ปมอึมครึมในดีเอสไอ ต้องล้างให้สะอาดโปร่งใส?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/245234

วันศุกร์ ที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือดีเอสไอถือเป็นหนึ่งในหน่วยงานต้นทางของกระบวนการยุติธรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง ซึ่งหากเจ้าหน้าที่ประพฤติไม่สุจริตหรือถูกครอบงำทางการเมืองถือเป็นอันตรายอย่างยิ่งทั้งต่อความมั่นคงของชาติและการอำนวยความยุติธรรมแก่ประชาชน

ในช่วงที่ผ่านมากรมดีเอสไอเกิดปมอื้อฉาวในหลายเรื่องทำให้ถูกตั้งคำถามในเรื่องความโปร่งใสไม่ว่าจะเป็นกรณีการตายอย่างปริศนาของ นายธวัชชัย อนุกูล อดีตที่ดินจ.พังงา คาห้องขังของดีเอสไอซึ่งจนบัดนี้ก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนให้ญาติผู้ตาย กรณีการย้ายเจ้าหน้าที่ระดับสูงดีเอสไอ 3 นายไปประจำสำนักงานปลัดสำนักนายกฯ หรือกรณียึกยักจับธัมมชโย ข้อหาฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น และล่าสุดมีการสั่งพักงาน 2 ข้าราชการดีเอสไอหลังพบหลักฐานมีการโอนเงินจาก นายศุภชัย ศรีศุภอักษร อดีตประธานสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ราว 40 ล้านบาทเข้าบัญชี ข้าราชการดีเอสไอทั้งสอง

ไม่อาจปฏิเสธได้ว่านับตั้งแต่มีการก่อตั้งดีเอสไอองค์กรแห่งนี้ถูกระบอบทักษิณเข้าครอบงำมาตั้งแต่ต้นด้วยการแต่งตั้งคนของระบอบทักษิณเข้ามาควบคุมอำนาจในกรมดีเอสไออย่างฝังรากลึก ซึ่งแม้ที่ผ่านมาหลังคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ(คสช.) เข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค. 2557 โดยมีการปฏิรูปบุคลากรในกรมดีเอสไอซึ่งรวมทั้งการย้าย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อดีตอธิบดีกรมดีเอสไอ พ้นจากตำแหน่ง แต่ก็เชื่อว่ายังคงมีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอซึ่งเป็นคนของกลุ่มอำนาจเก่าฝังตัวอยู่อีกไม่น้อย

ภายใต้สภาวะที่อึมครึมภายในกรมดีเอสไอขณะนี้ ผู้มีอำนาจรัฐจึงน่าที่จะปัดกวาดขจัดความอึมครึมภายในกรมดีเอสไอให้หมดไปซึ่งสิ่งสำคัญคือต้องไม่ให้มีคนไม่ดีแฝงตัวปะปนหรือเข้ามามีอำนาจในกรมดีเอสไอ รวมทั้งคดีสำคัญต่างๆ ที่ค้างอยู่ต้องมีกำหนดเวลาแล้วเสร็จให้ชัดเจนเพราะที่ผ่านมาหลายคดีโดยเฉพาะการคุมตัว “ธัมมชโย” ถูกตั้งข้อสังเกตว่ามีการยื้อเกมซื้อเวลาออกไปเรื่อยๆ เหมือนมีปมไม่ชอบมาพากลบางอย่างซ่อนอยู่เบื้องหลัง

ทีมข่าวการเมือง

ขรก.ผู้น้อยควรกันไว้เป็นพยาน มัดตัวการใหญ่คดีจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/245064

วันพฤหัสบดี ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

คดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศเป็นมูลค่ามหาศาลต้องถือเป็นคดีที่มีขบวนการซึ่งต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

หลังจากที่มอบหมายให้หลายหน่วยงานร่วมตรวจสอบว่าใครบ้างที่เข้าข่ายจะต้องร่วมกันชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินจากพิษคดีโครงการรับจำนำข้าว 80% ส่วนที่เหลือจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องชดใช้ 20% หรือคิดเป็นมูลค่าราว 142,000 ล้านบาท ล่าสุดพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะ ประธานศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ(ศอตช.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้รับรายชื่อผู้ที่เข้าข่ายต้องรับผิดชอบความเสียหายแล้วโดยมีราว 6,000 ราย ประกอบด้วยผู้ที่เกี่ยวข้อง 3 กลุ่ม คือ กลุ่มระดับผู้บริหารหรือระดับรัฐมนตรีและอนุกรรมการเกี่ยวกับนโยบายข้าวซึ่งมีประมาณ 2,000 รายชื่อ กลุ่มข้าราชการในระดับปฏิบัติราว 4,000 ราย ยังไม่รวมกลุ่มพ่อค้าภาคเอกชนที่ยังตรวจสอบไม่เสร็จ

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ไพบูลย์ ย้ำว่าจากรายชื่อทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าทุกคนต้องรับผิดชอบ แต่จะมีการกลั่นกรองอย่างละเอียดอีกครั้งว่าใครบ้างที่ต้องรับผิดชอบมากน้อยแค่ไหน

สำหรับคดีโครงการรับจำนำข้าวนอกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ เป็นจำเลยคนสำคัญแล้ว ยังมีระดับรัฐมนตรียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ประกอบด้วย นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ ส่วนข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์ อาทิ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ

ส่วนกลุ่มพ่อค้าที่สำคัญคือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง” คนสนิทของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก

เพราะฉะนั้นบรรดาข้าราชการ และพ่อค้าทั้งหลายที่อยู่ในข่ายที่จะต้องร่วมชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่ามหาศาล โดยยังไม่พูดถึงคดีทางอาญาป่านนี้คงเป็นทุกข์รอวันถูกชี้ชะตา โดยเฉพาะเหล่าข้าราชการชั้นผู้น้อยต่ำกว่าระดับซี 8 ลงมาอาจต้องพลอยรับเคราะห์เพราะจำเป็นทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาและนักการเมืองผู้มีอำนาจ

คดีโครงการรับจำนำข้าวจึงเป็นมหากาพย์ที่เตือนสติเหล่าข้าราชการที่ทำตัวเป็นทาสรับใช้นักการเมืองด้วยความเต็มใจเพราะตัวเองได้แบ่งปันผลประโยชน์ด้วย

แต่ที่น่าเห็นใจคือเหล่าข้าราชการระดับปลาซิวปลาสร้อยที่ต้องทำตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชาภายใต้อำนาจของนักการเมืองสมควรที่จะกันตัวไว้เป็นพยานเพื่อมัดตัวการใหญ่เพราะข้าราชการชั้นผู้น้อยเหล่านี้หลายคนไม่เต็มใจทำร้ายแผ่นดินแต่ถูกบังคับด้วยอำนาจอันชั่วร้าย

ทีมข่าวการเมือง

ปูกับพวกอมทุกข์ดิ้นร้อนรน อนาคตมืดหนีกรรมจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/244881

วันพุธ ที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ช่วงนี้จะเห็นการออกมาเคลื่อนไหวด้วยอาการแปลกๆ ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกฯหุ่นเชิดและเหล่าบริวารขบวนการเพื่อแม้วที่ออกมาเล่นบทดราม่าชักเข้าชักออกด้วยการนำข้าวสารหอมมะลิที่อ้างว่าซื้อจากชาวนามาขาย กก.ละ 20 บาทจนหลายฝ่าย อาทิ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรมอดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้เกาะติดเรื่องข้าวแบบกัดไม่ปล่อยตั้งข้อสังเกตว่า ข้าวดังกล่าวไม่ได้ซื้อจากชาวนาซ้ำเป็นแผนทุบราคาข้าวซ้ำเติมชาวนาอย่างโหดร้ายที่สุดแบบโหดเหี้ยมเพราะข้าวสารหอมมะลิที่ชาวนานำออกมาขายตรงในตลาดราคากก.ละ 32-35 บาท พอถูกถล่มหนักว่าดราม่าและทุบราคาข้าวชาวนา น.ส.ยิ่งลักษณ์และเหล่าขบวนการเพื่อแม้วก็ถอยไม่เป็นขบวนประกาศเลิกขายข้าวเอาดื้อๆ

สลับการดราม่าขายข้าว น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็ออกเดินสายทอดกฐินไหว้พระวัดในต่างจังหวัดเป็นระยะคงหวังทำบุญสะเดาะเคราะห์และทำให้จิตที่อมทุกข์และร้อนรนสงบลงได้บ้าง แต่กรรมก็คือกรรมเมื่อกล้าที่จะก่อก็ต้องพร้อมที่จะชดใช้เมื่อถึงเวลา

กรรมที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกทุกข์เป็นที่สุดเห็นจะไม่มีอะไรเกินกว่าคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายแก่ชาติบ้านเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ที่กำลังนับถอยหลังงวดใกล้ชี้ชะตาเข้าไปทุกขณะ ซึ่งนอกจากการฟ้องร้องทางแพ่งเพื่อให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่า 35,700 ล้านบาท แล้ว ที่สำคัญคือคดีทางอาญาฐานกระทำผิดต่อหน้าที่ ซึ่งมีโทษสูงสุดติดคุก 10 ปี โดยขณะนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ไต่สวนพยานฝ่ายจำเลยและฝ่ายโจทก์เสร็จไปแล้วค่อนทาง คาดว่าอีกไม่ช้าไม่นานก็คงได้ฤกษ์ชี้ชะตา

การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภายใต้การบงการของอดีตนายกฯนักโทษหนีคุกผู้เป็นพี่ชายวิตกเป็นอย่างมากก็คือ แผนที่คิดใช้โลกล้อมไทยคือฟ้องนานาชาติ ซึ่งมีมหาอำนาจจอมอันธพาลโลกมะกันอันตรายเป็นลูกพี่ใหญ่ช่วยเหลือกดดันอำนาจรัฐและกระบวนการยุติธรรมไทย หรือบางประเทศอาจยอมให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ลี้ภัยโดยตะแบงอ้างว่าคดีจำนำข้าวเป็นเรื่องกลั่นแกล้งทางการเมือง

มีแนวโน้มฝันสลาย เมื่อ นางฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต ซึ่งเป็นพวกเดียวกับประธานาธิบดีโอบามา พ่ายแพ้ศึกชิงเก้าอี้ผู้นำมะกันอันตราย โดยผู้ชนะเลือกตั้งขึ้นเป็นผู้นำมหาอำนาจมะกันอันตรายคนใหม่กลับเป็นมหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งเป็นฝ่ายตรงข้าม

ทั้งนี้ ที่ผ่านมารัฐบาลมหาอำนาจมะกันอันตรายยุคโอบามาส่อพฤติการณ์ให้ท้ายหนุนหลังขบวนการระบอบแม้วที่เป็นทาสรับใช้มาตลอด เมื่อลูกพี่ใหญ่พ่ายแพ้หมดรูปความหวังของน.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกจึงดับวูบ จึงไม่แปลกที่ช่วงนี้จะเห็นอาการร้อนรนและการเคลื่อนไหวทุกวิถีทางหวังเอาตัวรอดจากกรรมที่ก่อ แต่ดูเหมือนอนาคตจะมืดมนเพราะแม้แต่มหาอำนาจมะกันอันตรายเองขณะนี้ก็ยังเอาตัวไม่รอดจากสภาพบ้านเมืองที่กำลังลุกเป็นไฟ

ทีมข่าวการเมือง

ปชต.ล้มเหลวแดนมะกันอันตราย สะเทือนขบวนการเพื่อแม้ว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/244716

วันอังคาร ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

กรรมสนองมหาอำนาจมะกันอันตรายและประจานธาตุแท้ประชาธิปไตยจอมปลอมที่เน่าเฟะเหลวแหลกของตัวเองให้ชาวโลกได้เห็นอย่างจะแจ้งหลังจากที่นายโดนัลด์ ทรัมป์ มหาเศรษฐีแนวคิดสุดโต่งชนะการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของมหาอำนาจมะกันอันตราย แต่กลับปรากฏว่ามะกันชนเสียงข้างน้อยที่สนับสนุนนางฮิลลารี คลินตัน ซึ่งพลาดหวังชวดเป็นผู้นำหญิงหมายเลข 1 คนแรกกลับไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งของเสียงส่วนใหญ่ก่อจลาจลกลายเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองครั้งใหญ่ทั่วแดนมหาอำนาจมะกันอันตรายอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้นำ

คลื่นมหาชนที่ไม่ยอมรับ “ทรัมป์” ออกมาประท้วงบานปลายไปแล้ว 25 เมืองและล่าสุดลุกลามมาถึงกรุงวอชิงตันดี.ซี.อันเป็นสถานที่ตั้งของทำเนียบขาว การประท้วงหลายแห่งกลายเป็นจลาจลจนกำลังตำรวจต้องยิงแก๊สน้ำตา มีการทำร้ายร่างกายผู้ที่สนับสนุนทรัมป์ มีการเผาธงชาติ เผาหรืออึใส่รูป “ทรัมป์” มะกันชนหลายล้านคนประกาศขออพยพไปเป็นพลเมืองของประเทศอื่น

การประท้วงถึงขนาดมะกันชน ราว 4 ล้านคน นำโดย เลดี้ กาก้า นักร้องชื่อดังล่ารายชื่อเพื่อขอให้เปลี่ยนตัวประธานาธิบดีจาก “ทรัมป์” เป็น ฮิลลารี คลินตัน

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับมหาอำนาจมะกันอันตรายสะท้อนประชาธิปไตยที่วิปริตไม่ยอมรับแม้กระทั่งผลการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่มหาอำนาจมะกันอันตรายได้ชื่อว่าเป็นแบบอย่างประชาธิปไตยของโลก

ที่สำคัญที่ผ่านมามหาอำนาจมะกันอันตรายมักใช้เรื่องความเป็นประชาธิปไตยเป็นหนึ่งในข้ออ้างทางการเมืองกดดันประเทศต่างๆ รวมทั้งรัฐบาลไทยเพื่อแผ่ขยายอิทธิพลจอมอันธพาลโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการให้ท้ายระบอบแม้วอันชั่วร้ายที่ยอมเป็นทาสรับใช้มหาอำนาจจอมอันธพาลโลก

เพราะฉะนั้นปรากฏการณ์จลาจลทั่วแดนมหาอำนาจมะกันอันตรายเพื่อประท้วงผลเลือกตั้งผู้นำคนใหม่จึงเหมือนกรรมสนองมหาอำนาจจอมอันธพาลโลกที่จากนี้ไปคงไร้ข้ออ้างเรื่องประชาธิปไตยเป็นเครื่องมือทางการเมืองกดดันไทย เพราะแม้แต่ประชาธิปไตยของตัวเองก็ยังล้มเหลว ขณะที่ระบอบแม้วคงสะเทือนเพราะหมดยุคมหาอำนาจลูกพี่ใหญ่ที่คอยหนุนหลังให้ท้าย แต่ก็ยังพยายามดิ้นรนเอาตัวรอดด้วยการเชลียร์ผู้นำคนใหม่ของมหาอำนาจมะกันอันตราย

ทีมข่าวการเมือง

ม็อบชาวเกาหลีใต้ฮือไล่ผู้นำ อีกบทเรียนเตือนนักโกงเมืองไทย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/244553

วันจันทร์ ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

นับเป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตาสำหรับพลังมวลมหาประชาชนชาวเกาหลีใต้นับล้านคนออกมาขับไล่นางปัก กึน ฮเย ประธานาธิบดีหญิงคนแรกของเกาหลีใต้ที่ลุกลามขยายวงกว้างออกไปทุกขณะหลังจากที่เกิดกรณีอื้อฉาว นางชเว ชุน ซิล เพื่อนสนิทของนางปัก กึน ฮเย อาศัยอำนาจของเพื่อนในฐานะผู้นำคอร์รัปชั่นแสวงหาผลประโยชน์เข้ากระเป๋าตัวเองอย่างเหิมเกริม

นางชเว ชุน ซิล รวมทั้งเจ้าหน้าที่ระดับสูงในทำเนียบประธานาธิบดีเกาหลีใต้หลายคนถูกจับกุมเข้าคุกไปก่อนหน้านี้ฐานสมคบกันทุจริต และแม้ นางปัก กึน ฮเย จะพยายามคลี่คลายสถานการณ์การออกมาขับไล่ของมวลมหาประชาชนเกาหลีใต้ทั้งการกล่าวขอโทษหลายครั้ง การปรับคณะรัฐมนตรี รวมทั้งการยอมลดอำนาจของตัวเอง แต่ดูเหมือนว่าไม่ได้ทำให้สถานการณ์อันเลวร้ายต่อเก้าอี้ผู้นำประเทศของ นางปัก กึน ฮเย ดีขึ้นแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามสถานการณ์กลับลุกลามรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับจำนวนคลื่นมหาชนที่ออกมาแสดงพลังโดยมีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือ นางปัก กึน ฮเย ต้องลงจากเก้าอี้ประธานาธิบดีเท่านั้น

นายปัก กึน ฮเย เป็นบุตรสาวของอดีตประธานาธิบดี ปัก จุง ฮี โดยเธอชนะการเลือกตั้งขึ้นนั่งเก้าอี้ผู้นำหมายเลข 1 ของเกาหลีใต้ด้วยความเห่อในความเป็นผู้นำหญิงคนแรกในประวัติศาสตร์ของชาวเกาหลีใต้เหมือนที่ไทยเคยเห่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด แต่แล้ว 4 ปีหลังจากที่ นางปัก กึน ฮเย นั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าได้นำพาประเทศเกาหลีใต้ถดถอยในแทบทุกด้าน และที่เลวร้ายก็คือมีการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างมโหฬาร

โดยเฉพาะกรณีอื้อฉาวเมื่อ นางปัก กึน ฮเย ปล่อยให้เพื่อนสนิทซึ่งเป็นแค่คนทรงเจ้าถึงขนาดร่างนโยบายและคำปราศรัยของประธานาธิบดี รวมทั้งอาศัยอิทธิพลอำนาจของ นางปัก กึน ฮเย เข้าไปแทรกแซงก้าวก่ายการบริหารประเทศเรียกผลประโยชน์จากบรรดานักธุรกิจชั้นนำของเกาหลีใต้ซึ่งถือเป็นความผิดร้ายแรงที่ชาวเกาหลีใต้ไม่อาจให้อภัยได้

สถานการณ์ของ นางปัก กึน ฮเย ขณะนี้แทบจะเรียกได้ว่าโอกาสที่จะนั่งเก้าอี้ประธานาธิบดีต่อไปแทบจะเป็นศูนย์ เว้นแต่จะบ้าอำนาจดันทุรังซึ่งหากเป็นเช่นนั้นก็มีแนวโน้มสูงที่มหาชนชาวเกาหลีใต้จะออกมาแสดงพลังมากกว่าที่เป็นอยู่และสถานการณ์อาจลุกลามบานปลายกลายเป็นวิกฤติ

สถานการณ์ของเกาหลีใต้จึงเป็นบทเรียนอุทาหรณ์สำหรับนักการเมืองไทยซึ่งแม้จะมาจากการเลือกตั้งได้รับความนิยมจากประชาชนในช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่หากเวลาผ่านไปแล้วเผยธาตุแท้ทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินหรือประพฤติเลวร้ายในที่สุดก็จะมีจุดจบอย่างนางปัก กึน ฮเย ขณะเดียวกันก็เป็นบทเรียนสำหรับคนไทยให้เลิกเห่อการมีผู้นำหญิงอย่างไร้สติ เพราะที่ผ่านมา มีตัวอย่างให้เห็นมาแล้วที่ผู้นำหญิงคนแรกของประเทศเป็นแค่หุ่นเชิดที่ไร้กึ๋นและบริหารประเทศไปในทางมิชอบและสร้างความพินาศล่มจมให้ชาติบ้านเมืองจนมวลมหาชนเกือบ 10 ล้านคนออกมาแสดงพลังขับไล่ครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

ระบอบทักษิณดราม่า ปลุกผีกลบแผลจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/244420

วันอาทิตย์ ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ระบอบทักษิณฉวยโอกาสจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำดาหน้าชนออกมาสุมไฟต่อเจตนาจุดชนวนปลุกม็อบชาวนาหวังดับเครื่องชนรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยเฉพาะการออกมาเคลื่อนไหว ของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดที่นับวันจะเปิดหน้าชนรัฐบาลชัดเจนร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกมองว่าดราม่าสร้างภาพโดยทีมงานประชาสัมพันธ์ของระบอบทักษิณด้วยการเดินสายพบปะบรรดาชาวนาในจังหวัดภาคอีสานคือ อุบลราชธานี สุรินทร์ ศรีสะเกษ ที่นำข้าวสารมาขาย ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ เหมารับซื้อข้าวจากชาวนาโดยมีข้อน่าสังเกตว่าชาวนากลุ่มนี้สวมกอด น.ส.ยิ่งลักษณ์ พร้อมถามหาโครงการรับจำนำข้าวรวมทั้งอยากให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับมาบริหารประเทศอีกยิ่งไปกว่านั้น ชาวนาบางรายถึงกับมอบเงินช่วยน.ส.ยิ่งลักษณ์เพื่อชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินในคดีโครงการรับจำนำข้าว โดยที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ แสดงบทบาทสอดรับด้วยการหลั่งน้ำตาคลอเบ้าพร้อมประกาศว่าหากมีโอกาสกลับมาบริหารประเทศอีกจะฟื้นโครงการรับจำนำข้าวและรับซื้อข้าวจากชาวนาทุกเมล็ดเพื่อคืนความสุขให้ชาวนาอีกครั้ง

ข้อน่าสังเกตความเป็นดราม่าของ น.ส.ยิ่งลักษณ์อีกประการหนึ่งก็คือ ทีมงานประชาสัมพันธ์ขบวนการระบอบทักษิณดำเนินการจัดฉากทุกขั้นตอนทั้งผลิตป้อนภาพและข่าวสำเร็จรูปให้นักข่าวสำนักต่างๆ เสร็จสรรพ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังพยายามสร้างภาพอย่างต่อเนื่องโดยในวันถัดมาเมื่อเดินทางไปให้ปากคำต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในฐานะจำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าว โดยมีมวลชนและแกนนำองค์กรชาวนาเสื้อแดงมาให้กำลังใจซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ประกาศย้ำว่าถ้าได้กลับมาเป็นรัฐบาลจะทุ่มงบประมาณรับจำนำข้าวทุกเมล็ดแบบไม่อั้น

จากนั้นในวันต่อมา น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งบรรดาแกนนำระบอบทักษิณและอดีตรัฐมนตรียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เดินเกมสร้างภาพด้วยการนำข้าวสารไปขายที่ห้างแฟชั่นไอส์แลนด์ ขณะที่มีการตั้งข้อสังเกตว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกสร้างภาพแบบฉาบฉวยเพราะช่วยซื้อข้าวจากชาวนาแล้วเอามาขายต่อแบบไม่ยอมชักเนื้อ ซ้ำรับซื้อในปริมาณเพียงเล็กน้อยพอเป็นพิธีแล้วเลิกโดยไม่ได้ช่วยชาวนาอย่างต่อเนื่องจริงจังเพียงเพื่อสร้างข่าวแบบตีกินเท่านั้น

การออกมาเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกครั้งนี้จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นเกมฉวยโอกาสจากปัญหาราคาข้าวตกต่ำเพื่อโจมตีรัฐบาลทหารว่าล้มเหลวไม่สามารถแก้ปัญหาราคาข้าวตกต่ำได้ ขณะเดียวกันก็พยายามปลุกผีโครงการรับจำนำข้าวว่าสามารถช่วยให้ชาวนาลืมตาอ้าปากได้ อย่างไรก็ตาม แผนจุดชนวนปลุกม็อบชาวนากลับจุดไม่ติดเพราะรัฐบาลทันเกมชิงตัดไฟแต่ต้นลมด้วยการประกาศรับจำนำยุ้งฉางข้าวของชาวนาตันละ 13,000 ล้านบาท ขณะที่กระแสสังคมทุกภาคส่วนออกมาร่วมด้วยช่วยกันรับซื้อข้าวจากชาวนาโดยตรง

ระบอบทักษิณจึงหันมาโจมตีรัฐบาลว่าใช้นโยบายประชานิยมไม่ต่างจากโครงการรับจำนำข้าว โดยมีเป้าหมายที่แท้จริงก็คือใช้เป็นเงื่อนไขข้ออ้างในการกลบเกลื่อนความล้มเหลวเน่าเฟะของโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ขณะเดียวกันก็ใช้นโยบายจำนำยุ้งฉางข้าวของรัฐบาลเพื่อเป็นข้ออ้างในการต่อสู้คดีโดยอ้างว่ารัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็ใช้นโยบายไม่ต่างจากโครงการรับจำนำข้าวเช่นกัน ดังนั้นต้องไม่ปฏิบัติแบบสองมาตรฐาน กล่าวคือ หากน.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกถูกดำเนินคดี รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ต้องถูกดำเนินคดีด้วย หรือหากรัฐบาลชุดนี้ไม่ถูกดำเนินคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกก็ไม่ควรถูกดำเนินคดีเช่นกัน

ทั้งที่ในความเป็นจริงนโยบายจำนำยุ้งฉางยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ กับโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ทุ่มงบประมาณไม่อั้นรับจำนำข้าวทุกเมล็ดและกำหนดราคารับจำนำ 15,000 บาทต่อตัน ซึ่งสูงกว่าราคาตลาดถึงกว่าเท่าตัวอันผิดหลักการรับจำนำอย่างสิ้นเชิงและเปิดช่องให้มีการทุจริตมโหฬารจากการนำข้าวราคาถูกจากประเทศเพื่อนบ้านมาสวมสิทธิ์โครงการรับจำนำหาประโยชน์จากส่วนต่างกำไรถึงตันละประมาณ 10,000 บาท

ขณะที่การรับจำนำยุ้งฉางข้าวกำหนดราคาต่ำกว่าราคาตลาดและจำกัดงบในการจำนำยุ้งฉาง

ดังนั้นปัญหาราคาข้าวตกต่ำที่เกิดขึ้นจึงเป็นดราม่าการเมืองของระบอบทักษิณที่โหมทำทุกวิถีทางเพื่อบ่อนทำลายรัฐบาลคสช. ขณะเดียวกันพยายามกลบเกลื่อนความล้มเหลวเน่าเฟะ และใช้เป็นข้ออ้างเพื่อต่อสู้หวังให้พ้นผิดคดีรับจำนำข้าวที่มีการโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ทีมข่าวการเมือง

นช.แม้ว-จำเลยปูดราม่าตีกิน โชว์ผู้นำส่งสารเชลียร์‘ทรัมป์’?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/244315

วันเสาร์ ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

หลังประกาศผลศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีเมืองลุงแซมไปแล้วหลายวัน แต่จนบัดนี้กระแสต่อต้านมหาเศรษฐีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้มีแนวคิดแบบสุดโต่งของบรรดามะกันชนกลับลุกลามบานปลายโดยมีการชุมนุมแสดงพลังแห่งความเกรี้ยวกราดไม่พอใจผลเลือกตั้งถึงขั้นเผาธงชาติสหรัฐฯและเผาหุ่น “ทรัมป์” โดยสถานการณ์ระบาดไปแล้วถึง 25 เมืองทั่วประเทศ ขณะที่มะกันชนจำนวนไม่น้อยประกาศจะขออพยพย้ายไปอยู่ประเทศอื่นอย่างแคนาดา หรือออสเตรเลีย

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นสะท้อนให้เห็นถึงความแตกแยกภายในชาติของเมืองลุงแซมที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีมา ขณะเดียวกันก็เป็นกระจกสะท้อนให้เห็นถึงประชาธิปไตยที่บิดเบี้ยวของมหาอำนาจมะกันอันตรายที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในต้นแบบของประชาธิปไตยของโลก โดยในความเป็นจริงศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีครั้งนี้สกปรกน้ำเน่าตั้งแต่ช่วงการรณรงค์หาเสียง หรือแม้กระทั่งหลังการเลือกตั้งซึ่งเป็นครั้งแรกที่มหาชนที่สนับสนุนผู้สมัครชิงตำแหน่งผู้นำหมายเลข 1 ของฝ่ายหนึ่งจะออกมาเคลื่อนไหวไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมากต่ออนาคตประชาธิปไตยของเมืองลุงแซม

อีกประเด็นหนึ่งหลังจากที่โลกช็อกกับผลการเลือกตั้งเมื่อ “ทรัมป์” ชนะขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของมหาอำนาจเมืองลุงแซมอย่างพลิกล็อกชนิดทำเอาโพลล์ทุกสำนักที่เคยทำนายว่า ฮิลลารี คลินตัน จากพรรคเดโมแครต จะชนะแบบนอนมาขึ้นเป็นผู้นำสตรีหมายเลข 1 คนแรกของในประวัติศาสตร์เมืองลุงแซมต้องหน้าแตกยับเยินตามกัน และนอกจากช็อกต่อผลการเลือกตั้งแล้วทั่วโลกต่างหวาดผวาต่อท่าทีและนโยบายอันสุดโต่งของ “ทรัมป์” ท่ามกลางอนาคตของโลกที่ระส่ำระสายไม่แน่นอนเพราะไม่รู้ว่า “ทรัมป์” จะแสดงความบ้าระห่ำอะไรออกมาบ้าง

สำหรับรัฐบาลไทยภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศจุดยืนเดินสายกลางแบบไทยๆ โดยย้ำว่าไม่ว่าใครจะมาเป็นผู้นำของมะกันอันตรายไทยก็จะยังคงมีนโยบายเป็นมิตรรักษาความสัมพันธ์กับมะกันอันตราย ซึ่งมีประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์อันแนบแน่น กับไทยมาช้านานไม่เปลี่ยนแปลง

ขณะเดียวกันเพื่อความไม่ประมาทพล.อ.ประยุทธ์ ได้เรียกประชุมเอกอัครราชทูตไทยและกงสุลไทยทั่วโลกประชุมหารือเพื่อเตรียมรับมือกับสถานการณ์โลกที่อาจเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังการเปลี่ยนผ่านทางอำนาจของผู้นำเมืองลุงแซม

ในท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของการเมืองโลกจากการที่ “ทรัมป์” ขึ้นเป็นผู้นำคนใหม่ของมหาอำนาจมะกันอันตราย ปรากฏว่าขบวนการเพื่อแม้วฉวยโอกาสดราม่าสร้างภาพโดย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุกคดีทุจริตตามคำพิพากษาศาล และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ผู้เป็นน้องสาวซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าวสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ รวมทั้งพรรคเพื่อไทยได้ส่งสารแสดงความยินดีไปถึง “ทรัมป์” ที่ชนะการเลือกตั้งได้ขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1 ของมหาอำนาจมะกันอันตราย

สารแสดงความยินดีของนักโทษชายแม้วและจำเลยปู มีใจความตอนหนึ่งว่า “ความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างไทยจะแนบแน่นลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม พวกเราในประเทศไทยเฝ้ารออย่างใจจดใจจ่อที่จะได้ร่วมงานกับรัฐบาลของท่านอย่างใกล้ชิดในช่วงเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า”

จากการส่งสารถึง “ทรัมป์” ของ นักโทษชายแม้วและ จำเลยปู ถูกต้องข้อสังเกตว่าด้านหนึ่งเป็นการตีกินเสนอตัวเชลียร์ผู้นำคนใหม่ของมหาอำนาจมะกันอันตรายเพื่อเป็นเกราะป้องกันตัวเอง เพราะเกรงนโยบายอันสุดโต่งของ “ทรัมป์” ที่อาจเลิกให้ท้ายขบวนการเพื่อแม้ว รวมทั้งไม่ให้ นักโทษชายแม้ว เข้าเมืองลุงแซมอีกต่อไปในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ที่ทางการไทยต้องการตัว รวมไปถึงบรรดาเหล่าขบวนการแดงคิดล้มเจ้าที่ถูกออกหมายจับทั้งหลายซึ่งหลายคนกบดานอยู่ในเมืองลุงแซมอาจถูกเฉดหัวหรือส่งตัวกลับมาดำเนินคดีในไทย

นอกจากนี้อีกด้านหนึ่งสะท้อนให้เห็นถึงดราม่าสร้างภาพที่ระบอบแม้วถนัดหวังชิงพื้นที่ข่าว โดยเฉพาะ นักโทษชายแม้ว และ จำเลยปู พยายามสร้างภาพความเป็นผู้นำโดยอาศัย “ทรัมป์” เป็นเครื่องมือ ถึงขนาดสร้างภาพว่าจะได้ร่วมงานกับ“ทรัมป์” ในช่วงเวลาไม่กี่ปีข้างหน้า

ทั้งๆ ที่เมื่อถึงตอนนั้นไม่รู้ว่า นักโทษชายแม้วยังมีชีวิตอยู่และจำเลยปูชดใช้กรรมเข้าไปอยู่ในคุกจากพิษคดีจำนำข้าวแล้วหรือไม่

ทีมข่าวการเมือง

ไทย-อาเซียนต้องผนึกกำลัง รับมือผลกระทบศก.ยุค”ทรัมป์”

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/244039

วันศุกร์ ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ไม่รู้ว่าจะโชคดีหรือโชคร้ายสำหรับเมืองลุงแซม แต่ในเมื่อมะกันชนเสียงส่วนใหญ่ตัดสินใจเลือกโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำหมายเลข 1 ของประเทศก็ต้องยอมรับผลที่จะเกิดจากนี้เป็นต้นไป แต่สำหรับชาวโลกช็อกเพราะผวากับนโยบายบ้าดีเดือดสุดโต่งของผู้นำมะกันอันตรายคนใหม่

อย่างไรก็ตามสำหรับไทยควรตั้งสติตื่นตัว แต่ไม่ต้องถึงกับตื่นตระหนกปรุงแต่งจินตนาการไปต่างๆนานาถึงผลที่จะตามมาในด้านลบจากนโยบานสุดโต่งของ”ทรัมป์ไปตามกระแสโลกจนเกินเหตุ ซึ่งอาจจะไม่เลวร้ายอย่างที่จินตนาการกันก็ได้

ถ้าจะว่าไปแล้วนโยบาย “America First”  หรือ “อเมริกาต้องมาก่อน”ของ”ทรัมป์”อาจส่งผลทั้งด้านบวกและด้านลบ โดยด้านบวกมหาอำนาจมะกันอันตรายยุคใหม่คงลดความเป็น”จอมอันธพาลโลก”ลง แล้วหันไปเน้นเรื่องการแก้ปัญหาปากท้องของมะกันชนเองเป็นด้านหลัก ซึ่งนั่นย่อมทำให้การทำตัวเป็นนักเลงโตโลกเข้าไปจุ้นจ้านหาเรื่องชาวบ้านของมหาอำนาจสหรัฐฯคงลดลงไป โดยเฉพาะในเอเซียแปซิฟิค แต่ด้านลบที่น่าวิตกคงเป็นนโยบายด้านเศรษฐกิจของ “ทรัมป์” ที่จะดึงนักลงทุนสหรัฐฯทั่วโลกกลับไปพัฒนาบ้านเกิดตัวเอง รวมทั้งนโนบายกีดกันทางการค้าของ”ทรัมป์”ที่จะกระทบต่อการส่งออกของประเทศต่างๆที่เป็นคู่ค้ากับสหรัฐฯรวมทั้งไทย

สำหรับไทยเรานั้นเท่าที่ทำได้ก็คือ ตั้งสติและเตรียมปรับตัวแปรวิกฤติให้เป็นโอกาสตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงโดยยึดแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงตามแนวพระราชดำริมาปรับใช้โดยเฉพาะในเรื่องการสร้างภูมิคุ้มกันก็เชื่อว่าจะทำให้ประเทศอยู่รอดได้ภายใต้สถานการณ์เศรษฐกิจที่แปรปรวน

การสร้างภูมิคุ้มกันอย่างยั่งยืนในระยะยาวก็คือมุ่งสร้างเศรษฐกิจภายในประเทศให้เข้มแข็งเหมือนการสร้างบ้านก็ต้องตอกเสาเข็มให้มั่นคงแข็งแรง โดยจะต้องกระตุ้นทำให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยของคนภายในประเทศเพื่อให้เกิดการหมุนเวียนทางเศรษฐกิจมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องสร้างภูมิคุ้มกันในระดับภูมิภาคนั่นคือการหันมาร่วมมือและค้าขายกันให้มากขึ้นระหว่างชาติอาเซียนแทนที่จะพึ่งการส่งออกไปยังชาติมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯแต่เพียงอย่างเดียว

ดร.สุรินทร์ พิศสุวรรณ อดีตเลขาธิการอาเซียน  จึงเสนอความเห็นภายใต้สถานการณ์นโยบายมหาอำนาจสหรัฐฯยุค“ทรัมป์” ที่จะปิดประเทศมุ่งที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจของตัวเองมากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยและประเทศในภูมิภาคอาเซียน ดังนั้นทางรอดเดียวสำหรับไทยในภาวะการณ์ที่ยากลำบากนี้ก็คือต้องเร่งสร้างประชาคมเศรษฐกิจอาเซียให้สำเร็จเป็นจริง พร้อมกับพัฒนาคุณภาพของสินค้าส่งออกของไทยให้ติดตลาด ตลอดจนต้องหันไปพึ่งพาจีนให้มากขึ้น

                  การสร้างภูมิคุ้มกันหันมาพึ่งตัวเองด้วยการร่วมมือกันอย่างเข้มแข็งของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนจึงน่าจะเป็นทางออกรับมือกับแนวโน้มสถานการณ์เศรษฐกิจโลกที่จะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ได้อย่างยั่งยืน  

 

ทีมข่าวการเมือง

ประชาธิปไตยจอมปลอมน้ำเน่า โฉมหน้าแท้จริงมะกันอันตราย

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/243875

วันพฤหัสบดี ที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นอกจากผลศึกชิงเก้าอี้ประธานาธิบดีคนที่ 45 เมืองลุงแซมที่ออกมา อีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจคือเบื้องหลังศึกชิงเก้าอี้ผู้นำหมายเลข1 มหาอำนาจจอมอันธพาลโลกที่หน้าฉากได้ชื่อว่ามีความเป็นประชาธิปไตยมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลกได้รับการพิสูจน์แล้วว่า แท้ที่จริงแล้วน้ำเน่าไม่แพ้ธุริจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมแบบไทยๆ

ศึกชิงเก้าอี้ผู้นำหมายเลข 1 ของมหาอำนาจมะกันอันตรายซึ่งเป็นการขับเคี่ยวระหว่าง ฮิลราลี่ คลินตัน อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศจากพรรคเดโมแครตซึ่งได้รับฉายาว่า “แม่มดกระหายเลือด” กับ โดนัล ทรัมป์ มหาเศรษฐีจอมบ้าดีเดือดแนวคิดหลุดโลกจากพรรคริพับริกันครั้งนี้นักสังเกตุการณ์ทางการเมืองมองว่า ไม่ว่าใครขึ้นเป็นผู้นำหมายเลข 1  ดูเหมือนว่าต่างก็เป็นเคราะห์ร้ายสำหรับเหล่ามะกันชนทั้งสิ้น

ตลอดช่วงการรณรงค์หาเสียงระหว่างสองผู้สมัครชิงเก้าอี้ผู้นำมะกันอันตรายตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความกักขระไร้จิตวิญญาณแห่งความเป็นประชาธิปไตยของผู้สมัครทั้งสองพรรค โดยการหาเสียงหรือแม้แต่การดีเบตส่วนใหญ่ล้วนเป็นการสาดโคลนใส่กันและกันในเรื่องส่วนตัวอื้อฉาวแทนที่จะเป็นเรื่องนโยบายซึ่งเป็นสิ่งเหล่ามะกันชนควรรู้

นับเป็นครั้งแรกที่สะท้อนความล้มเหลวของประชาธิปไตยของชาติมะกันอันตรายเมื่อเกิดความแตกแยกของคนในชาติอย่างไม่เคยมีก่อนและเป็นครั้งแรกที่ผู้สมัครทั้งสองพรรคแสดงท่าทีไม่เผาผีโดยไม่เข้ามาจับมือกันหลังสิ้นสุดการหาเสียงเลือกตั้งซึ่งเป็นการแสดงสปิริตที่ปฏิบัติกันมาช้านาน  และยิ่งไปกว่านั้นเป็นครั้งแรกที่ผู้สมัครฝ่ายหนึ่งคือ โดนัล ทรัมป์ ประกาศจะไม่ยอมรับผลการเลือกตั้งหากตัวเองเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ โดยระบุว่าพรรคเดโมแครตซึ่งเป็นคู่แข่งและครองอำนาจอยู่ในปัจจุบันโดย ประธานาธิบดีบารัค โอบามา โกงการเลือกตั้ง โดยล่าสุด โดนัล ทรัพป์ ฟ้องร้องว่าหลายหน่วยเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ปล่อยให้มีการลงคะแนนเลยเวลาหลังปิดหีบเลือกตั้ง

อีกปรากฏการณ์หนึ่งที่สะท้อนถึงความสกปรกเน่าเฟะของระบอบประชาธิปไตยมะกันอันตรายก็คือกรณีที่ผู้บริหารของสำนักงานสอบสวนกลางหรือเอฟบีไออยู่ๆก็ออกมาเปิดประเด็นตั้งกรรมการสอบสวนกรณีอื้อฉาว ฮิลราลี่ คลินตัน  ส่งข้อความซึ่งเป็นลับของชาติผ่านทางอีเมล์ส่วนตัว และสรุปดื้อๆว่า นางฮิลราลี่ คลินตัน บริสุทธิ์ผุดผ่องไม่มีความผิดก่อนหน้าที่จะมีการลงคะแนนชิงเก้าอี้ผู้นำมะกันอันตรายเพียงไม่กี่วันทำให้คะแนนของ ฮิลราลี่ คลินตัน พุ่งสูงขึ้น ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้ในช่วงการรณรงค์หาเสียง ฮิลราลี่ คลินตัน ประกาศยอมรับผิดในกรณีอีเมล์ฉาวและกล่าวขอโทษชาวมะกันอันตรายไปแล้ว อันสะท้อนให้เห็นถึงเกมการเมืองที่ไม่ต่างจากการปล้นชัยชนะโกงเลือกตั้งทางอ้อม

เพราะฉะนั้นการที่มหาอำนาจจอมอันธพาลโลกเที่ยวใช้ข้ออ้างประชาธิปไตยกดดันประเทศต่างๆรวมทั้งไทยเพื่อให้ยอมเป็นทาสรับใช้มะกันอันตราย จึงเป็นเพียงเกมเจ้าเล่ห์ของซาตานจอมอันธพาลโลกที่สวมหน้ากากนักประชาธิปไตยจอมปลอม

ทีมข่าวการเมือง

ทะแม่งใครถ่วงคดี ยื้อจับธัมมชโย?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/243772

วันพุธ ที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การสั่งฟ้องคดีที่ธัมมชโย เจ้าสำนักจานบินและพวกรวม 5 คนในข้อหาฟอกเงินและรับของโจรจากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นส่อเค้าทะแม่งเมื่อล่าสุดคณะทำงานของสำนักงานอัยการสูงสุดสั่งเลื่อนการส่งฟ้องออกไปเป็นครั้งที่ 5 โดยนัดพิจารณาว่าจะส่งฟ้องหรือไม่อีกครั้งในวันที่ 30 พ.ย.นี้ โดยให้เหตุผลว่าเพราะรอการสอบสวนเพิ่มเติมจากพนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)

การสั่งเลื่อนคดีของฝ่ายอัยการทำให้แม้แต่ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ซึ่งกำกับดูแลกรมดีเอสไอก็ยังฉงนเพราะสอบถามไปยัง พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ ได้รับการยืนยันแล้วว่า ประเด็นใหญ่ซึ่งเป็นประเด็นหลักของคดีดีเอสไอส่งให้อัยการครบถ้วนซึ่งสามารถส่งฟ้องได้แล้ว

เมื่อนักข่าวซักว่าสังคมอาจมองว่าเป็นการถ่วงเวลา พล.อ.ไพบูลย์ ตอบว่า “เชื่อว่าสังคมก็จะพูดแบบที่พวกคุณพูด ซึ่งมันมีอยู่สองคนที่จะถ่วงคือ พนักงานสอบสวนหรืออัยการถ้าเข้าใจว่าเป็นการถ่วง “

ด้าน นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปท.) แสดงความกังวลว่า ธัมมชโย

จะพ้นผิดซ้ำรอยเหตุการณ์เมื่อปี 2549 เมื่ออัยการสูงสุดขณะนั้นสั่งถอนฟ้อง ธัมมชโย คดียักยอกเงินวัดมาเป็นสมบัติส่วนตัวเกือบ 1,000 ล้านบาท   อย่างไรก็ตามอัยการสูงสุดเมื่อปี 2549 กับอัยการสูงสุดคนปัจจุบันแตกต่างกัน เช่นเดียวกับบริบทของคดีที่มีข้อแตกต่างกันสิ้นเชิง ดังนั้นจึงมั่นใจว่าอัยการจะสั่งฟ้องเพื่อรักษาภาพลักษณ์ของสำนักงานอัยการสูงสุดไม่ให้เสียหายเหมือนในอดีต

คดีฉ้อฉลเงินสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นโดยเฉพาะการจับกุม ธัมมชโย ยืดเยื้อมานานกว่าครึ่งปีก็ยังไม่สามารถจับกุม ธัมมชโย ซึ่งเป็นผู้ต้องหาตามหมายจับที่ยังคงลอยนวลหลบซ่อนตัวอยู่ในสำนักจานบินอย่างท้าทายกฏหมาย

ก่อนหน้านี้เมื่อหลายเดือนที่แล้ว ดีเอสไอนำกำลังเจ้าหน้าที่บุกสำนักจนบินหมายเข้าคุมตัว ธัมมชโย แต่ก็ถูกเหล่าสาวกสำนักจานบินใช้ลวดหนาม รถแม็กโฮ และกำแพงมนุษย์ขัดขวาง

จนในที่สุดฝ่ายเจ้าหน้าที่ต้องล่าถอยเพราะเกรงสถานการณ์จะบานปลาย

จากนั้นมีการเจรจาระหว่างฝ่ายเจ้าหน้าที่กับ ธัมมชโย ผ่านพระเถระผู้ใหญ่หลายครั้งแต่ก็ล้มเหลว โดย ธัมมชโย ยืนกรานไม่ยอมมอบตัวโดยอ้างว่าป่วย

สำนักจานบินนั้นได้ชื่อว่าทรงอิทธิพลมากเพราะนอกจากมีทรัพย์สินทั้งในและนอกประเทศมูลค่ามหาศาลแล้วยังมีสานุศิษย์ทั่วประเทศจำนวนมาก อีกทั้งยังถูกตั้งข้อสังเกตุว่ามีอิทธิพลครอบงำแม้แต่มหาเถรสมาคม(มส.)ซึ่งเป็นองค์กรสงฆ์สูงสุด ตลอดจนนักธุรกิจระดับชาติและข้าราชการระดับสูงจำนวนไม่น้อย และที่สำคัญยังเป็นพันธมิตรอันแนบแน่นกับพรรคการเมืองกลุ่มอำนาจเก่า จึงไม่น่าแปลกใจที่ ธัมมชโย ลอยนวลมาจนทุกวันนี้ทั้งๆที่ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช เคยมีพระบัญชาให้พ้นความเป็นสงฆ์ตั้งแต่ปี 2542 จากคดียักยอกเงิน

การที่ธัมมชโยยังท้าทายกฏหมายมาได้จนถึงทุกวันนี้ท่ามกลางข่าวร่ำลือสะพัดก่อนหน้านี้เรื่องข้อเสนอเงิน 2,000 ล้านบาทเพื่อวิ่งเต้นหวังพลิกคดีสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น ซึ่งได้แต่หวังว่าร่ำลือดังกล่าวจะไม่ใช่เรื่องจริง

ทีมข่าวการเมือง