วันประวัติศาสตร์แห่งความหวัง ขจัดพวกโกงชาติปล้นแผ่นดิน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/235017

วันอังคาร ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

นับเป็นภาพแห่งประวัติศาสตร์ที่ภาครัฐเอกชนและประชาชนจำนวนมากสวมเสื้อยืดข้อความ “กรรมสนองโกง” ได้มาร่วมแสดงพลังอย่างพร้อมเพรียงที่หน้าสนามหลวงต่อหน้าวัดพระแก้วในวันต่อต้านคอร์รัปชั่น 2559 โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหนาคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) เป็นประธาน และงานนี้ไม่แต่เฉพาะที่ท้องสนามหลวงแต่เป็นวาระแห่งชาติที่จัดพร้อมกันในทุกจังหวัดทั่วประเทศ

นอกจาก พล.อ.ประยุทธ์ แล้วบุคคลสำคัญที่ร่วมกล่าวเปิดงานครั้งนี้และมีบทบาทสำคัญยิ่งมาตั้งแต่ต้นในการปลุกพลังวางรากฐานในการขจัดทุจริตคอร์รัปชั่นให้เกิดขึ้นเป็นจริงในบ้านเมืองเสียทีก็คือ นายประมนต์ สุธีวงศ์ ประธานองค์กรต่อต้านคอร์รัปชั่น (ประเทศไทย) และ พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรมในฐานะประธานคณะกรรมการศูนย์อำนวยการต่อต้านการทุจริตแห่งชาติ (ศอ.ตช.)

ทั้งนี้ การทุจริตคอร์รัปชั่นถือเป็นมะเร็งร้ายที่กัดกินถึงกระดูกและเป็นบ่อเกิดแห่งความชั่วร้ายทั้งปวงที่บ่อนทำลายชาติแบบตายผ่อนส่ง ขณะที่ผู้มีอำนาจ พ่อค้าและข้าราชการเพียงหยิบมือเดียวรวยเสพสุขอย่างอิ่มหมีพีมันบนความล่มจมของประเทศ จนมีคำกล่าวว่าเงินจากการโกงชาติปล้นแผ่นดินหากนำมารวมกันสามารถสร้างถนนด้วยทองคำจากกรุงเทพฯถึงเชียงใหม่ได้อย่างสบาย หรือนำมาพัฒนาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองประชาชนมีความสุขถ้วนหน้าได้นานแล้ว

นับเป็นเรื่องน่าแปลกที่การรณรงค์เพื่อขจัดการทุจริตคอร์รัปชั่นเกิดขี้นอย่างจริงจังล้วนในยุคผู้นำประเทศไม่ใช่นักการเมืองโดยยุคผู้นำปราบโกงซึ่งเป็นที่ยอมรับของคนทั้งประเทศและทั่วโลกในอดีตก็คือยุครัฐบาล พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ และเพิ่งจะมาเห็นในยุครัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ ที่ผู้นำนอกจากเป็นแบบอย่างของความซื่อสัตย์สุจริตแล้ว ยังริเริ่มต่อยอดการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่นไปสู่ความร่วมมือกับภาคเอกชนและประชาชนจนกลายเป็นพลังขจัดโกงทั่วแผ่นดินสำเร็จเป็นครั้งแรกอย่างน่าชื่นชม ซึ่งการเอาจริงกับการขจัดคอร์รัปชั่นเช่นนี้จะไม่มีทางได้เห็นในยุครัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง

หากจะให้การขจัดคอร์รัปชั่นเป็นจริงในบ้านนี้เมืองนี้จำเป็นที่จะต้องมีผู้นำประเทศที่ซื่อสัตย์สุจริตและเด็ดเดี่ยวปฏิรูปประเทศนาน 10-20 ปีเพื่อวางรากฐานให้มั่นคงต่อเนื่อง เพราะสิ่งที่หวั่นเกรงก็คือ หากรัฐบาลคสช.หมดอำนาจและมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งโดยเฉพาะหากพรรคธุรกิจการเมืองในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมได้เป็นรัฐบาล แน่นอนว่าการโกงชาติปล้นแผ่นดินอย่างย่ามใจจะฟื้นคืนชีพกลับมาหลอนทำลายชาติบ้านเมืองอีกอย่างไม่ต้องสงสัย

ขณะเดียวกันคงต้องฝากความหวังไว้กับกติกาต่างๆ ในกฎหมายเพื่อการปราบโกงที่จะต้องใช้ยาแรงเด็ดขาดในการป้องกันและลงโทษพวกที่โกงบ้านกินเมืองทั้งทางอาญา แพ่ง และทางการเมืองส่วนระยะยาวต้องปลูกฝังค่านิยมคนรุ่นใหม่ตั้งแต่ระดับอนุบาลให้รังเกียจการโกงแม้แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น การไม่หยิบฉวยของคนอื่นมาเป็นของตน สำหรับบรรดาพวกโกงบ้านกินเมืองตัวใหญ่ต้องใช้กฎหมายตามเช็คบิลให้สิ้นซากเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง และต้องทำทุกวิถีทางไม่ให้คนชั่วพวกนี้เข้ามามีอำนาจในบ้านเมืองอย่างเด็ดขาดตลอดไป

 

นักการเมืองดิ้นเพื่อตัวเอง ขวางเดินหน้าปฏิรูปประเทศ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/234833

วันจันทร์ ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

บรรดานักการเมืองโดยเฉพาะพรรคเพื่อแม้วยังคงตั้งหน้าตั้งตาขวางพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญสำคัญโดยเฉพาะประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองและพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสส.ที่มีแนวคิดใช้ยาแรงในการป้องปรามและลงโทษพรรคการเมืองและนักธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมเพื่อให้การปฏิรูปประเทศไม่เสียของ

พรรคเพื่อแม้วและเครือข่ายนั้นประกาศจุดยืนและเคลื่อนไหวค้านร่างรัฐธรรมนูญรวมทั้งต่อต้านคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ในทุกเรื่องทุกประเด็นตั้งแต่หลังการยึดอำนาจของคสช.เมื่อ 22 พ.ค.2557 และค้านโดยที่ยังไม่ทันยกร่างรัฐธรรมนูญด้วยซ้ำ และแม้ร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงจะผ่านฉันทามติของมหาชนเสียงส่วนใหญ่ของประเทศจากการทำประชามติ ขบวนการเพื่อแม้วก็ยังจ้องตามค้าน พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่กำลังทยอยนำเสนอสู่คณะกรรมการยกร่างรัฐธรรมนูญทั้งๆ ที่ยังไม่สะเด็ดน้ำ

การคัดค้านรัฐธรรมนูญและกฎหมายลูกโดยขบวนการเพื่อแม้วรวมทั้งบรรดานักการเมืองบางพรรคส่อพฤติการณ์ค้านโดยไม่ได้อยู่บนพื้นฐานเชิงสร้างสรรค์โดยยึดเป้าหมายเพื่อการปฏิรูปประเทศเป็นที่ตั้ง แต่เป็นการค้านเพื่อรักษาสถานภาพของตัวเองให้กลับไปประพฤติตัวเลวร้ายได้เหมือนเดิม

ขณะที่บรรดานักการเมืองพยายามดิ้นรนเพื่อตัวเอง ผลการสุ่มตัวอย่างสำรวจความเห็นของประชาชนทั่วประเทศของโพลล์สำนักต่างๆ ในภาพสะท้อนให้เห็นว่า ประชาชนเสื่อมศรัทธานักการเมืองและต้องการให้ปฏิรูปประเทศ โดยสำนักวิจัยซูเปอร์โพลพบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 86.3 มองว่านักการเมืองคือต้นเหตุแห่งความขัดแย้งในหมู่ประชาชนมากที่สุด ขณะเดียวกันก็สะท้อนว่าไม่ชอบพรรคการเมืองใดเลยในปัจจุบันที่เสนอทางออกให้ประเทศ

นอกจากนี้ประชาชนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 93.3 ระบุว่าพฤติกรรมของนักการเมืองที่ควรปรับปรุงปฏิรูปตัวเองมากที่สุดคือการทุจริตคอร์รัปชั่น รองลงมาคือหาผลประโยชน์เพื่อตัวเองและพวกพ้องเครือญาติ และพฤติกรรมที่ชอบยั่วยุ ก้าวร้าวปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง

ที่สำคัญประชาชนส่วนใหญ่ร้อยละ 77.6 เห็นด้วยที่จะรีเซตพรรคการเมืองเพื่อไม่ให้การปฏิรูปประเทศเสียของ โดยเฉพาะการขจัดปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น จัดระเบียบนักการเมืองโดยต้องการนักการเมืองหน้าใหม่ที่มีอุดมการณ์ทำงานเพื่อประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

ขณะที่สวนดุสิตโพลเผยผลสำรวจความเห็นประชาชนทั่วประเทศล่าสุดสะท้อนว่า ประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยที่นักการเมืองและแกนนำกลุ่มการเมืองที่ทำผิดกฎหมายต้องได้รับโทษ ขณะเดียวกันก็สนับสนุนให้กระทรวงมหาดไทยช่วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในการป้องกันการซื้อเสียงเพราะไม่มั่นใจในศักยภาพของกกต.

จากปรากฏการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นสะท้อนว่า ขณะที่นักการเมืองซึ่งเป็นคนแค่หยิบมือเดียวของประเทศและเป็นต้นเหตุของวิกฤติชาติตลอดช่วงที่ผ่านมากลับยังพยายามดิ้นรนทำทุกวิถีทางเพื่อขวางการเดินหน้าปฏิรูปประเทศเพื่อตัวเอง ซึ่งสวนทางกับความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่ที่เอือมระอานักการเมืองและอยากเห็นการเดินหน้าปฏิรูปประเทศเพื่อให้พ้นวังวนของวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายเสียทีไม่ว่าจะด้วยวิธีการใดก็ตาม

ทีมข่าวการเมือง

เส้นทางวิบากนายกฯคนนอก ไม่ง่ายแต่จำเป็นต้องไปให้ถึง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/234700

วันอาทิตย์ ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ด้วยความเข้มแข็งของรัฏฐาธิปัตย์ภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ทั้งพลังสนับสนุนจากมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศกองทัพที่เป็นเอกภาพ ตลอดจนแรงหนุนจาก พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ รวมทั้งภายใต้กติกาของร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และคำถามพ่วงที่ผ่านการทำประชามติทำให้แนวโน้มที่ พล.อ.ประยุทธ์ จะนั่งเก้าอี้นายกฯคนนอกหลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้ามีความชัดเจนมากขึ้น ทั้งนี้ด้วยความจำเป็นเพื่ออาศัยกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบวางรากฐานปฏิรูปประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านให้สำเร็จไม่ย้อนกลับไปสู่วังวนวงจรอุบาทว์อันเลวร้ายที่ทำลายประเทศตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

นักสังเกตการณ์ทางการเมืองมองว่านายกฯคนนอกถูกกำหนดไว้ตั้งแต่แรกซึ่งสะท้อนจากร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่เปิดช่องให้มีนายกฯคนนอกและให้สมาชิกวุฒิสภา(สว.)มีสิทธิร่วมกับสภาผู้แทนราษฎรในการโหวตเลือกนายกฯคนต่อไป รวมทั้งระบบเลือกตั้งแบบใหม่ที่คะแนนเลือกตั้งทุกคะแนนมีความหมาย ซึ่งจะทำให้พรรคขนาดใหญ่ได้จำนวน สส.ลดลง ขณะที่พรรคขนาดกลางและพรรคขนาดเล็กจะได้จำนวนสส.เพิ่มขึ้นทำให้การจัดตั้งรัฐบาลภายหลังการเลือกตั้งมีแนวโน้มที่จะต้องเป็นรัฐบาลผสมซึ่งจะเปิดโอกาสมากขึ้นสำหรับนายกฯคนนอก

แนวคิดให้มีนายกฯคนนอกทำให้มีการเสนอสูตร “ป๋าเปรมโมเดล” ที่บรรดาพรรคการเมืองเคยสนับสนุน พล.อ.เปรม ให้เป็นผู้นำประเทศยาวนานถึง 8 ปี ในอดีต ทั้งๆ ที่ พล.อ.เปรม ไม่มีฐาน สส.ในสภาผู้แทนราษฎรแม้แต่คนเดียว แต่ด้วยบารมีและลักษณะพิเศษของ พล.อ.เปรม ที่มีสายสัมพันธ์กับคนในแวดวงต่างๆ อย่างกว้างขวางและบุคลิกที่ประนีประนอมแต่ซ่อนความเด็ดขาดจริงจังจนเป็นที่ยอมรับเกรงใจของบรรดาพรรคการเมือง ตลอดจนการรู้จักเลือกใช้คนเข้ามาช่วยงาน ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ มีบุคลิกที่แข็งกร้าวตรงไปตรงมาไม่เคยยอมก้มหัวให้ใครจึงเกรงว่าอาจเป็นอุปสรรคต่อการก้าวสู่นายกฯคนนอกยกเว้นจะมีการปรับท่าทีให้สอดคล้องกับสถานการณ์

แต่จุดแข็งของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็คือกล้าตัดสินใจทำงานรวดเร็วและได้รับพลังสนับสนุนจากมหาชนส่วนใหญ่ของประเทศที่ยังศรัทธาซึ่งสะท้อนจากผลการลงประชามติที่ประชาชนส่วนใหญ่สนับสนุนกลไกประชาธิปไตยครึ่งใบเพื่อปฏิรูปประเทศรวมทั้งผลสำรวจของโพลล์สำนักต่างๆ ที่ชี้ว่า ความศรัทธาของประชาชนที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ ยังเสมอต้นเสมอปลายหลังการยึดอำนาจมานานถึง 3 ปีแล้ว และความเชื่อมั่นของประชาชนชัดเจนถึงขนาดไม่ขัดข้องหาก พล.อ.ประยุทธ์ จะนั่งเก้าอี้นายกฯคนนอก

นอกเหนือจาก “ป๋าเปรมโมเดล” อีกแนวคิดหนึ่งที่มีการโยนหินถามทางหวังปูทางไปสู่นายกฯคนนอกก็คือการตั้งพรรคทหาร อย่างไรก็ตามจากประวัติศาสตร์มีบทเรียนให้เห็นแล้วว่า พรรคทหารไม่เคยประสบความสำเร็จแม้แต่ครั้งเดียว ซ้ำพรรคร่างทรงทหารอย่างพรรคสามัคคีธรรม ยุครสช. ถูกโจมตีว่าสืบทอดอำนาจจนเป็นชนวนให้พลังประชาชนออกมาต่อต้านนำไปสู่เหตุการณ์นองเลือดพฤษภาทมิฬซึ่งทำลายภาพพจน์กองทัพจนย่อยยับ

แต่ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันอาจแตกต่างจากอดีตอยู่บ้างหากมีการตั้งพรรคทหารเพื่อสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯคนนอกเพราะประชาชนส่วนใหญ่เอือมระอานักการเมือง และเรียกร้องให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้นำในการปฏิรูปประเทศต่อไปหลังการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม เส้นทางสู่การมีนายกฯคนนอกอาจไม่ง่ายเหมือนโรยด้วยดอกกุหลาบเพราะถูกตั้งป้อมต่อต้านจาก 2 พรรคใหญ่ คือ เพื่อไทยและประชาธิปัตย์ อีกทั้งการเลือกนายกฯหลังการเลือกตั้งในขั้นตอนแรกเป็นสิทธิของสภาผู้แทนราษฎรที่จะเลือกจากผู้ที่พรรคการเมืองแต่ละพรรคเสนอพรรคละ 3 รายชื่อ ซึ่งหากเสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎรหรือ 251 เสียงขึ้นไป เลือกนายกฯจาก 3 รายชื่อ ทุกอย่างก็จบเท่ากับปิดทางนายกฯคนนอก เว้นแต่พรรคการเมืองต่างๆ จะไม่สามารถตกลงประนีประนอมกันได้จึงเปิดช่องทางให้มีการเสนอยกเว้นการเลือกนายกฯจากบัญชี 3 รายชื่อของพรรคการเมืองแล้วเสนอนายกฯคนนอกได้โดยการเลือกนายกฯคนนอกในขั้นตอนที่สองนี้จะมีสมาชิกวุฒิสภา(สว.)ร่วมลงมติคัดเลือกด้วย

อย่างไรก็ตามแม้จะเป็นเส้นทางวิบาก แต่เมื่อสถานการณ์ของชาติบ้านเมืองบังคับและจำเป็นทำให้คาดว่าถึงอย่างไรต้องมีนายกฯคนนอกเพื่อปฏิรูปประเทศช่วงเปลี่ยนผ่านไม่ด้วยวิธีการใดก็วิธีการหนึ่ง โดยแนวโน้มสถานการณ์ที่ต้องจับตาก็คือท่าทีของ 2 พรรคใหญ่ โดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งมีความยืดหยุ่นทางการเมืองและน่าจะมีโอกาสเข้ากับคสช.ได้ดีกว่าพรรคเพื่อไทยที่จุดยืนทางการเมืองต่างจากคสช.แทบจะสิ้นเชิง ดังนั้นน่าจับตาพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งอาจเป็นตัวแปรสำคัญในการกำหนดทิศทางนายกฯคนนอกภายใต้สถานการณ์หลังการเลือกตั้ง

ทีมข่าวการเมือง

ระบอบแม้วในคราบปชต.จอมปลอม หรือสังคมยังจะให้โอกาสกลับมาทำร้ายปท.

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/234585

วันเสาร์ ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

มติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) ที่ลงดาบชี้มูลความผิดทางอาญา 3 ตัวการของพรรคเพื่อไทย ประกอบด้วย นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ อดีตประธานรัฐสภาฉายา “ขุนค้อน” และนายอุดมเดช รัตนเสถียร อดีต สส.นนทบุรีฐานร่วมกันสับเปลี่ยนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของสมาชิกวุฒิสภา(สว.) ขณะที่ นายนริศร ทองธิราช อดีต สส.สกลนคร มีความผิดฐานโกงผลคะแนนการลงมติผ่านร่างรัฐธรรมนูญว่าด้วยที่มาสว.ด้วยการเสียบบัตรแทนเพื่อนสส.พรรคเพื่อไทยกลุ่มหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ในห้องประชุมถือเป็นการสะท้อนให้เห็นธาตุแท้ของขบวนการเพื่อแม้วที่หน้าฉากพยายามสร้างภาพต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย แต่หลังฉากซึ่งเป็นตัวตนที่แท้จริงกลับตรงกันข้างอย่างสิ้นเชิงเพราะเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์เผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม

รัฐบาลหุ่นเชิดระบอบแม้วภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นอกจากส่อพฤติการณ์ลุแก่อำนาจใช้ความเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมกระทำสิ่งเลวร้ายตามใจชอบนอกเหนือจากความพยายามผลักดันร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญประเด็นที่มาของ สว.แล้ว ที่เลวร้ายยิ่งกว่าก็คือหักดิบผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยตอนรุ่งสางโดยอ้างการสร้างความปรองดองบังหน้า แต่มีเป้าหมายแอบแฝงมุ่งลบล้างโทษความผิดให้กับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯนักโทษหนีคุก จนเป็นชนวนให้มวลมหาประชาชนออกมาแสดงพลังครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์จำนวนหลายล้านคนเพื่อคัดค้านอำนาจเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยและนำไปสู่การขับไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์

โครงการรับจำนำข้าวที่สร้างความพินาศล่มจมให้ประเทศร้ายแรงที่สุดในประวัติศาสตร์คาดว่าเป็นมูลค่ากว่า 7 แสนล้านบาท ซึ่งผลจากโครงการรับจำนำข้าวยุคยิ่งลักษณ์ได้ทำลายวงจรข้าวของประเทศทั้งระบบซึ่งยังส่งผลมาจนทุกวันนี้

ที่ผ่านมาระบอบทักษิณมักสร้างภาพต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยมาตลอด แต่กลับส่อพฤติการณ์ตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงโดยเป็นธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมที่ใช้เงินกว้านซื้อ สส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้อประเทศเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ จากนั้นทุจริตคอร์รัปชั่นโกงชาติปล้นแผ่นดินถอนทุนบวกกำไรมหาศาล และใช้ทุนและอำนาจรัฐอันฉ้อฉลซื้อพวกซื้อข้าราชการและเอาชนะการเลือกตั้งเพื่อหวังผูกขาดอำนาจอย่างถาวรกลายเป็นวงจรอุบาทว์อันชั่วร้าย

สำหรับพรรคเพื่อแม้วนั้น ยังถูกตั้งข้อสังเกตว่า โดยเนื้อแท้แล้วไม่ต่างจากการเป็นบริษัทการเมืองจำกัดโดยบรรดา สส.หาใช่ตัวแทนปวงชนอย่างแท้จริงไม่ แต่มีสถานะไม่ต่างจากลูกจ้างบริษัทที่รับท่อน้ำเลี้ยงและฟังคำสั่งจากเจ้าของบริษัทเพียงคนเดียว

ในยุครัฐบาลระบอบแม้วเรืองอำนาจสุดขีดยังเหิมเกริมถึงขนาดละเมิดรัฐธรรมนูญด้วยการออกพระราชกำหนดเพื่อลดภาษีแก่ธุรกิจโทรศัพท์มือถือเอื้อประโยชน์ต่อตระกูลชินมูลค่ามหาศาล ทั้งๆ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้การออกพระราชกำหนดจะกระทำได้ต่อเมื่อบ้านเมืองอยู่ในภาวะวิกฤติร้ายแรงที่เป็นภัยต่อความมั่นคงหรือเศรษฐกิจของประเทศเท่านั้น

นอกจากนี้ระบอบแม้วด้วยการอาศัยมวลชนจัดตั้งคือม็อบเสื้อแดงและกองกำลังก่อการร้ายใต้ดินสร้างสถานการณ์รุนแรงหวังช่วงชิงอำนาจรัฐในเหตุการณ์ก่อจลาจลทั่วกทม.และบุกล้มการประชุมสุดยอดผู้นำชาติอาเซียนและชาติมหาอำนาจคู่เจรจาที่พัทยาเมื่อปี 2552 แต่ประสบความล้มเหลว จนในปีถัดมาขบวนการเพื่อแม้วสร้างสถานการณ์ลอบก่อวินาศกรรมตามสถานที่ต่างๆ อย่างต่อเนื่องและจบลงด้วยม็อบเสื้อแดงเคลื่อนไหวคู่ขนานกับกองกำลังติดอาวุธใต้ดินสร้างสถานการณ์ก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองเมื่อปี 2553

ในเหตุการณ์เมื่อปี 2553 ม็อบเสื้อแดงยังยกกำลังบุกสภากาชาดไทยและโรงพยาบาลจุฬาฯจนต้องมีการอพยพผู้ป่วยกันอย่างอลหม่านซึ่งในจำนวนนี้หลายคนเป็นผู้ป่วยวิกฤติ และที่เลวร้ายคือต้องมีการอพยพ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ซึ่งรักษาอาการพระประชวรอยู่ที่โรงพยาบาลจุฬาฯไปยังโรงพยาบาลศิริราชเป็นการชั่วคราว ซึ่งพฤติการณ์ของม็อบเสื้อแดงถือเป็นการละเมิดกฎสากลที่กำหนดให้โรงพยาบาลถือเป็นสถานที่ปลอดภัยที่ต้องปลอดจากการคุกคามอย่างเด็ดขาดไม่ว่าด้วยวิธีการใดๆ แม้แต่ในยามสงคราม

ตัวอย่างพฤติการณ์ของขบวนการเพื่อแม้วทั้งหมดข้างต้นจึงสวนทางกับระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงอย่างสิ้นเชิง

ดังนั้น กรณีป.ป.ช.มีมติลงดาบ 3 สาวกขบวนการเพื่อแม้วทั้ง 3 จึงเป็นเพียงตัวอย่างเล็กๆ ที่สะท้อนความเป็นพวกประชาธิปไตยจอมปลอมของขบวนการเพื่อแม้ว ทั้งๆ ที่ธาตุแท้เป็นธุรกิจการเมืองเผด็จการเสียงข้างมากในคราบประชาธิปไตยลวงโลกที่กำลังทยอยชดใช้กรรมจากการเหลิงในอำนาจในอดีต ขณะเดียวกันคงต้องตั้งคำถามกับสังคมว่า ยังจะให้โอกาสขบวนการเพื่อแม้วกลับมามีอำนาจทำร้ายประเทศเหมือนที่ผ่านมาอีกหรือไม่ โดยเฉพาะในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า

ทีมข่าวการเมือง

พรบ.ประกอบรธน.ต้องชัดเจนเข้มข้น ไม่ทำให้ปฏิรูปปราบโกงต้องเสียของ

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/234435

วันศุกร์ ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ขณะนี้หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้องเริ่มทยอยส่งแนวคิดร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญสำคัญ 4 ฉบับสำคัญอันจะนำไปสู่การปฏิรูปการเมืองประกอบด้วย พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง สส.และสมาชิกวุฒิสภา (สว.) พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองไปยัง คณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์เป็นประธาน เพื่อให้พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญสอดคล้องกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับแม่และคำถามพ่วง ที่ผ่านการทำประชามติมาแล้ว

ล่าสุดมีข้อเสนอจาก นายเสรี สุวรรณภานนท์ประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ขับเคลื่อนการปฏิรูปการเมืองของสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง โดยมีสาระสำคัญที่น่าสนใจคือ การกำหนดให้การส่งผู้สมัครรับเลือกตั้งต้องแสดงแบบรายการเสียภาษีเงินได้ย้อนหลัง 3 ปี แสดงตนประกาศให้สมาชิกและประชาชนรู้ล่วงหน้าก่อนลงเลือกตั้ง 1 ปี ขณะเดียวกันให้สมาชิกในเขตเลือกตั้งเป็นผู้คัดเลือกผู้สมัครเลือกตั้งด้วยวิธีการเลือกตั้งชั้นต้น (Primary Vote) เหมือนการเลือกตั้งของสหรัฐอเมริกา

ส่วนเรื่องเงินสนับสนุนพรรคการเมืองห้ามผู้ใดหรือนิติบุคคลใดสนับสนุนเงินลงทุนให้ผู้สมัครรับเลือกตั้งทุกกรณี เว้นแต่บริจาคตามที่กฎหมายกำหนด และห้ามผู้สมัครรับเลือกตั้งนำเงินของบุคคลหรือนิติบุคคลใดมาใช้จ่ายหรือสนับสนุนการเลือกตั้งโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย และห้ามพรรคการเมือง หัวหน้าพรรคกรรมการบริหารพรรคหรือตัวแทนรับเงินบริจาคที่ผิดกฎหมาย

ในกรณีพรรคการเมืองใดกระทำผิดอันเป็นการล้มล้างระบอบประชาธิปไตยและทำลายความมั่นคงของชาติ พรรคการเมืองนั้นต้องสิ้นสภาพ และในกรณีที่นายทุน กลุ่มทุน นำเงินมาลงทุนในพรรคเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงโดยจำคุก 5-10 ปี โดยไม่รอลงอาญา ปรับ 20 ล้านบาท หากเป็นนิติบุคคลกระทำผิดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ตรวจสอบกระแสเงินหมุนเวียนด้วย ส่วนผู้สมัคร สส.และสว.หากกระทำผิดให้มีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี ปรับ 20 ล้านบาทพร้อมเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้งตลอดชีวิต

และในกรณีการกระทำผิดของผู้สมัคร สส.หรือสว.พิสูจน์ได้ว่าพรรคการเมืองมีส่วนรู้เห็นปล่อยปละละเลยหรือไม่ระงับยังยั้ง หัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคถือว่ามีความผิดต้องถูกตัดสิทธิลงสมัครรับเลือกตั้งตลอดชีวิต

นี่แค่ตัวอย่างซึ่งผลสรุปจะออกมาอย่างไรคงต้องจับตาดู แต่ที่แน่ๆ คือสังคมไม่อยากเห็นการยึดอำนาจเสียของกลับไปสู่วังวนของวงจรอุบาทว์อันชั่วร้ายแบบเดิมๆ และอยากเห็นการปฏิรูปประเทศเดินหน้าอย่างจริงจังด้วยการใช้ยาแรงขจัดธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอม ที่เต็มไปด้วยการทุจริตโกงชาติปล้นแผ่นดิน การซื้อ สส. ซื้อเสียง ซื้อประชาธิปไตย ซื้ออำนาจรัฐซื้อประเทศ ซึ่งเป็นต้นเหตุของความวิบัติหายนะของชาติตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา

ทีมข่าวการเมือง

5แกนนำแดงพอใกล้คุก ตะแบงอ้าง2มาตรฐาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/234255

วันพฤหัสบดี ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2559, 06.00 น.

ไม่น่าแปลกใจและเป็นไปตามคาดเมื่อนายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานคนเสื้อแดงออกมาโวยวายตะแบงแบบแผ่นเสียงตกร่องอ้างว่า กระบวนการยุติธรรม 2 มาตรฐานเหมือนเคยหลังจากที่ฝ่ายอัยการได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราว นายจตุพร และแกนนำเสื้อแดงอีก 4 คน ประกอบด้วย นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธานคนเสื้อแดง นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เลขาธิการคนเสื้อแดง นพ.เหวง โตจิราการ และนายนิสิต สินธุไพร โดยทั้งหมดเป็นผู้ต้องหาในคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองในเหตุการณ์เมื่อปี 2553

ทั้งนี้ ฝ่ายอัยการให้เหตุผลว่า เหล่าแกนนำทั้งหมดไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขการปล่อยตัวชั่วคราวที่ห้ามไม่ให้มีการเคลื่อนไหวทาง
การเมือง แต่กลับปรากฏว่ายังมีการออกมาเคลื่อนไหวทางการเมืองอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะกรณีที่ นายจตุพร และพวกไปออกรายการ “มองไกล” ทางช่องพีซทีวี ซึ่งเป็นทีวีเสื้อแดง โดยมีการพูดในลักษณะที่ทำให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวายในบ้านเมือง

หากศาลอนุมัติให้เพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวนั่นหมายความว่าเหล่าแกนนำเสื้อแดงทั้ง 5 คนต้องถูกคุมตัวเข้าห้องขังทันที

ขณะที่ นายจตุพร พยายามตะแบงอ้างว่าฝ่ายตัวเองถูกปฏิบัติแบบ 2 มาตรฐานโดยเปรียบเทียบกับคดีการชุมนุมของมวลมหาประชาชนกลุ่ม กปปส. กลับไม่มีความคืบหน้า

ทั้งๆ ที่ความจริงคดีก่อการร้ายเผาบ้านทำลายเมืองที่เหล่าแกนนำคนเสื้อแดงตกเป็นจำเลยเกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2553 ขณะที่การชุมนุมของกลุ่มกปปส.เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อปี 2557 ยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์นี่เอง อีกทั้งบริบทพฤติการณ์ของรูปคดีก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ที่ผ่านมาขณะที่คนของขบวนการเพื่อแม้วบ่อนทำลายศาลและองค์กรอิสระต่างๆ มาตลอดอ้างว่า 2 มาตรฐาน แต่พฤติการณ์ที่เป็นจริงกลับส่อเอาแต่ได้ฝ่ายเดียว โดยเวลาที่ศาลหรือองค์กรอิสระตัดสินเป็นคุณให้กับฝ่ายตัวเองก็จะยอมรับชื่นชม แต่พอศาลหรือองค์กรอิสระตัดสินลงโทษฝ่ายตัวเองก็จะโจมตีบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของศาลหรือองค์กรอิสระอ้างว่า 2 มาตรฐาน

ถ้าจะว่าไปแล้วการที่ฝ่ายอัยการขออำนาจศาลสั่งเพิกถอนการปล่อยตัวชั่วคราวแกนนำเสื้อแดงทั้ง 5 คนถือว่าช้าไปด้วยซ้ำทั้งๆที่ควรทำมานานแล้ว เพราะที่ผ่านมาหลังได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เหล่าแกนนำเสื้อแดงมีพฤติกรรมละเมิดเงื่อนไขของอัยการด้วยการออกมาเคลื่อนไหวสร้างความปั่นป่วนทางการเมืองอย่างต่อเนื่องมาตลอด และนับวันมีแนวโน้มที่ดุเดือดร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น ข้ออ้างของนายจตุพรจึงถูกตั้งข้อสังเกตว่าเป็นแค่การตะแบงหาข้ออ้างบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองเหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา

ทีมข่าวการเมือง

สัญญาณใช้ทางสายกลาง เปิดทางมท.ช่วยกกต.ดูแลเลือกตั้ง

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/234085

วันพุธ ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ปมข้อเสนอแนวคิดที่จะให้ยุบเลิกคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.) ประจำจังหวัดและให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งแทน กกต.กำลังกลายเป็นประเด็นร้อนแรงจนกลายเป็นการเปิดศึกน้ำลายอย่างดุเดือดระหว่าง 2 คู่หู ในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.)คือ นายวันชัย สอนศิริ กับ นายเสรี สุวรรณภานนท์ กับเหล่านักการเมืองจน ดร.วิษณุ เครืองาม รองนายกฯฝ่ายกฎหมายต้องออกมาปรามให้ทุกฝ่ายหลีกเลี่ยงการตอบโต้ไปมาจนทำให้เกิดความขัดแย้ง และควรพูดในเชิงสร้างสรรค์และด้วยเหตุผล

แนวคิดที่จะให้ยุบกกต.จังหวัดและให้กระทรวงมหาดไทย มาดูแลการเลือกตั้งกลายเป็นประเด็นร้อนที่มีทั้งฝ่ายคัดค้านและสนับสนุน ซึ่งจะว่าไปแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกหากข้อถกเถียงเป็นการระดมความเห็นที่หลากหลายและอยู่บนพื้นที่ของการสร้างสรรค์ แต่ที่เป็นปัญหาเพราะมีการใช้
วาทกรรมด้วยอารมณ์อยู่เหนือเหตุผลจนเกิดปัญหา

ตัวอย่างการเสนอความเห็นด้วยเหตุและผลอาทิ นายศุภชัย สมเจริญประธานกกต. มองว่าหากให้กระทรวงมหาดไทย มาช่วยดูแลการเลือกตั้งและยุบกกต.จังหวัดถือเป็นการถอยหลังเข้าคลอง เพราะการตั้งกกต.ซึ่งเป็นองค์กรอิสระขึ้นมาก็เพื่อให้ทำหน้าที่ดูแลการเลือกตั้งทั้งหมด

ขณะที่ นางสดศรีสัตยธรรม อดีตกกต. กลับเห็นตรงกันข้ามโดยให้เหตุผลว่าที่ผ่านมา กกต.ล้มเหลวทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะมาแล้วถึง 2 ครั้ง ดังนั้นจึงควรให้กระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีศักยภาพมากกว่าเข้ามาดูแลการเลือกตั้งจะดีกว่า

ก่อนหน้านี้นายราเมศ รัตนะเชวงรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ออกมาค้านข้อเสนอให้กระทรวงมหาดไทยเข้ามาคุมการเลือกตั้งแทนกกต.โดยย้ำว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญมาตรา 224 ที่กำหนดให้กกต.มีอำนาจหรือดำเนินการเลือกตั้ง

อย่างไรก็ตาม ดร.วิษณุ ให้ความเห็นประเด็นการยุบกกต.จังหวัดอย่างน่าสนใจว่า รัฐธรรมนูญไม่ได้บัญญัติในเรื่องกกต.จังหวัดอยู่แล้ว ดังนั้นการร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้ง และพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยกกต.ฉบับใหม่จึงต้องนับหนึ่งใหม่โดยถือว่าโครงสร้างกกต.ที่มีอยู่เดิมเป็นศูนย์ ส่วนบทบาทอำนาจหน้าที่หลังมี พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ผู้ร่างจะกำหนด แต่ทั้งนี้กกต.ยังต้องมีอยู่ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้กกต.เป็นทั้งผู้วางระเบียบและผู้ปฏิบัติการจัดและควบคุมการเลือกตั้ง ส่วนหากจะให้หน่วยงานไหน อาทิ กระทรวงมหาดไทยมาช่วยในระดับปฏิบัติไม่ถือว่าขัดรัฐธรรมนูญ

เพราะฉะนั้นความเห็นของดร.วิษณุ น่าจะเป็นการส่งสัญญาณว่า คงจะต้องมีการทบทวนบทบาทของกกต.ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นเหมาะสมตามสถานการณ์โดยใช้ทางสายกลางนั่นคือมีกระทรวงมหาดไทยเข้ามามีบทบาทในฐานะผู้ช่วยในการดูแลการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ยุติธรรม โดยกกต.จะเป็นผู้กำกับดูแลนโยบายในภาพกว้างและมีอำนาจในการให้คุณให้โทษผู้กระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง

ทีมข่าวการเมือง

จับตา5เสือกกต.ร้าวระอุ เปิดศึกชิงเก้าอี้ประธาน

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/233885

วันอังคาร ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

ปัญหารอยร้าวใน 5 เสือคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ซึ่งคุกรุ่นมานานแล้วนับวันจะร้อนแรงมากขึ้นทุกขณะถึงขนาดมีการโต้เถียงกันอย่างดุเดือดโดยปมปัญหาอยู่ที่การชิงเก้าอี้ประธาน กกต.

สำหรับ 5 เสือกกต.ประกอบด้วย นายศุภชัย สมเจริญ ประธาน และกรรมการ ได้แก่ นายประวิช รัตนเพียร, นายสมชัย ศรีสุทธิยากร, นายบุญส่ง น้อยโสภณ และ นายธีรวัฒน์ ธีรโรจน์วิทย์

ข่าวงัดข้อปีนเกลียวใน 5 เสือกกต.อึมครึมมานานแล้วจนล่าสุดมีการระเบิดจนวงแตกในการประชุมครั้งล่าสุดเมื่อ กกต. 3 คน รวมหัวกันทวงถามเรียกร้องให้ นายศุภชัย ลาออกจากเก้าอี้ประธานกกต.ตามที่เคยให้คำมั่นสัญญาเพื่อผลัดเปลี่ยนให้กกต.คนอื่นขึ้นมาทำหน้าที่ประธานบ้างโดยเฉพาะ นายประวิช

อย่างไรก็ตาม นายศุภชัย ชี้แจงกับเพื่อนกกต.ว่า ไม่ได้ยึดติดกับตำแหน่ง แต่ที่ยังไม่ลาออกเพราะก่อนหน้านี้ต้องเตรียมการเรื่องการทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่และคำถามพ่วง อีกทั้งยังไม่มีความชัดเจนในข้อกฎหมายว่า หากลาออกจากประธานกกต.แล้วจะทำให้พ้นสถานะ กกต.ด้วยหรือไม่ ทั้งนี้เนื่องจากคำสั่งของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่ 40/2559 ที่ให้งดการสรรหากรรมการในองค์กรอิสระต่างๆ ทั้งหมดไว้ก่อน

แต่มีกกต.ฝ่ายที่ต้องการให้เปลี่ยนตัวประธานแย้งว่า การลาออกจากประธานกกต.ไม่ทำให้พ้นจากการเป็นกกต. โดยยกกรณีศาลรัฐธรรมนูญเมื่อครั้ง นายชัช ชลวร ลาออกจากประธานศาลรัฐธรรมนูญแต่ก็ยังทำหน้าที่เป็นตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จนปัจจุบัน ส่วนคำสั่งคสช.ที่ 40/2559 ก็เป็นเพียงการห้ามกรณีการสรรหากรรมการองค์กรอิสระใหม่ ไม่เกี่ยวกับการเปลี่ยนตำแหน่งในองค์กรอิสระ

ข่าวแจ้งว่าการโต้เถียงระหว่าง 5 เสือกกต.ในการประชุมเป็นการภายในครั้งล่าสุดถึงกับวงแตกไม่สามารถหาข้อสรุปได้ ขณะที่กกต. 3 คน สั่งให้พนักงานสำนักงานกกต.ทำหนังสือไปยังคสช.เพื่อขอความชัดเจนกรณีคำสั่งคสช.ที่ 40/2559 ว่ามีข้อห้ามเปลี่ยนตัวประธานกกต.หรือไม่

สถานการณ์รอยร้าวใน 5 เสือกกต.หากยังดำเนินต่อไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อการทำหน้าที่ของกกต.ในอนาคตและเป็นการสร้างความระส่ำระสายบั่นทอนขวัญกำลังใจของพนักงานทั้งหมดของสำนักงานกกต.

แนวโน้มที่ต้องจับตาต่อไปก็คือหาก 5 เสือกกต.ยังงัดข้อปีนเกลียวกันต่อไปจนบานปลายไม่แน่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะหัวหน้าคสช.อาจใช้อำนาจตามมาตรา 44 ของรัฐธรรมนูญชั่วคราวโละ 5 เสือกกต.แล้วตั้งใหม่ยกชุดก็เป็นได้

ทีมข่าวการเมือง

ดีเอสไอต้องรีบฟื้นวิกฤติศรัทธา สาวลึกตรงไปตรงมาคดีที่ดินพังงาดับปริศนา

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/233703

วันจันทร์ ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

กลายเป็นระเบิดเวลาลูกใหญ่ หลังจากที่ พล.ต.นพ.เหรียญทองแน่นหนา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะออกมาฟันธงเชื่อว่าการตายอย่างปริศนาของนายธวัชชัย อนุกูล อดีตเจ้าหน้าที่ที่ดินจ.พังงา เพราะถูกฆาตกรรม และคาดว่าจะเป็นการจัดฉากอำพรางทำเป็นขบวนการโดยมีเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ)บางคนเกลือเป็นหนอน โดยที่ผู้บริหารดีเอสไอไม่มีส่วนรู้เห็น แต่ถูกวางยาหวังดิสเครดิตองค์กรดีเอสไอที่ขณะนี้กำลังรับผิดชอบคดีสำคัญระดับชาติบางคดี

พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวตั้งข้อสังเกตไว้ว่า “นายธวัชชัยเป็นเพียงตัวละครที่บังเอิญมีความเหมาะสมที่จะนำไปสังหารเพื่อทำให้สังคมหลงทางว่า ผู้เกี่ยวข้องกับการปลอมแปลงโฉนดที่ดินที่เป็นคดีในอดีตเป็นผู้บงการโดยได้รับความร่วมมือจากดีเอสไอเพื่อทำให้ดีเอสไอกลายเป็นหน่วยงานชั่วร้ายกลายเป็นผู้ร้ายทางสังคม ซึ่งสังคมไม่ควรด่วนสรุปเพราะจะทำให้มีผู้ที่ได้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้นำไปขยายผลให้ลุกลามไปจนถึงกระทรวงยุติธรรม เพื่อหวังผลให้ตัวเองนำไปใช้เป็นข้ออ้างขอลี้ภัยในคดีสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งคดีที่ดีเอสไอกำลังดำเนินการอยู่และตัวคนบงการกำลังใกล้จนมุมอยู่แล้ว”

ข้อสังเกตของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง ทำให้ตั้งข้อสงสัยนึกถึงคดีใหญ่ระดับชาติที่อยู่ในความรับผิดชอบของดีเอสไอนั่นก็คือ การออกหมายจับ ธัมมชโย เจ้าสำนักจานบิน และพวกฐานฟอกเงินและรับของโจรคดีโกงสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น รวมไปถึงเรื่องอื้อฉาวอื่นๆ ของสำนักจานบินอีกจำนวนมาก

หากข้อสันนิษฐานของ พล.ต.นพ.เหรียญทอง เป็นจริงถือเป็นเรื่องชั่วร้ายและน่ากลัวมากเพราะเป็นการบ่อนทำลายกระบวนการยุติธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับความมั่นคงของชาติและสะท้อนให้เห็นว่ามีเกลือเป็นหนอนในดีเอสไอ

ปมการตายปริศนาของ นายธวัชชัย ความสำคัญจึงอาจไม่ใช่แค่เรื่องคดีทุจริตฉ้อฉลการออกที่ดินในหลายจังหวัดภาคใต้มูลค่านับหมื่นล้านบาท เพราะคดีนี้มีพยานหลักฐานชัดเจนมานานแล้ว และ นายธวัชชัย ก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้ต้องหาที่หลบหนีคดีจึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะต้องฆ่าเพื่อปิดปากตัดตอนเพราะไม่มีผลต่อรูปคดี

แต่ปมปริศนาคดีนี้น่าจะซ่อนเบื้องหลังใหญ่กว่าที่คิดซึ่ง พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา รมว.ยุติธรรม และ พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมดีเอสไอ ต้องคลี่คลายปมปริศนาคดีนี้อย่างตรงไปตรงมาและสามารถอธิบายต่อสังคมได้อย่างกระจ่างชัด โดยเฉพาะหากมีเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอเข้าไปเกี่ยวข้องกับคดีนี้ เพื่อฟื้นวิกฤติศรัทธาของดีเอสไอและกระทรวงยุติธรรมให้กลับมาโดยเร็ว

ทั้งนี้หากปล่อยให้คดีอึมครึมไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจนต่อสังคม อาจกลายเป็นเรื่องใหญ่และถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือบ่อนทำลายความน่าเชื่อถือของกระบวนการยุติธรรมไทย ซึ่งจะเข้าทางขบวนการชั่วร้ายที่ขณะนี้จ้องหาโอกาสเพื่อให้ตัวเองรอดพ้นโทษความผิดในคดีสำคัญ

ทีมข่าวการเมือง

เส้นทางสู่การปฏิรูปปท.สดใส ภายใต้พลังเอกภาพแห่งรัฏฐาธิปัตย์

ศาสตร์เกษตรดินปุ๋ย : ขอบคุณแหล่งข้อมูล : หนังสือพิมพ์แนวหน้า

http://www.naewna.com/creative/233546

วันอาทิตย์ ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2559, 02.00 น.

การเข้าอวยพรวันเกิดครบรอบ 96 ปี ของ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่บ้านสี่เสาเทเวศร์เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 25 ส.ค. ที่ผ่านมา ของบรรดาบุคคลสำคัญที่คุมรัฏฐาธิปัตย์ของประเทศนำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พร้อมด้วย คณะรัฐมนตรี ตลอดจนผู้นำเหล่าทัพและตำรวจพร้อมหน้าสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกภาพของรัฏฐาธิปัตย์อย่างไม่เคยมีมาก่อนและบ่งชี้แนวโน้มเส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯคนนอกของพล.อ.ประยุทธ์หลังการเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้า เพื่อเดินหน้าภารกิจปฏิรูปประเทศให้สำเร็จไม่ทำให้การยึดอำนาจเมื่อวันที่ 22 พ.ค.2557 ต้องเสียของมีความชัดเจนมากขึ้น

บรรยากาศงานวันเกิดที่คึกคักอย่างไม่เคยมีมาก่อนและเต็มไปด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใสและพลังสะท้อนถึงความเป็นเอกภาพแห่งรัฏฐาธิปัตย์ และสยบข่าวลือต่างๆ นานา โดยเฉพาะความระหองระแหงกันระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ น้องสามของนายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯฝ่ายความมั่นคง ซึ่งเป็นพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์ รวมทั้งข่าวร่ำลือการวัดรอยเท้า “ป๋าเปรม” ของ พล.อ.ประวิตร

ที่สำคัญคือ “ป๋าเปรม” ประกาศอย่างเปิดเผยตรงไปตรงมาว่า พร้อมที่จะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านอันเป็นภารกิจอันยิ่งใหญ่เพื่อแผ่นดินและประชาชนให้สำเร็จ ซึ่งแม้จะไม่ใช่งานง่ายเพราะมีอุปสรรคมากมาย แต่ “ป๋าเปรม” ก็เชื่อในฝีมือของ พล.อ.ประยุทธ์ว่าจะปฏิบัติภารกิจได้สำเร็จโดยมีเหล่าทัพต่างๆ ตำรวจ ตลอดจนพลังประชาชนคอยให้การสนับสนุน

ในงานวันเกิดของ “ป๋าเปรม” ครั้งนี้ยังสะท้อนให้เห็นถึงเอกภาพในกองทัพที่เป็นปึกแผ่นแน่นแฟ้นเมื่อมีการสลายขั้ว“บูรพาพยัคฆ์” ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีโดย พล.อ.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก(ผู้ช่วยผบ.ทบ.) ซึ่งเป็นนายทหารที่เติบโตจากศูนย์สงครามพิเศษและอยู่นอกสาย “บูรพาพยัคฆ์” แซงโค้งสุดท้ายได้รับแต่งตั้งเป็นผบ.ทบ. หลังจากที่ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า พล.อ.พิสิทธิ์ สิทธิสาร เสนาธิการทหารบกซึ่งเป็นนายทหารบูรพาพยัคฆ์คนสนิทของ พล.อ.ประวิตร จะได้ขึ้นเป็นผบ.ทบ.

ในช่วงราว 10 ปีที่ผ่านมา นายทหารสายบูรพาพยัคฆ์ผูกขาดเก้าอี้ผบ.ทบ.มาตลอดจนเกิดกระแสข่าวความอึมครึมในกองทัพ การกล้าและเด็ดเดี่ยวในการตัดสินใจสลายการผูกขาดเก้าอี้ผบ.ทบ.สายบูรพาพยัคฆ์ในการแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารประจำปีโดยคำนึงถึงสถานการณ์ใหญ่ของประเทศชาติเป็นที่ตั้งแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะความเป็นผู้นำของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่เห็นความจำเป็นในการสร้างความเป็นปึกแผ่นในกองทัพซึ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับภารกิจสำคัญในช่วงการเปลี่ยนผ่านเพื่อการปฏิรูปประเทศ

เมื่อกองทัพเป็นเอกภาพอย่างแท้จริงทำให้เชื่อว่าจากนี้ไปภารกิจในงานด้านความมั่นคงจะมีประสิทธิภาพมากขึ้นทั้งในเรื่องการข่าว ภารกิจปฏิบัติการทางลับซึ่ง ผบ.ทบ.คนใหม่มีความเชี่ยวชาญ รวมทั้งการเป็นหลักประกันในการเดินหน้าปฏิรูปประเทศ รวมทั้งเส้นทางสู่เก้าอี้นายกฯคนนอกของ พล.อ.ประยุทธ์

สำหรับ พล.อ.ประยุทธ์ มีแนวโน้มต้องนั่งเก้าอี้นายกฯคนนอกซึ่งสัญญาณบ่งชี้ก็คือ บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงที่ผ่านความเห็นชอบจากการทำประชามติของมหาชนเสียงส่วนใหญ่ด้วยการเปิดช่องให้มีนายกฯคนนอกและให้สมาชิกวุฒิสภา (สว.) มีสิทธิร่วมกับสภาผู้แทนราษฏรในการโหวตเลือกนายกฯคนต่อไป

นอกจากนี้ต้องจับตา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองซึ่งอาจจะกำหนดให้ทุกพรรคการเมืองต้องนับหนึ่งใหม่ในการรับสมาชิกพรรคซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ

เปิดช่องให้บรรดาอดีตสส.ย้ายสังกัดพรรคได้ ขณะเดียวกันต้องจับตาพรรคการเมืองใหม่ที่จะรองรับนายกฯคนนอก ซึ่งก่อนหน้านี้ นายไพบูลย์ นิติตะวัน อดีตสว.และอดีตสมาชิกสภาปฏิรูปแห่งชาติ(สปช.) เปิดตัวตั้งพรรคประชาชนปฏิรูป และประกาศจุดยืนชัดเจนหนุนพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ

สำหรับพรรคประชาชนปฏิรูปเชื่อว่าเมื่อพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองประกาศใช้จะเห็นโฉมหน้าบุคคลสำคัญเข้าร่วมพรรคนี้ชัดเจนมากขึ้น โดยเฉพาะบุคคลที่จะมาเป็นหัวหน้าพรรคซึ่งคาดว่าจะต้องเป็นบุคคลสำคัญที่มีบารมีไม่ธรรมดาแน่นอนเพื่อดึงดูดอดีตสส.พรรคต่างๆ ให้มาร่วมสังกัด

เมื่อรวมกับสว. 250 คน ซึ่งมาจากการสรรหาของคสช.ที่จะกลายเป็นพรรคที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ยังไม่รวมพรรคขนาดกลางบางพรรคที่มีแนวโน้มว่าพร้อมจะร่วมหัวจมท้ายกับ คสช.ทำให้หนทางสู่เก้าอี้นายกฯคนนอกของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้จะไม่ง่าย แต่ก็เชื่อว่าในที่สุดต้องเกิดขี้นจนได้

ส่วนสองพรรคใหญ่คือเพื่อไทยและประชาธิปัตย์นั้นด้วยระบบการเลือกตั้งแบบใหม่ รวมทั้งข้อกำหนดให้พรรคการเมืองรับจดทะเบียนสมาชิกใหม่คาดว่าจะทำให้พรรคใหญ่ทั้งสองมีจำนวน สส.ลดลงพอสมควร

แต่ที่สำคัญคือพลังมหาชนที่เอือมระอานักการเมืองและฝากความหวังเทใจสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ อย่างล้มหลามซึ่งสะท้อนจากผลการลงประชามติเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วง รวมทั้งผลสำรวจของโพลล์นำนักต่างๆ ล่าสุดที่ชี้ว่าประชาชนยังศรัทธาหัวหน้าคณะรัฐประหารอย่าง พล.อ.ประยุทธ์ ที่อยู่ในอำนาจมานานถึง 3 ปีแล้ว ทั้งนี้ ประชาชนต้องการให้เดินหน้าปฏิรูปประเทศไม่ให้จมปลักอยู่ในวังวนของวงจรอุบาทว์ที่สร้างความบอบช้ำอย่าหนักให้ประเทศเหมือนที่ผ่านมา

เพราะฉะนั้นด้วยหลายปัจจัยที่เอื้อดังกล่าวข้างต้นทำให้คาดว่า ในที่สุด พล.อ.ประยุทธ์ ไม่พ้นต้องเป็นนายกฯคนนอกภายใต้กลไกประชาธิปไตยแบบครึ่งใบเพื่อวางรากฐานประเทศในช่วงเปลี่ยนผ่านโดยอนาคตประเทศจะไม่มีที่ยืนสำหรับกลุ่มธุรกิจการเมืองทุนสามานย์ในคราบประชาธิปไตยจอมปลอมอีกต่อไป

ทีมข่าวการเมือง