เพื่อแม้วสู้โดดเดี่ยว ตะแบงขวางเดินหน้าปฏิรูป

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/249153

วันอาทิตย์ ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

หลังจากที่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)พิจารณาร่างจนได้ข้อสรุป และเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคเพื่อให้ร่างกฎหมายซึ่งเกี่ยวข้องกับพรรคการเมืองโดยตรงมีความรอบด้าน มีข้อบกพร่องน้อยที่สุดและตอบโจทย์การปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงพ้นจากธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ปรากฏว่ามีตัวแทนพรรคการเมือง 28 พรรค ให้ความร่วมมือเข้าร่วมเวทีแสดงความคิดเห็นครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียงรวมทั้งพรรคใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคการเมืองใหญ่เพียงพรรคเดียวที่บอยคอตต์ไม่เข้าร่วมเวทีรับฟังความเห็นที่กรธ.เป็นเจ้าภาพครั้งนี้ก็คือพรรคเพื่อไทย

ถ้าจะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกที่พรรคเพื่อไทยบอยคอตต์การร่วมเวทีของกรธ.เพราะจุดยืนท่าทีของพรรคเพื่อไทยชัดเจนมาตั้งแต่คณะรักษาความสงบแห่งชาติเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด โดยพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณทั้งหลายต่างออกมาเคลื่อนไหวมุ่งบ่อนทำลายคสช.และต่อต้านขัดขวางการปฏิรูปประเทศซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของ คสช.และรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่ต้น

พรรคเพื่อไทยและเครือข่ายขบวนการเพื่อไทยคัดค้านทุกเรื่องทุกประเด็นของ คสช.และรัฐบาลโดยบรรดาแกนนำเครือข่ายระบอบทักษิณออกมาเคลื่อนไหววิพากษ์วิจารณ์โจมตี คสช.และรัฐบาลมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งพยายามต่อต้านขัดขวางการปฏิรูปประเทศ โดยประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปเพื่อปราบโกงตั้งแต่ยังไม่ทันยกร่างด้วยซ้ำ

หากเปรียบเทียบระหว่างสองพรรคใหญ่คู่ปรับคือพรรคเพื่อไทยกับพรรคประชาธิปัตย์จะพบว่า พรรคเพื่อไทยนั้นที่ผ่านมาเดินเกมในลักษณะตีรวนป่วนเมืองโดยคำนึงถึงเป้าหมายผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยสร้างภาพอ้างประชาธิปไตยบังหน้า และพยายามขัดขวางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศเพื่อปราบโกงขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมมาตลอด

ส่วนพรรคประชาธิปัตย์แม้จะไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองในหลายประเด็น แต่ก็เดินเกมแบบเป็นมวยเข้าร่วมแสดงความเห็นในเวทีที่กรธ.จัดขึ้น

ขณะเดียวกันก็แสดงจุดยืนคัดค้านเชิงสร้างสรรค์และยอมรับการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซึ่งเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนสาระใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองในประเด็นที่เกี่ยวกับบทลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่ซื้อขายตำแหน่งทางการเมืองหรือมีการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต ขณะที่พรรคเพื่อไทยกลับค้ดค้านประเด็นนี้แบบหัวชนฝา

ส่วนประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์คัดค้านเป็นเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย อาทิ ประเด็นระยะเวลาที่ให้สมาชิกพรรคการเมืองต้องจ่ายค่าบำรุงพรรคการเมืองภายใน 150 วัน เพราะในการปฏิบัติจริงมีขั้นตอนต้องทำความเข้าใจชี้แจงกับสมาชิกพรรคต่อเนื้อหากฎหมายที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงขั้นตอนการชี้แจงหากทำผ่านระบบไปรษณีย์อาจมีค่าใช้จ่ายมหาศาลและต้องใช้เวลามากเพราะปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์มีสมาชิกพรรคกว่า 2 ล้านคน ดังนั้นเห็นว่าควรกำหนดให้สมาชิกพรรคมี 2 ประเภท คือ ประเภทที่ชำระค่าบำรุงพรรค และประเภทที่ยังไม่ชำระค่าบำรุงพรรค แต่คงสถานภาพการเป็นสมาชิกพรรค พร้อมกับขยายเวลาให้สมาชิกพรรคที่ต้องชำระค่าบำรุงพรรคออกไปเป็น 4 ปี

นอกจากนี้ประเด็นการกำหนดให้มีสาขาพรรคอย่างน้อยภาคละ 1 สาขา และกำหนดให้ตั้งตัวแทนของพรรคในเขตเลือกตั้งที่ไม่มีสาขาพรรคอาจเกิดปัญหากรณีที่พรรคการเมืองซึ่งไม่สนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยนำระบบการตั้งตัวแทนมาใช้แทนการตั้งสาขาเพื่อเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายได้

ตัวแทนพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กต่างร่วมเวทีแสดงความเห็นอย่างพร้อมเพรียงทั้งพรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา ซึ่งภายหลังการแสดงความเห็น นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรธ. แถลงว่า กรธ.พร้อมนำข้อเสนอของตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคไปพิจารณาทบทวนใน 4 ประเด็นคือ 1.การกำหนดให้พรรคการเมืองต้องหาสมาชิกพรรคให้ได้ 20,000 คน ภายใน 4 ปีมากไปหรือไม่ 2.ทุนประเดิมผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาท ให้ได้ 1 ล้านบาท มากไปหรือไม่ 3.ค่าบำรุงสมาชิกพรรคคนละ 100 บาทต่อปี ควรมีหรือไม่ 4.บทกำหนดโทษผู้กระทำผิดรุนแรงเกินไปหรือไม่

การที่พรรคการเมืองถึง 28 พรรค ยกเว้นพรรคเพื่อไทยเข้าร่วมเวทีแสดงความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองจึงเป็นการโดดเดี่ยวตัวเองและสร้างความชอบธรรมให้กับขบวนการผลักดันกฎหมายลูกเพื่อเดินหน้าปฏิรูปประเทศซึ่งเป็นความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ ขณะเดียวกันสะท้อนให้เห็นถึงจุดยืนของพรรคเพื่อไทยและระบอบทักษิณที่ตั้งหน้าตั้งตาทำทุกวิถีทางเพื่อขัดขวางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศโดยยังหวังให้ชาติบ้านเมืองกลับไปสู่วงจรอุบาทว์แบบเดิมๆ

ทีมข่างการเมือง

สำนักจานบินยิ่งสู้ยิ่งกระอัก เจอคดีเพิ่มและลึกขึ้นเรื่อยๆ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/249060

วันเสาร์ ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

การที่ธัมมชโยและสำนักจานบินส่อพฤติการณ์ตั้งตัวเป็นรัฐอิสระเหนือกฎหมายดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวตามหมายจับหวังยื้อเกมสู้แบบหัวชนฝาก็ยิ่งเป็นการกดดันให้เจ้าหน้าที่เพิ่มมาตรการจัดการธัมมชโยและสำนักจานบินเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ

ล่าสุดกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) แจ้งความดำเนินคดีกับ ธัมมชโย และสำนักจานบินเบื้องต้นรวมแล้วกว่า 40 คดีและคงจะมีการขยายผลเปิดโปงสิ่งเลวร้ายเพื่อดำเนินคดีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ หาก ธัมมชโย และสำนักจานบินตะแบงคิดสู้โดยไม่เคารพกฎหมายบ้านเมือง

43 คดีที่แจ้งความเอาผิดกับ ธัมมชโย และสำนักจานบินเพิ่มเติมแยกเป็น 7 กลุ่มคดีประกอบด้วย กลุ่มคดีที่ 1 คดีบุกรุกโดยสร้างสะพานข้ามคลองต่างๆ รอบสำนักจานบิน การนำตู้คอนเทนเนอร์ตั้งกีดขวางทางสาธารณะ ซึ่งเป็นความผิดตามกฎหมายอาญาและ พ.ร.บ.ป่าไม้รวม 10 คดี

กลุ่มคดีที่ 2 คดีขับรถตู้ รถบัส รถสาธารณะขนสาวกสำนักจานบินนอกเขตเส้นทางที่ได้รับอนุญาตซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ขนส่งรวม 19 คดี

กลุ่มคดีที่ 3 กีดขวางทางจราจรโดยนำแท่งซีเมนต์เสาเข็มวางขวางเส้นทางถนนรอบสำนักจานบินซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อประชาชนที่ใช้เส้นทาง ซึ่งเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรและกฎหมายอาญามาตรา 229 ซึ่งมีโทษจำคุก 5 ปี

กลุ่มคดีที่ 4 ทำให้เสียทรัพย์ด้วยการโรยตะปูเรือใบในเส้นทางการตรวจตรารอบสำนักจานบินของเจ้าหน้าที่รวม 2 คดี

กลุ่มคดีที่ 5 หมิ่นประมาทโดย นายวิฑูรย์ ชลายนนาวินอดีตรองอธิบดีกรมป่าไม้ แจ้งความเอาผิด นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกสำนักจานบิน กรณีกล่าวหา นายวิฑูรย์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์แผนที่ทางอากาศจนนำไปสู่การออกหมายจับ ธัมมชโย คดีรุกป่าที่เขาใหญ่ นครราชสีมา เพื่อตั้งเป็นสาขาสำนักจานบิน โดย นายองอาจ กล่าวหานายวิฑูรย์ ว่าไม่มีคุณสมบัติเป็นผู้เชี่ยวชาญวิเคราะห์แผนที่ทางอากาศและไม่ได้ขึ้นทะเบียนเป็นผู้เชี่ยวชาญศาลซึ่งไม่เป็นความจริง

กลุ่มคดีที่ 6 ลักลอบสร้างอาคารชุดในสำนักจานบิน 7 อาคารโดยไม่ได้รับอนุญาต รวม 7 คดี

กลุ่มคดีที่ 7 ลักลอบขุดบ่อบาดาลในสำนักจานบินจำนวนหลายบ่อโดยไม่ได้รับอนุญาต

นี่ยังไม่รวมที่ก่อนหน้านี้มีการดำเนินคดีออกหมายจับ ธัมมชโย ข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น คดีรุกป่าสงวนแห่งชาติและที่สาธารณะตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินที่เขาใหญ่ จ.นครราชสีมาและจ.เลย

สำนักจานบินนอกจากส่อพฤติการณ์เป็นรัฐอิสระและทำตัวดุจผู้มีอิทธิพลแล้ว ยิ่งนานวันก็ยิ่งเผยให้เห็นธาตุแท้ความถ่อยดุจอันธพาลในคราบผ้าเหลืองมากขึ้นเรื่อยๆ อาทิ เหตุการณ์เมื่อวันที่ 15 ธ.ค.ที่ผ่านมาขณะที่ผู้สื่อข่าวสถานีโทรทัศน์อมรินทร์ทีวีทำข่าวบริเวณประตู 5ของสำนักจานบินปรากฏว่า มีพระสำนักจานบินรูปหนึ่งปรี่เข้ามาตบช่างภาพที่ถือกล้องถ่ายภาพอยู่แล้วใช้กระบอกยิงแสงเลเซอร์ยิงที่กล้องของช่างภาพสถานีโทรทัศน์อมรินทร์พร้อมกับพูดว่า “ผมทำอย่างนี้ล่ะครับ ไป ถ้าคุยไม่รู้เรื่องมึง……” ขณะที่ช่างภาพพยายามอธิบายว่า “อย่าครับ พระอาจารย์ครับ กล้องผมพังครับพระอาจารย์” พระรูปดังกล่าวจึงตะคอกไล่ว่า “ไป”

นอกจากนี้บริเวณรอบสำนักจานบินจะมีพระจำนวนหนึ่งทำหน้าที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัย โดยมีการนำโทรศัพท์มือถือคอยถ่ายภาพบรรดานักข่าวช่างภาพทุกคนที่ไปสังเกตการณ์ รวมทั้งมีการใช้แสงเลเซอร์ยิงมาที่กล้องของช่างภาพด้วยเพื่อไม่ให้มีการถ่ายภาพ

นอกจากนี้ยังมีการใช้แสงเลเซอร์ยิงใส่โดรนที่เจ้าหน้าที่ดีเอสไอบังคับวิทยุให้บินขึ้นไปสังเกตการณ์ภายในสำนักจานบินจนเจ้าหน้าที่ต้องหยุดการทำงานเพราะเกรงโดรนจะได้รับความเสียหาย

อีกหนึ่งวิธีของสำนักจานบินที่ราวถอดแบบมาจากขบวนการเพื่อแม้วก็คือแผนชักศึกเข้าบ้านใช้โลกล้อมไทย โดยก่อนหน้านี้สำนักจานบินประสานไปยังองค์กรพุทธกำมะลอในหลายประเทศซึ่งเป็นแนวร่วมให้ส่งหนังสือถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชานายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) เพื่อไม่ให้ดำเนินการใดๆกับ ธัมมชโย และสำนักจานบิน ทั้งๆที่เป็นการแทรกแซงกิจการภายในและละเมิดกระบวนการยุติธรรมของไทย รวมทั้งเป็นการส่งเสริมให้ผู้ต้องหาหนีหมายจับกำเริบเสิบสานทำตัวเป็นรัฐอิสระเหนือกฎหมายโดยถือดีว่ามีคนหนุนหลัง

ล่าสุดมีกลุ่มแนวร่วมสำนักจานบินที่อ้างชื่อว่ากลุ่มสงฆ์นานาชาติไม่กี่คนจัดฉากไปยื่นหนังสือถึงสำนักงานสหประชาชาติ(ยูเอ็น)ประจำประเทศไทยเพื่อให้ยุติการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย โดยอ้างว่าถูกใส่ร้าย

แต่การชักศึกเข้าบ้านที่เลวร้ายกว่าก็คือการนำพระต่างด้าวมากดดันผู้นำประเทศโดยสำนักจานบินอัดคลิปความเห็นของ พระวีระธู แห่งวัดมะโชเย็ง ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นพระหัวรุนแรงและเป็นแนวร่วมไอดอลของสำนักจานบินส่งไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ โดยสำระสำคัญคลิปของ พระวีระธูผู้นี้เหิมเกริมถึงกับกล่าวในทำนองกดดันให้ผู้นำไทยยุติการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย

ปูมหลังชั่วร้ายของ พระวีระธู ผู้นี้เคยไปมาหาสู่สำนักจานบินอยู่บ่อยๆ ในฐานะแนวร่วมที่ได้รับการยกย่องเป็นไอดอลของสำนักจานบิน โดยโล้นห่มผ้าเหลืองพม่าผู้นี้มีแนวคิดแข็งกร้าวสุดโต่งจนนิตยสารไทม์เคยขึ้นปกและพาดหัวตัวโตด้วยข้อความที่ว่า “โฉมหน้าชาวพุทธผู้สร้างความหวาดกลัว : กองกำลังพระสงฆ์เติมเชื้อความรุนแรงต่อต้านมุสลิมในเอเชีย”

ทั้งนี้ พระวีระธู ผู้นี้คือตัวการสำคัญที่กระตุ้นให้เกิดการเข่นฆ่าและขับไล่ชาวมุสลิมในพม่า แต่กลับเป็นไอดอลของสำนักจานบิน

สถานการณ์ของสำนักจานบินในขณะนี้เรียกได้ว่าหมดสภาพซึ่งยิ่งเหิมเกริมต่อสู้กับอำนาจรัฐยุคปฏิรูปก็จะยิ่งกระอักถูกดำเนินคดีและเปิดโปงความเหลวแหลกของอาณาจักรรัฐอิสระแห่งนี้มากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกลุ่มเศรษฐีและตัวการที่หนุนหลังชักใยเพื่อตักตวงขุมทรัพย์มหาศาลและอำนาจจากอาณาจักรแดนสนธยาแห่งนี้

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วตั้งหน้าตั้งตาตีรวน ส่อธาตุแท้ขวางปฏิรูปปราบโกง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248911

วันศุกร์ ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

การที่คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)เปิดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคต่อร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองน่าจะเป็นโอกาสอันดีสำหรับพรรคการเมืองที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในการเสนอแนะเพื่อให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองฉบับใหม่รอบด้านมีข้อบกพร่องน้อยที่สุดและตอบโจทย์การปฏิรูปการเมืองเพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงพ้นจากธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา

ตัวแทนพรรคการเมือง 28 พรรคให้ความร่วมมือเข้าร่วมเวทีแสดงความคิดเห็นครั้งนี้อย่างพร้อมเพรียงรวมทั้งพรรคใหญ่อย่างพรรคประชาธิปัตย์ โดยพรรคการเมืองใหญ่เพียงพรรคเดียวที่บอยคอตต์ไม่เข้าร่วมเวทีรับฟังความเห็นที่กรธ.เป็นเจ้าภาพครั้งนี้ก็คือพรรคเพื่อแม้ว

จุดยืนท่าทีของพรรคเพื่อแม้วชัดเจนว่า ต่อต้านขัดขวางการปฏิรูปประเทศซึ่งเป็นนโยบายสำคัญของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลชุดนี้มาตั้งแต่ต้น โดยพรรคเพื่อไทยและเครือข่ายขบวนการเพื่อแม้วคัดค้านทุกเรื่องทุกประเด็นของ คสช.มาตั้งแต่การเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศของคสช.เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยประกาศคว่ำร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปปราบโกงตั้งแต่ยังไม่ทันยกร่างด้วยซ้ำ

หากเปรียบเทียบระหว่างสองพรรคใหญ่คู่ปรับคือพรรคเพื่อแม้วกับพรรคประชาธิปัตย์จะพบว่า พรรคเพื่อแม้วนั้นที่ผ่านเดินเกมในลักษณะตีรวนป่วนเมืองโดยคำนึงถึงเป้าหมายผลประโยชน์ของตัวเองเป็นที่ตั้งโดยสร้างภาพอ้างประชาธิปไตยบังหน้า และพยายามขัดขวางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศเพื่อปราบโกงขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยมาตลอด

ส่วนประชาธิปัตย์แม้จะไม่เห็นด้วยกับร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองในหลายประเด็น แต่ก็เข้าร่วมแสดงความเห็นในเวทีที่กรธ.จัดขึ้น พร้อมทั้งแสดงจุดยืนท่าทีคัดค้านเชิงสร้างสรรค์และยอมรับการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ ซึ่งเห็นได้ว่าพรรคประชาธิปัตย์สนับสนุนสาระใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองในประเด็นที่เกี่ยวกับบทลงโทษอย่างรุนแรงสำหรับผู้ที่ซื้อขายตำแหน่งทางการเมืองหรือมีการกระทำอันเป็นการบ่อนทำลายประชาธิปไตยถึงขั้นประหารชีวิตหรือจำคุก
ตลอดชีวิต ขณะที่พรรคเพื่อไทยกลับค้ดค้านประเด็นนี้แบบหัวชนฝา

ส่วนประเด็นที่พรรคประชาธิปัตย์คัดค้าน อาทิ ประเด็นระยะเวลาที่ให้สมาชิกพรรคการเมืองต้องจ่ายค่าบำรุงพรรคการเมืองภายใน 150 วัน เพราะในการปฏิบัติจริงมีขั้นตอนต้องทำความเข้าใจชี้แจงกับสมาชิกพรรคต่อเนื้อหากฎหมายที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงขั้นตอนการชี้แจงหากทำผ่านระบบไปรษณีย์อาจมีค่าใช้จ่ายมหาศาลและต้องใช้เวลามากเพราะปัจจุบันพรรคประชาธิปัตย์มีสมาชิกพรรคกว่า 2 ล้านคน ดังนั้น เห็นว่าควรกำหนดให้สมาชิกพรรคมี 2 ประเภทคือ ประเภทที่ชำระค่าบำรุงพรรค และประเภทที่ยังไม่ชำระค่าบำรุงพรรค แต่คงสถานภาพการเป็นสมาชิกพรรค พร้อมกับขยายเวลาให้สมาชิกพรรคที่ต้องชำระค่าบำรุงพรรคออกไปเป็น 4 ปี

นอกจากนี้ ประเด็นการกำหนดให้มีสาขาพรรคอย่างน้อยภาคละ 1 สาขาและกำหนดให้ตั้งตัวแทนของพรรคในเขตเลือกตั้งที่ไม่มีสาขาพรรคอาจเกิดปัญหากรณีที่พรรคการเมืองซึ่งไม่สนับสนุนความเป็นประชาธิปไตยนำระบบการตั้งตัวแทนมาใช้แทนการตั้งสาขาเพื่อเลี่ยงการปฏิบัติตามกฎหมายได้

ตัวแทนพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กจำนวนมากต่างร่วมแสดงความเห็นเชิงสร้างสรรค์ ขณะที่ นายอุดม รัฐอมฤต โฆษกกรธ. แถลงว่า กรธ.พร้อมนำข้อเสนอของตัวแทนพรรคการเมืองทุกพรรคไปพิจารณาทบทวนใน 4 ประเด็นคือ 1.การกำหนดให้พรรคการเมืองต้องหาสมาชิกพรรคให้ได้ 20,000 คนภายใน 4 ปีมากไปหรือไม่ 2.ทุนประเดิมผู้ร่วมก่อตั้งพรรคคนละไม่ต่ำกว่า 2,000 บาทให้ได้ 1 ล้านบาทมากไปหรือไม่ 3.ค่าบำรุงสมาชิกพรรคคนละ 100 บาทต่อปีควรมีหรือไม่ 4.บทกำหนดโทษผู้กระทำผิดรุนแรงเกินไปหรือไม่

จากเสียงต่อต้านร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรคการเมืองที่ กรธ.ยกร่างขี้นมานั้น นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรธ. กล่าวว่าทุกอย่างเป็นไปตามกรอบร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ซึ่งผ่านการทำประชามติมาแล้ว โดยมาตรา 45 ของร่างรัฐธรรมนูญกำหนดเกี่ยวกับการทำกิจกรรมที่ให้สมาชิกพรรคการเมืองต้องมีส่วนร่วมต่อการกำหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง โดยไม่ถูกชี้นำโดยบุคคลที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค รวมถึงต้องมีมาตรการกำกับดูแลให้สมาชิกพรรคปฏิบัติตามกรอบของกฎหมาย

และมาตรา 258(2)ว่าด้วยการปฏิรูปพรรคการเมืองให้เป็นสถาบันการเมืองของประชาชนอย่าแท้จริง

สำหรับเหล่าแกนนำพรรคเพื่อแม้วนั้นอ้างเหตุผลในการบอยคอตต์ไม่ร่วมสังฆกรรมกับกรธ.ว่า เป็นเพราะการเปิดเวทีรับฟังความเห็นเป็นเพียงพิธีกรรมรับรองกฎหมายที่ถูกกำหนดเป้าหมายไว้แล้ว

ทั้งนี้ ไม่มีใครปฏิเสธว่า ร่างรัฐธรรมนูญและพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทั้งหลายล้วนเป็นไปตามเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปประเทศตามที่วางกรอบไว้ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่ว่า ตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมาบ้านเมืองบอบช้ำและเสียเวลามามากพอแล้วสำหรับธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันชั่วร้ายที่เต็มไปด้วยการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินและเป็นต้นเหตุสำคัญของวิกฤติชาติ

เพราะฉะนั้นถึงเวลาแล้วที่จะต้องปฏิรูปการเมืองและปฏิรูปประเทศอย่างจริงจังภายใต้อำนาจพิเศษ เพราะจะหวังโจรในคราบประชาธิปไตยเปลี่ยนแปลงสันดานธาตุแท้อันเลวร้ายและยอมปฏิรูปเพื่อส่วนรวมอย่าได้หวัง เพราะเหล่านักธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยคิดแต่จะทำทุกอย่างเพื่อตัวเองและขัดขวางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศโดยหวังจะให้บ้านเมืองถอยหลังกลับไปสู่การเมืองน้ำเน่าแบบเดิมๆ

ทีมข่าวการเมือง

รัฐอิสระสำนักจานบิน ที่ปฏิบัติธรรมหรือซ่องโจร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248797

วันพฤหัสบดี ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

สังคมตั้งข้อสงสัยว่าทำไมสำนักจานบินถึงเหิมเกริมตั้งตัวดุจรัฐอิสระแสดงอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมายมานานกว่า 40 ปี นั่นย่อมสะท้อนให้เห็นอิทธิพลของสำนักจานบินที่ฝังรากลึกในสังคมไทยโดยสำนักจานบินถูกตั้งข้อสังเกตว่าใช้สารพัดวิธีการแบบการตลาดมอมเมาเผยแพร่ลัทธิธุรกิจขายบุญทำให้ประชาชนจำนวนมากหลงงมงายเป็นสาวกอย่างมัวเมาไม่ลืมหูลืมตา ทั้งๆ ที่พฤติการณ์สำนักจานบินขัดหลักพุทธศาสนาอย่างสิ้นเชิง ขณะเดียวกันสำนักจานบินก็ร่วมมือกับกลุ่มการเมืองโดยเฉพาะระบอบแม้วที่เป็นพันธมิตรอันแน่นแฟ้น โดยทั้งสำนักจานบินและระบอบแม้วมีเป้าหมายและวิธีการที่คล้ายคลึงกันคือมุ่งผูกขาดอำนาจผลประโยชน์หวังยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด โดยใช้ผลประโยชน์ทุกรูปแบบครอบงำซื้อตัวคนแทบทุกวงการมาเป็นพวกเพื่อแผ่ขยายอิทธิพล

จึงไม่แปลกหากจะมีหนอนบ่อนไส้ในหมู่ข้าราชการที่คอยแจ้งข่าวความเคลื่อนไหวของฝ่ายเจ้าหน้าที่ที่เตรียมบุกจับ ธัมมชโย ให้สำนักจานบินรู้อยู่ตลอดเวลา ซึ่งสะท้อนให้เห็นจากกรณีที่มีคลิปเสียงการประชุมลับครั้งล่าสุดระหว่างกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฝ่ายตำรวจ และอัยการเพื่อซักซ้อมแผนปฏิบัติการบุกค้นสำนักจานบินเพื่อจับ ธัมมชโยโดยมีเสียงในคลิปคล้ายกับเสียงของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ซึ่งเฉ่งตำรวจทางหลวงอย่างรุนแรงว่าทำตัวเหมือนอยู่ฝ่ายสำนักจานบินด้วยการเกียร์ว่างปล่อยให้รถตู้ขนสาวกจานบินจำนวนมากเข้ามาเสริมทัพเตรียมกำแพงมนุษย์เพื่อขวางการบุกจับของฝ่ายเจ้าหน้าที่และเพื่อปกป้อง ธัมมชโย

อีกประเด็นหนึ่งที่ฝ่ายอำนาจรัฐควรตรวจสอบก็คือ ใครบ้างอยู่เบื้องหลังการขนม็อบทั้งคนห่มผ้าเหลืองและสาวกฆราวาสจากจังหวัดทั่วประเทศมาร่วมม็อบขวางเจ้าหน้าที่อุ้มธัมมชโย ซึ่งนอกจากด้วยอิทธิพลอำนาจเงินของสำนักจานบินที่มีกลุ่มเศรษฐีระดับชาติหลายคนหนุนหลังแล้ว ยังมีกลุ่มการเมืองโดยเฉพาะที่จ.ปทุมธานี ที่มีข่าวว่านักการเมืองขาใหญ่ใน จ.ปทุมธานี บางคนซึ่งมีผลประโยชน์ทำมาหากินกับสำนักจานบินมานานทุ่มทุนจ้างรถตู้จำนวนมากพร้อมทั้งขนคนมาร่วมแสดงพลังอุ้ม ธัมมชโย ถึงกับมีข่าวบางกระแสระบุว่า มีแผนอุบาทว์เตรียมเกณฑ์เด็กนักเรียนอนุบาลในจ.ปทุมธานี มาเป็นโล่มนุษย์ป้องธัมมชโยด้วย

จากพฤติการณ์ที่ส่อไปในทางไม่ชอบมาพากลซ่อนสิ่งชั่วร้ายไว้มากมายของสำนักจานบิน จึงควรที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเบื้องหลังขบวนการขนม็อบจานบินเพื่อช่วยธัมมชโย ครั้งนี้โดยตรวจสอบทะเบียนบรรดารถตู้หรือรถบัสที่เข้าวัดพระธรรมกายว่าเป็นของใครและสอบสวนเจ้าของรถว่าใครเป็นผู้จ้างเพื่อสาวไปให้ถึงตัวการที่แท้จริง ตลอดจนตรวจสอบพระที่มาร่วมขบวนการขัดขวางจับธัมมชโย ว่าเป็นพระแท้หรือโล้นเทียม และมาด้วยจุดประสงค์อะไรกันแน่ ส่วนเหล่าสาวกที่เป็นฆราวาสตรวจสอบว่าถูกใครจ้างมาหรือเปล่า ทั้งนี้เชื่อว่าหากตรวจสอบอย่างละเอียดจะเจอประเภทโล้นปลอมหรือชาวบ้านต่างจังหวัดที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่หรือพวกต่างด้าวที่ถูกจ้างมาร่วมผสมโรงเฉพาะกิจ

คนที่ขนกันมาส่วนหนึ่งเชื่อว่าเป็นฐานมวลชนของนักการเมืองระบอบแม้วในจังหวัดต่างๆ เพราะถ้าจะว่าไปแล้วฐานมวลชนสนับสนุนสำนักจานบินกับระบอบแม้วทับซ้อนแทบจะเป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน

การที่สำนักจานบินวางกฎเหล็กห้ามบรรดาสื่อเข้าไปทำข่าวถ่ายภาพอย่างอิสระ รวมทั้งการที่เหล่าสาวกจานบินต่างพากันสวมหน้ากากปิดบังใบหน้าสะท้อนพิรุธทำตัวลึกลับเหมือนกลัวความลับที่ซ่อนอยู่ภายในสำนักจานบินจะถูกสื่อพบเห็นและเปิดโปงต่อสาธารณะ การที่พระกระบอกเสียงสำนักจานบินอ้างว่า ที่เหล่าสาวกใช้หน้ากากปิดหน้าเพื่อป้องกันฝุ่นก็อดสงสัยไม่ได้ว่า แล้วทำไมต้องมาอำพรางใบหน้าตอนที่สถานการณ์กำลังใกล้ถึงจุดไคลแมกซ์ โดยก่อนหน้านี้ไม่มีเหล่าสาวกสำนักจานบินใส่หน้ากากปิดหน้า อีกทั้งสำนักจานบินได้ชื่อว่าเคร่งครัดในความเจ้าระเบียบและรักษาความสะอาดเข้มงวด ดังนั้นเหตุผลที่อ้างว่าใส่หน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นจึงน่าจะเป็นข้ออ้างและมุสาของพระกระบอกเสียงธรรมกายมักเล่นลิ้นลวงโลกมาตลอด การอำพรางใบหน้าก็เพื่อไม่ให้ถูกจดจำใบหน้าได้ป้องกันการถูกดำเนินคดีหากมีการขัดขวางการจับกุม ธัมมชโย ของฝ่ายเจ้าหน้าที่

พฤติการณ์เล่นลิ้นของพระกระบอกเสียงสำนักจานบินที่ชอบมุสาลวงโลกทำให้นึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า “คนพูดเท็จไม่ทำชั่วเป็นไม่มี”

พฤติการณ์ของ ธัมมชโย และสำนักจานบินที่ผ่านมาถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่ต่างจากรัฐอิสระที่ทำตัวเหนือกฎหมายส่อเจตนาขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่ในการเข้าจับกุม ธัมมชโย ตามหมายจับซึ่งออกโดยศาล โดยมีการใช้ตู้คอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ขวางประตูทางเข้าสำนักจานบิน ใช้แท่งคอนกรีตขนาดใหญ่ขวางถนนที่เข้าสู่สำนักจานบิน โรยตะปูเรือใบทางเข้าสำนักจานบินจนทำให้รถของตำรวจและดีเอสไอที่เข้าไปสังเกตการณ์ถูกตะปูเรือใบได้รับความเสียหายโดยมีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว

นี่ยังไม่รู้ว่าภายในสำนักจานบินซ่อนอะไรไว้อีก ซึ่งหากบริสุทธิ์ใจควรให้สื่อทำข่าวได้อย่างเสรีและให้เจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นแต่โดยดีตั้งแต่แรก

นอกจากนี้การที่คนห่มผ้าเหลืองและสาวกสำนักจานบินนั่งขวางประตูทางเข้าสำนักจานบินทุกด้าน ขณะที่คนห่มผ้าเหลืองอีกกลุ่มหนึ่งนั่งขวางทางเข้าอาคารดาวดึงส์ที่สงสัยว่าเป็นแหล่งกบดานของ ธัมมชโย นอกจากเป็นการแสดงเจตนาทำผิดกฎหมายขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ผิดวิสัยความเป็นสงฆ์แท้

การที่มานั่งขวางประตูทางเข้าสำนักจานบินหรือทางเข้าอาคารดาวดึงส์แล้วอ้างว่าเพื่อสวดมนต์เป็นการตะแบงโกหกอย่างสิ้นเชิง เพราะการสวดมนต์ควรทำในสถานที่เฉพาะเช่น โบสถ์ อีกทั้งสำนักจานบินมีเนื้อที่นับพันไร่ทำไมต้องเจาะจงมานั่งสวดมนต์ขวางประตูทางเข้า หรือหน้าแหล่งที่คาดว่าเป็นที่ซ่อนตัวของ ธัมมชโย นอกจากมีเจตนาขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่

จากพฤติการณ์ของสำนักจานบินทั้งหมดถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่ได้สะท้อนความเป็นวัดหรือสถานที่ปฏิบัติธรรมแม้แต่น้อย แต่ส่อทำตัวเป็นรัฐอิสระที่อยู่เหนือกฎหมายโดยอาศัยศาสนาบังหน้า เช่นเดียวกันพระสำนักจานบินที่ถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแค่คนห่มผ้าเหลืองซึ่งเป็นสมุนที่ให้การช่วยเหลือผู้ต้องหาหนีหมายจับ

ทีมข่าวการเมือง

ธัมมชโยยังอยู่แน่หรือ? ข่าวสะพัดแอบเผ่นไปแล้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248647

วันพุธ ที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

สังคมกำลังจับตาลุ้นระทึกหลังจากที่มีข่าวว่าศาลได้อนุมัติหมายค้นสำนักจานบินเพื่อจับธัมมชโยตามการร้องขอของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)โดยกำหนดระยะเวลาให้อำนาจตรวจค้น 4 วัน ระหว่างวันที่ 13-16 ธ.ค.นี้ ซี่งนั่นหมายความว่าแผนปฏิบัติการการบุกจับธัมมชโยเริ่มนับถอยหลังจะต้องเกิดขึ้นไม่วันใดวันหนึ่งในดีเดย์ 4 วันนี้

จากการเปิดเผยของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ซึ่งเป็นแม่ทัพฝ่ายตำรวจในการร่วมมือกับดีเอสไอเพื่อปฏิบัติการบุกจับ ธัมมชโย ครั้งนี้ระบุว่าจะมีการใช้แผน “กรกฎ52”

หลายคนอาจสงสัยว่าแผน “กรกฎ52” คืออะไรจึงขอทบทวนขั้นตอนแผนปฏิบัติการเพื่อรักษาความสงบสำหรับเป้าหมายซึ่งเป็นฝูงชนจำนวนมากโดยกำหนดไว้เป็น 4 ขั้นตอน คือ

ขั้นตอนที่ 1 ขั้นเตรียมการ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องดำเนินการด้านการข่าวอย่างต่อเนื่องและแม่นยำชัดเจนเพื่อให้การปฏิบัติตามแผนมีประสิทธิภาพ ต้องจัดเตรียมกำลังและอุปกรณ์ให้พร้อมสำหรับปัญหาที่อาจเกิดขึ้น รวมทั้งการส่งกำลังบำรุง และการตั้งหน่วยเฉพาะกิจเพื่อสนับสนุนตามแผน นอกจากนี้ยังต้องเตรียมสถานที่ควบคุมและสอบสวนฝูงชน รวมทั้งการปฏิบัติการด้านประชาสัมพันธ์และจิตวิทยามวลชนทุกรูปแบบเพื่อเป็นการป้องปรามและชี้ให้เห็นถึงความไม่ชอบธรรมของฝ่ายที่ก่อความไม่สงบ ขณะเดียวกันสร้างภาพความชอบธรรมให้กับฝ่ายเจ้าหน้าที่

ขั้นตอนที่ 2 ขั้นเผชิญเหตุ เมื่อมีเหตุการณ์ความไม่สงบเกิดขึ้นให้หน่วยงานรับผิดชอบในพื้นที่จัดกำลังตำรวจในพื้นที่เข้าระงับเหตุเบื้องต้น ขณะเดียวกันกันพื้นที่จุดที่เกิดความไม่สงบแยกออกจากพื้นที่ทั่วไปและกันประชาชนให้อยู่ห่างจุดเกิดความไม่สงบเพื่อความปลอดภัยและสะดวกต่อการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

ขณะเดียวกันพยายามใช้การเจรจาต่อรองโดยใช้มาตรการจากเบาไปหาหนัก ขณะเดียวกันเร่งสืบสวนข้อเท็จจริงรวบรวมพยานหลักฐานทั้งข้อมูล ภาพถ่ายให้ละเอียดชัดเจนมากที่สุดเพื่อการดำเนินคดีและการประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนทราบข้อเท็จจริง รวมทั้งพยายามย้ำให้เห็นถึงอัตราโทษหากมีการทำผิดกฎหมายเพื่อเตือนสติผู้ก่อความไม่สงบ ซึ่งหากยังไม่เชื่อฟังก็ดำเนินคดีตามกฎหมาย อาทิ ขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

ขั้นตอนที่ 3 ใช้กำลังเข้าคลี่คลายสถานการณ์ เมื่อการเจรจาเพื่อคลี่คลายไม่ได้ผลและสถานการณ์กลับทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นถึงขั้นอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนและทางราชการหรือเกิดเหตุการณ์รุนแรงที่ส่อลุกลามบานปลาย ให้ผู้บัญชาการเหตุการณ์พิจารณาสั่งใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์ได้ ทั้งนี้การใช้กำลังเข้าแก้ไขสถานการณ์ให้เป็นไปตามสมควรแก่เหตุและกฎเกณฑ์การใช้กำลังอย่างมีลำดับขั้นตอนตามหลักสากล โดยมีขั้นตอน คือ 1.การแสดงกำลังของตำรวจ 2.การใช้คำสั่งเตือน 3.การใช้มือเปล่าเข้าจับกุมผู้ทำผิดกฎหมาย 4.การใช้มือเปล่าจับล็อกบังคับ 5.การใช้เครื่องพันธนาการหรือปืนยิงตาข่าย 6.การใช้คลื่นเสียงแรงสูง 7.การใช้น้ำฉีด 8.ใช้อุปกรณ์เคมี อาทิ แก๊สน้ำตา สเปรย์พริกไทย 9.ใช้กระบองหรืออุปกรณ์ที่ใช้ตี 10.อาวุธที่ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต อาทิ กระสุนยาง อุปกรณ์ช็อตไฟฟ้า

ขั้นตอนที่ 4 การฟื้นฟู เมื่อสถานการณ์ความไม่สงบคลี่คลายสู่ภาวะปกติ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าเคลียร์พื้นที่และดำเนินการสอบสวนดำเนินคดีกับผู้กระทำผิด ขณะเดียวกันก็เร่งฟื้นฟู บูรณะทรัพย์สินของทางราชการหากได้รับความเสียหาย

มาทางด้านสำนักจานบินจากพฤติการณ์ที่ผ่านมาไม่น่าจะเรียกว่าวัดอีกต่อไป แต่ทำตัวดุจรัฐอิสระที่ไม่ยอมรับหมายจับตามอำนาจศาลและตั้งป้อมสู้ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเต็มที่โดยมีการนำรถคอนเทนเนอร์ขนาดใหญ่ เสาไฟฟ้าคอนกรีตมาปิดประตูทางเข้า ปิดใช้สะพานลอยรถวิ่งรอบสำนักจานบิน มีการระดมขนสาวกทั้งพระและฆราวาสทั่วประเทศมารวมตัวกันภายในสำนักจานบินเพื่อเป็นโล่มนุษย์ป้อง ธัมมชโย มีการตั้งหน่วยรักษาความปลอดภัยอย่างเข้มงวด โดยไม่ยอมให้สื่อมวลชนเพ่นพ่านทำข่าวอย่างอิสระเหมือนกลัวจะถูกพบเห็นความไม่ชอบมาพากลที่ซ่อนอยู่ภายในสำนักจานบินที่กลายเป็นอาณาจักรลึกลับซึ่งกฎหมายเข้าไปแตะต้องไม่ได้

ทั้งคนห่มผ้าเหลืองและฆราวาสที่ระดมเข้ามาภายในสำนักจานบินถูกตั้งข้อสงสัยว่าอาจจะมีพระปลอมหรือพวกม็อบรับจ้างทั้งไทยและต่างด้าวที่แฝงตัวเข้ามาปะปนอยู่ในหมู่สาวกจานบินซึ่งที่น่าสงสัยคือมีการตั้งกฎห้ามสื่อทำข่าวถ่ายภาพบรรดาสาวกจานบินที่จำนวนมากใช้หน้ากากปิดหน้าอำพรางโฉม ซึ่งในการบุกสำนักจานบินของดีเอสไอ ครั้งที่แล้วก็มีภาพถ่ายที่แสดงให้เห็นว่าคนห่มผ้าเหลืองบางคนหน้าตาเหมือนกับพวกกองกำลังฮาร์ดคอร์เสื้อแดงในอดีต และมีกลุ่มชายฉรรจ์ที่ลักษณะไม่น่าจะใช่ผู้ปฏิบัติธรรมซ่องสุมอยู่ในสำนักจานบินโดยมีการขนหีบขนาดใหญ่จำนวนมากขึ้นรถซึ่งไม่รู้ว่าเป็นอาวุธหรือไม่

หมายค้นก็มีแล้ว แผนปฏิบัติการ “กรกฎ52” ก็เตรียมพร้อมแล้ว แต่คำถามที่ยังเป็นปริศนาดำมืดและยังไร้คำตอบที่ชัดเจน คือ ธัมมชโยยังอยู่ในสำนักจานบินจริงหรือไม่ เพราะข่าวบางกระแสระบุว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเองก็ไม่แน่ใจโดยมีการประสานไปยังประเทศเพื่อนบ้านเพื่อตรวจสอบร่องรอยของ ธัมมชโย จนมีข่าวกระเซ็นกระสายว่า ศิษย์จานบินกลุ่มหนึ่งพาธัมมชโยแอบเผ่นไปยังประเทศเพื่อนบ้านทางรถยนต์ จากนั้นขึ้นเครื่องบินต่อไปยังสาขาสำนักจานบินไม่ที่ออสเตรเลียก็ที่แคนาดาแล้ว ซึ่งหากเป็นเรื่องจริงสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวของฝ่ายรัฐที่ปล่อยให้ผู้ต้องหาตามหมายจับคนสำคัญอย่างธัมมชโยแอบหนีไปได้อย่างลอยนวลต่อหน้าต่อตาเจ้าหน้าที่ ทั้งๆที่พยายามบุกจับตั้งแต่เมื่อเดือนมิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ล้มเหลว และทั้งๆ ที่มีการเฝ้าประกบจับตาธัมมชโยตลอด 24 ชั่วโมง

ทีมข่าวการเมือง

สำนักจานบินบังอาจดึงฟ้าต่ำ ตะแบงชวนเชื่ออุ้มธัมมชโย?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248527

วันอังคาร ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

news_default

หลายคนที่ฟังคำแถลงของนายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อของสำนักจานบินแล้วอยากจะอาเจียนและสะท้อนให้เห็นถึงภาวะอาการจนตรอกของธัมมชโยและสำนักจานบินที่ถึงกับส่อพฤติการณ์บังอาจดึงฟ้าลงต่ำและทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทด้วยการล่าชื่อสาวกสำนักจานบินยื่นถวายฎีกาเพื่อช่วยธัมมชโยที่เป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับ

เรื่องถวายฎีกานั้นลองมาฟังความเห็นของ นายชูชาติ ศรีแสง อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา ที่ชี้ชัดว่า การขอพระราชทานอภัยโทษมีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 259 ว่า “ผู้ต้องคำพิพากษาให้
รับโทษอย่างใดๆ หรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้อง เมื่อคดีถึงที่สุดแล้ว ถ้าจะทูลเกล้าฯถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษได้นั้น ผู้ที่ขอรับพระราชทานอภัยโทษต้องถูกฟ้องคดีต่อศาลและศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษแล้ว”

แต่ในกรณีของ ธัมมชโย ยังไม่ได้ถูกฟ้องคดีต่อศาลและศาลยังไม่ได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษ เมื่อศาลยังไม่ได้ลงโทษจึงไม่มีโทษที่จะขอรับพระราชทานอภัยโทษตามบทบัญญัติของมาตรา 259 ได้ อีกทั้งการยื่นฎีกาดังกล่าว ธัมมชโย ก็ไม่ได้ยื่นด้วยตัวเอง และกลุ่มบุคคลที่ยื่นก็ไม่ใช่ผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิดคือ บิดา มารดา คู่สมรสหรือบุตรของ ธัมมชโย

โดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีกฎหมายฉบับใดบัญญัติให้ผู้ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายหรือผู้ที่มีประโยชน์เกี่ยวข้องทูลเกล้าฯถวายเรื่องราวต่อพระมหากษัตริย์ขอรับพระราชทานอภัยโทษเพื่อไม่ให้เจ้าพนักงานของรัฐดำเนินคดีแก่ผู้ถูก
กล่าวหาว่ากระทำผิดกฎหมายได้ การถวายฎีกาดังกล่าวจึงไม่มีบทบัญญัติของกฎหมายรองรับให้กระทำได้

มาทางด้านคำแถลงของโฆษกสำนักจานบินที่ส่อพฤติการณ์เหิมเกริมเชิงข่มขู่กดดันอำนาจรัฐ ขณะเดียวกันสำนักจานบินก็ส่อแอบอ้างดึงฟ้าลงต่ำโดยแถลงการณ์สำนักจานบินกล่าวถึงการถวายฎีกามีสาระสำคัญสรุปได้ว่า “เรื่อง การกราบบังคมทูลฯถวายฎีการ้องทุกข์ ขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ระงับเหตุรุนแรงอันจะบังเกิดขึ้นได้ระหว่างสถาบันชาติกับสถาบันพระพุทธศาสนา………..ดีเอสไอและเจ้าหน้าที่ตำรวจ ปทส.โดยการนำของพล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ทำให้คณะศิษย์วัดมีความรู้สึกว่าพระธัมมชโยและวัดพระธรรมกายถูกกลั่นแกล้งดำเนินคดี สร้างความรู้สึกทุกข์ร้อนคับแค้นใจอย่างแสนสาหัส การที่จะมีการใช้กำลังบุกจับพระธัมมชโย ถือเป็นการเตรียมการใช้ความรุนแรงซึ่งอาจส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากและอาจส่งผลกระทบเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์ระหว่างสถาบันชาติกับสถาบันพระพุทธศาสนาอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน……..ในช่วงเวลานี้ศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายได้ร่วมใจกันจัดพิธีบำเพ็ญกุศลเพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเป็นประจำทุกวัน และเป็นโอกาสมหามงคลที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูรได้เสด็จขึ้นทรงราชย์เป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทย ซึ่งในช่วงนี้เป็นช่วงที่คนไทยควรสมานฉันท์เป็นหนึ่งเดียวกัน ไม่ควรมีเหตุการณ์รุนแรงใดๆ ……..เวลานี้เหลือที่พึ่งสุดท้ายหนึ่งเดียวที่จึ่งได้คือ สถาบันพระมหากษัตริย์จึงจำเป็นต้องขอพระบรมราชานุญาตกราบบังคมทูลถวายฎีการ้องทุกข์ต่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร อันเปรียบประดุจพระบิดาของประชาชนชาวไทยทั้งชาติ เพื่อขอพึ่งพระบารมีให้ยุติการดำเนินคดีที่มิชอบดังกล่าวข้างต้น และมิให้เจ้าหน้าที่ ของรัฐใช้ความรุนแรงทำร้าย ทำให้เกิดการบาดเจ็บล้มตายต่อประชาชนผู้เป็นพสกนิกรของพระองค์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงและคนชรา”

นั่นคือสาระสำคัญโดยสรุปในแถลงการณ์ของสำนักจานบิน ขณะที่โฆษกกระบอกเสียงโฆณาชวนเชื่อสำนักจานบินอธิบายเสริมสรุปบางตอนได้ว่า “คณะศิษยานุศิษย์รู้สึกทุกข์ร้อนกังวลว่ากลายเป็นเรื่องบาดหมางรุนแรงระหว่างสถาบันชาติกับสถาบันศาสนา……..คณะศิษยานุศิษย์ คณะสงฆ์และชาวพุทธทั่วโลกได้จับตาดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด องค์กรพุทธนานาชาติจำนวนมากได้ทำหนังสือทักท้วงไปยัง ฯพณฯนายกรัฐมนตรีขอให้ระงับยับยั้งการใช้ความรุนแรงต่อพระสงฆ์ ชาวพุทธและวัดในพระพุทธศาสนา “

จากแถลงการณ์ของสำนักจานบินและคำแถลงของโฆษกของสำนักจานบินสรุปได้ว่าเป็นการโฆษณาชวนเชื่อตะแบงใช้สารพัดข้ออ้างเพื่อช่วย ธัมมชโย ให้รอดหมายจับ และบังอาจแม้แต่การอ้างอันส่อเป็นเท็จขึ้นกราบทูลเบื้องสูง โดยพยายามอ้างว่า ปัญหาของ ธัมมชโย ที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทั้งๆที่การออกหมายจับต้องขออำนาจจากศาล และที่อ้างว่าการจับ ธัมมชโย จะนำไปสู่ความรุนแรงระหว่างสถาบันชาติและสถาบันพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ความจริงการออกหมายจับ ธัมมชโย 3 หมายจับครั้งนี้เพราะ ธัมมชโย ทำผิดกฎหมายใน 3 ข้อหาคือ ฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ครอบครองและรุกป่าสงวนแห่งชาติเพื่อตั้งเป็นสาขาสำนักจานบินที่เขาใหญ่ จ.นคราชสีมาและที่จ.เลยหลายร้อยไร่อย่างผิดกฎหมาย ซึ่งก่อนหน้านี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่พยายามเจรจาผ่อนปรนให้มอบตัวแต่โดยดีมานานหลายเดือน แต่ ธัมมชโย ถือดีในอิทธิพลของสำนักจานบินทำตัวดุจรัฐอิสระอยู่เหนือกฎหมายดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม

ส่วนที่อ้างว่าการปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมายด้วยการบุกจับ “ธัมมชโย” จะทำให้มีการบาดเจ็บล้มตายจำนวนมากนั้น ปัญหาอยู่ที่ ธัมมชโย และสำนักจานบินไม่ใช่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และฝ่ายเจ้าหน้าที่ย้ำมาตลอดว่าไม่ต้องการให้เกิดความรุนแรง และเรียกร้องให้ ธัมมชโย มอบตัวเพื่อพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมปัญหาจะได้คลี่คลาย

ดังนั้นสถานการณ์ความตึงเครียดที่เกิดขึ้นหากจะเกิดการบาดเจ็บล้มตายล้วนเกิดจากธัมมชโยและแกนนำสำนักจานบินไม่กี่คนที่เห็นแก่ตัวส่อเจตนาปลุกระดมสาวกจานบินให้ออกมาขัดขวางเจ้าหน้าที่เพื่อปกป้องธัมมชโย และที่หลายคนสงสัยก็คือไม่แต่สาวกจานบินที่ถูกระดมหรือหลอกให้มาเป็นโล่มนุษย์ แต่อาจจะมีกองกำลังลึกลับที่แฝงตัวพร้อมที่จะปะทะกับฝ่ายเจ้าหน้าที่หวังปกป้องธัมมชโยอย่างถึงที่สุด

ทีมข่าวการเมือง

สังคมระส่ำกม.ไร้ความหมาย เพราะพระเทียมเพียงคนเดียว?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248426

วันจันทร์ ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

สังคมตั้งคำถามว่าเป็นเรื่องบังควรเหมาะสมหรือไม่กรณีที่มีข่าวว่าสำนักจานบินได้ออกแบบฟอร์มล่ารายชื่อบรรดาสาวกให้ได้มากที่สุดเพื่อถวายฎีกาหวังช่วย ธัมมชโยเจ้าอาวาสกิตติมศักดิ์สำนักจานบินให้รอดพ้นโทษความผิดที่ถูกออกหมายจับถึง 3 หมายและกำลังจะถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองบุกเข้าจับตัวหลังจากส่อพฤติการณ์ดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวตามกฎหมายมานาน

นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ตั้งข้อสังเกตว่าโดยปกติการถวายฎีกานั้นจะกระทำก็ต่อเมื่อผู้ต้องหาได้รับโทษตามความผิดแล้วจึงถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ โดยผู้ที่ยื่นเรื่องถวายฎีกาได้นั้นต้องเป็นผู้ต้องหาขออภัยโทษเองหรือญาติเป็นผู้ถวายฎีกาเท่านั้น

แต่สำหรับกรณีของ ธัมมชโย นั้นยังไม่ได้รับโทษซ้ำเป็นการหนีหมายจับตามกระบวนการยุติธรรมจึงไม่เข้าข่ายที่จะถวายฎีกา ดังนั้นการถวายฎีกาทั้งๆ ที่ขัดกฎเกณฑ์การถวายฎีกา อีกทั้งธัมมชโยเองก็อยู่ระหว่างการถูกออกหมายจับตามกระบวนการยุติธรรมจึงเป็นเรื่องที่ไม่บังควรและไม่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่งเพราะอาจเป็นการทำให้ระคายเบื้องพระยุคลบาทดึงฟ้าลงต่ำเพียงเพื่อให้ธัมมชโยรอดพ้นจากการบังคับใช้กฎหมายและตามหมายจับซึ่งอนุมัติโดยศาลซึ่งเท่ากับทำลายกระบวนการยุติธรรม หลักนิติรัฐและความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายอย่างสิ้นเชิง

นอกจากนี้การถวายฎีกาในลักษณะนี้ยังเป็นการสร้างบรรทัดฐานอันเป็นการทำลายกระบวนการยุติธรรมเพราะต่อไปผู้กระทำผิดกฎหมายหรืออาชญากรซึ่งมีอิทธิพลพอถูกออกหมายจับก็อาจล่ารายชื่อเพื่อถวายฎีกา

ทั้งนี้หาก ธัมมชโย เป็นสงฆ์แท้ที่สละแล้วซึ่งกิเลสและความเห็นแก่ตัวต้องเข้ามอบตัวสู้คดีอย่างบริสุทธิ์ใจ สงบนิ่งสง่างามเพื่อพิสูจน์ความถูกผิดตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่พยายามดิ้นรนดื้อแพ่งอาศัยเหล่าสาวกเป็นเครื่องมือปกป้องคุ้มครองตัวเองเพื่อให้รอดหมายจับตามกฎหมายโดยไม่คำนึงถึงวิกฤตการณ์ที่จะตามมา

นอกจากความพยายามดิ้นรนที่ไม่บังควรด้วยการถวายฎีกาแล้ว ขณะนี้ยังมีข่าวว่ามีการนำรถไปขนคนเข้ามาในสำนักจานบินจำนวนมาก ขณะที่สถานการณ์กำลังจะถึงจุดไคลแม็กซ์ที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองกำลังเตรียมจะบุกเข้าควบคุมตัว ธัมมชโย หลังดื้อแพ่งมานานโดยอ้างว่าสาวกเหล่านี้มาเพื่อมาสวดมนต์

ข้อน่าสังเกตก็คือการที่ต้องใช้รถไปขนเหล่าสาวกด้านหนึ่งอาจสะท้อนความเสื่อมของสำนักจานบินที่ช่วงหลังสาวกมีจำนวนน้อยลงมากจึงต้องทำทุกวิถีทางถึงขนาดต้องเกณฑ์สาวกมาชุมนุมปกป้อง ธัมมชโย ให้ได้มากที่สุด และไม่แน่ว่าคนที่ขนมาอาจถูกจ้างโดยเฉพาะคนต่างด้าว อาทิ ชาวพม่าหรือกัมพูชา เพราะน่าสงสัยว่าสำนักจานบินออกกฎเข้มงวดห้ามสื่อสัมภาษณ์หรือถ่ายภาพบรรดาสาวกที่มารวมตัวอยู่ในสำนักจานบินอย่างเด็ดขาด หรือเพราะเกรงความลับบางอย่างจะถูกเปิดเผย

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจก็คือผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศของนิด้าโพล สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ล่าสุดต่อเรื่องการดำเนินคดีกับ ธัมมชโย สะท้อนว่าประชาชนเพียงไม่ถึงร้อยละ 1.5ที่เห็นว่า ธัมมชโย ไม่ได้ทำความผิดใดๆ โดยประชาชนกว่าร้อยละ 90 เห็นว่าเจ้าหน้าที่ควรบังคับใช้กฎหมายกับธัมมชโย หรือไม่ ธัมมชโย ก็ควรมอบตัวเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเอง

ที่สำคัญเมื่อถามถึงความมั่นใจของประชาชนต่อเจ้าหน้าที่ในการดำเนินคดีกับ ธัมมชโยภายใน 3 เดือนตามที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ประกาศไว้ ปรากฏว่า ประชาชนแค่ร้อยละ 14.40 ที่ระบุว่ามั่นใจมาก ร้อยละ 16.40 ค่อนข้างมั่นใจ ที่เหลือไม่มั่นใจเลยหรือไม่ค่อยมั่นใจ

เมื่อหันมาดูท่าทีล่าสุดของฝ่ายเจ้าหน้าที่ซึ่งมีกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)นำโดย พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ และฝ่ายตำรวจซึ่งมี พล.ต.อ.ศรีวราห์ เป็นผู้รับผิดชอบ ซึ่งที่ผ่านมามีการเลื่อนเส้นตายมาแล้วหลายเส้นมาล่าสุดมีรายงานข่าวว่ากำหนดเส้นตายใหม่เพื่อเผด็จศึกจับ ธัมมชโย อีกแล้วคือเช้าตรู่วันที่ 13 ธ.ค.นี้

โดยมีรายงานข่าวว่า ตำรวจภูธรภาค 1 ซึ่งรับผิดชอบพื้นที่สำนักจานบินมีคำสั่งด่วนที่สุดถึงตำรวจทุกจังหวัดในสังกัดตำรวจภูธรภาค 1 เตรียมความพร้อมกำลังควบคุมฝูงชนโดยให้จ.สมุทรปราการ นนทบุรี และพระนครศรีอยุธยา สระบุรี อ่างทอง และลพบุรี เตรียมกำลังจังหวัดละ 2 กองร้อยจังหวัดสิงห์บุรีและชัยนาทจังหวัดละ1 กองร้อย และให้จังหวัดสมุทรปราการนนทบุรี พระนครศรีอยุธยา และสระบุรี เตรียมรถขยายเสียงจังหวัดละ 1 คัน โดยขอให้พร้อมปฏิบัติการได้ทันทีเมื่อได้รับคำสั่ง

รายงานข่าวระบุอีกว่าได้มีการประสานไปยังกองทัพเพื่อขอกำลังทหารเป็นกำลังสนับสนุนในกรณีจำเป็นด้วย โดยขณะนี้มีการวางเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบเข้าประจำจุดรอบสำนักจานบินเพื่อจับตาความเคลื่อนไหวอย่างใกล้ชิด และตามแผนปฏิบัติการในวันดีเดย์บุกสำนักจานบินจะมีการวางกำลังปิดล้อมรอบสำนักจานบินทั้งหมดโดยห้ามคนภายนอกเข้าไปภายในสำนักจานบินอย่างเด็ดขาดเพื่อตัดกำลัง ขณะเดียวกันจะอนุญาตให้คนภายในสำนักจานบินออกมาได้เพื่อเปิดโอกาสให้เหล่าสาวกที่กลับใจให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่

เพราะฉะนั้นเช้าตรู่วันที่ 13 ธ.ค. คงได้รู้กันว่าเส้นตายจะเลื่อนตามเคยอีกหรือไม่ ท่ามกลางเสียงสะท้อนของประชาชนส่วนใหญ่จากผลสำรวจนิด้าโพลที่ไม่ค่อยจะมั่นใจว่าเจ้าหน้าที่จะเอาจริงบังคับใช้กฎหมายกับธัมมชโยซึ่งปัญหาความระส่ำระสายปั่นป่วนวุ่นวายทั้งหมดที่เกิดขึ้นถูกตั้งข้อสังเกตว่าล้วนเกิดจากพระเทียมที่ทำตัวอยู่เหนือกฎหมายเพียงคนเดียว

ทีมข่าวการเมือง

นักลากตั้งดิ้นค้านหัวชนฝา ผวากฎเหล็กกม.พรรคการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248304

วันอาทิตย์ ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

news_default

หนึ่งใน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูก 10 ฉบับที่สำคัญก็คือ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ได้พิจารณาเสร็จเรียบร้อยแล้วเตรียมนำเสนอให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)พิจารณาปรับปรุงแก้ไขและให้ความเห็นชอบก่อนที่จะประกาศใช้เป็นกฎหมาย

พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองจะต้องมีเนื้อหาที่สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ได้ชื่อว่าเป็นฉบับปราบโกงโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้พรรคการเมืองปรับปรุงตัวเองเพื่อเรียกความเชื่อมั่นแห่งสถาบันการเมืองให้กลับคืนมาและพรรคการเมืองทำงานได้อย่างอิสระ สมาชิกพรรคมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง ตรวจสอบได้ และมีมาตรการกำกับดูแลไม่ให้พรรคการเมืองทำผิดกฎหมาย

โดยสาระสำคัญของร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่ผ่านการพิจารณาจาก กรธ.แล้วกำหนดให้พรรคการเมืองต้องมีหน้าที่อย่างน้อย 4 กิจกรรมคือ 1.เสริมสร้างให้สมาชิกและประชาชนมีความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้องในการปกครองระบอบประชาธิปไตยและใช้สิทธิเสรีภาพอย่างมีเหตุผล 2.เสนอแนวทางพัฒนาประเทศ แก้ปัญหาในสังคมโดยคำนึงถึงความสมดุลระหว่างการพัฒนาด้านวัตถุและจิตใจ 3.ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมต่อการตรวจสอบอำนาจรัฐอย่างมีเหตุผล 4.ส่งเสริมสมาชิกและประชาชนให้สามัคคี ปรองดองยอมรับความเห็นต่างทางการเมือง หากพรรคใดฝ่าฝืนหน้าที่ข้างต้นต้องถูกลงโทษรุนแรงคือยุบพรรค ขณะที่กรรมการบริหารพรรคต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งซึ่งหมายถึงหมดสิทธิลงเล่นการเมืองตลอดชีวิต

ส่วนการจัดตั้งพรรคการเมืองนั้นกำหนดให้ภายใน 1 ปี พรรคต้องหาสมาชิกให้ได้ไม่น้อยกว่า 5,000 คน และต้องมีสาขาประจำภาค และภายใน 4 ปีต้องมีสมาชิกให้ได้ 20,000 คน หากพรรคใดทำไม่ได้ต้องถูกลงโทษปรับเป็นเงินไม่เกิน 50,000 บาท และปรับวันละ 1,000 บาท จนกว่าทำให้ถูกต้อง ขณะที่การมีส่วนร่วมของสมาชิกพรรคกำหนดให้มีส่วนร่วมทั้งการทำนโยบาย เลือกกรรมการบริหารพรรคและส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งแบบแบ่งเขตและบัญชีรายชื่อผ่านตัวแทนสาขาพรรค

นอกจากนี้ยังกำหนดบทลงโทษพรรคการเมืองอย่างเข้มข้นในหลายกรณีประกอบด้วย

1.ห้ามคนนอกรวมถึงผู้ไม่มีสัญชาติไทย ผู้ที่ถูกคำสั่งห้ามดำรงตำแหน่งในพรรคการเมือง ผู้ไม่มีสิทธิเลือกตั้งเข้าไปก้าวก่าย แทรกแซง หรือมีส่วนในกิจกรรมทางการเมืองของพรรคไม่ว่าทางตรงและทางอ้อม หากพรรคใดฝ่าฝืน กรรมการบริหารพรรคต้องถูกจำคุกตั้งแต่ 7-15 ปี ปรับ 4 หมื่นถึง 3 ล้านบาท และถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต

2.ห้ามพรรคการเมืองซื้อตัวบุคคล หรือห้ามผู้ใดเรียกเงินจากพรรคเพื่อประสงค์ขายตัวในทางการเมือง หากฝ่าฝืนต้องโทษจำคุกตั้งแต่ 3-5 ปี และปรับ 6 หมื่น ถึง 1 แสนบาท รวมถึงถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งด้วย

3.ห้ามพรรคเรียกรับเงินหรือทรัพย์สินเพื่อแลกกับตำแหน่งทางการเมือง ตำแหน่งบริหารหรือตำแหน่งในหน่วยงานรัฐ รวมถึงห้ามพรรคหรือผู้ดำรงตำแหน่งในพรรคส่งเสริมให้บุคคลกระทำการโค่นล้มราชบัลลังก์ บ่อนทำลายเศรษฐกิจของประเทศ ราชการแผ่นดิน ความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือก่อกวนหรือคุกคามความสงบเรียบร้อยศีลธรรมอันดีของประชาชน และการกระทำที่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติของประเทศ หากฝ่าฝืนต้องโทษจำคุก 5-20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต โดยกรณีที่ศาลไม่ได้พิพากษาลงโทษประหารชีวิตต้องถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต

จากโฉมหน้าเบื้องต้นของ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญทำให้บรรดาตัวแทนพรรคการเมืองใหญ่โดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยดาหน้าออกมาคัดค้านแบบหัวชนฝา อาทิ นายสมคิด เชื้อคง อดีต สส.อุบลราชธานี พรรคเพื่อไทย ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดลงโทษนักการเมืองโดยอ้างว่ารุนแรงเกินไปรวมทั้งการที่กำหนดให้กระจายอำนาจพรรคการเมืองไปสู่สาขาพรรคนั้นในทางปฏิบัติคงไม่เกิดผลเพราะยิ่งทำให้นายทุนใหญ่ในจังหวัดครอบงำ ซึ่งความจริงควรให้คณะกรรมการบริหารพรรคเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจแบบเดิมดีกว่า อีกทั้งการกำหนดให้สมาชิกพรรคการเมืองต้องจ่ายเงินสนับสนุนพรรคเป็นการบีบทำให้ประชาชนเข้าถึงพรรคได้ยาก

ขณะที่ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีต สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย แกนนำเสื้อแดง ไม่เห็นด้วยกับข้อกำหนดให้พรรคการเมืองต้องตรวจสอบรายชื่อสมาชิกพรรคที่ซ้ำซ้อนทำให้เป็นภาระสำหรับพรรคการเมืองที่ขณะนี้มีเวลาทำกิจกรรมทางการเมืองน้อยอยู่แล้ว

อย่างไรก็ตาม สำหรับพรรคประชาธิปัตย์แม้จะไม่เห็นด้วยกับร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเมืองในบางประเด็นซึ่งเป็นรายละเอียด แต่ นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่ายอมรับได้สำหรับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองที่กรธ.ยกร่าง ส่วนข้อคัดค้านในรายละเอียดพรรคประชาธิปัตย์พร้อมที่จะปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎหมาย

ทั้งนี้รัฐธรรมนูญฉบับปราบโกงและร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองเป็นผลพวงจากนโยบายที่จะปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอันเลวร้ายที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอด 10 ปีที่ผ่านมา การต่อต้านพ.ร.บ.พรรคการเมืองโดยเฉพาะจากพรรคเพื่อไทยจึงสะท้อนความหวาดผวาต่อกฎเหล็กคุมประพฤติพรรคการเมืองที่มีความเข้มข้นและแฝงด้วยเป้าหมายที่มุ่งขัดขวางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศเพื่อขจัดพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

ทีมข่าวการเมือง

ยุคเสื่อมบีบีซีส่อเจตนาอุบาทว์ มุ่งบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248213

วันเสาร์ ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

ในอดีตสำนักข่าวบีบีซีของสหราชอาณาจักรได้ชื่อว่าเป็นสื่อมวลชนที่เก่าแก่ที่สุดในโลกและเป็นที่ยอมรับในจรรยาบรรณความเป็นสื่อมืออาชีพมากว่าศตวรรษ แต่ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาสื่อซึ่งเป็นที่ยอมรับของโลกสำนักนี้ตกอยู่ภายในภาวะแห่งความเสื่อมทางจริยธรรมโดยถูกตั้งข้อสังเกตว่าเสนอข่าวที่ไร้ความเป็นกลางส่อเจตนาสนับสนุนระบอบแม้ว และที่เลวร้ายคือส่อมุ่งร้ายบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงของไทยอย่างต่อเนื่อง

บทบาทของสำนักข่าวบีบีซีทั้งสำนักงานใหญ่ที่กรุงลอนดอนประเทศอังกฤษ และบีบีซีในไทย โดย นายโจนาธาน เฮดหัวหน้าบีบีซีประจำประเทศไทย ที่ผ่านมาส่อไปในทางสนับสนุนปกป้องระบอบแม้วอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกัน ก็หาประเด็นมุ่งโจมตีฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามระบอบแม้วอย่างเอาเป็นเอาตาย

แต่ที่เลวร้ายคือ โจนาธาน เฮด ผู้นี้ส่อเจตนาบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงของไทยโดยก่อนหน้านี้เคยถูกดำเนินคดีฐานหมิ่นเบื้องสูงตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญามาแล้ว

และที่กำลังเป็นข่าวครึกโครมขณะนี้ก็คือกรณีที่บีบีซีประจำประเทศไทยถือโอกาสเผยแพร่บทความทางโลกออนไลน์ในลักษณะจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงของไทยในช่วงที่กำลังเปลี่ยนผ่านรัชกาล ซึ่งเผอิญสอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของขบวนการคนเสื้อแดงแนวคิดล้มเจ้าซึ่งหนีหมายจับคดีหมิ่นเบื้องสูงไปกบดานอยู่ในหลายประเทศ อาทิ ลาว กัมพูชา สหรัฐอเมริกา อังกฤษ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย โดยแก๊งอุบาทว์เหล่านี้โจมตีทำลายสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริมผ่านทางสื่อออนไลน์

จนก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ได้ประสานขอความร่วมมือจากทางการลาวให้จัดการกับแก๊งแดงคิดล้มเจ้าที่กบดานและอาศัยแผ่นดินลาวเคลื่อนไหวเรื่องชั่วร้าย ซึ่งทางการลาวให้ความร่วมมือระดับหนึ่งโดยสั่งให้กลุ่มดังกล่าวยุติการเคลื่อนไหว มิฉะนั้นจะคุมตัวส่งกลับให้ให้ทางการเมือง

แก๊งแดงบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงที่หนีหมายจับ อาทิ นายจักรภพ เพ็ญแข นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ นายวุฒิพงศ์ กชธรรมคุณ หรือ “โกตี๋” แกนนำเสื้อแดงปทุมธานี นายชูพงศ์ถี่ถ้วน นายเอกภาพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” นายศรันย์ ฉุยฉาย หรือ “อั้ม เนโกะ”

จากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำช่วงหลายปีที่ผ่านมาทำให้สื่อระดับโลกหลายสำนักต้องปิดตัวเอง ต้องขายกิจการ หรือต้องลดเงินเดือนหรือลดจำนวนพนักงานลงเพื่อความอยู่รอด ซึ่งรวมทั้งบีบีซีที่ประสบปัญหาด้านการเงินอย่างหนัก ขณะเดียวกันก็มีการหารายได้ผ่านทางบริษัทล็อบบี้ยิสต์

จากกรณีล่าสุดที่บีบีซีประจำประเทศไทยปิดทำการชั่วคราวแล้วหันไปเผยแพร่ข่าวบทความในประเทศอื่นสะท้อนอาการร้อนตัวต่อความผิดที่ตัวเองก่อไว้ ขณะเดียวกันบีบีซีได้ออกคำแถลงตอบโต้ทางการไทยโดยอ้างว่าสื่อทั่วโลกพร้อมใจการเสนอข่าวที่ทางการไทยที่เตรียมดำเนินคดีกับบีบีซีไทยตามมาตรา 112 ฐานหมิ่นเบื่องสูง พร้อมกับพยายามชี้ว่า นับตั้งแต่คณะรัฐประหารเข้ามาบริหารประเทศมุ่งมั่นกระตือรือร้นในการดำเนินคดีกับบรรดาผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ขณะที่กลุ่มสิทธิมนุษยชนนานาชาติระบุว่า กฎหมายหมิ่นเบื้องสูงของไทยกำกวมและมีโทษรุนแรงเกินไป

คำชี้แจงของบีบีซียังอ้างว่า ไม่ได้เลือกข้าง แต่มีความเป็นอิสระยึดความถูกต้องในการทำหน้าที่สื่อ และมั่นใจว่าบทความของบีบีไทยก่อนหน้านี้ไม่มีสิ่งใดขัดต่อจรรยาบรรณในการเสนอข่าว

ความจริงบีบีซีรู้ดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ แต่ทำเป็นเฉไฉตอบไม่ตรงคำถามและข้อข้องใจของคนไทยทั้งประเทศที่อยากรู้เพียงว่า บีบีซีไทยเผยแพร่บทความทางเว็บไซต์ส่อเจตนาโจมตีสถาบันเบื้องสูงของไทยจริงหรือไม่ และทำไมต้องปิดตัวเองชั่วคราวเหมือนร้อนตัวไม่กล้าสู้หน้ากับความจริง

หากจะพูดถึงจรรยาบรรณการทำหน้าที่สื่ออย่างมืออาชีพต้องอยู่บนพื้นฐานของข้อเท็จจริง ไม่ใช่ไปหยิบประเด็นข่าวลือทางโซเชียลมีเดียซึ่งไม่มีที่มาที่ไปชัดเจนซ้ำเป็นเท็จแล้วนำมาใส่สีตีไข่เผยแพร่ในทางบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดของไทยซึ่งไม่ใช่วิสัยของสื่อมืออาชีพระดับโลก เว้นแต่จะเป็นสื่อประเภทผีโม่แป้ง

บีบีซีรู้ทั้งรู้ว่าการหมิ่นเบื้องสูงเป็นการผิดกฎหมายไทยและรู้ดีด้วยว่าเรื่องสถาบันเบื้องสูงเป็นเรื่องอ่อนไหวสำหรับคนไทย แต่ก็จงใจทำจนถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีเบื้องหลังแอบแฝง

เรื่องนี้เป็นเรื่องความผิดตามกฎหมายไทย อย่ามาอ้างเสรีภาพเลอะเทอะ หากต้องการเสรีภาพแบบไร้ขอบเขตก็ไปอยู่ประเทศอื่นอย่ามาอาศัยแผ่นดินไทยหากินบ่อนทำลายสถาบันอันเป็นที่เคารพเทิดทูนของคนทั้งประเทศ

ก่อนหน้านี้ นายสุทิน วรรณบวร อดีตผู้สื่อข่าวอาวุโส ซึ่งเคยทำงานให้กับสื่อระดับโลกหลายสำนักตั้งข้อสังเกตว่า รู้จักและติดตามผลงานของ นายนพพร วงศ์อนันต์ ซึ่งเป็นบรรณาธิการบีบีซีไทยมานาน โดยบุคคลผู้นี้เมื่อครั้งทำงานอยู่ที่สำนักข่าวรอยเตอร์ก่อนมาอยู่บีบีซีเคยบินเดี่ยวไปสัมภาษณ์ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก โดย นายนพพร เป็นผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจาก นายทักษิณ และประเด็นที่ นายนพพร ฝังใจและเกาะติดเป็นพิเศษคือเรื่องที่กำลังเป็นข่าวอื้อฉาวอยู่ในขณะนี้

อดีตนักข่าวอาวุโสยังระบุว่า เมื่อครั้งที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกฯ นายนพพร บินจากกรุงเทพฯไปถามนายอภิสิทธิ์ ถึงประเทศสิงคโปร์ในประเด็นอ่อนไหวนี้ซึ่ง นายอภิสิทธิ์ ตอบว่าคงไม่เป็นไปตามที่ นายนพพรถาม และเชื่อว่าทุกอย่างจะราบรื่น เพราะฉะนั้นกรณีบทความล่าสุดของบีบีซีไทยจึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรือเผอเรอ แต่มันเป็นความเชื่อและอุดมการณ์ของ นายนพพร

เรื่องราวทั้งหมดจึงสะท้อนยุคเสื่อมไร้เครดิตของบีบีซี แต่ที่น่าประณามก็คือคนไทยบางกลุ่มขายตัวสมคบกับสื่อต่างชาติบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดของตัวเอง

ทีมข่าวการมือง

สัญญาณนับถอยหลัง บุกจับธัมมชโย?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/248105

วันศุกร์ ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

news_default

หากประเมินสถานการณ์จากนี้ไปเริ่มมีสัญญาณที่ชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐอันประกอบด้วย กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) เป็นหลักใกล้จะเริ่มปฏิบัติการเข้าตรวจค้นสำนักจานบินเพื่อจับกุมธัมมชโย หลังจากที่มีการดื้อแพ่งทำตัวดุจรัฐอิสระเหนือกฎหมายมานาน

ที่ผ่านมาฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐพยายามใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายจนเกิดการปะทะรุนแรงระหว่างเหล่าสาวกสำนักจานบินกับฝ่ายเจ้าหน้าที่ ซึ่งเห็นได้จากการที่ก่อนหน้านี้กำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเดินทางไปยังสำนักจานบินพร้อมหมายจับ ธัมมชโย ตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา แต่ก็ถูกขัดขวางจากเหล่าสาวกสำนักจานบินที่ตั้งเป็นกำแพงมนุษย์จนกำลังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอต้องยอมล่าถอยมาตั้งหลักใหม่เพื่อไม่ให้บานปลายกลายเป็นความรุนแรง

ขณะเดียวกันมีการประสานไปยังมหาเถรสมาคม(มส.) และพระผู้ใหญที่ปกครอง ธัมมชโย ให้ช่วยเกลี้ยกล่อม ธัมมชโย ให้ยอมมอบตัวแต่โดยดี แต่ก็ประสบความล้มเหลวมาตลอด จนแม้แต่ความพยายามที่จะเกลี้ยกล่อม ธัมมชโย โดยตัวแทนพระชั้นผู้ใหญ่และ นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำเอา นายพนม ถึงกับถอดใจยอมรับว่าไม่สามารถเกลี้ยกล่อม ธัมมชโย ได้แล้วและขอให้ทุกอย่างเป็นไปตามที่ดีเอสไอและสตช.เห็นสมควร

ที่ผ่านมา ธัมมชโย ใช้สารพัดข้ออ้างกลับไปกลับมาเพื่อซื้อเวลาไปเรื่อยๆ อาทิ อ้างว่าป่วย อ้างว่าขอให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อนถึงยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือตั้งแง่ขอประกันตัวทันทีหากยอมมอบตัวซึ่งเป็นไปไม่ได้แล้วเพราะอำนาจการประกันตัวขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาลหลังจากที่ฝ่ายอัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง ธัมมชโย ที่ถูกออกหมายจับในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

เมื่อเป็นที่แน่ชัดแล้วว่า ธัมมชโย คิดปักหลักสู้ไม่ยอมมอบตัวตามหมายจับก็ถือเป็นความชอบธรรมที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่จะปฏิบัติตามกฎหมายด้วยการเข้าจับกุมตัว ธัมมชโย ตามหมายจับซึ่งหากเหล่าสาวกสำนักจานบินขัดขวางการจับกุมไม่ว่าจะด้วยวิธีใด เจ้าหน้าที่มีอำนาจและความชอบธรรมที่จับกุมดำเนินคดีฐานขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่

หากเหล่าสาวกขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ยังเป็นการสะท้อนให้เห็นตัวตนที่แท้จริงของสำนักจานบินซึ่งไม่ใช่สำนักปฏิบัติธรรมตามที่ยึดถือหลักธรรมคำสอนตามหลักพระพุทธศาสนา แต่ทำตัวดุจรัฐอิสระที่ไม่เคารพ
กฎหมายบ้านเมือง

การที่ดีเอสไอทำเรื่องไปยังสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เพื่อระงับการถ่ายทอดสดสถานีวิทยุโทรทัศน์ดีเอ็มซีอันเป็นสื่อกระบอกเสียงของสำนักจานบินเป็นการชั่วคราวระหว่างที่กำลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นจับกุม ธัมมโช ซึ่งกสทช.อนุมัติตามการร้องขอของดีเอสไอนั้น ถือเป็นสัญญาณนับถอยหลังแผนตัดกำลังก่อนปฏิบัติการ

การที่ดีเอสไอต้องร้องขอให้ระงับสัญญาณการถ่ายทอดสดของดีเอ็มซีซึ่งเป็นกระบอกเสียงของสำนักจานบิน เพราะที่ผ่านมา ดีเอ็มซีมีพฤติการณ์ส่อไปในทางปลุกระดมให้เหล่าสาวกสำนักจานบินเดินทางมารวมตัวกันที่สำนักจานบินให้มากที่สุดเพื่อปกป้อง ธัมมชโย อันส่อเป็นอันตรายต่อความมั่นคง

ขณะที่สัญญาณปฏิบัติการจับ ธัมมชโย จากบุคคลสำคัญชัดเจนมากขึ้น ทั้งโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง และ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) โดยต่างพูดเข้มเป็นเสียงเดียวกันว่า กฎหมายต้องเป็นกฎหมายอย่างเสมอภาคเท่าเทียมกันโดยต้องไม่ปล่อยให้มีใครทำตัวเหนือกฎหมายอย่างเด็ดขาด

ทั้งนี้ พล.อ.ประวิตร ย้ำอย่างจริงจังว่าต้องจับตัว ธัมมชโย ให้ได้เพื่อความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมาย ขณะที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ย้ำชัดเจนว่า หากจับกุมตัวธัมมชโย ได้จะไม่ให้ประกันตัวอย่างแน่นอนเพราะได้ให้โอกาสแล้ว แต่ผู้ต้องหาไม่ติดต่อขอมอบตัว

นั่นหมายความว่า หากจับ ธัมมชโย ได้ต้องถูกจับสึกอย่างเดียวเพราะกฎหมายห้ามคุมตัวพระเข้าห้องขังนอกจากจับสึกก่อน

สำหรับแผนปฏิบัติการบุกสำนักจานบินเพื่อจับกุม ธัมมชโย นั้นฝ่ายเจ้าหน้าที่ได้ประสานไปยังพระชั้นผู้ใหญ่รวมทั้งตัวแทนจากพศ. เพื่อให้ร่วมกับเจ้าหน้าที่ในการบุกตรวจค้นและจับ ธัมมชโย ด้วย โดยด้านหนึ่งเพื่อความโปร่งใสและอีกด้านหนึ่งการมีพระนำขบวนเจ้าหน้าที่เป็นการป้องกันไม่ให้เหล่าสาวกสำนักจานบินขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่

ขณะเดียวกันสื่อจากทุกสำนักควรจะได้รับอนุญาตให้เข้าร่วมเป็นสักขีพยานสังเกตการณ์ปฏิบัติการบุกจับ ธัมมชโย อย่างเปิดเผยทุกขั้นตอน เพื่อที่จะพิสูจน์ให้เห็นกันชัดๆ ว่าใครที่ตรงไปตรงมาและใครที่มีเบื้องหน้า
เบื้องหลังพยายามหลีกเลี่ยงหนีโทษความผิดไม่กล้าพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรม

พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีดีเอสไอ กล่าวว่า ขณะนี้แผนปฏิบัติการพร้อมแล้วเพียงรอวันดีเดย์เท่านั้น โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งดีเอสไอ สตช. และฝ่ายอัยการจะมีการประชุมซักซ้อมแผนปฏิบัติการครั้งสุดท้ายเพื่อความรอบคอบในวันที่ 9 ธ.ค.ก่อนลงมือปฏิบัติการซึ่งเบื้องต้นมีการเตรียมกำลังเจ้าหน้าที่ไว้ 7 กองร้อย โดยจะพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดการปะทะให้มากที่สุด

จากสัญญาณทั้งหมดข้างต้นเชื่อว่าจากนี้ไปจะเป็นการนับถอยหลังไปสู่การบังคับใช้กฎหมายเพื่อสลายความเป็นรัฐอิสระของสำนักจานบินและคุมตัวธัมมชโยมารับโทษตามกบิลเมือง เพราะปัญหายิ่งยืดเยื้อก็ยิ่งสับสนบานปลาย

ทีมข่าวการเมือง