ธัมมชโยพระแท้หรือเทียม ทุกอย่างสู้เพื่อใคร?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/246643

วันจันทร์ ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

ขณะที่ทั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอเตรียมแผนเข้าคุมตัวธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินตามหมายจับข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีฉ้อโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ส่วนสำนักงานตำรวจแห่งชาติ(สตช.)ขีดเส้นตายให้ธัมมชโยยอมมอบตัวข้อหารุกป่าสงวนแห่งชาติหลายร้อยไร่สร้างสวนป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย และสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซวัลเลย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา ภายในสิ้นเดือนนี้ ล่าสุดโฆษกสำนักจานบินออกมาปฏิเสธข่าวการยอมมอบตัวของธัมมชโย

นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกสำนักจานบิน ปฏิเสธกระแสข่าวที่ว่าพระเผด็จ ทัตตชีโว รักษาการเจ้าอาวาสสำนักจานบิน ได้เจรจากับฝ่ายตำรวจเกี่ยวกับการยอมมอบตัวของ ธัมมชโย โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

ก่อนหน้านี้ นายองอาจ กล่าวเชิงปลุกระดมให้เหล่าสาวกสำนักจานบินมารวมตัวกันให้มากที่สุด โดยอ้างว่าเพื่อมาร่วมกันสวดมนต์ถวายสักการะแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ แต่ขณะเดียวกันก็แสดงท่าทีส่อเจตนาข่มขู่ฝ่ายเจ้าหน้าที่ท้าทายนิติรัฐด้วยการกล่าวทำนองว่า หากมีการบุกจับ ธัมมชโย จะเกิดกำแพงมนุษย์จากเหล่าศิษย์สำนักจานบินหรือไม่ไม่อาจรับประกันได้ และหากเหล่าสานุศิษย์ ธัมมชโย ตกใจก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น

ขณะที่ฝ่ายเจ้าหน้าที่บ้านเมืองทั้งดีเอสไอ ตำรวจ และอัยการ ดูเหมือนจะเกรงอกเกรงใจธัมมชโย เป็นพิเศษ โดยทั้ง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอและ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(รองผบ.ตร.) ส่งสัญญาณว่าหาก ธัมมชโย ยอมมอบตัวก็จะให้ประกันตัวทันที ทำให้มีการตั้งคำถามว่าหากเป็นชาวบ้านตาสีตาสาจะได้รับการปฏิบัติด้วยมาตรฐานเดียวกันหรือไม่

จากปัญหาของคนเพียงคนเดียวคือ ธัมมชโย ที่กำลังจะเป็นชนวนระเบิดเวลาลูกใหญ่สำหรับชาติบ้านเมืองที่เกิดขึ้นอาจสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นพระแท้และพระเทียมของ ธัมมชโยทั้งนี้หากเป็นพระแท้ที่สละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงแม้แต่ชีวิตเพื่อรักษาบวรพระพุทธศาสนา รวมทั้งเพื่อความสงบสุขของชาติบ้านเมืองไม่ให้ลุกเป็นไฟ เจ้าสำนักจานบินควรมอบตัวต่อเจ้าหน้าที่ไปนานแล้วโดยปล่อยให้ทุกอย่างพิสูจน์ความถูกผิดตามกระบวนการยุติธรรม

ในอดีต ธัมมชโย เคยถูกดำเนินคดีฐานยักยอกทรัพย์สินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวราว 1,000 ล้านบาทและประพฤติผิดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าอันเป็นการทำผิดพระธรรมวินัยร้ายแรงจนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ ทรงมีพระบัญชาว่าปาราชิกให้พ้นจากความเป็นสงฆ์ตั้งแต่ปี 2542 ซึ่งธัมมชโย หากเป็นสงฆ์แท้ที่ใสสะอาดผ่องแผ้วมีหิริโอตัปปะหรือความละอายต่อบาปป่านนี้คงยอมสละสมณเพศไปนานแล้ว แต่พฤติการณ์ของ ธัมมชโย กลับตรงกันข้ามนอกจากไม่ยอมสึกจากความเป็นพระตามพระบัญชาสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ แล้วยังเกิดเรื่องอื้อฉาวมาอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันส่อเจตนาอาศัยอิทธิพลของสำนักจานบินและเหล่าสาวกเป็นเครื่องมือในการปกป้องตัวเองโดยไม่คำนึงถึงผลร้ายต่อส่วนรวมที่อาจจะตามมา

จากพฤติการณ์ส่อเจตนาดื้อแพ่งทำตัวดุจรัฐอิสระอยู่เหนือกฎหมายของธัมมชโยและสำนักจานบินทำให้ถูกตั้งคำถามว่า สู้เพื่อใคร และสมกับความเป็นพระแท้หรือไม่

โอกาสทองสู่การปรองดอง หลอมพลังไทยเป็นหนึ่งเดียว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/246541

วันอาทิตย์ ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

news_default

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 เมื่อครั้งยังมีพระชนม์ชีพทรงเป็นพระประมุขที่ตรากตรำประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อให้พสกนิกรของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขมายาวนานถึง 70 ปี จนเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลก และได้รับการแซ่ซ้องสรรเสริญจากทั่วโลกว่าเป็นราชาแห่งราชัน และทรงเป็นพ่อของแผ่นดินอันเป็นที่รักเทิดทูนของมวลหมู่พสกนิกรไทยทั้งประเทศอย่างหาที่เปรียบมิได้ และแม้เสด็จสู่สวรรคาลัยก็ยังทรงทิ้งคุณูปการอันยิ่งใหญ่ไว้ให้กับลูกหลานไทยนั่นคือพลังแห่งความเกื้อกูลและความเป็นปึกแผ่นของคนไทยทั้งชาติทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะยากดีมีจนเชื้อชาติศาสนาใดต่างปฏิญาณที่จะเดินตามรอยเท้าพ่อด้วยการทำความดีและรู้รักสามัคคีเพื่อสืบสานปณิธานของพ่อแห่งแผ่นดิน

แม้จนทุกวันนี้หลังจากที่มีการอนุญาตให้ประชาชนผู้จงรักภักดีเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายในพระบรมมหาราชวังมานานกว่า 1 เดือนแล้ว แต่คลื่นพสกนิกรผู้จงรักภักดีและอาลัยในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศในเครื่องแต่งกายชุดดำสุภาพเรียบร้อยจำนวนมากจากทั่วสารทิศของประเทศยังคงหลั่งไหลมาด้วยจิตใจอันแน่วแน่เพื่อเข้าถวายสักการะพระบรมศพอย่างไม่ขาดสาย

แม้ต้องยากลำบากต่อคิวนานค่อนวันเพื่อให้ได้เข้าถวายสักการะพระบรมศพ แต่ประชาชนต่างก็เต็มใจไม่ย่อท้อตั้งใจแน่วแน่เพื่อให้มีโอกาสเข้าถวายสักการะพระบรมศพ ขณะที่อาสาสมัครจากทั่วสารทิศ ทุกเพศทุกวัย ต่างร่วมทำความดีคอยแจกจ่ายอาหารน้ำดื่ม เก็บขยะ หรือบริการแก่ประชาชนที่มาต่อแถวเพื่อรอการถวายสักการะพระบรมศพ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนพลังความเป็นหนึ่งเดียวของคนไทยทั้งประเทศอันยิ่งใหญ่ซึ่งคงหาไม่ได้อีกแล้วที่ไหนในโลก

ด้วยพระบารมีและบรรยากาศที่สมัครสมานสามัคคีเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกันอันเป็นการทำดีเพื่อพ่อได้ทำให้ความขัดแย้งจากการแบ่งสีทางการเมืองในอดีตคลี่คลายลงเป็นอันมาก

ประเทศไทยนั้นอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติ และทรัพยากรที่มีค่ามากที่สุดของไทยก็คือการมีสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติ ซึ่งที่ผ่านมาสถาบันพระมหากษัตริย์สามารถคลี่คลายวิกฤติความขัดแย้งภายในชาติมาแล้วหลายครั้ง

ทั้งนี้ไทยดำรงความเป็นชาติและเจริญรุ่งเรืองอยู่ได้มาจนทุกวันนี้เป็นเวลาเกือบ 1,000 ปี โดยไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาตินักล่าอาณานิคมผู้รุกรานใดก็ด้วยการปกปักรักษาของบรรพกษัตริย์ที่ทรงกล้าหาญและชาญฉลาดมองการณ์ไกล

ช่วงหลายปีที่ผ่านมาบ้านเมืองบอบช้ำและเสียโอกาสมามากแล้วจากความขัดแย้งทางการเมือง และบัดนี้เมื่อเข้าสู่ช่วงเปลี่ยนผ่านแห่งรัชกาลครั้งสำคัญจึงน่าจะเป็นโอกาสอันดีของคนไทยทั้งชาติที่จะสร้างความเป็นปึกแผ่นและสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้ประเทศเดินหน้าไปอย่างมั่นคงควบคู่ไปกับสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมใจและสะท้อนความเป็นชาติเอกราชที่มีประวัติรากฐานอันยาวนานมาแต่โบราณกาล

จากประวัติศาสตร์ความแตกแยกของคนในชาติทำให้ต้องเสียกรุงมาแล้วจึงถือเป็นอุทาหรณ์บทเรียนเตือนสติไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีก ทั้งนี้มีผู้เปรียบเปรยว่าประเทศไทยนั้นหากไม่มีวิกฤตการณ์ความแตกแยกทางการเมืองโดยบ้านเมือง
เกิดความสงบสุข ซึ่งด้วยทรัพยากรที่มีอยู่อย่างเพียบพร้อมไม่ยากเลยที่จะกลายเป็นประเทศที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดประเทศหนึ่งและคนไทยจะมีความสุขที่สุดประเทศหนึ่งของโลก

การจัดพิธีรวมพลังไทยทั้งแผ่นดินเพื่อแสดงถึงความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 อย่างยิ่งใหญ่โดยมีมวลมหาประชาชนทั่วประเทศและทั่วโลกจำนวนมากมายมหาศาลร่วมแสดงความจงรักภักดีอย่างพร้อมเพรียงกันนับเป็นโอกาสทองที่จะเป็นจุดเริ่มต้นในการหล่อหลอมพลังแห่งความเป็นหนึ่งเดียวของคนในชาติในการทำความดีสืบสานพระปณิธานพ่อของแผ่นดินตลอดจนเพื่อชาติและความผาสุกของบ้านเมือง ขณะเดียวกันต้องสกัดกั้นไม่ให้คนไม่ดีมีโอกาสเข้ามามีอำนาจบ่อนทำลายชาติบ้านเมือง

ทีมข่าวการเมือง

สำนักจานบินถือดีในอิทธิพล? ส่อเจตนาข่มขู่ท้าทายกฎหมาย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/246454

วันเสาร์ ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

“ธัมมชโย” เจ้าสำนักจานบินผู้อื้อฉาวมีชนักปักหลังถูกออกหมายจับแล้วถึง 3 คดี ทั้งโดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) จากข้อกล่าวหาฟอกเงินและรับของโจรในคดีขบวนการโกงเงินฝากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น และจากข้อหาบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ สร้างสวนป่าหิมวันต์ อ.ภูเรือ จ.เลย และบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติสร้างศูนย์ปฏิบัติธรรมเวิลด์พีซวัลเลย์ เขาใหญ่ จ.นครราชสีมาซึ่งสองคดีหลังอยู่ในความรับผิดชอบของฝ่ายตำรวจ

จากท่าทีของ พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) ขีดเส้นตายให้ “ธัมมชโย” ยอมมอบตัวตามหมายจับที่ออกโดยศาลภายในสิ้นเดือนนี้ มิฉะนั้นฝ่ายตำรวจก็จะต้องปฏิบัติตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม รองผบ.ตร.ก็เปิดช่องประนีประนอมว่า หาก “ธัมมชโย” แสดงเจตนายอมมอบตัวแต่โดยดี ฝ่ายตำรวจก็จะใช้วิธีการที่ละมุนละม่อมด้วยการเข้าไปแจ้งข้อกล่าวถึงสำนักจานบินที่เชื่อว่า “ธัมมชโย” หลบอยู่ และพร้อมจะให้ประกันตัวทันที

การให้ประกันตัวหรือไม่ให้ประกันตัวมีความสำคัญเพราะหากเจ้าสำนักจานบินยืนกรานขัดขืนโดยตำรวจเป็นฝ่ายแจ้งข้อกล่าวหาก็ต้องควบคุมตัวซึ่งนั่นก็จะต้องถูกจับสึก

ฝ่ายดีเอสไอนั้นหลังจากที่สำนักงานอัยการสูงสุดไฟเขียวสั่งฟ้อง “ธัมมชโย” และพวกแล้วบทหนักก็ตกอยู่ที่ดีเอสไอเต็มๆ โดยต้องนำตัวผู้ต้องหามาส่งมอบให้ฝ่ายอัยการเพื่อส่งฟ้อง ซึ่งสังคมกำลังเฝ้าจับตาดูว่า ดีเอสไอจะเอาจริงบุกเข้าคุมตัว “ธัมมชโย” หรือจะยึกยักดึงเกมเหมือนที่ผ่านมา

มาทางด้านท่าทีของฝ่ายสำนักจานบิน นายองอาจ ธรรมนิทา โฆษกสำนักจานบิน ที่ช่วงนี้เจ้าเนื้อขึ้นผิดตาซึ่งคงได้รับการเลี้ยงดูอย่างดี นัดกองทัพสื่อแถลงท่าทีโดยยืนยันว่า “ธัมมชโย” ยังอยู่ในสำนักจานบิน ไม่ได้หลบหนีตามข่าวลือ

แต่ที่เป็นประเด็นสำคัญและส่อเจตนาท่าทีสู้ของ “ธัมมชโย” ก็คือคำแถลงของโฆษกสำนักจานบิน ที่กล่าวถึงเรื่องการใช้เหล่าสาวกสำนักจานบินตั้งเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อขัดขวางการเข้าจับกุมของฝ่ายเจ้าหน้าที่เหมือนที่ผ่านมาว่า “ผมไม่อยากใช้คำว่ากำแพงมนุษย์หรือผู้ขัดขวาง แต่จะมีหรือไม่ยังบอกไม่ได้ต้องดูกันที่สิ่งเร้า สิ่งที่ศิษย์ธรรมกายยืนยันเสมอคือทำตามข้อกฎหมาย แต่อย่าทำให้ตกใจเพราะหากทำให้ตกใจก็ไม่สามารถบอกได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

ท่าทีของโฆษกสำนักจานบินถูกตั้งข้อสังเกตว่าส่อเจตนาข่มขู่ท้าทายอยู่ในทีนอกจากนี้ นายองอาจ ยังส่งสัญญาณเป็นนัยเชิงปลุกระดมสาวกสำนักจานบินให้มารวมตัวกันให้มากที่สุดโดยอ้างว่าเพื่อเป็นการทำบุญใหญ่ของสำนัก

ลักษณะเชิงข่มขู่และส่อเจตนาถือดีในอิทธิพลของโฆษกสำนักจานบินดังกล่าว ช่างละม้ายคล้ายคลึงกับท่าทีแกนนำเสื้อแดงในเหตุการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมือง เมื่อปี 2553 อย่าง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อที่เคยกล่าวบนเวทีเสื้อแดงปลุกระดมมวลชนเสื้อแดงซึ่งชุมนุมอยู่ที่แยกราชประสงค์ ขณะที่กำลังทหารพยายามเข้ากระชับพื้นที่ว่า “อย่างที่ผมบอก คนเสื้อแดงขี้ตกใจหากยิงตูม คนเสื้อแดงจะวิ่งเข้าเกษร พารากอน วิ่งเข้าโรงแรม บางคนตกใจวิ่งหากระเป๋าแบรนด์เนมบางคนตกใจชอบวิ่งไปหาเครื่องประดับ ทอง เพชร บางคนตกใจชอบขับรถเข้าไปในห้าง บางคนตกใจจุดไฟเผาขึ้นมาก็มี” ซึ่งคำขู่ของ นายณัฐวุฒิ หลังจากนั้นก็เกิดขึ้นจริงเมื่อฝ่ายทหารเข้ากระชับพื้นที่บริเวณแยกราชประสงค์

จากท่าทีของสำนักจานบินและแนวโน้มสถานการณ์นับจากนี้เป็นต้นไป ถึงเส้นตายสิ้นเดือนนี้ สาธารณชนคงต้องจับตาลุ้นระทึก ซึ่งหาก “ธัมมชโย” เป็นสงฆ์แท้ที่สละแล้วซึ่งกิเลสทั้งปวงก็น่าจะเข้ามอบตัวไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 2542

ที่ผ่านมา “ธัมมชโยแสดงตนดุจผู้วิเศษถึงขนาดสามารถถอดร่างเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงบนสวรรค์ชั้นฟ้า และมีอิทธิฤทธิ์ภายใต้คาถา “ชิตังเม รวย” ซึ่งหากเป็นผู้วิเศษจริงก็แสดงว่าหลุดพ้นแล้วซึ่งเรื่องราวทางโลกและควรเข้ามอบตัวตั้งนานแล้วอย่างไม่สะทกสะท้านและพร้อมพิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมเพื่อความสงบของสังคมส่วนรวม แต่ดูเหมือนว่าพฤติการณ์ที่ผ่านมาจะตรงกันข้ามสิ้นเชิง

ทั้งนี้สิ่งที่หลายฝ่ายวิตกก็คือเหล่าสาวกจานบินทั้งหลายหากไร้สติอาจจะถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือก่อกำแพงมนุษย์ขัดขวางการจับ “ธัมมชโย” ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ด้วยการอ้างแบบศรีธนญชัยว่ามารวมตัวกันเพื่อนั่งทำสมาธิ ซึ่ง พล.ต.อ.ศรีวราห์ ย้ำเตือนชัดเจนว่า ถ้านั่ง
ทำสมาธิก็นั่งไป แต่หากก่อความวุ่นวายขัดขวางเจ้าหน้าที่ก็ต้องถูกคุมตัวดำเนินคดีตามกฎหมาย ซึ่งจะกลายเป็นว่าเหล่าสาวกจานบินต้องมารับเคราะห์ถูกดำเนินคดีเพราะคนเพียงคนเดียว ขณะที่เหล่าตัวการสำคัญที่ชักใยปลุกระดมทั้งหลายลอยนวล

อีกอย่างที่สำคัญคือเส้นตายสิ้นเดือนนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่ากฎหมายและอำนาจรัฐศักดิ์สิทธิ์ หรือบ้อท่าไร้น้ำยา ปล่อยให้มีการข่มขู่ท้าทายทำตัวใช้กฎหมู่อยู่เหนือกบิลเมือง

ทีมข่าวการเมือง

พิสูจน์อิทธิพลสำนักจานบิน อยู่ภายใต้หรือเหนือกฎหมาย?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/246292

วันศุกร์ ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

เมื่อสำนักงานอัยการสูงสุดยอมสั่งฟ้องธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดียักยอกเงินฝากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น จากนี้ไปก็ถึงเวลาพิสูจน์จุดยืนและการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ภายใต้การนำของ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงษ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ ซึ่งอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมว่า จะจริงจังด้วยการเข้าควบคุมตัวธัมมชโยที่เชื่อกันว่าขณะนี้ยังท้าทายกฎหมายหลบอยู่ภายในอาณาจักรธรรมกายที่เหมือนแดนสนธยาอย่างลอยนวล

สำนักจานบินโดยเฉพาะ ธัมมชโย ทรงอิทธิพลแค่ไหนคงต้องย้อนกลับไปดูพฤติกรรมในอดีตเมื่อครั้ง ธัมมชโย ถูกออกหมายจับดำเนินคดีฐานยักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวราว 1,000 ล้านบาท รวมทั้งพฤติกรรมอื้อฉาวต่างๆ ส่อเผยแพร่ลัทธิที่ผิดเพี้ยนจากหลักธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช ถึงกับตั้งคณะกรรมการสอบสวนและมีพระบัญชาให้พ้นจากความเป็นพระตั้งแต่ปี 2542 แต่ ธัมมชโย ก็ยังลอยนวลมาจนทุกวันนี้ และครั้งนั้น ธัมมชโย อ้างว่าป่วยและใช้เหล่าสาวกสำนักจานบินเป็นกำแพงมนุษย์ขัดขวางการจับกุมของเจ้าหน้าที่จนในที่สุดฝ่ายเจ้าหน้าที่ก็ต้องยอมถอยไม่กล้าดำเนินการจับสึก

เช่นเดียวกับครั้งนี้ ธัมมชโย อ้างว่าป่วยไม่ยอมมอบตัวกับเจ้าหน้าที่โดยก่อนหน้านี้ ดีเอสไอพยายามบุกเข้าไปควบคุมตัว ธัมมชโย ตามหมายจับ แต่ก็มีการต่อต้านขัดขืนกฎหมายโดยใช้รั้วลวดหนามซึ่งเป็นยุทธภัณฑ์ที่กฎหมายห้ามมีไว้ในครอบครอง ใช้รถแบ๊กโฮหลายคันขวางประตูทางเข้าสำนักจานบิน และตั้งกำแพงมนุษย์ขัดขวางเจ้าหน้าที่ไม่ให้เข้าควบคุมตัว ธัมมชโย โดยตะแบงอ้างดื้อๆ ว่ารอให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงก่อนถึงยอมรับกระบวนการยุติธรรม

พฤติการณ์ของสำนักจานบินและธัมมชโยที่ผ่านมาส่อเจตนาทำตัวเป็นรัฐอิสระและแสดงอิทธิพลที่กฎหมายเข้าไปแตะต้องไม่ได้ ดังนั้นครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ว่าดีเอสไอจะบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจังหรือจะยื้อปัญหาปล่อยอิทธิพลอยู่เหนือกฎหมาย

ทีมข่าวการเมือง

หน่วยงานความมั่นคงมีปัญหา? ขัดกันเองข่าวคนไทยนับแสนหนุนไอเอส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/246128

วันพฤหัสบดี ที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นข่าวช็อกประเทศหากเป็นเรื่องจริง กรณี พล.ต.อ.ศรีวราห์รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (รองผบ.ตร.) เปิดเผยหลังการประชุมคณะกรรมการบริหารประจำศูนย์ความร่วมมือระดับภูมิภาคกรุงเทพฯ โดยมีผู้บริหารองค์กรตำรวจออสเตรเลียเข้าร่วมว่า ออสเตรเลียมีข้อมูลการใช้ Username Facebook จากประเทศไทยกว่า1 แสน User ที่เข้าใช้เว็บไซต์ของขบวนการก่อการร้ายรัฐอิสลาม หรือไอเอส มานานกว่า 1 ปี

พล.ต.อ.ศรีวราห์ ระบุอีกว่า ข้อมูลของออสเตรเลียดังกล่าวสอดคล้องกับการสืบสวนของไทยที่พบความเคลื่อนไหวกลุ่มคนไทยจำนวนหนึ่ง เชื่อมโยงกับกลุ่มไอเอสจริงและเดินทางไป-กลับประเทศไทยและซีเรียหลายครั้ง โดยคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดภาคใต้

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวว่า เป็นเพียงข้อมูลของตำรวจออสเตรเลีย ซึ่งต้องนำมาตรวจสอบเพื่อป้องกันและจับกุมต่อไป ซึ่งปัญหากลุ่มไอเอสกระทบทั้งโลกดังนั้นจึงมอบหมายให้ฝ่ายความมั่นคงดำเนินการต่อไป

ส่วนทางด้าน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง กลับกล่าวว่า ข้อมูลดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนเป็นเพียงข้อมูลทางโซเชียลมีเดียและยังไม่มีรายงานว่าคนไทยให้การสนับสนุนเรื่องเงินให้กลุ่มไอเอส และยืนยันว่ายังไม่พบความเคลื่อนไหวของกลุ่มไอเอสในประเทศไทย

จากการที่ผู้บุคคลระดับสูงด้านความมั่นคงออกมาให้ความเห็นไปคนละทางเช่นนี้เป็นเรื่องน่าวิตกอย่างยิ่ง เพราะอาจสะท้อนให้เห็นถึงการขาดการประสานงานและอาจรวมถึงความไร้ประสิทธิภาพงานด้านการข่าว

โดยปกติหากเป็นข่าวดิบที่ยังไม่ใช่ข่าวกรองก็ไม่ควรออกมาเปิดเผยสร้างความตื่นตระหนกสับสนต่อสาธารณะโดยใช่เหตุ โดยเฉพาะจากปากบุคคลระดับสูงหน่วยงานด้านความมั่นคง ซึ่งสิ่งที่หน่วยงานด้านความมั่นคงควรตระหนักโดยเฉพาะข่าวเกี่ยวกับการก่อการร้ายซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนก็คือควรสืบสวนตรวจสอบข้อมูลและดำเนินการในทางลับแต่กลับกลายเป็นว่าบุคคลระดับสูงในหน่วยงานด้านความมั่นคงโดยเฉพาะ พล.ต.อ.ศรีวราห์ กลับเปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณะจนเป็นข่าวครึกโครมไปทั่ว ซึ่งแน่นอนว่าย่อมส่งผลกระทบต่อภาพพจน์ความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจของประเทศที่จะถูกมองว่าเป็นพื้นที่เสี่ยงจะเกิดการก่อการร้ายภายใต้อิทธิพลของกลุ่มไอเอส

ทั้งนี้เพราะหากข้อมูลของตำรวจออสเตรเลียเป็นเรื่องจริง นั่นหมายความว่ามีคนไทยนับแสนให้การสนับสนุนกลุ่มไอเอส ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่มาก ปัญหาอยู่ที่ว่าข้อมูลดิบดังกล่าวไม่ใช่ข่าวกรองที่มีการตรวจสอบทางลึก

ดังนั้น ไม่ว่าข้อมูลของตำรวจออสเตรเลียดังกล่าวจะจริงหรือไม่ก็ตาม ที่สำคัญหน่วยงานด้านความมั่นคงของไทยไม่ควรออกมากระพือข่าวเพราะมีแต่เสียกับเสียโดยสิ่งที่ควรทำคือ ดำเนินการทางลับแบบเงียบๆ และที่สำคัญหน่วยงาน ด้านการข่าวต้องมีประสิทธิภาพเพราะที่ผ่านมาหลายครั้งการข่าวของหน่วยงานด้านความมั่นคงขัดกันเอง

ทีมข่าวการเมือง

จับตาล่าจอมบงการ2จนท.ดีเอสไอ? ซ่อนเบื้องหลังคดีสหกรณ์คลองจั่น

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/245961

วันพุธ ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

สังคมก็สงสัยเหมือนที่พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม สงสัยเช่นกันกรณี 2 เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ฐานพัวพันรับสินบนเงิน 40 ล้านบาทจาก นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นผู้อื้อฉาวซึ่งขณะนี้ใช้กรรมอยู่ในคุก โดยสังคมเชื่อว่า จะต้องมีตัวการใหญ่ที่มีอำนาจอิทธิพลบงการอยู่หลังฉากเจ้าหน้าที่ดีเอสไอทั้งสอง

ขบวนการฉ้อฉลโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น มูลค่ากว่า 16,000 ล้านบาท แน่นอนว่าเป็นขบวนการที่ใหญ่โตมากโดยนอกจากพัวพันกับเจ้าหน้าที่ดีเอสไอแล้ว ยังเชื่อมโยงไปถึงเครือข่ายสำนักจานบิน และข้าราชการที่เกี่ยวข้องอีกหลายฝ่าย และที่สำคัญคือน่าจะมีส่วนเชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจทางการเมืองในอดีต

พล.อ.ไพบูลย์ ระบุชัดเจนว่า การรับสินบนของ2 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเป็นเรื่องเก่าที่เกิดก่อนที่รัฐบาลคสช.จะเข้ามาบริหารประเทศ โดยมีข้อน่าสังเกตคือเจ้าหน้าที่ทั้ง 2 ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น แม้แต่น้อย แต่กลับมีเงินโอนเข้าบัญชี 40 ล้านบาท ทำให้พล.อ.ไพบูลย์ ฟันธงว่า “ผมไม่เชื่อว่าเจ้าหน้าที่ 2 คนนี้ทำเอง เพราะไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับคดีนี้เลย รวมทั้งคนที่โอนเงินมาให้จำเป็นต้องจ่ายให้ 2 คนนี้หรือไม่เพราะไม่เกี่ยวกันเลย และตำแหน่งของทั้งสองก็ไม่ได้ใหญ่โตขนาดสามารถสั่งการอะไรได้ หรือมีใครอยู่เบื้องหลังสั่งการ”

คดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นกลายเป็นข่าวอื้อฉาวครึกโครมในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ซึ่งอธิบดีกรมดีเอสไอ ขณะนั้นก็คือ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ โดยมีบรรดาผู้เสียหายซึ่งล้วนเป็นผู้สูงอายุที่นำเงินมาฝากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นหวังอาศัยดอกผลเลี้ยงตัวเองในยามบั้นปลายของชีวิต แต่กลับถูกโกงจนหมดเนื้อหมดตัวได้รวมตัวกันประท้วงและถึงกับมีการแจ้งความดำเนินคดีกับขบวนการฉ้อโกง

เรื่องอื้อฉาวที่เกิดขึ้นดูเหมือนคลับคล้ายคลับคลาว่า นายธาริต ได้สั่งให้ดีเอสไอแช่แข็งคดีนี้ จนกระทั่งรัฐบาลคสช.เข้ามามีอำนาจและได้รับการร้องเรียนจึงมีการปัดฝุ่นรื้อฟื้นคดีนี้ขึ้นมาสอบสวนใหม่และมีการขยายผลจนมีการจับ นายศุภชัย เข้าคุกรวมทั้งออกหมายจับเครือข่ายสำนักจานบิน

ข้อน่าสังเกตก็คือรัฐบาลระบอบแม้วนั้นเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับสำนักจานบิน โดยนายศุภชัย เคยเป็นมัคนายกสำนักจานบินและเป็นมือขวาของ ธัมมชโย อดีตเจ้าสำนักจานบิน ผู้อื้อฉาวและเป็นหนึ่งในจำเลยพัวพันคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น

จากเงื่อนงำการรับสินบนคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นที่พัวพัน 2 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอซ่อนไว้ด้วยเบื้องหลังขบวนการฉ้อโกงที่ใหญ่มาก ซึ่งสังคมได้แต่หวังว่า พล.อ.ไพบูลย์ จะเอาจริงกระชากหน้ากากไอ้โม่งที่บงการอยู่เบื้องหลัง2 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอเพื่อนำตัวมาลงโทษให้เป็นแบบอย่าง และหวังว่าจะไม่กลายเป็นคดีคลื่นกระทบฝั่งมวยล้มต้มคนดูเหมือนที่ผ่านๆ มา

ทีมข่าวการเมือง

จับตาสารพัดวิชามาร ข่มขู่พยานคดีจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/245773

วันอังคาร ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ยิ่งการเอาผิดทางอาญาโครงการรับจำนำข้าวสร้างความเสียหายแก่แผ่นดินครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จากการไต่สวนพยานทั้งฝ่ายโจทก์และฝ่ายจำเลยโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองงวดใกล้ชี้ชะตามากเข้าไปเท่าไหร่ ขบวนการอุ้ม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญของคดี ก็ยิ่งออกมาเคลื่อนไหวเข้มข้นมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งบนดินและใต้ดินหวังให้พ้นผิดจากคดีประวัติศาสตร์สุดอื้อฉาวนี้

ในการให้ปากคำต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา หนึ่งในพยานฝ่ายจำเลยที่เข้าให้การต่อศาลก็คือ นายทนุศักดิ์ เล็กอุทัย อดีตรมช.คลัง ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ให้การอ้างว่า การที่ประเทศต้องล่มจมจากโครงการรับจำนำข้าวก็เพราะมีการรัฐประหารโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เมื่อปี 2557 ซึ่งหากไม่มีการรัฐประหารโครงการรับจำนำข้าวก็ยังเดินหน้าต่อไปได้

ทั้งที่ความจริงการรัฐประหารของคสช.ในด้านหนึ่งเป็นการช่วยทางอ้อมไม่ให้เกิดการประจานความล้มเหลวของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ด้วยซ้ำ เพราะหากปล่อยให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวต่อไปไม่ช้าก็จะถึงจุดวิกฤติเมื่อการคลังและวงจรข้าวของประเทศพังทั้งระบบแน่นอน

ส่วนการที่ชาวนาฆ่าตัวตายไปกว่า 10 คน เพราะเครียดที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ค้างค่าจำนำข้าวนานข้ามปี แต่ นายทนุศักดิ์ กลับให้การอ้างหน้าตาเฉยว่าเป็นเพราะมีม็อบมวลมหาประชาชนกปปส.ชุมนุมปิดหลายหน่วยราชการทำให้ไม่สามารถจ่ายเงินช่วยชาวนาได้ ทั้งๆ ความจริงกระทรวงการคลัง ขณะนั้นถังแตกถึงกับส่งหนังสือถึง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ว่าฐานะการคลังย่ำแย่จนรัฐบาลค้างจ่ายค่าจำนำข้าวชาวนาทั่วประเทศ มานานข้ามปีจึงควรทบทวนโครงการรับจำนำข้าว

ขณะที่บรรดาพยานฝ่าย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ทั้งตะแบงบิดเบือนแบบเอาสีข้างเข้าถูแก้ตัวคดีโครงการรับจำนำข้าว ในอีกด้านหนึ่งก็ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการเดินเกมใต้ดินข่มขู่พยานฝ่ายโจทก์ด้วยวิธีการต่างๆ โดยในการสืบพยานเมื่อวันที่ 18 พ.ย.ที่ผ่านมา องค์คณะผู้พิพากษาได้แจ้งว่า อัยการโจทก์ยื่นคำร้องระบุว่า เมื่อวันที่ 7 ต.ค. ขณะกำลังจะออกจากห้องพิจารณามีบุคคลชายหญิงที่เข้าร่วมฟังการพิจารณาคดีแสดงพฤติกรรมลักษณะข่มขู่โจทก์ด้วยการจ้องหน้าอย่างเคียดแค้นจนทำให้เกิดความหวาดกลัวกดดันในการทำคดีนี้ ดังนั้นศาลจึงออกข้อกำหนดเตือนผู้ที่อยู่ในห้องพิจารณาและบริเวณโดยรอบศาลห้ามแสดงพฤติกรรมข่มขู่โจทก์-จำเลยและพยานในลักษณะที่เกรงว่าจะเกิดอันตรายต่อร่างกายและทรัพย์สินของโจทก์-จำเลยและพยาน หากผู้ใดฝ่าฝืนจะถูกลงโทษฐานละเมิดอำนาจศาล

ทั้งนี้ นอกจากทางอาญาแล้ว คดีโครงการรับจำนำข้าวยังมีการฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ รัฐมนตรีรวมทั้งข้าราชการยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ตลอดจนพ่อค้าที่ใกล้ชิดระบอบทักษิณอีกจำนวนมาก ซึ่งต้องจับตาโดยเฉพาะข้าราชการระดับกลางและระดับล่างที่เป็นฝ่ายปฏิบัติและอยู่ในข่ายตกเป็นจำเลยร่วมโดยมีข่าวว่ามีการข่มขู่เพื่อไม่ให้มีการซัดทอดเบื้องหลังอันเลวร้ายของโครงการรับจำนำข้าว

ทีมข่าวการเมือง

จับตาขบวนการสุมไฟแตกแยก ปลุกระดมคนอีสานลุกฮือ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/245616

วันจันทร์ ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ขณะที่คนไทยทั้งประเทศอยู่ในภาวะที่ยังไม่คลายความเศร้าโศกจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ขณะเดียวกันจากความเศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ของแผ่นดินได้สร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคนทั้งชาติในการสืบสานปณิธานทำความดีเพื่อพ่อแห่งแผ่นดินโดยเฉพาะการเกื้อกูลและรู้รักสามัคคี แต่กลับมีขบวนการชั่วร้ายที่ไม่หวังดีพยายามทุกวิถีทางสุมไฟสร้างความแตกแยกของคนในชาติ

ทั้งจากการอาศัยปัญหาราคาข้าวตกต่ำพยายามปลุกม็อบชาวนาให้ลุกฮือแต่ประสบความล้มเหลว ล่าสุดฉวยโอกาสอาศัยกรณีที่ น.ส.อรพิมพ์ รักษาผล หรือ“น้องเบส” นักพูดชื่อดังที่กล่าวแสดงถึงความจงรักภักดีแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศในทำนองติติงคนอีสานลืมในหลวง มาเป็นชนวนสุมไฟให้เกิดความแตกแยกในชาติด้วยการเผยแพร่ประโคมผ่านทางโซเชียลมีเดียโจมตี น.ส.อรพิมพ์ และถึงขนาดตะแบงอ้างว่า กองทัพใช้ น.ส.อรพิมพ์ เป็นเครื่องมือโดยขบวนการชั่วร้ายดังกล่าวหวังปลุกระดมให้คนอีสานเข้าใจผิดมีทัศนคติต่อต้านรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)

จน พ.อ.ปิยพงศ์ กลิ่นพันธุ์ ทีมโฆษกคสช. ต้องรีบออกมาดับไฟแตกแยกด้วยการปฏิเสธข่าวปลุกระดมดังกล่าวและวอนสังคมให้มองที่เจตนาของ น.ส.อรพิมพ์ ที่มีความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงอย่างแรงกล้าและคงไม่มีเจตนาตำหนิคนอีสานทั้งหมด แต่ต้องยอมรับว่าแม้จนทุกวันนี้มีคนบางกลุ่มที่ยังคงเคลื่อนไหวจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างรุนแรงผ่านทางโซเชียลมีเดีย

กรณีจากคำพูดของ น.ส.อรพิมพ์ ถูกนำไปขยายผลสุมไฟทางโซเชียลมีเดียจนสถานการณ์ลุกลามบานปลายทำให้แม้แต่เหล่าศิลปินดาราซึ่งเป็นชาวอีสานออกมาแสดงความไม่พอใจต่อ น.ส.อรพิมพ์ อาทิ สุดารัตน์ บุตรพรม หรือ “ตุ๊กกี้” นักแสดงตลกและพิธีกรชื่อดัง

และที่ต้องจับตาคือ การที่ นายคารม พลพรกลาง ทนายความเสื้อแดง เข้าแจ้งความดำเนินคดี น.ส.อรพิมพ์ ที่สภ.รัตนาธิเบศร์ อ.เมือง จ.นนทบุรี ฐานหมิ่นประมาทชาวอีสาน โดยคนอีสานทั้งหมดถือเป็นผู้เสียหาย ซึ่งจากการเคลื่อนไหวของทนายเสื้อแดงดังกล่าวจนกลายเป็นข่าวถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจยิ่งเป็นการสุมไฟสร้างความไม่พอใจในหมู่ชาวอีสานให้ยิ่งลุกโชนยิ่งขึ้น

จากปัญหาที่เกิดขึ้นด้านหนึ่งก็ต้องถือเป็นบทเรียนเตือนสติ น.ส.อรพิมพ์ว่าต้องระมัดระวังไม่ควรใช้ความเป็นนักพูดที่จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นเรื่องอ่อนไหวพาดพิง จนอาจเป็นชนวนสร้างความแตกแยกในชาติโดยไม่จำเป็น ขณะเดียวกันอีกด้านหนึ่งต้องจับตาขบวนการอันชั่วร้ายที่ไม่ละความพยายามที่จะตอกลิ่มสุมไฟให้เกิดความแตกแยกในชาติ เพราะนั่นหมายถึงโอกาสที่ขบวนการชั่วร้ายกลุ่มนี้จะพลิกสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังต้องรับโทษชดใช้กรรมชั่วร้ายที่ก่อไว้กับแผ่นดินและมีโอกาสที่จะกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศได้อีกครั้ง

ทีมข่าวการเมือง

โลกสะเทือน‘ทรัมป์’ขึ้นผู้นำสหรัฐฯ ไทยควรแปรวิกฤติเป็นโอกาส

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/245485

วันอาทิตย์ ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของมหาอำนาจสหรัฐฯของ มหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่มีแนวคิดแบบสุดโต่งได้สร้างความหวาดผวาต่อโลก และถูกจับตาว่าจะส่งผลกระทบต่อประเทศไทยหรือไม่ทั้งทางด้านการเมืองและด้านเศรษฐกิจ

หากจะวิเคราะห์นโยบาย “America First” หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน” ของ “ทรัมป์” อาจมองได้ทั้งในด้านบวกและด้านลบ โดยด้านบวกมหาอำนาจสหรัฐฯยุคใหม่ภายใต้การนำของ “ทรัมป์” อาจลดความสำคัญทางด้านการทหารและการขยายอิทธิพลของสหรัฐฯในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกลง และคงไม่ให้ความสำคัญการใช้ข้ออ้างทางการเมืองต่างๆ เช่น เรื่องประชาธิปไตยหรือเรื่องสิทธิมนุษยชนมาเป็นเครื่องมือในการกดดันแทรกแซงประเทศอื่นเหมือนยุคที่ผ่านมา โดยเชื่อว่า “ทรัมป์” คงเปลี่ยนแปลงนโยบายหันไปแก้ปัญหาเศรษฐกิจปากท้อง การว่างของคนอเมริกันเป็นสำคัญ มากกว่าการทำตัวเป็นจอมอันธพาลโลกของสหรัฐฯ เช่น ยุคประธานาธิบดีโอบามาจากพรรคเดโมแครต ซึ่งการมุ่งขยายอิทธิพลของสหรัฐฯนอกจากสิ้นเปลืองงบประมาณมหาศาลแล้ว ยังทำให้สหรัฐฯต้องจมปลักอยู่ในสงครามในหลายประเทศโดยไม่จำเป็นซึ่งเป็นผลเสียทั้งต่อภาพลักษณ์และภาระทางการคลังมหาศาล

แต่ปัญหาที่น่ากังวลและต้องจับตาก็คือนโยบายด้านเศรษฐกิจภายใต้ “America First” ของ “ทรัมป์” ที่มีแนวคิดดึงนักลงทุนสหรัฐฯกลับบ้านเพื่อพัฒนาประเทศตัวเอง รวมทั้งนโยบายกีดกันทางการค้าด้วยการตั้งกำแพงภาษีสินค้านำเข้าในอัตราสูงที่อาจจะกระทบต่อการส่งออกของไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งที่ต้องจับตาคือ “ทรัมป์” มีท่าทีแข็งกร้าวขู่จะเล่นงานจีนทางเศรษฐกิจด้วยมาตรการตั้งกำแพงภาษีถึง 40% สำหรับสินค้าและการลงทุนของจีนในสหรัฐฯ ซึ่งหากเศรษฐกิจจีนสะเทือนย่อมส่งผลกระทบทางอ้อมต่อไทยที่มีการค้าขายกับจีนเป็นมูลค่ามหาศาลด้วย

รศ.ดร.ปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกฯฝ่ายความมั่นคง มองว่าภาพรวมผลกระทบจากการมีรัฐบาลสหรัฐฯยุคทรัมป์นั้นมีทั้งด้านบวกและลบ สำหรับไทยนั้นด้วยความเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญต่อสหรัฐฯทำให้เชื่อว่าถึงอย่างไรสหรัฐฯจะยังคงรักษาความสัมพันธ์อันดีกับไทยซึ่งถือเป็นโอกาสดีของรัฐบาลไทยเช่นกันที่จะสร้างความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นมากขึ้น

ขณะที่ รศ.ดร.อรรถกฤต ปัจฉิมนนท์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มองว่า ผู้นำสหรัฐฯคนใหม่คงให้ความสำคัญในเรื่องเศรษฐกิจมากกว่าด้านการทหารและการเมือง ดังนั้นน่าจะเป็นผลบวกกับไทยเพราะรัฐบาลสหรัฐฯชุดใหม่คงไม่ใช้การเมืองมาเป็นเครื่องมือกดดันไทยเหมือนที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ต้องดูท่าทีและนโยบายที่ชัดเจนของ “ทรัมป์” ต่อไป

ต่อท่าทีของรัฐบาลไทยนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ย้ำชัดเจนว่า ไม่ว่าผู้นำสหรัฐฯคนใหม่จะเป็นใคร ไทยก็ยังมีจุดยืนไม่เปลี่ยนแปลงนั่นคือพร้อมที่จะเป็นมิตรรักษาความสัมพันธ์อันดีกับรัฐบาลสหรัฐฯที่เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นกับไทยมานานถึง 183 ปี

สำหรับข้อวิตกในเรื่องที่ “ทรัมป์” มีนโยบายให้นักลงทุนสหรัฐฯถอนตัวกลับไปพัฒนาประเทศรวมทั้งการกีดกันทางการค้าที่อาจส่งผลกระทบถึงไทยนั้น ยังไม่ควรตีตนไปก่อนไข้ แต่ก็ควรเตรียมพร้อมรับมือซึ่งล่าสุด พล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียกประชุมเอกอัครราชทูตและกงสุลไทยทั่วโลกเพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากการเปลี่ยนผู้นำสหรัฐฯ

ขณะที่นักสังเกตการณ์ทางการเมืองเห็นว่า ไทยควรแปรวิกฤติให้เป็นโอกาสโดยยึดแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริมาปรับใช้โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันซึ่งจะทำให้ไทยอยู่รอดได้ไม่ว่าสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจะแปรปรวนเพียงใดก็ตาม

การสร้างภูมิคุ้มกันเศรษฐกิจของประเทศอย่างยั่งยืนในระยะยาวก็คือมุ่งสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็งกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของคนภายในประเทศเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันในระดับภูมิภาคนั่นคือการหันมาร่วมมือและค้าขายกันให้มากขึ้นระหว่างชาติอาเซียนแทนที่จะพึ่งการส่งออกไปยังชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯจนมากเกินไป

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน เสนอว่า ทางรอดเดียวสำหรับไทย ก็คือต้องเร่งสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนให้สำเร็จเป็นจริง พร้อมกับพัฒนาคุณภาพของสินค้าส่งออกของไทยให้ติดตลาด ตลอดจนต้องหันไปพึ่งพาจีนให้มากขึ้น

เพราะฉะนั้นคงต้องจับตาดูนโยบายที่ชัดเจนของผู้นำคนใหม่ของสหรัฐฯ ซึ่งสำหรับไทยคงไม่ต้องถึงกับตื่นตูม แต่ก็ต้องตื่นตัวเตรียมพร้อมซึ่งการพึ่งตัวเองตามแนวเศรษฐกิจพอเพียงน่าจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ทำให้ชาติอยู่รอดไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรก็ตาม

ทีมข่าวกานเมือง

‘จตุพร’ส่อธาตุแท้ผวาคุกยาว ยอมทำทุกทางขอเพียงพ้นห้องขัง ?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/245392

วันเสาร์ ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

หลังจากที่ศาลเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวจนนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดงผู้ต้องหาคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ต้องกลับไปนอนในคุกอีกรอบมานานกว่า 1 เดือน ซึ่งล่าสุดนายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความของนายจตุพรได้ยื่นคำร้องยกสารพัดข้ออ้างขอให้ศาลเมตตามีคำสั่งปล่อยตัวนายจตุพรเป็นครั้งที่ 3 หลังจากที่ล้มเหลวมาแล้ว 2 ครั้ง แต่ในที่สุดนายจตุพรก็วืดได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวเป็นครั้งที่ 3

ก่อนหน้านี้ทนายความของ นายจตุพร ยกสารพัดข้ออ้างทั้งเรื่องปัญหาสุขภาพรวมทั้งการสำนึกผิดของ นายจตุพร โดยรับปากว่าหากได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวจะไม่ทำผิดเงื่อนไขของศาลด้วยการเคลื่อนไหวป่วนเมืองอีก และในการยื่นคำร้องครั้งที่ 2 ทนายความ นายจตุพร ถึงขนาดนำหลักฐานการรับรองความประพฤติของ นายจตุพร ที่ลงนามโดย พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ หรือ “จิ๋วหวานเจี๊ยบ” อดีตนายกฯวิกฤติต้มยำกุ้ง ที่ครั้งหนึ่งเคยร่วมอยู่กับขบวนการระบอบทักษิณและเคยขึ้นเวทีกลุ่มคนเสื้อแดงช่วงที่ออกมาเคลื่อนไหวรุนแรง โดย “บิ๊กจิ๋ว” ยกข้ออ้างตอนหนึ่งการันตี นายจตุพร ว่า “นายจตุพรเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของข้าพเจ้า เป็นผู้มีความรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ มีอุดมการณ์ยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่เป็นผู้มีความประพฤติชั่วร้าย ไม่มีนิสัยในทางนักเลงอันธพาล มีความเคารพนอบน้อมต่อกระบวนการยุติธรรมมาตลอด ไม่เคยหลบหนีคดีอาญาใดๆ และจะสอดส่องดูแลไม่ให้กระทำการใดอันจะเป็นการผิดเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวของศาลอย่างเคร่งครัด”

อนึ่งสภาพการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบันนี้ พี่น้องประชาชนไทยทั้งมวลตระหนักดีว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงมีพระราชประสงค์และทรงปฏิบัติมาตลอดถึงการสร้างความรัก ความสามัคคีที่จะให้เกิดขึ้นในมวลหมู่ประชาชนชาวไทย ณ บัดนี้เป็นโอกาสอันประเสริฐยิ่งที่จะได้ปฏิบัติตามพระราชปณิธานตามแนวทางที่พระองค์ท่านได้มอบไว้กับชาวไทยทั้งผอง เพื่อสร้างความรัก ความสมานฉันท์ ให้เกิดขึ้นตามพระราชประสงค์ นายจตุพรจะน้อมนำกระแสพระราชดำรัสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเรื่องความรู้รักสามัคคีของคนในชาติมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต และปฏิบัติภารกิจทางการเมืองอย่างเคร่งครัด และยินดีให้ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน สร้างความสามัคคีปรองดอง สลายความขัดแย้งในสังคมให้สำเร็จลุล่วง”

ถ้าจะว่าไปแล้วต้นทุนความน่าเชื่อถือและปูมหลังของ “บิ๊กจิ๋ว” กับ นายจตุพร ก็ไม่ได้ต่างกันมากนัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่สังคมตั้งข้อสงสัยกรณีขบวนการแดงคิดล้มเจ้าแนวคิดเรื่องสภาเปรสซิเดี้ยม หรือคำพูด “กระสุนพระราชทาน” และข้ออ้างทั้งหมดตามคำร้องของ “บิ๊กจิ๋ว” หากพิเคราะห์รายละเอียดแต่ละประโยคถูกตั้งข้อสังเกตว่าตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของ นายจตุพร ตลอดช่วงที่ผ่านมาแทบจะสิ้นเชิง

มาล่าสุดการยื่นคำร้องต่อศาลของทนาย นายจตุพรอ้างเหตุผลว่า “พฤติการณ์กับสถานการณ์บ้านเมืองก่อนและหลังศาลเพิกถอนสัญญาประกันมีสถานการณ์บ้านเมืองเปลี่ยนไป ซึ่งเมื่อวันที่ 13 ต.ค. 2559 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เสด็จสวรรคตนำมาซึ่งความเศร้าโศกเสียใจต่อพสกนิกรชาวไทยและชาวต่างชาติ รัฐบาลได้ประกาศไว้ทุกข์เพื่อแสดงความไว้อาลัย จำเลยมีความตั้งมั่นที่จะขอโอกาสในวาระเช่นนี้ไปแสดงความไว้อาลัยและเข้าถวายสักการะพระบรมศพอย่างที่พสกนิกรทุกคนควรจะทำ ประกอบกับประเทศไทยอยู่ในช่วงแห่งความอาลัย ประชาชนทุกหมู่เหล่าต่างตระหนักในการสร้างความรักสามัคคีปรองดองให้เกิดขึ้น ไม่มีความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มใด และเชื่อว่าไม่มีประชาชนคนใดจะสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง………..จำเลยรู้สำนึกในการกระทำฝ่าฝืนคำสั่งศาลแล้ว จึงขอโอกาสในการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวอีกสักครั้งหนึ่งด้วย” ซึ่งศาลได้พิจารณาคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวเป็นครั้งที่ 3 แล้วเห็นว่า ในชั้นนี้ยังไม่มีเหตุเปลี่ยนแปลงคำสั่งเดิม

ข้อสังเกตก็คือก่อนหน้าที่จะเข้าคุก นายจตุพรแสดงท่าทีขึงขังประกาศไม่หวั่นไหวที่ต้องติดคุกพร้อมทั้งประกาศในทำนองปลุกระดมให้คนเสื้อแดงสู้ต่อไปโดยอ้างประชาธิปไตยบังหน้า แต่มาวันนี้นายจตุพรกลับยอมสำนึกผิดรวมทั้งอ้างการขอโอกาสเข้าถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ เพื่อร้องขอเมตตาให้ศาลปล่อยตัวชั่วคราวอันส่อให้เห็นธาตุแท้ว่า นายจตุพรคงผวาที่อาจต้องติดคุกยาว จึงพร้อมทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับอิสรภาพกลับมาใช้ชีวิตเสพสุขแม้อาจถูกมองว่าพลิกลิ้นกลืนน้ำลายตัวเองและเปลี่ยนจุดยืนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าก็ตาม

ทีมข่าวการเมือง