จับตาเพื่อแม้ว-จานบินรวมหัว ดับเครื่องชนหลังผิดหวังช่วงเปลี่ยนผ่าน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247979

วันพฤหัสบดี ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

สองพันธมิตรอันแนบแน่นที่คิดยึดครองประเทศทั้งฝ่ายอาณาจักรและศาสนจักรคือขบวนการเพื่อแม้วและสำนักจานบินขณะนี้ต่างถูกกรรมชั่วร้ายที่ก่อไว้กับชาติบ้านเมืองตามเช็คบิล โดยตั้งแต่ระดับแกนนำตลอดจนเหล่าทาสรับใช้ในหลายระดับของขบวนการสองพันธมิตรต่างกำลังจำนนต่อกรรมโดยกฎหมายบ้านเมืองไปตามกันและใกล้ที่จะถูกชี้ชะตาเข้าไปทุกขณะ ทำให้ขบวนการสองพันธมิตรดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อให้ตัวเองพ้นโทษความผิดขณะเดียวกันก็ยังหวังกลับมายิ่งใหญ่ยึดครองประเทศด้วยความหวังสุดท้ายในช่วงที่ประเทศอยู่ระหว่างการเปลี่ยนผ่านครั้งสำคัญ

แต่เชื่อว่าด้วยพระบารมีของบรรพกษัตริย์และพระสยามเทวาธิราชที่ปกป้องคุ้มครองชาติบ้านเมืองจะดลบันดาลให้อนาคตของประเทศพ้นจากความมืดมิดไปสู่เส้นทางที่สว่างสดใสรุ่งเรืองและไม่เป็นไปอย่างที่เหล่าสองขบวนการพันธมิตรต้องการอยากให้เป็น

โดยเฉพาะล่าสุดมีข่าวลือสะพัดว่า ขบวนการเพื่อแม้วในต่างแดน ตลอดจนเหล่าสาวกผิดหวังไม่พอใจเป็นอย่างมากจากรายชื่อโฉมหน้าของประธานและคณะองคมนตรีชุดใหม่ โดยก่อนหน้านี้มีข่าวลือหนาหูในหมู่ขบวนการเพื่อแม้ววาดฝันว่า หากประเทศเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เมื่อไหร่นายใหญ่มีหวังได้กลับบ้าน

แต่จากรายชื่อคณะองคมนตรีปรากฏว่า พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ซึ่งที่ผ่านมาตกเป็นเป้าโจมตีของขบวนการเพื่อแม้วอย่างหนักมาตลอดด้วยข้อกล่าวหาว่าเป็น “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ยังคงได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยจากสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รัชกาลที่ 10 โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง พล.อ.เปรม เป็นประธานองคมนตรีอีกครั้ง และยังทรงแต่งตั้งองคมนตรีใหม่ 10 คนซึ่งเป็นองคมนตรีชุดเดิม 7 คนในรัชกาลที่ 9 ประกอบด้วย
1.พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ 2.นายเกษม วัฒนชัย 3.นายพลากร สุวรรณรัฐ 4.นายอรรถนิติ ดิษฐอำนาจ 5.นายศุภชัย ภู่งาม 6.นายชาญชัย ลิขิตจิตถะ 7.พล.อ.อ.ชลิต พุกผาสุข

และองคมนตรีใหม่ 3 คนประกอบด้วย 1.พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีตรมว.ศึกษาธิการรัฐบาลปัจจุบัน 2.พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา อดีตรมว.ยุติธรรม รัฐบาลชุดปัจจุบัน และ 3.พล.อ.ธีรชัย นาควานิช อดีตผู้บัญชาการทหารบกและสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)

จากรายชื่อคณะองคมนตรีทั้งหมดยืนยันได้เลยว่าเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์อย่างแท้จริง โดยเฉพาะองคมนตรีใหม่ 3 คนคือ พล.อ.ดาว์พงษ์ พล.อ.ธีรชัย และ พล.อ.ไพบูลย์ ได้ชื่อว่าเป็น 3 ทหารเสือของพระราชา

จากความผิดหวังต่อสถานการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านโดยเฉพาะจากรายชื่อคณะองคมนตรีที่ออกมาซึ่งไม่มีคนที่ตัวเองอยากให้เป็นแม้แต่คนเดียวทำให้เกิดข่าวลือว่านายใหญ่ถึงกับควันออกหูสั่งให้เหล่าสาวกทั้งบนดินใต้ดินเตรียมเปิดศึกเต็มที่ โดยเฉพาะเครือข่ายขบวนการจาบจ้วงสถาบันทั้งผ่านทางโซเชียลมีเดียและเหล่าสื่อผีโม่แป้งชาติตะวันตก

ขณะที่สำนักจานบินก็อยู่ในสถานการณ์ที่กำลังเข้าตาจนเข้าไปทุกทีจากการถูกออกหมายจับและถูกดำเนินคดีเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้นักสังเกตการณ์ทางการเมืองเชื่อว่า ภายใต้สถานการณ์ที่บีบรัดสองพันธมิตรมากขึ้นเรื่อยๆ อาจทำให้ต่างต้องรวมหัวกันเดินเกมทำทุกวิถีทางสู้แบบเลือดเข้าตา

บทเรียนที่ผ่านมาขบวนการเพื่อแม้วสามารถทำเรื่องเลวร้ายได้ทุกอย่างทั้งบนดินและใต้ดินเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่นายใหญ่ในต่างแดนต้องการโดยเคยจัดตั้งม็อบเสื้อแดงและกองกำลังใต้ดินสร้างสถานการณ์ก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกกระทรวงมหาดไทยหมายสังหาร นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและผู้นำชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี 2522 หวังชิงอำนาจรัฐแต่ประสบความล้มเหลว และในปีถัดมาก็สร้างสถานการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองในปี 2553 จนมีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากและสร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างหนัก

นอกจากนี้ขบวนการเพื่อแม้วยังจัดตั้งเครือข่ายบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงจนหลายคนถูกออกหมายจับและหลบหนีความผิดไปปักหลักหลบซ่อนอยู่ในหลายประเทศ และยังคงเคลื่อนไหวบ่อนทำลายสถาบันสูงสุดของชาติอย่างเหิมเกริมต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามคนที่คิดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูงและก่อกรรมไว้กับชาติบ้านเมืองไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จดังใจหวัง เพราะคนทั้งประเทศนับวันจะรู้เช่นเห็นชาติธาตุแท้ขบวนการอุบาทว์เหล่านี้ ซึ่งปรากฏการณ์ช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญได้พิสูจน์ให้เห็นอย่างชัดแจ้งแล้วว่า คนไทยผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างลึกซึ้งเพียงใด และคนส่วนใหญ่ทั้งประเทศต่างพร้อมใจตั้งปณิธานทำดีเพื่อพ่อแห่งแผ่นดินเพื่อให้บ้านเมืองเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวเกื้อกูลกันและเกิดความสุขร่มเย็นไม่กลับไปสู่วิกฤติอันเลวร้ายอีก

ดังนั้นต้องจับตาขบวนการสองพันธมิตรที่เลือดเข้าตาที่พร้อมจะสู้แบบจนตรอกและใช้วิธีการใต้ดินอันชั่วร้ายรวมถึงการลอบก่อวินาศกรรมเหมือนที่ผ่านๆมา ดังที่แกนนำของขบวนการอุบาทว์เคยประกาศว่า ถ้าพวกข้าอยู่ไม่ได้ พวกเอ็งก็อย่าหวังที่จะอยู่กันอย่างสงบสุขอีกเลย

ทีมข่าวการเมือง

สงฆ์แท้พระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต แสงสว่างแห่งวงการพุทธศาสนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247835

วันพุธ ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

news_default

นับเป็นแสงสว่างสำหรับวงการพระพุทธศาสนาเมื่อสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯสถาปนาเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ถวายแด่พระสังฆาธิการซึ่งดำรงในสมณคุณมีอุปการะยิ่งแก่การพระศาสนา 159 รูป เนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช 5 ธ.ค.ที่ผ่านมา โดยในบรรดาพระสงฆ์ที่ได้รับการเลื่อนและตั้งสมณศักดิ์ที่สำคัญคือ พระพรหมคุณาภรณ์ (ประยุทธ์ ปยุตโต ป.ธ.9) แห่งวัดญาณเวศกวัน จ.นครปฐม ที่ขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ซึ่งนับเป็นครั้งแรกที่พระเถระผู้ใหญ่จากวัดราษฎร์ที่ไม่ใช่พระอาราหลวงได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็นสมเด็จพระราชาคณะระดับสูง

จากการเลื่อนสมณศักดิ์ครั้งนี้ทำให้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต มีสถานะเป็นกรรมการมหาเถรสมาคม(มส.)โดยปริยาย

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต นั้นเป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศว่าเป็นสงฆ์แท้ที่เพียบพร้อมทั้งจริยวัตรของสงฆ์ที่ใสสะอาดบริสุทธิ์งดงาม ตรงไปตรงมาและปราดเปรื่องอย่างยากที่จะหาสงฆ์ใดเสมอเหมือน

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต เกิดเมื่อปี 2481 เป็นชาว จ.สุพรรณบุรี บรรพชาเป็นสามเณรตั้งแต่อายุ 12 ปี และสอบได้นักธรรมชั้นเอกและเปรียญธรรม 9 ประโยค ขณะยังเป็นสามเณรซึ่งเป็นรูปที่สองในรัชกาลที่ 9 และเป็นรูปที่สี่ในสมัยรัตนโกสินทร์ และได้รับการอุปสมบทเป็นนาคหลวงในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อปี 2504 ณ วัดพระศรีรัตนศาสดาราม

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต เป็นสงฆ์นักวิชาการ นักคิด นักเขียน โดยมีผลงานด้านพระพุทธศาสนาเป็นจำนวนมากทั้งภาษาไทย และภาษาอังกฤษ จนได้รับการยกย่องทั้งในและต่างประเทศเป็นอย่างมาก รวมทั้งได้รับรางวัลและดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์จากสถาบันทั้งในและต่างประเทศมากกว่า 15 สถาบันซึ่งนับเป็นพระภิกษุที่ได้รับการยกย่องและได้รับรางวัลมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา อีกทั้งเป็นคนไทยคนแรกที่ได้รับรางวัลการศึกษาเพื่อสันติภาพจากองค์การศึกษาและวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ หรือยูเนสโก

ในปี 2549 สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต ได้รับโปรดเกล้าฯแต่งตั้งเป็นราชบัณฑิตกิตติมศักดิ์ และปัจจุบันยังดำรงตำแหน่งเป็นศาสตราจารย์พิเศษประจำมหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย

หนึ่งในผลงานการเขียนหนังสือของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต ก็คือการวิพากษ์ชำแหละกรณีของสำนักธรรมกาย โดยชี้ให้เห็นว่า วัดพระธรรมกายเผยแพร่คำสอนที่ผิดเพี้ยนไปจากหลักพระพุทธศาสนาอย่างร้ายแรงหลายประการ อาทิ การสอนว่านิพพานเป็นอัตตา สอนเรื่องธรรมกายเป็นภาพนิมิต และให้มีธรรมกายที่เป็นตัวตนเป็นอัตตาของพระพุทธเจ้ามากมายหลายพระองค์ไปรวมกันอยู่ในอายตนนิพพาน

นอกจากนี้ ยังสอนเรื่องอายตนนิพพานที่มีการปรุงแต่งถ้อยคำขึ้นมาเองใหม่ให้เป็นดินแดนที่จะเข้าสมาธิไปเข้าพระพุทธเจ้าได้ ถึงกับมีพิธีถวายข้าวพระที่จะนำข้าวบูชาไปถวายแด่พระพุทธเจ้า

สำนักธรรมกายโดย ธัมมชโย พยายามสร้างภาพทำตนดุจผู้วิเศษและส่อพฤติการณ์ลวงโลกอ้างสารพัดอิทธิปาฏิหาริย์เพื่อทำธุรกิจขายบุญ โดยนำบุญมาเป็นเครื่องมือหลอกล่อให้ประชาชนหลงเคลิบเคลิ้มงมงายวนเวียนอยู่กับการบริจาคทรัพย์แลกกับบุญและได้ขึ้นสวรรค์ชั้นต่างๆ ถึงกับอ้างว่ายิ่งบริจาคมากก็จะยิ่งได้ขึ้นสวรรค์ชั้นไฮโซชั้นสูงขึ้นเรื่อยๆ หรือการโฆษณาชวนเชื่อขายค้อนวิเศษพร้อมคาถาชิตังเมที่เคาะแล้วรวย หรือการอ้างว่าสามารถถอดร่างไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หรือสร้างเรื่องลวงโลกว่าได้ไปพบ สตีฟ จอบส์ อดีตซีอีโอผู้ก่อตั้งบริษัทแอปเปิล ที่เสียชีวิตไปแล้วโดย สตีฟ จอบส์ ได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรในสวรรค์ชั้นที่ 7 หรือการอวดอ้างว่าพระเถระสายปฏิบัติผู้บริสุทธิ์จนเป็นที่ยอมรับ อาทิ ท่านพุทธทาส หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถร ต้องใช้กรรมตกนรก แต่ตัวเองสามารถใช้บุญบารมีทำให้ท่านพุทธทาสและหลวงปู่มั่น พ้นจากแดนนรกมาได้

ในหนังสือของ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโต ชี้ว่า วัดพระธรรมกายนำคำว่าบุญมาใช้ในลักษณะที่ชักจูงให้ประชาชนวนเวียนจมอยู่ในการบริจาคทรัพย์เพื่อวัตถุประสงค์ต่างๆชนิดที่ส่งเสริมความยึดติดถือมั่นในตัวตน และในตัวบุคคลอันอาจกลายเป็นแนวโน้มที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาและสังคมไทยในระยะยาว รวมทั้งทำให้พระธรรมวินัยรางเลือนไปด้วย

“พฤติกรรมของวัดพระธรรมกายเป็นการจาบจ้วง ลบหลู่ ย่ำยีพระธรรมวินัย สร้างความสับสนไขว้เขวและความหลงผิดแก่ประชาชน ประพฤติวิปริตจากพระธรรมวินัยก็ร้าย แต่ทำพระธรรมวินัยให้วิบัติร้ายยิ่งกว่า”

ที่ผ่านมาสำนักจานบินนอกจากส่อพฤติการณ์ก่อเรื่องเลวร้ายไว้มากมายยังพยายามแผ่ขยายอิทธิพลครอบงำแม้แต่องค์กรสงฆ์สูงสุดอย่างมหาเถรสมาคม(มส.)ก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่าตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของสำนักจานบินจนปัจจุบันวงการสงฆ์กลายเป็นแหล่งแสวงหาลาภยศและผลประโยชน์ของเหล่าสงฆ์เทียมในคราบผ้าเหลืองกลุ่มหนึ่งที่นับวันจะเป็นอันตรายต่อพระพุทธศาสนาและความมั่นคงของชาติมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้นการที่สงฆ์แท้อย่างสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ปยุตโตได้รับการเลื่อนสมณศักดิ์ครั้งนี้จึงนับเป็นแสงสว่างและความหวังสำหรับวงการสงฆ์และพระพุทธศาสนาที่จะได้รับการสังคายนาให้ใสสะอาดบริสุทธิ์มากขึ้น

ทีมข่าวการเมือง

พลานุภาพศูนย์รวมใจของแผ่นดิน ผนึกพลังไทยมุ่งสู่อนาคตที่สดใส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247704

วันอังคาร ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

จากผลสำรวจครั้งล่าสุดของชมรมขับเคลื่อนวิชาการเพื่อวิจัยความสุขชุมชน สำนักวิจัยซูเปอร์โพลล์ซึ่งสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศต่อความจงรักภักดีของประชาชนต่อสถาบันพระมหากษัตริย์พบว่า ร้อยละ 99.2 ระบุว่าภูมิใจค่อนข้างมากถึงมากที่สุดที่ได้เกิดมาเป็นคนไทยมีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลักของชาติ

ผลสำรวจดังกล่าวย่อมสะท้อนถึงจิตใจที่รักเทิดทูนของคนไทยทั้งประเทศที่มีความผูกพันอย่างลึกซึ้งและจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ที่สืบเนื่องมาแต่โบราณกาลและจะยังดำรงต่อไปอย่างไม่เสื่อมคลาย แม้ขณะนี้ชาติบ้านเมืองอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านสำคัญจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เข้าสู่ศักราชใหม่ที่มีสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ขึ้นเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่รัชกาลที่ 10 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ท่ามกลางกระแสเสียงทรงพระเจริญที่ดังกึกก้องไปทั่วประเทศ ขณะที่ผู้นำชาติต่างๆ พากันส่งสาส์นถวายพระพรแด่พระมหากษัตริย์องค์ใหม่ของไทย

การที่ไทยดำรงความเป็นชาติโดยไม่เคยตกเป็นอาณานิคมของชาติมหาอำนาจใดมาได้จนทุกวันนี้เป็นเวลาเกือบ 800 ปีก็ด้วยทรงพระปรีชาสามารถของเหล่าบรรพกษัตริย์ไทยในอดีตตั้งแต่ยุคสุโขทัยที่ทรงปกป้องประเทศจากอริราชศัตรูและทำนุบำรุงชาติบ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองพสกนิกรต่างอยู่เย็นเป็นสุข

เนื่องด้วยไทยเป็นเมืองแห่งพุทธศาสนาทำให้พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์นับแต่โบราณกาลทรงศรัทธาและทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง และยึดหลักธรรมคำสอนตามหลักพุทธศาสนาในการปกครองพสกนิกรใต้ร่มโพธิสมภาร ดังที่สมเด็จพ่อขุนรามคำแหงมหาราชทรงปกครองบ้านเมืองแบบพ่อปกครองลูกด้วยความเมตตาเอื้ออาทรเอาใจใส่และใกล้ชิดพสกนิกรของพระองค์ด้วยการแขวนฆ้องหรือระฆังที่หน้าพระบรมมหาราชวังเพื่อให้พสกนิกรสามารถมาร้องทุกข์ปัญหาความเดือดร้อน เพื่อที่พระองค์จะได้ขจัดปัดเป่าทุกข์ของพสกนิกร

ระบบพ่อปกครองลูกได้กลายเป็นพื้นฐานและหลักปฏิบัติที่สร้างความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทยอย่างลึกซึ้งตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

การที่คณะราษฎร์เปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข โดยไม่ใช่ประชาธิปไตยอย่างสมบูรณ์แบบเหมือนชาติตะวันตกก็เนื่องด้วยเล็งเห็นถึงความผูกพันอันลึกซึ้งที่มีมาอย่างยาวนานระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทย ซึ่งหากหักด้ามพร้าด้วยเข่าคณะราษฎร์ก็อาจจะเผชิญการต่อต้านจากพสกนิกรทั่วประเทศ

ในอดีตที่ผ่านมามีบทเรียนความแตกแยกในชาติจนกลายเป็นวิกฤติความรุนแรงทางการเมืองถึงขั้นสูญเสียเลือดเนื้อมาแล้วหลายครั้งจากความขัดแย้งระหว่างประชาชนกับผู้ถืออำนาจรัฐ ซึ่งทุกครั้งพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นศูนย์รวมดวงใจของคนทั้งชาติจะเป็นทางออกผ่าทางตันช่วยไกล่เกลี่ยความแตกแยกให้คลี่คลายลงด้วยดี และทำให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบสุขร่มเย็น

สถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยนั้นแตกต่างจากสถาบันพระมหากษัตริย์ในประเทศต่างๆทั่วโลก เนื่องจากพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทยมีความผูกพันใกล้ชิดอย่างลึกซึ้งดุจพ่อกับลูก ขณะที่พระมหากษัตริย์ในบางประเทศเป็นเพียงประมุขเชิงสัญลักษณ์ และหลายประเทศก็ไม่ได้มีความใกล้ชิดกับประชาชนดุจดั่งพระมหากษัตริย์ของไทย อาทิ สมเด็จพ่อขุนรามคำแหงมหาราช หรือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงออกประพาสต้นพบปะกับชาวบ้านตามจังหวัดต่างๆ อยู่เป็นเนืองนิตย์เพื่อที่จะได้ทรงทราบปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกรในพื้นที่เพื่อช่วยขจัดปัดเป่า

รูปธรรมความผูกพันอันลึงซึ้งและใกล้ชิดระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรของพระองค์ที่ชัดเจนใกล้ตัวที่สุดก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 ในพระบรมโกศที่ตลอดการครองราชย์ยาวนานถึง 70 ปีของพระองค์ซึ่งนอกจากจะเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกและได้รับการยกย่องจากทั้งโลกว่าเป็นราชาแห่งราชันแล้วยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงตรากตรำประกอบพระราชกรณียกิจอย่างหนักถึงกว่า 4,000 โครงการเพื่อความผาสุกของพสกนิกรของพระองค์จนได้รับการแซ่ซ้องจากทั่วโลกว่าเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงงานตรากตรำเหน็ดเหนื่อยมากที่สุดในโลก

ความเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติของสถาบันพระมหากษัตริย์ไทยจึงยิ่งใหญ่มีพลังเหนือกว่าระบอบประชาธิปไตยด้วยซ้ำ เพราะเมื่อเกิดวิกฤติในชาติบ้านเมืองอย่างรุนแรงจนถึงทางตันมีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้นที่จะเป็นคนกลางช่วยขจัดปัดเป่าได้ เพราะพระมหากษัตริย์นั้นทำเพื่อพสกนิกรของพระองค์และชาติบ้านเมืองโดยไม่มีผลประโยชน์อื่นใดเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่างจากผู้มีอำนาจหรือกลุ่มการเมืองที่ทำเพื่อตัวเองและพวกพ้อง

ชาติบ้านเมืองเสียเวลาเสียโอกาสและบอบช้ำมามากพอแล้วสำหรับความแตกแยกในชาติตลอดช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ดังนั้น ด้วยบรรยากาศของช่วงเปลี่ยนผ่านศูนย์รวมจิตใจที่หล่อหลอมคนในชาติให้เป็นหนึ่งเดียว ขณะที่ผองไทยทั้งประเทศทุกหมู่เหล่าแสดงเจตนารมณ์ทำดีสืบสานพระปณิธานเพื่อพ่อของแผ่นดินด้วยการเกื้อกูลรู้รักสามัคคี จึงน่าจะเป็นโอกาสอันดียิ่งที่จะลบบทเรียนอันบอบช้ำในอดีตแล้วรวมพลังไทยทั้งชาติให้เป็นปึกแผ่นเพื่อมุ่งพัฒนาชาติให้เจริยรุ่งเรืองมั่นคงสืบต่อไป

ทีมข่าวการเมือง

สำนักจานบินหมดสภาพ กรรมเช็คบิลทั้งคดี-วิกฤติศรัทธา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247559

วันจันทร์ ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

มาถึงจุดนี้ธัมมชโยและสำนักจานบินเรียกได้ว่าหมดสภาพทั้งทางโลกและทางธรรม และกำลังทยอยใช้กรรมที่ก่อไว้ในอดีต ขณะเดียวกันกำลังเผชิญวิกฤติศรัทธาครั้งใหญ่จากการที่สังคมรู้เช่นเห็นชาติโฉมหน้าตัวตนที่แท้จริงชัดขึ้นเรื่อยๆ

ในทางโลกนั้น ธัมมชโย จากที่เคยยิ่งใหญ่ทรงอิทธิพลในฐานะผู้นำลัทธิที่ผิดเพี้ยนจากหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ด้วยบุคลิกและพยายามสร้างภาพตัวเองดุจผู้วิเศษที่อวดอ้างสารพัดอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ถึงขนาดเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าบนสรวงสวรรค์ได้ รวมทั้งการใช้หลักการตลาดและพิธีการที่ยิ่งใหญ่ตระการตาดูน่าเชื่อถือทำให้พุทธพาณิชย์หลอกขายบุญของสำนักจานบินเฟื่องฟูจนมีสาวกหลงงมงายทั่วประเทศ และด้วยอำนาจอิทธิพลทั้งเงินทรัพย์สินมูลค่ามหาศาลซึ่งซ่อนไว้ด้วย เบื้องหลังทั้งด้านมืดและด้านสว่างทำให้ ธัมมชโย และสำนักจานบินแผ่ขยายอิทธิพลครอบงำแม้แต่องค์กรสงฆ์สูงสุดและแทบจะทุกองคาพยพของประเทศไว้ในอุ้งมือ และที่ผ่านมาสำนักจานบินทำตัวดุจรัฐอิสระที่กฎหมายเข้าไปแตะต้องไม่ได้

แต่วันนี้เมื่อกรรมตามทัน ธัมมชโย และเหล่าคนใกล้ชิดกำลังจะเข้าตาจนถูกเช็คบิลด้วยกฎหมายกันถ้วนหน้า โดยเบื้องต้น ธัมมชโย เจอหมายจับ 3 หมาย ขณะที่คนใกล้ชิด อาทิ นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นซึ่งเคยเป็นมือขวาของ ธัมมชโย เมื่อครั้งเป็นมัคนายกสำนักจานบินขณะนี้เข้าคุกใช้กรรมไปเรียบร้อยแล้วในข้อหาโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ส่วน ธัมมชโย เจอข้อหาฟอกเงินและรับของโจรจากเงินสกปรกที่ยักย้ายถ่ายเทมาจาก นายศุภชัย

นอกจากนี้ยังมีเหล่าเครือข่ายในสำนักจานบินอีกหลายคนถูกออกหมายจับข้อหาร่วมขบวนการโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นและคดีอื่นๆ โดยหลายคนหนีหมายจับหัวซุกหัวซุนซึ่งแม้จะหนีรอดเงื้อมมือกฎหมายไปได้ในวันนี้ แต่ก็หนีกรรมและตราบาปที่จะติดตัววงศ์ตระกูลไปตลอดชีวิตไม่พ้น

การที่ ธัมมชโย ยังถือดีดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวตามหมายจับนอกจากจะยิ่งเพิ่มกรรมให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นความเห็นแก่ตัวพอกพูนกรรมให้กับสำนักจานบิน คนใกล้ชิด ตลอดจนความสงบสุขของชาติบ้านเมืองมากขึ้นเรื่อยๆ โดยจากการที่ ธัมมชย ดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวคดีรุกป่าสงวนแห่งชาติสร้างเป็นสาขาอาณาจักรสำนักจานบินที่ จ.เลย และ จ.นครราชสีมา ทำให้ล่าสุดเรื่องบานปลายมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อฝ่ายตำรวจดำเนินคดีกับ พระเผด็จ ทัตตชีโว รักษาการเจ้าสำนักจานบิน ในข้อหาเป็นเจ้าพนักงานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบอันเป็นความผิดตามมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกไม่เกิน 10 ปี รวมทั้งข้อหาให้การช่วยเหลือหรือให้ที่พักพิงแก่ผู้ต้องหาหนีคดีซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี

นอกจากข้อหาละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 รวมทั้งข้อหาช่วยเหลือหรือให้ที่พักพิง ยังรวมถึงข้อหาผู้ใดแม้แต่พระชั้นผู้ใหญ่ซึ่งถือเป็นพนักงานแห่งรัฐหากไม่ให้ความร่วมมือในการนำเจ้าหน้าที่ดีเอสไอและฝ่ายตำรวจเข้าตรวจค้นสำนักจานบินเพื่อจับตัว ธัมมชโย ก็เข้าข่ายความผิดด้วย ยังไม่รวมถึงบรรดาสาวกสำนักจานบินหากออกมาตั้งกำแพงมนุษย์หรือขัดขวางการเข้าตรวจค้นจับกุม ธัมมชโย ไม่ว่าด้วยวิธีการใดถือว่ามีความผิดต้องถูกดำเนินคดีเช่นกัน

เพราะฉะนั้นจากปัญหาของผู้ต้องหาหนีหมายจับเพียงคนเดียวคือ ธัมมชโย กำลังจะสร้างความวิบัติลุกลามบานปลายให้กับทุกฝ่าย

ขณะที่ ดร.นพ.มโน เลาหวณิช อาจารย์วิทยาลัยแพทยศาสตร์นานาชาติจุฬาภรณ์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ อดีตศิษย์สำนักจานบิน ซึ่งรู้เช่นเห็นชาติ ธัมมชโย เป็นอย่างดีให้ความเห็นว่า ขณะนี้สำนักจานบินกำลังเสื่อมลงเรื่อยๆจากการที่เหล่าสาวกเริ่มหูตาสว่างรู้ว่าถูกหลอกจนเสื่อมศรัทธามากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ขณะนี้แม้จะมีการสั่งระดมสาวกให้มารวมตัวที่สำนักจานบินหวังปกป้อง ธัมมชโย แต่ก็มีจำนวนเพียงประมาณ 4,000 คนเท่านั้น ซึ่งถือว่าน้อยมากหากเทียบกับในอดีต

ดร.นพ.มโน ชี้ว่าจากเจตนาของ ธัมมชโย และเหล่าคนใกล้ชิดสะท้อนให้เห็นว่า ตั้งป้อมสู้ไม่ยอมมอบตัวแน่โดยพยายามยื้อเกมออกไปให้นานที่สุด ขณะที่การปฏิบัติการจับ ธัมมชโย ของดีเอสไอและฝ่ายตำรวจครั้งนี้มีเดิมพันสูงมากเพราะหมายถึงศักดิ์ศรีความน่าเชื่อถือในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งสังคมเฝ้าจับตาดูอยู่ เพราะฉะนั้นหากต้องการให้แผนปฏิบัติการครั้งนี้ประสบความสำเร็จต้องจับ พระทัตตชีโว และตัวการสำคัญในสำนักจานบินที่เรียกว่า “5 เสือ” ให้ได้ ซึ่งหากทำสำเร็จสำนักจานบินก็จะกลายเป็นผีหัวขาดไม่เหลือแกนนำ ขวัญกำลังใจของเหล่าสาวกก็จะยิ่งตกกลายเป็นไม่ชิตังเมรวย แต่ซวยกันถ้วนหน้า

สำหรับ “5 เสือ” สำนักจานบินนอกจาก พระทัตตชีโว อีก 4 รูปประกอบด้วย พระถวัลย์ศักดิ์ ยติสักโก รองผู้อำนวยการสำนักพัฒนาทรัพยากร พระมหาสมชาย ฐานวุฑโฒ ผู้ช่วยเจ้าสำนัก พระครูใบฎีกาอำนวยศักดิ์ มุนิสโก ผู้อำนวยการสำนักองค์ประธาน และ พระสุธรรม สุธัมโม เจ้าสำนักจานบินสาขาซิดนีย์ ประเทศออสเตรเลีย

เพราะฉะนั้น ณ วันนี้ ธัมมชโยและสำนักจานบินคงไม่มีทางกลับไปยิ่งใหญ่แสดงอิทธิพลเป็นรัฐอิสระอยู่เหนือกฎหมายเหมือนในอดีตได้อีกต่อไป และกำลังนับถอยหลังไปสู่วิกฤติศรัทธาและความเสื่อมมากขึ้นเรื่อยๆ แม้แต่เหล่าสาวกที่ขณะนี้เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยเริ่มตาสว่างรู้เท่าทันเบื้องหลังธาตุแท้ธัมมชโยและพวก ขณะที่เกิดกระแสสังคมนอกจากเรียกร้องให้ยึดหลักกฎหมายจัดการธัมมชโยและพวกอย่างจริงจังแล้ว ยังต้องการให้ตรวจสอบขุมทรัพย์มูลค่ามหาศาลซึ่งควรเป็นของแผ่นดินทั้งหมดของสำนักจานบินและเส้นทางการเงินของธัมมชโยรวมทั้งเหล่าคนใกล้ชิดตลอดจนเครือญาติอย่างละเอียดเพราะเชื่อว่าน่าซ่อนไว้ด้วยความไม่ชอบมาพากลครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์แน่นอน

ทีมข่าวการเมือง

สถานการณ์ประเทศเป็นใจ เอื้อเปิดทางบิ๊กตู่อยู่ยาว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247432

วันอาทิตย์ ที่ 4 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

สถานการณ์ของประเทศขณะนี้ดูเหมือนจะเอื้อไม่น้อยให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ได้ต่ออายุอยู่บริหารประเทศต่อไปหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าโดยเฉพาะจากเสียงสะท้อนความไว้วางใจเชื่อมั่นของมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศ

ผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชนทั่วประเทศของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลเรื่อง สมการการเมืองจัดตั้งรัฐบาลในอนาคตครั้งล่าสุดพบว่า กรณีตัวอย่างร้อยละ 82.4 ระบุว่ายังไม่มีคนที่แก้ปัญหาสถานการณ์บ้านเมืองได้ดีถ้าไม่ใช่รัฐบาลคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

ส่วนเรื่องรัฐบาลในอนาคตนั้น ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 60.5 ระบุว่า สมการรัฐบาลในอนาคตน่าจะประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่รวมกับพรรคการเมืองเล็กและพรรคการเมืองที่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ขณะที่ร้อยละ 39.5 ระบุว่า น่าจะประกอบด้วยพรรคการเมืองใหญ่ รวมกับพรรคเล็ก

นอกจากนี้ประชาชนร้อยละ 54.1 เห็นด้วยที่จะมีซุปเปอร์รัฐบาลควบคุมรัฐบาลจากการเลือกตั้งอีกชั้นหนึ่ง ขณะที่ร้อยละ 45.9 ไม่เห็นด้วย และที่น่าพิจารณาคือข้อเสนอของประชาชนต่อบทบาทของสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) ที่ควรจะรีบดำเนินการตามลำดับ อาทิ กฎหมายปฏิรูปตำรวจ กฎหมายเกี่ยวกับการลดความเหลื่อมล้ำ คนรวยคนจนเข้าถึงทรัพยากรอย่างเท่าเทียม กฎหมายปราบการทุจริตคอร์รัปชั่น

ผลสำรวจของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลสอดคล้องกับโพลล์ทุกสำนักก่อนหน้านี้ที่สะท้อนอย่างสอดคล้องกันมาอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่คสช.เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่เมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 โดยประชาชนส่วนใหญ่ยังเชื่อมั่นในคสช.และรัฐบาลโดยเฉพาะความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ซึ่งที่เป็นเช่นนี้อาจเนื่องจากประชาชนเอือมระอาต่อระบบธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา จึงต้องการให้อำนาจพิเศษเข้ารักษาความสงบเรียบร้อยและปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายของธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่เต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น และสร้างความแตกแยกในชาติอย่างลึกซึ้งและนำไปสู่วิกฤติความรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ซุปเปอร์รัฐบาลนั้นเป็นแนวคิดที่เคยกำหนดไว้ในร่างรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้ที่ตกไป เนื่องจากไม่ผ่านความเห็นชอบของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.) โดยกำหนดให้มีองค์กรพิเศษที่เรียกว่าคณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ ซึ่งมีบทบาทหน้าที่เข้ามาคลี่คลายสถานการณ์ของชาติในยามวิกฤติถึงทางตัน อันสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความไม่เชื่อมั่นศรัทธาของประชาชนส่วนใหญ่ที่มีต่อนักการเมืองตรงกันข้ามกับเชื่อมั่นศรัทธาในองค์กรพิเศษที่เป็นผลพวงของคสช.

อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนสำหรับรัฐบาลปัจจุบันก็คือปัญหาเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวทั้งจากภาวะเศรษฐกิจโลกตกต่ำและอำนาจซื้อภายในประเทศยังไม่ซบเซา ขณะที่ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำอย่างหนักโดยเฉพาะราคาข้าว ซึ่งรัฐบาลพยายามแก้ปัญหาเฉพาะหน้าโดยเฉพาะราคาข้าวด้วยมาตรการจำนำยุ้งฉางข้าว รวมทั้งให้เงินช่วยเหลือชาวนา ขณะที่ผลพวงจากความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของคนในชาติที่ช่วยกันคนละไม้คนละมือทำดีเพื่อพ่อแห่งแผ่นดินทำให้ทุกภาคส่วนทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนทั่วไปต่างพร้อมใจกันให้สถานที่แก่ชาวนานำข้าวมาขายต่อผู้บริโภคโดยตรงไม่ผ่านพ่อค้าคนกลาง และประชาชนต่างก็ช่วยกันซื้อข้าวจากชาวนา ขณะที่ฝ่ายทหาร ตำรวจก็ช่วยชาวนาเกี่ยวข้าวทำให้วิกฤติราคาข้าวตกต่ำคลี่คลายไปด้วยดี

ขณะเดียวกันรัฐบาลก็ดำเนินมาตรการสวัสดิการของรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจและบรรเทาปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนในช่วงส่งท้ายปีเก่า อาทิ มาตรการแจกเงินแก่ผู้มีรายได้น้อยรายละ 1,500-3,000 บาท การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ 69 จังหวัดทั่วประเทศในอัตราจังหวัดละ 5-10 บาท ยังไม่รวมมาตรการที่รัฐช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟให้ผู้มีรายได้น้อยในเมืองช่วงปลายปี และอื่นๆ

นโยบายสวัสดิการของรัฐดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการซื้อใจประชาชนแก้เกมนโยบายประชานิยมของนักการเมือง ขณะเดียวกันเป็นสัญญาณปูทางชี้ว่า พล.อ.ประยุทธ์ อาจอยู่ยาว

จากสถานการณ์ของชาติบ้านเมืองขณะนี้ประชาชนทั้งประเทศกำลังเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในการทำดีเพื่อพ่อแห่งแผ่นดินซึ่งแน่นอนว่าประชาชนอยากเห็นบ้านเมืองเกิดความสงบสุขร่มเย็นเกิดความปรองดองไม่อยากเห็นบ้านเมืองลุกเป็นไฟเหมือนในอดีตอีก รวมทั้งจากหลายปัจจัยที่กล่าวทั้งหมดข้างต้นสะท้อนให้เห็นแนวโน้มสถานการณ์ของประเทศที่เป็นใจให้ พล.อ.ประยุทธ์ที่อาจต้องต่ออายุการเป็นผู้นำประเทศหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าเพื่อเดินหน้าปฏิรูปและประคับประคองประเทศในภาวะที่ยังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านที่ไม่น่าไว้วางใจ และขณะที่ประชาชนยังเอือมระอาธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

ทีมข่าวการเมือง

จนท.รัฐชอบธรรมจับธัมมชโย ควรคว่ำบาตรรัฐอิสระสำนักจานบิน?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247323

วันเสาร์ ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

นับตั้งแต่เมื่อวันที่ 16 มิ.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งกำลังเจ้าหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) พยายามเข้าคุมตัวธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินตามหมายจับที่อนุมัติโดยศาลในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น แต่ก็ล้มเหลวโดยฝ่ายเจ้าหน้าที่ยอมถอนทัพกลับเพราะการต่อต้านขัดขวางจากการใช้กำแพงมนุษย์โดยเหล่าสาวกสำนักจานบิน จนบัดนี้เวลาล่วงเลยมานานเกือบ 6 เดือนขณะที่ธัมมชโยมีหมายจับเพิ่มเป็น 3 หมายจับ แต่ก็ยังลอยนวลท้าทายกฎหมาย

สำนักจานบินส่อพฤติการณ์เป็นรัฐอิสระเหนือกฎหมายมาตลอดโดยนอกจากอาศัยกำแพงมนุษย์ขัดขวางการจับกุมผู้ต้องหาหนีหมายจับแล้ว ยังใช้รั้วลวดหนามซึ่งเป็นยุทธปัจจัยต้องห้ามที่ใช้เฉพาะในหน่วยงานด้านความมั่นคง อีกทั้งใช้รถแบ๊กโฮขนาดใหญ่ปิดขวางประตูทางเข้า และใช้อุปกรณ์สิ่งกีดขวางสารพัดรูปแบบขัดขวางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอเมื่อคราวที่แล้วไม่ต่างจากรัฐอิสระที่กฎหมายเข้าไปแตะต้องไม่ได้

เจ้าหน้าที่รัฐไม่ว่าจะเป็นดีเอสไอหรือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ที่ออกหมายจับ ธัมมชโย ตามอำนาจศาลมีความชอบธรรมในการเข้าจับกุม ธัมมชโย ส่วนที่ขัดขวางการจับกุมต้องถูกดำเนินคดีและมีโทษตามกฎหมาย เช่นเดียวกับผู้ที่ให้การช่วยเหลือให้ที่พักพิงแก่ ธัมมชโย มีโทษความผิดตามกฎหมายซึ่งก็คือ พระเผด็จ ทัตตชีโว รักษาการเจ้าสำนักจานบิน ซึ่งส่อเจตนาดื้อแพ่งไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ

ปัญหาของธัมมชโยที่ยืดเยื้อมานานสะท้อนอิทธิพลของธัมมชโย และสำนักจานบิน ที่ทำตัวดุจอภิสิทธิ์ชนรัฐอิสระเหนือประชาชนทั่วไปและพยายามใช้กฎหมู่อยู่เหนือกฎหมาย ขณะเดียวกันก็สะท้อนพฤติการณ์ส่อโกหกพกลมลวงโลก
ตีรวนพลิกลิ้นกลับไปกลับมา และไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมถึงขนาดตะแบงอ้างแบบน้ำขุ่นๆ หวังยื้อเกมซื้อเวลาไปเรื่อยว่า ต้องรอให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อน ธัมมชโย ถึงจะยอมมอบตัวสู้คดี

สำหรับองค์กรสงฆ์และหน่วยงานภาครัฐด้านศาสนาอย่างสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ที่ผ่านมาก็ส่อเจตนาโยนกลองซื้อเวลาปัญหา ธัมมชโย ไปเรื่อยๆ อันเป็นการช่วยเหลือ ธัมมชโยทางอ้อมแทนที่จะดำเนินการกับ ธัมมชโย ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมายอย่างจริงจัง

ที่ผ่านมามหาเถรสมาคม(มส.)โยนกลองปัญหา ธัมมชโย ให้เจ้าคณะใหญ่หนกลาง เจ้าคณะใหญ่หนกลางก็โยนกลองต่อไปให้เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีก็ดึงเกมจึงไม่น่าแปลกใจที่ ธัมมชโย ลอยนวลเหนือกฎหมายมาได้จนถึงวันนี้ เช่นเดียวกับ นายพนม ศรศิลป์ ผู้อำนวยการ พศ. ที่ล่าสุดกลับมาเริ่มนับหนึ่งใหม่ตั้งคณะกรรมการเจรจา ธัมมชโย ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้มีการเจรจามาแล้วไม่รู้กี่รอบแต่ก็เหลวไม่เป็นท่า

เจ้าหน้าที่รัฐทั้งดีเอสไอและฝ่ายตำรวจปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายทุกประการทั้งการขออำนาจศาลออกหมายจับ และพยายามโอนอ่อนด้วยความละมุนละม่อมมาตลอดไม่อยากให้เรื่องบานปลายใหญ่โต และทุกอย่างทำอย่างเปิดเผย ซ้ำเปิดช่องทางลงให้ ธัมมชโย ด้วยซ้ำโดยพร้อมให้ประกันตัวทันทีหากยอมมอบตัวแต่โดยดี แต่ ธัมมชโย ยังถือดีในอิทธิพลของสำนักจานบินจึงดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัว ซึ่งหากเป็นอย่างนี้โดยเจ้าหน้าที่บุกจับตัวได้ก็ต้องคุมตัวเข้าห้องขังสถานเดียวเพราะให้โอกาสแล้วยังตั้งแง่ ซึ่งกรณีหากเจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายเข้าจับตัวธัมมชโยที่ตั้งแง่ขัดขืนต้องถูกจับสึกสถานเดียวก่อนนำตัวเข้าห้องขัง

ดังนั้นฝ่ายเจ้าหน้าที่จึงมีความชอบธรรมตามกฎหมายทุกประการ ตรงกันข้ามกับ ธัมมชโยและสำนักจานบินที่ส่อเจตนาสู้แบบเลือดเข้าตาหวังให้เรื่องบานปลายจะได้ใช้เป็นข้ออ้างปลุกระดมเหล่าสาวกจำนวนมากมาเป็นเกราะกำบังให้ ธัมมชโย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาหนีหมายจับของศาล ซึ่งการใช้กำแพงมนุษย์ปกป้อง ธัมมชโย ในอดีตเคยประสบความสำเร็จมาแล้วสองครั้งทำให้เหิมเกริมได้ใจ

ที่ผ่านมา และเหล่ากระบอกเสียงสำนักจานบินส่อโกหกลวงโลกมาตลอด ทั้งอ้างว่าป่วยและออกใบรับรองแพทย์เท็จ ไม่ยอมให้แพทยสภาส่งคณะแพทย์มาตรวจสอบอาการเพราะกลัวถูกจับได้ว่าไม่ได้ป่วยจริงอย่างที่โกหก ขณะเดียวกันพลิกลิ้นโฆษณาชวนเชื่ออยู่ตลอดเวลา โดยบางครั้งยืนยันว่า ธัมมชโย ยังอยู่ในสำนักจานบิน แต่ถัดมาแค่วันเดียวพลิกลิ้นไม่รับประกันว่า ธัมมชโย ยังอยู่หรือไม่ โดยอ้างว่าไม่เห็นธัมมชโยมา 6 เดือนแล้ว

ธัมมชโย ยังอ้างตัวดุจผู้วิเศษที่มีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ถึงขนาดถอดร่างไปพบพระพุทธเจ้าได้ ขณะเดียวกันก็ใช้หลักการตลาดทำธุรกิจขายบุญหลอกคนที่หลงเชื่อทำให้มีการตั้งคำถามและข้อสังเกตว่า คนอย่างนี้หรือคือสงฆ์แท้บริสุทธิ์ที่ควรอยู่ในบวรพุทธศาสนาและทำให้นึกถึงพุทธพจน์ที่ว่า “คนกล่าวเท็จไม่ทำชั่วเป็นไม่มี”

และไม่น่าแปลกใจที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) จะกล่าวว่า อย่ากดดันเจ้าหน้าที่ แต่ควรไปกดดันฝ่ายที่ไม่ยอมทำตามกฎหมาย

ปัญหาอิทธิพลของธัมมชโยและสำนักจานบินเกี่ยวพันถึงความมั่นคงของชาติจึงเป็นเรื่องที่สังคมควรตื่นรู้และตั้งคำถามว่าควรหรือไม่ที่จะร่วมกันใช้มาตรการทางสังคมช่วยกันตีแผ่โฉมหน้าที่แท้จริงและร่วมกันคว่ำบาตรธัมมชโยและรัฐอิสระที่พยายามสั่งสมอิทธิพลอย่างสำนักจานบิน นอกจากมาตรการทางกฎหมายซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐดำเนินการอยู่ในขณะนี้ เพราะมาตรการทางสังคมเท่านั้นจะเป็นการขจัดปัญหาได้อย่างยั่งยืน

ทีมข่าวการเมือง

จับตาการเมืองบงการหลังฉาก ขบวนการจ้องวินาศกรรมป่วนเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247215

วันศุกร์ ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

การที่ตำรวจกองปราบปรามได้เข้ารับช่วงคุมตัว3 ผู้ต้องหา ต่อจากฝ่ายทหารในคดีขบวนการวางแผนเตรียมก่อวินาศกรรมครั้งใหญ่ 17 จุด ในกทม.และปริมณฑล ถือเป็นคดีสำคัญที่อาจมีความเชื่อมโยงกับขบวนการก่อวินาศกรรมหลายครั้งก่อนหน้านี้ โดยเฉพาะการลอบก่อวินาศกรรมทั้งระเบิดและเผาใน 7 จังหวัดภาคใต้ และที่สำคัญอาจมีเบื้องหลังเกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลทางการเมือง

สำหรับ 3 ผู้ต้องหาขบวนการวางแผนระเบิดป่วนเมืองครั้งใหญ่ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีประกอบด้วย นายตาลมีซี โต๊ะตาลหยง นายอับดุลาซิร สือกะจิ และนายมูบารีห์ กะนะ โดยทั้ง 3 มีภูมิลำเนาอยู่ในจ.นราธิวาส ถูกตั้งข้อหามีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และทำตัวอั้งยี่ซ่องโจร

การคุมตัวดำเนินคดี 3 ขบวนการระเบิดป่วนเมืองครั้งนี้สืบเนื่องจากการที่ก่อนหน้านี้เมื่อต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หน่วยงานด้านความมั่นคงสืบทราบจากงานด้านการข่าวว่า ขบวนการที่ไม่หวังดีเตรียมแผนก่อวินาศกรรมด้วยระเบิดครั้งใหญ่ใน กทม.และปริมณฑล โดยเป้าหมายคือ แหล่งท่องเที่ยว แหล่งที่มีประชาชนพลุกพล่าน อาทิ ห้างสรรพสินค้า หรือลานจอดรถ

จากการข่าวดังกล่าวหน่วยงานด้านความมั่นคงได้ติดตามขยายผลจนนำไปสู่การจับกุมผู้ต้องหาทั้ง 3 ได้เมื่อวันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา หลังกำลังตำรวจและทหารปูพรมบุกเข้าปิดล้อมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยซึ่งเป็นหอพักและอพาร์ตเมนท์ในพื้นที่จ.สมุทรปราการ รวมทั้งย่านรามคำแหง 53 และย่านหนองจอก มีนบุรี

หลังจากการจับกุม 3 ผู้ต้องหา ฝ่ายทหารได้นำตัวไปสอบสวนเครียดในค่ายทหารช่วงระยะเวลาหนึ่งจนได้ข้อมูลเบาะแสที่เป็นประโยชน์พอสมควรแล้ว ฝ่ายทหารจึงส่งไม้ต่อด้วยการเข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนของฝ่ายตำรวจ เพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรม โดยมีการนำตัว 3 ผู้ต้องหา ไปทำแผนประกอบการรับสารภาพทั้งจุดหอพัก เลขที่ 4/226 ห้อง 207 ชั้น 2 เคหะชุมชนเมืองใหม่บางพลี จ.สมุทรปราการ หอพักภายในซอยรามคำแหง 53 หอพักย่านหนองจอกมีนบุรี ซึ่งผู้ต้องหารับสารภาพว่านำอุปกรณ์ประกอบระเบิดไปเก็บไว้ที่หอพักเพื่อเตรียมลงมือก่อวินาศกรรมแต่มาถูกจับได้เสียก่อน

นายตาลมีซี ยอมรับสารภาพว่า เป้าหมายที่เตรียมก่อวินาศกรรมตามที่ผู้สั่งการกำหนดไว้ คือ ห้างบิ๊กซีรามคำแหง ห้างสยามพารากอน เซ็นทรัลเวิลด์ และอีกหลายจุดทั่วกทม.และปริมณฑล

ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวว่า ผู้ต้องหาที่ถูกจับได้บางคนยอมเปิดปากสารภาพว่า ขบวนการระเบิดป่วนเมืองระดับปฏิบัติการทั่วกทม.และปริมณฑลมีทั้งหมด 9 คน โดยจะเดินทางมาพักตามหอพักหรืออพาร์ตเมนท์ในระยะเวลาสั้นๆ ไม่เกิน 10 วัน และจะย้ายสถานที่พักบ่อยๆ เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกฝ่ายเจ้าหน้าที่จับตาติดตามความเคลื่อนไหวได้

ผู้ต้องหายังรับสารภาพว่า เคยก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ อาทิ ร่วมในเหตุการณ์ยิงครู เมื่อปี 2555 เหตุระเบิดที่อ.ศรีสาคร เมื่อปี 2558

จากการตรวจค้นตามร่างกายของผู้ต้องหาทั้ง 3 อย่างละเอียดยังพบสาระเบิดทีเอ็นทีปนเปื้อนที่มือของผู้ต้องหารายหนึ่งด้วย ซึ่งถือเป็นวัตถุพยานที่มัดผู้ต้องหาอย่างดิ้นไม่หลุดนอกเหนือจากคำรับสารภาพ นอกจากนี้ยังมีการบุกตรวจค้นหอพักที่ผู้ต้องหาใช้เป็นแหล่งกบดานยังพบยาเสพติดแสดงว่ามือก่อวินาศกรรมเหล่านี้อาจติดยาเสพติด

ที่สำคัญมีรายงานข่าวแจ้งว่า ผู้ต้องหาได้รับสารภาพด้วยว่าได้รับการว่าจ้างจากผู้สั่งการให้ก่อวินาศกรรมป่วนประเทศครั้งนี้ ปัญหาใครคือผู้สั่งการ ซึ่งแน่นอนว่าคงไม่ใช่ตัวการใหญ่เพราะจะต้องมีตัวจอมบงการใหญ่ตัวจริงที่บงการและต่อท่อน้ำเลี้ยงให้ขบวนการมือวินาศกรรมกลุ่มนี้

พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ซึ่งรับผิดชอบคดีด้านความมั่นคงกล่าวถึงการดำเนินคดี 3 ผู้ต้องหาขบวนการ เตรียมก่อวินาศกรรมว่า ไม่เกี่ยวข้องกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ส่วนจะมีเบื้องหลังแรงจูงใจจากปัญหาการเมืองหรือไม่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธโดยกล่าวเพียงว่า ต้องรอการขยายผลการสืบสวนสอบสวนต่อไป

ในเมื่อ พล.ต.อ.ศรีวราห์ มั่นใจว่าแผนเตรียมก่อวินาศกรรมระเบิดป่วนเมืองหลวงครั้งใหญ่ไม่ใช่ฝีมือขบวนการแบ่งแยกดินแดนก็น่าจะเป็นการบอกเป็นนัยอยู่ในทีแล้วว่า เบื้องหลังไม่น่าจะเป็นเรื่องของความแตกต่างทางอุดมการณ์ แต่น่าจะซ่อนไว้ด้วยเบื้องหลังจากแรงจูงใจทางการเมือง

ดังนั้นเนื่องจากคดีนี้เป็นคดีใหญ่ที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติจากขบวนการที่จ้องบ่อนทำลายอำนาจรัฐ จึงต้องขยายผลคดีนี้อย่างจริงจังเพื่อสาวไปให้ถึงตัวการใหญ่ที่อยู่หลังฉากให้ได้ เพราะเริ่มมีเค้าลางว่าแผนเตรียมลอบระเบิดป่วนเมืองครั้งใหญ่จะเกี่ยวข้องกับการก่อวินาศกรรมบ่อนทำลายอำนาจรัฐหลายครั้งที่ผ่านมาโดยเฉพาะเหตุการณ์ระเบิดและเผาป่วน 7 จังหวัดภาคใต้ก่อนหน้านี้ ที่ พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร.เชื่อว่าเกิดจากขบวนการที่ต้องการป่วนเมือง

ทีมข่าวการเมือง

ดีเอสไอ-สตช.งัดแผนเด็ด ย้อนศรใช้พระจับพระ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/247104

วันพฤหัสบดี ที่ 1 ธันวาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

เท่าที่ดูรูปการณ์เชื่อว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)ภายใต้การนำทีมของ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงษ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ โดยมี พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมเป็นแบ๊กอัพเต็มที่ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.) ที่มี พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) รับผิดชอบกำลังวางแผนปฏิบัติการจัดกร “ธัมมชโย” ด้วยมาตรการจากเบาไปหาหนักเพิ่มความเข้มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเริ่มจากปฏิบัติการด้านจิตวิทยาสร้างข่าวกดดันให้ยอมมอบตัวแต่โดยดี แต่ขณะเดียวกัน ก็เตรียมแผนรุกฆาต หากยังดื้อแพ่งทำตัวอยู่เหนือกฎหมายก็จำเป็นต้องใช้ไม้แข็งนั่นคือขออำนาจศาลออกหมายค้นเพื่อจับตัว “ธัมมชโย” ที่คาดว่ายังหลบกบดานอยู่ภายในสำนักจานบิน

การที่ “ธัมมชโย” ดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวอาจเพราะยังมั่นใจถือดีในอิทธิพลของสำนักจานบินที่ใหญ่คับประเทศมานานเพราะนอกจากมีทรัพย์สินมหาศาลและสาวกทั่วประเทศจำนวนมากตั้งแต่ระดับรากหญ้าไปจนถึงระดับคนใหญ่คนโตระดับชาติ แต่ปัจจุบันสาวกสำนักจานบินคงร่อยหรอลงเยอะหลังเกิดข่าวอื้อฉาวทำให้เหล่าสาวกจำนวนไม่น้อยที่เริ่มตาสว่าง ความเชื่อมั่นในอิทธิพลของตัวเองของ “ธัมมชโย” ยังอาจรวมถึงเหล่าในเครือข่ายทาสรับใช้ในคราบผ้าเหลืองที่ครอบคลุมอาณาจักรสงฆ์ทั่วประเทศ โดยเฉพาะองค์กรสงฆ์สูงสุดคือมหาเถรสมาคม(มส.)ที่มีสมเด็จช่วง แห่งวัดปากน้ำ ผู้ทำหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชและเป็นอาจารย์ของ “ธัมมชโย” เป็นประธาน ซึ่งที่ผ่านมา มส.ถูกตั้งข้อสังเกตว่าคอยปกป้องช่วยเหลือ “ธัมมชโย” ให้รอดพ้นจากการถูกลงโทษ มาตลอด

นอกจากนี้การที่ “ธัมมชโย” ไม่ยอมมอบตัวเพราะย่อมรู้แก่ใจตัวเองดีว่าทำผิดจริงถึงสู้คดียังไงก็ยากพ้นโทษความผิด รวมถึงกลัวถูกจับได้ว่าลวงโลกกรณีที่ก่อนหน้านี้อ้างว่าป่วยเพื่อหนีหมายจับทั้งๆ ที่ไม่ได้ป่วยจริง ซึ่งเล่ห์อ้างว่าป่วย “ธัมมชโย” เคยใช้มาแล้วเมื่อครั้งถูกออกหมายจับฐานยักยอกเงินวัดเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว

ท่าทีมั่นใจในอิทธิพลของสำนักจานบินสะท้อนจากเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา พล.ต.ต.วรพงษ์ ทองไพบูลย์ รักษาการผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ปทส.) นำหนังสือแจ้งให้ “ธัมมชโย” เข้ามอบตัวไปยังสำนักจานบินฐานบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติหลายร้อยไร่สร้างสาขาสำนักจานบินที่สวนป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย และศูนย์ปฏิบัติธรรมกรีนพีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ปรากฏว่ายามสำนักจานบินไม่ยอมให้ พล.ต.ต.วรพงษ์ เข้าไปภายในสำนักจานบินแม้แต่ก้าวเดียว อันแสดงถึงความกร่างอหังการแม้แต่ระดับยามที่ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐที่เป็นถึงนายตำรวจระดับนายพล ทำให้นายตำรวจระดับนายพลผู้นี้ต้องนำหนังสือติดไว้ที่ประตูโดยหนังสือระบุให้ ธัมมชโย มอบตัวภายในวันที่ 2 ธ.ค. หากไม่ปฏิบัติตามจะดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย

ขณะที่ดีเอสไอและสตช.เดินแผนกดดันให้ “ธัมมชโย”มอบตัวแต่โดยดีเพื่อไม่ให้สถานการณ์บานปลายโดยเปิดช่องทางออกด้วยเงื่อนไขว่า หากยอมมอบตัวก็จะได้ประกันตัวทันที

แต่หากดื้อดึงจนเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับก็เป็นคนละเรื่องเพราะถ้า “ธัมมชโย” ดื้อแพ่งไม่ยอมมอบตัวตั้งแต่แรกแล้วถูกจับต้องนำตัวเข้าห้องขัง ซึ่งกฎหมายห้ามนำพระเข้าห้องขังดังนั้น ต้องจับสึกก่อนเข้าคุก ขณะเดียวกัน ดีเอสไอและสตช.ก็เดินแผนคู่ขนานซึ่งเป็นทีเด็ดและเจ็บแสบแบบย้อนศรใช้พระจับพระ โดยมีการทำหนังสือไปถึงพระชั้นผู้ใหญ่ทั้งเจ้าคณะใหญ่หนกลาง พระพุทธชินวงศ์ (สมศักดิ์ อุปสโม) แห่งวัดพิชยญาติการาม และ เจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี พระเทพรัตนสุธี เจ้าอาวาสวัดเขียนเขต รวมทั้งสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) เพื่อนิมนต์พระผู้ใหญ่ให้มานำหน้ากำลังของดีเอสไอและฝ่ายตำรวจหากต้องเข้าจับกุม “ธัมมชโย” เพื่อให้ทุกอย่างเป็นไปด้วยความราบรื่นไร้ความรุนแรงจนลุกลามบานปลาย

ที่ผ่านมาปฏิบัติการของดีเอสไอเพื่อเข้าควบคุมตัว “ธัมมชโย” ตามหมายจับครั้งที่แล้วได้พยายามประสานไปยังมหาเถรสมาคมเพื่อให้ช่วยเกลี้ยกล่อม“ธัมมชโย” ยอมมอบตัวแต่โดยดี แต่มหาเถรสมาคมกลับอิดเอื้อนโยนกลองให้เจ้าคณะใหญ่หนกลางและเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานีรับผิดชอบและเมื่อดีเอสไอส่งตัวแทนเข้าพบหารือกับเจ้าคณะใหญ่หนกลางและเจ้าคณะจังหวัดปทุมธานี พระผู้ใหญ่ทั้งสองก็ไม่ได้มีการดำเนินการใดๆอย่างจริงจังเหมือนต้องการประวิงเวลาไปเรื่อยๆ

การนิมนต์พระผู้ใหญ่ทั้งสองมานำทัพกองกำลังดีเอสไอและฝ่ายตำรวจครั้งนี้จึงถือเป็นไม้เด็ดแบบเกลือจิ้มเกลือเพราะนอกจากเป็นการการันตีความชอบธรรมในปฏิบัติการของฝ่ายเจ้าหน้าที่โดยมีพระชั้นผู้ใหญ่เป็นสักขีพยานแล้ว ยังเป็นการปรามและสกัดไม่ให้เหล่าสาวกสำนักจานบินตั้งกำแพงมนุษย์เป็นเกราะคุ้มกัน “ธัมมชโย”

นอกจากนี้อีกแผนทีเด็ดก็คือสัญญาณจาก พ.ต.อ.ไพสิฐ ที่ประกาศชัดเจนว่า หาก “ธัมมชโย” ไม่ยอมมอบตัวแล้วฝ่ายเจ้าหน้าที่บุกเข้าไปจับกุมตัวได้ภายในสำนักจานบิน พระเผด็จทัตตชีโว ซึ่งปัจจุบันรักษาการเจ้าอาวาสสำนักจานบินต้องถูกดำเนินคดีตามความผิดมาตรา 157 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ และมาตรา 89 ฐานให้การช่วยเหลือผู้กระทำผิดหรือเป็นผู้ต้องหาว่ากระทำผิดด้วยการให้ที่พำนักซ่อนเร้นโดยช่วยให้ผู้ต้องหาไม่ถูกจับกุม

สำหรับปูมหลัง พระเผด็จทัตตชีโว ผู้นี้คือรุ่นพี่ของ “ธัมมชโย” หรือ นายไชยบูลย์ สิทธิผล เมื่อครั้งเป็นนิสิตมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดย “ธัมมชโย” ได้ชักชวนรุ่นพี่ซึ่งเหมือนเพื่อนซี้มาร่วมก่อตั้งสำนักจานบินโดยเริ่มแรกทั้งสองต่างเป็นพระลูกวัดธรรมดา แต่ต่อมาก็ผลักดันตัวเองจน“ธัมมชโย” ได้ขึ้นเป็นเจ้าสำนัก

เพราะฉะนั้นงานนี้คงต้องดูว่าแผนย้อนศรเกลือจิ้มเกลือของดีเอสไอและสตช.จะได้ผลหรือไม่ แต่ที่ต้องจับตาและต้องระวังสำหรับฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็คือคนจนตรอกเลือดเข้าตาพร้อมที่จะสู้แบบบ้าระห่ำพร้อมทำได้ทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอดโดยไม่คำนึงถึงความหายนะของส่วนรวมที่จะตามมา

ทีมข่าวการเมือง

ธัมมชโยหมดเวลายื้อเกม ถึงเวลาเจ้าหน้าที่รัฐบังคับใช้กม.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/246889

วันพุธ ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.
news_default

ปัญหาธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบิน ผู้ต้องหาหนีหมายจับของศาล3คดีได้มาถึงจุดที่จะต้องพิสูจน์ผิดถูกชั่วดี วัดความศักดิ์สิทธิ์และเท่าเทียมในการบังคับใช้กฏหมาย และวัดความเป็นพระแท้หรือพระเทียม รวมทั้งพิสูจน์สถานะที่แท้จริงของสำนักจานบินว่าเป็นวัดหรือเป็นแหล่งอิทธิพลอันเป็นที่หลบซ่อนของผู้ต้องหาหนีคดีซึ่งทำตัวอยู่เหนือกฏหมาย

ทบทวนความจำอีกครั้งสำหรับหมายจับ 3 คดีของธัมมชโยประกอบด้วยหมายจับของกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)ในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรในคดีขบวนการโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ส่วนอีก 2 คดีเป็นหมายจับของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ในข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติสร้างสวนป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย และบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซวัลเล่ย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมารวมพื้นที่หลายร้อยไร่

พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ย้ำชัดว่า กฏหมายต้องเป็นกฏหมายและเสมอภาคเท่าเทียมไม่มีใครอยู่เหนือกฏหมายได้ ซึ่งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐหากไม่บังคับใช้กฏหมายเข้าจับกุมตัว

ธัมมชโย ตามหมายศาลและความผิดเท่ากับละเลยการปฏิบัติหน้าที่และเลือกปฏิบัติ

เพราะหากเป็นชาวบ้านตาสีตาสาถูกศาลออกหมายจับในคดีเดียวกันเชื่อว่าป่านนี้เข้าไปอยู่ในคุกเรียบร้อยแล้ว

พล.อ.ไพบูลย์ ยังย้ำชัดอีกว่า หากเจ้าหน้าที่ต้องเข้าจับกุม ธัมมชโย ก็ต้องสึกก่อนเพราะนำพระเข้าห้องขังไม่ได้

ความจริงแล้วก่อนหน้านี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่โดยเฉพาะดีเอสไอ ตำรวจ พยายามหาทางออกที่นุ่มนวลด้วยการติดต่อไปยังคนใกล้ชิด ธัมมชโย ให้ยอมมอบตัวแต่โดยดี โดยเจ้าหน้าที่พร้อมจะไปแจ้งข้อหาถึงที่สำนักจานบินโดยมีเงื่อนไขผ่อนปรนให้ ธัมมชโย ได้ประกันตัวทันที เพราะหากเจ้าหน้าที่เป็นฝ่ายบุกเข้าจับกุมก็ต้องจับ ธัมมชโย สึกสถานเดียวก่อนนำเข้าห้องขัง

หรือแม้แต่ก่อนหน้านี้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็เคยไปพบพระชั้นผู้ใหญ่ที่ปกครอง ธัมมชโย หลายรูปโดยหวังให้ช่วยเกลี้ยกล่อมให้ ธัมมชโย มอบตัวเพื่อให้เรื่องราวจบลงด้วยความละมุนละม่อม แต่ ธัมมชโย อาจมั่นใจถือดีในอิทธิพลของตัวเองจึงตั้งแง่สารพัดเงื่อนไขยื้อเกมไม่ยอมมอบตัวมาจนทุกวันนี้

การที่พระชั้นผู้ใหญ่หรือแม้แต่มหาเถรสมาคม(มส.)ไม่สามารถที่จะคลี่คลายปัญหาของ พระธัมมชโย สะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวขององค์กรสูงสุดของสงฆ์ชุดนิ้ ซึ่งถูกตั้งข้อสังเกตุว่า

ที่ผ่านมาคอยให้การปกป้องและอยู่ภายใต้อิทธิพลของ ธัมมชโย มาตลอด

ขณะที่เส้นตายการบังคับใช้กฏหมายเพื่อจับธัมมชโย ใกล้เข้ามาทุกขณะ นายองอาจ ธรรมนิทา  โฆษกสำนักจานบิน ที่ถูกตั้งข้อสังเกตุว่าเป็นกระบอกเสียงโฆษณาชวนเชื่อออกมาส่อเจตนาเล่นลิ้นรายวัน โดยเมื่อวันก่อนเพิ่งจะพูดไปหยกๆยืนยันเป็นมั่นเหมาะว่า ธัมมชโย ยังอยู่ในสำนักจานบินไม่ได้หลบหนีตามข่าวลือ พร้อมส่งสัญญาณเชิงข่มขู่ว่า หากเจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุม ธัมมชโย เหล่าสานุศิษย์ลัทธิจานบินที่ขณะนี้ถูกระดมมาเพื่อเป็นกำแพงมนุษย์จำนวนมากโดยอ้างว่ามาสวดมนต์เป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศบังหน้าอาจตกใจและไม่รับประกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ล่าสุด นายองอาจ พลิกลิ้นบอกหน้าตาเฉยว่า ไม่ได้เจอ ธัมมชโย มา 6 เดือนแล้ว ซึ่งอาจเป็นไปได้ว่าแอบไปปลีกวิเวกเพราะ 10 ปีที่ผ่านมาเจ้าสำนักจานบินเวลาอาพาธมักจะแอบไปปลีกวิเวกรักษาอาการพาพาธบ่อยๆ

ขณะเดียวกันกระบอกเสียงสำนักจานบินก็เล่นลิ้นกลืนน้ำลายตัวเองด้วยการปฏิเสธว่าไม่เคยข่มขู่เจ้าหน้าที่หากบุกมาจับตัว ธัมมชโย  แต่ก็ยังอดส่อเจตนาขู่อยู่ในทีไม่ได้ว่า “ ไม่มีใครอยากให้เกิดความวุ่นวาย แต่เราคงจะไปห้ามปรามหรือบังคับใครไม่ได้เพราะวัดเป็นสมบัติของสาธารณชนของพระพุทธศาสนา ทำได้เต็มที่ก็แค่คัดกรองความสงบเรียบร้อยให้เกิดขึ้น “

เมื่อถูกถามว่าคณะศิษย์สามารถควบคุมไม่ให้มีการลงไปปฏิบัติธรรมบนถนนได้หรือไม่หากเจ้าหน้าที่เดินทางเข้ามาในวัด นายองอาจ เล่นลิ้นตอบชวนให้คิดแกมขู่ว่า “อนาคตตอบไม่ได้ อยู่กับปัจจุบันทำวันนี้ให้ดีที่สุด  อนาคตจะเป็นอย่างไรขอให้ช่วยกันดูแล“

หากยังจำกันได้การบุกหมายคุมตัว ธัมมชโย ครั้งแรกก่อนหน้านี้ เหล่ากระบอกเสียงสำนักจานบินทั้งพระทั้งฆราวาสต่างยืนยันว่าพร้อมจะให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่อย่างเต็มที่โดยไม่มีการตั้งกำแพงมนุษย์ขัดขวางเหมือนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว แต่พอเอาเข้าจริงก็มีการตั้งรั้วลวดหนามซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ มีการนำรถแม็คโครขนาดใหญ่หลายคันมาจอดขวางประตูทางเข้า และมีกองกำลังลึกลับปะปนอยู่ในหมู่ศิษย์สำนักจานบิน พร้อมทั้งระดมสาวกจานบินมานั่งสมาธิเต็มถนนในวันที่กำลังดีเอสไอเดินทางไปหมายคุมตัว ธัมมชโย ส่อเจตนาขัดขวางเจ้าหน้าที่ชัดเจน จนดีเอสไอต้องถอนกำลังกลับเพราะกลัวตกหลุมพรางสร้างสถานการณ์ให้บานปลายเพื่อให้เป็นข่าวไปทั่วโลก

ซ้ำร้ายยังมีการออกแถลงการณ์อ้างว่า  ธัมมชโย จะยอมเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมก็ต่อเมื่อชาติบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริงแล้วเท่านั้น นั่นคือไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรมยุคคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.) ส่อเจตนายื้อเกมหนีหมายจับออกไปให้นานที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในเมื่อ”ธัมมชโย”และสำนักจานบินจ่อเจตนาดึงเกมทำตัวเหนือกฏหมายทั้งๆที่ฝ่ายรัฐพยายามหาทางออกที่ละมุนละม่อมให้แล้วยังตั้งแง่หาข้ออ้างสารพัดมานานหลายเดือนแล้ว บัดนี้จึงถึงเวลาที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐต้องบังคับใช้กฏหมายโดยเข้าคุมตัวธัมมชโยเสียที โดยทำอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาด้วยการพาบรรดาสื่อร่วมรายงานข้อเท็จจริงตลอดเหตุการณ์ ส่วนใครปลุกระดมหรือขัดขวางการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ต้องถูกจับกุมดำเนินคดีโดยไม่ละเว้น โดยสื่อจะเป็นพยานได้ว่าใครกันแน่ที่พยายามตั้งแง่ตีรวนทำตัวอยู่เหนือกฏหมาย

ทีมข่าวการเมือง

ธัมมชโยหากไม่มอบตัวโดยดี จับได้ต้องสึกสถานเดียว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/246844

วันอังคาร ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

สังคมลุ้นระทึกเฝ้าจับตาดูว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะใช้แผนไหนเข้าคุมตัว “ธัมมชโย” เจ้าสำนักจานบินตามเส้นตายที่ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ประกาศไว้ก่อนหน้านี้ให้ “ธัมมชโย” มอบตัวภายในสิ้นเดือนนี้ในข้อหารุกป่าสงวนแห่งชาติหลายร้อยไร่สร้างสวนป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย และสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซวัลเลย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา

สำหรับดีเอสไอแม้จะไม่ได้ขีดเส้นตายการเข้าคุมตัว “ธัมมชโย” ซึ่งถูกออกหมายจับในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีฉ้อโกงเงินจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น แต่คดีนี้สำนักจานบินตลอดจน “ธัมมชโย” ส่อเจตนาทำตัวดุจรัฐอิสระอยู่เหนือกฎหมาย
ยืดเยื้อมานาน ซึ่งหากเป็นชาวบ้านตาสีตาสาป่านนี้อาจถูกจับเข้าคุกไปแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นการบังคับใช้กฎหมายต้องมีความเท่าเทียม ไม่ว่ายิ่งใหญ่หรือมีอิทธิพลแค่ไหนก็ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายฉบับเดียวกันอย่างเท่าเทียม

ปัญหาขณะนี้คือดีเอสไอและสตช.ต้องขออำนาจศาลออกหมายค้นสำนักจานบินเพื่อคุมตัว “ธัมมชโย” แต่ปัญหาก็คือการขออำนาจศาลออกหมายค้นต้องระบุแน่ชัดได้ว่าผู้ต้องหายังอยู่จริงและอยู่ ณ จุดไหนซึ่งไม่แน่ใจว่าการข่าวของทั้งสองหน่วยงานรู้พิกัดแหล่งซ่อนตัวของ “ธัมมชโย” แล้วหรือไม่ ทั้งๆ ที่ความจริงควรจะรู้เพราะไม่อย่างนั้นฝ่ายเจ้าหน้าที่คงไม่ออกมายืนยันแล้วยืนยันอีกว่า “ธัมมชโย” ยังอยู่ไม่ได้หนีตามข่าวลือโดยมีการสกัดไว้ทุกทางแล้ว แต่หากภายหลังปรากฏว่า “ธัมมชโย” อันตรธานหายไปอย่างปริศนาฝ่ายเจ้าหน้าที่คงปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้

ปัญหาประการต่อมาก็คือจะบุกเข้าคุมตัว “ธัมมชโย” ด้วยวิธีไหนเพื่อไม่ให้เหตุการณ์ลุกลามบานปลายกลายเป็นความรุนแรง ซึ่งก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าฝ่ายเจ้าหน้าที่พยายามใช้มาตรการจากเบาไปหาหนักด้วยการพยายามติดต่อให้ “ธัมมชโย” มอบตัวแต่โดยดีแล้วจะได้ประกันตัวทันที แต่ก็ยังไม่มีสัญญาณตอบรับที่ชัดเจนจากฝ่าย “ธัมมชโย”

นายขจรศักดิ์ พุทธานุภาพ อัยการพิเศษฝ่ายการสอบสวน 3 ซึ่งทำงานร่วมกับดีเอสไอในคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นมาตลอดให้ความเห็นว่า ดีเอสไอ ตำรวจ ควรประสานขอกำลังสนับสนุนจากฝ่ายทหารเพื่อร่วมกันเข้าควบคุมตัว “ธัมมชโย” อันจะเป็นการปรามเหล่าสาวกสำนักจานบินที่อาจตั้งกำแพงมนุษย์ขัดขวางการจับกุม

ล่าสุด พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม สั่งให้ดีเอสไอหารือกับตำรวจและอัยการวางแผนจับ “ธัมมชโย”เพราะหากไม่ทำถือเป็นการละเว้นปฏิบัติหน้าที่และเลือกปฏิบัติ

สำหรับปัญหาที่หวั่นกันว่าสำนักจานบินจะใช้กำแพงมนุษย์ขัดขวางนั้น ฝ่ายเจ้าหน้าที่ต้องแน่วแน่ยึดหลักกฎหมายเอาจริงโดยใครก็ตามขัดขวางต้องจับกุมดำเนินคดีโดยไม่ไว้หน้า ส่วน “ธัมมชโย” นั้นหากต้องให้เจ้าหน้าที่บุกเข้าจับกุมแสดงว่าขัดขืนหมายจับตามอำนาจศาล อย่างนี้ต้องถูกจับสึกสถานเดียวก่อนนำตัวเข้าห้องขัง

ทีมข่าวการเมือง