เพื่อแม้วดิ้นสีข้างถูป้องปู ตะแบงอ้างถูกแกล้งคดีจำนำข้าว?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/241748

วันพุธ ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

จนถึงขนาดนี้เหล่าสาวกพรรคเพื่อแม้วยังพยายามดิ้นรนตะแบงโฆษณาชวนเชื่อปกป้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดในคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการโกงชาติปล้นแผ่นดินมโหฬารและสร้างความล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

วันก่อน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะจำเลยไปขี้นศาลเหมือนพยายามสร้างภาพน้ำตาคลอเบ้าเรียกความสงสารพร้อมให้สัมภาษณ์สื่ออ้างเหมือนเดิมทำนองว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่เป็นธรรมในคดีโครงการรับจำนำข้าว ทั้งๆที่เมื่อครั้งที่ตัวเองมีอำนาจในฐานะนายกฯหุ่นเชิด”ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ยืนยันว่ามีการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีกับรัฐบาลจีนและไม่มีการทุจริต  และทั้งๆที่หลายหน่วยงานไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) กระทรวงการคลัง สภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือแม้แต่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร หรือ “ดร.โกร่ง” หัวหน้ากุนซือด้านเศรษฐกิจรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ก็ยังเตือนแล้วเตือนอีกว่า โครงการรับจำนำข้าวจะทำให้รัฐบาลพังเพราะการตั้งราคารับจำนำข้าวสูงกว่าตลาดถึงเท่าตัวซึ่งผิดหลักการจำนำสิ้นเชิง และจะเปิดช่องให้มีการทุจริตมโหฬารและสร้างความล่มจมต่อฐานะการคลังของประเทศอย่างรุนแรง  แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับไม่ฟังก็ยังเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวภายใต้ “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ”

แม้จนกระทั่งรัฐบาลถังแตกค้างเงินค่าจำนำข้าวชาวนานานข้ามปีจนชาวนาฆ่าตัวตายไปกว่า 10 คนและออกมาชุมนุมประท้วง ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นฝ่ายค้านขณะนั้นเปิดโปงข้อมูลการทุจริตมโหฬารโดยเฉพาะพบว่าการขายข้าวแบบจีทูจีกับรัฐบาลจีนที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์อ้างนั้นความจริงเป็นจีทูจีเก๊ที่ไม่มีอยู่จริง โดยมีกลุ่มนายทุนที่ใกล้ชิดตระกูลชินนำข้าวราคาถูกมาเวียนเทียนขายให้รัฐในราคาสูงตามโครงการรับจำนำเพื่อหาประโยชน์มหาศาล แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กลับยืนยันว่ามีการขายข้าวจีทูจีจริงและยืนกรานเดินหน้าโครงการรับจำนำข้าวภายใต้”ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ”

การที่วงจรข้าวของประเทศพังทั้งระบบและราคาข้าวตกต่ำมาจนทุกวนี้นนี้ก็เพราะผลพวงอัปยศโครงการรับจำนำข้าวที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทิ้งไว้ ซึ่งรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ต้องมารับเคราะห์ตามแก้ปัญหาขั้นวิกฤติที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ทิ้งไว้โดยเฉพาะข้าวค้างสต๊อกทั่วประเทศที่ขายไม่ออกเพราะราคาสูงกว่าตลาดถึงเท่าตัวและเสื่อมคุณภาพถึงราว 21 ล้านตันซึ่งต้องใช้เวลาระบายอีกหลายปีกว่าจะหมด ขณะที่ข้าวฤดูการผลิตใหม่ก็ทะยอยออกมาไม่หยุดทำให้ข้าวล้นตลาดจนราคาตก  ยังไม่รวมหนี้อีกกว่า 5 แสนล้านบาทจากโครงการรับจำนำข้าว ขณะที่คนแค่หยิบมือที่โกงชาติปล้นแผ่นดินรวยมหาศาลบนความล่มจมของชาติ

ล่าสุด นายภูมิธรรม เวชชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อแม้ว ยังส่อเจตนาดิ้นตะแบงป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ด้วยการปลุกระดมให้ผนึกกำลังหาทางช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้รอดพ้นกรรมที่ก่อโดยอ้างว่า

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ผิด แต่ตกเป็นเหยื่อการทำลายล้างทางการเมือง

ก็ในเมื่อมั่นใจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ บริสุทธิ์สะอาดหมดจดแล้วทำไมถึงออกอาการเหมือนร้อนตัวที่พิสูจน์ความบริสุทธ์ตามกระบวนการยุติธรรม ถึงออกมาปลุกกระแสเหมือนไม่ยอมรับกระบวนการยุติธรรม

จึงทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าหรือขบวนการเพื่อแม้วกำลังวางแผนบางอย่างเพื่อช่วย น.ส.ยิ่งลักษณ์ด้วยการสร้างกระแสหาข้ออ้างความชอบธรรมฟ้ององค์กรระหว่างประเทศหาช่องปูทางหนีขอลี้ภัยในบางประเทศ

ทีมข่าวการเมือง

ปชช.ไม่มีปัญหาปรองดอง แต่คนแค่หยิบมือต้นเหตุบ่อนทำลายชาติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/241571

วันอังคาร ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

กินเนสส์ บุ๊ค เวิลด์ ออฟ เรคคอร์ดส์ คงต้องบันทึกไว้ว่าคลื่นพสกนิกรชาวไทยทั้งแผ่นดินแค่เฉพาะที่ท้องสนามหลวงและบริเวณโดยรอบพระบรมมหาราชวังซึ่งมืดฟ้ามัวดินนับแสนๆ คนมารวมตัวกันด้วยใจมาร่วมร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีเพื่อแสดงความไว้อาลัยและรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ถือเป็นการร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีแด่พระมหากษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก

นับเป็นภาพบันทึกเหตุการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ไทยและของโลก โดยยังไม่ต้องพูดถึงพสกนิกรไทยในทุกจังหวัดทั่วประเทศและจากทั่วโลกที่คาดว่ารวมแล้วนับสิบล้านคนที่ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีร่วมกับคลื่นมหาชนผู้จงรักภักดีนับแสนที่ท้องสนามหลวงอย่างพร้อมเพรียง

การที่บรรดาประมุขแห่งรัฐต่างๆ จากทั่วโลกต่างทยอยเดินทางมาร่วมแสดงความไว้อาลัยถวายสักการะพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ หรือการที่องค์การสหประชาชาติสำนักงานใหญ่และสาขาทั่วโลกลดธงครึ่งเสา และยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์นักพัฒนาที่ยากจะหาพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกเสมอเหมือน ขณะที่สื่อต่างชาติต่างยกย่องว่าทรงเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงตรากตรำเหน็ดเหนื่อยที่สุดในโลกในการประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อความผาสุกของพสกนิกรของพระองค์ตลอดระยะเวลาการครองราชย์อันยาวนานถึง 70 ปี ที่เป็นสิ่งยืนยันถึงความเป็นพระภัทรมหาราชหรือพระมหากษัตริย์ผู้ประเสริฐยิ่ง

การเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ แม้จะสร้างความเศร้าโศกแก่คนไทยทั้งแผ่นดิน ในอีกด้านหนึ่งกลับเป็นการสร้างปรากฏการณ์ที่คนไทยทั้งประเทศและทั่วโลกเกิดความรู้สึกที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเพื่อที่จะทำดีสานต่อพระราชปณิธานของพ่อแห่งแผ่นดิน โดยเฉพาะการสร้างความสามัคคีของคนในชาติ ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ที่เริ่มก่อร่างให้เห็นแล้วจากการที่พสกนิกรผู้จงรักภักดีทุกหมู่เหล่าทุกอาชีพ ทุกเชื้อชาติ ศาสนาและทุกเพศทุกวัย หรือแม้แต่ผู้ที่มีแนวคิดต่างสีกันต่างหันมาช่วยเหลือเกื้อกูลกันและปฏิญาณตนที่จะสืบสานการมุ่งสร้างชาติให้สงบสุขรุ่งเรืองอันเป็นการเจริญรอยตามเท้าพ่อ

ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพิสูจน์ให้เห็นชัดแจ้งแล้วว่าพื้นฐานในหมู่ประชาชนทั้งแผ่นดินนั้น พร้อมที่จะรักสามัคคีกันอยู่แล้วโดยมีพ่อแห่งแผ่นดินเป็นศูนย์รวมจิตใจ

ทั้งนี้ปัญหาความแตกแยกและการสร้างความปรองดองในชาติในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยแท้จริงแล้วไม่ได้เกิดจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ แต่เกิดจากคนไม่ดีเพียงหยิบมือเดียว ที่นอกจากโกงชาติปล้นแผ่นดินเพื่อตัวเองแล้ว ยังสุมไฟวิกฤติทำลายชาติถึงขั้นมีแนวคิดบ่อนทำลายสถาบันอันเป็นที่รักเทิดทูนของคนไทยทั้งชาติ ดังนั้นการแก้ปัญหาที่ต้นเหตุอย่างยั่งยืนจึงต้องแยกปลาออกจากน้ำและทำให้คนไม่ดีไม่มีโอกาสเข้ามามีอำนาจมีบทบาทในชาติบ้านเมือง

ทีมข่าวการเมือง

แปรความอาดูรเป็นพลังแผ่นดิน สามัคคีทำดีเพื่อชาติสานปณิธานพ่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/241327

วันอาทิตย์ ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นความเศร้าเสียใจครั้งยิ่งใหญ่และน้ำตาของคนไทยนองทั่วแผ่นดินจากการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ และนับเป็นภาพที่คงไม่สามารถพบเห็นอีกแล้วในประเทศแห่งใดในโลกที่บรรดาพสกนิกรผู้จงรักภักดีทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาจากทั่วสารทิศของประเทศต่างพร้อมใจกันแต่งชุดดำหลั่งไหลเดินทางมุ่งหน้าสู่พระบรมมหาราชวัง อย่างไม่ขาดสายด้วยน้ำตาและความโศกเศร้าโดยมีหัวใจดวงเดียวกันนั่นคือเพื่อถวายสักการะพระบรมศพพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย

ภายใต้สถานการณ์ที่เศร้าโศกของหมู่พสกนิกรผู้จงรักภักดีกลับเกิดปรากฏการณ์อันน่าชื่นชมที่สะท้อนให้เห็นถึงน้ำใจของเหล่าพสกนิกรผู้มีหัวอกเดียวกันโดยต่างเสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกันแสดงถึงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวของคนในชาติ อาทิ การที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างกลุ่มหนึ่งให้บริการฟรีแก่ประชาชนที่จะเดินทางไปสักการะพระบรมศพที่พระบรมมหาราชวัง หรือกรณีบริษัทเอกชนบางบริษัทเกรงว่าประชาชนจะไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางจึงจัดรถบัสขนาดใหญ่ไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อคอยบริการรับส่งประชาชนจำนวนมากที่จะเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง หรือกรณีประชาชนหลายกลุ่มได้นำน้ำ อาหาร ยาดมและของใช้จำเป็นมาแจกจ่ายแก่ประชาชนฟรี ขณะที่มูลนิธิเพื่อสาธารณะต่างๆ พากันจัดหน่วยพยาบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อาจเจ็บป่วยกะทันหันจากการตรากตรำแสดงความจงรักภักดีหน้าพระบรมมหาราชวังเป็นเวลานานๆ หรืออาสาสมัครบางกลุ่มทำความดีด้วยการเก็บขยะบริเวณท้องสนามหลวงและพระบรมมหาราชวัง

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทยที่มีมาแต่โบราณกาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตร ที่ทรงตรากตรำประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อปวงชนชาวไทยมายาวนานถึง 70 ปี นับตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์จึงสถิตอยู่ในดวงใจของปวงชนชาวไทยลึกซึ้งอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ทูลกระหม่อมหญิงอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี กล่าวขณะนำอาหารไปประทานแก่บรรดาประชาชนที่มาร่วมถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศบริเวณพระบรมมหาราชวังตอนหนึ่งว่า “เราต่างก็มีพ่อคนเดียวกัน ต่อไปทุกคนต้องช่วยกันทำงาน เดินไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง”

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวไว้ตอนหนึ่งในคำแถลงภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ว่า ทุกคนต้องอดทนและทำใจต่อความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของชาติครั้งนี้ ซึ่งทุกคนรวมทั้งรัฐบาลต่างก็มีหน้าที่ต้องนำพาชาติบ้านเมืองเดินหน้าต่อไป โดยสิ่งหนึ่งที่ทุกคนจะแสดงความจงรักภักดีต่อพ่อของแผ่นดินก็คือประพฤติตนสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์

เช่นเดียวกับ ศ.เกียรติคุณ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร รมว.สาธารณสุข ซึ่งเคยทำหน้าที่แพทย์ประจำพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ให้ข้อคิดว่า ที่ผ่านมาในหลวงทรงทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนและประเทศชาติเจริญก้าวหน้า ที่ชัดเจนคือในชีวิตของพระองค์ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นมาตลอด เสียสละพระวรกาย ปัญญา ความคิดเพื่อประชาชนโดยแท้ โดยไม่มีสิ่งใดแอบแฝง ประชาชนจะเห็นหรือไม่พระองค์ท่านก็ทำ

ดังนั้นอยากให้ประชาชนเปลี่ยนความเศร้าโศกให้เป็นพลังอันยิ่งใหญ่ในการทำสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อประโยชน์ของผู้อื่นตามรอยเบื้องพระยุคลบาท เพราะนั่นคือสิ่งที่พระองค์อยากให้มี อยากให้เกิดขึ้นในประเทศไทย สำคัญกว่าสิ่งอื่นใดคือต้องมีความสามัคคีกัน ไม่เพ่งโทษกัน พยายามที่จะสนับสนุนเกื้อกูลสิ่งที่ดีให้ประเทศนี้

ฉะนั้นลูกทั่วแผ่นดินจึงควรแสดงความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันพร้อมใจแปรความเศร้าโศกให้เป็นพลังอันยิ่งใหญ่และแสดงความจงรักภักดีถวายแด่พ่อแห่งแผ่นดินด้วยการทำความดีทุกรูปแบบสืบสานพระราชปณิธานตามรอยเบื้องพระยุคลบาทเพื่อให้ประเทศชาติมีความสงบผาสุกร่มเย็นเจริญรุ่งเรือง ซึ่งจะเป็นการทำให้ดวงพระวิญญาณของพ่อในสรวงสรรค์ปลื้มปีติที่เห็นพระราชปณิธานตลอด 70 ปี แห่งการครองราชย์ของพระองค์ได้รับการสานต่อแล้ว

ทีมข่าวการเมือง

โลกอาลัยน้อมถวายสักการะ แด่ภัทรมหาราชผู้ยิ่งใหญ่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/241244

วันเสาร์ ที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงเป็นKing Of Kings ซึ่งเป็นที่ยอมรับไปทั่วโลกอย่างไม่ต้องสงสัยและไม่น่าแปลกใจเลยเมื่อนายสุวพันธุ์ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯเปิดเผยว่า ขณะนี้มีพระมหากษัตริย์และประมุขประเทศต่างๆ ทั่วโลก อาทิ สมเด็จพระราชาธิบดีและสมเด็จพระราชินีแห่งมาเลเซีย สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไน ผู้นำประเทศมาเลเซีย สิงคโปร์และภริยา ผู้นำกัมพูชา ผู้นำสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ผู้นำรัฐกาตาร์ ผู้นำซาอุดีอาระเบีย ผู้นำฟิลิปปินส์ ผู้นำสาธารณรัฐแซมเบีย ผู้นำสหรัฐอเมริกา ผู้นำเกาหลีใต้ ผู้นำสาธารณรัฐหมู่เกาะมาร์แชลล์ ผู้นำหมู่เกาะมัลดีฟส์ ผู้นำประเทศแกมเบีย และผู้นำญี่ปุ่น ได้แจ้งความประสงค์มายังทางการไทยอย่างเป็นทางการเพื่อขอเดินทางมาร่วมไว้อาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ นายบัน คี มูน เลขาธิการองค์การสหประชาชาติ ได้ส่งสารแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งมายังรัฐบาลไทยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ รวมทั้งสำนักงานใหญ่องค์การสหประชาชาติได้ลดธงครึ่งเสาเพื่อแสดงความไว้อาลัยและสดุดีในพระเกียรติยศอย่างสูงสุด ล่าสุดการประชุมองค์การสหประชาชาติเพื่ออำลาตำแหน่งของนายบัน คี มูน ที่จะพ้นวาระการดำรงตำแหน่งเลขาธิการองค์การสหประชาชาติในเร็วๆ นี้ได้ยืนไว้อาลัยแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ซึ่งที่ผ่านมาองค์การสหประชาชาติได้สดุดีพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของไทยว่า เป็นพระมหากษัตริย์นักคิดนักพัฒนาผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งยากที่จะหาพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลกนี้เสมอเหมือน โดยองค์การสหประชาชาติเคยมอบรางวัลแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาแล้วหลายรางวัล รวมทั้งการนำปรัชญาแนวคิดเศรษฐกิจแบบพอเพียงเป็นต้นแบบเพื่อให้ประเทศต่างๆ ทั่วโลกใช้เป็นแนวทางการแก้ปัญหาอย่างยั่งยืน

นอกจากเป็นราชาแห่งราชันที่ครองราชย์ยาวนานที่สุดในโลกเป็นเวลาถึง 70 ปีแล้ว สื่อต่างชาติยังยกย่องพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศว่า เป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงเหน็ดเหนื่อยมากที่สุดในโลกพื่อความผาสุกของพสกนิกรของพระองค์

การที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงสามารถครองใจคนทั้งโลกและคนไทยทั้งประเทศก็เนื่องด้วยทศพิธราชธรรม 10 ประการที่ทรงยึดถือปฏิบัติอย่างจริงจังตลอดการครองราชย์ ประกอบด้วย

1.ทาน คือการให้โดยทรงช่วยเหลือประชาชนในถิ่นทุรกันดารทั่วประเทศโดยไม่แยกชั้นวรรณะ

2.ศีล ทรงตั้งใจออกผนวชและศึกษาหลักธรรมคำสอนในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจังและแม้จะลาสิกขาบทแล้วก็ยังทรงนำหลักพระพุทธศาสนามาใช้ในการปกครองแผ่นดินให้ร่มเย็น

3.บริจาค ทรงบริจาคสิ่งของพระราชทานแก่ราษฎรที่ประสบความเดือดร้อนอย่างมิได้ขาด หรือแม้แต่บริจาคทรัพย์ส่วนพระองค์ที่มีผู้ทูลเกล้าฯถวายเป็นทุนการศึกษาแก่นักเรียนนักศึกษาที่เรียนดีแต่ยากจน รวมไปถึงการบริจาคทรัพย์และที่ดินส่วนพระองค์ที่มีผู้บริจาคเพื่อพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนในชุมชนทั่วประเทศใด้ดีขึ้น

4.อาชวะ ทรงมีความซื่อตรงไม่ว่าจะต่อหน้าหรือลับหลัง และมีจิตใจที่ใสสะอาดไม่มีอคติหรือคิดร้ายต่อใคร

5.มัทวะ ทรงมีความอ่อนโยนไม่ถือพระองค์และไม่ดูหมิ่นผู้ใด

6.ตบะ ทรงมีความเพียรอย่างแรงกล้าไม่ย่อท้อโดยมุ่งที่จะทำให้พสกนิกรของพระองค์อยู่เย็นเป็นสุขซึ่งพิสูจน์ให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งที่ทรงตรากตรำเพื่อพสกนิกรของพระองค์มาตลอดระยะเวลายาวนานถึง 70 ปี

7.อักโกธะ หรือความไม่โกรธ ซึ่งทรงเป็นผู้ที่มีอารมณ์เยือกเย็นเป็นอย่างยิ่ง แม้จะมีเหตุให้ทรงพระพิโรธ แต่ก็ทรงข่มพระทัยจนความโกรธมลายหายไป

8.อวิหิงสา ทรงไม่เบียดเบียน เอาเปรียบหรือสร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่นไม่ว่าจะโดยทางตรงทางอ้อม หรือแม้แต่สัตว์

9.ขันติ ทรงมีความอดทนเป็นเลิศ ซึ่งไม่ว่าจะยากลำบากตรากตรำสักเพียงใดโดยเฉพาะการเสด็จฯออกพบปะกับพสกนิกรในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ก็ไม่เคยย่อท้อปริปากบ่น แต่จะทรงมุ่งมั่นประกอบพระราชกรณียกิจให้ลุล่วงจนมีคำกล่าวว่าไม่มีพื้นที่ใดในประเทศไทยที่พระองค์ไม่เคยเสด็จพระราชดำเนินไปถึง

10.อวิโรธนะ อันหมายถึงความเที่ยงธรรม ซึ่งสะท้อนจากปฐมบรมราชโองการที่พระองค์ทรงมีกระแสพระราชดำรัสเมื่อเริ่มครองราชย์ว่า “เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขของมหาชนชาวสยาม”

ดังนั้นเพื่อแสดงให้โลกรับรู้ถึงความจงรักภักดีของมวลมหาประชาชนไทยที่มีต่อพระภัทรมหาราชผู้ยิ่งใหญ่ ขอปวงชนชาวไทยผู้จงรักภักดีทุกหมู่เหล่าร่วมน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณและร่วมแสดงความไว้อาลัยแด่พ่อแห่งแผ่นดินด้วยการรวมพลังร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีในวันที่22 ต.ค.นี้บริเวณถนนหน้าพระลานกำแพงพระบรมมหาราชวังซึ่งจะมีการบันทึกภาพเป็นประวัติศาสตร์ที่คนรุ่นหลังจะเล่าขานกันอีกนาน

ทีมข่าวการเมือง

วัดความจริงใจ7ชาติให้ที่พักพิง ปล่อยแก๊งแดงบ่อนทำลายเบื้องสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/241092

วันศุกร์ ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทางการไทยเคยขอความร่วมมือไปยังหลายประเทศเพื่อให้ควบคุมตัวขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงของไทยกลับมาดำเนินคดีตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานหมิ่นพระมหากษัตริย์และราชวงศ์ ขณะที่เหล่าขบวนการบ่อนทำลายเบื้องสูงยังคงเคลื่อนไหวอย่างเหิมเกริมต่อเนื่องแม้ในยามที่คนไทย ทั้งประเทศกำลังเศร้าโศกจากการสวรรคตของพ่อแห่งแผ่นดินทำให้ล่าสุด พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมได้แสดงท่าทีตอกย้ำของทางการไทย อีกครั้งด้วยการลงนามในหนังสือส่งถีงเอกอัครราชทูตต่างชาติประจำประเทศไทย 7 ประเทศ ซึ่งให้ที่พักพิงแก่แก๊งแดงบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงซึ่งมีเกือบ 20 ราย เพื่อให้ส่งตัวกลับมาดำเนินการตามกฎหมายไทย

สำหรับประเทศที่ให้ที่พักพิงหรือช่วยเหลือแก่แก๊งแดงข้อหาบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงอาทิ ฝรั่งเศส ซึ่งให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ นายสมศักดิ์เจียมธีรสกุล อดีตอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นายจรัล ดิษฐาอภิชัย อดีตแกนนำเสื้อแดงนายศรัณย์ ฉุยฉาย หรือ “อั้ม เนโกะ” อดีตนักศึกษาเสื้อแดง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ สหราชอาณาจักรอาทิ นายใจลส์ อึ๊งภากรณ์ อดีตอาจารย์ จุฬาฯ น.ส.ฉัตรวดีอมรพัฒน์ หรือ “โรส” ที่ได้สามีเป็นชาวอังกฤษ และอาจรวมถึงนายจักรภพ เพ็ญแข อดีตรมต.ประจำสำนักนายกฯยุครัฐบาลระบอบทักษิณและแกนนำเสื้อแดง

สหรัฐอเมริกา อาทิ นายชูพงศ์ถี่ถ้วน นายจอม เพชรประดับน.ส.สุดา รังกุพันธุ์ อดีตอาจารย์คณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ นายมนูญหรือ เอนก ชัยชนะ นิวซีแลนด์ให้สถานะผู้ลี้ภัยแก่ นายเอกภาพ เหลือรา หรือ “ตั้ง อาชีวะ” หนึ่งในแกนนำแดงล้มเจ้า ฟินแลนด์ ให้สถานะผู้อยู่อาศัยถาวรแก่ นางจรรยา ยิ้มประเสริฐ หนึ่งในแก๊งแดงบ่อนทำลายเบื้องสูง ลาว ให้ที่พักพิงแก่ นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ หรือ แซ่ด่าน แกนนำแดงล้มเจ้าคนสำคัญ ออสเตรเลีย ปล่อยให้ขบวนการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงเคลื่อนไหวอย่างอิสระ อาทิ นายองอาจ ธนกมลนันท์ นักจัดรายการวิทยุเสื้อแดง ฉายา “อาคม ซิดนีย์”

ทั้งนี้ขบวนการแดงบ่อนทำลายเบื้องสูงกลุ่มนี้นอกจากได้รับท่อน้ำเลี้ยงจากนายใหญ่ที่อยู่เบื้องหลังกลุ่มเสื้อแดงแล้ว ยังเชื่อว่าได้รับการช่วยเหลืออย่างลับๆ จากมหาอำนาจและชาติตะวันตกหลายประเทศ รวมทั้งสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลการบงการของชาติมหาอำนาจตะวันตกที่หน้าไหว้หลังหลอกคิดล้มสถาบันเบื้องสูงอันเป็นจุดแข็งของไทยหวังปูทางเข้ายึดครองไทยซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญภายใต้ลัทธิล่าอาณานิคมยุคใหม่ ดังนั้นการขอความร่วมมือไปยัง 7 ชาติ ซึ่งเป็นแหล่งซ่องสุมของขบวนการแดงล้มเจ้าครั้งนี้จะเป็นการพิสูจน์ความจริงใจของประเทศเหล่านี้ที่หน้าฉากสร้างภาพเทิดทูนสถาบันเบื้องสูงและมีความสัมพันธ์อันดีกับไทย

ทีมข่าวการเมือง

ประเทศต้องเดินไปข้างหน้า สร้างความเชื่อมั่นขจัดความอึมครึม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/240913

วันพฤหัสบดี ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ ตั้งแต่เมื่อวันที่ 13 ต.ค. ที่ผ่านมา เกิดกระแสข่าวลือสะพัดและการแสดงความคิดเห็นทางโซเชียลมีเดียไปต่างๆ นานา ในทางที่สร้างความสับสนเป็นอย่างมากโดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับช่วงรอยต่อแห่งรัชกาล ล่าสุดรัฐบาลภายใต้การนำของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ออกมาแถลงอย่างชัดเจนอันเป็นการขจัดข้อสงสัยความอึมครึมทั้งปวง

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ย้ำถึงการสืบราชสันตติวงศ์ว่า ขอให้ทุกคนอย่ากังวลหรือสงสัยใดๆทั้งสิ้นโดยเป็นเรื่องที่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ซึ่งขณะนี้ชัดเจนแล้วเมื่อพระราชพิธีบำเพ็ญพระราชกุศลผ่านพ้นช่วงเวลา 7 วัน 15 วัน ไประยะหนึ่งน่าจะได้เวลาอันควรที่ต้องดำเนินการตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 23 นั่นคือขั้นตอนที่รัฐบาลต้องนำเรื่องแจ้งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เพื่อมีมติรับทราบและให้ประธานสนช.อัญเชิญองค์รัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ใหม่

ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลไว้แล้วตั้งแต่เมื่อวันที่ 28 ธ.ค.2515

ด้าน ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ตอกย้ำคำกล่าวของ พล.อ.ประยุทธ์ อย่างชัดเจนมากยิ่งขึ้นไปอีก โดยย้ำว่า สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่จะทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ด้วยพระองค์เอง

ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ล่าสุด นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)ได้ยื่นร่างต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไปแล้วเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งอยู่ระหว่างการทูลเกล้าฯเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศเสด็จสวรรคตเสียก่อน

บัดนี้เมื่อข่าวกระบวนการขั้นตอนการสืบราชสันตติวงศ์ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการชัดเจนจากผู้นำรัฐบาลแล้วเช่นนี้ ปวงชนชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่จงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูงซึ่งแม้จะยังอยู่ในภาวะเศร้าโศกเสียใจ แต่ก็ควรตั้งสติคำนึงถึงว่า ประเทศที่กำลังเริ่มฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจำเป็นที่จะต้องเดินหน้าต่อไป และต้องรีบสร้างความเชื่อมั่นจากนานาประเทศในช่วงรอยต่อสำคัญ ซึ่งทุกคนควรที่จะดำเนินรอยตามพระราชปณิธานของพ่อแห่งแผ่นดินที่ทรงยึดประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นสำคัญ และควรทำความดีทั้งต่อคนรอบข้าง สังคมและชาติบ้านเมืองอันจะเป็นการถวายราชสักการะและแสดงความจงรักภักดีแด่พ่อแห่งแผ่นดินได้ดีที่สุด

ทั้งนี้เชื่อว่า ดวงพระวิญญาณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศทรงอยากเห็นบ้านเมืองสงบผาสุก และเจริญรุ่งเรือง

ทีมข่าวการเมือง

ขบวนการหน้าเดิมเหิมไม่หยุด ยังเคลื่อนไหวบ่อนทำลายเบื้องสูง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/240756

วันพุธ ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ขณะที่คนไทยทั้งประเทศแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความโศกเศร้าและมุ่งมั่นทำความดีเพื่อพ่อของแผ่นดิน แต่ขบวนการอุบาทว์ที่มุ่งร้ายต่อสถาบันเบื้องสูงที่สุมหัวกันอยู่ในต่างแดน รวมทั้งสื่อต่างชาติประเภทผีโม่แป้งบางสำนักยังคงเคลื่อนไหวอย่างเหิมเกริม

ทั้งนี้ นายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รมต.ประจำสำนักนายกฯ และเลขานุการศูนย์บัญชาการติดตามสถานการณ์ (ศตส.) เปิดเผยว่า มีรายงานขบวนการจาบจ้วงเบื้องสูง 6 ราย ยังคงเคลื่อนไหวอยู่ในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาก็คือพวกนี้อยู่นอกประเทศทำให้ยากที่จะจับกุมดำเนินคดี

ขณะที่ พล.อ.ทวีป เนตรนิยม เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ระบุว่า 6 คนไทยที่เคลื่อนไหวจาบจ้วงเบื้องสูงในต่างแดนล้วนเป็นกลุ่มเดิมๆ ที่เคลื่อนไหวก่อนหน้านี้

ส่วน พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม ในฐานะประธานคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาคดีความมั่นคง หรือคดีความผิดตามมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาฐานหมิ่นคิดร้ายต่อสถาบันเบื้องสูง กล่าวว่า เตรียมที่จะทำหนังสือขอความร่วมมือไปยังประเทศต่างๆ ที่บรรดาคนไทยกลุ่มหมิ่นเบื้องสูงพักพิงอยู่เพื่อนำตัวกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้เคยขอความร่วมมือไปแล้ว แต่ทั้งนี้ปัญหาก็คือกฎหมายในหลายประเทศไม่มีบทลงโทษเกี่ยวกับการหมิ่นสถาบันเบื้องสูง อีกทั้งการให้ความร่วมมือในการจับกุมถือเป็นเอกสิทธิ์ของแต่ละประเทศที่จะดำเนินการตามที่ทางการไทยร้องขอหรือไม่ก็ได้

สำหรับขบวนการหมิ่นเบื้องสูงหน้าเดิมๆที่หลบหนีความผิดไปเคลื่อนไหวอยู่ในต่างแดน

ขณะเดียวกันทางด้านกระทรวงการต่างประเทศได้เผยแพร่แถลงการณ์ระบุว่า สื่อต่างชาติบางสำนักเจตนาบิดเบือนข่าวที่คลื่นมวลมหาประชาชนไทยเรือนแสนจากทั่วสารทิศ พร้อมใจกันแต่งชุดดำมุ่งหน้าสู่พระบรมมหาราชวัง เพื่อถวายราชสักการะด้วยความเศร้าโศกต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศ โดยสื่อต่างชาติกลุ่มนี้แสดงเจตนาร้ายต่อสถาบันเบื้องสูง โดยบิดเบือนอ้างว่า การที่สื่อท้องถิ่นระบุว่ามีประชาชนไทยร่วมถวายราชสักการะพระบรมศพพ่อของแผ่นดินเรือนแสนนั้น เป็นการอ้างที่เกินจริงเพราะที่แท้มีเพียงไม่กี่พันคนเท่านั้น นอกจากนี้บรรดาสื่อต่างชาติกลุ่มนี้ยังให้ทัศนะเชิงดูหมิ่นเหยียดหยามสถาบันเบื้องสูงและปวงชนชาวไทย

สำหรับสื่อต่างชาติประเภทผีโม่แป้งกลุ่มนี้มีข่าวว่า เป็นกลุ่มเดิมๆ ซึ่งก่อนหน้านี้รายงานข่าวและเขียนบทความในลักษณะบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูงสอดรับกับขบวนการหมิ่นเจ้าของไทยมาตลอด

พฤติการณ์ของขบวนการที่เป็นภัยต่อสถาบันเบื้องสูงทั้งไทยและสื่อเทศพวกนี้ ถือเป็นการท้าทายกฎหมายและความรู้สึกของมวลมหาประชาชนไทยที่จงรักภักดีทั้งประเทศเป็นอย่างยิ่ง

ทีมข่าวการเมือง

พวกไม่หวังดีนักฉวยโอกาส ป่วนชาติยามต้องการความสามัคคี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/240597

วันอังคาร ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ทั้งๆ ที่ชาติบ้านเมืองยามนี้เต็มไปด้วยความเศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์จากการสูญเสียพ่อของแผ่นดิน และขณะที่พสกนิกรทุกหมู่เหล่ากำลังแสดงความเป็นหนึ่งเดียวทำความดีถวายแด่พ่อแต่กลับมีคนบางพวกทั้งที่เจตนาไม่หวังดีหรือบางคนอาจรู้เท่าไม่ถึงการณ์สร้างความแตกแยกสับสน ขณะที่บางกลุ่มฉวยโอกาสหาผลประโยชน์เพื่อตัวเอง

พวกฉวยโอกาสก็คือการที่ผู้ประกอบการหรือพ่อค้าบางกลุ่มที่เห็นได้เอาเปรียบผู้บริโภคมากเกินควรอาศัยความจงรักภักดีของเหล่าพสกนิกรทั่วประเทศที่ต่างพากันใส่ชุดดำเพื่อถวายสักการะแด่พ่อแห่งแผ่นดินถือโอกาสขึ้นราคาเสื้อผ้าชุดดำโดยบางรายตั้งราคาสูงกว่าปกติถึงกว่าเท่าตัว ซึ่งสมควรถูกประณามและดำเนินการตามกฎหมายกับพ่อค้าฉวยโอกาสเหล่านี้

พวกฉวยโอกาสอีกพวกหนึ่งก็คือพวกที่แอบอ้างออกเรี่ยไรเงิน รวมทั้งพวกแก๊งมิจฉาชีพทั้งไทยและต่างชาติที่อาศัยสถนการณ์ชุลมุนล้วงหรือฉกทรัพย์สินมีค่าของประชาชนที่มาแสดงความจงรักภักดีจำนวนมาก

ส่วนพวกที่สร้างความแตกแยกและสับสนมีทั้งพวกจงใจกับพวกที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยพวกจงใจความจริงเกิดขึ้นตั้งแต่ก่อนที่พ่อแห่งแผ่นดินจะเสด็จสวรรคต โดยมีการปล่อยข่าวอัปมงคลต่างๆ ผ่านทางโซเชียลมีเดียจนทำให้หุ้นตกถึง 90 กว่าจุดจน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ต้องสั่งให้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจ ตรวจสอบหาตัวการที่อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวทุบเพื่อช้อนซื้อหุ้นสร้างผลกำไรมหาศาลอย่างเห็นแก่ตัวโดยไม่คำนึงความไม่บังควรและเป็นการบ่อนทำลายเศรษฐกิจของชาติ ซึ่งเรื่องนี้คงต้องจับตาดูต่อไปว่าจะกลายเป็นไฟไหม้ฟางจับมือใครดมไม่ได้หรือไม่

หลังการเสด็จสวรรคตก็ยังมีคนบางกลุ่มปล่อยข่าวทางโซเชียลมีเดียในลักษณ์ที่เป็นการบ่อนทำลายสถาบันเบื้องสูง ขณะที่บางคนอาจจะรู้เท่าไม่ถึงการณ์โดยเจตนาดีหวังปกป้องสถาบันด้วยการโพสต์ข้อความทางโซเชียลมีเดียตำหนิคนที่ใส่เสื้อผ้าสีฉูดฉาด ซึ่งกรณีนี้ต่อมาได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดจนมีการขอโทษขอโพยกัน หรือกรณีที่ผู้หวังดีบางคนไปจับผิดเรื่องเล็กๆ น้อยๆ โดยไม่ตรวจสอบข้อมูลให้แน่ชัดแล้วโจมตีทางโซเชียลมีเดีย อาทิ กรณีมีการถอดพระบรมฉายาลักษณ์พ่อแห่งแผ่นดินตามถนนสายสำคัญต่างๆ จน พล.ท.สรรเสริญแก้วกำเนิด โฆษกรัฐบาล ต้องออกมาชี้แจงวุ่นว่า ความจริงเป็นเพียงการนำพระบรมฉายาลักษณ์มาปรับปรุงให้สอดคล้องกับสถานการณ์หลังการเสด็จสวรรคตเท่านั้น

เพราะฉะนั้นในยามที่บ้านเมืองอยู่ในภาวะเศร้าโศกครั้งยิ่งใหญ่และอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญซึ่งต้องการความเป็นหนึ่งเดียวในชาติเพื่อเดินไปข้างหน้าอย่างราบรื่น ทุกฝ่ายที่จงรักภักดีและหวังดีต่อชาติก็ควรเสพหรือแสดงความเห็นผ่านโซเชียลมีเดียอย่างมีสติไม่เชื่อข่าวลือข่าวง่ายๆ โดยเฉพาะข่าวอัปมงคลทั้งหลาย ขณะเดียวกันควรแสดงความเห็นอย่างสร้างสรรค์และตรวจสอบข้อมูลให้ชัดเจนก่อนเผยแพร่ มิฉะนั้นจะกลายเป็นเครื่องมือช่วยกระพือความแตกแยกสับสนในชาติ ส่วนพวกที่เจตนาร้ายหวังสร้างความแตกแยกสับสนโดยเฉพาะการจวบจ้วงเบื้องสูงและบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติควรดำเนินคดีตามกฎหมายขั้นเด็ดขาด

ทีมข่าวการเมือง

น้ำใจไทยรวมเป็นหนึ่งเดียว ทำดีสานพระราชปณิธานถวายพ่อ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/240408

วันจันทร์ ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 06.00 น.

นับเป็นความน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่งซึ่งแม้แต่สื่อต่างชาติก็ต่างพากันแสดงความทึ่งและชื่นชมในความจงรักภักดีของพสกนิกรไทย คนไทยทุกหมู่เหล่า ทุกเพศ ทุกวัย ทุกเชื้อชาติ ทุกศาสนาทั่วทุกพื้นที่ของประเทศไทยและทั่วโลกต่างแสดงความเศร้าโศกอย่างสุดซึ้งและหลั่งไหลจากทั่วทุกสารทิศมุ่งหน้าสู่หน้าพระบรมมหาราชวังอย่างไม่ขาดสายเพื่อเข้าร่วมพิธีถวายสักการะพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

บริเวณท้องสนามหลวงและหน้าพระบรมมหาราชวังคลาคล่ำไปด้วยคลื่นพสกนิกรในเครื่องแต่งกายชุดดำเต็มทั่วทุกพื้นที่ ซึ่งแม้จะเหน็ดเหนื่อยยากลำบากตรากตรำจากแสงแดดกล้าเพียงใดก็ไม่มีใครปริปากบ่นแม้แต่น้อย มีแต่ความเศร้าโศกมุ่งมั่นที่จะถวายความจงรักภักดีต่อพ่อแห่งแผ่นดิน

อย่างไรก็ตาม ภายใต้สถานการณ์ที่สุดเศร้าโศกของหมู่พสกนิกรผู้จงรักภักดีกลับเกิดปรากฏการณ์อันน่าชื่นชมที่สะท้อนให้เห็นถึงน้ำใจของเหล่าพสกนิกรผู้มีหัวอกเดียวกันต่างเสียสละเกื้อกูลช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อาทิ การที่ผู้ขับขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างกลุ่มหนึ่งให้บริการฟรีแก่ประชาชนที่จะเดินทางไปสักการะพระบรมศพที่พระบรมมหาราชวังเพื่อเป็นการทำดีเพื่อพ่อทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา แสดงความชื่นชมยกย่อง

หรือกรณีบริษัทเอกชนบางบริษัทเกรงว่าประชาชนจะไม่ได้รับความสะดวกในการเดินทางจึงจัดรถบัสขนาดใหญ่ไว้ตามจุดต่างๆ เพื่อคอยบริการรับส่งประชาชนจำนวนมากที่จะเดินทางไปยังพระบรมมหาราชวัง

หรือกรณีประชาชนบางกลุ่มได้นำน้ำ อาหาร ยาดมและกระดาษชำระมาแจกจ่ายแก่ประชาชนฟรี ขณะที่มูลนิธิเพื่อสาธารณะต่างๆ พากันจัดหน่วยพยาบาลเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่อาจเจ็บป่วยกะทันหันจากการตรากตรำแสดงความจงรักภักดีหน้าพระบรมมหาราชวังเป็นเวลานานๆ

หลวงปู่พุทธะอิสระ แห่งวัดอ้อน้อย ซึ่งมาถวายสักการะพระบรมศพทุกวันตั้งแต่วันแรกได้นำข้าวกล่องและน้ำดื่มมาแจกจ่ายแก่ประชาชนเช่นกัน

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงตัวอย่างบางส่วนที่สะท้อนให้เห็นถึงความผูกพันอย่างลึกซึ้งระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับปวงชนชาวไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร สยามินทราธิราช บรมนาถบพิตรที่ทรงตรากตรำประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อปวงชนชาวไทยมายาวนานถึง 70 ปี นับตั้งแต่ทรงขึ้นครองราชย์จึงสถิตอยู่ในดวงใจของปวงชนชาวไทยอย่างลึกซึ้งและคงจะไม่มีอีกแล้วสำหรับพ่อแห่งแผ่นดินพระองค์ใด

ทั้งนี้การที่จะถวายสักการะแสดงความจงรักภักดีแก่พ่อแห่งแผ่นดินที่ดีที่สุดก็คือ การทำความดีเจริญรอยตาม

ทีมข่าวการเมือง

การสืบราชสันตติวงศ์ ภายใต้บทบัญญัติแห่งรธน.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/240146

วันเสาร์ ที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

เนื่องด้วยร่างรัฐธรรมนูญฉบับล่าสุดยังไม่มีผลบังคับใช้ดังนั้นจึงต้องใช้บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราว พ.ศ. 2557 ซึ่งบัญญัติว่า ให้บทบัญญัติของหมวด 2 ว่าด้วยพระมหากษัตริย์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับ พ.ศ.2550 ซึ่งยังมีผลบังคับใช้อยู่ตามประกาศคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ฉบับที่ 11/2557 ลงวันที่ 22 พ.ค.2557 ยังคงใช้บังคับต่อไปโดยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐธรรมนูญฉบับนี้

ความจริงแล้วบทบัญญัติในหมวดพระมหากษัตริย์รวมทั้งการสืบราชสันตติวงศ์ในร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับล้วนมีเนื้อหาที่เหมือนกัน โดยบทบัญญัติรัฐธรรมนูญฉบับปี 2550 มาตรา 23 หมวดที่ว่าด้วยพระมหากษัตริย์บัญญัติว่า “ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์ได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์พระพุทธศักราช 2467 แล้วให้คณะรัฐมนตรีแจ้งให้ประธานรัฐสภาทราบ และให้ประธานรัฐสภาเรียกประชุมรัฐสภาเพื่อรับทราบและให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไป แล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ

ในกรณีที่ราชบัลลังก์หากว่างลงและเป็นกรณีที่พระมหากษัตริย์มิได้ทรงแต่งตั้งพระรัชทายาทไว้ตามวรรคหนึ่ง ให้คณะองคมนตรีเสนอพระนามผู้สืบราชสันตติวงศ์ตามาตรา 22 ต่อคณะรัฐมนตรีเพื่อเสนอต่อรัฐสภาเพื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบ ในการนี้จะเสนอพระนามพระราชธิดาก็ได้ เมื่อรัฐสภาให้ความเห็นชอบแล้วให้ประธานรัฐสภาอัญเชิญองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์สืบไปแล้วให้ประธานรัฐสภาประกาศให้ประชาชนทราบ

ในระหว่างที่สภาผู้แทนราษฎรสิ้นอายุหรือสภาผู้แทนราษฎรถูกยุบให้วุฒิสภาทำหน้าที่รัฐสภาในการรับทราบตามวรรคหนึ่งหรือให้ความเห็นชอบตามวรรคสอง

ทั้งนี้ตามคำสั่งของคสช.กำหนดให้สภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ทำหน้าที่รัฐสภา ดังนั้นประธาน สนช.จึงทำหน้าที่ดุจประธานรัฐสภาซึ่งจะเป็นผู้อัญเชิญองค์พระรัชทายาทขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่

นอกจากนี้ในมาตรา 24 ของรัฐธรรมนูญยังบัญญัติว่า ระหว่างที่ยังไม่มีการประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 23 ให้ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน แต่ในกรณีที่ราชบัลลังก์ว่างลงในระหว่างที่ได้แต่งตั้งผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ไว้ตามมาตรา 18 มาตรา 19 หรือระหว่างเวลาที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามมาตรา 20 วรรคหนึ่งให้ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์นั้นๆแล้วแต่กรณีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไป ทั้งนี้จนกว่าจะได้ประกาศอัญเชิญองค์พระรัชทายาทหรือองค์ผู้สืบราชสันตติวงศ์ขึ้นทรงราชย์เป็นพระมหากษัตริย์

ในกรณีที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ซึ่งได้รับการแต่งตั้งไว้และเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ต่อไปตามวรรคหนึ่งไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ ให้ประธานองคมนตรีทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชกรแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

ในกรณีที่ประธานองคมนตรีเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ตามวรรคหนึ่ง หรือทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เป็นการชั่วคราวตามวรรคสองให้นำบทบัญญัติมาตรา 20 วรรคสามมาใช้บังคับกล่าวคือให้คณะองคมนตรีเลือกองคมนตรีคนหนึ่งขึ้นทำหน้าที่ประธานองคมนตรีเป็นการชั่วคราวไปพลางก่อน

ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) กล่าวตอนหนึ่งในคำแถลงการณ์ภายหลังการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ว่า ภารกิจสำคัญที่จะต้องดำเนินการในบัดนี้คือการดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยและตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467ตลอดจนตามราชประเพณีในส่วนของการสืบราชสันตติวงศ์ซึ่งสอดคล้องต้องกัน เพื่อให้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขดำเนินต่อไปอย่างต่อเนื่องโดยรัฐบาลจะแจ้งไปยังสภานิติบัญญัติแห่งชาติว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในพระบรมโกศได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมสถาปนาพระรัชทายาทตามกฎมณเฑียรบาลไว้แล้วเมื่อวันที่ 28 ธันวาคม 2515 จากนั้นสภานิติบัญญัติแห่งชาติจะดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป

นอกจากนี้ในคำแถลงของ พล.อ.ประยุทธ์ อีกตอนหนึ่งยังระบุว่าเมื่อค่ำวันที่ 13 ต.ค. ตนได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้ทรงรับสั่งว่าท่านทรงรับพระราชทานเป็นองค์รัชทายาทอยู่แล้วในปัจจุบัน แต่ท่านจะทรงขอเวลาแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนทั้งประเทศไปก่อนในระยะเวลานี้ ส่วนกระบวนการทางกฎหมายในการอัญเชิญสืบพระราชสมบัตินั้นให้รอเวลาที่เหมาะสมคือหลังจากที่พระองค์ทรงทำพระทัยแสดงความเสียใจร่วมกับประชาชนและทรงนึกถึงพระราชบิดา

ทั้งนี้เมื่อทรงร่วมแสดงความเสียใจและระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 กับประชาชนผ่านพ้นไปแล้ว เมื่อถึงเวลาเหมาะสมโดยทรงยืนยันว่า ทรงตระหนักในหน้าที่องค์รัชทายาท ในส่วนพระราชภารกิจต่างๆ จะทรงปฏิบัติต่อไปในฐานะสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมงกุฎ ราชกุมาร

ทีมข่าวการเมือง