงที่เป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งและเหตุการณ์ความรุนแรง โดยมีเป้าหมายที่จะให้เกิดความเข้าใจร่วมกัน และการเยียวยาอันเพื่อนำไปสู่การป้องกันมิให้เกิดเหตุความรุนแรง และให้เกิดความปรองดองในประเทศไทยระยะยาวต่อไป

คอป.มีข้อเสนอ 13 ข้อ อาทิ

-เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมกันรักษาบรรยากาศของการปรองดอง ลดทัศนคติในการเอาชนะกัน และประคับประคองสถานการณ์ไม่ให้เกิดความรุนแรง รวมทั้งไม่เผยแพร่ข้อมูลที่ยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง

-เปิดเผยความจริงเพื่อนำไปสู่การดำเนินคดี การเยียวยา

-การนิรโทษกรรมไม่ใช่แนวทางในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งอย่างยั่งยืนการเสนอร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ ที่ผ่านมาเป็นการเร่งรัดกระบวนการปรองดอง ซึ่งต้องอาศัยเวลาที่เหมาะสมและการมีส่วนร่วมจากทุกฝ่าย โดยเฉพาะจากเหยื่อและผู้เสียหาย

-ให้ทุกฝ่ายยุติการกล่าวอ้างสถาบันพระมหากษัตริย์เพื่อประโยชน์ในทางการเมืองไม่ว่าโดยทางตรงหรือทางอ้อม

-รัฐต้องมีมาตรการเพื่อสนับสนุนการทำงานของสื่อให้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์ ป้องกันการแทรกแซงและคุกคามสื่อด้วยอิทธิพลใดๆ และไม่ให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเป็นเจ้าของกิจการ หรือถือหุ้นในกิจการสื่อมวลชนไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม

-ห้ามไม่ให้ทหารดำรงตำแหน่งทางการเมืองและให้ทหารยุติบทบาทในการเข้ามายุ่งเกี่ยวหรือแทรกแซงทางการเมืองไม่ว่าในทางใด เช่น การใช้อิทธิพลกดดันรัฐบาลหรือการข่มขู่ว่าจะใช้กำลังหรือยึดอำนาจ คอป.ยังเสนอว่า การประกาศใช้กฎหมายพิเศษ ทั้งกฎอัยการศึก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พ.ร.บ.ความมั่นคง ซึ่งให้ทหารมีบทบาทในการจัดการกับสถานการณ์อันไม่ปกติ จะต้องเป็นไปอย่างจำกัดเท่าที่จำเป็น
ตามมาด้วย “คณะกรรมการศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดอง สภาปฏิรูปแห่งชาติ” (สปช.) “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” สมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปท.) ก็ได้มีการศึกษาและสรุปเป็นข้อเสนอแนวทางในการสร้างความปรองดองตามหลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่านและความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ อาทิ

-การสร้างความเข้าใจร่วมของสังคมต่อเหตุแห่งความขัดแย้ง

-การแสวงหาและเปิดเผยข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ความรุนแรง

-การอำนวยความยุติธรรม

-การสำนึกรับผิดและการให้อภัย

-การนำหลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน (Transitional Justice) และกระบวนทัศน์แบบความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ (Restorative Justice) ที่ให้ความสำคัญกับผู้เสียหายเป็นอันดับแรกมาใช้ดำเนินการ

-การชดเชยความเสียหายและการเยียวยาต้องเป็นธรรม ไม่เลือกปฏิบัติ หรือเป็นเงื่อนไขของความขัดแย้งต่อไป

-การเร่งรัดผลักดันการปฏิรูปโครงสร้างและระบบเศรษฐกิจ สังคม เพื่อขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมทางสังคม

-มาตรการป้องกันการใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง

ในเรื่อง “การนิรโทษกรรม” หากจะนำมาใช้ ควรเริ่มนิรโทษกรรม “คดีที่มีมูลเหตุจูงใจทางการเมือง” ซึ่งจำเป็นต้องมีคณะกรรมการหรือกลไกที่มีความเป็นอิสระ คล่องตัว และใช้หลักวิชาการด้านนิติวิทยาศาสตร์ ในการดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงถึงมูลเหตุจูงใจของผู้กระทำผิดกฎหมาย ทั้งนี้คดีที่จะได้รับการนิรโทษกรรมไม่รวมถึงการกระทำความผิดอาญา ความผิดฐานทุจริตคอร์รัปชั่น ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างร้ายแรง จากนั้นก็แยกประเภทคดีออกเป็น 2 กลุ่ม คือ คดีที่รัฐกระทำต่อบุคคล (ใช้หลักความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน) และคดีที่บุคคลกระทำละเมิดต่อบุคคล (ใช้หลักความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์) การดำเนินงานจำเป็นต้องมีการตรากฎหมายพิเศษเพื่อกระบวนการยุติธรรมสำหรับการปรองดองและสมานฉันท์

หากจะมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมทั้งในเริ่มต้นและขั้นต่อไปดังที่กล่าวข้างต้น ควรพิจารณากำหนดเงื่อนไข 4 ประการอัน ได้แก่

1.การยอมรับของเหยื่อ หรือผู้ถูกกระทำ

2.การแสดงความสำนึกรับผิดต่อสาธารณะของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความขัดแย้ง

3.การให้อภัยของเหยื่อหรือผู้ถูกกระทำ

4.การเปิดเผยความจริง การให้ข้อมูลที่เป็นจริงของผู้กระทำในเหตุการณ์

หากผ่านเงื่อนไขทั้ง 4 ประการ จึงนำไปสู่การออกกฎหมายนิรโทษกรรม แต่หากไม่ผ่านเงื่อนไข 4 ประการ ผู้กระทำความผิดก็ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตามปกติ โดยอาจมีการขอพระราชทานอภัยโทษต่อไปตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเลือกตัดสินใจของผู้ที่ถูกลงโทษ

ล่าสุดถึงคิวของสภานิติบัญญัติแห่งชาติที่กำลังจะตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาเสริมสร้างสังคมสันติสุข ที่ “พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์” สนช.เป็นโต้โผใหญ่ ซึ่งพล.อ.อกนิษฐ์ หรือ “บิ๊กเจี๊ยบ” เป็นเตรียมทหารรุ่น 12 “เพื่อนซี้บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. โดยต้องการแนวทางสร้างสันติสุขให้เกิดขึ้น โดยจะดูเรื่องการเสริมสร้างสันติสุขในภาพรวมทุกเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเมือง รวมถึง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะไม่ใช่คำ “ปรองดอง” ก็ตาม ก็มีนัยสำคัญพุ่งเป้าไปเพื่อลดความขัดแย้งสร้างความปรองดอง แต่ยังไม่ทันจะเป็นรูปเป็นร่างก็ต้องสะดุด เพราะปัญหาความไม่ลงตัวในสัดส่วนโควตาคนนอกจากกลุ่มการเมืองต่างๆ และตัวแกนนำแต่ละกลุ่มก็เมินที่จะเข้าร่วมวง มีเพียงแต่แกนนำระดับปลายแถวที่กระโจนเข้าร่วม ทำให้ต้องเลื่อนการเสนอตั้งคณะกรรมาธิการออกไป สอดรับกับคำพูดของบิ๊กตู่สั้นๆ แต่เป็นใจความสำคัญว่า “ยังไม่ถึงเวลา”

ต้องติดตามกันต่อไปว่า คณะกรรมาธิการชุดของ “พล.อ.อกนิษฐ์” จะสามารถดึงกลุ่ม ทุกสี เข้ามามีส่วนร่วมเพื่อหาแนวทางการในการสร้างสันติสุขเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งที่มีมาอย่างยาวนานได้มากน้อยแค่ไหน หรือจะเป็นไปตามที่มีการสบประมาทว่า เพียงแค่ “ปาหี่” !!