ธาตุแท้เพื่อแม้วแบะท่าจับมือปชป. ทำทุกทางต้านบิ๊กตู่เดินหน้าปฏิรูปปท.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/238189

วันจันทร์ ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ขณะที่เส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯคนนอกของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) นับวันจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งจากผลพวงของร่างรัฐธรรมนูญฉบับปฏิรูปและผลการตีความร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงของศาลรัฐธรรมนูญที่วินิจฉัยให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) สามารถร่วมกับสส.ในการเข้าชื่อขอยกเว้นนายกฯจากบัญชีพรรคการเมือง เพื่อเปิดทางให้มีนายกฯคนนอก ทำให้แกนนำขบวนการเพื่อแม้วดาหน้าออกมาทำทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านนายกฯคนนอก

ล่าสุด นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎรและอดีตสส.พรรคเพื่อแม้ว ถึงกับออกมาส่งสัญญาณแบะท่าพร้อมจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคู่ปรับตลอดกาลของพรรคเพื่อแม้ว หวังร่วมกันตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าเพื่อสกัดนายกฯคนนอก

ทั้งนี้แม้สว.จะมีสิทธิร่วมเข้าชื่อเพื่อขอยกเว้นการเลือกนายกฯจากบัญชีพรรคการเมือง แต่ก็จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อสภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเลือกนายกฯจากบัญชีพรรคการเมืองได้แล้วเท่านั้น ซึ่งหากบรรดาพรรคการเมือง โดยเฉพาะสองพรรคใหญ่ คือ เพื่อแม้ว กับประชาธิปัตย์ รวมหัวจับมือกันจัดตั้งรัฐบาล โดยหัวหน้าพรรคที่ได้เสียงมากกว่าขึ้นเป็นนายกฯ หรืออาจถึงขั้นพรรคเพื่อแม้วยอมเปิดทางให้หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ขึ้นเป็นนายกฯแม้พรรคเพื่อแม้วจะได้จำนวนสส.มากกว่าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเป้าหมายที่มุ่งสกัดนายกฯคนนอก

แต่เกมโยนหินถามทางของ นายสามารถถูกตอบโต้ทันทีจาก นายวัชระ เพชรทอง อดีตสส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่ชี้ว่า นายสามารถ เป็นบุคคลที่ไม่น่าเชื่อถือเพราะยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์เป็นหนึ่งในตัวการสำคัญที่ไม่เคารพข้อบังคับการประชุมสภาและรัฐธรรมนูญด้วยการหักดิบผลักดันร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย และทำตัวเป็นหุ่นยนต์พูดได้ แล้วยังมีหน้ามาเรียกร้องให้พรรคประชาธิปัตย์จับมือตั้งรัฐบาลกับพรรคที่เคยโกงชาติปล้นแผ่นดิน

“ข้อเสนอดังกล่าวเป็นแค่ฝันในฤดูน้ำหลากเท่านั้น ผมขอยืนยันว่าพรรคประชาธิปัตย์มีจุดยืนยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตยและเป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องฟังคำสั่งทางโทรศัพท์จากคนบงการจากต่างประเทศเหมือนที่พรรคเพื่อไทยเป็นอยู่”

การออกมาแบะท่าโยนหินถามทางของแกนนำพรรคเพื่อแม้วที่จะจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ จึงสะท้อนถึงความพยายามดิ้นรนเอาตัวรอด โดยพร้อมที่จะทำทุกวิถีทางแม้แต่การยอมจับมือกับพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคู่ปรับที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง โดยหวังอย่างเดียวมุ่งสกัดเส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯคนนอกของ “บิ๊กตู่” ที่มุ่งมั่นเดินหน้าวางรากฐานปฏิรูปประเทศให้พ้นจากวงจรอุบาทว์ของธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม อันชั่วร้ายซึ่งเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

 

ทีมข่าวการเมือง

ปู-เพื่อแม้วดับเครื่องชน เลือดเข้าตาพิษคดีจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/238067

วันอาทิตย์ ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

คดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์คาดว่าเป็นมูลค่ามหาศาลกว่า 7 แสนล้าน และยังส่งผลกระทบมาจนปัจจุบันและอนาคตคืบหน้ามาถึงจุดเปลี่ยนสำคัญเมื่อนางอภิรดี ตันตราภรณ์ รมว.พาณิชย์ ได้ลงนามในคำสั่งปกครองเพื่อฟ้องเรียกค่าเสียหายจากนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ และพวกรวม 6 คน กรณีทุจริตการซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเก๊ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อรัฐเป็นมูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท ขณะเดียวกันคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่งที่มี นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธาน สรุปตัวเลขเพื่อฟ้องให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯชดใช้ความเสียหายแก่รัฐเป็นมูลค่า 3.57 หมื่นล้านบาท ฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดความเสียหาย

คดีโครงการรับจำนำข้าวนั้นแยกเป็นสองส่วนคือ คดีทางอาญาซึ่งมีโทษจำคุกและคดีทางแพ่งฟ้องเรียกค่าเสียหายแก่แผ่นดิน โดยคดีทางอาญาขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยมี น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายบุญทรง และพวกเป็นจำเลย โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกดำเนินคดีในข้อหากระทำผิดต่อหน้าที่ปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตและสร้างความเสียหายแก่รัฐมูลค่ามหาศาล ส่วน นายบุญทรง และพวกถูกตั้งข้อหาร่วมกันทุจริตการซื้อขายข้าวจีทูจีเก๊ ซึ่งโทษทางอาญาสูงสุดคือจำคุก 10 ปี และเพิกถอนสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม กว่าศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองจะมีคำตัดสินคาดว่าคงจะเป็นราวกลางปีหน้าก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไป

ส่วนทางแพ่งเพื่อฟ้องให้จำเลยชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินแยกเป็นสองคดีคือการฟ้องทางปกครองต่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐซึ่งขณะนี้กำลังรอการสรุปตัวเลขการชดใช้โดยคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่ง โดยมีข่าวว่าตัวเลขล่าสุดที่คณะกรรมการเคาะออกมาก็คือ ให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ความเสียหายมูลค่าเพียง 35,717 ล้านบาท ทั้งๆ ที่ คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักนายกฯตั้งขึ้นก่อนหน้านี้เคยสรุปตัวเลขความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวมีมูลค่าสูงถึง 286,639 ล้านบาท

ส่วนการฟ้องทางแพ่งอีกคดีหนึ่งก็คือ กรณีซื้อขายข้าวจีทูจีเก๊ที่มีการลงนามในคำสั่งปกครองให้ นายบุญทรง และพวกชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐเป็นมูลค่ารวม 2 หมื่นล้านบาท ประกอบด้วย นายบุญทรง ต้องชดใช้ราว 1.7 พันล้านบาท นายภูมิ 2.2 พันล้านบาท และอีก 4 คน รายละ 4 พันล้านบาท คือ พ.ต.น.พ.วีระวุฒิ วัจนะพุกกะ อดีตเลขานุการรมว.พาณิชย์ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ นายทิฆัมพร นาทวรทัต อดีตรองอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ และ นายอัครพงศ์ ทีปวัชระ อดีตผู้อำนวยการสำนักการค้าข้าวต่างประเทศ

คดีฟ้องแพ่งเรียกค่าเสียหายคืนแก่รัฐเริ่มเดินหน้าด้วยมาตรา 44 ที่เปิดทางให้กรมบังคับคดีซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการยึดทรัพย์เป็นผู้ดำเนินการ ประกอบกับคำสั่งตามมาตรา 44 ที่ให้การคุ้มครองสร้างความมั่นใจแก่ข้าราชการว่าจะไม่ถูกเช็คบิลในภายหลังทำให้การเดินหน้าคดีทางแพ่งเป็นไปอย่างราบรื่นไม่เกิดการสะดุดเกียร์ว่างจากข้าราชการที่เกี่ยวข้อง

สำหรับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายบุญทรง ตลอดจนบรรดาบริวารระบอบทักษิณทั้งหลายพยายามดิ้นรนหนีโทษความผิดสุดฤทธิ์โดยพยายามตะแบงอ้างว่าคดีโครงการรับจำนำข้าวเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองและตัวเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ขณะเดียวกัน ก็ข่มขู่บรรดาข้าราชการว่าให้ระวังจะถูกเอาคืนหากระบอบทักษิณกลับมามีอำนาจอีกครั้ง หรือแม้แต่ขู่จะฟ้องกลับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)

อาการดังกล่าวสะท้อนถึงความหวาดหวั่นและดิ้นรนหวังเอาตัวรอดในยามใกล้เข้าตาจน และที่สำคัญกว่าคดีทางแพ่งก็คือคดีทางอาญาที่มีโทษถึงขั้นจำคุก ซึ่งหากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกผิดจริงและให้รับโทษโดยไม่รอลงอาญาเท่ากับต้องเดินเข้าคุกทันที และที่สำคัญคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายบุญทรง ต้องปิดฉากหมดอนาคตทางการเมืองเนื่องจากรัฐธรรมนูญบัญญัติว่า ผู้ที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุกหมดสิทธิ์สมัครรับเลือกตั้งในทุกระดับตลอดชีวิตซึ่งนี่คือสิ่งที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และ นายบุญทรง หวาดผวาที่สุด

ทั้งนี้คดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นข่าวใหญ่อื้อฉาวที่ถูกจับตาจากสังคมว่าจะมีจุดจบอย่างไร โดยคนที่โกงชาติปล้นแผ่นดินสร้างความล่มจมให้ชาติบ้านเมืองจะลอยนวลหรือไม่ หรือจะเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สร้างบรรทัดฐานให้เห็นว่า ใครก็ตามที่ทำร้ายแผ่นดินแม้จะเป็นถึงอดีตนายกฯหรือยิ่งใหญ่ขนาดไหนก็ตามต้องชดใช้กรรมที่ก่ออย่างสาสมเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง

ทีมข่าวการเมือง

ผลตีความศาลรธน.เพิ่มโอกาส เปิดทางบิ๊กตู่นั่งนายกฯคนนอก

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/237971

วันเสาร์ ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ผลพวงจากการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญต่อร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่ออกมาถือเป็นการเปิดทางให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีโอกาสนั่งนายกฯคนนอกอีก 8 ปีหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า

ทั้งนี้ สาระสำคัญตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญให้คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญแก้ไข มาตรา 272ในบทเฉพาะกาลของร่างรัฐธรรมนูญ 2 ประเด็น คือ ในกรณีที่สภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถเลือกนายกรัฐมนตรีได้ในการประชุมวาระแรกให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ซึ่งมาจากการสรรหาโดยคสช. มีสิทธิที่จะร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการเข้าชื่อเสนอขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีซึ่งบรรดาพรรคการเมืองเสนอ 3 รายชื่อ ซึ่งก็คือสามารถเสนอชื่อนายกฯคนนอกได้ โดยการเข้าชื่อขอยกเว้นให้ใช้เสียงของ สส.และสว. (สส.มี 500 คน-สว.มี 250 คน) รวมกันต้องมากกว่ากึ่งหนึ่งหรือมากกว่า 376 เสียงขึ้นไป จากเดิมที่กำหนดให้ใช้เฉพาะเสียงของสส.มากกว่ากึ่งหนึ่งหรือมากกว่า 251 เสียงเท่านั้น

ผลพวงจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเท่ากับเพิ่มโอกาสให้มีนายกฯคนนอก จากการเปิดโอกาสให้สว.ร่วมเข้าชื่อขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีพรรคการเมือง ซึ่งเฉพาะสว.ที่สรรหาโดยคสช.ก็ปาเข้าไป 250 เสียงแล้ว หากมีพรรคขนาดกลางและขนาดเล็กรวมตัวกันร่วมเข้าชื่อกับสว. ขอให้ยกเว้นการเสนอนายกฯตามบัญชีพรรคการเมืองเท่ากับโอกาสที่จะมีนายกฯคนนอกเป็นไปได้สูงมาก

พรรคใหญ่ซึ่งมีจุดยืนแสดงตัวเป็นศัตรูของคสช.ตลอดกาลและต่อต้านนายกฯคนนอกหัวชนฝาอย่างชัดเจนก็คือพรรคเพื่อแม้ว ส่วนพรรคใหญ่อันดับสอง อย่างพรรคประชาธิปัตย์นั้น มีจุดยืนและเป็นคู่แข่งตลอดกาลของพรรคเพื่อแม้ว ดังนั้นไม่แน่หากสถานการณ์จำเป็นบังคับ หรือถึงทางตันมีความเป็นไปได้ที่ประชาธิปัตย์อาจร่วมเข้าชื่อเพื่อเปิดทางให้มีนายกฯคนนอก

อย่างไรก็ตาม แม้กติกาใหม่จะเปิดทางให้สว.ร่วมกับสส.เข้าชื่อขอให้ยกเว้นการตั้งนายกฯจากบัญชีพรรคการเมือง แต่การลงมติเพื่อขอยกเว้นดังกล่าวต้องใช้เสียง 2 ใน 3 ของทั้งสองสภาหรือมากกว่า 500 เสียง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเช่นกัน โดยเฉพาะหาก 2 พรรคใหญ่ คือ เพื่อแม้วจับมือกับประชาธิปัตย์ เว้นแต่พรรคเพื่อแม้วจะได้จำนวน สส. หลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าลดฮวบลงอย่างมาก ขณะที่สว. 250 เสียง รวมทั้งพรรคขนาดกลาง ขนาดเล็ก และอาจรวมถึงประชาธิปัตย์จับมือกันเปิดทางให้มีนายกฯคนนอก

นอกจากนี้อุปสรรคสำคัญอีกประการหนึ่งสำหรับการมีนายกฯคนนอกก็คือ รัฐธรรมนูญกำหนดให้วาระแรกของการประชุมสภาผู้แทนราษฎร สภาผู้แทนราษฎรเท่านั้นที่มีสิทธิเลือกนายกฯจากบัญชีรายชื่อของพรรคการเมืองต่างๆ ซึ่งหากบรรดาพรรคการเมืองพร้อมใจกันโดยตกลงแบ่งปันผลประโยชน์ลงตัวในการจัดตั้งรัฐบาลผสมโดยเฉพาะสองพรรคใหญ่ คือ เพื่อแม้ว กับประชาธิปัตย์ หนทางสู่นายกฯคนนอกก็คงไม่เกิด เว้นแต่บรรดาพรรคการเมืองจะตกลงกันไม่ได้จึงเปิดช่องเข้าสู่ขั้นตอนการมีนายกฯคนนอกตามมาตรา 272 ของรัฐธรรมนูญ

ส่วนอีกประเด็นหนึ่งจากการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญก็คือวาระการดำรงตำแหน่งของสว.ที่กำหนดไว้ 5 ปี ให้เริ่มนับเมื่อมีทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภาแล้ว ซึ่งการที่สว.มีวาระอยู่ในตำแหน่ง 5 ปี เท่ากับเปิดทางให้สว.มีสิทธิในการร่วมขบวนการสรรหานายกฯได้ตามอายุของสภาผู้แทนราษฎร 2 สมัย หรือ 8 ปีเพราะสภาผู้แทนราษฎรมีวาระเพียง 4 ปี ก็ต้องเลือกตั้งและมีการสรรหานายกฯคนใหม่ แต่สว.มีอายุ 5 ปี มากกว่าสภาผู้แทนราษฎร

ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ถึงบอกเป็นนัยว่ามีความเป็นไปได้ที่นายกฯคนนอกอาจอยู่ในตำแหน่งได้นาน 8 ปี
แต่นั่นหมายถึงต้องเป็นบุคคลที่มีบารมีเป็นที่ยอมรับอย่างแท้จริงเท่านั้นถึงจะอยู่ได้อึด

จากผลการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่เพิ่มโอกาสให้มีนายกฯคนนอกจึงไม่แปลกที่ นายชัยเกษม นิติสิริ อดีตรมว.ยุติธรรม แกนนำพรรคเพื่อแม้ว ซึ่งเป็นศัตรูกับคสช. จะออกมาดักทางต่อต้านนายกฯคนนอก ด้วยการให้ความเห็นอ้างว่า การที่ศาลรัฐธรรมนูญเปลี่ยนแปลงการลงมติขอยกเว้นการเสนอชื่อนายกฯจากบัญชีของพรรคการเมืองที่เดิมกำหนดให้ใช้เสียง 2 ใน 3 ของรัฐสภา แต่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนดให้ใช้เสียงเหลือเพียงกึ่งหนึ่งของรัฐสภาเท่านั้นเท่ากับเปิดโอกาสที่จะได้นายกฯคนนอกสูงขึ้น

นอกจากนี้การกำหนดให้สว.อยู่ในอำนาจต่อเนื่อง 5 ปี แม้รัฐบาลจะเปลี่ยนแปลงหรือต้องยุบสภาก็ตามเท่ากับเปิดช่องให้นายกฯคนนอกมีโอกาสอยู่ได้ยาวถึง 2 สมัย ของสภาผู้แทนราษฎร หรือ 8 ปี และหากนับรวมช่วงเตรียมการเลือกตั้งด้วยเท่ากับนายกฯคนนอกอยู่ในอำนาจยาวนานถึง 10 ปี

“รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถูกออกแบบให้ไม่มีพรรคใดพรรคหนึ่งได้เสียงข้างมากอย่างเด็ดขาด เชื่อว่าพรรคใหญ่สองพรรคในปัจจุบันจะไม่สามารถจับมือกันตั้งรัฐบาล ดังนั้นโอกาสที่จะมีนายกฯคนนอกจึงเป็นไปได้สูง และเป็นไปได้ที่พรรคขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีสายสัมพันธ์กับทหารจะจับมือกันตั้งรัฐบาลโดยมีนายกฯคนนอก”

นายชัยเกษม ยังตั้งข้อสังเกตว่า แม้จะมีการผลักดันให้มีนายกฯคนนอกได้สำเร็จ แต่การบริหารประเทศก็คงไม่ราบรื่นเพราะการออกกฎหมายหรือการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจต้องอาศัยเสียงของ สส. เท่านั้น

ทั้งนี้ นายกฯคนนอกจะเกิดขึ้นหรือไม่ยังขึ้นอยู่กับปัจจัยสำคัญคือพลังมหาชนผู้เป็นเสียงสวรรค์ และผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า จะออกมาอย่างไร ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดอนาคตของประเทศว่าจะเดินไปข้างหน้าเพื่อปฏิรูปประเทศหรือจะย่ำอยู่กับวงจรอุบาทว์ธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมแบบเดิมๆ

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วแผ่นเสียงตกร่อง สีข้างถูถล่มบิ๊กตู่ตะแบงป้องปู

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/237799

วันศุกร์ ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ยิ่งพิษคดีโครงการรับจำนำข้าวใกล้ถึงเวลาชดใช้กรรมเข้าไปเท่าไหร่ เหล่าสมุนขบวนการเพื่อแม้วต่างดิ้นพล่านเหมือนผีกลัวผ้ายันต์ออกมาเคลื่อนไหวปกป้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดและพวกที่เป็นจำเลยคดีจำนำข้าวกันอย่างเอาเป็นเอาตายแบบรายวันด้วยการตะแบงอ้างเหตุผลเดิมๆ แบบเอาสีข้างเข้าถู

ล่าสุดพรรคเพื่อแม้วซึ่งก่อนหน้านี้เพิ่งออกแถลงการณ์ป้อง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไปหยกๆ ครั้งนี้ออกแถลงการณ์จงใจมุ่งถล่ม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) โดยอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ ให้สัมภาษณ์ต่อสาธารณะหลายครั้งในลักษณะชี้นำการทำงานของเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับคดีรับจำนำข้าว รวมทั้งเป็นการแทรกแซงอำนาจศาล โดยอ้างคำให้สัมภาษณ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ออกมาตอบโต้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ที่ประกาศจะลาก พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นศาลให้ได้ ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ตอบโต้ด้วยคำพูดที่ว่า “ก็รอตอนที่ตัวเองออกจากคุกมาก่อนก็แล้วกัน ไปเอาคดีตัวเองให้จบก่อนมาฟ้องผม”

นอกจากนี้พรรคเพื่อแม้วยังอ้างเหตุผลเดิมๆ กรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวก และคุ้มครองความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องกับการฟ้องให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดิน ซึ่งพรรคเพื่อแม้วอ้างว่า เป็นการเปลี่ยนแปลงขั้นตอนกระบวนการตามกฎหมายปกติ

ความจริงข้อกล่าวหาแบบแผ่นเสียงตกร่องทั้งหมด ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ หรือ ดร.วิษณุเครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมาย ชี้แจงมาหลายครั้งแล้วว่า คดีรับจำนำข้าวที่มาถึงวันนี้ไม่ใช่การกลั่นแกล้งทางการเมือง แต่เป็นคดีที่มีการฟ้องร้องมาตั้งแต่สมัยรัฐบาลยิ่งลักษณ์และคืบหน้ามาตามขั้นตอนจนถึงจุดนี้ และการใช้มาตรา 44 เป็นเพียงการแก้ปัญหาทางเทคนิคเพื่อให้กรมบังคับคดีซึ่งมีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับการยึดทรัพย์มานานเข้ามาทำหน้าที่แทนกระทรวงพาณิชย์และกระทรวงการคลังซึ่งไม่มีความถนัดเรื่องการยึดทรัพย์ ซึ่งทุกอย่างยังเป็นไปตามกระบวนการยุติธรรมปกติทุกประการ อีกทั้งจำเลยยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองได้

คดีจำนำข้าวนั้นจะผิดถูกชั่วดีอย่างไรทุกอย่างในที่สุดต้องไปพิสูจน์ความจริงและจบลงที่ศาลอยู่วันยังค่ำ เพราะฉะนั้นหากไม่ได้ทำผิดก็ไม่ควรร้อนตัว ซึ่งจากท่าทีของขบวนการเพื่อแม้วและทนายของน.ส.ยิ่งลักษณ์ที่ขู่จะฟ้องประชาคมโลกส่อพฤติการณ์ดิ้นตะแบงสู้แบบเอาสีข้างเข้าถูด้วยวาทกรรมและชักศึกเข้าบ้านโดยที่ไม่เคยแสดงข้อมูลเหตุผลให้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า โครงการรับจำนำข้าวไม่มีมหกรรมโคตรโกงและสร้างความล่มจมให้ประเทศมูลค่ามหาศาล

ทีมข่าวการเมือง

คดีจำนำข้าวอุทาหรณ์เตือนสติขรก. รับกรรมเพราะรับใช้นักการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/237612

วันพฤหัสบดี ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

พิษคดีจำนำข้าวร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆหลังจากที่ก่อนหน้านี้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดชอบทางแพ่งของกระทรวงการคลังสรุปตัวเลขความเสียหายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรอดีตนายกฯหุ่นเชิดต้องชดใช้แก่แผ่นดินเป็นมูลค่า 20% ของความเสียหายทั้งหมดของโครงการรับจำนำข้าวหรือราว 3.57 หมื่นล้านบาท ขณะที่ความเสียหายอีก 80% ที่เหลือหรือราว 1.42 แสนล้านบาท กำลังมีการไล่เบี้ยว่าใครจะต้องรับผิดชอบบ้าง ซึ่งล่าสุดคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบให้ศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.) ที่มีพล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมเป็นประธาน เป็นหน่วยงานหลักในการตรวจสอบรวบเพื่อเคาะว่าใครจะต้องชดใช้ค่าเสียหายบ้าง

แต่เบื้องต้นมีรายงานข่าวว่า พวกที่จะเข้าข่ายต้องรับผิดชอบค่าเสียหาย 80% ที่เหลือจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์จะครอบคลุมทั้ง ครม. คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) ข้าราชการระดับสูงยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ พ่อค้าข้าวเจ้าของโรงสี เจ้าของโกดัง บริษัทตรวจสอบคุณภาพข้าวเซอร์เวเยอร์ที่เกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งคงต้องร่วมชดใช้ความเสียหายแก่รัฐอ่วมอรทัยกันถ้วนหน้า

ขณะเดียวกันก็มีความเห็นของ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส.พรรคประชาธิปัตย์ ผู้ที่อภิปรายชำแหละโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์มาตั้งแต่ต้นตั้งข้อสังเกตว่า บุคคลในครม.ยิ่งลักษณ์ที่ควรต้องรับผิดชอบชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินในอันดับต้นๆ ประกอบด้วย นายกิตติรัตน์ณ ระนอง อดีตรองนายกฯและอดีตรมว.คลัง ที่เคยกล่าวว่า “ถ้ารัฐบาลทำโครงการจำนำข้าวแล้วทำให้รัฐเสียหายมากกว่า 6 หมื่นล้านบาท รัฐบาลพรรคเพื่อไทยคงอยู่ไม่ได้ และไม่ต้องตั้งคำถามเลยว่า ในฐานะรองนายกฯเศรษฐกิจผมจะรับผิดชอบอย่างไร”

คนต่อมาคือ นายนิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล อดีตรมว.พาณิชย์ ที่เข้ามาบริหารหลัง นายบุญทรงเตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ลาออกจากพิษคดีจำนำข้าว ซึ่งมีพฤติกรรมปกป้องโครงการรับจำนำข้าวจนทำให้เกิดความเสียหายมากขึ้น นายยรรยง พวงราช อดีตรมช.พาณิชย์ ผู้ที่มีบทบาทสร้างภาพเดินสายตรวจโกดังข้าวและยืนยันว่าคุณภาพข้าวดีมาตลอด ทั้งๆ ที่ความจริงมีข้าวเสื่อมคุณภาพจำนวนมาก

นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตรมช.พาณิชย์ ที่ออกมาแก้ต่างแทน นายบุญทรงซึ่งขัดแย้งกับข้อเท็จจริงอยู่ตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ฝ่ายค้านคือพรรคประชาธิปัตย์ขณะนั้นได้อภิปรายตีแผ่โครงการรับจำนำข้าวจนฉาวโฉ่ชัดเจน

และ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุงอดีตรองนายกฯในฐานะประธานคณะกรรมการตรวจสอบทุจริตจำนำข้าว แต่กลับไม่สามารถป้องกันและยับยั้งการทุจริตและการสร้างความเสียหายได้เลย

จากพิษคดีจำนำข้าวที่กำลังกลายเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่จะมีการเรียกค่าเสียหายมูลค่ามหาศาลจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องครั้งใหญ่จึงน่าจะเป็นอุทาหรณ์โดยเฉพาะกับบรรดาข้าราชการทั้งหลายที่ทำตัวเป็นทาสรับใช้นักการเมืองให้พึงสังวรณ์ว่าไม่เร็วก็ช้าหนีไม่พ้นต้องรับกรรมแทนนักการเมือง

ทีมข่าวการเมือง

คดีจำนำข้าวต้องทำเป็นบรรทัดฐาน พวกทำลายชาติต้องใช้กรรมสาสม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/237443

วันพุธ ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

สังคมต้องจับตาดูต่อไปหลังจากที่คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งของกระทรวงการคลังที่มีนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลางเป็นประธานเคาะตัวเลขความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดต้องชดใช้แก่แผ่นดินอยู่ที่เพียง3.57 หมื่นล้านบาท หรือ 20% ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมด 1.78 แสนล้านบาท

ทั้งนี้ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายยืนยันว่า ความเสียหายอีก 80% หรือมูลค่าราว 1.42 แสนล้านบาทนอกเหนือจากที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้แล้วต้องมีผู้รับผิดชอบโดยก่อนหน้านี้ ดร.วิษณุ เผยเป็นนัยว่าอาจจะมีข้าราชการและพ่อค้าหลายสิบคนที่ต้องร่วมชดใช้ความเสียหาย ซึ่งล่าสุดนายมนัส เปิดเผยว่าจะมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวนการชดใช้ความเสียหายในส่วนที่เหลืออีก 80% ทั้งในส่วนที่เกี่ยวกับการสวมสิทธิ์โครงการรับจำนำข้าว การนำข้าวผิดประเภทเข้าโครงการ การเวียนเทียนข้าว และกรณีข้าวหายจากโกดังทั่วประเทศ ซึ่งจะต้องมีผู้รับผิดชอบทั้งที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ เจ้าของยุ้งฉางและเจ้าของโรงสี รวมไปถึงรัฐมนตรีที่มีส่วนทำให้เกิดความเสียหาย

สำหรับปฏิกิริยาของประชาชนต่อคดีโครงการรับจำนำข้าวมีเสียงสะท้อนชัดเจนจากผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศของ 2 สำนักวิจัย คือ กรุงเทพโพลล์ศูนย์มหาวิทยาลัยกรุงเทพโดยประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.4 เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อเปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ผู้กระทำผิด นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 44.2 เห็นว่าควรเพิ่มบทลงโทษอื่นๆนอกเหนือจากการยึดทรัพย์

จากผลสำรวจยังสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่กังวลต่อเหตุการณ์ปั่นป่วนที่จะตามมา และเชื่อว่าผลจากการดำเนินคดีจะเป็นสิ่งเตือนสติทำให้นักการเมืองตระหนักในการทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

ขณะที่ผลสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศของสำนักวิจัยซูเปอร์โพลล์สะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 66.3 เห็นด้วยที่จะมีการยึดทรัพย์นักการเมืองที่กระทำผิดในคดีโครงการรับจำนำข้าว และร้อยละ 58.3 ไม่กังวลว่าจะเกิดเหตุวุ่นวายทางการเมืองตามมาถ้าลงโทษยึดทรัพย์นักการเมือง อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 57.8 ยังเชื่อว่าแม้จะมีการยึดทรัพย์ในคดีโครงการรับจำนำข้าว แต่นักการเมืองก็คงจะทุจริตคอร์รัปชั่นเหมือนเดิม

ทั้งนี้ คดีโครงการรับจำนำข้าวถือเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงต้องสร้างแบบอย่างหาตัวผู้กระทำผิดมาลงโทษทั้งทางอาญาและทางแพ่งขั้นเด็ดขาดทั้งขบวนการเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างและเป็นบรรทัดฐานว่า พวกที่โกงชาติทำลายแผ่นดินจะต้องชดใช้ผลกรรมที่ก่ออย่างสะสมไม่ใช่ลอยนวลเหมือนที่ผ่านๆ มา

ทีมข่าวการเมือง

ปูเลือดเข้าตาดับเครื่องชนบิ๊กตู่ ตะแบงดิ้นเอาตัวรอดคดีจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/237253

วันอังคาร ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ขณะที่พิษคดีโครงการรับจำนำข้าวงวดเข้ามาทุกขณะ โดยล่าสุดคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งของกระทรวงการคลัง ที่มีนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธาน เคาะตัวเลขความเสียหายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดต้องชดใช้แก่แผ่นดินเป็นมูลค่า 3.57 หมื่นล้านบาท ทำให้ล่าสุด น.ส.ยิ่งลักษณ์ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ค ชนิดที่เรียกได้ว่า เป็นการดับเครื่องชน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แบบตาต่อตาฟันต่อฟัน

โดยข้อความในเฟซบุ๊คของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีใจความว่า “ทุกอย่างที่นายกฯยืนยันออกมาจากปากท่านว่าการดำเนินการที่เกี่ยวข้องกับคดีดิฉันเป็นไปตามกฎหมาย ไม่ได้กลั่นแกล้ง ก็อยากให้นายกฯใช้หลักคิดและให้ความเป็นธรรมกับดิฉันเหมือนกับที่ท่านให้ความเป็นธรรมและปกป้องน้องชายของท่าน รวมทั้งคนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นพวกเดียวกับท่าน เพราะกฎหมายมีไว้บังคับใช้กับทุกคน ไม่ใช่เลือกปฏิบัติกับฝั่งดิฉันเพียงฝ่ายเดียว”

การเดินเกมแบบดับเครื่องชนกับพล.อ.ประยุทธ์ แบบตรงๆ และรุนแรงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เช่นนี้มีเป้าหมายเพื่อสร้างกระแสอ้างว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งจากพิษคดีจำนำข้าว ขณะเดียวกันก็ได้ทีฉวยโอกาสขณะที่ครอบครัว พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นน้องชายของ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังตกเป็นข่าวอื้อฉาวจนถูกฟ้องร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยเฉพาะกรณีบุตรชาย พล.อ.ปรีชา ได้งานรับเหมาก่อสร้างในกองทัพหลายโครงการมูลค่ารวมเกือบ 100 ล้านบาท มาเป็นเครื่องมือผูกโยงทำลายความน่าเชื่อถือของ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าเลือกปฏิบัติ ถึงขนาดกล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์ ปกป้องน้องชายตัวเอง

ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เดินเกมแบบดับเครื่องชน พรรคเพื่อแม้ว ก็ออกแถลงการณ์สอดรับด้วยการโจมตี พล.อ.ประยุทธ์ อย่างหนักว่าลุแก่อำนาจด้วยการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว เปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ในคดีรับจำนำข้าว ทั้งๆ ที่การยึดทรัพย์โดยกรมบังคับคดีเป็นเรื่องปกติตามกระบวนการยุติธรรมที่ปฏิบัติกันมาช้านาน

นอกจากนี้ขบวนการเพื่อแม้ว ยังพยายามบิดเบือนอ้างว่าการใช้อำนาจตาม มาตรา 44 เปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ เป็นการละเมิดชี้นำอำนาจศาล เพราะศาลยังไม่มีคำพิพากษาถึงที่สุด ทั้งๆ ที่เป็นคนละเรื่องอย่างสิ้นเชิง ซึ่งในอดีตมีคดีสำคัญมากมายที่กรมบังคับคดีสั่งยึดทรัพย์ก่อนที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดเพราะเป็นคนละส่วนกัน อาทิ คดีทุจริตจัดซื้อรถดับเพลิง หรือคดีทุจริตโครงการบ่อบัดน้ำเสียคลองด่าน

จากความเคลื่อนไหวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพรรคเพื่อแม้วสะท้อนอาการหวาดผวาใกล้เข้าตาจนจึงต้องทำทุกวิถีทางดิ้นรนเพื่อตัวเอง ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่ต้องจับตาเป็นอย่างยิ่งเพราะคนที่กำลังเลือดเข้าตาพร้อมทำทุกอย่างเพื่อเอาตัวรอด โดยไม่คำนึงถึงความหายนะที่จะเกิดกับชาติบ้านเมืองซึ่งมีบทเรียนในอดีตให้เห็นมาแล้ว

ทีมข่าวการเมือง

สังคมหนุนเอาจริงคดีจำนำข้าว กังขาคลังเคาะปูชดใช้เสียหายต่ำผิดปกติ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/237080

วันจันทร์ ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศของกรุงเทพโพลล์ ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพต่อการดำเนินคดีโครงการรับจำนำข้าวที่มีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯกับนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ กับพวกเป็นจำเลยปรากฏว่า
ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 63.4 เห็นด้วยกับการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวเพื่อเปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ ผู้กระทำผิด และส่วนใหญ่ร้อยละ 44.2 เห็นว่า ควรเพิ่มบทลงโทษอื่นๆ นอกเหนือจากการยึดทรัพย์ และพอใจในความคืบหน้าในการดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องกับโครงการจำนำข้าวสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

จากผลสำรวจยังสะท้อนว่าประชาชนส่วนใหญ่ไม่กังวลต่อเหตุการณ์ปั่นป่วนที่จะตามมา และเชื่อว่าผลจากการดำเนินคดี จะเป็นสิ่งเตือนสติทำให้นักการเมืองตระหนักในการทำหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต

ขณะที่ความคืบหน้าล่าสุดการฟ้องเพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินจากโครงการรับจำนำข้าว นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง กระทรวงการคลัง ประกาศผลงานทิ้งทวนก่อนเกษียณอายุราชการในปลายเดือนนี้โดยเคาะตัวเลขความเสียหายในโครงการรับจำนำข้าวยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ในฤดูกาลผลิต 2555/2556 และ 2556/2557 จากทั้งหมด 4 โครงการอยู่ที่ 1.78 แสนล้านบาท โดยในส่วนของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้ค่าเสียหายเป็นมูลค่า 20 % ของมูลค่าความเสียหายทั้งหมดหรือคิดเป็นมูลค่า 3.57 หมื่นล้านบาทท่ามกลางการตั้งข้อสังเกตว่าเป็นการเคาะตัวเลขที่ต่ำกว่าความเป็นจริงมาก

การเคาะตัวเลขมูลค่าการชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ประกาศโดยนายมนัส เป็นไปตามที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีตสส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยอภิปรายแฉโครงการรับจำนำข้าวในสภาอย่างเข้มข้นและยังเกาะติดข้อมูลแบบกัดไม่ปล่อยมาจนปัจจุบันออกมาเปิดเผยก่อนหน้านี้ทุกประการ โดย นพ.วรงค์ ตั้งข้อสังเกตว่าการเคาะตัวเลขดังกล่าวต่ำกว่าความเป็นจริงมากเพราะเดิมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวที่มี นายจิรชัย มูลทองโร่ย อดีตรองปลัดสำนักนายกฯเป็นประธานเคยสรุปยอดความเสียหายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดชอบไว้ที่ 2.86 แสนล้านบาท

นพ.วรงค์ ชี้ให้เห็นว่า การที่ นายมนัส เคาะตัวเลขความเสียหายเหลือเพียง 1.78 แสนล้านบาท ซ้ำลดมูลค่าความเสียหายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้แก่แผ่นดินเหลือแค่ 20% ของยอดความเสียหายหรือราว 3.5 หมื่นล้านบาทไม่น่าจะถูกต้องเพราะคิดตัวเลขความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวเพียง 3 จาก 5 โครงการโดยตัดลดออกไป 2 โครงการของปีการผลิต 2554/2555 อ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่งได้รับหนังสือท้วงติงแจ้งเตือนความเสียหายจากหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องในภายหลัง ซึ่ง นพ.วรงค์ ชี้ว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น

เพราะในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านขณะนั้นได้ทักท้วงตั้งแต่การอภิปรายท้วงติงในวันที่มีการแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่สำคัญที่สุดคือคณะกรรมการรับผิดทางแพ่งไม่ได้อ้างอิงถึงหนังสือท้วงติงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ที่มีหนังสือเตือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึง 2 ฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2554 และวันที่ 30 เมษายน 2555 ดังนั้นจะอ้างว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เพิ่งรับทราบความเสียหายหลังจากผ่าน 2 โครงการแรกจึงยิ่งฟังไม่ขึ้น

ดังนั้นคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าจะมีการทบทวนตัวเลขของคณะกรรมการชุดนายมนัสหรือไม่ แต่สำหรับนายมนัสนั้นอีกไม่กี่วันคงสบายพ้นภาระหน้าที่แล้วจากการเกษียณอายุราชการ

บิ๊กตู่ยิ่งนานวันยิ่งสั่งสมบารมี ขณะที่ระบอบทักษิณอนาคตริบหรี่

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/236939

วันอาทิตย์ ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสำหรับคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)และรัฐบาลอันเป็นผลพวงจากการรัฐประหารภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคสช. ยังคงได้รับความศรัทธาเชื่อมั่นจากมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศหลังเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศมาเป็นปีที่ 3 และนับวัน พล.อ.ประยุทธ์จะสั่งสมบารมีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งนอกจากผลงานครบ 2 ปี ที่รัฐบาลเพิ่งแถลงเมื่อวันที่ 15 ก.ย. ที่ผ่านมา อีก 2 ผลงาน ซึ่งสร้างความเชื่อมั่นและเสริมจุดแข็งให้กับรัฐบาลเป็นอย่างมากก็คือกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นประธานและกล่าวปราศรัยในวันต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นที่ท้องสนามหลวงโดยมีตัวแทนภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนเข้าร่วมจำนวนมากสะท้อนถึงความจริงจังและถือเป็นวาระแห่งชาติของรัฐบาลในการมุ่งขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นซึ่งเป็นมะเร็งร้ายและเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงอันเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติ รวมทั้งการที่ พล.อ.ประยุทธ์ใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวยกเลิกคำสั่งคสช.เปิดทางให้จากนี้ไปผู้ถูกดำเนินคดีด้านความมั่นคงไม่ต้องขึ้นศาลทหารแต่ขึ้นศาลพลเรือนอันเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศสร้างบรรยากาศแห่งความปรองดองในชาติ รวมทั้งสร้างภาพลักษณ์ที่ดีในสายตานานาชาติ

ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งสมบารมีได้รับความเชื่อมั่นจากประชาชนส่วนใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ถูกกลุ่มอำนาจเก่าใช้สารพัดวิชามารบ่อนทำลายโจมตีอยู่ตลอดเวลาสะท้อนให้เห็นถึงความเบื่อหน่ายเอือมระอาของประชาชนที่มีต่อนักการเมือง และอยากเห็นประเทศเดินหน้าปฏิรูปอย่างจริงจังโดยผู้นำที่เข้มแข็งและไม่มีผลประโยชน์ทางการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อให้ประเทศหลุดพ้นจากวังวนของวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายเสียที

ขณะที่บารมีของ พล.อ.ประยุทธ์ นับวันแข็งแกร่งมากขึ้นเรื่อยๆ แต่สำหรับขบวนการระบอบทักษิณนับวันกลับจะเสื่อมลงตามระดับจนอยู่ในภาวะหลังพิงฝาจากกรรมที่กำลังทยอยตามเช็คบิลบรรดาแกนนำระบอบทักษิณด้วยกฎหมายตามกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ที่เป็นจำเลยคนสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าว รวมทั้งรัฐมนตรี ข้าราชการระดับสูงและพ่อค้าคนใกล้ชิดของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก กลุ่มหนึ่งที่เป็นจำเลยร่วมกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์

คนตระกูลชินนอกจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กำลังเผชิญกรรมตามกฎหมายก็คือ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯหุ่นเชิด น้องเขยของนายทักษิณ ที่อยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีข้อหาสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก

แกนนำระบอบทักษิณหลายคนก่อนหน้านี้ทยอยใช้กรรมเข้าคุกไปแล้ว อาทิ นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรมว.เกษตรฯ และเจ้าพ่อแห่งจ.ปทุมธานี นายวิทยา เทียนทอง อดีต สส. ผู้กว้างขวางแห่งจ.สระแก้ว ตระกูล “บูรณุปกรณ์” แห่งจ.เชียงใหม่ นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที)

ขณะที่หลายคนถูกถอดถอนหมดอนาคตทางการเมือง อาทิ นายประชา ประสพดี อดีตรมช.มหาดไทย และอดีตสส.สมุทรปราการหลายสมัยพรรคเพื่อไทย ส่วน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา นายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต สส.นนทบุรี และ นายนริศร ทองธิราช อดีต สส.สกลนคร พรรคเพื่อไทย ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดซึ่งจะต้องเข้าสู่กระบวนการถอดถอนและฟ้องร้องดำเนินคดีทางอาญา

ส่วน นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พรรคเพื่อไทย ก็กำลังจะถูกเอาผิดจากคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร

เช่นเดียวกับ 5 แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเป็นจำเลยคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองปี 2553 ล่าสุดอัยการเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ยกเลิกการปล่อยตัวชั่วคราวเนื่องจากละเมิดเงื่อนไขด้วยการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากศาลเห็นชอบตามคำร้องของอัยการ แกนนำคนเสื้อแดงทั้ง 5 จะสิ้นอิสรภาพถูกคุมขังทันที

และที่สำคัญต้องจับตาอย่างยิ่งก็คือชะตากรรมของอดีต สส.พรรคเพื่อไทย ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยวิธีการอันฉ้อฉลผิดกฎหมาย ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ช.กำลังรอการตัดสิน ซึ่งหากชี้มูลความผิดอาจทำให้อดีตสส.พรรคเพื่อไทยทั้งหมดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ซึ่งนั่นหมายถึงพรรคเพื่อไทยล่มสลายสูญพันธุ์ทันที

จากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจึงชี้แนวโน้มที่ประเทศกำลังจะเดินหน้าไปสู่การปฏิรูป ขณะที่ธุรกิจการเมืองทุนสามานย์อันชั่วร้ายส่อแนวโน้มที่จะล่มสลายด้วยกฎหมายภายใต้กฎแห่งกรรม

ทีมข่าวการเมือง

ปู-บุญทรงสีข้างถูสู้เลือดเข้าตา อ้างถูกแกล้งเดินเกมดับเครื่องชน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/236828

วันเสาร์ ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และนายบุญทรงเตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์อยู่ในภาวะเลือดเข้าตาหลังพิงฝาจากพิษคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความเสียหายล่มจมให้ชาติบ้านเมืองครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์จึงพยายามเดินเกมทุกวิถีทางหวังเอาตัวรอดด้วยการสร้างภาพอ้างว่าถูกกลั่นแกล้ง ขณะเดียวกันก็มีการข่มขู่เอาคืนหากพรรคเพื่อแม้วกลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่อีกครั้ง

นับเป็นครั้งแรกที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ออกมาแสดงท่าทีชนิดดับเครื่องชนโดยอ้างว่า โดนอยู่คนเดียวโดยขณะนี้ตัวเองถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) สอบสวนเอาผิดถึง 15 คดี โดยล่าสุดคือกรณีที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แจ้งข้อกล่าวหาว่าบริหารจัดการน้ำผิดพลาดจนนำไปสู่เหตุการณ์มหาอุทกภัยครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อปี 2554 ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว ป.ป.ช.ดำเนินการสอบสวนก็ต่อเมื่อมีผู้ยื่นข้อกล่าวหามา ซึ่งหากเห็นว่าเรื่องใดมีมูลจึงรับไว้พิจารณา แต่หากเห็นว่าไม่มีมูลก็จะยกคำร้อง

น.ส.ยิ่งลักษณ์ อ้างว่าน้ำท่วมเกิดก่อนที่ตัวเองจะเข้ามาบริหารประเทศซึ่งเป็นการบิดเบือนอย่างสิ้นเชิง เพราะหากยังจำกันได้ก่อนที่จะเกิดมหาอุทกภัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ รวมทั้งรัฐมนตรีหลายคนในรัฐบาลยิ่งลักษณ์ขณะนั้นโดยเฉพาะนายปลอดประสพ สุรัสวดี อดีตรองนายกฯ ต่างออกมายืนยันว่า “เอาอยู่” จะไม่เกิดน้ำท่วมเมืองหลวงอย่างแน่นอนหลังจากที่กระแสน้ำเหนือไหลบ่าเข้าสู่ที่ราบลุ่มสองฟากแม่น้ำเจ้าพระยาอันสะท้อนให้เห็นถึงการประเมินสถานการณ์และบริหารจัดการน้ำที่ผิดพลาด

การที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ โอดครวญว่าตัวเองถูกร้องต่อป.ป.ช.ให้สอบสวนความผิดถึง 15 คดี น่าจะถามตัวเองมากกว่าว่าเพราะอะไร ซึ่งในช่วงที่ตัวเองมีอำนาจบริหารประเทศได้ลุแก่อำนาจไปในทางที่มิชอบหรือไม่ ซึ่งหากมั่นใจว่าไม่เคยทำผิดก็ไม่เห็นจะต้องกลัวกฎแห่งกรรมเพราะถึงที่สุดแล้วทุกอย่างจบลงตามกระบวนการยุติธรรมปกติอยู่แล้ว

นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังอ้างว่า การที่ พล.อ.ประยุทธ์จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ให้กรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์ตัวเองและพวกเหมือนเป็นการชี้นำคดีจึงถือเป็นความไม่ยุติธรรมที่ตัวเอง ได้รับ

ทั้งๆ ที่ความจริงการยึดทรัพย์เป็นหน้าที่ของกรมบังคับคดีซึ่งต้องดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมายและปฏิบัติมาช้านานแล้ว อีกทั้งฝ่ายผู้ถูกยึดทรัพย์ยังสามารถยื่นคำร้องคัดค้านต่อศาลปกครอง

ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯ ซึ่งเป็นมือกฎหมายของรัฐบาลจึงต้องออกมาตอบโต้ขบวนการที่พยายามสร้างข่าวบิดเบือนว่ามีการใช้มาตรา 44 เพื่อยึดทรัพย์หรือกลั่นแกล้งในคดีรับจำนำข้าวซึ่งไม่เป็นความจริง ส่วนการเปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์นั้นความจริงในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็เคยคิดที่จะตั้งกองยึดทรัพย์บังคับคดีตามคำสั่งปกครองในสังกัดกรมบังคับคดีแต่ดำเนินการไม่สำเร็จ

น.ส.ยิ่งลักษณ์ นอกจากออกมาดับเครื่องชนคดีจำนำข้าวแล้ว ยังเดินเกมให้ทนายความไปยื่นคำร้องต่อ ป.ป.ช. เป็นครั้งที่ 8 คัดค้านการแต่งตั้ง น.ส.สุภา ปิยะจิตติ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธานอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงคดีกล่าวหา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ถึง 6 คดี

สำหรับ น.ส.สุภา นั้นเคยเป็นรองปลัดกระทรวงการคลังยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ และเป็นประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่าเป็นข้าราชการจอมตงฉินซึ่งทำหน้าที่โดยยึดผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองเป็นที่ตั้ง ต่อมา น.ส.สุภาก็ถูกปลดออกจากการเป็นประธานปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าว ทำให้ น.ส.สุภา ตัดสินใจลาออกจากราชการและมาสมัครจนได้รับเลือกเป็นกรรมการป.ป.ช.จนปัจจุบัน

มาทางด้าน นายบุญทรง ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญกรณีทุจริตซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเก๊โดยถูกฟ้องให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่าราว 1,700 ล้านบาท จากมูลค่าความเสียหายทั้งหมดรวม 20,000 ล้านบาท โดยไม่รวมถึงการถูกฟ้องดำเนินคดีทางอาญาโดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ซึ่งนายบุญทรง เดินเกมสู้แบบเลือดเข้าตาด้วยการขู่ฟ้องกลับทุกคนที่ดำเนินคดีกับตัวเอง ขณะเดียวกันประกาศแบบหมูไม่กลัวน้ำร้อนว่าจะทำทุกวิถีทางลากพล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นศาลให้ได้

ขณะที่บรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วหลายคนออกมาขู่รัฐมนตรีและบรรดาข้าราชการที่มีส่วนเอาผิด น.ส.ยิ่งลักษณ์และเหล่าคนของขบวนการเพื่อแม้ว โดยให้ระวังตัวให้ดี เพราะหากพรรคเพื่อแม้วกลับมามีอำนาจยิ่งใหญ่เมื่อไหร่จะมีการเช็คบิลเอาคืนแน่นอน

จากการออกมาดับเครื่องชนแบบเลือดเข้าตาของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายบุญทรง และเหล่าสาวกขบวนการเพื่อแม้วสะท้อนการจำนนต่อความจริงที่ใกล้จนมุมเข้าไปทุกขณะจึงต้องสู้แบบหลังพิงกำแพง ซึ่งการออกมาโวยวายว่าถูกกลั่นแกล้งและไม่ได้รับความยุติธรรมนั้นเป็นข้ออ้างแบบกำปั้นทุบดิน และหากบริสุทธิ์ใจจริงไม่ควรที่จะหวาดผวาตีตนไปก่อนไข้ เนื่องจากถึงที่สุดแล้วผิดถูกชั่วดีทุกอย่างจะต้องไปจบที่ศาลสถิตยุติธรรม

ทีมข่าวการเมือง