จับตาคลังเคาะตัวเลขฟ้องปู ชดใช้ค่าเสียหายคดีจำนำข้าว

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/236673

วันศุกร์ ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ในคดีฟ้องทางปกครองเพื่อให้จำเลยคดีโครงการรับจำนำข้าวชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินขณะนี้ก็เสร็จเรียบร้อยไปแล้วเปลาะหนึ่งหลังจากที่นางอภิรดี ตันตราภรณ์ โชว์ความกล้าหาญเพื่อชาติเซ็นคำสั่งฟ้องนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์และพวกรวม 6 คน ในกรณีขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจี เพื่อให้ชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินรวม 2 หมื่นล้านบาท แต่ยังเหลืออีกหนึ่งเปลาะที่สังคมเฝ้าจับตาและมีความสำคัญนั่นคือการเคาะตัวเลขมูลค่าความเสียหายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดต้องชดใช้แก่แผ่นดินฐานส่อเจตนาปล่อยปละละเลยให้มีการทุจริตอย่างมโหฬารและสร้างความล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ทั้งนี้มีการตั้งข้อสังเกตจาก นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรมอดีตสส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเคยอภิปรายแฉโครงการรับจำนำข้าวในสภาอย่างเข้มข้นและยังเกาะติดข้อมูลแบบกัดไม่ปล่อยมาจนปัจจุบันออกมาเปิดเผยว่า การเรียกค่าเสียหายจากคดีโครงการรับจำนำข้าวของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ที่คณะกรรมการรับผิดทางแพ่งของกระทรวงการคลังที่มี นายมนัส แจ่มเวลาอธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธานส่อทะแม่งเพราะเดิมคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความเสียหายโครงการรับจำนำข้าวของสำนักนายกฯเคยสรุปยอดความเสียหายที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องรับผิดชอบไว้ที่2.86 แสนล้านบาท แต่กลับมีข่าววงในว่า คณะกรรมการรับผิดทางแพ่งของ นายมนัส กลับเคาะตัวเลขเรียกความเสียหายเหลือ 1.78 แสนล้านบาท ซ้ำลดมูลค่าความเสียหาที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องชดใช้แก่แผ่นดินเหลือแค่ 20% ของยอดความเสียหายหรือราว 3.5 หมื่นล้านบาท

โดยคิดความเสียหายเพียง 3 จาก 5 โครงการคือปีการผลิต 2555/2556 และ 2556/2557 ตัดลดออกไป 2 โครงการของปีการผลิต 2554/2555 อ้างว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพิ่งได้รับหนังสือท้วงติงจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ และประธานอนุกรรมการปิดบัญชีโครงการรับจำนำข้าวและการอภิปรายไม่ไว้วางใจของพรรคฝ่ายค้านในอดีต จึงถือว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ได้รับทราบความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวหลังได้รับการแจ้งเตือน ซึ่ง นพ.วรงค์ ชี้ว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น

เพราะในอดีตพรรคประชาธิปัตย์ในฐานะฝ่ายค้านขณะนั้นได้ทักท้วงตั้งแต่การอภิปรายท้วงติงในวันที่มีการแถลงนโยบายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ จนถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล ที่สำคัญที่สุดคือคณะกรรมการรับผิดทางแพ่งไม่ได้อ้างอิงถึงหนังสือท้วงติงของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่มีหนังสือเตือนรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถึง 2 ฉบับลงวันที่ 7 ตุลาคม 2554 และวันที่ 30 เมษายน2555 ดังนั้นจะอ้างว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์เพิ่งรับทราบความเสียหายหลังจากผ่าน 2 โครงการแรกจึงยิ่งฟังไม่ขึ้น

นายมนัสนั้นจะเกษียณอายุราชการในปลายเดือนนี้จึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าอาจไม่อยากเอามือซุกหีบหาเรื่องใส่ตัว ซึ่งจะจริงหรือไม่คงต้องรอดูผลการสรุปตัวเลขของคณะกรรมการชุดนายมนัสในอีกไม่กี่วันข้างหน้า

ทีมข่าวการเมือง

ช่องโหว่ยึดทรัพย์คดีจำนำข้าว จับตาปูกับพวกยักย้ายสมบัติหนี

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/236505

วันพฤหัสบดี ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

จากผลกรรมพิษคดีโครงการรับจำนำข้าวที่นับถอยหลังไปสู่ประตูคุกและการชดใช้ค่าเสียหายคืนแก่แผ่นดินงวดเข้าไปทุกขณะทำเอา น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด และนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ ซึ่งเป็นจำเลยคนสำคัญถึงกับดิ้นพล่านเพื่อเอาตัวรอดด้วยการอ้างสารพัดเหตุผลแบบน้ำขุ่นๆ ว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมจากการใช้มาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวที่เปิดทางให้กรมบังคับคดีดำเนินการยึดทรัพย์จำเลยในคดีโครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความล่มจมให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์

ทั้งๆ ที่ความจริงแม้จะใช้มาตรา 44 แต่คดีโครงการรับจำนำข้าวก็ยังอยู่บนเส้นทางตามกระบวนการยุติธรรมปกติทุกประการ โดยกรมบังคับคดีเพียงมีหน้าที่ในการยึดทรัพย์เพราะมีความเชี่ยวชาญอีกทั้งเป็นคดีใหญ่ที่มีมูลค่าความเสียหายสูงมาก ขณะที่ฝ่ายจำเลยยังมีสิทธิอุทธรณ์ต่อศาลปกครอง และที่สำคัญถึงที่สุดแล้วถูกผิดอย่างไรทุกอย่างจะไปจบลงที่คำตัดสินของศาลสถิตยุติธรรม

คดีโครงการรับจำนำข้าวแยกเป็นสองส่วนคือ คดีทางอาญาซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองซึ่งกว่าจะมีคำตัดสินว่าใครที่ต้องติดคุกบ้างก็คงจะเป็นราวกลางปีหน้า

ส่วนทางแพ่งการฟ้องทางปกครองให้จำเลยชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินแยกเป็นสองคดีคือการฟ้องทางปกครองให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่รัฐในกรณีซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐหรือจีทูจีเก๊เป็นมูลค่าราว 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งมี นายบุญทรง และพวกรวม 6 คน เป็นจำเลย ซึ่งขณะนี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์และปลัดกระทรวงพาณิชย์ได้ลงนามแทนนายกรัฐมนตรีในคำสั่งฟ้องเรียบร้อยแล้ว ส่วนอีกคดีหนึ่งก็คือกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่ขณะนี้กำลังรอการสรุปตัวเลขความเสียหายที่จะต้องชดใช้โดยคณะกรรมการความรับผิดทางแพ่งซึ่งมี นายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง เป็นประธาน โดยมีข่าวว่าตัวเลขที่คณะกรรมการเคาะล่าสุดคือให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชดใช้ความเสียหายมูลค่าเพียง 35,717 ล้านบาท ทั้งๆ ที่คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงที่สำนักนายกฯตั้งขึ้นเคยสรุปตัวเลขความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวมีมูลค่าสูงถึง 286,639 ล้านบาท

แต่ประเด็นปัญหาที่สังคมกำลังเฝ้าจับตาสำหรับการตามยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายบุญทรง และพวกก็คือเมื่อมีคำพิพากษาของศาลถึงที่สุดให้ยึดทรัพย์จะสามารถยึดทรัพย์ได้จริงมากน้อยแค่ไหน

เพราะคาดว่าจะต้องมีการยักย้ายถ่ายเทซุกซ่อนทรัพย์สินไปก่อนที่ศาลจะมีคำพิพากษา และกรณีหากทรัพย์สินของจำเลยที่เหลืออยู่น้อยกว่ามูลค่าทรัพย์สินที่จะถูกยึดอย่างมากก็ถูกสั่งฟ้องให้เป็นบุคคลล้มละลาย ซึ่งนี่คือช่องโหว่ของกฎหมายที่น่าจะมีการอุดช่องโหว่แก้กฎหมายให้ทันเล่ห์ศรีธนญชัยของเหล่านักการเมืองโกงชาติปล้นแผ่นดินหรือสร้างความล่มจมให้ประเทศด้วยการกำหนดให้แปรมูลค่าทรัพย์สินที่จำเลยเจตนาหลีกเลี่ยงไม่ชดใช้แก่แผ่นดินให้เป็นโทษจำคุกแทน

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วควรหยุดลวงโลก เลิกอ้างประชาธิปไตยบังหน้า

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/236303

วันพุธ ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ในโอกาสครบรอบ 10 ปี การรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 2549 บรรดาแกนนำขบวนการเพื่อแม้วไม่ว่าจะเป็น น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด ซึ่งเป็นจำเลยสำคัญคดีโครงการรับจำนำข้าว นายภูมิธรรม เวชยชัย เลขาธิการพรรคเพื่อแม้ว หรือนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ต่างออกมาโจมตีการรัฐประหารขณะเดียวกันพยายามสร้างภาพอ้างประชาธิปไตยบังหน้า ทั้งๆ ที่ธาตุแท้ของขบวนการเพื่อแม้วคือธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

ถ้าแหล่าแกนนำขบวนการเพื่อแม้วสำนึกในสิ่งเลวร้ายที่ตัวเองทำไว้กับชาติบ้านเมืองก็ควรทบทวนพฤติกรรมด้วยการตั้งคำถามว่าทำไม 10 ปีที่ผ่านมาขบวนการเพื่อแม้วถึงถูกรัฐประหารถึง 2 ครั้ง ซึ่งคำตอบก็คือเพราะขบวนการเพื่อแม้วคือต้นเหตุแห่งวิกฤติชาติตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา จากการเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทำสิ่งเลวร้ายหนักหนาสาหัสไว้กับแผ่นดินอย่างมากมาย

หากย้อนกลับไปทบทวนสาเหตุการรัฐประหารล้มรัฐบาลทักษิณครั้งแรกเมื่อปี 2549 เกิดจากเหตุผล 4 ประการคือ มีการทุจริตคอร์รัปชั่นมโหฬาร มีการจาบจ้วงสถาบันเบื้องสูงอย่างเหิมเกริม มีการผูกขาดอำนาจแทรกแซงองค์กรอิสระอย่างย่ามใจ และสร้างความแตกแยกในชาติลึกซึ้งรุนแรงอย่างไม่เคยมีมาก่อนจนมวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังขับไล่

สำหรับพรรคเพื่อแม้วถูกตั้งข้อสังเกตว่าไม่ต่างจากบริษัทการเมืองจำกัดที่สส.ไม่ได้มีสถานะเป็นผู้แทนปวงชนอย่างแท้จริง แต่เป็นแค่พนักงานบริษัทที่ฟังคำสั่งจากเจ้าของบริษัทคือนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก เพียงคนเดียวเท่านั้น หรือแม้แต่รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็เป็นเพียงหุ่นเชิดที่บงการโดยอดีตนายกฯนักโทษหนีคุก

พรรคเพื่อแม้วยังเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ทุ่มทุนและใช้ผลประโยชน์รูปแบบต่างๆ ซื้อกลุ่ม สส. ซื้อเสียง ซื้ออำนาจรัฐซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศ แล้วถอนทุนบวกกำไรมหาศาล จากนั้นใช้อำนาจรัฐแผ่ขยายอิทธิพลผลประโยชน์หวังผูกขาดอำนาจยึดครองประเทศอย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาดและทะเยอทะยานถึงขนาดเคยคิดเปลี่ยนแปลงการปครองประเทศ

นอกจากนี้ขบวนการเพื่อแม้วยังจัดตั้งกองกำลังก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 และเหิมเกริมถึงกับบุกโรงพยาบาลจุฬาฯและสภากาชาดไทย จนต้องมีการอพยพผู้ป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สมเด็จพระญาณสังวรสมเด็จพระสังฆราชฯ ที่รักษาอาการพระประชวรอยู่อย่างอลหม่าน ทั้งๆ ที่โรงพยาบาลและสภากาชาดไทย เป็นเขตปลอดภัยตามหลักสากล ซึ่งพฤติการณ์ที่กล่าวมาทั้งหมดตรงกันข้ามกับระบอบประชาธิปไตยอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้นขบวนการเพื่อแม้วเลิกสร้างภาพลวงโลกอ้างประชาธิปไตยปิดบังโฉมหน้าที่แท้จริงอันอัปลักษณ์ของตัวเองได้แล้ว เพราะทุกวันนี้ประชาชนส่วนใหญ่หูตาสว่างและรู้เท่าทันเล่ห์ลิ้นพวกประชาธิปไตยจอมปลอมโดยเฉพาะจากคดีโครงการรับจำนำข้าว

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วดิ้นป้องปูกับพวก ตะแบงฝืนกรรมยื้อคดีจำนำข้าว?

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/236134

วันอังคาร ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

หลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อาศัยอำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวให้อำนาจกรมบังคับคดีในการยึดทรัพย์จำเลยคดีทุจริตและสร้างความเสียงหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ในโครงการรับจำนำข้าวทำเอาขบวนการเพื่อแม้วถึงกับดิ้นพล่านดาหน้าออกมาคัดค้านสุดฤทธิ์ส่อเจตนายื้อเกมป้องน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดและพวกซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้

ขณะเดียวกันก็เป็นการเดินเกมส่อเจตนาที่จะบ่อนทำลายความชอบธรรมของคสช.และรัฐบาลเพื่อนำไปสู่ข้ออ้างที่ว่าการดำเนินคดีโครงการรับจำนำข้าวเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมืองทั้งๆ ที่จุดเริ่มต้นของคดีมีการร้องเรียนและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่ก่อนที่คสช.จะเข้าควบคุมอำนาจการปกครองประเทศ เมื่อวันที่ 22 พ.ค. 2557

อย่างทนายความของ น.ส.ยิ่งลักษณ์พยายามอ้างว่า คำสั่งที่ให้กรมบังคับคดีเข้ามาจัดการเรื่องคดีรับจำนำข้าวไม่ชอบด้วยหลักนิติธรรมเพราะ กรมบังคับคดีต้องอยู่ภายใต้อำนาจสั่งการของศาลยุติธรรมไม่ใช่คำสั่งคสช.

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ประธานคนเสื้อแดง และ นายเรืองไกรลีกิจวัฒนะ ทีมกฎหมายพรรคเพื่อแม้วออกมาเคลื่อนไหวและพยายามสร้างข่าวประท้วงคำสั่งคสช.ที่ให้กรมบังคับคดีมีอำนาจยึดทรัพย์คดีจำนำข้าว พร้อมทั้งขู่บรรดาข้าราชการที่ลงนามในคำสั่งทางปกครองฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายจากคดีโครงการรับจำนำข้าวให้ระวังตัวอาจจะถูกฟ้องกลับในภายหลัง

คนของขบวนการเพื่อแม้วพยายามบิดเบือนอ้างว่าคดีโครงการรับจำนำข้าวที่ถูกผลักดันให้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างรวดเร็วยุคคสช.เป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง ทั้งๆ ที่ความจริงหากคสช.ต้องการกลั่นแกล้งสามารถใช้อำนาจตามมาตรา 44สั่งยึดทรัพย์ น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกได้อยู่แล้ว หรืออาจใช้อำนาจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบการทุจริตลักษณะเหมือนคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ(คตส.) ในอดีตจะเห็นผลรวดเร็วทันใจกว่าที่จะเปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ตามกระบวนการยุติธรรมซึ่งมีขั้นตอนอีกมาก อีกทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ และพวกยังสามารถยื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองได้อยู่แล้วทำให้เกิดข้อสงสัยว่าที่ออกมาเคลื่อนไหวมีเป้าหมายอะไรกันแน่หรือต้องการสร้างเงื่อนไขปูทางไปสู่การสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย

ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิดโฆษกรัฐบาล ยืนยันว่าคสช.และรัฐบาลไม่เคยกลั่นแกล้งนักการเมืองไม่ว่าพรรคไหนซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นไปตามเหตุแห่งกรรมที่ได้กระทำขึ้นทั้งสิ้น รัฐบาลเพียงมีหน้าที่บังคับใช้กฎหมายให้มีความศักดิ์สิทธิ์อย่างที่ควรจะเป็น ขณะที่ผู้สุจริตประพฤติชอบทั้งหลายจะไม่เดือดร้อนจากกระบวนการยุติธรรมอย่างแน่นอน

ดังนั้นว่าไปแล้วอาจจะมีก็แต่พวกสันหลังหวะที่ร้อนตัวผวากฎแห่งกรรมกลัวการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองทั้งๆ ที่ศาลคือผู้ที่จะชี้ขาดความยุติธรรมในขั้นตอนสุดท้ายอยู่แล้ว

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วขู่ถ้ากลับมาใหญ่เอาคืน อดีตสส.จุดชนวนเดือดเปิดศึกปปช.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/235964

วันจันทร์ ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ปมกรณีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวนเอาผิดอดีตสส.พรรคเพื่อแม้วประมาณ 40 คน ที่เสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์กำลังจะกลายเป็นประเด็นเดือดเมื่อกลุ่มอดีตสส.เพื่อแม้วเตรียมบุก ป.ป.ช.เพื่อประท้วง

ล่าสุดบรรดาสส.พรรคเพื่อแม้วที่ร่วมเซ็นชื่อเสนอร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับที่ นายวรชัย เหมะ อดีต สส.สมุทรปราการ พรรคเพื่อแม้ว เป็นผู้เสนอต่างดาหน้าออกมาประท้วง ป.ป.ช. อาทิ นายวรชัย นายสามารถ แก้วมีชัย อดีตรองประธานสภาผู้แทนราษฎร นายสมคิด เชื้อคง อดีตสส.อุบลราชธานี

โดยเฉพาะ นายวรชัย ถึงกับขู่ว่า “หากป.ป.ช.ทำแบบนี้ประเทศก็มีแต่ความขัดแย้งไม่จบสิ้นและเมื่อมีรัฐบาลตามระบอบประชาธิปไตยจะเกิดสถานการณ์ทวงคืนความยุติธรรมกันอีก เหตุการณ์ความวุ่นวายจะเกิดซ้ำซาก พวกท่านยอมหรือ”

ขณะที่ นายสามารถ และ นายสมคิด ยืนยันว่า ร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมที่ นายวรชัย เสนอ ไม่เกี่ยวกับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังคัดค้านครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เกือบ 10 ล้านคน

สำหรับ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ นายวรชัย นั้นมุ่งที่จะนิรโทษกรรมความผิดทางการเมืองเฉพาะประชาชนที่เข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองหลายครั้งที่ผ่านมา โดยไม่ครอบคลุมแกนนำและผู้บงการ

แต่หลังจากที่มีการเสนอร่างแล้วปรากฏว่า นายทักษิณ ไม่พอใจเนื่องจากตัวเองไม่ได้ประโยชน์จึงสั่งให้ นายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ อดีตสส.มหาสารคาม พรรคเพื่อแม้ว ซึ่งเป็นคนที่ตัวเองไว้วางใจบินไปพบที่ดูไบและแก้ไขร่างใหม่จนนำไปสู่การแปลงร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรมเป็นฉบับสุดซอยและมีการใช้วิธีการที่มิชอบหักดิบผลักดันร่างจนผ่านสภาผู้แทนราษฎรตอนเช้ามืด
โดยที่กลุ่มสส.ที่ร่วมลงชื่อ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับ นายวรชัย ส่วนใหญ่ก็ร่วมลงชื่อสนับสนุนร่างพ.ร.บ.ฉบับสุดซอยด้วย

นอกจากปมเดือดจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มอดีต สส.เพื่อแม้วที่ประท้วงป.ป.ช.แล้วก่อนหน้านี้ นายจตุพร
พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ก็พยายามจุดกระแสว่าบรรดาพลพรรคขบวนการเพื่อแม้วกำลังทยอยถูกกฎหมายเล่นงานมากขึ้นเรื่อยๆ และมีแนวโน้มว่าอดีตสส.เพื่อแม้วเกือบ 300 คนจะประสบชะตากรรมตายยกก๊วนจากพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอย พร้อมกับปลุกระดมให้ขบวนการเพื่อแม้วลุกขึ้นสู้ก่อนถูกประหารจนสูญพันธุ์

เพราะฉะนั้นต้องจับตาความเคลื่อนไหวของบรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วที่เริ่มเห็นสัญญาณการเตรียมเปิดศึกแตกหักสู้แบบหลังพิงฝา พร้อม
คำขู่หากกลับมาใหญ่จะเอาคืน

ทีมข่าวการเมือง

กฎเหล็กคุมประพฤติ ปฏิรูปล้างธุรกิจการเมือง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/235804

วันอาทิตย์ ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

หลังร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และคำถามพ่วงผ่านการทำประชามติและเข้าสู่ขั้นตอนการยกร่างพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายลูกสำคัญ 4 ฉบับ ซึ่งขณะนี้คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ได้ยกร่างกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมืองและกฎหมายลูกว่าด้วยการเลือกตั้งสส.และการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา(สว.) รวมทั้งกฎหมายลูกว่าด้วยอำนาจหน้าที่ของกกต.ไปยังคณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญ(กรธ.)เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะที่สภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ(สปท.)ก็เริ่มเสนอแนวคิดให้ใช้ยาแรงเพื่อขจัดธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยที่เป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติช่วงหลายปีที่ผ่านมา

สถานการณ์ที่ต้องจับตาต่อไปขณะที่กำลังมีการยกร่างกฎหมายลูกก็คือผลการวินิจฉัยชี้ขาดร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงของศาลรัฐธรรมนูญว่าจะเห็นชอบตามร่างของกรธ.หรือจะมีมติให้แก้ไขอย่างไรหรือไม่ รวมทั้งประเด็นข้อเสนอของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)ที่ยืนยันว่าเจตนารมณ์ที่เสนอแนวคิดไปยังกรธ.ในกรณีคำถามพ่วงนั้นก็เพื่อให้สว.มีสิทธิที่จะเสนอชื่อนายกฯคนนอกได้ด้วยนอกเหนือจากการร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรลงมติโหวตเลือกนายกฯ

ส่วนความเคลื่อนไหวในการยกร่างกฎหมายลูกนั้นที่น่าสนใจก็คือแนวคิดของ กกต.ที่เสนอให้พรรคการเมืองตั้งยาก อยู่ยาก ยุบยาก และต้องส่งร่างนโยบายของพรรคมาให้ กกต.พิจารณาก่อนที่จะมีการเผยแพร่สู่ประชาชน ขณะที่นายเสรี สุวรรณภานนท์ ประธานคณะกรรมาธิการขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองของ สปท. เผยแนวคิดกฎหมายลูกว่าด้วยพรรคการเมืองโดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจคือ การกำหนดให้การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องแสดงแบบรายการเสียภาษีเงินได้ย้อนหลัง 3 ปี แสดงตนประกาศให้สมาชิกและประชาชนรู้ล่วงหน้าก่อนลงเลือกตั้ง 1 ปี ขณะเดียวกันให้สมาชิกในเขตเลือกตั้งเป็นผู้คัดเลือกผู้สมัครเลือกตั้งด้วยวิธีการเลือกตั้งชั้นต้น(Primary Vote)เหมือนการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา

ส่วนเรื่องเงินสนับสนุนพรรคการเมืองห้ามผู้ใดหรือนิติบุคคลใดสนับสนุนเงินลงทุนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกกรณี เว้นแต่บริจาคตามที่กฎหมายกำหนด และห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งนำเงินของบุคคลหรือนิติบุคคลใดมาใช้จ่ายหรือสนับสนุนการเลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และห้ามพรรคการเมือง หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคหรือตัวแทนรับเงินบริจาคที่ผิดกฎหมาย

ในกรณีพรรคการเมืองใดกระทำผิดอันเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยและทำลายความมั่นคงของชาติ พรรคการเมืองนั้นต้องสิ้นสภาพ และในกรณีที่นายทุนกลุ่มทุน นำเงินมาลงทุนในพรรคเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยจำคุก 5-10 ปี โดยไม่รอลงอาญา ปรับ 20 ล้านบาท หากเป็นนิติบุคคลกระทำผิดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน(ปปง.)ตรวจสอบกระแสเงินหมุนเวียนด้วย ส่วนผู้สมัคร สส.และสว.หากกระทำผิดให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 20 ล้านบาท พร้อมเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งตลอดชีวิต

และในกรณีการกระทำผิดของผู้สมัคร สส.หรือสว.พิสูจน์ได้ว่าพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นปล่อยปละละเลยหรือไม่ระงับยับยั้ง หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคถือว่ามีความผิดต้องถูกตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต

จากแนวคิดของ กกต.และ สปท.ที่เสนอให้ใช้ยาแรงคุมประพฤตินักการเมืองทำให้บรรดานักการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อไทยดาหน้าออกมาคัดค้านแบบหัวชนฝา ซึ่งคงไม่ใช่เรื่องแปลกเพราะถึงอย่างไรเหล่านักเลือกตั้งโดยเฉพาะพรรคระบอบทักษิณต้องพยายามดิ้นรนทุกวิถีทางเพื่อต่อต้านขัดขวางการปฏิรูปประเทศและพยายามคงสถานภาพของตัวเองให้กลับไปสู่วังวนของวงจรอุบาทว์แบบเดิมๆ ให้จงได้

อย่างไรก็ตาม จากเสียงสะท้อนของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศกลับตรงกันข้ามกับเหล่านักเลือกตั้งซึ่งเป็นคนแค่หยิบมือเดียวและเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงที่ผ่านมา โดยผลสำรวจของซูเปอร์โพลล์พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 86.3 มองว่านักการเมืองคือต้นเหตุของความขัดแย้งและไม่เชื่อถือพรรคการเมืองใดเลยในการเสนอทางออกให้ประเทศขณะนี้ และร้อยละ 93.3 เรียกร้องให้นักการเมืองปฏิรูปตัวเองโดยเฉพาะการทุจริตคอร์รัปชั่น อีกทั้งร้อยละ 77.6 เรียกร้องให้รีเซตพรรคการเมืองเพื่อไม่ให้การปฏิรูปประเทศต้องเสียของโดยเฉพาะการแก้ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น

ส่วนสวนดุสิตโพลสะท้อนความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่เห็นด้วยหากนักการเมืองและแกนนำกลุ่มการเมืองที่ทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้กระทรวงมหาดไทยช่วยดูแลการเลือกตั้งร่วมกับกกต.เพื่อป้องกันการซื้อเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ

จากเสียงสะท้อนของมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศดังกล่าวทำให้ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องกับการร่างกฎหมายลูกมีความชอบธรรมที่จะใช้ยาแรงในการขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมเพื่อปฏิรูปประเทศให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง ซึ่งคงต้องรอดูโฉมหน้าบรรดากฎหมายลูกที่จะออกมาว่าจะไปเป็นตามเจตนารมณ์ของประชาชนส่วนใหญ่หรือไม่ แค่ไหน หรือจะปล่อยให้การยึดอำนาจเพื่อปฏิรูปประเทศต้องเสียของ

ทีมข่าวการเมือง

แกะรอยวิบากกรรมแก๊งเพื่อแม้ว กฎหมายทยอยเช็คบิล

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/235715

วันเสาร์ ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกาท่านหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า “ถ้าไม่อยากถูกจับได้ว่าโกหกหรือกระทำผิดก็จงอย่าได้กระทำ” ดูเหมือนจะเป็นสัจธรรมที่สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันดังเช่นที่บรรดาแกนนำและเหล่าสาวกขบวนการเพื่อแม้วกำลังถูกกฎหมายและกฎแห่งกรรมทยอยตามเช็คบิลอยู่ในขณะนี้

กรรมที่ตามเช็คบิลในคดีสำคัญนอกเหนือจากนายทักษิณ ชินวัตร นายใหญ่อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก ที่ต้องกลายเป็นสัมภเวสีหลบหนีโทษความผิดคดีทุจริตตามคำพิพากษาของศาลต้องใช้ชีวิตเร่ร่อนอยู่ในต่างแดนมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว นายทักษิณ ซึ่งมีคดีทุจริตและคดีเกี่ยวกับความมั่นคงติดตัวอีกหลายคดีมีแนวโน้มที่จะต้องใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดนไปตลอดชีวิตเพื่อหลบหนีกรรมที่ตัวเองก่อไว้

นอกเหนือจาก นายทักษิณ คนในตระกูลชินที่ถูกหมายมั่นปั้นมือให้เป็นทายาททางการเมืองสืบทอดอำนาจตระกูลชินต่างทยอยใช้กรรมกับถ้วนหน้า ซึ่งที่สำคัญคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดภายใต้สโลแกน “ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ” ที่เป็นจำเลยคนสำคัญในคดีโครงการรับจำนำข้าวซึ่งสร้างความเสียหายแก่ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์ ถูกดำเนินคดีทั้งทางอาญาซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุก 10 ปี และคดีทางแพ่งที่มีแนวโน้มถูกยึดทรัพย์เพื่อชดใช้ความเสียหายแก่แผ่นดินมูลค่ามหาศาล นอกจากนี้ยังมีรัฐมนตรียุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ร่วมชะตากรรมคือนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผลอดีตรมช.พาณิชย์ และข้าราชการระดับสูงของกระทรวงพาณิชย์อีก 4 คน ในคดีซื้อขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจีเก๊ ที่ใกล้คุกเข้าไปทุกขณะ แต่ที่เข้าคุกล่วงหน้าไปแล้วก่อนหน้านี้ก็คือ นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ “เสี่ยเปี๋ยง”นักธุรกิจเศรษฐีค้าข้าวซึ่งเป็นคนใกล้ชิด นายทักษิณ พร้อมกับกำลังจะถูกสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ยึดทรัพย์มูลค่ากว่า 7,000 ล้านบาท

ส่วนคนตระกูลชินคนอื่นๆ นอกเหนือจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ก็กำลังถูกกรรมโดยกฎหมายตามเช็คบิลเช่นกันคือ นายสมชายวงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯไร้ทำเนียบ ที่ส่อถูกดำเนินคดีฐานใช้อำนาจสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อปี 2551 ทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก ขณะที่ นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายคนโตของนายทักษิณ จ่ออาจถูกดำเนินคดีกรณีทุจริตแบงก์กรุงไทยปล่อยกู้ให้กลุ่มบริษัทเครือกฤษดามหานครยุครัฐบาลทักษิณทำให้รัฐเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งคดีนี้มี นายทักษิณ เป็นจำเลยที่ 1 และก่อนหน้านี้ศาลฎีกาพิพากษจำคุกผู้บริหารแบงก์กรุงไทยไปแล้วหลายคน

แกนนำและเป็นขุมกำลังฐานคะแนนเสียงสำคัญของขบวนการเพื่อแม้วหลายต่อหลายคนทยอยใช้กรรมเข้าคุกไปแล้วก่อนหน้านี้จากคดีทุจริตประพฤติมิชอบเช่นกัน อาทิ นายชูชีพ หาญสวัสดิ์ อดีตรมว.เกษตรฯและเจ้าพ่อแห่งจ.ปทุมธานี นายวิทยา เทียนทอง อดีต สส.ผู้กว้างขวางแห่งจ.สระแก้ว คนตระกูล “บูรณุปกรณ์” อันทรงอิทธิพลแห่งเมืองเชียงใหม่ ที่ถูกดำเนินคดีฐานเผยแพร่รัฐธรรมนูญปลอมช่วงก่อนทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง หรือ นพ.สุรพงษ์ สืบวงษ์ลี อดีตรมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร(ไอซีที) ที่ขณะนี้นอนอยู่ในคุกฐานใช้อำนาจหน้าที่เอื้อประโยชน์ต่อธุรกิจตระกูลชิน

ขณะที่หลายคนถูกถอดถอนและกำลังจะถูกดำเนินคดีจนหมดอนาคตทางการเมือง อาทิ นายประชา ประสพดี อดีตรมช.มหาดไทย และอดีตสส.สมุทรปราการ หลายสมัย พรรคเพื่อแม้ว ส่วน นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภา นายอุดมเดชรัตนเสถียร อดีต สส.นนทบุรี และ นายนริศร ทองธิราช อดีต สส.สกลนคร พรรคเพื่อแม้ว ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิด ซึ่งนอกจากเข้าสู่กระบวนการถอดถอนยังต้องถูกดำเนินคดีอาญา

ขณะที่ นายวัฒนา เมืองสุข อดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ พรรคเพื่อแม้ว ก็กำลังจะใช้กรรมจากคดีทุจริตบ้านเอื้ออาทร

ส่วน 5 แกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงนำโดย นายจตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเป็นจำเลยคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองปี 2553 ล่าสุดอัยการเตรียมยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อขอให้ยกเลิกการปล่อยตัวชั่วคราวเนื่องจากละเมิดเงื่อนไขด้วยการเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง ซึ่งหากศาลเห็นชอบตามคำร้องของอัยการ แกนนำคนเสื้อแดงทั้ง 5 จะสิ้นอิสรภาพถูกคุมขังทันที

และที่สำคัญก็คือชะตากรรมของอดีต สส.พรรคเพื่อแม้วเกือบ 300 คน ที่ร่วมลงชื่อสนับสนุนพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยวิธีการอันมิชอบ ซึ่งขณะนี้ ป.ป.ช.กำลังใกล้ชี้ชะตารอการตัดสิน ซึ่งหากชี้มูลความผิดจะนำไปสู่การทำให้สส.พรรคเพื่อไทย ทั้งหมดถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งซึ่งนั่นหมายถึงการล่มสลายสูญพันธุ์ของพรรคเพื่อแม้ว

ทั้งหมดคือวิบากกรรมของเหล่าแกนนำขบวนการเพื่อแม้วที่กำลังถูกกฎหมายตามเช็คบิลซึ่งที่ต้องจับตาอย่ากะพริบก็คือชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์และพวกในคดีโครงการรับจำนำข้าว

ทีมข่าวการเมือง

จับตาเพื่อแม้วจุดกระแสป้องปู ตะแบงอ้างคดีจำนำข้าวถูกกลั่นแกล้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/235549

วันศุกร์ ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

สังคมกำลังเฝ้าจับตาหลังจากที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราว เพื่อให้อำนาจกรมบังคับคดีดำเนินการตามกระบวนการยุติธรรมในการยึดทรัพย์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับคดีทุจริตสำคัญที่สร้างความเสียหายแก่ประเทศอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่มี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิด นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีตรมว.พาณิชย์ นายภูมิ สาระผล อดีตรมช.พาณิชย์ เป็นจำเลยคนสำคัญ เพราะคาดว่า การเดินหน้าเอาผิดกับคดีนี้ อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองจากฝ่ายที่สูญเสียผลประโยชน์ด้วยการก่อกระแสคัดค้านทำลายความชอบธรรมทั้งในและนอกประเทศ โดยอ้างว่าเป็นการใช้อำนาจจากการรัฐประหารกลั่นแกล้งทางการเมืองเหมือนที่ผ่านมา

ก่อนหน้านี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้สัมภาษณ์สื่อดักคอล่วงหน้าโดยกล่าวว่า ไม่แน่ใจว่าการใช้มาตรา 44 จะเป็นการก้าวล่วงอำนาจศาลหรือไม่ ส่วนตัวไม่เห็นด้วยตั้งแต่ต้น

ขณะที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง กล่าวทำนองว่า แกนนำขบวนการเพื่อแม้วกำลังจะถูกล้างบางทางการเมืองด้วยกฎหมาย ซึ่งรวมทั้งชะตากรรมของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในคดีจำนำข้าว

ความจริงในกรณีใช้มาตรา 44 เปิดทางให้กรมบังคับคดียึดทรัพย์ผู้ที่เป็นจำเลยในคดีจำนำข้าวนั้นก็เนื่องมาจากเกิดปัญหาช่องโหว่ของกฎหมายดังที่ ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯมือกฎหมายของรัฐบาล อธิบายว่า เนื่องจากไม่มีกฎหมายให้อำนาจหน่วยงานไหนในการยึดทรัพย์หรือเอาผิดทางแพ่งต่อนักการเมืองโดยเฉพาะคดีที่เกิดความเสียหายต่อรัฐเป็นมูลค่าสูงมหาศาลอย่างคดีจำนำข้าว จึงจำเป็นต้องอาศัยมาตรา 44 เป็นเครื่องมือเบิกทางให้อำนาจแก่หน่วยงานตามกระบวนการยุติธรรมปกติ ซึ่งก็คือกรมบังคับคดีเป็นผู้ดำเนินการ

เพราะฉะนั้นถ้าจะว่าไปแล้วมาตรา 44 จึงเป็นเพียงเครื่องมืออุดช่องโหว่ของกฎหมายเปิดทางมอบอำนาจให้กรมบังคับคดีดำเนินการโครงการจำนำข้าวตามหลักปฏิบัติขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมปกติทุกประการ

แต่ที่สำคัญก็คือ บรรดาผู้ที่ถูกดำเนินคดีทั้งหลายหากมั่นใจว่าตัวเองไม่ได้โกงชาติปล้นแผ่นดินหรือกระทำผิดก็ไม่ควรจะกลัวและต้องกล้าพิสูจน์ความบริสุทธิ์ตามกระบวนการยุติธรรม ไม่ใช่ออกมาแสดงอาการเหมือนร้อนตัวใช้วิธีการบ่อนทำลายความชอบธรรมตามกระบวนการกฎหมายแล้วอ้างว่าเป็นเรื่องการกลั่นแกล้งทางการเมือง

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วออกอาการหลังพิงฝา จตุพรปลุกสู้ก่อนตายยกแก๊ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/235374

วันพฤหัสบดี ที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับวันสถานการณ์บรรดาคนใกล้ชิดนายใหญ่และแกนนำขบวนการเพื่อแม้วต่างทยอยใช้กรรมทั้งที่เข้าคุกไปแล้วก็หลายรายและกำลังถูกถูกเช็คบิลด้วยความผิดตามกฎหมายโดยกระบวนการยุติธรรมอีกจำนวนมาก แต่ที่ต้องจับตาอย่างยิ่งก็คือกรณีที่อดีต สส.พรรคเพื่อไทยเกือบ 300 คน ที่เคยร่วมลงชื่อเสนอพ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีเป้าหมายแอบแฝงเพื่อลบล้างโทษความผิดให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก โดยไม่ชอบจนเป็นชนวนสู่การออกมาแสดงพลังต่อต้านของมวลมหาประชาชนครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวนเกือบ 10ล้านคน ซึ่งขณะนี้ชะตากรรมของอดีต สส.เพื่อแม้วเกือบ 300 คนอยู่ระหว่างรอการชี้มูลความผิด โดยคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ในไม่ช้านี้ซึ่งกรณีนี้หากพบว่าผิดจริงอาจหมายถึงการสูญพันธุ์ของพรรคเพื่อแม้วแบบตายยกแก๊ง

จึงไม่แปลกที่ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง ถึงกับพล่านออกมาปลุกระดมให้อดีตสส.และอดีตสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ใน
สังกัดขบวนการเพื่อแม้วรวมพลังกันสู้ก่อนที่จะถูกกวาดล้างจนสูญพันธุ์หลังจากที่อดีตสส.และแกนนำขบวนการเพื่อแม้วถูกเล่นงานด้วยกฎหมายไปแล้วกว่า 40 คน และอดีต สส.ที่เคยสนับสนุน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ มีแนวโน้มที่จะต้องมีอันเป็นไปโดยอาจถูกเพิกถอนสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้ง เช่นเดียวกับเหล่าอดีตสส.บ้านเลขที่ 111 และบ้านเลขที่ 109ยุคพรรคไทยรักไทยที่มีแนวโน้มเผชิญชะตากรรมอันเลวร้ายไม่แพ้กันภายใต้โทษถูกเพิกถอนสิทธิรับสมัครเลือกตั้ง ภายใต้ยาแรงตามกติกาของพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.ฉบับใหม่

ที่ผ่านมา แกนนำขบวนการเพื่อแม้วที่ออกมาเคลื่อนไหวตีรวนบ่อนทำลายคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และรัฐบาลล้วนวนเวียนอยู่แต่ตัวละครหน้าเดิมๆไม่กี่คน ขณะที่บรรดาอดีต สส.เพื่อแม้วทั่วประเทศแทบจะยุติบทบาทอย่างสิ้นเชิงตั้งแต่หลังการยึดอำนาจของคสช.เมื่อวันที่22 พ.ค. 2557 ทำให้การเคลื่อนไหวไร้พลัง

การส่งสัญญาณของ นายจตุพรจึงเหมือนเป็นการปลุกเร้าและเตือนให้บรรดาสาวกขบวนการเพื่อแม้วทั้งหลายรู้ถึงสถานการณ์ที่คับขันหลังพิงฝาใกล้ล่มสลายใกล้เข้าไปทุกขณะ โดยโอกาสที่พรรคเพื่อแม้วจะเอาชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นเพื่อกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศอีกครั้งภายใต้กติกาเพื่อปฏิรูปประเทศแทบจะเป็นศูนย์

แต่ที่เลวร้ายกว่าก็คือคดีต่างๆซึ่งเป็นกรรมเก่าในอดีตที่ถูกกลบเกลื่อนแช่แข็งยุคระบอบแม้วครองอำนาจกำลังถูกรื้อฟื้นให้กลับเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และโดยเฉพาะคดีทุจริตทั้งหลายกำลังเห็นผลทยอยไล่เช็คบิลบรรดาแกนนำและสาวกขบวนการเพื่อแม้วโดยกรณีล่าสุดก็คือคดีทุจริตโครงการบ้านเอื้ออาทรที่มี นายวัฒนา เมืองสุขอดีตรมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงมนุษย์ เป็นหนึ่งในจำเลยคนสำคัญ

ทั้งนี้ต้องจับตาดูความเคลื่อนไหวของบรรดาอดีต สส.พรรคเพื่อแม้ว ว่าจะเชื่อคำปลุกระดมของนายจตุพรให้รวมตัวสู้เพื่อนายใหญ่หรือจะสละเรือผละจากขบวนการเพื่อแม้วไปอยู่พรรคใหม่เพื่อความอยู่รอด

ทีมข่าวการเมือง

เพื่อแม้วกระอัก บิ๊กตู่รุกโกยแต้ม

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/235161

วันพุธ ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลอันเป็นผลพวงอำนาจนอกวิถีทางประชาธิปไตยที่ปกครองประเทศเป็นปีที่ 3 แล้ว แต่นับวันรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กลับยังสามารถรักษาความศรัทธาของมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศได้อย่างคงเส้นคงวาซ้ำจะมากขึ้นเรื่อยๆ ขณะที่ขบวนการเพื่อแม้ว ซึ่งพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจ้องจับผิดบ่อนทำลาย คสช.และรัฐบาลมาตลอดกลับอยู่ในภาวะเสื่อมส่อแนวโน้มที่จะล่มสลายชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ผลงานเกมรุกล่าสุดของ “บิ๊กตู่” ก็คือการเป็นผู้นำความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชนและภาคประชาชนแสดงพลังครั้งประวัติศาสตร์ที่ท้องสนามหลวงเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมาในการผนึกกำลังคนทั้งแผ่นดินเพื่อต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นอย่างจริงจัง ขณะรัฐบาลทยอยผลักดันกฎหมายปราบโกงออกมาอย่างต่อเนื่องล่าสุดคือเตรียมออกกฎหมายว่าด้วยการขัดกันของผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวมหรือที่เรียกกันว่า กฎหมายฟัน 4 ชั่วโคตร ซึ่งมีสาระสำคัญเอาผิดทั้งตัวผู้กระทำผิดและคนในครอบครัวทั้งพ่อแม่ลูกเมีย

ตามด้วยผลงานล่าสุดของ “บิ๊กตู่” ด้วยการใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวกำหนดให้คดีความมั่นคงต่างๆ จากนี้ไปไม่ต้องขึ้นศาลทหาร แต่ไปขึ้นศาลยุติธรรมตามปกติอันเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศทางการเมืองและสอดรับกับโรดแมปที่กำลังเดินหน้าไปสู่การเลือกตั้ง

ทั้งสองผลงานขอเรียกเรตติ้งให้กับ “บิ๊กตู่” จนพุ่งกระฉูด ขณะที่เหล่าสาวกขาประจำขบวนการเพื่อแม้วทำได้แค่พยายามหาเรื่องตีรวนจ้องจับผิดรัฐบาลและคสช.แบบตะแบงเอาสีข้างเข้าถู อาทิ นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานกลุ่มคนเสื้อแดง อ้างการประกาศเจตนารมณ์ปราบโกงของ“บิ๊กตู่” ว่าเป็นแค่การสร้างภาพ ขณะที่ นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรมว.พลังงาน ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังคงออกมาฉายหนังม้วนเก่าซ้ำซากโจมตีรัฐบาลในเรื่องความล้มเหลวแก้ปัญหาเศรษฐกิจโดยเฉพาะการส่งออกที่ติดลบ

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองประเมินแนวโน้มอนาคตของขบวนการเพื่อแม้วอย่าว่าแต่การกลับมามีอำนาจยึดครองประเทศหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า แม้แต่การเอาตัวรอดให้พ้นจากการล่มสลายก็ยังเป็นปัญหา เพราะบรรดาแกนนำคนใกล้ชิดนายใหญ่ต่างทยอยใช้กรรมด้วยกระบวนการตามกฎหมายเป็นว่าเล่น โดยเฉพาะ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯหุ่นเชิดน้องสาวนายใหญ่ และพวกซึ่งเป็นจำเลยคดีรับจำนำข้าวที่สร้างความหายนะให้ประเทศครั้งเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกฯหุ่นเชิดน้องเขยนายใหญ่ อยู่ในสภาพลูกผีลูกคนในคดีเหตุการณ์นองเลือดสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจนมีผู้เสียชีวิตบาดเจ็บจำนวนมาก เหล่าแกนนำเสื้อแดงนำโดย นายจตุพร ก็นับถอยหลังสู่การชี้ชะตาคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553 ขณะที่ก่อนหน้านี้แกนนำเพื่อแม้วหลายต่อหลายคนถูกกฎหมายจัดการจนไปใช้กรรมอยู่ในคุก ส่วนอีกหลายคนกำลังจะมีชะตากรรมไม่ต่างกัน

ดังนั้นสถานการณ์จากนี้เป็นต้นไปมีแนวโน้มว่าบิ๊กตู่จะโกยคะแนนจากศรัทธามหาชนมากขึ้นเรื่อยๆ และคงอยู่ยาว ขณะที่ขบวนการเพื่อแม้วนับวันมีแต่จะทรุดหลังพิงฝารอถึงวันแตกสลาย

ทีมข่าวการเมือง